นางมาร ตอนที่ 13
เนตรอัปสรพยายามเขย่าตัวเชตะวัน แต่พอแน่ใจว่าเชตะวันหยุดหายใจไปแล้วจริงๆ เธอก็เริ่มต้นปั๊มหัวใจด้วยมือให้เขาอย่างที่เคยร่ำเรียนมา ผีเฟื่องพุ่งลงจากต้นไม้
“ชุน”
ผีเฟื่องทำอะไรไม่ถูก เนตรอัปสรเห็นวิธีปั๊มหัวใจด้วยมือไม่ได้ผลเธอตัดสินใจใช้วิธีผายปอดแทน....ปากเนตรอัปสรประกบปากเชตะวัน ผีเฟื่องเห็นอย่างนั้นก็ตกใจ จะเข้าไปกระชากเธอออกจากเขา เพราะไม่เข้าใจว่าเนตรอัปสรทำอะไร
“เอ็งจะทำอะไรชุน คนจะเป็นตาย เอ็งยังคิดทำบัดสี”
แต่แล้วพอผีเฟื่องเข้าใกล้เนตรอัปสร รัศมีจากพระที่สรวงให้เนตรอัปสรห้อยไว้ที่คอก็สว่างวาบขึ้น ผีเฟื่องผงะหงายออกมา
“โอ๊ย”
เชตะวันสำลักอากาศแล้วเริ่มหายใจ แต่ยังไม่ได้สติ เนตรอัปสรโล่งใจ ตะโกนเรียกคนมาช่วย
“นงค์...นงค์ ใครก็ได้ช่วยด้วยค่ะ”
อาทิตย์ อนงค์และบวรวิ่งหน้าตื่นเข้ามาพอเห็นสภาพเชตะวันก็ยิ่งตกใจ
“ไอ้เชตมันเป็นอะไร”
“คุณเชตโดนกิ่งไม้หล่นใส่ เลยหยุดหายใจไปค่ะ แต่ตอนนี้ดิฉันช่วยปั๊มหัวใจแล้ว แต่ก็ต้องส่งโรงพยาบาลด่วนค่ะ ไปโทรตามรถพยาบาลเร็วอนงค์”
อนงค์รีบวิ่งกลับเข้าไปโทรศัพท์ในบ้าน บวรวิ่งเข้ามาช่วยเนตรอัปสรประคองเชตะวัน อาทิตย์ยืนมองนิ่งๆ ส่วนผีเฟื่องก็ได้แต่ยืนดูอยู่ห่างๆ แต่ทำอะไรไม่ได้เลย
เนตรอัปสรเดินออกมาจากห้องฉุกเฉินด้านใน มาคุยกับอาทิตย์ อนงค์และบวรที่ยืนรออยู่ด้านนอก
“ดิฉันติดต่อกับคุณหมอประจำตัวของคุณเชตะวันแล้วค่ะ แต่คุณหมอไปประชุมต่างประเทศพอดี ตอนนี้ทางโรงพยาบาลก็เลยตามตัวหมอก้องมาแทนค่ะ”
เนตรอัปสรมองไปข้างหลังอาทิตย์ หมอก้องเดินมาอย่างรีบร้อน
“หมอก้องมาพอดีค่ะ...หมอคะ นี่คุณอาทิตย์คุณพ่อคุณเชตะวันค่ะ”
“ไม่ต้องห่วงนะครับ หมอจะพยายามดูแลคุณเชตะวันอย่างดีที่สุด”
หมอก้องเข้าห้องฉุกเฉินไป เนตรอัปสรจะวิ่งตามหมอก้องเข้าไปในห้องฉุกเฉินแล้วนึกได้หันมาย้ำกับอาทิตย์
“ไม่ต้องห่วงนะคะคุณอาทิตย์ หมอก้องเป็นหมอที่เก่งมาก คุณเชตะวันจะต้องไม่เป็นอะไรค่ะ”
อาทิตย์พยักหน้ารับหน้านิ่งๆ เนตรอัปสรมองอย่างแปลกใจว่าทำไมดูอาทิตย์ไม่ค่อยสนใจอาการของลูกชายเลย แล้วเธอก็รีบวิ่งเข้าห้องฉุกเฉินไป
พายัพพยายามปล้ำสาวพม่า เธอพยายามดิ้นรนต่อสู้
“มึงสู้กูเรอะ”
พายัพตบผั๊วะ แล้วยังไม่หนำใจ ยังซ้อมต่อจนน่วม จนสาวพม่านอนแผ่อยู่บนเตียงอย่างหมดเรี่ยวแรง พายัพยิ้มเหี้ยม
“ฤทธิ์มากนัก ก็ต้องเจ็บตัวอย่างงี้ละเว้ย”
พายัพเตรียมจะโถมทับ แต่มือถือดังขึ้นก่อน เขาหงุดหงิดแต่พอหยิบมือถือขึ้นมาดูชื่อคนโทรเข้าแล้วก็ต้องรีบสะกดอารมณ์หงุดหงิด กดรับสายแล้วพูดด้วยเสียงสุภาพ
“ว่าไงครับพ่อ...”
พงษ์นั่งดูลาดเลาให้พายัพอยู่ที่หน้าห้อง แล้วก็ได้ยินเสียงพายัพเขวี้ยงมือถือดังปึงปัง สักครู่พายัพก็เปิดประตูห้องพักออกมา พงษ์รีบเข้าไปหา
“ไม่ถูกใจนังนั่นรึครับเจ้านาย”
“ยังไม่ได้เอามัน”
“อ้าว...”
“พ่อโทรมาบอกว่าไอ้เชตมันประสบอุบัติเหตุที่บ้าน หยุดหายใจไป”
พงษ์ยิ้มออกมาได้ใหม่
“ก็ดีสิครับเจ้านาย เราได้ไม่ต้องลงมือเอง ไม่ต้องเสียเงินจ้างมือปืนอีก”
“แต่อีพยาบาลคนใหม่มันอยู่กับไอ้เชตพอดี มันเลยช่วยปั๊มหัวใจไอ้เชตขึ้นมาได้ ไอ้เชตมันเลยไม่ตาย”
“อ้าว...”
“นี่ถ้านังนั่นช่วยไอ้เชตไว้ไม่ทัน ป่านนี้ไอ้เชตมันก็คงลงนรกไปสมใจฉันแล้ว ฮึ่ย ไอ้พงษ์ แกเอาตัวอีผู้หญิงที่อยู่ในห้องนั่นกลับไปขังตามเดิม ฉันหมดอารมณ์แล้ว แล้วเดี๋ยวคืนนี้ฉันจะออกไปส่งของให้ลูกค้ากับแกด้วย”
“ครับเจ้านาย”
พงษ์เดินเข้าไปในห้องพัก พายัพเจ็บใจสุดๆที่เชตะวันไม่ตาย
เชตะวันนอนหลับไม่ได้สติอยู่ หมอก้องเขียนบันทึกลงชาร์ต เนตรอัปสรเอาผ้าค่อยๆห่มให้เขาอย่างเบามือ หมอก้องยิ้มชื่นชม
“นะโมเก่งมาก มีสติ และปฏิบัติถูกต้องตามขั้นตอนการช่วยชีวิตเลย คุณเชตะวันถึงได้ปลอดภัย มาถึงมือหมอได้ทันเวลา”
“ขอบคุณค่ะหมอ ไม่ใช่เพราะเนตรหรอกค่ะ แต่คุณเชต ยังดวงแข็งมากกว่า”
หมอก้องส่ายหน้า
“อย่าถ่อมตัวไปเลยนะโม ถ้าไม่ได้นะโมช่วยเขาไว้ ป่านนี้คุณเชตก็คงตาย ไม่ก็นอนเป็นผักเพราะสมองขาดออกซิเจนไปแล้ว”
“แล้วทำไมเขาถึงหยุดหายใจไปอย่างงั้นละคะหมอ”
“โรคต้องสาปที่เขาเป็นไง เดี๋ยวหมอรีบออกไปบอกพ่อคุณเชตก่อนดีกว่าว่าเขาปลอดภัยแล้ว”
หมอก้องเดินออกไปจากห้องฉุกเฉิน ที่มุมห้องมืดๆ ผีเฟื่องยืนมองดูเชตะวันอยู่ด้วยสีหน้ารู้สึกผิดเป็นอย่างยิ่งแต่ไม่กล้าเข้าใกล้
“ข้าขอโทษชุน ข้าไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายเจ้า...ข้าขอโทษ”
แล้วผีเฟื่องก็มีสีหน้าโกรธขึ้นมาอีกเมื่อเห็นเนตรอัปสรก้มลงพูดกับเชตะวันอย่างอ่อนโยน
“คุณปลอดภัยแล้วค่ะ และตราบใดที่ฉันยังเป็นพยาบาลประจำตัวของคุณ ฉันจะดูแลคุณอย่างดีที่สุด จะไม่ยอมให้คุณตายต่อหน้าฉันเป็นอันขาด ฉันสัญญาค่ะ...”
ผีเฟื่องชิงชัง
“อีนวล”
เนตรอัปสรได้ยินเหมือนเสียงคนแว่วๆปลายๆหูก็เหลียวมอง รัศมีพระจากคอขอเธอก็สว่างวาบขึ้นมาด้วย ผีเฟื่องหายตัวไปทันที
รถคันหนึ่งแล่นมาตามทางลูกรัง โดยเปิดแค่ไฟหรี่ พายัพนั่งรถมากับพงษ์
“เจ็บใจจริงโว๊ย ทำไมไอ้เชตมันไม่ตายไปซะนะ ชาติที่แล้ว...ฉันกับมันทำเวรทำกรรมอะไรกับมันมานะ ชาตินี้มันถึงได้เกิดมาจองล้างจองผลาญฉันจริงๆ นี่ถ้าไม่มัน สมบัติทั้งหมดของพ่อก็ต้องเป็นของฉันคนเดียว”
แล้วพายัพก็ชะงัก มองไปข้างหน้าเมื่อเห็นมีตำรวจตั้งด่านอยู่ข้างหน้า ไกลๆ
“เฮ้ย...ตำรวจ”
พงษ์ตกใจ
“เอาไงดีเจ้านาย”
พายัพคิดหาทางออกอยู่ พงษ์ล้วงหยิบปืนขึ้นมากระชับในมือ พายัพเหลือบมองแล้วหน้าเครียด รู้ว่าพงษ์เตรียมสู้กับตำรวจ ไม่ยอมถูกจับแน่
“สู้ไปก็ตายเปล่าโว๊ยไอ้พงษ์”
“แล้วจะเอาไงดีล่ะครับเจ้านาย”
พายัพตัดสินใจ
“จอด ดับไฟหน้าก่อน”
พงษ์ดับไฟหน้ารถตามคำสั่งพายัพ แล้วพุ่งหัวรถเข้าจอดข้างทางอย่างรวดเร็ว
ตำรวจ มองไปที่ถนนเห็นรถของพงษ์ที่เพิ่งจะดับไฟหน้าแล้วพุ่งลงจอดข้างทางพอดี ตำรวจชี้กันให้ดูแล้วปรึกษากันเบาๆว่าเอาไงดี แล้วเห็นตำรวจ 4-5 คน แยกย้ายขึ้นรถแล้วขับพุ่งกันไปที่รถพงษ์
“เจ้านาย ตำรวจมันเห็นเราอ้ะ เอาไงดีครับ”
พายัพหน้าเครียด วิ่งไปที่ริมทาง เขาเห็นแม่น้ำในความมืด
“เอา ของ ทิ้งน้ำให้หมด”
พงษ์รีบช่วยกันกับพายัพ หอบเอายาเสพติดที่แพ็คเป็นห่อๆเรียบร้อยโยนลงแม่น้ำทันที ห่อยาเสพติดหล่นลงในน้ำแล้วจมหายไปอย่างรวดเร็ว สองคนช่วยกันโยนจนหมด เป็นจังหวะเดียวกันกับที่รถตำรวจพุ่งเข้ามา แสงไฟหน้าจากรถตำรวจจับที่พายัพกับพงษ์
“หยุด”
พายัพหันมาทำหน้าซื่อใส่ตำรวจ เอามือป้องหน้าจากแสงไฟรถ
“มีอะไรหรือครับคุณตำรวจ”
“อ้าว...คุณพายัพ มายืนทำอะไรอยู่มืดๆกันแถวนี้น่ะครับ”
“อ๋อ...ผมเพิ่งกลับจากพาแขกของรีสอร์ตไปส่งที่ท่ารถทัวร์น่ะครับแต่ปวดฉี่ซะก่อน เลยต้องแวะลงมายิงกระต่ายข้างทาง มีอะไรกันหรือครับคุณตำรวจ”
“มีสายแจ้งมาว่า...คืนนี้จะมีการส่งยากัน คุณพายัพถ้าไม่มีอะไรแล้วรีบกลับเข้ารีสอร์ตเถอะครับ เดี๋ยวไปปะเข้ากับพวกค้ายา อาจซวยได้ ไอ้พวกนี้มันยิ่งโหดเกินคนอยู่ด้วย”
“ครับๆ ขอบคุณครับหมวด”
พายัพกับพงษ์ก็เดินกลับขึ้นรถ ล่ำลาตำรวจอย่างยิ้มแย้มแจ่มใส
พอรถพงษ์เคลื่อนตัวออกห่างจากตำรวจ พายัพก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นโหดเหี้ยมขึ้นมาอีกครั้ง เขาอารมณ์เสียมาก
“ซวยฉิบหาย”
พงษ์กังวล
“ไม่มีของไปส่งลูกค้าคืนนี้แล้ว เอาไงดีครับเจ้านาย”
พายัพหน้าเครียด
พายัพคุยโทรศัพท์อยู่ที่บ้านพักในรีสอร์ต
“ก็มันจำเป็นนี่ครับ ขืนผมไม่โยนของลงน้ำ คงได้โดนตำรวจจับแน่”
อาทิตย์กำลังพูดโทรศัพท์กับพายัพอยู่มุมหนึ่งในบ้าน บวรเดินผ่านมาพอดีเลยหยุดแอบฟัง
“เออ...งั้นแกโทรไปแจ้งลูกค้าว่า...ขอเลื่อนวันส่งของไป 2 วัน แล้วคืนพรุ่งนี้แกหาคนลงไปงมเอาห่อยาขึ้นมาให้หมดให้ได้”
“ครับ”
บวรตาโตด้วยความตกใจ เมื่อแอบรู้ความลับของ 2 พ่อลูกเข้าโดยบังเอิญ
“อ้อ...แล้วแกหา ของขวัญเด็ดๆสักชิ้น ส่งไปให้ลูกค้าด้วยเป็นการขอโทษเขาที่เราส่งของ ให้ช้ากว่าที่กำหนด”
“ครับพ่อ...”
อาทิตย์กดตัดสาย บวรนึกได้ จะรีบเดินหลบออกไปเพราะกลัวอาทิตย์จะเห็นว่ามาแอบฟังอยู่ แต่บังเอิญไปเตะขาเก้าอี้จนเกิดเสียงดังขึ้น อาทิตย์หันขวับไปมองทางที่มาของเสียง แล้ววิ่งไปดูทันทีแต่ก็ไม่พบใครแล้ว อาทิตย์กังวลอย่างยิ่ง...บวรนอนหมอบหลบอยู่หลังเคาน์เตอร์ กลั้นหายใจเพราะกลัวอาทิตย์รู้ว่าเขาแอบอยู่ตรงนี้ อาทิตย์ไม่เห็นใครก็เดินออกไป บวรลอบถอนใจด้วยความโล่งอก แล้วรีบหลบออกไปอีกทาง
บวรรีบเดินจะกลับไปที่เรือนคนใช้ แล้วก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อจู่ๆอาทิตย์ก็โผล่พรวดเข้ามาขยุ้มคอเสื้อเขาไว้ แล้วดันตัวไปกระแทกติดข้างฝาอย่างแรง
“มึงได้ยินที่กูพูดโทรศัพท์กับไอ้พายัพเมื่อกี้หมดเลยใช่มั๊ย ไอ้บวร”
บวรตาเหลือกลานด้วยความกลัว ไม่ยอมตอบ อาทิตย์ตะคอกถามซ้ำพร้อมกับเอาปืนขึ้นจ่อเข้าที่ใต้คางของบวร สายตาเยือกเย็น
“ใช่มั๊ย”
บวรจำใจพยักหน้ายอมรับด้วยความกลัว อาทิตย์ขึ้นไกปืน เสียงขึ้นไกยิ่งทำให้บวรตัวสั่นด้วยความกลัวมากยิ่งขึ้น
“กูจะไม่ฆ่ามึง เพราะเห็นแก่ว่ามึงเป็นข้าเต่าเก่าเลี้ยงของกู แต่ถ้ามึงเอาเรื่องที่มึงรู้ว่ากูกับไอ้ยัพทำอะไรไปบอกใครละก็ กูจะฆ่ามึงกับอีนังอนงค์ หลานสาวของมึงให้ตายตกไปตามกันเลยทีเดียว เพราะฉะนั้น จงหุบปากมึงให้สนิท ห้ามบอกเรื่องนี้กับใครเป็นอันขาด โดยเฉพาะไอ้เชต เข้าใจมั๊ย”
บวรพยักหน้ารับ น้ำตาไหลด้วยความกลัวจับขั้วหัวใจ อาทิตย์ปล่อยคอ
“ไปได้แล้ว”
บวรลนลานออกไปทันที อาทิตย์มองตาม หน้าเหี้ยมเกรียม
บวรเดินหน้าเครียดเข้ามานั่ง อนงค์เดินผ่านมาเห็นอาการของบวรก็แปลกใจ รีบเข้ามาหาทันที
“น้า...เป็นอะไรไปน่ะ”
บวรส่งภาษาใบว่าเปล่า
“เปล่าอะไรล่ะ หน้าตาน้าเหมือนตกใจอะไร ใครทำอะไรน้าเหรอ”
บวรส่งภาษาใบ้ตอบไม่มีใครทำอะไรฉัน แกอย่ายุ่งกับฉันเลย แล้วเขาก็ลุกเดินหนีเข้าห้องตัวเองไปเลย อนงค์มองตามงงๆ
“น้าบวรเขาเป็นอะไรของเขานะ...”
อนงค์ ไม่เข้าใจว่าบวรเป็นอะไรไป
เช้าวันใหม่...เชตะวัน ค่อยๆรู้สึกตัวตื่นขึ้น กวาดตามองไปรอบๆ แล้วชะงักเมื่อเห็นเนตรอัปสรนอนฟุบหน้าหลับอยู่ข้างเตียงนั่นเอง แล้วพอเขาขยับตัวแค่นิดเดียวเธอก็รู้สึกตัวตื่น รีบหันมาดูอาการทันที เชตะวันรีบแกล้งหลับตาลงทันควันทำเป็นว่ายังไม่ตื่น เนตรอัปสรเห็นเขาหลับไปนานเหลือเกิน เลยชักห่วงเอาหูไปแนบที่อกของเขาฟังหัวใจว่ายังเต้นอยู่รึเปล่า เชตะวันแอบหรี่ตาขึ้นมองว่าเธอทำอะไร พอเห็นว่ากำลังเอาหูฟังหัวใจของเขาเต้นอยู่ เชตะวันก็อมยิ้มแต่พอเธอหันไปมองหน้า เขาก็รีบทำหลับตานิ่งเหมือนยังไม่ตื่น เนตรอัปสรชะโงกหน้าไปมองหน้าใกล้ๆ เข้าใจว่าเขายังไม่ตื่นจริงๆ เธอถอนใจเป็นห่วงยกพระที่ห้อยคออยู่ขึ้นมาพนมมือไหว้
“ขอคุณพระคุณเจ้าคุ้มครองคุณเชตะวัน...ให้หายเจ็บหายไข้โดยเร็ววันด้วยเถิ้ด...สาธุ”
เนตรอัปสรหันไปมองที่หน้าประตูห้อง เห็นปารมีกับทิพย์มายืนกวักมือเรียกอยู่ เธอจึงลุกเดินออกไปเปิดประตูห้อง ทิพย์กับปารมียื่นหน้าเข้ามามองเชตะวันอย่างสนใจและอยากรู้มาก
“เนี่ยเหรอ...คนไข้โรคต้องสาปของนะโมน่ะ” ปารมีกระซิบถาม
ทิพย์ตาวาวโรจน์
“ขนาดป่วยๆยังหล่อเลยเนอะ”
เนตรอัปสรรีบจุ๊ปากแล้วรีบลากตัวปารมีกับทิพย์ออกไปทันที พอสามสาวพ้นไปแล้ว เชตะวันก็ค่อยๆลืมตาขึ้นมาใหม่ มองตามหลังเนตรอัปสรไปแววตาอ่อนโยนลง
“คุณเป็นห่วงผมจริงๆเหรอเนี่ย”
เชตะวัน เริ่มหลงรักเนตรอัปสรแล้วโดยไม่รู้ตัว
เนตรอัปสรลากปารมีกับทิพย์มาที่ทางเดิน ทิพย์โวย
“นะโมลากเราออกมาทำไมเนี่ย จะขอดูหน้าคนไข้หล่อๆของเธอให้เต็มตาสักหน่อย”
“ก็ฉันกลัวเขาตื่น”
ปารมีสงสัย
“แล้วนี่นะโมเฝ้าเชาอยู่คนเดียวทั้งคืนเลยเหรอ”
เนตรอัปสรพยักหน้า ทิพย์แปลกใจ
“แล้วไม่มีใครมาเยี่ยมเขาเหรอ”
เนตรอัปสรส่ายหน้า
“เขามีแต่พ่อกับพี่ชาย แต่ท่าทางจะไม่ถูกโรคกันเท่าไหร่”
ปารมีปลงๆ
“พวกคนรวยๆนี่ก็แปลกเนอะ ดูไม่ค่อยรักใคร่กันเท่าไหร่ ยิ่งรวยมากก็ยิ่งหาคนจริงใจไม่ได้”
ทิพย์กอดเนตรอัปสรกับปารมีแน่น
“ไม่เหมือนพวกเราเนอะ ถึงไม่ได้ร่ำรวยอย่างเชา แต่เราก็รักกัน...รักกัน...”
ทั้งสามยิ้มให้แก่กันอย่างรักใคร่ แล้วเนตรอัปสรก็ทักขึ้น
“อ้าว...แล้วนี่เธอสองคนไม่ไปเข้าเวรกันเหรอ”
ปารมีดูนาฬิกา
“ว๊าย จริงด้วย เราต้องไปแล้ว เร็ว ทิพย์”
“ฉันไปก่อนนะ นะโม”
ปารมีกับทิพย์ก็วิ่งโบกมือบ๋ายบายออกไป เนตรอัปสรยิ้มขำแล้วเดินกลับไปที่ห้องเชตะวัน
เชตะวันนั่งอยู่บนเตียง คิดถึงเนตรอัปสรอยู่ พอเห็นเธอเดินกลับเข้ามาในห้อง เขาก็ยิ้มทันที เนตรอัปสรเห็นเขานั่งยิ้มก็ดีใจ
“คุณฟื้นแล้ว...”
เนตรอัปสรรีบกดสายอินเตอร์คอมข้างเตียงคนไข้
“ช่วยโทรตามหมอก้องทีค่ะ บอกว่าคนไข้ที่ชื่อคุณเชตะวันรู้สึกตัวแล้ว...”
เธอกดปิดสายหันมาเจอเชตะวันมองเธอไม่วางตา
“คุณเป็นห่วงผมจริงๆเหรอ”
“ฉันเป็นพยาบาลนะ ไม่ใช่เพชฌฆาต จะได้อยากเห็นคนตายต่อหน้าต่อตาน่ะ”
เชตะวันส่ายหน้า ขำๆ
“ปากดีไม่มีตกเลย”
ทันใด...แซลลี่ก็เปิดประตูห้องเข้ามา เนตรอัปสรรีบหลบทางให้ แซลลี่ไม่สนใจพุ่งเข้าไปกอดเชตะวัน
“เชตเป็นยังไงบ้างคะ ทำไมถึงได้เคราะห์ซ้ำกรรมซัดอย่างนี้ เพิ่งจะถูกยิงมาหยกๆ ยังมาเป็นอย่างนี้อีก”
แซลลี่ก็หันไปเห็นเนตรอัปสรที่ยืนเงียบๆอยู่ที่มุมห้อง เธอเข้าไปชี้หน้า
“แกเป็นพยาบาลประจำตัวเชตยังไง ปล่อยให้เขาหยุดหายใจไปได้น่ะ เสียเงินจ้างจริงๆ เอ๊ะ หรือว่าแกซื้อใบปริญญาพยาบาลมา”
เนตรอัปสรโมโห
“ฉันเรียนจบพยาบาลมาจริงๆนะคะ และฉันก็ทำทุกอย่างเพื่อช่วยชีวิตคุณเชตอย่างสุดความสามารถของฉันแล้ว ไม่ใช่แค่ดีแต่พูดอย่างคนบางคน”
แซลลี่โมโห พุ่งเข้าตบผั๊วะ เนตรอัปสรเซไปเพราะไม่ทันตั้งตัว แต่พอตั้งตัวได้ก็หันขวับมาจ้องหน้าแซลลี่ตาลุกวาวอย่างโมโหสุดขีด
“มองหน้าฉันอย่างนี้ จะหาเรื่องฉันอีกใช่มั๊ย ได้”
แซลลี่พุ่งเข้าตบอีก แต่คราวนี้เนตรอัปสรตั้งตัวได้แล้วเลยยกมือขึ้นกันแล้วผลักแซลลี่ออกไปเต็มแรง แซลลี่นึกไม่ถึงถึงกับผงะไปเลยยิ่งโมโห
“อ๊าย...แกกล้าทำฉันเหรอ”
แซลลี่พุ่งกลับเข้าไปตบอีก เนตรอัปสรล้มลง แซลลี่โดดขึ้นคร่อมแล้วตบไม่ยั้ง เชตะวันพยายามห้าม
“แซลลี่ หยุดเดี๋ยวนี้นะ”
แซลลี่ไม่ฟัง ตบเนตรอัปสรชุลมุน เชตะวันพยายามจะลงจากเตียงเพื่อไปห้ามแต่ก็ไม่มีแรงพอ สิทธิ์เปิดประตูห้องเข้ามาเห็นความชุลมุนในห้องพอดี
“เฮ้ย”
สิทธิ์รีบเข้าไปดึงตัวแซลลี่ออกจากเนตรอัปสร เชตะวันตะโกนสั่ง
“ไอ้สิทธิ์ พาแซลลี่ออกไปก่อนไป”
สิทธิ์ลากตัวแซลลี่ออกจากห้องไปอย่างทุลักทุเล
สิทธิ์ลากตัวแซลลี่ออกมาที่มุมหนึ่งอย่างยากลำบาก
“ปล่อยฉันนะสิทธิ์”
“ไม่ปล่อย ขืนปล่อย เธอก็ต้องวิ่งเข้าไปตบเขาอีกแน่ๆ”
“ก็มันอยากพูดดูถูกฉันก่อนทำไมล่ะ”
“แม่นั่น...มันเป็นพยาบาลส่วนตัวคนใหม่ของนายเชตไม่ใช่เหรอ เขาจะกล้ามาพูดดูถูกแซลลี่ทำไม ถ้าไม่ใช่ว่าแซลลี่เริ่มก่อนน่ะ”
“ก็มันอยากมาเถียงฉันทำไมล่ะ ฉันก็ต้องสั่งสอนมันน่ะสิ”
สิทธิ์จ้องหน้า
“สั่งสอน หรือว่าแสดงอำนาจให้รู้ว่าใครเป็นใครกันแน่ฮึแซลลี่ รู้มั๊ย...ยิ่งเธอทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของนายเชตมันมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งจะหนีเธอมากเท่านั้นละ ผู้ชายอย่างนายเชตน่ะ มันไม่ยอมให้ใครจับมันง่ายๆหรอก แต่ผมน่ะ ยอมให้แซลลี่จับแต่โดยดีเลยน๊า”
พูดจบสิทธิ์ก็ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ทำท่าเหมือนจะจูบ แซลลี่เลยเงื้อมือจะตบ แต่สิทธิ์คว้ามือไว้ได้ก่อน แซลลี่กระชากมือกลับอย่างแรง
“บ้า”
แซลลี่ก็เดินกระทืบเท้าปังๆออกไป สิทธิ์มองตามหลังไปแล้วยิ้มอย่างหมายมั่นว่า สักวันแซลลี่จะต้องเป็นเมียเขา
เนตรอัปสรยังนั่งเจ็บเนื้อเจ็บตัวอยู่ที่พื้นห้องลุกไม่ขึ้น เชตะวันค่อยๆลงจากเตียงมาหา
“เจ็บมากมั๊ย”
เชตะวันเอื้อมมือจะไปเช็ดเลือดที่มุมปากให้ แต่เนตรอัปสรปัดมือเขาออก
“ฉันขอลาออกจากการเป็นพยาบาลส่วนตัวของคุณ”
เนตรอัปสรลุกเดินออกจากห้องไปเลย เชตะวันหน้าเครียด จะตามแต่ยังเดินไม่ค่อยไหว
เลยหยิบเอาที่กดเรียกพยาบาลขึ้นมากดๆ อย่างคนใจร้อน
นางมาร ตอนที่ 13 (ต่อ)
เนตรอัปสรเดินอารมณ์เสียกลับมาที่ห้องพัก เดินไปดูแผลที่ถูกตบที่หน้ากระจกเห็นรอยฟกช้ำดำเขียวเต็มหน้า เธอเจ็บใจ
“เกิดมาก็เพิ่งเคยถูกตบครั้งแรกในชีวิตเลยนะเนี่ย...อูย...เจ็บจริง...ยายแซลลี่นี่ท่าจะเส้นลายมือขาดซะก็ไม่รู้”
เสียงมือถือของเธอดังขึ้น เธอเดินไปหยิบมือดูเบอร์โทรเข้าแล้วตาโต
ในห้องฝ่ายบุคคลของโรงพยาบาล...เนตรอัปสรพูดกับผู้จัดการฝ่ายบุคคลอย่างจริงจัง
“ไม่ค่ะ ดิฉันจะไม่กลับไปทำงานเป็นพยาบาลส่วนตัว ให้คุณเชตะวันอีกแล้ว ผู้จัดการช่วยหางานพยาบาลพิเศษ คนไข้อื่นให้ดิฉันแทนทีได้ไม๊คะ”
“ไม่ได้ คุณจะต้องกลับไปเป็นพยาบาลส่วนตัว ของคุณเชตะวันต่อไป”
“ทำไมละคะ”
“เพราะเขาจำเพาะเจาะจงตัวคุณมา ถ้าคุณกลับไปเป็นพยาบาลส่วนตัวให้เขา เขาจะบริจาค เงินให้โรงพยาบาลเราอีก 5 ล้าน เพราะฉะนั้น...คุณต้องกลับไป ถ้าคุณไม่กลับไป ผมจะไล่คุณออก เพราะถือว่าคุณขัดคำสั่งของทางโรงพยาบาล และละทิ้งคนไข้...”
เนตรอัปสรเม้มปากแน่น
เนตรอัปสรนั่งหน้าเซ็งอยู่ที่ม้านั่งของโรงพยาบาล ปารมีกับทิพย์วิ่งเข้ามา ปารมีรีบถามอย่างตกใจ
“นะโม ฉันได้ยินมาว่าเธอ...”
เนตรอัปสรสวนทันที
“ที่ได้ยินมาน่ะ จริงทุกอย่าง...ปาน”
ทิพย์เป็นห่วง
“แล้วเธอจะเอายังไงต่อล่ะ นะโม”
เนตรอัปสรถอนใจเซ็งๆ
เชตะวันหงุดหงิดอยู่บนเตียง เนตรอัปสรเดินหน้าตึงเข้ามา พอเชตะวันเห็นก็ยิ้มออก แต่เนตรอัปสรไม่มองหน้าเขาเลย เธอเดินเอาโต๊ะเข็นสำหรับวางอาหารมาวางข้างเตียงจัดโน่นนี่ เตรียมให้เขากินข้าวอย่างรู้หน้าที่
“นึกว่าคุณจะไม่กลับมาซะอีก”
“คนจนอย่างฉัน มีทางเลือกในชีวิตไม่มากนักหรอก กินยาก่อนอาหารก่อนค่ะ”
เนตรอัปสรส่งถ้วยยากับแก้วน้ำให้ เชตะวันมองถ้วยยากับแก้วน้ำในมือของเธอแล้วส่ายหน้า
“ฉันไม่มีแรง เธอป้อนฉันยาฉันหน่อยสิ”
เนตรอัปสรรู้ว่าเขาแกล้ง ก็เม้มปากแต่ก็ป้อนยา
“เบาๆสิคุณ ปากผมจะพังหมดแล้ว”
เนตรอัปสรไม่พูดด้วย ป้อนยาต่อตามหน้าที่ ขณะเดียวกันนั้นมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น หมอก้องก็เดินเข้ามา เนตรอัปสรแนะนำน้ำเสียงหมางเมิน
“หมอก้อง เป็นคนรักษาคุณตอนที่คุณอยู่ในห้องฉุกเฉินน่ะค่ะ”
“ขอตรวจอาการเช้านี้หน่อยนะครับ”
เนตรอัปสรถอยห่างออกไป หมอก้องเข้าไปตรวจดูอาการของเชตะวัน
“อาการโดยรวมดูปกติดีแล้วนะครับ คุณเชตะวันโชคดีมากนะครับที่ตอนเกิดอาการ นะโม...เอ้อ...เนตรอัปสรอยู่ด้วยพอดี ไม่อย่างนั้น...อันตรายมากครับ”
พูดจบหมอก้องก็หันมายิ้มให้เนตรอัปสร ตาหวาน เชตะวันมองอย่างไม่พอใจ
“แต่ผมอยากให้คุณเชตะวันนอนพัก ดูอาการอีกสักคืนหนึ่งนะครับ จะได้แน่ใจว่าไม่เป็นอะไรแล้วจริงๆ”
หมอก้องเดินออกไป แต่ไม่วายหันมามองเนตรอัปสรตาหวานอีกจนเดินออกไป
“หมอนั่น แฟนคุณเหรอ” เชตะวันถามทันที
“เปล่า”
“ผมไม่เชื่อ ผมเห็นเขามองคุณตาหวานเยิ้มเลย ผมว่า...คุณจับหมอเป็นแฟนได้ก็ดีนะ พวกหมอน่ะ รวยทุกคนละ คุณจะได้สบาย จะได้ไม่ต้องทำงานงกๆๆแบบนี้ไง”
เนตรอัปสรโมโห
“ฉันกับหมอก้องเป็นแค่เพื่อนกัน และฉันไม่เคยคิดจะจับหมอเพื่อหวังสบาย ฉันหาเลี้ยงตัวเองได้ และถ้าคุณยังไม่เลิกพูดจาดูถูกฉัน ต่อให้คุณบริจาคเงินให้โรงพยาบาลอีกกี่ล้าน ฉันก็จะไม่กลับมาอีก เข้าใจมั้ย”
พูดจบเนตรอัปสรก็เดินออกไปเลย เชตะวันมองตามครุ่นคิด...เนตรอัปสรเดินออกมายืนสงบสติอารมณ์อยู่หน้าห้องอย่างหงุดหงิดมาก
พายัพเตรียมตัวจะกลับกรุงเทพ หันไปถามพงษ์
“แกโทรแจ้งลูกค้าเรื่องขอเรื่องวันส่งยาแล้วรึยัง”
“เรียบร้อยแล้วครับนาย ลูกค้าบ่นอู้เลยเรื่องที่เราผิดนัดเมื่อคืน”
“ช่วยไม่ได้ ใครจะไปนึกว่าจะเจอด่านตำรวจล่ะ ยังไงๆเราก็ต้องเอาตัวรอดก่อน คนอย่างฉัน ตายเสียดีกว่าถูกตำรวจจับโว๊ย”
พายัพเตรียมจะขึ้นรถ
“ฉันกลับกรุงเทพฯก่อนนะ ไม่งั้นคนจะสงสัยเอาได้ว่าน้องชายป่วยปางตาย ฉันเป็นพี่ชายไม่โผล่หน้าไม่เยี่ยมเลยมันก็จะยังไงอยู่ งมของได้แล้วโทรไปรายงานฉันด้วยนะไอ้พงษ์”
“ครับนาย”
พายัพขับรถออกไป
เชตะวันนั่งครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่บนเตียง สักครู่ก็ลงจากเตียงจะใส่เสื้อผ้าปกติเพื่อกลับบ้าน เนตรอัปสรเดินกลับเข้ามาก็มองงงๆ
“นั่นคุณจะใส่เสื้อไปไหน”
“ผมจะกลับบ้าน”
“หมอเพิ่งสั่งให้คุณพักดูอาการที่โรงพยาบาลต่ออีกคืนหนึ่ง คุณไม่ได้ยินรึไง”
เชตะวันยังคงแต่งตัว
“ได้ยิน แต่ผมจะกลับ”
“คุณกลับไม่ได้นะ”
เนตรอัปสรพยายามยื้อแย่งไม่ให้เชตะวันใส่เสื้อ แต่เขาก็ดึงดันจะใส่เสื้อให้ได้ ชุลมุนถึงเนื้อถึงตัวกันอยู่สักพัก เนตรอัปสรก็รู้สึกตัวชะงักมองเขา เชตะวันก็มองหน้าเธอไม่หลบ เนตรอัปสรรีบขยับตัวออกห่าง แล้วเดินหนีไปยืนกดโทรศัพท์หาหมอก้องทันที เชตะวันทำไม่สนใจแต่งตัวต่อ แต่ความจริงเงี่ยหูฟัง
“ก็เขาดื้อจะกลับบ้านให้ได้เลยค่ะหมอ ทำยังไงดีคะ...หมอก็รู้ คนรวย พูดอะไรก็ไม่ฟัง ค่ะๆ”
เนตรอัปสรวางสาย เชตะวันยิ้มเยาะ
“โทรไปฟ้องแฟนหมอของคุณเหรอ แล้วแฟนหมอของคุณเขาว่าไงล่ะ”
เนตรอัปสรไม่พอใจ
“ฉันบอกแล้วไงว่าฉันกับหมอก้องเป็นแค่เพื่อนกัน แล้วเขาก็สั่งให้ฉันมัดคุณไว้กับเตียง”
เชตะวันหน้าเหวอ เนตรอัปสรเลยอดขำไม่ได้
“หมอว่าถ้าคุณอยากกลับจริงๆ ก็ตามใจ แต่ให้ฉันตามไปดูแลคุณด้วย”
“ก็ดี เพราะผมตัดสินใจแล้วว่าจะจ้างคุณดูแลผมตลอด 24 ชั่วโมงเลย”
คราวนี้เนตรอัปสรเป็นฝ่ายหน้าเหวอบ้าง เชตะวันยิ้มสะใจ
เนตรอัปสรประคองเชตะวันเดินเข้ามาในบ้าน อนงค์กับบวรรีบวิ่งออกมาต้อนรับอย่างดีใจ
“อ๊าย...คุณเชตหายดีแล้วเหรอคะ คุณหมอถึงให้กลับบ้านแล้วน่ะค่ะ”
เชตะวันกับเนตรอัปสรตอบพร้อมกัน
“ดีแล้ว / ยัง”
อนงค์กับบวรงง ทำไมเชตะวันกับเนตรอัปสรพูดไม่ตรงกัน เนตรอัปสรมองค้อนๆ
“เจ้านายของอนงค์ยังไม่หายดีหรอกจ้ะ แต่ดื้อจะกลับบ้านให้ได้ หมอเลยต้องยอม”
อนงค์หน้าเหวอ
“อ้าว...”
“พ่อฉันอยู่ไหน”
“ไปตีกอล์ฟค่ะ”
เชตะวันเบ้หน้า
“เจริญละ ลูกเจ็บจะเป็นจะตาย แต่พ่อกลับออกไปตีกอล์ฟ”
เนตรอัปสรแอบสงสารเชตะวัน รีบประคองเขาไปที่ห้องนอน บวรเข้าช่วยอีกข้าง อนงค์หิ้วข้าวของตามหลัง แล้วเห็นเงาของใครบางคนเดินตามมาข้างหลังจากหางตา อนงค์เหลียวขวับไปมองแต่ไม่เห็นมีใคร บวรเห็นท่าทางของอนงค์แล้วทำท่าสงสัย มีอะไร
“ฉันรู้สึก...เหมือนว่า...มีใครเดินตามหลังเราน่ะน้า” อนงค์กระซิบตอบบวร
บวรกวาดตามองแล้วส่งภาษาใบ้ ฉันไม่เห็นมีใคร
“ก็เพราะมันไม่มีใครน่ะสิน้า ฉันถึงได้...ขนลุก”
พูดจบอนงค์ก็รีบทำท่าขนลุกขนพอง แล้วรีบก้มหน้าก้มตาขนของเดินตามหลังเนตรอัปสรไปเร็วๆ ผีเฟื่องเดินตามไป
เนตรอัปสรประคองเชตะวันมาถึงห้อง ผีเฟื่องยืนรออยู่ในห้องอยู่แล้ว ไม่เข้าใกล้เนตรอัปสรเลย แต่ยืนอยู่ที่มุมห้องเงียบๆ อนงค์รู้สึกว่ามีคนยืนอยู่ ก็เหลียวมองที่มุมห้องที่ผีเฟื่องยืนอยู่ ผีเฟื่องหายตัวไป
อนงค์ไม่เห็นใครอีก เนตรอัปสรหันมาบอกอนงค์ และบวร
“จะไปทำอะไรก็ทำเถอะจ้ะ เดี๋ยวฉันดูแลคุณเชตต่อเอง”
อนงค์รีบดึงแขนบวรให้รีบเดินออกไปเร็วๆทันที ปล่อยให้เนตรอัปสรดูแลเชตะวันต่อไปตามลำพัง
อนงค์ลากแขนบวรกลับเข้ามาในครัว แล้วนินทาทันที คนใช้อื่นๆหันมามองอนงค์อย่างสนใจ
“น้าๆ น้ารู้สึกเหมือนอย่างฉันมั้ยล่ะ”
บวรส่งภาษาใบ้ถาม รู้สึกอะไร
“ก็รู้สึกเหมือนมีใคร หรืออะไร วนๆเวียนๆอยู่ใกล้ๆคุณเชตน่ะสิ”
บวรส่ายหน้าไม่รู้สึก
อนงค์ขัดใจ
“แต่ฉันรู้สึกนะ ฉันรู้สึกตั้งแต่คุณเชตกลับมาจากไปเที่ยวป่าคราวนี้แล้ว”
นันคิดๆ
“นังนงค์ เป็นไปได้มั้ยว่าตอนที่คุณเชตไปเที่ยวป่า มีใครแอบตามคุณเชตมาจากป่าด้วย”
“อ๊าย...จริงด้วย แกพูดน่าคิด” อนงค์ทำท่าขนลุก “อึ๊ย น่ากลัว...ไม่ได้แล้วๆ ฉันจะต้องไปหาพระมาใส่ติดตัวซะแล้วสิ”
ทุกคนกังวล ยกเว้นบวร
เชตะวันเปลี่ยนใส่ชุดอยู่บ้านเรียบร้อยแล้ว พายัพเดินเข้ามาหน้าตาเป็นห่วงน้องชายมาก
“ไอ้เชต เป็นยังไงบ้าง แล้วนี่แกหายดี หมอให้ออกจากโรงพยาบาลได้แล้วเหรอ ฉันเพิ่งกลับมาจาก รีสอร์ต กำลังจะออกไปเยี่ยมแกที่โรงพยาบาลพอดีเลย”
เชตะวันหน้าตาเอาเรื่องขึ้นมาทันที
“เลิกทำท่าเป็นห่วงผมได้แล้วพี่ยัพ ผมเบื่อดูพี่เล่นละครเต็มทีแล้ว ผมรู้ว่าความจริงพี่อยากให้ผมตายๆไปเลยมากกว่า”
“พูดอะไรอย่างงั้นไอ้เชต เราเป็นพี่น้องกันนะ”
เชตะวันตะโกนใส่พายัพ
“พี่ไม่เคยเห็นผมเป็นน้อง พี่เห็นผมเป็นตัวมารขวางความสุขของพี่ต่างหากล่ะ”
เนตรอัปสรรีบบอกพายัพ
“ออกไปก่อนเถอะค่ะคุณพายัพ”
พายัพยังมองหน้าเชตะวันเหมือนเป็นห่วงอยู่มาก เนตรอัปสรเลยผลักให้เขาออกไป พายัพพูดอ่อนหวานกับเนตรอัปสร
“ผมฝากคุณดูแลน้องชายผมด้วยนะครับ”
เชตะวันเห็นพายัพพูดเสียงหวานกับเนตรอัปสรก็อารมณ์ขึ้นคว้าของเขวี้ยงใส่พี่ชายทันที
“ออกไป”
พายัพถอยร่นออกจากห้องไป เนตรอัปสรรีบปิดประตูป้อง
“พอทีเถอะค่ะคุณเชต คุณพายัพเขาก็แค่แวะมาเยี่ยมคุณเท่านั้น”
เชตะวันตะคอก
“คุณไม่รู้เรื่องอะไร อย่าพูดดีกว่าน่า”
เนตรอัปสรเม้มปากโมโห จะเดินออกไป
“นั่นคุณจะไปไหน”
“จะกลับบ้าน”
“แต่ผมบอกแล้วไงว่าต่อจากนี้ไป ผมจะจ้างคุณตลอด 24 ชั่วโมง ถ้าคุณไม่รับ ผมจะยกเลิกการบริจาคเงิน 5 ล้านให้โรงพยาบาลของคุณ”
เนตรอัปสรถอนใจดังๆ
“คุณมันก็ดีแต่เอาแต่ใจตัวเองอย่างงี้ ฉันจะกลับบ้าน ไปเก็บเสื้อผ้า ฉันอยู่กับคุณตั้งแต่เมื่อวานจนเดี๋ยวนี้ ฉันยังไม่ได้เปลี่ยนเสื้อเลย”
เชตะวันนิ่งอึ้งไป
“รีบไปรีบมาล่ะ ถ้าระหว่างที่คุณไม่อยู่ เกิดผมหยุดหายใจไปอีก ผมจะถือว่าเป็นความผิดของคุณ”
เนตรอัปสรทนไม่ไหว ตีหน้ายักษ์ ร้องฮึ่ย ใส่เขาอย่างไม่เกรงใจ แล้วเดินออกไป
เนตรอัปสรเดินออกมาจากห้องเชตะวันแล้วถอนใจดังๆ พายัพเดินเข้ามา
“ผมต้องขอโทษคุณเนตรอัปสรแทนน้องชายของผมด้วยนะครับ เพราะโรคร้ายที่เขาเป็น เลยทำให้เขาเป็นคนเจ้าอารมณ์อย่างนี้ ผมกับพ่อน่ะ...ชินเสียแล้ว แต่คุณเพิ่งมา”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ อาชีพฉัน ฝึกให้ฉันอดทนกับอารมณ์ ของคนไข้อยู่แล้ว”
“แต่ยังไงผมก็ต้องขอบคุณ คุณด้วย ถ้าไม่ได้คุณ พ่อผมบอกว่านายเชตมันคงตายไปแล้ว”
“มันเป็นหน้าที่ของฉันที่ต้องช่วยดูแลรักษาชีวิตคนไข้ให้ถึงที่สุดอยู่แล้วล่ะค่ะ”
พายัพยิ้มอ่อนโยน
“ผมหวังว่าคุณจะทนอยู่กับนายเชตได้นานๆนะครับ”
“ฉันจะพยายามค่ะ ขอตัวก่อนนะคะ ฉันกลับไปเก็บกระเป๋าเสื้อผ้าที่บ้าน แล้วเดี๋ยวเย็นๆจะกลับมาใหม่ค่ะ”
“เชิญครับ”
เนตรอัปสรเดินออกไป พายัพเปลี่ยนสีหน้าจากอ่อนโยนเป็นยิ้มร้ายและหื่นขึ้นมาทันที
ปารมี ทิพย์ และหมอก้อง กำลังจ้องหน้าเนตรอัปสรอยู่อย่างตกใจ อยู่ในห้องพัก
“จ้างดูแล 24 ชั่วโมง”ปารมีแปลกใจมาก
เนตรอัปสรเก็บกระเป๋าไป ตอบไป
“ใช่”
หมอก้องไม่สบายใจ
“จะดีเหรอนะโม”
“ไม่ดีหรอกค่ะหมอ ต้องอยู่กับคนไข้เจ้าอารมณ์ตลอด 24 ชั่วโมง เครียดจะตาย”
ปารมีไม่เข้าใจเพื่อน
“แล้วนะโมรับงานทำไมล่ะ”
“ก็เขาให้เงินดีนี่ทิพย์”
หมอก้องเครียด
“คนไข้ของนะโมรายนี้เจ้าอารมณ์มาก แล้วก็เอาแต่ใจตัวด้วย บอกว่าให้อยู่โรงพยาบาลดูอาการอีกสักคืน ก็ไม่ยอม ดื้อมาก”
ทิพย์ถอนใจ
“เป็นโรคต้องสาปอย่างงี้แล้วยังจะดื้ออีกเนอะ ท่าทางจะอายุไม่ยืนซะก็ไม่รู้”
เนตรอัปสรขัดขึ้น
“อย่าไปแช่งเขาสิทิพย์ ไม่มีใครอยากเกิดเป็นโรคร้ายหรอก เพราะเป็นแล้วก็ไม่รู้จะตายวันไหน เฮ้อ...ไม่รู้ว่าคุณเชตเขาทำเวรทำกรรมอะไรกับใครมาในชาติก่อนเนอะ ชาตินี้ถึงได้เป็นอย่างนี้...”
ใกล้ค่ำ...ผีเฟื่องหน้าเศร้าสร้อยยืนชิดอยู่ข้างเตียงเชตะวันที่กำลังนอนดูทีวีอยู่คนเดียว
“ชุนจ๋า...”
เชตะวันไม่รู้เรื่องเลย ผีเฟื่องทรุดลงนั่งใกล้ๆ
“ข้าดีใจนะที่เจ้ายังไม่ตาย เพราะถ้าเจ้าตายที่นี่ วิญญาณของเจ้าก็จะล่องลอยไปไหน ข้าก็ไม่อาจติดตามไปได้ ซึ่งจะทำให้เราไม่มีโอกาสได้พบกันอีก แต่เจ้าจะต้องกลับไปที่หน้าผานั่น ไปทำตามคำสาบานของเจ้า...เจ้าต้องกลับไปตายที่นั่นเท่านั้น ข้าถึงจะพาเจ้าไปอยู่ด้วยกันกับข้าได้ แล้วเราจะได้ไปอยู่ด้วยกัน...ตลอดไป”
ทันใดนั้น ประตูห้องก็เปิดปังเข้ามา เชตะวันกับผีเฟื่องหันขวับไปมองที่ประตูห้องทันที อาทิตย์ยืนอยู่ที่หน้าห้อง ผีเฟื่องเหมือนเห็นอาทิตย์มองตรงมาที่เธอ
“ลูก...”
ผีเฟื่องตาโตด้วยความตกใจ ปนดีใจ
“พ่อมองเห็นข้ารึ”
แล้วอาทิตย์ก็เดินเข้ามาในห้อง ตรงมาที่ผีเฟื่อง เธอยิ่งดีใจเพราะเข้าใจว่าอาทิตย์มองเห็นเธอ และเข้ามาหาเธอแต่แล้วอาทิตย์ก็เดินทะลุตัวผีเฟื่องตรงไปหาเชตะวันที่เตียง ไม่ได้มีทีท่าว่าจะเห็นเธอเลย ผีเฟื่องกระเด็นจากที่เดิมไปที่มุมห้องทันที
“โอ๊ย”
อาทิตย์ไม่รู้เรื่อง เดินไปยืนแทนที่ที่ผีเฟื่องอยู่เมื่อครู่ พูดกับเชตะวัน
“แกหายดีแล้วรึไอ้เชต”
ผีเฟื่องเจ็บปวด มองไปที่อาทิตย์ เธอเห็นยันต์ที่สักอยู่ที่ตัวอาทิตย์ สว่างวาบขึ้นมา ผีเฟื่องเข้าใจทันทีว่าที่เธอต้องกระเด็นออกมา ก็เพราะรัศมีของยันต์ที่อาทิตย์สักไว้ที่ตัว
“ก็ที่นั่งอยู่นี่ ไม่ใช่ผีนี่พ่อ ในเมื่อพ่อมองเห็นผม ก็แปลว่าผมยังไม่ตาย” เชตะวันพูดกวนๆ
อาทิตย์ชักฉุน
“ฉันถามแกดีๆ ทำไมแกต้องกวนประสาทฉันด้วย”
เชตะวันประชด
“ห่วงผม แต่ยังมีอารมณ์ออกไปตีกอล์ฟอีก”
“ก็ฉันนัดคุยธุรกิจกับเพื่อนในก๊วนนี่โว๊ย แล้วฉันก็รู้ว่าแกไม่ตายง่ายๆหรอก เพราะแกกับฉัน...เรายังมีกรรมร่วมกันอีกนาน”
สองพ่อลูกมองหน้ากันอย่างไม่ชอบหน้ากัน
ค่ำนั้น...ผีเฟื่อง นั่งอยู่บนต้นไม้ใกล้ตัวบ้าน ตามองไปในบ้านเห็นอาทิตย์กับเชตะวัน จากในระยะไกล มองหน้ากันอย่างไม่ชอบหน้ากัน
“ทำไมถึงต้องเป็นอย่างนี้นะ...” ผีเฟื่องกลุ้มใจ
อนงค์กับนันกำลังช่วยกันเอาถุงขยะไปทิ้งที่ถังขยะหน้าบ้าน เดินผ่านต้นไม้ที่ผีเฟื่องนั่งอยู่ พอดีอนงค์ทำหน้าเหมือนจะจามจึงแหงนหน้าขึ้น อ้าปากจะจามแต่แล้วก็ต้องชะงักค้างเมื่อเห็นผีเฟื่องนั่งอยู่บนคบไม้ตายังคงมองไปในบ้าน ผีเฟื่องไม่ได้สนใจอนงค์หรือนันเลย สนใจแต่เชตะวันกับอาทิตย์ที่อยู่ในบ้านเท่านั้น องค์ถึงกับตาค้าง พยายามจะกระตุกแขนนันให้แหงนดูด้วย แต่นันไม่รู้เรื่องเดินหิ้วถุงขยะนำหน้าไป อนงค์ยายามดึงตัวไว้ แต่นันก็ไม่สนใจเดินหลุดไปจนได้ พอดีผีเฟื่องมองลงมาจากต้นไม้ ตาสบตากัน อนงค์ร้องกรี๊ดแล้วเป็นลมล้มตึงไปเลย
บรรยากาศในป่ายามค่ำ...พงษ์กำลังยืนมองดูผืนน้ำในความมืด ลูกน้อง 2 คนโผล่พรวดขึ้นมาจากในน้ำ พงษ์ถามทันที
“เจอมั้ย”
“เจอแล้วครับนาย”
“เอาขึ้นมาให้หมดทุกห่อ อย่าให้ขาดแม้แต่ห่อเดียวนะโว๊ย”
“ครับนาย”
ลูกน้องทั้งสองดำลงไปใต้น้ำอีกครั้ง สักครู่ลูกน้องทั้งสองก็ช่วยกันลากแหขึ้นมาจากน้ำ ในนั้นมีห่อยาที่พงษ์และพายัพโยนทิ้งไว้ทั้งหมด พงษ์ยิ้มแล้วรีบเข้าไปช่วยลูกน้องทั้งสองลากแหขึ้นจากน้ำด้วยความดีใจ...พงษ์ช่วยลูกน้อง 2 คนลากแหขึ้นมาบนฝั่ง เขารีบเปิดแหออกดูเห็นห่อยาและหม้อดินใบหนึ่งติดมาด้วย
“อ้าวเฮ้ย นี่หม้ออะไรวะ”
“ไม่รู้เหมือนกันครับ ผมเห็นมันจมอยู่ที่ก้นแม่น้ำ อาจจะเป็นหม้อใส่สมบัติโบราณก็ได้นะนาย ผมก็เลยเอาขึ้น มาด้วย ทุบดูเลยมั้ยนาย”
พงษ์ตัดสินใจหยิบหม้อดินนั้นแล้วทุ่มลงกับพื้นสุดแรง หม้อดินแตกกระจายเป็นเสี่ยง
ทันใดนั้นวิญญาณผีเดือนก็พุ่งออกมาจากหม้อดินใบนั้นอย่างรวดเร็ว พร้อมกับกรีดร้องด้วยความดีใจสุดขีด
อ่านต่อตอนที่ 14
นางมาร ตอนที่ 14
พงษ์และลูกน้อง 2 คน ไม่ได้เห็นผีเดือน แต่จู่ๆ ทั่วบริเวณนั้นก็เกิดลมพัดอู้ ฝุ่นตลบ จนทั้งสามต้องยกมือขึ้นปิดตาไม่ให้ฝุ่นเข้า
“เฮ้ย อะไรกันวะเนี่ย”
ลูกน้องหน้าตื่น
“จริงด้วยครับนาย ทำไมอยู่ๆก็เหมือนพายุมันจะเข้าอย่างงี้ล่ะ”
พงษ์มองที่หม้อดิน สายตาของพงษ์เห็นหม้อดินแตกเป็นเสี่ยงอยู่ที่พื้น แต่ไม่มีอะไรภายในเลย พงษ์ผิดหวังอย่างแรง
“ไม่เห็นมีอะไรเลย...ไปๆ ขนของขึ้นรถรีบกลับรีสอร์ตกันก่อนเถอะโว๊ย เดี๋ยว พ่อมึงผ่านมาทางนี้ จะซวยกันหมด ไปๆ”
พงษ์กับลูกน้องทั้ง 2 รีบช่วยกันขนของ แล้วพอพงษ์หันมา ผีเดือนก็พุ่งพรวดเข้ามาประจันหน้า ผีเดือนจ้องหน้าพงษ์ แล้วเบิกตาโพลงอย่างตกตะลึง
“ไอ้เพียร” ผีเดือนเจ็บแค้น “ไอ้เพียร มึงฆ่ากู มึงเอาหมอผีมาจับกูถ่วงน้ำ มึงตายเสียเถิด”
ผีเดือนพุ่งจะเข้าทำร้ายพงษ์ ซึ่งกำลังสาละวนกับการขนของอยู่อย่างรีบร้อนแต่แล้วจู่ๆผีเดือนก็อ่อนเปลี้ยเพลียแรงแล้วเซจนล้มฟุบไป
“โอย...กูคงถูกขังอยู่นานเกินไป”
ผีเดือนไม่มีเรี่ยวแรง ได้แต่หันไปจ้องมองดูพงษ์อย่างอาฆาต พงษ์กับสองลูกน้องขนของขึ้นรถจนเสร็จ
“ไปเร็ว”
ทั้งสามโดดขึ้นรถขับออกไป ผีเดือนตัดสินใจเกาะติดรถไปด้วยทันที โดยที่ทั้งสามไม่รู้ตัวเลย
อนงค์เริ่มได้สติ ค่อยๆลืมตาขึ้น หลังจากนันเอายาดมมาให้ดม พออนงค์ได้สติเต็มที่ ก็ลุกพรวดขึ้นแล้วกอดนันไว้
“นัน บ้านเรามีผี ผีผู้หญิง ชุดไทย มันนั่งอยู่ตรงต้นไม้ แกไม่เห็นเหรอ”
นันส่ายหน้า
“ไม่เห็น”
“แต่ฉันเห็น” อนงค์ชี้ที่ตาตัวเองจนแทบจะเอานิ้วทิ่มเข้าไปเลย “เห็นเต็มสองตาเลยละ”
บวรตกใจที่พูดเกี่ยวกับผี อยากรู้ว่าเจอจริงเหรอ
“ฉันเคยบอกแล้วใช่มั๊ยว่าตั้งแต่คุณเชตกลับจากไปเที่ยวป่ามานี่ บ้านเราก็เริ่มมีอะไรแปลกๆ ฉันว่า...ผีผู้หญิงตัวนี้ มันต้องตามคุณเชตมาจากในป่าแน่ๆเลย ฮือๆ ผีบ้านยังไม่อยากเจอเลย นี่ผีป่า น่ากลัวที่สุด”
ว่าแล้วอนงค์ก็โดดไปค้นของที่โต๊ะเครื่องแป้ง คว้าเอาพระองค์หนึ่งขึ้นมา ไม่มีสร้อย อนงค์เลยเอาเข็มกลัดกลัดพระติดกับตัวเสื้อ กลางอกเสื้อ แล้วเธอก็จับพระพนมมือขึ้นไหว้
“คุณพระคุณเจ้าเจ้าขา...ลูกช้างเป็นคนดีนะเจ้าคะ ช่วยปกปักคุ้มครองด้วยเจ้าค่ะ สาธุๆ”
อนงค์เหลียวมองไปรอบๆ อย่างหวาดกลัว
พงษ์กับลูกน้องทั้งสองขับรถกลับมาที่รีสอร์ต โดยมีผีเดือนเกาะติดรถมาด้วยโดยไม่รู้ตัว ดาลัดเปิดหน้าต่างออกมาดูว่าใครขับรถเข้ามาในรีสอร์ตในยามดึกสายตาของเธอเห็นเป็นรถพงษ์ก็โล่งใจ
“อ้อ...นายพงษ์มา...” แล้วเธอก็ชะงัก “เอ๊ะ...”
ดาลัดเห็นผีเดือนเกาะติดรถมาด้วย
“แหม...นายพงษ์ พอคุณพายัพไม่อยู่ ก็แอบเอาผู้หญิงเข้ามาในรีสอร์ตเชียวนะ เห็นที่นี่เป็นโรงแรมรึไงยะ”
ดาลัดไม่พอใจ แต่ก็ไม่กล้าทำอะไร เพราะรู้ว่าพงษ์เป็นคนสนิทของพายัพ
พงษ์เอาห่อยาทั้งหมดใส่ห้องเก็บของในบ้านพัก แล้วล็อคอย่างแน่นหนาก่อนจะเดินห่างออกมา ผ่านกระจก ในกระจกมีเงาสะท้อนของพงษ์เดินผ่านกระจกไปโดยมีผีเดือนเดินตามหลังไปด้วยหน้าตาอาฆาตมาดร้าย แต่พงษ์ไม่รู้ตัว เพราะมัวแต่จะกดโทรศัพท์โทรออกหาพายัพเพื่อรายงานการทำงาน
พายัพพูดโทรศัพท์กับพงษ์อยู่ที่มุมหนึ่งของบ้าน
“ดี...แล้วแกก็ส่งอีนังเด็กคนที่กัดฉันไปเป็น ของขวัญให้ลูกค้าด้วย บอกว่าฉันให้เป็นการขอโทษที่เราส่งของช้ากว่ากำหนดเดิม แล้วถ้าเบื่อแล้ว จะโยนทิ้งหรือว่าทำอะไรก็ตามใจเลย”
พายัพกดตัดสาย อยู่ๆห้องก็ไฟกระตุกแปลกๆ พายัพมองไปรอบๆห้อง
“ไฟเป็นอะไรวะ มีใครอยู่ไหมข้างนอก”
นันเข้ามา พายัพหันไปถาม
“ตอนฉันไม่อยู่ ไม่มีใครมาดูแลเรื่องเปลี่ยนไฟในบ้านเลยเหรอ”
“ห้องนี้เพิ่งเปลี่ยนเมื่อวานเองนะคะ”
พายัพสงสัย
“เหรอ”
พายัพเริ่มรู้สึกแปลกๆขึ้นมาเหมือนกัน
เชตะวันกดออดเรียกคนใช้รัวๆ ตามประสาคนเจ้าอารมณ์ บวรวิ่งหน้าตื่นเข้ามาตกใจเกิดอะไรขึ้นเชตะวันกดเรียกเยอะมาก
“แม่พยาบาลคนใหม่นั่นมารึยัง”
บวรส่งภาษาใบ้บอกว่ายังครับ เชตะวันร้องฮึ่ย ฮึดฮัดขัดใจแล้วโบกมือไล่บวรให้ออกไป ผีเฟื่องมองเชตะวันอย่างพอจะรู้ว่าเขามีใจให้นวล
“ชุน...เจ้ารักข้า เจ้าจะต้องไม่มีวันลืมคำสาบานของเรา”
ผีเฟื่องเห็นเชตะวันเหม่อคิดถึงเนตรอัปสร ก็มองด้วยความเจ็บใจ
เนตรอัปสรนั่งกินข้าวต้มอยู่กับหมอก้อง ปารมีและทิพย์
“ความจริงหมอไม่ต้องไปส่งเนตรที่บ้านคุณเชตะวันก็ได้ค่ะ เนตรไปเองได้”
“ไม่เป็นไรครับ คืนนี้หมอไม่ต้องเข้าเวร”
ปารมีเสริม
“ใช่...แล้วพวกเราสองคนก็ออกเวรกันหมดแล้วล่ะจ้ะ นะโม”
“ก็นั่นแหละ ได้ออกเวร ทุกคนก็ควรจะได้พักผ่อน”
ทิพย์เคี้ยวตุ้ยๆ หน้าตาร่าเริงมาก
“การได้มากินฟรีเพราะคุณหมอเลี้ยงมื้อนี้ ก็ถือว่าเป็นการพักผ่อนอย่างหนึ่งเหมือนกันจ้ะ แถมเดี๋ยวพอส่งนะโมเสร็จ หมอก็จะพาฉันกับปานไปดูหนังด้วย”
หมอก้องหน้าเหวอ
“เหรอ”
ทิพย์พยักหน้าหงึก เนตรอัปสรกับปารมีรู้ทันทีเลยว่าทิพย์หักคอหมอหน้าตาเฉยเลยขำกันใหญ่
“ดูหนังเผื่อเราด้วยนะ อยากไปด้วยจัง เซ็งเลย ต้องกลับไปเจอคนไข้โรคจิต อุ๊ย...รีบกินก่อน พวกควบคุมอารมณ์ตัวเองไมได้...น่ากลัว”
ทุกคนขำกันใหญ่ แต่เนตรอัปสรก็แอบนึกถึงเชตะวันว่าป่านนี้จะเป็นยังไงบ้าง
เชตะวันรอการกลับมาของเนตรอัปสรอยู่อย่างกระวนกระวายเดินไปเดินมา มองออกไปนอกหน้าต่างบ้าง จนเห็นรถคันหนึ่งเข้ามาจอดและเห็นเนตรอัปสรลงรถลงมา
“ที่มาช้าเพราะมัวแต่อยู่กับแฟนเหรอ”
เชตะวันหงุดหงิด เดินออกจากหน้าต่างเลย
หมอก้องจอดรถส่งเนตรอัปสรที่หน้าบ้าน โดยเนตรอัปสรนั่งคู่มากับหมอก้อง พอรถจอด เนตรอัปสรก็รีบขอบคุณเขา
“ขอบคุณหมออีกนะคะที่มาส่ง”
หมอก้องเป็นห่วงจริงจัง
“ถ้ามีอะไร นะโมโทรตามผมได้ตลอดเวลาเลยนะ เพราะยังไงๆ ตอนนี้ผมก็ต้องจัดการดูแลเคสคุณเชตะวันไปจนกว่าหมอปรีชาจะกลับจากประชุมที่เมืองนอกอยู่แล้ว”
“ค่ะ”
เนตรอัปสรลงจากรถ ทิพย์รีบกระทุ้งปารมีทันที
“ขึ้นไปนั่งหน้ากับหมอก้องสิ”
ปารมีลังเล ทิพย์เลยแอบหยิก ปารมีร้องอุ๊ย แล้วลงจากรถข้างหลัง ไปนั่งหน้าคู่กับหมอก้อง เนตรอัปสรโบกมือให้ทุกคน แล้วเข้าบ้านไป
หมอก้องมองจนเธอเข้าบ้านเรียบร้อยแล้วจึงออกรถไป
บวรเป็นคนเปิดประตูบ้านให้เนตรอัปสรเข้ามา
“ขอบคุณค่ะน้าบวร คุณเชตเป็นยังไงบ้างคะ”
บวรส่งภาษาใบ้บอกอาการไม่เป็นอะไร แต่คุณเชตหงุดหงิดตามหาคุณ
“เขาอารมณ์ไม่ดีเพราะฉันเหรอ” เนตรอัปสรพูดกับตัวเอง “คนเอาแต่ใจ...แล้วนี่คุณพายัพอยู่บ้านมั๊ยคะ”
บวรพยักหน้า
“แล้วคุณอาทิตย์ละคะ”
บวรหน้าเครียดขึ้นมาทันที เนตรอัปสรสงสัยแต่ยังไม่ทันจะถามอะไรต่อ อนงค์ก็เดินเข้ามาพอดี บวรรีบบอกอนงค์ให้พาคุณพยาบาลขึ้นไปบนตึกที อนงค์พยักหน้ารับ บวรรีบเดินออกไป เลี่ยงไม่อยากขึ้นตึก เพราะไม่อยากเจอหน้าอาทิตย์
“รีบๆขึ้นไปเถอะคะ”
อนงค์พาเนตรอัปสรขึ้นบ้าน
“คุณพยาบาลระวังๆตัวหน่อยนะคะ คุณเชตเธออารมณ์ไม่ค่อยดี”
เนตรอัปสรทำหน้าบูด
“อารมณ์แปรปรวนตามปกติน่ะค่ะ” แล้วอนงค์ก็นึกอะไรได้ “เอ้อ...คุณพยาบาลมีพระติดตัวมามั่งรึเปล่าคะ”
เนตรอัปสรยกพระที่สรวงให้มาห้อยอยู่ที่คอให้อนงค์ดู
“มีคะ ถามทำไมเหรอคะ”
“ก็...”
อนงค์ทำท่าว่าจะเล่าเรื่องที่เห็นผี แต่แล้วก็เปลี่ยนใจไม่เล่าดีกว่า เพราะกลัวเนตรอัปสรกลัวผีแล้วจะลาออกไป เลยกลบเกลื่อน
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ คุณพยาบาลรีบเข้าไปเถอะค่ะ คุณเชตรอคุณอยู่”
เนตรอัปสรพยักหน้า แล้วเดินเข้าไปในบ้าน พอเหลืออนงค์อยู่คนเดียว เธอก็เหลียวมองรอบๆตัว แล้วรีบวิ่งจู๊ดกลับไปที่โรงครัวทันที
ทันที่เนตรอัปสรเดินเข้ามาในบ้าน ประตูก็ปิดดังปัง เธอสะดุ้งสุดตัวหันไปมองประตูอย่างงงๆ
“ลมก็ไม่มีสักหน่อย”
แล้วเนตรอัปสรก็เห็นเงาใครบางคนเดินผ่านแว่บไปทางข้างหลัง เธอเหลียวขวับไปมองไม่เห็นใครแต่เธอก็ยังเดินเหลียวหน้าเหลียวหลังอย่างระวังตัว แต่ก็ต้องสะดุ้งสุดตัวอีกครั้งเมื่อเดินปะทะเข้ากับใครบางคนอย่างแรงจนเธอผงะหงายจนเกือบล้ม แต่ใครคนนั้นคว้าตัวเธอไว้ได้ทัน
“คุณพายัพ”
พายัพพูดออกมาอย่างสุภาพ
“ครับ ผมเอง ขอโทษนะครับถ้าผมทำให้คุณตกใจ”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
“ผมต้องขอบคุณ คุณมากนะครับที่คุณช่วยชีวิตน้องชายผมเอาไว้เมื่อวาน ได้ข่าวว่า...ถ้าไม่ได้คุณ นายเชตมันคงตายไปแล้ว”
“ฉันแค่ทำหน้าที่ของฉันค่ะ”
“นายเชตมันโชคดีที่ได้คุณเนตรอัปสรมาเป็นพยาบาล ประจำตัวคุณก็รู้ว่าโรคที่เขาเป็น...มันทำให้เขาเป็นคนที่น่าสงสาร”
ทันใดนั้นเสียงเชตะวันดังขึ้น
“ผมไม่ต้องการให้ใครมาสงสารผม”
เชตะวันเดินพรวดพราดเข้ามาคว้าข้อมือเนตรอัปสรแล้วลากตัวออกไปเลย พายัพมองตามครุ่นคิด เริ่มรู้ว่าเชตะวันท่าทางจะชอบเนตรอัปสรจริง เขาเลยคิดจะเอาชนะใจเนตรอัปสรบ้าง มันเป็นเกมระหว่างพี่น้องที่ไม่ถูกชะตากัน...
เชตะวันลากข้อมือเนตรอัปสรมาถึงห้อง เธอสะบัดสุดแรงจนหลุด
“นี่คุณ เลิกทำพฤติกรรมแบบนี้สักทีได้มั๊ย”
“ยังไง”
“ก็ลากตัวฉันออกมาเวลาที่ฉันคุยกับใครๆอย่างงี้น่ะสิ มันเสียมารยาทรู้มั๊ย”
“ไม่รู้ และไม่สนด้วย เพราะผมไม่ต้องการให้คุณคุยกับใคร คุณเป็นพยาบาลส่วนตัวของผม”
“ใช่...ฉันเป็นแค่พยาบาลส่วนตัวของคุณ แต่ฉันไม่ใช่ทาส”
“ใช่สิ...คุณเป็น ทาสน้ำเงิน ของผม”
เชตะวันพูดจบก็ถูกเนตรอัปสรตบหน้าผั๊วะ
“คุณพูดจาดูถูกฉันมากไปแล้วนะ”
เชตะวันรวบข้อมือ 2 ข้างของเธอไว้แน่นแล้วเขย่าตัวเธออย่างแรงด้วยความโมโห
“ไม่เคยมีผู้หญิงหน้าไหนกล้าทำกับผมอย่างนี้มาก่อนเลยนะ”
เนตรอัปสรจ้องหน้า
“ก็ถ้าคุณดูถูกฉันอีก ฉันก็จะตบคุณอีก”
“ก็ลองตบอีกสิ”
เนตรอัปสรจะตบอีก แต่เชตะวันที่รวบข้อมือทั้งสองข้างของเธอไว้แน่นไม่ยอมปล่อย เธอพยายามจะดึงข้อมือออกให้ได้ แต่เขาก็ไม่ยอมปล่อย ทั้งสองยื้อยุดกันไปมาแล้วจู่ๆเชตะวันก็ทำท่าเหมือนหายใจไม่ออกปล่อยข้อมือหญิงสาวแล้วเซไป เนตรอัปสรตกใจ
“คุณเชต”
เนตรอัปสรเข้าไปประคองเชตะวันทันที
เนตรอัปสรประคองเชตะวันมาที่นอน ให้เขานอนลง เชตะวันนอนหายใจระรวย เนตรอัปสรเอาหน้ากากออกซิเจนครอบที่จมูกให้เขา พอเห็นเขาเริ่มหายใจเป็นปกติ เธอก็ถอนใจโล่งอก
“คุณยังไม่แข็งแรงดี แล้วก็ดึงดันจะกลับบ้านให้ได้ ทั้งๆที่หมอยังไม่อนุญาต มันไม่ดีกับตัวคุณเลย”
เชตะวันทำท่าจะเถียง แต่เนตรอัปสรดุเสียงเข้ม
“อย่าเถียง คุณเป็นถึงขนาดนี้แล้วยังจะเถียงอีก การเอาชนะฉัน มันไม่ได้เป็นผลดีกับตัวคุณเลยรู้มั๊ย แต่ถ้าคุณคิดว่าการเอาชนะฉันจะทำให้คุณมีความสุข ฉันยอมแพ้คุณก็ได้”
“คุณยอมแพ้ผม เพราะอยากให้ผมมีความสุข”
เนตรอัปสรพยักหน้า เชตะวันอึ้ง
“ฉันเป็นพยาบาล ย่อมอยากให้คนไข้สุขสบาย ทั้งกายและใจค่ะ”
เนตรอัปสรก็นึกอะไรออก ก้มลงมองที่คอตัวเอง เธอปลดสร้อยพระออกจากคอตัวเองแล้วเอาใส่คอเขาแทน เชตะวันมองการกระทำของเธออย่างงงๆ
“ฉันเห็นคุณไม่มีสร้อยพระ แล้วถ้าคุณไม่รังเกียจว่าเป็นสร้อยพระของคนจนอย่างฉัน ฉันก็อยากให้คุณใส่สร้อยพระนี่ไว้ คุณพระคุณเจ้าจะได้คุ้มครองให้คุณปลอดภัย และหายเจ็บหายไข้เสียที”
เชตะวันมองเนตรอัปสรอย่างอึ้งจนพูดอะไรไม่ออก ผีเฟื่องยืนอยู่ตรงกลางระหว่างเชตะวัน และเนตรอัปสร มองเนตรอัปสร ตาลุกวาวด้วยความเกลียดชัง
เนตรอัปสร ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าการที่พระหลุดออกจากคอเธอไปแล้วนั้น กำลังจะนำภัยใหญ่หลวงมาสู่ตัวเธอ
“อีนวล ชาติที่แล้วมึงก็เป็นมารหัวใจของกู ชาตินี้มึงยังมาเกิดเป็นมารหัวใจของกูอีก กูไม่ปล่อยมึงเอาไว้แน่ อีนวล”
ผีเฟื่องมองอย่างมุ่งร้ายต่อเนตรอัปสร
นางมาร ตอนที่ 14 (ต่อ)
หมอก้องพาปารมีกับทิพย์มาดูหนัง
“อ้ะ สองสาว อยากดูหนังเรื่องอะไร เลือกเอาเลย ผมมันเป็นผู้ตามอยู่แล้วนี่”
ปารมีหันมามองทิพย์เห็นเธอนิ่งไปพักหนึ่งแล้วจู่ๆก็กุมท้องหน้าเหยเก หมอก้องกับปารมีตกใจ
“เป็นอะไรไปครับทิพย์ ปวดท้องเหรอ”
ทิพย์พยักหน้าหงึก
“ไหน ขอหมอดูหน่อย”
ทิพย์ถอยกรูด
“หมอไม่ต้องดูหรอกค่ะ เรื่องของผู้หญิง หมอไม่รู้เรื่องหรอก แต่ทิพย์ท่าจะไปดูหนังกับหมอ กับยายปานไม่ไหวแล้วค่ะ” ทิพย์หันไปบอกกับปารมี “เธอสองคนเข้าดูหนังกันเองก็แล้วกันนะ ฉันขอตัวกลับก่อนดีกว่า”
“อ้าว...ทิพย์ปวดท้องอย่างงี้ ฉันพาเธอกลับหอดีกว่า ไม่ต้องดูหนังหรอก”
ทิพย์รีบห้าม
“อ๊ะๆ ไม่ได้ๆ อุตส่าห์ลากหมอก้องมาเลี้ยงหนังได้ทั้งทีอย่าให้เสียโอกาสสิยะยายปาน เธอเข้าไปดูหนังกันเหอะ ฉันไปละ”
พูดจบทิพย์ก็วิ่งหนีไปหน้าตาเฉย ปารมีกับหมอก้องหน้าเหวอไปเลย แล้วปารมีก็เริ่มเขินที่จะต้องดูหนังกับหมอสองคน
“งั้นเราเข้าไปดูกันสองคนก็แล้วกันนะ ปานโอเคไหม”
ปารมีตื่นเต้น
“ค่ะ...”
“ปานเลือกเลยนะครับ วันนี้หมอบอกก่อนแล้วว่าจะเป็นผู้ตาม หมอตามปานหนึ่งวันละกัน”
ปารมีหัวใจพองโต ดีใจเหลือเกินที่วันนี้ได้มีโอกาสอยู่กับหมอ เธอเดินพาเขาไปเลือกหนังกัน
คุณสรวงนั่งสมาธิอยู่ในสถานปฏิบัติธรรม...จนมองเห็นนิมิตในอดีตชาติ ในเวลานั้น เธอคือศรีเรือนที่อยู่กับเฟื่อง ในช่วงยังมีความสุขกันอยู่ตามประสาแม่ลูก...ศรีเรือนเห็นศพเฟื่องเป็นครั้งแรกก็กรีดร้องแล้วร้องไห้โฮเสียงดัง
“ลูกเฟื่องของแม่”
คุณสรวงยังอยู่ในสมาธิ แต่ปากพึมพำ
“ลูกเฟื่องของแม่...”
คุณสรวงขมวดคิ้วเครียด พยายามจะเพ่งจิตต่อไปเพื่อที่จะตามหาตัวเฟื่องในปัจจุบันให้เจอ
เนตรอัปสรดูแลเชตะวันนอนจนเรียบร้อย เธอจะเดินออกไปแต่เขาเรียกไว้
“จะไปไหนน่ะ”
“ฉันจะไปอาบน้ำค่ะ ไม่นานหรอก แล้วเดี๋ยวฉันจะกลับมาเฝ้าคุณทั้งคืนแน่”
เชตะวันพยักหน้าอนุญาต เนตรอัปสรเดินออกไป ผีเฟื่องเดินตามหลังไปอย่างเงียบๆ
ในห้องพักของเนตรอัปสร เธออาบน้ำเปลี่ยนชุดอยู่บ้านเรียบร้อยแล้ว มานั่งแปรงผมอยู่ที่โต๊ะกระจกแล้วก็เห็นแผลที่มุมปากที่ถูกแซลลี่ตบมาเมื่อเช้า เธอเอามือแตะแผลเบาๆอย่างเหนื่อยใจ
“คุณเชตะวัน มีผู้หญิงอีกเท่าไหร่นะ...ที่ต้องตบตีกันก็เพราะคุณน่ะ” เนตรอัปสรส่ายหน้าอ่อนใจ แล้วสั่งตัวเอง “ยายนะโม เธอต้องอดทนให้มาก ถึงมากที่สุด เข้าใจมั๊ย”
เนตรอัปสรพยักหน้าให้ตัวเองแล้วจะแปรงผมต่อแต่จู่ๆทันใดนั้น ไฟทั้งห้องก็ดับพรึ่บหญิงสาวตกใจ
“เอ๊า...ไฟดับได้ไงเนี่ย”
เนตรอัปสรเดินไปดูที่สวิทช์ไฟในห้อง พยายามกดปุ่มเปิด ปิด อยู่สักพัก ไฟก็ยังมืดอยู่เหมือนเดิม เธอตัดสินใจเดินออกไปดูข้างนอกห้อง มองซ้ายมองขวาเห็นทางเดินมืดไปหมด มีแสงสลัวมาจากภายนอกบ้านเท่านั้น หญิงสาวส่ายหน้าแล้วพยายามเดินคลำทางจะไปหาคนอื่นๆ เธอเอามือคลำทางไปเรื่อยๆ จนไปโดนตัวใครบางคน เธอชะงักพยายามเขม้นตามองเห็นเป็นเชตะวัน
“อ้าว...คุณเชต ออกจากห้องมาทำไมคะ”
เชตะวันก็ไม่ตอบ เนตรอัปสรเข้าใจไปเองว่าเขาจะออกมาดูเรื่องไฟดับเหมือนเธอเหมือนกัน
“คุณเชตกลับเข้าห้องไปก่อนเถอะค่ะ เดี๋ยวฉันไปดูให้เองว่าทำไมไฟถึงดับ”
เชตะวันยังยืนมองเธอนิ่งอยู่
“ไปสิคะ”
เชตะวันเดินออกไปแต่แทนที่เขาจะเดินกลับไปที่ห้อง กลับเดินออกไปอีกทาง เนตรอัปสรงง
“อ้าว...นั่นคุณเชตจะเดินไปไหนคะ ห้องของคุณเชตอยู่ทางนี้ค่ะ”
แต่เชตะวันก็เดินเลี้ยวลับหายไปอีกทางเฉยเลย เนตรอัปสรส่ายหน้าอ่อนใจเข้าใจว่าเขาชอบทำอะไรตามใจตัวเองอย่างนี้อยู่แล้ว แต่ด้วยความเป็นห่วงเลยวิ่งตามไป
เนตรอัปสรเดินตามเชตะวันมาเห็นเขาเดินอยู่ข้างหน้าแต่ไกลๆ แล้วเลี้ยวลับมุมบ้านไปอีก เนตรอัปสรงง
“คนป่วยอะไร เดินเร็วจริง...แล้วนั่นเขาจะเดินออกไปไหนน่ะ...”
เนตรอัปสรเริ่มออกวิ่งตามด้วยความเป็นห่วงเพราะกลัวตามเขาไม่ทัน
เนตรอัปสรวิ่งตามเชตะวันมาถึงริมบึงแต่ไม่มีเชตะวันแม้แต่เงา
“เอ๊า หายไปไหนแล้ว...ก็เห็นกับตาว่าคุณเชตเดินมาทางนี้นี่นา”
ผีเฟื่องพุ่งออกมาจากมุมมืด ตั้งใจจะผลักให้ตกบึงโดยที่เนตรอัปสรไม่รู้ตัว ผีเฟื่องกำลังจะถึงตัว แต่ทันใดนั้น ร่างคุณสรวงนิมิตจางๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นดักหน้าผีเฟื่องอย่างกะทันหันเสียก่อน แล้วคว้ามือผีเฟื่องที่กำลังจะผลักเนตรอัปสรให้ตกลงไปในบึงไว้ ผีเฟื่องตกใจสุดขีด “แม่”
เนตรอัปสรเหมือนจะได้ยินเสียงผู้หญิงดังแว่วปลายๆหู จึงหันขวับมามองตรงที่ผีเฟื่องกับสรวงปรากฏตัวอยู่เมื่อครู่ แต่เธอก็ไม่เห็นใครเลยแถมไฟยังสว่างเหมือนปกติอีกด้วย เนตรอัปสรงงๆ
“อ้าว...ไฟมาแล้ว”
เนตรอัปสรตัดสินใจเดินกลับเข้าไปในตัวบ้าน
เชตะวันยังไม่หลับ รอเนตรอัปสรอยู่ สักครู่เธอก็เดินเข้ามา
“ทำไมไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อนานนัก”
“ฉันน่ะอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อแป๊บเดียวแหละ แต่ที่นานน่ะก็เพราะไฟดับไงล่ะ”
เชตะวันงง
“ไฟดับ”
“อ้าว ก็ใช่นะสิ ไฟดับ แถมฉันยังต้องวิ่งตามคุณอีกต่างหาก คุณยังป่วยอยู่ ไม่ควรเดินไปไหนมาไหนให้มากนักรู้มั๊ย”
“ผมเดินไปไหน ผมก็อยู่ในห้องนี่ตลอดเวลา”
“เชื่อตายละ ก็ฉันเห็นกับตาว่าคุณ...” เนตรอัปสรชะงักกึก ขี้เกียจเถียง “เอาเถอะๆ ฉันไม่อยากเถียงกับคุณ วันนี้ฉันเหนื่อยมากแล้ว คุณนอนเถอะ ฉันจะนอนเฝ้าคุณอยู่ตรงนี้ละ”
เนตรอัปสรลงนั่งที่โซฟายาวมุมห้อง เชตะวันลงนอนมองเนตรอัปสร
“คุณห้ามหนีผมไปไหนนะ”
“ฉันจะไม่หนีหายไปไหนแน่นอน ตอนนี้คุณนอนได้แล้วคะ”
เชตะวันหลับตา เนตรอัปสรเห็นเขานอนเรียบร้อยแล้วเธอก็ถอนใจยาว
กายหยาบของคุณสรวงยังคงอยู่ในท่านั่งสมาธิอยู่ที่เดิม มีแต่กายละเอียดเท่านั้นที่ออกไปพบผีเฟื่อง...ผีเฟื่องกำลังก้มกราบสรวงอยู่ น้ำตาไหลด้วยความคิดถึงแม่
“แม่จ๋า...เฟื่องคิดถึงแม่จัง...เฟื่องไม่นึกเลยว่าจะได้พบกับแม่อีก”
คุณสรวงมองอย่างเมตตา
“เฟื่องลูกรัก แม่ได้มาเกิดใหม่ในชาตินี้แล้ว และในชาตินี้แม่ได้ตั้งปณิธานไว้แล้วว่าจะอุทิศตัวเพื่อพระศาสนา ละวางกิเลสทั้งหลายทั้งปวงให้หมดสิ้นและแม่...ก็อยากให้เจ้าละวางกิเลสในใจเจ้าด้วยเช่นกัน”
ผีเฟื่องมองคุณสรวงนิ่ง
“แม่ตั้งใจจะบอกอะไรลูกรึคะ”
“เลิกจองเวรจองกรรมกับใครต่อใครเสียเถิดลูก แล้วก็ไปสู่ภพภูมิที่เจ้าควรจะไปเสียตั้งนานแล้ว”
ผีเฟื่องไม่พอใจ
“แม่กำลังจะบอกให้ลูกไปจากชุนงั้นรึ ไม่มีทาง ลูกสู้อุตส่าห์รอเขาอยู่นานนับร้อยๆปี กว่าลูกจะหาตัวเขาพบในชาตินี้ ลูกจะไม่มีวันพรากจากชุนอีกแล้ว ลูกจะพาเขาไปอยู่ด้วยกันกับลูก ไอ้อีหน้าไหนมาขัดขวางลูกจะกำจัดมันทุกผู้ทุกนามให้สิ้นเลยทีเดียว”
“แต่นั่นเท่ากับลูกกำลังจะสร้างบาปให้แก่ตัวเองมากยิ่งขึ้น”
ผีเฟื่องดื้อดึง
“ลูกไม่กลัวบาป ลูกกลัวการพรากจากชุนมากกว่าแม่อย่ามาห้ามลูก”
“แต่แม่ต้องห้าม”
ผีเฟื่องโกรธ
“ในเมื่อแม่ไม่เห็นแก่ความสุขของลูก ลูกก็จะคิดเสียว่าแม่เป็นคนอื่นไปแล้ว หาใช่แม่ศรีเรือนคนเก่าของลูกอีกต่อไปไม่”
คุณสรวงอึ้ง
“เฟื่อง”
ผีเฟื่องจ้องหน้าแม่อย่างผิดหวังรุนแรงแล้วก็หายตัวไปอย่างรวดเร็ว คุณสรวงส่งเสียงเรียกตาม
“เฟื่อง...”
คุณสรวงผิดหวังและกังวล
ผีเฟื่องกลับมาอยู่ในห้องเห็นเชตะวันนอนหลับอยู่ ผีเฟื่องจะเข้าไปหาแต่จู่ๆก็เข้าใกล้เขาไม่ได้ เพราะรัศมีจากพระที่คอของเขาที่เนตรอัปสรใส่ให้เรืองวาบขึ้นมา
“ชุน...ข้าจะต้องทำทุกอย่างเพื่อให้เจ้าจำข้าได้ เจ้าจะต้องจำข้าให้ได้”
ผีเฟื่องก็หันขวับไปมองดูเนตรอัปสรที่นอนหลับเฝ้าเชตะวันอยู่ที่โซฟา
ตาของผีเฟื่องวาววาบขึ้นมา เมื่อคิดอะไรบางอย่างออก
ฝ่ายทิพย์นั่งดูทีวีพลางกินขนมอยู่อย่างมีความสุข ปารมีไขประตูห้องเข้ามา ชะงักเมื่อเห็นท่าทางของเพื่อนไม่เหมือนคนปวดท้องเลย
“ดูหนังกะหมอก้อง สนุกมั๊ย...ปาน ดูเรื่องอะไรกันเหรอจ๊ะ” ทิพย์หันมามองปารมี
ปารมีประชด
“ก็เรื่องพยาบาลสาวเจ้าเล่ห์ น่ะสิ ก็เรื่องนี้เธอเขียนบทเองไม่ใช่เหรอยายทิพย์”
ทิพย์หัวเราะแหะ แหะ ไม่ตอบ
“ทิพย์ทำอย่างงี้ ตั้งใจจะให้ฉันได้อยู่กับหมอก้องตามลำพังใช่มั๊ย”
“อ้าว...แล้วไม่ดีเหรอ”
“ดี...ถ้าหมอก้องเขาอยากจะอยู่กับฉันจริงๆน่ะ แต่ทิพย์ก็รู้ว่าหมอเขาไม่ได้มีใจให้ฉัน เพราะฉะนั้น...อย่าทำอย่างนี้อีก”
ทิพย์ทำปากจู๋แล้วคิดอะไรได้
“แต่ถ้านะโมไม่ได้มีใจให้กับหมอ แล้วหมอก็ตัดใจจากยายนะโมได้ ปานจะยอมคบกับหมอไม๊”
“มันคงไม่มีวันนั้นหรอกทิพย์ เพราะขนาดอยู่กันสองคน หมอก็เอาแต่พูดถึงนะโมไม่ขาดปากเลย”
ปารมีหน้าเศร้า ทิพย์เลยกร่อยไปด้วย
หมอก้องกลับมาถึงห้องพักกดโทรศัพท์โทรหาเนตรอัปสร...โทรศัพท์มือถือที่เนตรอัปสรวางไว้บนโต๊ะใกล้โซฟาสั่นเพราะสายเรียกเข้าของหมอก้องแต่ตัวเธอไม่อยู่ที่โซฟาแล้ว เชตะวันนอนหลับสนิทอยู่ เนตรอัปสรกำลังยืนมองเขาอยู่ที่ข้างเตียงอย่างหลงใหล เอื้อมมือไปลูบไล้ใบหน้าเขาแต่แล้วก็ต้องชะงักตกใจ เพราะรัศมีพระที่เชตะวันใส่คอไว้วาบขึ้นมา เนตรอัปสรผงะออกจากเชตะวันแล้วเงยหน้าตาวาววาบขึ้นเพราะเวลานี้วิญญาณผีเฟื่องได้เข้าสิงร่างของเนตรอัปสรไปแล้ว
วันใหม่...เชตะวันค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นมา เขาค่อยๆเอาเครื่องช่วยหายใจออกแล้วนึกอะไรได้ เหลียวมองไปยังที่นอนเล็กของเนตรอัปสรที่มุมห้องไม่เห็นเธออยู่ที่นั่น เชตะวันลุกเดินลงจากเตียงทันที
เชตะวัน เดินมาเคาะประตูห้องเนตรอัปสรแต่ไม่มีเสียงตอบรับจากภายในห้อง เขาเคาะอีกพร้อมทั้งร้องเรียก
“คุณ...คุณ...”
ภายในห้องก็ยังเงียบ เชตะวันเคาะประตูแล้วเรียกซ้ำ ก็ยังเงียบเหมือนเดิม เขาตัดสินใจลองเปิดประตูห้องเข้าไป กวาดตามองไม่เห็นใคร เชตะวันตัดสินใจเดินเข้าไปในห้อง
“คุณ...เนตร...”
เชตะวันก็ไม่พบใคร เขาจะเดินออกแต่พอเปิดประตูห้องก็ต้องสะดุ้งเมื่อเห็นเนตรอัปสรยืนมองเขาอยู่เงียบๆที่หน้าห้อง แล้วยิ้มให้เขาอย่างเป็นมิตรผิดกว่าที่เคย
“ผมนึกว่าคุณกลับบ้านไปซะอีก”
เนตรอัปสรโดนสิงร่างอยู่พูดเยือกเย็น
“ข้า...จะไปที่ไหนได้อย่างไรกันเล่า ในเมื่อเจ้า...อยู่ที่นี่”
เชตะวันมองเนตรอัปสรอย่างงงๆ กับท่าทางที่ผิดปกติไป
“คุณไม่สบายรึเปล่าเนี่ย”
โดยที่เนตรอัปสรไม่ทันตั้งตัว เชตะวันเอามือมาแตะหน้าผากเธอเพื่อดูว่าตัวร้อนรึเปล่า รัศมีจากพระที่คอเชตะวันวาบขึ้นด้วย เนตรอัปสรจึงถึงกับผงะหงายออกไป แต่เชตะวันเข้าใจว่าเธอหวงตัว พูดเยาะๆ
“คุณนี่...หวงตัวชะมัด เอาเถอะ ถ้าไม่จำเป็น ผมจะไม่ถูกเนื้อต้องตัวคุณเลย ไปหาอะไรกินเถอะ ผมหิวแล้ว”
ว่าแล้วเชตะวันก็เดินนำไป เนตรอัปสรเดินตาม ตาจับอยู่ที่เชตะวันไม่วางเลย
เชตะวันกำลังนั่งกินกาแฟอยู่ พลางอ่านหนังสือพิมพ์ โดยมีอนงค์และบวรดูแลเสิร์ฟอยู่ อนงค์ถามเนตรอัปสร
“คุณพยาบาลจะรับอาหารเช้าอะไรดีคะ เบรกฟาสต์แบบฝรั่งหรือข้าวต้ม”
เนตรอัปสรไม่ตอบ อนงค์เห็นเนตรอัปสรมองเชตะวันไม่วางตา
“อ๋อ...เช้าๆคุณเชตไม่ทานอะไรหรอกค่ะ นอกจากกาแฟ” อนงค์แอบกระซิบ “เพราะปกติตื่นเที่ยง กินข้าวเที่ยงไปเลยค่ะ ไม่เคยตื่นเช้าอย่างนี้หรอก ตกลงคุณพยาบาลรับอะไรดีคะ”
“น้ำ...”
“น้ำเปล่าหรือคะ หรือว่าจะน้ำแร่ดีคะ”
เนตรอัปสรเสียงแข็ง
“น้ำ...”
“น้ำก็น้ำค่ะ”
อนงค์รินน้ำเปล่าให้ เนตรอัปสรรับไว้แต่ก็ไม่กิน บวร มองอาการเนตรอัปสรนิ่งเริ่มสงสัย เชตะวันมองแล้วประชด
“น้ำเปล่า กินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วนหรอกน่าคุณ”
บวรหันมาหาตะวันส่งภาษาใบ้ ถามว่าวันนี้คุณเชตจะไปทำงานมั๊ยครับ
“ไม่ละ วันนี้ฉันไม่ไปทำงาน ยังรู้สึกเพลียๆยังไงไม่รู้ บวรโทรไปบอกที่ออฟฟิศให้ด้วยก็แล้วกันว่าวันนี้ผมไม่ไปทำงาน”
บวรชี้หน้าตัวเองเป็นเชิงถามว่า...จะให้คนใบ้เนี่ยนะโทรศัพท์ไปบอกออฟฟิศ อนงค์หัวเราะ
“เดี๋ยวนงค์โทรให้เองค่ะ”
เชตะวันพยักหน้าแล้วลุกเดินออกไป เนตรอัปสรเดินตามไป บวรมองตามแล้วหันมาส่งภาษาใบ้บอกอนงค์วันนี้คุณพยาบาลดูท่าทางแปลกๆเนอะ แกว่ามั๊ย
“คุณพยาบาลดูท่าแปลกๆเหรอน้า เอาน่า เจอฤทธิ์คุณเชตขนาดนี้ แล้วยังอยู่ได้เกิน 48 ชั่วโมง ก็แปลกอยู่แล้วละน้าบวร” อนค์ดูแก้วน้ำเนตรอัปสร
“เอ๊า...คุณพยาบาลไม่เห็นกินน้ำเลยสักอึก...”
บวรหันไปดูแก้วน้ำของเนตรอัปสรในมืออนงค์ แล้วครุ่นคิดติดใจสงสัยว่าเนตรอัปสรเป็นอะไรไป
เชตะวันเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่นเปิดทีวีดู เนตรอัปสรเดินตามมานั่งไกลๆ แต่ตามองเขาตลอดเวลา เชตะวันพูดกับเนตรอัปสรโดยไม่หันไปมอง
“คุณเป็นห่วงผม หรือว่าคุณประชดผมกันแน่หึ ถึงได้จ้องผมตลอดเวลาอย่างนี้น่ะ”
“ข้า...เป็นห่วงเจ้ามาตลอด ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ก็ตาม”
เชตะวันหันมามองหน้าเนตรอัปสร รู้สึกว่าเธอดูแปลกไปกว่าเดิมจริงๆ เขาเลยลุกเดินมานั่งใกล้ๆ เนตรอัปสรขยับหนี แล้วรีบบอกทันที
“เจ้าถอดสร้อยนั่นออกก่อนได้มั๊ย”
เชตะวันชะงัก ก้มลงมองสร้อยที่คอตัวเอง
“แต่สร้อยนี่ คุณเป็นคนให้ผมใส่เอาไว้เองนะ คุณเป็นอัลไซเมอร์รึไง ถึงจำไม่ได้น่ะ เอ๊ะหรือว่าคุณเปลี่ยนใจอยากได้คืน”
เชตะวันถอดสร้อยออกจากคอตัวเอง แล้วเอาสวมใส่ที่คอเธออย่างรวดเร็ว เนตรอัปสรไม่ทันได้ตั้งตัว ทันทีที่สร้อยถูกสวมลงที่คอ แสงรัศมีจากองค์พระก็วาบขึ้น เนตรอัปสรร้องกรี๊ด
วิญญาณเฟื่องกระเด็นออกจากร่างไป ส่วนเนตรอัปสรก็สลบไปทันที
อ่านต่อตอนที่ 15