ฟ้ากระจ่างดาว ตอนที่ 6
ตกตอนกลางคืน มีคณารีบไขกุญแจจะกลับเข้าบ้าน ราวกับกลัวใจตัวเองจนต้องพยายามหาที่ตั้งหลัก หิรัณย์รีบลงจากรถตามมา
"พรุ่งนี้ผมมาทานข้าวเย็นด้วยได้มั้ย"
มีคณาชะงักไป อึ้งตอบไม่ถูก
"ถ้าคุณอึดอัดก็ไม่เป็นไรครับ"
หิรัณย์จ๋อยไปเล็กน้อย จะเดินกลับไปขึ้นรถ มีคณาลังเล ก่อนตัดสินใจพูดลอยๆไป
"สันติคงดีใจ"
หิรัณย์หายซึม ดีใจมาก รีบเดินมาหาที่รั้วอีกครั้ง มีคณาถอยห่างไปหลายก้าว
"มาทานด้วยทุกเย็นเลยได้มั้ย"
มีคณาสีหน้านิ่ง
"สันติเค้าไม่ชอบคนได้คืบเอาศอกค่ะ"
หิรัณย์แอบจ๋อย
"จะเปลี่ยนสันติได้ ต้องใช้ความเข้าใจ สำคัญที่สุดคือให้เวลาค่ะ"
หิรัณย์ยิ้ม เข้าใจนัยที่แฝงมากับคำพูดของเธอ
"โอเคครับ ทำไงได้ล่ะ ผมต้องยอมทุกอย่างแหละ เพราะผมหลงรักสันติเข้าซะแล้ว"
หิรัณย์ส่งตาหวานจนมีคณาชักเขิน
"กลับไปได้แล้ว"
มีคณารีบเดินหนีเข้าบ้านพร้อมแอบอมยิ้มเล็กน้อย หิรัณย์มองตาม ยิ้มดีใจมีความหวังขึ้นเยอะ
เวลาบ่าย ภายในตึกสยามสาร มีคณากำลังเช็กเมลอยู่หน้าเครื่องคอมพิวเตอร์บนโต๊ะทำงาน โดยมีไชยวัฒน์ยืนอยู่ใกล้ๆ
"วารียังไม่ตอบกลับมาเลยค่ะบอกอ"
ไชยวัฒน์สุดเซ็ง
"หายไปไหนของเค้าอีกเนี่ย โทรไปก็ปิดมือถือ อีเมลก็ไม่ตอบกลับ"
"คงตามข้อมูลเรื่องพลอยอยู่มั้งคะ"
"ไม่ต้องแก้ตัวแทนเพื่อนเลยมี่ สกู๊ปแค่นี้ ป่านนี้ควรเสร็จได้แล้ว มัวแต่เที่ยวกับแฟนจนลืมงานแน่ๆเลย" ไชยวัฒน์พูดหน้าหงิก
"บอกอพูดเหมือนไม่รู้จักวารี"
"ผมรู้จักพวกคุณทุกคนดี เฉพาะตอนที่ยังไม่มีแฟน"
มีคณาหลบสายตา เพราะมีชนักติดหลังเหมือนกัน
"ผมถึงไม่อยากให้รีบมีแฟนกันนัก เสียงานเสียการหมด"
ไชยวัฒน์หันไปจ้องหน้ามีคณา
"เธอเองก็อย่าเพิ่งรีบมีอีกคนล่ะ ผมขี้เกียจรับนักข่าวใหม่"
มีคณายิ้มแหยๆ ไม่ตอบ ได้แต่ขยับแว่นกระชับดั้งจมูกตามความเคยชิน
ขณะนั้นเอง โทรศัพท์มือถือสมาร์โฟนของมีคณาก็ดังขึ้น
" คุณษมาโทรมาพอดีเลยค่ะบอกอ"
มีคณากดรับ
"สวัสดีค่ะคุณษมา"
มีคณาฟังอีกฝ่าย หน้าเสียขึ้นเรื่อยๆ ไชยวัฒน์มองหน้าด้วยความสงสัย
"วารีเป็นยังไงมั่งคะ"
ผ่านเวลาเล็กน้อย ไชยวัฒน์บ่นแหลก แต่ก็เป็นห่วงลูกน้องมาก
"พูดจนปากจะฉีกไม่รู้กี่รอบแล้ว ว่าให้เลิกๆ โชคดีแค่ไหนแล้วที่ไม่ถึงตาย นี่ดีนะที่เค้าไม่เอาเรื่องที่ทำโรงเก็บเรือเค้าระเบิด ไม่งั้นจ่ายกันอานล่ะแม่วารีเอ๊ย"
มีคณามาคุยกับไชยวัฒน์อย่างเป็นความลับที่ห้องทำงาน มีคณาสงสัยมาก
"บอกอเชื่อจริงๆเหรอคะ ว่าวารีสูบบุหรี่จนเกิดระเบิด"
"ทำไม เธอคิดว่าคุณษมาจะโกหกเราเรอะ"
"ไม่ใช่หรอกค่ะ แต่มี่ไม่เห็นวารีสูบบุหรี่มาตั้งนานแล้วนะคะ ตั้งแต่เริ่ม..."
ไชยวัฒน์จ้องหน้ามีคณา
"เริ่มอะไร"
มีคณาเลือกใช้คำพูด
"เริ่มสนิทกับคุณษมาน่ะค่ะบอกอ"
"จริงเรอะ"
"จริงสิคะ มัทยังแซวเลยว่าความรักทำให้วารีเปลี่ยนไป แล้วทำไมอยู่ๆถึงมาสูบอีก แล้วจำเพาะเจาะจงต้องไปสูบที่โรงเก็บเรือตอนที่มีน้ำมันรั่วด้วย ทุกอย่างมันไม่ดูบังเอิญเกินไปหน่อยเหรอคะบอกอ"
ไชยวัฒน์คิดตาม
"แต่ก็นะ คนติดบุหรี่มันเลิกยาก วารีอาจจะพูดว่าเลิกให้พวกเธอสบายใจก็ได้ แล้วคุณษมาเค้าก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะมาหลอกเราไม่ใช่เหรอ"
มีคณารู้สึกคาใจบอกไม่ถูก
"บอกอคะ ขอมี่ไปเยี่ยมวารีได้มั้ยคะ"
มีคณาสีหน้าอ้อนวอน ไชยวัฒน์สีหน้านิ่ง
"ไม่ได้"
มีคณาจ๋อยไป
"ทำงานเธอให้เสร็จก่อนแล้วค่อยไปดีกว่า ขืนเธอไปอีกคนปิดเล่มไม่ทันแน่ๆ"
มีคณาได้แต่ถอนใจออกมา
"คุณษมาเค้าก็บอกว่าวารีปลอดภัยแล้ว วารีอยู่ในความดูแลของเค้า ไม่น่าเป็น
อะไรแล้วล่ะ...แต่ถ้าปิดต้นฉบับไม่ทัน คงมีหลายคนที่นี่ตายก่อนแน่นอน"
ไชยวัฒน์จ้องหน้ามีคณาแอบขู่ เธอแอบจ๋อย กระชับแว่นไปมา
มีคณาสีหน้าเป็นห่วง เดินคุยโทรศัพท์มือถืออยู่หน้าบ้านตัวเองตอนกลางคืน...
"แล้ววารีตื่นมาทานอะไรได้รึยังคะ"
ษมายืนคุยโทรศัพท์มือถือในห้องพักแขก มองดูสาระวารีด้วยความเป็นห่วง
"ให้ตื่นขึ้นมาได้ก่อนเถอะครับ แต่ไม่ได้มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วนะ ที่หลับเก่งขนาดนี้เป็นเพราะฤทธิ์ยาน่ะครับ"
มีคณาสีหน้าโล่งอก ก่อนถามกลับไป
"คุณหมอบอกรึเปล่าคะว่าจะกลับกรุงเทพได้เมื่อไหร่"
"ผมก็ยังไม่ทันได้ถามนะครับ แต่ก็คงต้องรอให้แผลหายดีขึ้นก่อน"
เสียงษมาขาดหายไป มีคณาพยายามฟัง
"ฮัลโหล คุณษมาคะ"
"ได้ยินมั้ยครับ"
" คุณษมาคะ... ได้ยินแล้วค่ะ"
"บางช่วงสัญญาณจะขาดๆ หายๆ นะครับ...ตกลงคุณมีคณาจะมาเยี่ยมวารีได้รึเปล่าครับ"
"ไปไม่ได้จริงๆ ค่ะ งานเยอะมากบอกอไม่อนุญาตด้วย"
"น่าเสียดายนะครับ ถ้าวารีมีเพื่อนสนิทมาอยู่ด้วย ผมคงสบายใจขึ้น"
ษมามองสาระวารี ด้วยสีหน้าเป็นห่วงมาก
มัทนาเดินออกมาคุยโทรศัพท์ที่สวนหย่อมแถวมุมตึก
"ได้ยินรึยังพี่มี่ ข้างในเสียงมันดัง มัทกำลังรอสัมภาษณ์อยู่ ว่าจะโทรหาพอดี"
หลังวางสายจากษมาเสร็จ มีคณาก็จะโทรบอกเรื่องสาระวารีกับมัทนา เธอคุยมือถืออยู่หน้าบ้านเหมือนเดิม เธอกำลังจะอ้าปากพูดต่อ แต่มัทนาคุยตัดมาซะก่อน...
"มัทงานยุ่งมากเลยพี่มี่ มัทจะรีบเคลียร์งานให้เสร็จๆ จะได้ย้ายไปโต๊ะการเมืองซะที"
มัทนาสีหน้าดีใจอย่างมีความหวัง จะได้ย้ายโต๊ะ
"ช่วงนี้คุณตวันก็ตามประกบมัทแจเลย เค้าบอกว่าเพื่อนเก่าเค้าจ้องจะทำร้ายมัท เค้าไม่อยากเป็นต้นเหตุให้มัทเดือดร้อน"
มีคณามีสีหน้าเป็นห่วง ลังเลจะเล่าดีมั้ย
"มัทก็ระวังตัวให้ดีก็แล้วกัน อย่าไปดื้อกับเค้า เค้าคอยตามคุ้มกันให้ก็ดี คิดซะว่าปลอดภัยไว้ก่อน...นี่มัท...บอกอโทรมาแจ้งข่าวอะไรบ้างรึยัง"
"ข่าวอะไรเหรอพี่มี่"
มีคณาสีหน้าเครียดๆ ขึ้นมา จะอ้าปากตอบ
"แค่นี้ก่อนนะพี่มี่"
มีคณาเสียจังหวะไปเล็กน้อย
"แหล่งข่าวออกมาแล้ว มัทรีบไปสัมภาษณ์ก่อน เกรงใจคุณตวัน มานั่งรอตั้งนานแล้วเสร็จงานถ้าไม่ดึกจนเกินไป มัทโทรกลับไปหานะคะบายค่ะ" มัทนากดตัดสาย
ขณะมัทนารีบร้อนจะวิ่งกลับไปตามสัมภาษณ์ เธอก็สะดุดตามความซุ่มซ่ามโก๊ะกังของเธอเล็กน้อย มีคณากดตัดสาย ถอนใจออกมาสีหน้าไม่สบายใจนัก เดินกลับเข้าบ้านไป
หิรัณย์ยืนสบายๆ ถือแก้วกาแฟเย็นในมืออยู่มุมหนึ่งในห้าง จับตามองเข้าไปในร้านตรงข้ามโทรศัพท์มือถือดังขัดจังหวะขึ้นมา หิรัณย์ดูเบอร์โชว์รีบกดรับ สีหน้าดีใจ
"สวัสดีครับคุณมี่"
"คุยได้มั้ยคะ รบกวนรึเปล่า"
"ไม่เลยครับ คุณโทรมาได้จังหวะพอดี ผมกำลังเบื่อ... ผีเสื้อราตรีเข้าไปในร้านเป็นชั่วโมงแล้ว ไม่ยอมออกมาซะที"
มีคณาเดินคุยโทรศัพท์มือถืออยู่ที่สยามสาร
"ทำไมสารวัตรไม่ตามเข้าไปล่ะคะ"
มีคณาเดินต่อไปที่โต๊ะทำงาน
"ตามไม่ได้หรอกครับ"
หิรัณย์ยืนแกร่วรออยู่หน้าร้านชุดชั้นในผู้หญิง
"เธอเข้าไปในร้านชุดชั้นใน ขืนผมเข้าไปคงเกรียวกราวน่าดู"
มีคณาขำๆ แล้วนั่งลงที่ทำงาน
"เป้าหมายผู้หญิงยังงี้ ทีมสารวัตรน่าจะใช้ตำรวจหญิงตามนะคะ"
"ตามเข้าไปแล้วครับ ผมถึงได้ใจเย็นรออยู่ตรงนี้ได้ไง"
"คุณมี่โทรมาทำไมครับเนี่ย อย่าบอกนะว่าคิดถึงผม"
มีคณาชะงักไป เขินๆ แต่ไม่ได้โกรธ ถ้าเป็นเมื่อก่อนหิรัณย์ก็คงไม่กล้าพูด มีคณากระเซ้าแก้กลับ "คิดถึงค่ะ แต่เป็นเรื่องงาน"
หิรัณย์ทำหน้าเสียดาย
"ว้า แค่เรื่องงานเหรอครับ"
"ฉันเขียนสกู๊ปฝึกสุนัขตำรวจเสร็จแล้วนะคะ จะเมลไปให้สารวัตรอ่าน เผื่อจะมีอะไรเพิ่มเติม"
"ขอบคุณครับ เย็นนี้เรานัดกันแล้วนะ ลืมรึเปล่าครับ"
มีคณาชะงักไปเล็กน้อย แอบเขินอยู่เหมือนกัน
"แล้วผีเสื้อราตรีของสารวัตรจะทำยังไงคะ"
"ผมเฝ้ามาตั้งแต่เช้าแล้ว เดี๋ยวมีคนมาเปลี่ยนเวร เย็นๆ ผมไปรับที่สยามสารนะครับ"
มีคณาอึกอักลังเลเล็กน้อย จะเปิดตัวเร็วไปมั้ย
"นะครับ"
"มาถึงแล้วก็โทรขึ้นมาแล้วกัน แค่นี่นะคะ ขอทำงานก่อน"
มีคณากดตัดสายไป แอบอมยิ้มมีความรู้สึกกระชุ่มกระชวยในใจพิกล
เวลาเย็น สันติกำลังเตะบอลกับเพื่อนๆ ที่สนามของโรงเรียนช่างหมื่นอย่างสนุกสนานกันไป
หิรัณย์และมีคณาเดินเข้ามาดูที่ขอบสนาม สันติเหลือบตาเห็นทั้งคู่ก็หยุดเล่นบอกเพื่อนๆ
"เฮ้ย กลับก่อน"
สันติวิ่งไปหาพร้อมยกมือไหว้ แต่ตรงไปหาหิรัณย์ซะมากกว่า
"เตะบอลกับเพื่อนที่สนามของโรงเรียนแบบนี้ดีแล้ว ปลอดภัยกว่าเยอะ"
"วันนี้สารวัตรเค้าจะพาเราไปทานข้าวเย็นนอกบ้าน" มีคณาบอก
สันติดีใจถาม
"จริงเหรอสารวัตร"
หิรัณย์ยิ้มๆพยักหน้ารับ
"สุดยอดเลย เบื่ออาหารโรงเรียนจะแย่อยู่แล้ว เช้าก็กินโรงเรียน กลางวันก็กิน เย็นก็กินก่อนกลับบ้านอีก"
"ไม่ต้องมาบ่นมากเลย จะกินก็รีบไปล้างหน้าล้างตาเร็วๆ เข้า"
สันติรีบวิ่งไปเข้าห้องน้ำ หิรัณย์ยิ้มๆ
"ได้อารมณ์เหมือนพ่อแม่มารับลูกเลยนะครับ"
หิรัณย์หันมายิ้มหวานมองหน้ามีคณา เธอชะงักไป ไม่กล้าสู้ตา รีบเดินนำกลับไปก่อน
หิรัณย์มองตาม ก่อนที่ลูกบอลจะกลิ้งเลยมาทางหิรัณย์ เขาใช้เท้าหยุดลูกไว้แล้วเตะงามๆ ส่งกลับไปให้เด็กๆ
หิรัณย์เดินโอบบ่าสันติจากทางเดินโรงเรียนออกไปทางหน้าโรงเรียน มีคณาเดินตามหลังแอบฟังที่สองหนุ่มคุยกันห่างๆ
"พี่ชายลุงทำอาหารเก่งมากนะ ตอนนี้เค้ามีบริษัททำอาหารกระป๋องส่งออก รวยมาก"
สันติสนใจฟัง
"ถ้าติลองฝึกทำอาหารกินเอง ทำให้ป้ามี่ชิมไปเรื่อยๆ ไม่แน่นะ วันนึงติอาจจะเป็นกุ๊กชื่อดัง ทำร้านอาหารดีๆ หรูๆ รวยเหมือนพี่ชายลุงก็ได้"
สันติหยุดเดิน สีหน้าใช้ความคิด
"ไม่อยากเป็นพ่อครัว"
"แล้วติอยากเป็นอะไรละ"
มีคณามองหลานชายอยากรู้ว่าจะตอบว่าอะไร
"ติอยากเป็นตำรวจมากกว่า"
สันติเดินนำต่อไปแบบไม่รอใครเลย หิรัณย์หันไปสบตากับมีคณา ทั้งคู่แปลกใจนึกไม่ถึงเหมือนกันว่าสันติจะอยากเป็นตำรวจ
เวลาหัวค่ำ หิรัณย์กำลังตักเครื่องปรุงใส่ชามบะหมี่แห้งเป็ดย่างตรงหน้าพร้อมถามไป
"ติอยากเป็นตำรวจเพราะอะไร"
สันติยักไหล่
"ย่าคงชอบ ย่าอยากให้เป็นเจ้าคนนายคน ไปไหนมีแต่คนนับถือ ไปบ้านไหนมีแต่คนต้อนรับ ไม่ไล่เราเหมือนหมูเหมือนหมา"
"ถ้าแค่นี้ ลุงว่า ย่าติตะหากที่อยากเป็นตำรวจ ไม่ใช่ตัวติเองหรอก"
มีคณาปรุงอาหารไปพร้อมเหลือบตามองสันติว่าจะตอบอะไร
"ไม่ใช่ ย่าไม่ได้บอกให้เป็นตำรวจ ติอยากเป็นเอง มันเท่ดี ติอยากแต่งเครื่องแบบเท่ๆ แต่ไม่ต้องแต่งก็ได้ เหมือนลุงไง เท่สุดๆ"
หิรัณย์หันไปยิ้มยืดๆ โชว์มีคณาที่เหยียดปากหมั่นไส้ สันติคลุกบะหมี่ไปพร้อมคุย
"ถ้าติเป็นตำรวจ ก็จะไม่มีใครรังแก ไม่มีใครมาหัวเราะเยาะ ทุกคนกลัวขี้หดหมด"
สันติหัวเราะชอบใจ มีคณาส่งเสียงปรามตำหนิที่พูดจาไม่สุภาพบนโต๊ะอาหาร
"ติ"
สันติทำไม่รู้ไม่ชี้กินบะหมี่ไป
"ติต้องทำงานหนักมากแลกกับความเท่ไหวรึเปล่าล่ะ"
สันติเหลือบตามองหิรีณย์
"คนร้ายบางทีก็ไม่วิ่งหนีตำรวจหรอกนะ ยิงสู้ก็มี ติไม่เคยได้ยินเหรอ ตำรวจถูกยิง ถูกตี ถูกแทง งานตำรวจต้องเสี่ยงอยู่ตลอดเวลาเลยนะติ"
"น่าสนุกดีออก"
"สนุกบางเรื่อง บางเรื่องก็ไม่ไหว...เป็นตำรวจต้องเจอแต่เรื่องแย่ๆ ทะเลาะกันก็มาหาตำรวจ โจรเข้าบ้านก็เรียกตำรวจ งูเข้าบ้านยังเรียกตำรวจเลย"
สันติหยุดกิน ฟังอย่างคิดตาม
"แต่พอทำผิดกฎหมายเห็นๆ เช่นเล่นไพ่ ขับรถผิดกฎจราจร ตำรวจไปจับก็กลายเป็นตำรวจรังแกประชาชน วันๆ มีแต่เรื่องปวดหัว ติแน่ใจแล้วเหรอว่าโตขึ้นอยากเจอแต่เรื่องน่าปวดหัวแล้วก็เสี่ยงอันตรายยังงี้ทุกวัน"
สันติมองหน้าหิรัณย์
"ถ้าเป็นตำรวจแล้วไม่ดี ลุงจะเป็นทำไมล่ะ"
มีคณารีบก้มหน้าซ่อนยิ้มเอาไว้ ชอบที่หลานฉลาดถาม หิรัณย์ได้แต่ขำๆ ออกมา ยกมือขึ้นเกาหัวเล็กน้อย
เวลาต่อมา มีคณากำลังไขกุญแจรั้วหน้าบ้านอยู่ หิรัณย์กอดคอสันติที่ถือกระเป๋านักเรียนคุยอยู่ข้างๆ
"ตอนเด็กๆ ลุงก็คิดคล้ายๆ ติแหละว่าแต่งเครื่องแบบตำรวจแล้วเท่ แต่พอได้มาเป็นตำรวจจริงๆ มันทำให้ลุงรู้ว่ามันมีอะไรมากกว่าแค่เท่"
มีคณาไขกุญแจได้แต่ยังไม่เปิดประตู รอฟังเหมือนกัน
"แล้วอะไรล่ะ"
หิรัณย์มองหน้าสันติ
"อาชีพนี้ทำให้ลุงรู้สึกว่าตัวเองมีค่า ได้ทำประโยชน์เพื่อคนอื่น ได้ตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน"
มีคณาแอบยิ้มชื่นชมออกมา
"โอเคถึงจะเหนื่อย จะลำบาก ต้องเสี่ยง แต่ยิ่งทำลุงก็ยิ่งรักงานนี้"
สันติสีหน้ามุ่งมั่น
"ติตัดสินใจแล้ว ติจะเป็นตำรวจ"
มีคณาเปิดประตูรั้วพร้อมหันมามองสันติ
"เป็นตำรวจอย่างเดียวไม่พอ ต้องเป็นตำรวจที่ดีด้วย"
"เหมือนลุงใช่มั้ยครับ"
หิรัณย์ยิ้มพอใจมากวางมือบนหัวสันติ
"เรานี่เป็นเด็กฉลาดมากนะ"
มีคณาแอบหมั่นไส้
"แล้วติไปรู้ได้ไงว่าลุงเค้าเป็นตำรวจที่ดี"
"ถ้าลุงไม่ดีป้าจะรักเหรอ"
มีคณาอึ้งไปเลย หน้าแดงร้อนผ่าว อายมาก สันติกึ่งเดิน กึ่งวิ่งรีบเข้าบ้านนำไปก่อน หิรัณย์อมยิ้มชอบใจ
มีคณายื่นมือไปหยิกแขนเขา
เสียงโทรศัพท์มือถือมีคณาดังขัดขึ้นพอดี หิรัณย์ยิ้มๆ ฉวยโอกาสหนีกลับเข้าบ้านไป มีคณาเหล่มองค้อนใส่พร้อมกดรับสาย
" ว่าไงจ๊ะมัท"
มีคณาฟังอีกฝ่ายแป๊บนึงก่อนถามไปด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง
"ทำไมเดินทางดึกนักล่ะ เกาะยานกไม่ได้อยู่ที่ตราดนะ ต้องข้ามเรือไปอีก"
มีคณาฟังอีกฝ่ายพร้อมเดินเข้ารั้วบ้านมา
"แล้วนี่ใครไปเป็นเพื่อนมัทล่ะ"
มัทนา น้ำเสียงเขินเล็กน้อย ตอบไม่เต็มเสียงนัก
"คุณปอน"
"ใครนะ"
มีคณาไม่คุ้นกับเชื่อเล่น มัทนาตอบเสียงอายๆ
"คุณตวันไง"
มีคณาอดแซวไม่ได้
"จะไปสวีตกันที่เกาะยานก 2 คู่ชู้ชื่นเลยเหรอจ๊ะ น่าอิจฉา"
หิรัณย์เดินกลับออกมาบอกมีคณา
"มัวแต่คุย ลืมขนมหวานเลย"
เสียงหิรัณย์ลอดเข้าไปในโทรศัพท์ของมัทนา ก่อนเดินไปไขรถ
"เสียงผู้ชายที่ไหน พี่มี่อยู่กับใครอ้ะ"
มีคณารีบตัดบท
"แค่นี้นะ ฝากเยี่ยมวารีด้วยล่ะ เดินทางปลอดภัยจ้ะ"
มีคณากดตัดสายพร้อมเป่าปากโล่งอก
หิรัณย์และมีคณาช่วยกันเอาขนมหวานใส่ถ้วยในครัวพร้อมคุยกันไป
"ตกลงจับผีเสื้อราตรีได้รึยังคะ"
"ยังเลยครับ แต่ผมโดนโยกไปทำคดีอื่นแล้ว คุณมี่เคยได้ยินชื่อไข่มุกคิเรยนะมั้ย"
"บริษัทเครื่องประดับญี่ปุ่นใช่มั้ยคะ เห็นข่าวแว๊บๆ ว่าถูกโจรกรรมที่ญี่ปุ่น"
มีคณาเดินไปหยิบช้อนมาใส่ถ้วยขนมหวาน
"ใช่ครับ"
หิรัณย์ยกถ้วยขนมไปที่โต๊ะอาหารพร้อมคุยไปด้วย
"ตอนนี้ข่าววงในว่า ไข่มุกชุดนั้นอาจจะถูกลักลอบเข้าเมืองไทยแล้ว"
" แย่จัง คงไม่ใช่ฝีมือคนไทยหรอกนะคะ"
มีคณาหันไปเปิดตู้เย็น รินน้ำใส่แก้ว 2 ใบ
"แย่ครับที่ใช่คนไทย"
มีคณาค้างไปทันที
"เป็นพวกนายทุนไม่ใช่คนงาน ผู้ต้องสงสัยคนนี้สุดยอดครับ เป็นผู้ส่งออกชั้นเยี่ยม ทั้งผู้หญิง ทั้งยา"
มีคณาอึ้งไป รู้สึกไม่ดี ยกแก้วน้ำ 2 แก้วมาที่โต๊ะอาหาร
"ขอบคุณครับ คุณมี่อยากทำข่าวนี้มั้ยล่ะ"
"ก็น่าสนใจนะคะ"
"พรุ่งนี้จะมีแถลงข่าว เค้าเชิญนักข่าวไม่กี่ฉบับ ถ้าคุณจะไป ผมจะให้เพื่อนใส่ชื่อสยามสารไว้ในลิสท์ให้"
"ฉันสนใจนะคะ แต่ต้องขอโทรถามบอกอก่อน สารวัตรทานขนมไปก่อนค่ะ"
มีคณาหยิบมือถือโทรไปหาบ.ก.ไชยวัฒน์ หิรัณย์นั่งลงทานขนมหวานไปพร้อมชำเลืองมองทางมีคณา
ผู้หญิงแกร่งขยันทำงานคนนี้จริงๆ
วันต่อมา ในบรรยากาศห้องแถลงข่าว มีนักข่าวทยอยกันมาฟังการแถลงข่าวพอสมควร หิรัณย์เดินเข้าห้องแถลงข่าวมากวาดตามองหามีคณา แต่ไม่เห็นเธอ... ที่ประตูทางเข้าห้องแถลงข่าว มีคณาเดินเข้าห้องมาในชุดสวยตามสไตล์ของเธอหากแต่ไม่ได้ใส่แว่น เธอดูสวยขึ้น เขายิ้มปลื้มแต่ไม่ถึงกับตะลึงแต่รู้สึกแปลกตา เธอเดินเข้าห้องมา มีเพื่อนนักข่าวอีกคนเดินจับแขนมีคณาตามเข้ามาด้วย
หิรัณย์รีบเดินไปหามีคณา เธอเห็นชัดว่าเป็นหิรัณย์ แต่โฟกัสไม่เป๊ะ เธอและเพื่อนนักข่าวยกมือไหว้
"นึกครึ้มยังไงครับ วันนี้ถึงได้ไม่ใส่แว่น"
"เปล่าหรอกค่ะ มี่ถอดแว่นมาเช็ด แต๊กวิ่งมาชนแว่นตก"
มีคณาเหล่มองเพื่อนนักข่าว
"แล้วแต๊กเหยียบซ้ำอีกค่ะ โทษน่ะมี่"
มีคณาฉีกยิ้มให้ แต่ไม่แฮปปี้นัก
"งั้นเดี๋ยวผมเทคแคร์คุณมี่ให้เอง...ทางนี้ครับ"
หิรัณย์ยิ้มพอใจ ยื่นมือให้จับ พร้อมโค้งขี้เล่นเล็กน้อย มีคณาหมั่นไส้ ตีมือหิรัณย์
"ยังมองเห็นอยู่ค่ะ" มีคณาเดินนำไปหาที่นั่ง
หิรัณย์ยิ้มๆ รีบเดินตามมีคณาไปนั่งยิ้มกริ่มประกบข้างนักข่าวสาวไม่ห่าง
ผ่านเวลาถึงสายวันหนึ่ง
กระดาษ a4 แผ่นหนึ่งพิมพ์ข้อความโปรยหัวว่า โปรดทราบ...เนื้อความข้างในบอกประมาณว่า ขณะนี้พี่สาระวารีปลอดภัยแล้ว ทุกคนไม่ต้องเป็นห่วง คงเดินทางกลับมาทำงานได้เร็วๆ นี้ เหตุการณ์โรงเก็บเรือที่เกาะยานกระเบิดไม่ใช่ความเลิ่นเล่อ เพราะสูบบุหรี่ไม่เลือกที่ของพี่สาระวารี แต่เป็นเพราะมีผู้จงใจสร้างสถานการณ์เพื่อทำร้ายสาระวารีโดยอ้างว่าเป็นอุบัติเหตุ และที่สำคัญพี่สาระวารีเลิกสูบบุหรี่ได้แล้ว เพื่อนๆพี่ๆ ที่สยามสารก็รู้กันดี ขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจจับตัวการได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว..รบกวนหยุดกระพือข่าวลือที่ไม่ถูกต้องด้วย...
ลงชื่อท้ายประกาศว่า ...3 ทหารเสือสาว...
มัทนาแปะประกาศแผ่นนั้นที่บอร์ด...หลังเดินทางกลับมาจากเยี่ยมสาระวารีแล้ว ข้อความเดียวกันถูกแปะประกาศตามบอร์ดต่างๆ อีกหลายบอร์ดทั่วสยามสาร จนถึงบอร์ดสุดท้าย มัทนายิ้มกริ่มพอใจ
ผ่านเวลาซักพัก มัทนาและมีคณานั่งคุยงานกับไชยวัฒน์ ภายในห้องทำงาน บ.ก. สีหน้าใช้ความคิด
นั่งเกาคางไปมา
"น่าสนใจนะ อาจจะเอามาทำข่าวก็ได้"
มัทนาแปลกใจ
"เรื่องพี่วารีเนี่ยนะคะ"
"ไม่ใช่ จะหาเรื่องให้วารีมาฉีกอกผมรึไง"
"แล้วเรื่องอะไรเหรอคะบอกอ"
"ก็เรื่องสมุนไพรน่ะสิ ตอนนี้มี่มีข่าวอะไรอยู่ในมือมั่งล่ะ"
"ก็กำลังตามเรื่องที่สถานทูตญี่ปุ่นขอให้ตำรวจไทยเร่งสืบคดีโจรกรรมไข่มุกดำน่ะค่ะ" มีคณาบอก
ไชยวัฒน์พยักหน้ารับทราบ
"งั้นเอาเรื่องนี้ไปทำด้วย ลองคุยกับพวกหมอ หาตัวอย่างสมุนไพรพิษที่มันเห็นง่ายๆ รอบตัวเรานี่แหละ มันจะได้ช็อกคนอ่านดี"
"ค่ะ"
ไชยวัฒน์ส่งแผ่นข่าวแจก 3-4ใบให้มัทนา
"ส่วนนี่งานของคุณ ไม่ต้องอะไรมากมาย พาเด็กใหม่ไปงานแล้วคุมให้เขียนข่าวซุบซิบสั้นๆก็พอ"
"ค่ะบอกอ"
มัทนารับแผ่นข่าวไปดูผ่านๆ ไชยวัฒน์นึกได้หยิบแผ่นข่าวมาให้อีกใบ
"เอ้อ งานแฟชั่นตวัน คิดว่าเป็นหน้าที่ของเธอนะ"
มัทนายิ้มแย้ม เสียงสดใส
"เรื่องนี้แน่นอนอยู่แล้วค่ะ"
"ไม่มีอะไรแล้ว ไปทำงานกันได้"
ไชยวัฒน์หันไปทำงานหน้าจอคอมฯต่อ มีคณาและมัทนาลุกขึ้นจะเดินออกไปจากห้อง
มีคณาดูเขินแอบหน้าแดงจับมือมัทนาไว้
"ไปทานข้าวด้วยกันนะ พี่มีเพื่อนจะแนะนำให้รู้จัก"
มัทนาสีหน้าสงสัย เหล่มองมีคณา
ผ่านเวลาซักครู่ มีคณาเคาะประตูห้องรับรองแขกก่อนเปิดเข้าไป มัทนาอยากเห็นหน้าเพ่งมองเข้าไป
หิรัณย์กำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ในห้อง เขาค่อยๆ ลดหนังสือพิมพ์ลง พร้อมส่งยิ้มหล่อต้อนรับ
"หล่อเลยอ้ะ" มัทนากระซิบบอกมีคณา
มีคณาหยิกแขนปรามมัทนาเล็กน้อยให้สำรวมอาการ เธอปั้นหน้าปกติ แนะนำ
"นี่สารวัตรหิรัณย์"
มัทนายกมือไหว้ ยิ้มแป้น
"สวัสดีค่ะ"
หิรัณย์ยิ้มแย้มรับไหว้
"ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ มัทได้ยินชื่อมาตั้งนาน เพิ่งจะได้เจอตัวจริงวันนี้เอง... มัทก็คิดในใจ เอ๋ ผู้ชายลักษณะยังไงนะ ที่เอาชนะใจพี่มี่ได้"
มีคณาเขินจัด หยิกแขนมัทนาบิด
"โอ๊ย ๆ"
หิรัณย์อมยิ้มไปมา
"นี่น้องมัทนาที่เคยเล่าให้ฟังไงคะ" มีคณารีบตัดบท
"แฟนคุณเขตต์ตวัน" หิรัณย์ยิ้มแย้มบอก
มัทนาอายมากยิ้มค้างไปเลย มีคณาแอบอมยิ้มสมน้ำหน้า หิรัณย์ขยิบตาให้มีคณา ประมาณช่วยเอาคืนแก้เขินให้
มัทนาจะหยิกเอวมีคณา เธอรู้ทัน เบี่ยงตัวหลบ
"ไปทานข้าวกันเถอะค่ะ"
มัทนาฉีกยิ้มให้หิรัณย์ก่อนรีบตามมีคณาออกไป ทั้งเขินปนอาย
หิรัณย์ยิ้มลุกเดินตามออกไปอีกคน
ฟ้ากระจ่างดาว ตอนที่ 6 (ต่อ)
บ้านหิรัณย์ตอนหัวค่ำวันหนึ่ง ทุกคนทานข้าวอิ่ม... มีคณาช่วยกัลยายกจานอาหารที่ทานแล้วไปไว้ในครัว
สันติมองตามกัลยาแล้วช่วยยกจานตามไป แบบไม่ต้องมีใครสั่ง หิรัณย์มองตามสันติไป ก่อนจะลุกเดินไปนั่งนำที่โซฟารับแขก
กัลยาเดินนำกลับออกมา จะยกจานที่เหลือ
"ไม่ต้องครับคุณยาย เดี๋ยวติยกเก็บให้เอง"
"ขอบใจมากลูก"
มีคณาเดินตามออกมา ไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง สันติเดินยกจานอาหารที่ทานแล้วไปเข้าครัว
สาวใช้รีบตามออกมาช่วยยกจานอาหารไปล้าง มีคณาเดินคุยกับกัลยาไปที่โซฟารับแขก
"อยู่บ้านติไม่เคยช่วยยังงี้หรอกนะคะ ดื่มน้ำแก้วนึงยังวางทิ้งไว้เลย ต้องเตือนถึงจะยอมไปล้างเก็บ"
มีคณาและกัลยาไปนั่งกับหิรัณย์ที่โซฟารับแขก
"งั้นผมต้องพาคุณมี่กับหลานมาเป็นลูกค้าครัวกัลยาบ่อยๆแล้วล่ะ ไม่เท่าไหร่ รับรองสันติทำงานบ้านเป็นทุกอย่าง"
กัลยายิ้มแย้ม
"หนูมี่ต้องอย่าไปใช้เค้า ทำให้เค้าเห็นก่อน ให้เค้ารู้ว่าเราเหนื่อย แล้วเราขอร้องให้เค้าช่วย เค้าจะเต็มใจช่วยเราเองมากกว่าไปชี้นิ้วสั่ง"
"ลูกๆ บ้านนี้เจอมุกนี้ทุกคน เอะอะ โอ๊ยหมดแรง โอ๊ยแม่เหนื่อย จะเป็นลม ที่แท้จะนั่งดูละคร"
กัลยาขำๆ ตีตักลูกชายเบาๆ
"ถ้าใช้วิธีคุณป้า มี่คงต้องทำงานเองจนแก่ตายล่ะค่ะ สันติไม่มีทางสงสารมี่หรอกค่ะ จะสมน้ำหน้าเอามากกว่า"
"อย่าไปดูถูกน้ำใจหลานแบบนั้นสิ"
สันติเดินกลับออกมา
"สันติ ช่วยหยิบผลไม้ในตู้เย็นให้ยายหน่อยสิลูก เอาส้อมมาด้วยนะ แล้วมานั่งทานด้วยกัน"
"ครับคุณยาย" สันติเดินกลับไปทางครัว
มีคณาอึ้งๆเล็กน้อย หิรัณย์กระเซ้า
"บารมีผิดกัน"
มีคณาชายหางตาค้อนใส่หิรัณย์เล็กน้อย
"เราก็พูดเกินไปไม่ขนาดนั้นหรอก" กัลยาจับมือมีคณา
"สันติโตมากับย่าไม่ใช่เหรอหนู"
"ค่ะ"
"ไม่แปลกหรอกที่เค้าจะรู้สึกผูกพันกับคนสูงอายุมากกว่าสาวๆแบบหนู"
หิรัณย์อมยิ้มดีใจที่แม่เอ็นดูคนรัก กัลยาบีบมือมีคณาเบาๆ ให้กำลังใจ
"แต่หนูมี่ไม่ต้องห่วงนะลูก เด็กน่ะยังไงก็เด็กวันยังค่ำ ถึงจะร้ายหรือมีภูมิหลังยังไงมา แต่ถ้าเราให้ความรัก ความจริงใจ ไม่นานหรอกเค้าก็จะรักจะผูกพันกับหนูไปเอง"
มีคณายิ้มรับ
"ค่ะคุณป้า"
สันติถือถาดใส่ผลไม้ออกมาวางที่กลางโซฟา
"นั่งข้างยายนี่ลูก"
สันติไปนั่งชิดกัลยาจิ้มผลไม้กิน ดูยิ้มแย้มแจ่มใสเหมือนเด็กว่าง่ายคนนึง มีคณายิ้มออกมาอย่างมีกำลังใจขึ้น
สยามสารตอนสายวันหนึ่ง มัทนานั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะ โทรศัพท์โต๊ะดังขัดขึ้น เธอเอื้อมมือไปยกหูมารับ
"โต๊ะข่าวบันเทิงค่ะ"
"อย่ายุ่งกับผู้ชายคนนั้น ถ้าไม่อยากตกนรกทั้งเป็น"
"คุณเป็นใคร ต้องการอะไร"
มีคณาเดินมาหามัทนาเห็นคุยโทรศัพท์หน้าขึงขังอยู่ ก็มองดูด้วยความแปลกใจ
"เธอไม่จำเป็นต้องรู้ รู้แต่ว่าฉันโทรมาเตือนด้วยความหวังดี จำเอาไว้ ถอยห่างจากเค้า ไม่ยังงั้นเธอจะต้องเสียใจ"
"เธอพูดถึงใคร ฉันไม่เข้าใจ"
ปลายสายวางไปแล้ว
"ฮัลโหลๆ บ้าจริงๆ" มัทนากระแทกหูวางไปด้วยความหงุดหงิด
"ใครโทรมาเหรอมัท"มีคณาถาม
"ไม่รู้เหมือนกันพี่มี โทรมาขู่ไม่ให้มัทยุ่งกับผู้ชายคนนั้น คนไหนก็ไม่บอก"
"ผู้หญิงโทรมาใช่มั้ย"
"ค่ะ ดัดเสียงด้วย เสียงคุ้นมากๆเลย อ๋อ นึกออกแล้ว ต้องเป็นคุณบุษย์แน่ๆ เลย เลขาของคุณตวันน่ะค่ะพี่มี่"
" งั้นก็สงสัยพวกเลขาหวงเจ้านาย เห็นมัทสนิทกับคุณตวันก็เลยอิจฉา หาเรื่องมากวนประสาทมัทเล่น"
มัทนาอายๆ รีบปฏิเสธ
"จะมาอิจฉามัททำไมคะพี่มี่"
มีคณายิ้มล้อเลียน
"นั่นน่ะสิ จะมาอิจฉาเรื่องอะไรดีน๊า"
"พี่มี่อ้ะ"
มีคณาขำๆ ยื่นมือไปขยี้หัวมัทนาอย่างเอ็นดู มัทนาก็แอบเขินไปมา
เวลาเย็น บริเวณหน้าตึกสยามสาร คนขับรถหน้าเหี้ยมรีบวิ่งลงมาเปิดประตูรถรอทันทีที่เห็นมัทนาและเชนมาถึง มัทนาเดินนำมาก่อนเห็นเงาสะท้อนของเชนจากกระจกรถ เชนมองมาที่เธอด้วยหน้าตาโหดเหี้ยม แววตาดุดัน สีหน้าประสงค์ร้าย มัทนาผงะไปเล็กน้อย ชักลังเลที่จะขึ้นรถ
หิรัณย์มาถึงสยามสารไล่เลี่ยกัน จะตรงเข้าไปทักทาย เชนรีบกดมัทนาเข้ารถไป ปิดประตูตามทันที
"รีบออกรถเร็วเข้า" เชนสั่งคนขับหน้านิ่ง
คนขับรีบไปขึ้นรถพร้อมๆกับเชนที่เดินก้มหน้าก้มตาอย่างเร็วอ้อมไปขึ้นรถ ขมคอยเปิดประตูรถให้เชนก่อนจะรีบปิด แล้วเดินไปนั่งหน้าข้างคนขับด้วยท่าทางระแวดระวัง หิรัณย์มองตามอยู่ห่างๆ รถติดฟิล์มดำมากจนมองไม่เห็นมัทนาในรถ
อึดใจรถก็แล่นออกไป หิรัณย์มองตามไป รู้สึกติดใจสงสัยบางอย่างตามสัญชาตญาณตำรวจ
มีคณากำลังนั่งทำงานอยู่ โทรศัพท์มือถือดังขัดขึ้น เธอดูเบอร์โชว์แล้วส่ายหน้าออกมาแบบอมยิ้มเอ็นดู
"อย่าบอกนะว่าอยู่ที่ล็อบบี้" มีคณาบ่นพึมพำ พลางถอนใจเล็กๆ แต่ก็กดรับ
"สวัสดีค่ะสารวัตร"
"ผมอยู่ที่ล็อบบี้นะ"
มีคณายิ้มๆ อารมณ์ประมาณนึกอยู่แล้ว หิรัณย์คุยโทรศัพท์มือถือ สีหน้าร้อนใจอยู่ที่ล็อบบี้
"คุณมี่รู้มั้ยว่าคุณมัทออกไปกับใคร"
"คุณเชนค่ะ"
"เค้าเป็นใครเหรอครับ"
"เพื่อนรู้จักกันที่ภูเก็ตน่ะค่ะ"
หิรัณย์มีแววกังวลๆ
"ไว้ใจได้แค่ไหนครับ"
มีคณาชักไม่สบายใจ
"ทำไมถามแบบนี้ล่ะคะ"
"ผมสังหรณ์ใจแปลกๆ"
มีคณาชักเป็นห่วงมัทนา เพราะเชื่อเซนส์หิรัณย์
"แล้วตอนนี้มัทอยู่ไหนคะ"
"ออกไปกับเค้าแล้ว คุณมีเบอร์คุณเขตต์ตวันมั้ย"
"มีค่ะ มัทให้ไว้เผื่อฉุกเฉิน"
"งั้นรีบโทรหาเค้าเดี๋ยวนี้เลยนะครับ"
มีคณารีบค้นหาเบอร์โทรศัพท์จากในเครื่องทันทีด้วยความร้อนใจเป็นห่วงมัทนา
เวลาเย็นภายในห้องรับรองแขกออฟฟิศสยามสาร หิรัณย์และมีคณากลับมาหาเขตต์ตวัน
"ผมให้ลูกน้องตามแล้วนะครับ ถ้าได้ความคืบหน้าแล้วจะติดต่อกลับมา"
"ขอบคุณมากครับ" เขตต์ตวันบอก
"งั้นฉันลองไปหาบุษย์ที่คอนโดดีกว่า เผื่อจะนอนหลับอยู่เราเลย ติดต่อไม่ได้" เอกชัยว่า
"ถ้าเจอตัวแล้วรีบโทรหาฉันทันทีเลย"
เอกชัยพยักหน้ารับแล้วรีบออกจากห้อง
"ผมทนรอฟังข่าวอยู่เฉยๆไม่ได้หรอกครับ" เขตต์ผุนผันออกไปจากห้อง
"คุณตวันจะไปไหนคะ" มีคณาถามอย่างร้อนใจ
อดีตพระเอกหนุ่มผุนผันออกจากห้องไป ไม่ทันได้ตอบ
"ผมตามไปดีกว่า" หิรัณย์เดินไปที่ประตู
"ขอฉันไปด้วยคนได้มั้ยคะ"
หิรัณย์หยุดกึก
"ด้วยความยินดีเลยครับ"
หิรัณย์เปิดประตูโค้ง ผันมือเชิญ มีคณาอดเขินไม่ได้ อมยิ้ม รีบเดินก้มหน้าก้มตาออกไปอย่างเร็ว
หิรัณย์รีบตามออกไปติดๆ
เวลาต่อเนื่องมา ตำรวจกระจายกำลังกันล้อมหน้าตึกร้านเชนเพิร์ล รถตำรวจเปิดไซเรนจอดอยู่หลายคัน
เขตต์ตวันอยู่กับมีคณาและหิรัณย์ ตำรวจเคลียร์สถานที่ กระจายกำลังเข้าไปในร้านเชนเพิร์ล พนักงานตกใจมารวมตัวกันวิพากษ์วิจารณ์
เขตต์ตวันและมีคณาเดินตามหาในห้องรับรองลูกค้า ห้องโชว์ไข่มุก ฯลฯ หิรัณย์เดินตามหา เขตต์ตวันและมีคณาออกมาจากห้องรับรองคนละห้อง
"เจอมั้ยครับ"
หิรัณย์หน้าขรึมลง
"ค้นจนทั่วแล้วครับ คุณมัทไม่ได้อยู่ที่นี่ครับ" หิรัณย์บอก
"แล้วนายนั่นล่ะคะ"
"พนักงานบอกว่าวันนี้ยังไม่ได้เข้ามาเลย" หิรัณย์บอก
"ยังเชื่อไม่ได้หรอกค่ะ ปกป้องกันมากกว่า"
เขตต์ตวันหน้าเครียด ถอนใจแรงออกมาด้วยเป็นห่วงมัทนามาก
บริเวณล็อบบี้เชนเพิร์ล หิรัณย์ใช้โทรศัพท์มือถือของมีคณาคุยอยู่กับวาสิฏฐี เขาถามย้ำกลับไป
"ไข่มุกดำนี่เป็นของผู้ชายที่ไปกับมัทนาแน่ๆ ใช่มั้ยครับ"
หิรัณย์รับฟังก่อนซักต่อ
"น้องช่วยอธิบายลักษณะของไข่มุกดำให้พี่ฟังอย่างละเอียดทีซิครับ"
มีคณาที่ยืนฟังอยู่ข้างๆ สนใจปนห่วง
"ดีมากเลยครับ เดี๋ยวน้องส่งรูปเข้ามือถือให้พี่เลยนะ ขอบคุณมากน้อง"
อีกฝ่ายยิงคำถามมา เขาชะงักไปเล็กน้อย พูดบวกไปก่อน
"ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับพี่สาวน้องยังปลอดภัยดี"
"มี่ขอคุยกับสิฏฐีต่อค่ะ"
หิรัณย์ส่งโทรศัพท์คืน
" สิฏฐีไม่ต้องกังวลนะ อย่าเพิ่งบอกอะไรคุณแม่นะเดี๋ยวท่านจะไม่สบายใจ ... ไม่ต้องตกใจนะ ยังไม่มีอะไร"
มีคณาฟังวาสิฏฐีแล้วปลอบเว่อร์ๆ ให้สบายใจ
"คุณสารวัตรนี่มือ 1 เก่งที่สุดแล้วล่ะ"
หิรัณย์แอบอมยิ้มปลื้มใจ
"รับรองว่าพี่มัทต้องปลอดภัยกลับบ้านแน่นอนจ้ะ จ้ะ มีความคืบหน้ายังไง พี่จะโทรไปบอกทันที แค่นี้ก่อนนะสิฏฐี"
มีคณากดตัดสายอย่างไม่สบายใจนัก
"ผมคิดว่าน่าจะใช่ไข่มุกดำของบริษัทคิเรยนะ ที่ทางญี่ปุ่นตามหาอยู่นะครับ เดี๋ยวรอดูรูปที่น้องสิฏฐีส่งมาก็รู้"
มีคณารับฟังด้วยสีหน้าเครียดๆ ที่กลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
หิรัณย์และมีคณาออกมาหาเขตต์ตวัน
"เราได้ความคืบหน้าเพิ่มเติมนะครับ นายเชนอาศัยคุณมัทนาเคลื่อนย้ายไข่มุกดำจากภูเก็ตมากรุงเทพ"
เขตต์ตวันและเอกชัยอึ้งๆกันไป
"เค้าวางแผนรอบคอบมากนะคะ ทำทีมาแอบชอบมัทจนมัทเชื่อสนิทใจ แล้วให้ไข่มุกเป็นของที่ระลึก" เอกชัยถามเขตต์ตวัน
"ใช่ไข่มุกที่ไอ้เปลวพยายามมาขายแกรึเปล่าวะ"
"คิดว่าใช่นะ"
"ถึงว่ามีข่าวทางลับว่า ไข่มุกดำขึ้นที่ภูเก็ต แต่แล้วก็หายเงียบไปซะเฉยๆ"
เขตต์ตวันสีหน้าเจ็บแค้น
"แล้วเราจะเอาผิดมันได้มั้ยครับ"
"ได้แน่นอนครับ น้องสาวคุณมัทกับเพื่อนๆ หลายคนเห็นเป็นพยานให้เราได้ นอกจากมันจะโดนข้อหาโจรกรรมไข่มุกข้ามชาติแล้วยังจะโดนข้อหาลักพาตัวคุณมัทอีก"
เขตต์ตวันมีสีหน้าสาปแช่งให้มันหนีไม่พ้น นายตำรวจคนหนึ่งวิ่งออกมารายงาน
"สารวัตรครับ เจอห้องลับที่ชั้น 3 มีเด็กผู้หญิงถูกขังอยู่หลายคนเลยครับ"
หิรัณย์รีบกลับเข้าไปด้านในของเชนเพิร์ล มีคณารีบตามไปทันทีด้วยความรู้สึกห่วงใย
ตำรวจพาหญิงสาวหลายคนลงมาจากชั้นบนมารวมกันที่ล็อบบี้ บางคนก็ปิดหน้าปิดตาอับอาย
หิรัณย์เข้าไปสอบถามรายละเอียดจากเพื่อนตำรวจ มีคณามองดูทุกคนด้วยสีหน้าเห็นใจก่อนเข้าไปปลอบ
"ไม่ต้องกลัวแล้วนะคะ พวกเรามาช่วยพาน้องๆ กลับบ้าน ไม่มีใครทำร้ายน้องๆ ได้อีกแล้วนะคะ"
เด็กหญิงที่ดูอายุน้อยสุด ร้องไห้โฮ สะอึกสะอื้น มีคณาเข้าไปสวมกอดเอาไว้
"ปลอดภัยแล้วค่ะ ได้กลับบ้านแล้ว ไม่ต้องกลัวนะคะ"
เด็กหญิงร้องไห้สะอึกสะอื้น ยกมือไหว้พร้อมพูด
"ขอบคุณมากค่ะ หนูคิดว่าจะไม่ได้กลับไปเห็นหน้าแม่อีกแล้ว" เด็กหยิงพูดพลางปล่อยโฮออกมาอีก
มีคณาน้ำตาท่วมตา สวมกอดเด็กเอาไว้แน่น หิรัณย์มองดูมีคณาอยู่เงียบๆ เข้าใจความรู้สึก ก่อนจะเข้ามาบอกกับทุกคน
"รถมารอรับที่ด้านหน้าแล้วนะครับ น้องๆ ตามพี่ตำรวจออกไปได้เลยครับ"
หญิงสาวทยอยตามตำรวจออกไป เด็กหญิงถามมีคณา
"พี่ไปด้วยมั้ยคะ"
"เดี๋ยวพี่ตามไปจ้ะ"
เด็กหญิงค่อยๆ เดินตามแถวออกไป มีคณาซับน้ำตาไปมาเล็กน้อย หิรัณย์เข้ามาบีบไหล่ ให้กำลังใจพร้อมยิ้มให้ เธอฝืนยิ้มบางๆ ตอบไป ใจห่อเหี่ยวชอบกล
ตำรวจพาเด็กสาวที่เดินเอามือปิดหน้าด้วยความอับอายไปขึ้นรถพาไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล
หิรัณย์และมีคณาเดินออกมารั้งท้ายสุด
หิรัณย์บอกเขขต์ตวัน
"เดี๋ยวผมกับคุณมี่จะแวะไปที่คอนโดคุณนะครับ เผื่อจะได้เบาะแสอะไรเพิ่มเติมจากการตายของเลขาคุณ"
เขตต์ตวันพยักหน้ารับอย่างเนือยๆ มีคณาให้กำลังใจ
"มัทเป็นเด็กดีมาก สิ่งศักดิ์สิทธิ์จะต้องคุ้มครองให้น้องปลอดภัยค่ะ"
เขตต์ตวันได้แต่ฝืนยิ้มบางๆ
"มีความคืบหน้ายังไงจะรีบติดต่อมานะครับ"
"ขอบคุณครับไ เอกชัยบอก
หิรัณย์พยักหน้าให้มีคณา แล้วทั้งคู่เดินเลี่ยงไปขึ้นรถ
มีคณานั่งรถไปกับหิรัณย์ สีหน้าเคร่งเครียดร้อนใจ
"คนจิตใจแบบนี้ ไม่มีทางปล่อยมัทหรอกค่ะ ถ้าไม่ใช่ถูกจับกักขังไว้สนองตัณหามันก็ต้องเอาไปขายแน่ๆทำไมมัทถึงต้องโชคร้ายแบบนี้ด้วย" มีคณาน้ำตารื้นๆขึ้นมา
"อย่าเพิ่งด่วนสรุปให้กลุ้มใจไปเลยครับคุณมี่"
"มี่ไม่ได้ด่วนสรุปนะคะ มี่ทำข่าวอาชญากรรมทำนองนี้มาตลอด ไม่มีทางหรอกค่ะที่มันจะปล่อยมัท คุณก็น่าจะรู้ดีกว่ามี่"
"ก็จริงครับ ถูกฆ่าปิดปากยังดีซะกว่า"
มีคณาตกใจ
"สารวัตร"
"ก็จริงไม่ใช่เหรอครับ"
"ใช่ค่ะ แต่ไม่ต้องพูดก็ได้ มี่ลองโทรหามัทอีกทีดีกว่า"
มีคณาล้วงมือไปในกระเป๋าถือหาโทรศัพท์ แต่ไม่เจอ เมื่อนึกได้ก็ใจหาย
"อุ๊ย...มี่ลืมมือถือไว้ที่เชนเพิร์ลค่ะ กลับไปเอาได้มั้ยคะ"
"ต้องกลับไปเอาแน่นอนครับ หายไป คนให้เสียใจตายเลย"
หิรัณย์ยิ้มหวานให้แล้วเปิดไฟเตรียมหาที่ยูเทิร์น มีคณาแอบอมยิ้มปลื้มเล็กน้อย แต่ก็กลับมามีสีหน้าเป็นห่วงมัทนาขึ้นมาแทนที่ทันที
มีคณารีบเดินเร็วถือโทรศัพท์มือถือออกจากตึกเชนเพิร์ลมาหาหิรัณย์
"โชคดียังไม่มีใครเอาไปค่ะ"
หิรัณย์มีสีหน้าแปลกใจ ปนสงสัย
"คุณตวันกับคุณเอกชัยอยู่ข้างในรึเปล่า"
มีคณาแปลกใจ
"ไม่มีนี่คะ มีพนักงานแค่คน2คน ที่เหลือเห็นว่าถูกพาตัวไปสอบปากคำที่โรงพัก"
"แล้วทำไมรถเค้าสองคนยังอยู่ล่ะ"
"ใช่เหรอคะ"
หิรัณย์ชักเอะใจ
"ผมจำได้ ท่าจะไม่ค่อยดีแล้วนะครับ"
มีคณาร้อนใจปนสงสัยรีบตามหิรัณย์เข้าไปข้างใน
ตำรวจหลายนายวิ่งกรูไปทางด้านหลังตึกอย่างรีบร้อน หิรัณย์กระชับปืนวิ่งตามรั้งท้ายไปอย่างระมัดระวัง
มีคณารีบวิ่งตามหิรัณย์มาทันที
"รอมี่ด้วยค่ะสารวัตร"
หิรัณย์รีบห้าม
"คุณอย่าขึ้นไปเลย"
"ฉันเป็นห่วงมัท"
"แต่ผมเป็นห่วงคุณ"
มีคณาชะงักไปเล็กน้อย
"คุณรออยู่ข้างล่างดีกว่า ผมจะได้ไม่ต้องห่วงหน้าห่วงหลัง"
"โอเคค่ะ ระวังตัวด้วยนะคะ"
หิรัณย์ยิ้มให้แล้วรีบวิ่งตามไปสมทบกับนายตำรวจข้างหน้า มีคณามองตามด้วยความเป็นห่วง
จังหวะเดียวกันนั้นเอง หิรัณย์นำกำลังตำรวจพังประตูเข้ามาช่วย เขาเล็งปืนใส่ขม
"ทิ้งอาวุธให้หมด"แ
ขมและชิดยอมจำนนแต่โดยดี กำลังตำรวจเข้าไปจับตัว
มีคณารีบวิ่งไปหามัทนาที่เขตต์ตวันเดินประคองออกมาจากตึกด้านหลัง..เขาใช้ผ้าเช็ดหน้ากดแผลเอาไว้
มัทนาร้องไห้สวมกอดกับมีคณาที่น้ำตาคลออยู่
"ปลอดภัยแล้วนะมัท" มีคณาผละออก ซับน้ำตาให้เพื่อน
"ขอบคุณคุณมี่มากนะครับ สารวัตรเล่าให้ฟังแล้ว ถ้าคุณไม่ลืมโทรศัพท์มือถือ ผม เอกกับมัทคงไม่รอดแน่ๆ"
" ไม่ต้องขอบคุณฉันหรอกค่ะ พวกคุณยังดวงดีมากกว่า ที่จริงต้องยกความดีความชอบทั้งหมดให้สารวัตร เค้าเห็นรถคุณกับคุณเอกยังจอดอยู่ เลยผิดสังเกต ถ้าฉันกลับมาคนเดียวคงคิดอะไรไม่ได้เป็นเรื่องเป็นราวแบบนั้นหรอกค่ะ"
"สารวัตรเป็นคนเก่งแล้วก็ดูเป็นคนจริงใจมากนะครับ ยินดีด้วยนะครับ มีข่าวดีเมื่อไหร่อย่าลืมบอก"
มีคณาอมยิ้มเขินๆ
มัทนาจะแซว เสียงดังขึ้นมาลืมตัว
"มัทจอง...โอ๊ย"
มัทนาเจ็บปากขึ้นมา
"สมน้ำหน้า"
บ้านหิรัณย์ตอนหัวค่ำวันหนึ่ง กัลยาและวันทนีย์กำลังนั่งดูทีวีอยู่ที่โซฟารับแขก หิรัณย์ในชุดสูทอย่างหล่อเดินโพสท์หล่อผ่านหน้าจอทีวี แต่แม่และน้องไม่สนใจ จนเขาต้องเดินมาขวางหน้าจอ ยืนให้ดูชัดๆ แม่และน้องสาวเลื่อนสายตามามอง
"โอเครึยัง"
"จะหล่อไปถึงไหน ชุดเมื่อกี้ก็ดีอยู่แล้ว"
"ตกลงตัวนี้ไม่ดีเหรอแม่"
"อะไรของพี่เนี่ย งานเลี้ยงขอบคุณของสถานทูตนะคะ ไม่ได้ไปดินเนอร์ใต้แสงเทียนกันสองคนซะหน่อย"
"ลองไม่อาศัยงานนี้ คุณมี่จะยอมออกงานกับพี่เรอะ" หิรัณย์ว่า
"แต่งงานกันไปก็ต้องออกงานด้วยกันอยู่ดีแหละ"
หิรัณย์ยกมือไหว้
"สมพรปากเถอะครับคุณแม่"
กัลยาขำๆ
"ตกลงผมโอเครึยังครับ"
"เยอะไปนะ วันว่าสูทมันดูหรูหรา สำอางไปหน่อย ดูพี่มี่เธอไม่ค่อยแต่งตัว เค้าจะเกร็งนะพี่รัน"
หิรัณย์เริ่มไม่มั่นใจ
"จริงเหรอ"
"วันก็ไม่ชอบผู้ชายแต่งตัวเก่งกว่าวันหรอกค่ะ"
"เหรอ เปลี่ยนก็ได้" หิรัณย์รีบเดินกลับขึ้นบ้านไป
วันทนีย์ขำๆ กัลยาตีแขนลูกสาวแล้วพูดเสียงดัง
"ไปแกล้งพี่เค้า รัน เร็วๆ นะลูก ป่านนี้หนูมี่รอเงกแล้ว"
"ท่าทางพี่รันจะรักจริงหวังแต่งนะคะคุณแม่"
"แม่ก็เอาใจช่วย หนูมี่น่าเอ็นดู แม่ชอบ"
"วันก็ชอบค่ะ ติดดินดีเข้ากับบ้านเรา"
สองแม่ลูกยิ้มๆ ให้กันอย่างชื่นใจไปกับหิรัณย์ที่ได้เจอผู้หญิงอย่างมีคณา
สันติแต่งตัวดีพร้อมไปข้างนอก นั่งดูทีวีกินขนมกรุบกรอบอยู่ที่โซฟารับแขก เสียงมีคณาดังนำมาก่อน
"ติ เห็นแว่นตาป้ามั้ย"
สันติทำหน้ากวนๆ ตอบไป
"ไม่เห็น"
"ป้าได้ยินเสียงติเข้ามาในห้องนอนป้า"
สันติตะโกนตอบไป
"ติจะเอาไปทำไม"
มีคณาในชุดออกงานที่ดูสวยแปลกตาไป แต่ก็ยังอยู่ในสไตล์ที่เป็นเธอ ทรงผมและใบหน้าที่ไม่มีแว่นเป็นภาพฉายชัดถึงความแตกต่างจากชีวิตประจำวัน
สันติทำหน้าตะลึงก่อนกระเซ้ามีคณา
"โอ้แม่เจ้า ป้าลอกคราบ"
"เดี๋ยวจะโดน เอาแว่นคืนมาเลย"
"ติไม่ได้เอาไป"
สันติกดปิดทีวี
"ไม่ตลกเลยนะ ยิ่งรีบๆ อยู่"
"แว่นหายก็ดีแล้ว ป้าจะได้สวยๆ ให้สารวัตรเห็นมั่ง ใครจะอยากควงป้าแว่นหัวกระเซิง หน้ามันๆ ออกงาน"
"เจ้าติ มากไปแล้วนะ ลามปาม"
"ไม่จริงรึไง ไม่มีผู้ชายคนไหนไม่อยากมีแฟนสวยหรอก"
"แก่แดดใหญ่แล้วนะเรา สถานทูตเค้าจัดงานขอบคุณที่ช่วยตามคดีไข่มุกดำสำเร็จ ป้ากับเค้าไม่ได้ไปออกเดทกัน เข้าใจให้ถูกซะด้วย"
สันติไม่สนใจ ฉวยเป้เดินนำออกไปพร้อมบ่น
"เอาเหอะป้า เดี๋ยวเค้าก็มารับพอดีหรอก มีรถมารับดีๆ ไม่ชอบ จะนั่งแท็กซี่ทำไมให้เสียตังค์"
มีคณาสีหน้าไม่มั่นใจตัวเองนัก
"ติ เข้ามาช่วยปิดบ้านก่อน ป้ามองเห็นไม่ค่อยถนัด"
มีคณาถอนใจ กวาดตามองหาแว่นตาไปตามโซฟารับแขก
เวลาต่อเนื่องมา กัลยาและวันทนีย์เดินออกมาส่งหิรัณย์ในชุดสูทลำลองที่หน้าบ้าน ไม่หรูเนี๊ยบจัดเต็มเหมือนชุดก่อน หิรัณย์ถามน้องสาว
“พี่โอเคแล้วแน่นะ”
กัลยารีบขัด
“ป่านนี้หนูมี่หลับไปแล้วล่ะ”
“ยังไม่ถึงเวลานัดเลยครับแม่”
ขาดคำแท็กซี่คันหนึ่งก็มาจอดที่หน้าบ้าน ทุกคนหันมอง สันติยิ้มแย้มลงนำมาจากรถ มายกมือไหว้กัลยาไหว้หิรัณย์และวันทนีย์
“สวัสดีครับคุณยาย”
ทุกคนรับไหว้ สันติแกล้งไปเปิดประตูโค้งให้มีคณาลงมาจากรถ วันนี้... เธอสวยผิดตาก้าวเขินๆลงจากรถแล้วหันมาตีแขนสันติเบาๆ... หิรัณย์ยิ้มกริ่ม อย่างปลาบปลื้ม มีคณายกมือไหว้แม่หิรัณย์ กัลยารับไหว้กัน
“ทำไมนั่งแท็กซี่มาล่ะหนูมี่”
“ป้าเค้าเกรงใจ ไม่อยากให้สารวัตรขับรถย้อนไปย้อนมาครับ” สันติบอก
“แค่นี้เอง ไม่เห็นต้องเกรงใจเลย” หิรัณย์ว่า
“พี่มี่ไม่ใส่แว่นแล้วดูสาวขึ้นเยอะเลยนะคะ”
มีคณายิ้มรับ
“บอกแล้วไม่เชื่อ”
มีคณาทำหน้าดุใส่สันติก่อนหันไปตอบ
“พอดีพี่หาแว่นไม่เจอน่ะค่ะ”
“แล้วมองเห็นเหรอลูก”
“ก็เบลอๆ หน่อยน่ะค่ะ”
“มองเห็นเบลอๆ ก็ดีกว่าอกหัก”
“สันติ” มีคณาตกใจปนอายส่งเสียงปราม
หิรัณย์และครอบครัวแอบอมยิ้ม เธอเขินมากจะยกมือดันแว่นเข้ากระชับดั้งแก้เขินตามความเคยชิน นิ้วจิ้มเข้าหน้าอย่างลืมตัวไป เธอผงะไปเล็กน้อย หิรัณย์บอกสันติ
“ใส่แว่นน่ะดีแล้วล่ะสันติ ขืนปล่อยไปแบบนี้ ลุงจะอกหักแทนน่ะสิ”
หิรัณย์ส่งตาหวานใส่มีคณาอีก วันทนีย์มีแซวกระเซ้าพี่ชายเล็กน้อย กัลยาตีแขนวันทนีย์เบาๆ ยิ้มๆ
สันติเปิดเป้หยิบแว่นมีคณาออกมาแล้วส่งคืนให้
“อ้ะ คืนให้ก็ได้ จะได้ไม่มีใครต้องอกหัก”
มีคณารีบรับแว่นมาใส่แล้วหยิกแขนสันติจนร้องโอดโอย
“เจ้าหลานคนนี้ ร้ายจริงๆ ไปติ เข้าไปกินขนมกับยาย” กัลยาขำๆ
สันติเข้าไปกอดเอวกัลยาอย่างสนิทสนมพากันเข้าบ้านไป วันทนีย์กระเซ้าอีกดอก
“เดทให้สนุก เอ๊ย ไปงานสถานทูตให้สนุกนะคะ”
หิรัณย์หน้าตาดุๆเล็กน้อย ชี้หน้าน้องสาว วันทนีย์วิ่งกลับเข้าบ้านไป เขาหันไปยิ้มให้มีคณา แล้วเดินไปเปิดประตูรถให้ เธอกระชับแว่นเข้าดั้ง เดินเขินๆ ขึ้นรถ ยิ้มกริ่มอย่างมีชีวิตชีวา ก่อนรีบวิ่งอ้อมไปขึ้นรถฝั่งคนขับ
ฟ้ากระจ่างดาว ตอนที่ 6 (ต่อ)
เวลาผ่านไปอีกซักพัก รถหิรัณย์ติดแหง็กอยู่กลางถนนไม่ขยับเขยื้อนไปไหน จนมีคณาชักหน้าเสีย
“รถติดขนาดนี้จะทันมั้ยคะเนี่ย”
หิรัณย์ดูนาฬิกาข้อมือ สีหน้าใช้ความคิด
“ท่าทางจะไม่ทันแล้วล่ะ แต่ไม่เป็นไร ผู้การกับหมวดดาวไปถึงงานเลี้ยงแล้ว”
หิรัณย์ตัดสินใจเปิดไฟกระพริบ จะขอทาง
“จะทำอะไรคะ”
“ยังไงก็ไปไม่ทัน ไปหาร้านอร่อยแถวนี้กินดีกว่า ผมหิวแล้ว”
มีคณาสีหน้าอึ้งๆ ปนงง ที่เขาเปลี่ยนโปรแกรมซะงั้น หิรัณย์ตีรถออกไปได้ เลี้ยวกลับไปเข้าซอยตรงข้ามแทนทันที
หิรัณย์ในชุดสูทและมีคณาในชุดออกงานกลางคืนนั่งทานร้านอาหารริมทางประมาณข้าวมันไก่ เจ้าดัง...ชุดที่แต่งและสถานที่ดูไม่เข้ากันเอาซะเลย หิรัณย์สีหน้าแอบเซ็ง
“อุตส่าห์พาคุณมากินร้านนี้กะให้เด่นซะหน่อย เซ็งเลย”
มีคณายิ้มๆ
“คุณมี่จะได้จำว่า โห ผู้ชายคนนี้โรแมนติกจัง น่าประทับใจจริงๆ ใส่ชุดหรูพามากินข้าวมันไก่ข้างทาง ที่ไหนได้”
ภายในร้าน มีหนุ่มสาวอีก3-4คู่ แต่งตัวออกงานหรูแบบหิรัณย์และมีคณา นั่งทานข้าวมันไก่อยู่รอบๆ
หิรัณย์บ่นอย่างเซ็งๆ
“ดันรถติดแวะมากินกันหมด” (เหล่มองไปรอบๆ)
มีคณาชำเลืองมองหิรัณย์ที่เหล่มองๆไปรอบร้านอย่างขำๆ
“ดีแล้วล่ะค่ะ ไม่งั้นเขินตาย ทานไม่ลงหรอก”
“คนแถวนี้คงงงนะครับ”
มีคณาและหิรัณย์มองหน้ากันแล้วขำๆ ออกมาก่อนจะสบตากันนิ่งเล็กน้อย เธอรีบหลบสายตาก้มทานข้าวมันไก่ต่อ เขายิ้มกริ่มมีความสุข
หลังมื้ออาหารยามค่ำคืนที่รถเริ่มซาแล้ว ทั้งคู่เดินคุยกันมาตามทางเดินสวยๆ
“ฉันยังไม่สบายใจเรื่องเด็กที่ถูกหลอกมาขาย ตอนไปช่วยมัทวันก่อนอยู่เลยนะคะ”
หิรัณย์ชำเลืองมองหน้ามีคณาที่สีหน้าไม่ค่อยสบายใจนัก
“ฉันคงไม่ใช่นักข่าวที่ดีเท่าไหร่เพราะไม่สามารถแยกงานออกจากความรู้สึกส่วนตัวได้ แต่คุณทราบมั้ยคะว่า เด็กผู้หญิงพวกนั้นกี่คนต้องกลับเข้ามาสู่วงจรอุบาทว์อีก”
หิรัณย์ยิ้มอบอุ่น
“ครึ่งนึงหรือมากกว่า ผมเป็นตำรวจนะคุณ ถึงจะทำงานคนละสาย แต่ก็พอเดาสถานการณ์ได้”
“ขอโทษค่ะ ฉันเคยเจอแต่คนที่ไม่ค่อยรู้ข้อมูลมากนัก บางทีรู้แล้วก็ปล่อยผ่าน ไม่ได้ใส่ใจอะไร บางคนเล่าให้ฟัง ก็โกรธเอาด้วยซ้ำ”
“ปัญหาเรื่องโสเภณีเป็นเรื่องใหญ่ เป็นปัญหาหนักที่หลายคนมักจะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ แต่คุณมี่ก็ไม่ได้สู้ศึกอยู่คนเดียวอย่างที่คุณคิดนะครับ ยังมีคนอีกมากที่ยอมรับว่าเรามีปัญหา และพยายามหาทางแก้ไขอยู่ เพียงแค่เราต้องอดทนและทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด”
มีคณาถอนใจออกมา
“สารวัตรเคยบอกฉันหลายครั้งแล้วล่ะค่ะ แต่พอเจอเรื่องแบบนี้ทีไร ความอดทนฉันก็เหมือนจะขาดลงทุกที”
มีคณาเดินซึมๆ นำไปก่อน หิรัณย์เดินตามไปใกล้ๆ
“มันน่าจะมีวิธีนะคะ ที่ทำให้คนส่วนใหญ่หันมาสนใจและอยากแก้ไขปัญหาพวกนี้อย่างจริงจัง”
“ก็คุณทำอยู่นี่ไง”
มีคณาหยุดเดินอีกครั้ง สีหน้าซีเรียส จริงจัง
“มันเหมือนไม่พอเลยนะคะ ข่าวที่ทำออกไปคล้ายคลื่นกระทบฝั่ง แรงตอนซัดเข้าหาดเท่านั้นแล้วก็สลาย
ฉันอยากทำอะไรให้ได้มากกว่านี้ อย่างน้อยก็คลื่นลูกใหญ่กว่านี้ แรงกว่านี้”
มีคณาสีหน้าใช้ความคิด หิรัณย์มองมีคณานิ่งๆ ยิ้มปลื้ม จนเธอเริ่มรู้ตัว
“ขอโทษทีนะคะ ฉันชวนคุยแต่เรื่องงานเครียดๆ เบื่อรึเปล่าคะ”
“จะเบื่อได้ยังไงล่ะครับ หาคนที่ชอบคุยเรื่องเดียวกันแบบนี้ยากจะตายไป” หิรัณย์ยิ้มพร้อมส่งตาหวานให้
“กลับกันดีกว่านะคะ สันติบ่นแย่แล้ว”
มีคณาจะเดินเลี่ยงนำกลับไป
“แล้วมากับผมวันนี้เบื่อมั้ยครับ”
มีคณาชะงักไป สีหน้านิ่ง ดูใช้ความคิด
“เบื่อใช่มั้ยครับ” เขาถามย้ำ
“กลัวมากกว่าค่ะ”
“ทำไมล่ะครับ”
มีคณาอดที่จะน้ำตารื้นๆ ขึ้นมาไม่ได้
“วันนี้คุณพาฉันมาไกลจากที่ฉันเคยอยู่ ฉันกลัว ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้ คุณจะพาฉันไปไหนต่อ ถ้าฉันยอมตามคุณไปเรื่อยๆ แล้วฉันจะกลับมาอยู่ที่เดิมของฉันคนเดียวได้มั้ย”
มีคณาน้ำตาจะซึมออกมาจนเธอต้องรีบซับ หิรัณย์เห็นใจ เข้าใจความรู้สึกนั้นดี เขาค่อยๆยื่นมือออกไปหาเธอ ทั้งคู่สบตากัน
“จูงมือผมไปสิครับ ผมให้คุณเป็นคนนำ จะพาผมไปไหนก็ได้ แต่ขออย่างเดียว อย่าปล่อยมือผม”
มีคณาน้ำตาไหลออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ ก่อนรีบหลบตาจะเดินเลี่ยงกลับไป เขามีสีหน้าจ๋อยลงเล็กน้อย สุดท้าย... เธอก็เลือกเดินกลับไปเองคนเดียว
ไม่คาดคิดจังหวะที่มีคณาหันไปช้าๆ แต่กลับทิ้งมือด้านหนึ่งไปจับมือหิรัณย์เอาไว้ เขานึกไม่ถึง ก้มมองมือเธอที่จับกุมมือเขาไว้ เขาดีใจบีบมือเธอตอบเบาๆ ทั้งคู่ก้าวตามไปด้วยกัน นี่คือผู้ชายคนแรกในชีวิตที่เธอจะกล้ายอมเปิดใจให้
สยามสารตอนสายวันรุ่งขึ้น ท่ามกลางบรรยากาศการทำงานของพนักงานในสำนักงานอยู่โดยรอบ แต่ภายในห้องบรรณาธิการ ไชยวัฒน์คุยอยู่กับมีคณา
“มี่อยากทำข่าวเรื่องขบวนการค้าผู้หญิงค่ะ”
ไชยวัฒน์เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
“ปกติก็ทำอยู่แล้วนี่”
“เป็นอีกแบบค่ะ ทุกทีมี่จะทำข่าวตามโรงพัก ตามมูลนิธิ ข่าวที่ลงก็เขียนตามคำแถลงของมูลนิธิ ของตำรวจ หรือไม่ก็เขียนจากการสัมภาษณ์ผู้หญิงกลุ่มนั้น มี่ว่ามันขาดอะไรบางอย่างแบบที่บอกอว่า”
“มันแห้ง ขาดสีสัน ขาดความเคลื่อนไหว”
“ค่ะ คนอ่านอ่านแล้วก็เหมือนกับอ่านรายงาน ไม่ได้เห็นภาพอะไรเท่าไหร่ แต่ถ้ามี่ลองตามสายไป แล้วเอาประสบการณ์กลับมาเขียน เรื่องราวก็คงแตกต่างไปบ้าง”
“คุณจะออกภาคสนามตามตำรวจเหมือนตอนที่ตามหน่วยงานคุณหิรัณย์ใช่มั้ย”
“ก็ประมาณนั้นล่ะค่ะ บอกอก็เห็น ข่าวออกไปฟีดแบ็คกลับมา ดีกว่าเราเสนอข่าวแบบธรรมดาๆมาก”
ไชยวัฒน์คิดตาม
“แล้วติดต่อกับหน่วยงานไหนไว้แล้วรึยัง”
“ยังค่ะ แต่วันนี้ว่าจะลองปรึกษากับคนที่ทำคดีพวกนี้ดู”
“ถ้าคุณอยากทำ ผมคงห้ามคุณไม่ได้”
มีคณายิ้มดีใจ
“ขอบคุณค่ะ”
“แต่ผมอยากจะเตือนอย่างนึงนะมี่ ข่าวทุกข่าวมีค่า แต่ไม่มีข่าวไหนราคาสูงเท่าชีวิตนักข่าวหรอกนะ คุณคิดจะทำอะไรก็ให้ระวังตัวให้ดี เรื่องบางเรื่อง ถ้าไม่คุ้มก็อย่าเสี่ยงดันทุรังทำ”
“มี่จะระวังค่ะ บอกอไม่ต้องเป็นห่วง”
มีคณายิ้มดีใจที่จะได้ทำงานข่าวที่ต้องการทำ
เวลาบ่าย บริเวณมุมสวยที่มูลนิธิฯ สุนันทาสีหน้าไม่ค่อยเห็นด้วยนัก
“แน่ใจเหรอคะน้องมี่”
มีคณายันด้วยเสียงจริงจัง และมั่นใจ
“ค่ะ ถ้ามี่ลงไปสัมผัสกับเส้นทางกับวิธี มี่คงเขียนเล่าได้ดี คงเรียกความสนใจจากคนอ่านได้มากกว่านี้”
มีคณามาปรึกษากับอยู่สุนันทาที่ยังลังเล เป็นห่วงความปลอดภัยของมีคณา
“แหม...แต่แฝงตัวเข้าไปตามสาย มันอันตรายนะคะ พี่ว่าน้องมี่ตามตำรวจไปบุกอย่างที่ทำข่าวยาเสพติด
กับสารวัตรหิรัณย์ดีกว่าค่ะ อย่างนั้นอุ่นใจว่าเราไปกับตำรวจ”
“อุ่นใจ แต่ข่าวออกมาก็เหมือนเดิม ไม่มีอะไรพิเศษ”
“มันก็จริงค่ะ แต่การแฝงตัวเข้าไป มันเสี่ยงมากนะคะ คนเราลองค้าขายมนุษย์ด้วยกันเหมือนผักเหมือนปลาได้ พวกมันคงไม่คิดเมตตาหรือผ่อนปรนให้ใครหน้าไหนแน่ น้องมี่คิดดูดีๆ นะคะ ถ้าเข้าไปแล้ว ทุกอย่างไม่เป็นไปตามแผน น้องมี่จะเป็นอันตรายได้นะคะ”
มีคณาสีหน้าเด็ดเดี่ยว ไม่กลัว
“มี่คิดไตร่ตรองมาอย่างดีแล้วค่ะ แต่มี่อยากเสี่ยง”
สุนันทาได้แต่ถอนใจออกมา
“มี่อยากให้คนอ่านสะดุดตากับข่าวของมี่ แล้วรู้สึกฝังใจกับข่าวที่เค้าได้รับรู้ ไม่ใช่อ่านข่าวแล้วผ่านเลยไป มี่อยากช็อกคนอ่าน ถ้าใช้วิธีตามหลังตำรวจ มี่คงทำอะไรไม่ได้มาก นอกจากเสนอภาพที่เห็นไปแกนๆ”
“น้องมี่นี่ดูหวานๆ แต่เอาจริงๆ เลือดนักบู๊นี่แรงเหมือนกันนะคะ”
“ตกลงพี่บัวจะช่วยมี่ใช่มั้ยคะ ถือว่าทำงานใหญ่ร่วมกัน”
สุนันทาออกจะลำบากใจ
“ถ้าพี่ปฏิเสธเพราะไม่อยากให้คุณมี่เสี่ยงล่ะคะ น้องมี่จะว่ายังไง”
“มี่คงว่าอะไรพี่บัวไม่ได้หรอกค่ะ มี่จะหาช่องทางทำข่าวเอง” มีคณาทำยักไหล่เล็กน้อยอล้วพูดต่อ
“แต่อาจจะยิ่งเสี่ยงเพราะไม่มีคนคอยประสานงานช่วย”
สุนันทาถอนใจ
“พี่คิดอยู่แล้วว่าน้องมี่ต้องตอบแบบนี้”
“ช่วยมี่นะคะพี่บัว” มีคณาอ้อนเล็กน้อย
สุนันทาจำใจ
“ก็ได้ค่ะ แต่งานนี้งานเดียวนะคะ พี่ไม่อยากให้น้องมี่ต้องเสี่ยงมากไปกว่านี้”
มีคณายิ้มดีใจ
“งานเดียวจริงๆ ค่ะ มี่ให้สัญญา...ขอบคุณมากนะคะ”
สุนันทายิ้มรับเจื่อนๆ ไม่ค่อยสบายใจนัก มีคณายิ้มแย้มดีใจมากที่จะได้ทำข่าวที่ท้าทายในเร็วๆนี้
หัวค่ำวันหนึ่ง หิรัณย์ วิมลินและตำรวจนอกเครื่องแบบกระจายกำลังล้อมบ้านหลังหนึ่งในแหล่งเสื่อมโทรม ที่คาดว่าเป็นที่ผลิตและเก็บยาเสพติดเอาไว้ แต่คนร้ายไม่ยอมจำนน ยิงต่อสู้ตอบโต้ตำรวจออกมาจากบ้าน
วันนี้เป็นโชคร้ายของตำรวจที่คนร้ายไหวตัวทันแล้ววางกำลังล้อมมาทางด้านหลังตำรวจอีกที ตำรวจถูกล้อมไว้ต้องระวังทั้งสองทาง
การต่อสู้มีล้มตายและบาดเจ็บของทั้งสองฝ่าย
หิรัณย์และวิมลินหาที่หลบและยิงตอบโต้ไม่ขาดระยะ
จังหวะคับขัน หิรัณย์กำลังยิงตอบโต้คนร้ายด้านหนึ่ง กลับมีคนร้ายอ้อมมาด้านหลัง จ่อปืนเล็งตรงมายังหิรัณย์หมายกะฆ่าให้ตาย
จังหวะนั้นเอง คนร้ายปาระเบิดมือออกมาจากในบ้าน..ระเบิดตูมสนั่น ทั่วบริเวณโกลาหลไปหมด
พ่อหิรัณย์กำลังนั่งทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ เช็กเอกสารจากอีเมล ตรวจงานออกแบบไปมา วันทนีย์นั่งอ่านเล็คเชอร์อยู่ที่มุมโถง กัลยายกถาดใส่นมและกาแฟมาเดินแจก วันทนีย์รีบเดินมารับ
“ขอบคุณค่ะแม่”
กัลยาเดินเอากาแฟไปเสิร์ฟสามี
“ขอบใจจ้ะ วันนี้เจ้ารันไปไหน ไปเที่ยวกับแฟนเรอะ”
“เป็นงั้นก็ดีสิคะ แม่จะได้ไม่ต้องเป็นห่วง นี่ไปทะลายแหล่งค้ายาอีกแล้ว” กัลยาถอนใจส่ายหน้า
เสียงโทรศัพท์บ้านดังขัดขึ้นมาพอดี วันทนีย์จะเดินไปรับ
“แม่รับเองลูก ท่องหนังสือไปเถอะ … สวัสดีค่ะ”
กัลยานิ่งฟังแล้วหน้าเสียไป ตกใจมาก
“ตาย 3 นายเลยเหรอคะ”
พ่อและวันทนีย์ตกใจมากเช่นกัน หันมองมาที่กัลยาแล้วรีบลุกมาหา กัลยาน้ำตารื้นขึ้นมาถาม
“ใช่หิรัณย์รึเปล่าคะ”
กัลยาใจเสีย มือสั่น ตัวเย็น ทนรับฟังความจริงไม่ไหว ส่งหูโทรศัพท์ให้พ่อหิรัณย์คุยแทนแล้วหันไปกอดวันทนีย์เอาไว้
สันติเดินร้อนใจไปมาอยู่หน้าบ้าน มีคณาเดินกลับมาถึงรั้วบ้าน หลานชายก็วิ่งถลาไปหาที่รั้ว ถามอย่างร้อนใจ
“ปิดมือถือทำไม”
“แบตมันหมดน่ะสิ มีอะไรเหรอ”
“พี่วันโทรมาบอกว่า ทีมสารวัตรถูกซุ่มโจมตี ตำรวจตาย3 คน”
“แล้วสารวัตรล่ะ” มีคณาตกใจมาก
มีคณากำลังคุยโทรศัพท์บ้านกับวันทนีย์ด้วยสีหน้าร้อนอกร้อนใจ น้ำตารื้นๆ เป็นห่วง
“แล้วสารวัตรยังไม่ติดต่อกลับมาอีกเหรอคะ”
“ยังเลยค่ะพี่มี่”
ภายในบ้านหิรัณย์...กัลยาหน้ามืดเป็นลมอยู่ที่โซฟา พ่อหิรัณย์คอยปฐมพยาบาลให้ดมยาดม
มีสาวใช้ยกยาหอมให้ วันทนีย์เหลียวมองไปทางแม่ พร้อมคุยโทรศัพท์กับมีคณาอยู่
“คุณแม่เป็นลมหลายรอบแล้วล่ะค่ะ เดี๋ยวดีขึ้นก็ว่าจะไปรอฟังข่าวที่โรงพยาบาล”
วันทนีย์น้ำตารื้นๆ เสียงสั่นเครือ
“วันก็ภาวนาว่าจะไม่ใช่พี่รัน”
“ใช่ที่โรงพยาบาลตำรวจรึเปล่าคะ”
แท็กซี่คันนั้น มุ่งหน้าไปโรงพยาบาล มีคณาสีหน้าร้อนใจ น้ำตารื้น นั่งกำมือแน่น มองไปนอกหน้าต่าง สันติเข้าใจความรู้สึกของป้า จึงเลื่อนมือไปจับมือมีคณากุมเอาไว้ เธอไม่หันกลับมา เพราะอายที่จะให้สันติเห็นน้ำตา เธอยกมืออีกข้างมากุมมือสันติทับอีกชั้น บีบเอาไว้เบาๆ
มีคณาน้ำตาไหลซึมออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่
มีคณาและสันติเข้าโรงพยาบาลมาได้ก็แทบจะวิ่งไปทางห้องฉุกเฉินทันที สันติยกมือขึ้นไหว้ เอาใจช่วยให้หิรัณย์ปลอดภัย มีคณารีบร้อนเดินมาที่หน้าห้องฉุกเฉิน สันติตามหลังมาติดๆ ทั้งคู่กวาดตามองหาใครซักคนเพื่อจะถามไถ่ วันนี้หน้าห้องฉุกเฉินดูวุ่นวาย ญาติคนไข้มากันเยอะ มีทั้งร้องไห้กันระงม
พยาบาล บุรุษพยาบาล เดินเข้าๆ ออกๆ กันวุ่นวาย
“ขอทางด้วยค่ะ”
มีคณาและสันติเห็นบุรุษพยาบาลเข็นเตียงพยาบาลพาตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บเข้ามา ตำรวจสลบไม่ได้สติ
ทั้งคู่ลุ้นมาก ภาวนาให้ไม่ใช่หิรัณย์ ญาติตำรวจนายนั้นร้องไห้โฮกอดกับญาติที่มาด้วยกัน
มีคณาใจเต้นแรงจนต้องจับมือกับสันติเอาไว้ มองตามเตียงพยาบาลที่เข็นเข้าห้องฉุกเฉินไป
ไม่คาดคิดหิรัณย์ ที่ได้รับการทำแผลเรียบร้อย เจ็บไม่มากนัก เดินสวนออกมาจากห้องฉุกเฉิน เธอไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง น้ำตาท่วมตาด้วยความดีใจ
“สารวัตร”
หิรัณย์มองมา เธอได้แต่ยืนนิ่ง เอาแต่ร้องไห้ ๆ พูดอะไรไม่ออก
“สารวัตรยังไม่ตายป้า”
หิรัณย์ยิ้มบางๆ เดินเข้ามาหา หิรัณย์สวมกอดเธอไว้ มีคณายอมแต่โดยดี แต่เธอก็ยังคงร้องไห้ ไม่พูดไม่จาเหมือนเดิม เขายิ้มให้สันติที่น้ำตารื้นด้วยความดีใจ เขาดึงสันติเข้ามากอดไว้อีกคน
ย้อนไปหลายชั่วโมงก่อน ในแหล่งเสื่อมโทรม ในจังหวะคับขัน … ที่คนร้ายอ้อมมาด้านหลังหิรัณย์จ่อปืนเล็งหมายกะฆ่าเขาให้ตาย วิมลินที่ยิงตอบโต้กับคนร้ายอีกคนอยู่ เห็นเหตุการณ์เข้าพอดี
“สารวัตรระวัง”
สัณชาติญาณ วินาทีนั้น วิมลินเชื่อว่า หิรัณย์คงไม่สามารถหลบหรือตอบโต้ไม่ทันแน่นอน เพราะสถานการณ์ตรงหน้านั้น รวดเร็วและต่อเนื่อง เธอตัดสินใจเบี่ยงตัวหันมายิงคนร้ายด้านหลังหิรัณย์แทน
หิรัณย์รอดตายหวุดหวิด แต่วิมลินไม่พ้นเพราะคนร้ายที่เธอยิงตอบโต้อยู่ ฉวยจังหวะยิงใส่เธอทันทีเข้ากลางหลัง
วิมลินล้มลง หิรัณย์ยิงใส่คนร้ายที่ยิงวิมลินจนจมกองเลือดทันที
“หมวดดาว”
หิรัณย์วิ่งเข้าไปหา และจังหวะนั้นเอง คนร้ายปาระเบิดมือออกมาจากในบ้าน...ระเบิดตูมสนั่น ทั่วบริเวณโกลาหลไป
หิรัณย์เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้มีคณาและสันติฟังที่มุมหนึ่งไม่ห่างจากห้องฉุกเฉินนัก เขาเสียใจปนรู้สึกผิดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“ถ้าไม่ได้หมวดดาวช่วยเอาไว้ผมคงตายไปแล้ว”
“แล้วหมวดดาวเป็นยังไงมั่งคะ” มีคณาถามด้วยความเป็นห่วง
หิรัณย์ส่ายหน้า
“ผมก็ยังไม่รู้เหมือนกัน รอฟังคุณหมออยู่... นี่ผมยังจับตัวไม่ได้ ใครโทรไปบอกที่บ้านก็ไม่รู้ น่าจะสายของแม่ในหน่วยผมนั่นแหละ ยังไม่รู้อะไรแน่ชัด โทรทำไม วุ่นวายไปกันหมดเลย ผมไม่อยากให้แม่เป็นห่วง”
“เค้าคงหวังดีแหละค่ะ...แล้วนี่สารวัตรโทรกลับไปบอกที่บ้านรึยัง”
“เรียบร้อยแล้วครับ วันเล่าว่าแม่เป็นลมซะหลายรอบ” หิรัณย์ส่ายหน้าไปมา
“มือถือป้าเค้าแบตหมด ไม่งั้นคงรู้เรื่องตั้งแต่ในแท็กซี่ ไม่ต้องเสียน้ำตาเป็นปี๊บๆ ยังงี้หรอก”
มีคณาหยิกแขนสันติปราม
“พูดมากน่ะ”
หิรัณย์ชำเลืองมองหน้ามีคณาเล็กน้อย... เธอรีบหลบสายตาไป พยาบาลคนหนึ่งเดินเข้ามาหา
“พอจะรู้จักญาติของหมวดวิมลินมั้ยคะ”
หิรัณย์ตื่นเต้น สีหน้าลุ้น อย่างเป็นห่วงมาก
“ผู้หมวดเป็นยังไงมั่งครับ”
หิรัณย์จ้องพยาบาลเขม็ง รอฟังคำตอบ
โรงพยาบาลตอนเช้า มีคณาเอากระเช้าผลไม้มาเยี่ยมวิมลินที่นอนพักฟื้นอยู่บนเตียง เธอยิ้มแย้มให้
“ขอบคุณมากค่ะ”
“เจ็บมากมั้ยคะ”
“เจ็บทนได้ค่ะ แต่ก็ดีเหมือนกันจะได้หาโอกาสนอนพักกับเค้ามั่ง”
มีคณามองชื่นชม
“ถ้าเป็นฉัน ฉันคงไม่กล้าทำแบบผู้หมวด”
“แต่ในสถานการณ์แบบนั้น ฉันเชื่อว่าคุณกล้าค่ะแรงผลักดันที่อยากช่วยสารวัตรของคุณน่าจะเยอะกว่าฉันด้วยซ้ำ” วิมลินยิ้มกระเซ้าเล่นเอามีคณาเขินไปเหมือนกัน
เสียงโทรศัพท์มือถือมีคณาดังขัดจังหวะช่วยขึ้นมาพอดี
“ขอรับโทรศัพท์เดี๋ยวนะคะ”
“ตามสบายค่ะ”
วิมลินหยิบหนังสือพิมพ์มาอ่านข่าว มีคณาเดินเลี่ยงไปคุยโทรศัพท์อยู่ห่างๆ
“สวัสดีค่ะพี่บัว”
“ร้านจินดาเปิดแล้วค่ะน้องมี่”
มีคณามีสีหน้าดีใจมาก
บ่ายวันนั้น มีคณามาคุยกับสุนันทาที่มูลนิธิฯ
“ปิดกิจการไปพักใหญ่ อ้างว่าปรับปรุงร้าน จริงๆ หลบคดีมากกว่า”
“เป็นพวกสวนอาหารเหรอคะ”
“ไม่ใช่หรอกค่ะ ร้านอาหารตามสั่งเล็กๆ อยู่ใกล้หอพักนักศึกษา หน้าฉากเป็นร้านอาหารธรรมดาๆ แต่หลังฉาก เจ้าของร้านก็เอเย่นต์หาเด็กสาวๆ ไปขายนี่แหละค่ะ”
สุนันทาเล่าด้วยสีหน้าชิงชัง... ร้านอาหารตามสั่งจินดา ที่เปิดข้างหอพักนักศึกษา มีลูกค้าที่เดินเข้าไปทานอาหาร ส่วนใหญ่จะเป็นนักศึกษา มีคณานิ่งฟังอย่างเก็บข้อมูล
“ยัยนี่เปิดร้านแบบนี้มาหลายจังหวัดแล้วนะคะ เคยถูกจับตัวได้ก็ยื่นประกันออกมา แล้วหนีประกันค่ะ เปลี่ยนชื่อมาเรื่อย จากเดิมแป้ง เปลี่ยนเป็นแป้น เปลี่ยนนามสกุล ย้ายบ้าน ย้ายจังหวัด เปลี่ยนร้านแต่ไม่เปลี่ยนอาชีพ”
สุนันทาเล่าพลางส่ายหน้า มีคณาได้แต่ถอนใจตามออกมา
“ยัยนี่มันเก่ง มีเส้นสายพอตัว ตำรวจจับมันไม่ได้ซะทีเพราะขาดหลักฐานและผู้เสียหาย”
มีคณาสีหน้ามุ่งมั่น
“มี่ขอรับอาสาไปหาหลักฐานให้เองค่ะพี่บัว”
สุนันทาชะงักไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินเช่นนั้น เธออดเป็นห่วงไปกับสีหน้ามุ่งมั่นเอาจริงของมีคณาไม่ได้
เวลาหัวค่ำ ภายในห้องนอน มีคณากำลังรื้อหาเสื้อผ้าเก่าในตู้เสื้อผ้า เสียงสนทนากับสุนนันทาเมื่อตอนบ่ายยังก้องในหัว
“มี่จะปลอมตัวเป็นนักศึกษาฐานะยากจน อยากได้งานดีๆ เงินดีๆ ทำ แล้วเข้าไปหานางจินดาเอง”
มีคณาหาชุดนักศึกษาเก่าของตัวเองเจอ ยิ้มดีใจ หยิบออกมาดู เธอลองชุดอยู่หน้ากระจก ดีใจที่ชุดนั้นยังใส่ได้อยู่
“ถ้ามีอะไรผิดพลาดล่ะคะ” สุนันทาถาม
“ถ้ามี่เห็นท่าไม่ดี มี่จะหนีตอนอยู่หาดใหญ่ค่ะ”
ย้อนกลับไปที่การคุยกันของมีคณาและสุนันทาที่มูลนิธิตอนบ่าย
“น้องมี่พูดเหมือนอะไรๆ ง่ายไปซะหมดเลยนะคะ แต่พี่กลัวว่าทุกอย่างจะไม่เป็นแบบนั้น่ะสิคะ”
“มี่ก็กลัวค่ะ แต่คิดว่าเด็กสาวพวกนั้นคงกลัวมากกว่า แล้วมี่เองก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว คงมีปัญญาหาทางเอาตัวรอดได้แหละพี่บัว”
“ผู้ใหญ่ก็พลาดได้เหมือนกันนะน้องมี่”
มีคณาจับแขนสุนันทายืนยัน
“มี่อยากทำงานนี้จริงๆ ค่ะพี่บัว มี่จะระวังตัวให้ดีที่สุด พี่บัวต้องช่วยปิดเรื่องนี้เป็นความลับนะคะ”
สุนันทาพยักหน้ารับอย่างจำใจ รู้ว่าขวางไม่ได้แน่แล้ว
มีคณาในชุดนักศึกษายืนมองตัวเองอยู่หน้ากระจกที่โต๊ะเครื่องแป้ง มุ่งมั่นที่จะทุ่มกายถวายหัวทำงานนี้ให้สำเร็จให้ได้
สายวันรุ่งขึ้น ไชยวัฒน์ลดใบลาพักร้อนของมีคณาลงแล้ว จ้องหน้ามีคณาที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
“จะลาพักร้อนไปไหน”
มีคณาปั้นหน้าตาย
“มี่จะขึ้นเหนือไปเยี่ยมแม่ค่ะบอกอ”
ไชยวัฒน์จับตามองนักข่าวสาวด้วยสายตาจับผิด ไม่เชื่อในคำอ้าง เธอพยายามกลบพิรุธ แต่ดูไม่มิดนัก ก่อนขยับแว่นกระชับดั้งไปมา แม้ไชยวัฒน์จะไม่เชื่อ แต่ก็ไม่ห้าม
“อยากพักก็พัก แต่ถ้ามีปัญหา โทรหาผมได้ตลอด 24 ชั่วโมงเลยนะมี่ ถ้ามีอะไรก็ขอให้โทรหาผมทันที เข้าใจมั้ย” ไชยวัฒน์เน้นย้ำอีกครั้ง
“ค่ะบอกอ มีปัญหาอะไรมี่จะนึกถึงบอกอเป็นคนแรกค่ะ”
ไชยวัฒน์แอบถอนใจบางๆ ออกมาก่อนเซ็นอนุมัติใบลาพักร้อนให้ มีคณายิ้มดีใจ
เวลาเย็น หิรัณย์มาสอนการบ้านให้สันติที่โถงบ้านมีคณา เขาอธิบายเสร็จก็หันไปเล่นโทรศัพท์มือถือ
ต่อแช็ตอะไรไป สันติก็หันไปทำการบ้านต่อ มีคณาเข้าบ้านมาเงียบๆ แอบมองจากหน้าประตูโถง เห็นหลานชายเอาการบ้านที่ทำเสร็จแล้วมาให้หิรัณย์ตรวจ เขาหันมาอ่านดู
“โอเค มีการบ้านวิชาอื่นอีกมั้ย”
“หมดแล้วครับ”
สันติสีหน้าตื่นเต้น ดีใจถามต่อ
“ขอดูของฝากได้รึยังสารวัตร”
หิรัณย์ยิ้มๆ บอก
“ไม่รู้จะถูกใจรึเปล่านะ”
หิรัณย์หยิบถุงที่วางไว้ข้างๆ มาส่งให้สันติ มีคณาสีหน้าไม่ค่อยชอบใจนัก สันติรับถุงมาแกะดูพบว่า เป็นรถแข่งคันสวยคันใหม่ ก็ตื่นเต้น ดีใจ
“โอ้โห”
“ชอบมั้ย”
“ที่สุดเลยครับ”
สันติแกะกล่องเอารถออกมาอย่างตื่นเต้น มีคณาหน้าบึ้งตึงเดินเข้าบ้านมา
“ให้ของขวัญสันติเนื่องในโอกาสอะไรคะสารวัตร”
ทั้งหิรัณย์และสันติต่างตกใจเล็กน้อย
“อ้าวคุณมี่ มาเงียบๆ”
“มี่ไม่ชอบให้สันติได้ของเล่นอะไรง่ายๆ นะคะ เดี๋ยวจะไม่เห็นคุณค่าของ”
หิรัณย์ช่วยแก้ตัวให้
“ผมเห็นว่าช่วงนี้สันติทำตัวเป็นเด็กดี รับผิดชอบทำการบ้าน เชื่อฟังคำสั่ง ผมก็เลยอยากให้รางวัลเป็นกำลังใจให้หลานบ้างน่ะครับ”
มีคณาถอนใจ เหลือบตามองไปที่รถแข่งในมือสันติ
“มันมากเกินไปรึเปล่าคะ การทำการบ้านเป็นหน้าที่ของเค้าอยู่แล้ว ถ้าสอบได้ที่ 1 ของห้องก็ไปอย่าง”
“งั้นติก็คงอดได้รถแข่งคันใหม่ไปตลอดชีวิตแหละป้า” สันติว่า
มีคณาแอบทิ้งค้อนหลานชายเล็กน้อย
“ต่อไปผมจะให้อะไรสันติ จะปรึกษาคุณมี่ก่อนก็แล้วกัน”
“ขอบคุณค่ะ” มีคณาเดินไปวางกระเป๋าสะพาย หาน้ำดื่มพร้อมพูดไป
“มี่เสียการปกครองหมดแล้ว เดี๋ยวนี้ติเชื่อฟังคุณมากกว่ามี่ซะอีก”
หิรัณย์ขยี้หัวสันติอย่างเอ็นดูแล้วลุกเดินไปคุยกับมีคณา เปลี่ยนเรื่องคุยซะงั้น
“ผมต้องไปดูงานที่อเมริกาอาทิตย์นึงนะครับคุณมี่”
มีคณาตาเป็นประกาย ดีใจที่จะได้ไปทำข่าวโดยสะดวก ไม่ต้องโดนหิรัณย์ทักท้วง
“คุณมี่อยากได้อะไรรึเปล่า”
มีคณาไม่สนใจของ แต่สนใจว่าไปเมื่อไหร่มากกว่า
“สารวัตรจะไปเมื่อไหร่คะ”
มีคณาสีหน้าอยากรู้ สนใจมากจนตาเป็นประกาย
เวลาหัวค่ำ มีคณากำลังจัดโต๊ะอาหารแล้วเดินกลับเข้าไปในครัว เห็นหิรัณย์กำลังทอดไข่เจียวอยู่ เธอไปหยิบจานมารอใส่ไข่เจียวของหิรัณย์
“ 2-3วันนี่คุณเงียบๆนะ มีปัญหาอะไรรึเปล่า”
ไข่เจียวสุกแล้ว หิรัณย์ปิดเตาแก๊ส มีคณารีบเก็บอาการเล็กน้อย ตอบไปอย่างปกติ
“ฉันมีปัญหาเป็นปกติแหละค่ะ สารวัตรก็ทราบ”
หิรัณย์ตักไข่เจียวมาใส่จานที่มีคณาถือรออยู่
“แต่ช่วงนี้คุณเงียบผิดสังเกต”
“คงงานหนักมั้งคะ”
มีคณาเลี่ยงถือจานไข่เจียวออกไปตั้งโต๊ะอาหาร หิรัณย์ถอดเสื้อคลุมกันเปื้อนแล้วตามออกไปซักถามต่อ
“คุณดูเครียดๆ แล้วก็กังวลมากกว่าแค่งานหนักธรรมดา”
มีคณาหันมองหน้า
“ฉันเป็นผู้ต้องสงสัยของสารวัตรตั้งแต่เมื่อไหร่คะ”
“เปล่า ผมแค่เป็นห่วง”
มีคณาหลบสายตา จัดโต๊ะอาหารไป
“ระวังจะเหมือนกับฉันเป็นห่วงสันติมากเกินไป จนดูเหมือนจ้องจับผิดนะคะ”
หิรัณย์แอบจ๋อยไปเล็กน้อย รู้ว่าโดนประชดเข้าให้แล้ว
“ติ ทานข้าวได้แล้ว”
สันติวิ่งลงบันไดมา พร้อมกระดาษโน้ตยื่นให้หิรัณย์
“รายการของฝากครับสารวัตร” สันติยิ้มแย้มบอก
“มากไปแล้วนะติ อย่าไปตามใจมากนะคะสารวัตร มาทานข้าวได้แล้ว”
มีคณานั่งนำที่โต๊ะอาหาร สันติหน้าจ๋อยๆ นั่งลง หิรัณย์ขยิบตาให้สันติ ประมาณเดี๋ยวจัดให้ไม่ต้องห่วง
สันติค่อยยิ้มออกนั่งลงเตรียมตัวทานข้าว มีคณาอยากรู้ แต่ถามด้วยน้ำเสียงมารยาท
“สารวัตรจะไปกี่วันคะ”
มีคณาสีหน้าลุ้น อยากรู้เพื่อปรับเวลาการไปทำข่าวจินดา
ตอนสายวันหยุด คนขับรถตู้ของหน่วยงานหิรัณย์ปิดท้ายรถตู้ หลังเก็บสัมภาระของหิรัณย์เสร็จ เดินไปนั่งรอที่นั่งคนขับ หิรัณย์กำลังล่ำลากับกัลยา และมีคณากับสันติอยู่ที่หน้าตัวบ้าน
“เดินทางปลอดภัยนะลูก” กัลยาบอก
“ขอบคุณครับ”
หิรัณย์กอดแม่ หอมแก้มให้ฟอดใหญ่อย่างไม่อายสายตามีคณาและสันติ เธอประทับใจการแสดงความรักของหิรัณย์ต่อแม่มาก อดที่จะยิ้มบางๆออกมาไม่ได้
“อย่าลืมของฝากนะครับสารวัตร”
มีคณาตีแขนสันติปรามเบาๆ
“ไม่ต้องห่วง ลุงเอากระเป๋าใหญ่ไป ไว้ขนของฝากกลับมาโดยเฉพาะ”
“อย่าตามใจให้มากนะคะสารวัตร เลือกเฉพาะของที่ไม่แพง แล้วก็มีประโยชน์จะดีกว่า”
“โห...สเป็กอย่างป้าว่า ติก็อดของฝากหมดสิ”
สันติทำหน้าเซ็งๆ กัลยาและหิรัณย์ขำๆ ออกมาอย่างเอ็นดู มีคณาหน้าปั้นปึงไม่ขำด้วย กัลยาวางมือบนบ่าหิรัณย์
“ไปได้แล้วลูก”
หิรัณย์หันไปกำชับมีคณา
“7 วันที่ผมไม่อยู่นี่ ห้ามไปทำข่าวอะไรเสี่ยงๆ ลับหลังผมนะครับ”
“ก่อนขึ้นเครื่องอย่าลืมโทรมาย้ำอีกทีนะคะ จะได้ครบ 100 ครั้งพอดี” มีคณาแขวะ
หิรัณย์แอบจ๋อยๆ กัลยาขำๆ เร่งอีก
“ไปได้แล้ว”
หิรัณย์เดินไปขึ้นรถตู้พร้อมยกมือบ๊าย บายทุกคน พอคล้อยหลังหิรัณย์เท่านั้นแหละ มีคณาก็รีบบอกกัลยา
“คุณแม่อย่าบอกสารวัตรนะคะ ว่ามี่จะพาสันติมาฝาก”
“แม่ไม่บอกหรอกจ้ะ แต่ไปทำงานข่าวคราวนี้ไม่อันตรายแน่นะหนูมี่”
“เวลาลงภาคสนามอะไรก็เกิดขึ้นได้ค่ะ แต่ยังไงงานมี่ก็ไม่อันตรายเท่าสารวัตรอยู่แล้วล่ะค่ะ”
กัลยายิ้มๆ
“สองคนนี่พอกันเลย เข้าไปทานขนมกันในบ้านดีกว่าจ้ะ”
“งั้นมี่ฝากติไว้กับคุณป้าซักพักนะคะ มี่ต้องออกไปซื้อของใช้ส่วนตัวหน่อย”
“ตามสบายจ้ะ เราไปกินขนมกันไป ยายเพิ่งทำบราวนี่เอาไว้ ติน่าจะชอบนะ”
กัลยาเกาะแขนสันติพาเดินนำเข้าบ้านไป
มีคณาถอนใจออกมาอย่างโล่งอก และยิ้มดีใจที่จะได้ไปทำงานข่าวนี้อย่างหมดอุปสรรค
เวลากลางวัน มีคณามาเลือกซื้อเสื้อผ้าอยู่ในร้านขายเสื้อผ้าย่านวัยรุ่น คนขายเข้ามาช่วย มองดูการแต่งตัวของมีคณาเล็กน้อย
“ซื้อใส่เองรึเปล่าคะ”
มีคณาชะงักไปเล็กน้อย
“ซื้อฝากน้องสาวน่ะค่ะ”
“อ๋อค่ะ ดูไม่ค่อยใช่สไตล์พี่เท่าไหร่”
มีคณาฉีกยิ้ม
“ค่ะ...คือพี่อยากได้เสื้อผ้าแบบที่วัยรุ่นสาวๆ สมัยนี้นิยมน่ะค่ะ พี่ไม่ค่อยได้ตามแฟชั่นเท่าไหร่ ก็เลยเลือกไม่ค่อยถูก”
“น้องพี่ไซส์ประมาณไหนคะ เท่าหนูมั้ย”
“เท่าพี่นี่แหละค่ะ ถ้าพี่ใส่ได้ น้องสาวก็ใส่ได้ ขอเป็นสไตล์ที่ทันสมัย แต่ไม่โป๊มากนะคะ น้องสาวพี่ชอบคล่องตัวหน่อย”
“ได้ค่ะ”
คนขายไปเลือกเสื้อผ้าให้
“งั้นพี่ขอลองเลยนะคะ จะได้ไม่ต้องแวะมาเปลี่ยน”
“ได้เลยค่ะ”
คนขายส่งชุดหนึ่งมาให้ ดูทันสมัยออกสีแรงๆ หน่อย มีคณามองดูชุดในมือ
“น้องพี่จะกล้าใส่มั้ยเนี่ย”
“จะถูกใจ อยากได้อีก ซะมากกว่าค่ะ”
มีคณาฉีกยิ้มแหยๆ รับชุดไปลอง เธอมองดูชุดอีกครั้ง ก่อนกระชับแว่นเข้าดั้งถามตัวเองว่า จะกล้าใส่มั้ยเนี่ย
ผ่านเวลาซักพัก มีคณารอคนขายอยู่ในร้านแว่น คนขายเอาคอนแท็คเลนส์แบบสายตามาให้มีคณา
“ขอบคุณค่ะ”
“เคยใส่มาก่อนมั้ยครับ”
“ตีว่าไม่เคยดีกว่าค่ะ ช่วยแนะนำอย่างละเอียดเลยนะคะว่าใช้ยังไง ทำความสะอาดยังไง ต้องระวังอะไรบ้าง” มีคณาฉีกยิ้มให้
ผ่านเวลาถึงเย็นวันหนึ่ง สันติถือกระเป๋านักเรียนวิ่งออกมาจากทางสนามบอลิ ยกมือล่ำลาเพื่อนแล้ววิ่งตรงไปหามีคณาที่มารอรับ หลานชายยกมือไหว้ เธอรับไหว้
“ป้าตามใจเราให้ไปอยู่บ้านคุณแม่สารวัตรแล้ว เราต้องอย่าไปดื้อนะ ช่วยงานคุณยายเค้า”
“รู้แล้วน่า”
สันติเดินนำไป มีคณาเดินตามประกบ
“เสื้อผ้าก็ซักเอง จานชามแก้วน้ำกินแล้วต้องยกเก็บ ล้างได้ก็ล้างไปเลย”
“คร๊าบ” สันติน้ำเสียงรำคาญเล็กๆ
“แล้วตอนเช้าก็อย่าตื่นสาย ตอนเย็นก็มานั่งรอให้ตรงเวลา พี่วันเค้าอุตส่าห์จะช่วยมารับมาส่งให้แล้ว เกรงใจพี่เค้าบ้าง”
สันติทำหน้าเซ็ง วิ่งนำกลับบ้านไปก่อนเลย มีคณาได้แต่ถอนใจส่ายหน้า
มีคณาเปิดตู้จดหมายหน้าบ้านดู ไม่พบจดหมายใดๆ สันติกำลังถอดรองเท้าหน้าระเบียงบ้าน
“สันติ”
สันติหันมองหน้ามีคณา
“มีจดหมายจากต่างประเทศถึงป้าบ้างมั้ย ซองยาวๆ สีฟ้าๆ น่ะ”
“ในตู้จดหมายไม่มีก็คือไม่มี ติไม่อยากยุ่งจดหมายของป้าหรอก ขี้เกียจโดนด่า”
มีคณาฉุกใจคิดอะไรขึ้นมาบางอย่าง มองตามสันติไป เห็นหลานชายกำลังถอดถุงเท้ายัดใส่รองเท้าแล้วเก็บรองเท้าเดินเข้าบ้านไป เธอเงียบกริบคล้ายมีความคิดบางอย่างแว่บเข้ามาในใจ สีหน้าซึมๆ ไปอย่างเห็นได้ชัด
ผ่านเวลาเล็กน้อย มีคณานั่งเขียนจดหมายหาป้ามั่นสินที่โต๊ะทำงานในห้องนอน
“มี่กำลังกลัวว่าความสัมพันธ์ของมี่กับสันติจะเหมือนแค่คนอยู่ร่วมบ้าน ผูกพันแต่ห่างเหิน เติบโตแล้ว
ก็แยกทางกันไป”
มีคณาเงยหน้าจากจดหมาย น้ำตารื้นๆ ขึ้นมาเคลือบตา เสียงในใจของมีคณาก้องว่า
“ถึงแม้จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มั่นคงได้ แต่ลึกๆ ก็ยังคงโหยหาความรักอยู่ดี”
มีคณามีน้ำตาเอ่อท่วมมากขึ้น ก่อนจะก้มหน้าเขียนจดหมายต่อ
“รอแค่จดหมายจากอังกฤษเดือนละฉบับ ที่ไม่ต่างจากหยดน้ำหนึ่งหยดในทะเลทราย”
เขียนถึงตรงนี้ น้ำตามีคณาก็ร่วงผล๋อย เธอขยำจดหมายทิ้ง คิดว่า ขืนส่งจดหมายฉบับนี้ไปหาป้ามั่นสิน เธอคงโดนจดหมายด่าว่ากลับมามากกว่าความเห็นใจ เธอขยำจดหมายนั้นแล้วปาทิ้งถังขยะไป แล้วซับน้ำตาออก
มีคณาเคาะประตูห้องนอนสันติ
“นอนรึยังติ”
ภายในห้อง สันติจัดกระเป๋าเสื้อผ้าค้างอยู่บนเตียง แต่เจ้าตัวค้นหาของบางอย่างที่โต๊ะทำงานและกระเป๋านักเรียนอยู่ไปมา
“ติ นอนแล้วเหรอ”
“ยัง”
“ขอคุยอะไรด้วยหน่อยสิ”
“โดนแน่ๆ” สันติบ่นพึมพำ
สันติถอนใจเซ็งเดินไปเปิดประตูห้อง มีคณามองหน้าสันติ
“ติอธิบายเรื่องจดหมายนั่นได้”
มีคณางง
“จดหมายอะไร”
สันติชะงักไป ป้ายังไม่เห็น แต่ร้อนตัวเกินไปหน่อย
“อ๋อ จดหมาย”
สันตินึกๆแล้วรีบโพล่งแก้ตัวไป
“จดหมายบ้านข้างๆ เค้าส่งผิด ติเลยแกะอ่าน”
“ตายจริง”
“ยังไม่ตาย ติคืนไปแล้ว... ป้าจะคุยกับติเรื่องนี้เหรอ”
“เปล่า เดินไปทานก๋วยเตี๋ยวที่ตลาดกันเถอะ แล้วค่อยคุยกันไป”
สันติมองหน้ามีคณาอย่างงงๆ
“ป้ารอข้างล่างนะ” มีคณาเดินนำไปก่อน สันติเป่าปากอย่างโล่งอก บ่นพึมพำ
“จดหมายครูหายไปไหนวะ”
สันติมีสีหน้าใช้ความคิด รีบเดินออกไปจากห้อง
สันติเดินแอบไปเข้าห้องนอนมีคณา คิดว่าป้าต้องเอาจดหมายไปแล้วแน่ๆ แต่ยังไม่ทันได้อ่าน ตั้งใจจะไปค้นหาจดหมายของครูประจำชั้นในห้องนอนมีคณา
สันติรีบวิ่งตามมีคณาที่เดินเล่นนำมาก่อนตามซอย
“ไม่รอเลย”
มีคณาหยุดเดินหันมองพร้อมยื่นซองจดหมายให้
“มัวแต่หาจดหมายนี่อยู่ใช่มั้ย”
สันติยิ้มแหยๆ
“ป้าเจอที่ไหน”
“ใต้โซฟา ถ้าป้าไม่ทำกุญแจบ้านตกก็คงไม่เห็น”
สันติหน้าจ๋อยๆถาม
“ครูเขียนมาฟ้องอะไรล่ะ”
มีคณายิ้มๆ บอก
“เปล่า ครูเขียนมาชม บอกว่าติเข้ากับเพื่อนได้ดีขึ้นมีสมาธิในการเรียนดีขึ้น”
สันติงงๆ นึกไม่ถึง
มีคณายิ้มๆ ยัดจดหมายใส่มือสันติ
“ไม่เห็นจะต้องซ่อนป้าเลย”
สันติยิ้มๆ พับจดหมายใส่กระเป๋ากางเกงแล้วเดินตีคู่ไปกับมีคณา
“ป้าอยากจะคุยอะไร”
มีคณาหันมามองสันติเล็กน้อย ก่อนถามพร้อมเดินไป
“ตอนแรกที่ย่าบอกให้ติมาเรียนหนังสือที่กรุงเทพ ติรู้สึกยังไง”
“ไม่อยากมา ใครจะอยากมาล่ะ ป้าเป็นใครก็ไม่รู้ หน้าก็ไม่เคยเห็น ปู่ก็ด่าให้ฟังทุกวัน”
“ป้าก็ไม่อยากให้ติมา”
สันติชะงักไป เหลือบตามองมีคณา
“ป้าไม่เคยเห็นหน้าติ ปู่ติเกลียดป้า ป้าเองก็ไม่ชอบใจที่ปู่ติทำกับย่า ทำกับอาๆ ติ ทำกับแม่ติ พอย่าบอกว่าจะให้ติมาอยู่กับป้า ป้าก็คิดเหมือนกันแหละ ว่าติต้องเป็นภาระแน่ๆ แต่ป้าก็ตกลงรับติมาอยู่ด้วย ทั้งที่ไม่เต็มใจ”
สันติได้ฟังความในใจของมีคณาก็แอบจ๋อยๆไปเหมือนกัน
“ติเคยได้ยินมั้ยว่าเวลาเปลี่ยนคนได้”
สันติตอบไป แต่แบบแอบน้อยใจอยู่
“เคยมั้ง”
“แล้วเคยได้ยินมั้ย ว่าบางทีอะไรๆ ก็ไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดหรือคาดหวังเอาไว้”
สันติพยักหน้ารับ มีคณาวางมือบนบ่าติ
“เรื่องความสัมพันธ์ของคนนี่ก็เหมือนกัน ตอนแรกเราอาจคิดว่า ไม่สามารถทนอยู่ร่วมบ้านกับใครได้แน่ๆ แต่เมื่อจำเป็นต้องอยู่ขึ้นมาจริงๆ อยู่ๆไป กลับรู้สึกผูกพัน และทำให้คิดได้ว่า เราอาจด่วนตัดสินคนอื่นเร็วเกินไป”
สันติช้อนตาขึ้นมองหน้ามีคณาที่แอบรู้สึกผิด
“บางทีคนเราก็อคติ ตั้งท่าจะชิงชังไว้ก่อน ทั้งที่เค้าอาจมีความน่ารักก็ได้”
มีคณายิ้มให้สันติที่แอบเขิน หลบสายตาทำท่ากวนๆ กลบความรู้สึก
“เค้าอาจจะมีบางอย่างที่ทำให้เรายอมรับได้ และอาจจะรักได้ในที่สุด”
ทั้งคู่สบตากัน สันติหลบสายตาเล็กน้อย ถามอ้อมแอ้มกลับไป
“ถึงคนนั้นเค้าจะไม่ค่อยดีนัก ป้าก็จะยอมรับได้เหรอ”
“ถ้าเค้ารู้ตัวว่าทำผิดพลาดตรงไหน แล้วพยายามแก้ไขข้อผิดพลาด พยายามปรับตัวเป็นเด็กดี อย่าว่าแต่ป้าเลย เพื่อนฝูง ครู หรือใครต่อใครก็ต้องยอมรับและรักเค้าทั้งนั้นแหละ”
สันติยิ้มพอใจ แต่ทำพูดอ้อมๆ
“จริงๆ อยู่ที่นี่ก็ไม่เลวนักหรอก โรงเรียนวัดก็ไม่เลวร้ายอย่างที่ปู่ว่า บ้านป้าถึงจะเหม็นควันธูปไปหน่อย แต่ก็พอทนอยู่ได้ บางทีป้าก็ใจดีเหมือนกัน” สันติพูดยักไหล่ ยังวางฟอร์ม
“บางที ติก็เป็นเด็กดีเหมือนกันแหละ”
มีคณาเดินนำไป สันติอมยิ้มบางๆ ก่อนจะมีสีหน้าขรึมๆ ลง...ย้อนคิด
ก่อนหน้านี้เล็กน้อย สันติเดินแอบไปเข้าห้องนอนมีคณา คิดว่าป้าต้องเอาจดหมายไปแล้วแน่ๆ แต่ยังไม่ทันได้อ่าน ตั้งใจจะไปค้นหาจดหมายของครูประจำชั้นในห้องนอนมีคณา
เขาแอบเข้าไปค้นหาจดหมายที่ครูประจำชั้นที่โต๊ะทำงานมีคณา ก็ไม่เจอ เปิดลิ้นชักหาไปมา ก็เหลือบตาเห็นกระดาษเขียนจดหมายขยำทิ้งเอาไว้
สันติตกใจมากรีบหยิบจดหมายที่ขยำไว้ขึ้นมาอ่าน... ข้อความในจดหมาย ทำให้สันตินิ่งๆไป....
“มี่กำลังกลัวว่าความสัมพันธ์ของมี่กับสันติ จะเหมือนแค่คนอยู่ร่วมบ้าน ผูกพันแต่ห่างเหิน เติบโตแล้วก็แยกทางกันไป ถึงแม้จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มั่นคงได้ แต่ลึกๆ ก็ยังคงโหยหาความรักอยู่ดี”
สันติชะงักไป เงยหน้าจากจดหมายที่มีคณาเขียนทิ้งไว้
ทางเดินในซอย สันติมีสายตาอ่อนโยนลงเพราะความเห็นใจ ข้อความในจดหมายต่อมา ...
“รอแค่จดหมายจากอังกฤษเดือนละฉบับ ที่ไม่ต่างจากหยดน้ำหนึ่งหยดในทะเลทราย”
สันติตัดสินใจวิ่งตามไปเดินคู่มีคณา จับมือมีคณาขึ้นพาดบ่ากอดคอตัวเอง เธออึ้งๆไปเล็กน้อย
“กอดคอแบบนี้ ติจะได้หายคิดถึงสารวัตรหน่อย”
มีคณายิ้มๆ เอ็นดู ก่อนจะเดินกอดคอสันติคุยกันไปหาก๋วยเตี๋ยวทาน
โปรดติดตอนที่ 7