3 ทหารเสือสาว ฟ้ากระจ่างดาว ตอนที่ 5
มุมหนึ่งของดอนเมือง หิรัณย์เดินตีคู่กันมากับมีคณา
"ข่าวสุภาพบุรุษไปถึงไหนแล้วครับ"
"เรียบร้อยแล้วค่ะ แต่คงลงอาทิตย์หน้า สารวัตรอยากจะอ่านดูก่อนมั้ยคะ เผื่อมีอะไรต้องแก้ไขเพิ่มเติม"
"ส่งมาก็ดีครับ แต่ผมเชื่อมือคุณ คิดว่าคงไม่ต้องแก้ไขอะไร ขออ่านเผื่อเหลือเผื่อขาดเท่านั้นเอง"
"ได้ค่ะ พรุ่งนี้จะเมลไปให้"
ทั้งคู่หยุดมองไปที่กลุ่มนักข่าวกำลังรุมล้อมสัมภาษณ์นักการเมืองหญิงที่ทำงานเรื่องสตรีและเด็กกันอย่างเอิกเกริก
"สยามสารเจาะที่ตัวข่าว ไม่ใช่สีสันของข่าว" มีคณาพูดเปรยๆ
เสียงโทรศัพท์มือถือของมีคณาดังขัดขึ้นมา...มีคณาดูเบอร์โชว์ก็แปลกใจ
"ขอตัวรับโทรศัพท์เดี๋ยวนะคะ" มีคณาเดินฉีกออกไปเล็กน้อยพร้อมกดรับสาย
ภายในห้องพักครูใหญ่ ครูอรุณสีหน้าเครียดคุยโทรศัพท์ที่ตั้งวางอยู่บนโต๊ะ
"มี่มาที่โรงเรียนหน่อยได้มั้ย"
มีคณาร้อนใจถาม
"มีอะไรคะครูรุณ ติก่อเรื่องอะไรอีกคะ"
ครูอรุณเหลือบตามองสันติที่นั่งหน้าบูดบึ้งก้มหน้าอยู่ฝั่งตรงข้าม
"สันติมีเรื่องชกต่อยกับเพื่อน ฝ่ายนั้นล้มกระแทกมุมโต๊ะ หัวแตกน็อกไปเลย ตอนนี้ครูประจำชั้นพาตัวไปโรงพยาบาลแล้ว"
สันติเหยียดปากเซ็งๆ
"มี่มารับหลานกลับบ้านก่อนเถอะ"
ครูอรุณเหลือบตามองสันติ สายตาดุ แต่แฝงด้วยความเป็นห่วงอยู่ในที สันติเบือนหน้ามองไปอีกทาง ไม่ยอมสู้ตา
"ฝ่ายนั้นเค้ามีเพื่อนสนิทหลายคนตอนนี้ฮึ่มๆ กันอยู่ ถ้าไม่รีบแยกตัวไป เดี๋ยวจะเกิดเรื่องขึ้นมาอีก" ครูอรุณถอนใจออกมา
บริเวณสนามบินดอนเมือง หิรัณย์มองไปมีคณาด้วยสีหน้าเป็นห่วงปนสงสัย เพราะเธอคุยโทรศัพท์ด้วยสีหน้าที่เครียดมากกว่าปกติ
"ค่ะครู มี่จะรีบไปเดี๋ยวนี้เลยค่ะ" มีคณากดตัดสายไป
หิรัณย์เดินเข้ามาถาม
"มีปัญหาอะไรรึเปล่าครับ"
"หลานชายฉันก่อเรื่องอีกแล้วค่ะ ชกเพื่อนซะสลบไปเลย" มีคณาถอนใจออกมา
หิรัณย์พยายามพูดเพื่อคลายอารมณ์
"โห หลานชายคุณคนนี้ท่าทางจะหมัดหนักน่าดู"
มีคณาไม่ผ่อนคลายด้วย แต่ยังดูตึงเครียด ส่ายหน้าอย่างระอา
"เด็กอะไรก็ไม่รู้ ร้ายกาจที่สุด เตือนอะไรไม่เคยเชื่อฟังเลย วันๆ ดีแต่ก่อเรื่อง...ไม่ต้องทำข่งทำข่าวกันพอดี"
มีคณาเหลือบตาเห็นสุนันทา จึงรีบเดินปรี่เข้าไปหาทันที หิรัณย์มองตามไปเห็นเธอเดินไปยกมือไหว้สุนันทาบอกกล่าวเรื่องราวไป เขาเดินตามเข้าไปหาห่างๆ
"น้องมี่ไปจัดการธุระส่วนตัวให้เรียบร้อยเถอะจ้ะ ส่วนข่าว เดี๋ยวพี่จะให้คนส่งรูปกับรายละเอียดไปให้"
"ขอบคุณค่ะพี่บัว พรุ่งนี้มะรืนนี้มี่อาจจะเข้าไปหาที่มูลนิธิ นะคะ เผื่อยังมีคนส่งตัวกลับบ้านไม่หมด มี่จะได้ขอสัมภาษณ์"
"ได้เลยจ้ะ ใจเย็นๆนะมี่"
"ค่ะพี่" มีคณายกมือไหว้แล้วรีบเดินเลี่ยงออกไป
หิรัณย์เดินปรี่ไปขวางหน้า
"ให้ผมไปส่งนะ"
"อย่าลำบากเลยค่ะสารวัตร"
หิรัณย์แววตาขอร้อง
"จากนี่ไปไกลนะครับ ค่ารถแท็กซี่หนักเอาเรื่อง ไปรถผมดีกว่า ผมไปส่งให้ถึงโรงเรียนเลย นะครับ
มีคณานิ่งๆ แต่ก็ดูใจอ่อนยอมรับข้อเสนอของหิรัณย์
หิรัณย์เดินคุยกับมีคณามาตามบริเวณโรงเรียนวัดช่างหมื่น
"ใจเย็นๆ นะคุณ เด็กผู้ชายก็ยังงี้แหละ คงกระทบกระทั่งกันแรงไปหน่อย"
"ขนาดน็อกนี่ไม่หน่อยแล้วมั้งคะ"
"คุณมี่มีหลานกี่คนเหรอครับ"
" เท่าที่รู้ก็คนเดียวนี่แหละค่ะ"
"เท่าที่รู้ แสดงว่ายังมีที่ไม่รู้จักอีกเหรอครับ"
"ไม่แน่ใจค่ะ น้องบางคนของฉันไม่ได้ติดต่อกันมานาน เลยไม่รู้ว่าเค้ามีลูกรึเปล่า ถ้าไม่ สันติก็เป็นหลานคนเดียวของฉัน"
"เป็นเด็กคนเดียวในบ้าน คงโดนรุมรักโดนตามใจน่าดู"
"สปอยล์สุดๆ เลยล่ะค่ะ ถึงได้โตมาทั้งดื้อทั้งร้ายขนาดนี้"
"ฟังคุณพูดแสดงว่าคุณไม่ได้อยู่หน่วยตามใจหลานแหงๆ"
"แน่นอนค่ะ"
"แต่ยังไงคุณก็อย่าเพิ่งด่วนสรุปนะครับ บางทีหลานคุณอาจจะไม่ใช่คนก่อเรื่องก็ได้"
"ไม่มีทางหรอกค่ะ หลานคนนี้นิสัยเหมือนพ่อเค้านั่นแหละ"
มีคณาเผลอแสดงสีหน้าชิงชังออกมาให้เห็น ทั้งคู่มาหยุดยืนอยู่ที่หน้าบันไดขึ้นตึก
"งั้นผมรออยู่แถวนี้ก็แล้วกัน"
"ดั้นด้นตามมาถึงนี่แล้ว ขึ้นไปด้วยกันเถอะค่ะ" มีคณาแขวะหน้านิ่งเดินนำขึ้นไปก่อน
หิรัณย์ยิ้มๆ ที่ถูกแดกเข้าให้ ก่อนจะตัดสินใจเดินตามขึ้นไป
ห้องพักครูใหญ่ สันติหันมาเหล่มองหิรัณย์และมีคณาที่เข้าห้องอย่างไม่พอใจ หลานชายของมีคณาไม่มีท่าทีสลดและสำนึกผิดใดๆบนสีหน้าเลย เธอจ้องหน้า ข่มอารมณ์แทบไม่อยู่ ทุกคนไหว้รับไหว้กันตามมารยาท ยกเว้นสันติ
"นี่สารวัตรหิรัณย์ค่ะครู"
สันติสีหน้าไม่ไว้ใจ ไม่เป็นมิตรเหล่มองหิรัณย์สำรวจตั้งแต่หัวจรดเท้า หิรัณย์มองกลับมาที่สันติด้วยแววตานิ่ง ฝ่ายสันติรีบหลบสายตาแอบกลัวทันที
"คู่กรณีเค้าเป็นยังไงบ้างคะครู"
"ได้สติแล้วล่ะ คิดว่าคงไม่มีอะไรกระทบกระเทือนมาก ตอนนี้พ่อแม่เด็กอยู่ที่โรงพยาบาลหมดแล้ว นี่ครูรอมี่อยู่ตั้งใจว่าจะตามไปโรงพยาบาลเหมือนกัน"
"งั้นขอเวลามี่ 15 นาทีค่ะ พานายตัวแสบนี่ไปส่งบ้านก่อน"
สันติหน้ากวนๆ ไม่แคร์
"งั้นให้ผมไปเป็นเพื่อนนะครับคุณมี่ เผื่อจะได้ช่วยเจรจากับผู้ปกครองฝ่ายนั้นให้"
"ขอบคุณค่ะสารวัตร"
สันติลุกพรวด ยกมือไหว้ทิ่มพรวดใส่ครูใหญ่
"ผมกลับบ้านได้แล้วใช่มั้ยครับ"
สันติคว้ากระเป๋านักเรียนขึ้นถือแบบพาดบ่าเดินกวนๆ ออกไปจากห้องครูใหญ่
"ดูมันสิคะครู มี่ไม่อยากอุปการะเด็กคนนี้แล้ว อีกนิดเดียวมี่จะหมดความอดทนแล้วนะคะ"
"น่ามี่ อดทนอีกหน่อยเถอะนะ คิดซะว่าเห็นแก่อนาคตหลานเถอะ"
มีคณาถอนใจพรวดออกมาแรงๆ หิรัณย์ชำเลืองมองหน้า สีหน้าเห็นใจและชื่นชมอยู่ในที ผู้หญิงตัวเล็กๆ ต้องมารับภาระมากมายในวัยที่ควรจะมีอิสระโลดแล่น
สันติเดินฉับๆ หน้าบึ้งตึงนำโด่งมาหน้าโรงเรียนก่อนใคร หิรัณย์เดินเร็วตีคู่มาประกบ มีคณาเดินตามรั้งท้ายมองตามไป สงสัยว่าหิรัณย์จะไปพูดอะไรกับสันติ แต่ก็ขี้เกียจตามไปสนใจ อยากทำอะไรก็ทำ หมดใจแล้ว
"รอด้วยสิสันติ"
สันติเหล่ๆ มองหิรัณย์
"รู้เรอะว่ารถพี่คันไหน"
"บ้านอยู่แค่นี้ เดินกลับเองได้ คุณเป็นตำรวจจริงรึเปล่า"
"ทำไมล่ะ"
สันติสีหน้าไม่เชื่อ
"หน้าไม่ให้...ท่าทางจะเป็นตำรวจปลอม ที่ป้าแว่นใช้มาหลอกเด็กมากกว่า"
หิรัณย์ขยับเข้ากอดคอสันติล็อกประชิดตัวแล้วปาดมืออีกข้างมาเปิดชายเสื้อโชว์ปืนที่พกอยู่ให้ดู สันติเห็นปืนหิรัณย์ก็ตกใจหน้าซีด
หิรัณย์ทำพูดกวน ข่มขวัญด้วยน้ำเสียงขรึม
"ปืนนี่ปลอมรึเปล่าก็ไม่รู้ แต่ยิงเด็กตายชัวร์"
สันติกลัวดีดตัวออกห่าง รีบไปเดินข้างๆ มีคณาที่เดินตามมาทันที พลางเหล่มองทางหิรัณย์แอบกลัวๆ
หิรัณย์ยิ้มๆ พอใจ คิดช่วยมีคณาปราบพยศหลานเฮี้ยวอีกแรง
เวลาเย็น สันติเดินนำเข้าบ้านมาอย่างเซ็งๆ แล้วโยนกระเป๋าหนังสือลงโครมที่โซฟา มีคณาเดินตามเข้ามามีหิรัณย์รั้งท้าย
มีคณาพูดกับหลานด้วยน้ำเสียงเย็นชา
"ไม่อยากเรียนหนังสือแล้วใช่มั้ยติ ติอยากทำลายความหวังของย่า แล้วกลับไปเป็นอันธพาลที่หมู่บ้านใช่มั้ย"
สันติถอนหายใจอย่างเซ็งๆ
"เอะอะก็ใช้กำลังทำร้ายคนอื่นเค้า เธอน่ะแย่เหมือนพ่อเธอไม่มีผิด ชอบทำร้ายคนอื่นที่ไม่มีทางสู้"
สันติหันมาจ้องหน้าป้าเขม็ง
"ถ้าไม่อยากเรียน ไม่อยากอยู่เป็นผู้เป็นคนดีๆที่นี่ก็ไม่ต้องอยู่ กลับบ้านไปเลยไป"
หิรัณย์ชักไม่สบายใจ เกรงว่าสถานการณ์จะแรงขึ้น พยายามหาจังหวะเข้ามาแทรก สันติขบกรามแน่น
"เดี๋ยวป้าจะไปโรงพยาบาล ไปดูว่าทางโน้นเค้าจะเอาเรื่องรึเปล่า"
มีคณาสะแหยะยิ้มหยันก่อนพูดต่อ
"ถ้าเอาเรื่องก็คงสนุกกันล่ะ เธออยู่บ้าน อย่าออกไปก่อเรื่องที่ไหนอีกล่ะ บอกตามตรง ป้าหมดปัญญากับติแล้ว"
สันติตวัดตามองไปที่หิรัณย์ด้วยท่าทางเจ็บใจปนอับอายก่อนวิ่งตึงๆ ขึ้นห้องนอนไป
"ไม่พูดรุนแรงไปหน่อยเหรอคุณ ถ้าหลานชายคุณไม่ใช่คนผิด"
มีคณาสวนกลับทันที
"สารวัตรไม่เห็นหน้าติรึไงคะ มีแต่รอยฟกช้ำ ไปต่อยลูกชายครูรุณไม่ทันข้ามคืน ก็ไปชกต่อยกับเพื่อนที่โรงเรียนอีก"
มีคณาชี้ไปที่โทรศัพท์บ้าน
"เมื่อวานฉันจับได้ว่า แอบโทรทางไกลไปต่างจังหวัดโดยไม่ขออนุญาต แทนที่จะขอโทษ กลับทุ่มโทรศัพท์ซะฟัง"
หิรัณย์หน้าเครียดมองไปที่ซากโทรศัพท์ มีคณาน้ำเสียงโกรธและเจ็บช้ำ พูดต่อไป
"เด็กนิสัยเลือดร้อนยังงี้ มีเหรอคะจะเป็นฝ่ายถูกคนอื่นกระทำ"
หิรัณย์นิ่งๆ ไปไม่เคยเห็นกริยาท่าทางของมีคณาโกรธจัดขนาดนี้มาก่อน และรู้ดีพอเธอโกรธไม่ยอมฟังอะไรแน่ๆ เหมือนตอนที่เจอกันแรกๆ
มีคณาถอนใจออกมาแล้วเดินนำออกไปจากบ้าน หิรัณย์เดินตามกลับออกไปด้วยความรู้สึกเข้าใจและเห็นใจ
ผ่านเวลาซักพัก ภายในโรงพยาบาล มีคณาและหิรัณย์ยกมือไหว้พ่อแม่มานพคู่กรณี หลังจากครูอรุณแนะนำ พ่อรูปร่างใหญ่โตท่าทางเป็นนักเลงมีรอยสัก ส่วนตัวแม่ค่อยดูเป็นมิตรหน่อย
"ดิฉันต้องขอโทษแทนหลานชายด้วยนะคะ เสียใจจริงๆ ที่ทำให้ลูกชายคุณได้รับบาดเจ็บ ดิฉันยินดีจะจ่ายค่ารักษาพยาบาลกับค่าทำขวัญให้ลูกชายคุณนะคะ"
พ่อมานพยกมือห้าม
"โอ๊ย ไม่ต้องหรอกคุณ"
มีคณาและหิรัณย์มองอย่างงงๆ
"ผมตะหากที่ต้องเป็นฝ่ายขอโทษคุณ ไอ้ลูกผมมันผิดเอง"
แม่มานพแอบเหยียดปากเซ็งๆไม่พอใจ
"แต่ว่าสันติเป็นคนทำมานพหัวแตกนี่คะ"
"สมน้ำหน้ามันแล้วล่ะครับ ไอ้ลูกชายผมมันเกเร ไปหาเรื่องก่อน เจ็บตัวซะบ้างจะได้รู้ว่า โลกนี้ไม่ใช่ตัวกูใหญ่อยู่คนเดียว"
มีคณาอึ้งๆ
"ลูกชายคุณน่ะเหรอคะเกเร"
หิรัณย์แอบถอนใจออกมา รู้สึกเห็นใจสันติที่ถูกเข้าใจผิด ครูอัจฉราพามานพที่รูปร่างใหญ่โตเหมือนพ่อ ท่าทางร้ายกาจเอาเรื่องเหมือนสันติเข้ามา มานพปิดผ้าพันแผลหัวที่แตกมาเรียบร้อยแล้ว
มานพยกมือไหว้มีคณา เธอรับไหว้ พ่อแปลกใจถาม
"อ้าว นี่คุณไม่รู้เหรอว่าลูกชายผมมันเป็นคนเริ่ม"
มีคณานิ่งๆ ไป คดีพลิกแบบนี้ อดนึกถึงสันติขึ้นมาไม่ได้
"มานพไปล้อสันติก่อนน่ะมี่ ล้อเรื่อง... เอ่อ เรื่องแม่ของสันตินั่นแหละ"
มีคณาสีหน้านิ่งขรึมอย่างคิดตาม
"ที่จริงก็มีเรื่องกันหลายครั้งแล้ว ครูฝากจดหมายสันติไปให้มี่ ไม่ได้รับเหรอจ๊ะ"
มีคณาส่ายหน้า
"สันติไม่ได้ให้จดหมายอะไรมี่เลยค่ะครู"
ครูอัจฉราถอนใจ
"ครูก็นึกว่าจะจบแล้วนะ แต่เมื่อเช้านี้ก็มีเรื่องกันอีก ตอนแรกก็ไม่มีอะไรแรงผลักกัน เถียงกันนิดหน่อย แต่มาช่วงบ่ายนี่แหละ มานพไปปัดรถของเล่นของสันติตกบันไดตึก สันติคงเหลืออดจริงๆ ก็เลยเข้าไปต่อย มานพเสียจังหวะล้มศีรษะกระแทกสลบไป"
มีคณาจ๋อยๆไป หิรัณย์ชำเลืองมองเข้าใจความรู้สึกของมีคณา
แม่มานพน้ำเสียงเคืองๆ
"จริงๆ ฉันก็เข้าใจนะคะว่ามานพผิดที่ไปแหย่เพื่อน แต่กะอีแค่ทำของเล่นไม่กี่สตางค์พัง ไม่เห็นต้องทำรุนแรงกับเพื่อนขนาดนี้เลย นี่ถ้าลูกฉันเลือดออกในสมองหรือกะโหลกยุบไปจะว่ายังไง"
"อย่าไปเข้าข้างลูกเราเกินไปนักเลยคุณ ทุกวันนี้จะเป็นเทวดาอยู่แล้ว" พ่อบอก
มีคณามองพ่อแม่ของมานพแล้ว อดแปลกใจไม่ได้ที่ลักษณะภายนอกกับนิสัยขัดกันสิ้นเชิง
"ลูกเราผิดไปแกล้งเพื่อนก่อน ครูเค้าก็บอกว่าสันติไม่ได้ตั้งใจทำร้ายลูกเราซะหน่อย"
มานพโวยขึ้นมา
"เบิ้มไม่ได้แกล้งเพื่อนนะพ่อ เบิ้มพูดความจริง แม่ไอ้ติมันมีอาชีพอย่างว่า ไปขายตัวเมืองนอก"
ทุกคนตกใจ เงียบกริบกันไปหมด
พ่อมานพโกรธบอก
"ถ้าแกเจ็บไม่พอ พ่อจะเขกหัวแกให้แตกเอง พูดจาก้าวร้าวพ่อแม่คนอื่นเค้าได้ยังไง"
พ่อหันไปต่อว่าภรรยากลายๆ
"ดูลูกเธอนะ ก้าวร้าวขนาดไหน"
แม่มานพทำหน้าปั้นปึง ทิ้งค้อนใส่สามี
"ก็มันเรื่องจริงนี่พ่อ"
มีคณาและครูอรุณแอบสบตากัน แต่ไม่พ้นสายตาหิรัณย์ พ่อมานพเสียงดังดุลูก
"ยังอีก จะจริงหรือไม่จริงก็ไม่ใช่เรื่องของแกไอ้เบิ้ม พ่อถามหน่อยเถอะ ถ้าเกิดพ่อทำผิดต้องติดคุก แล้วเพื่อนแกมาล้อแกว่าไอ้ลูกขี้คุก แกจะรู้สึกยังไง"
คำพูดเปรียบเทียบของพ่อ ทำให้มานพจ๋อยไป มีคณารู้สึกนับถือในน้ำใจและความคิดอ่านของพ่อมานพ
"จำไว้นะเบิ้ม ไอ้การที่พ่อแม่ทำผิดหรือทำอะไรพลาดไป ไม่ได้หมายความว่า แกจะต้องผิดหรือต้องมารับผิดชอบความไม่ดีของพ่อแม่ด้วย ตัวแกก็ตัวแก เพื่อนแกก็เพื่อนแก ถ้าเพื่อนเลวค่อยด่าเพื่อน อย่าเอาเรื่องพ่อแม่มาเกี่ยวด้วย เข้าใจมั้ย"
มานพรับคำเสียงอ่อย
"เข้าใจครับพ่อ"
แม่มานพถอนใจอย่างเชิดๆ
"ต้องขอโทษแทนลูกชายผมด้วยนะครับ ผมกับแม่มันไม่ค่อยมีเวลาสั่งสอน ปากมันเลยเสียไปบ้าง ต่อไปผมจะพยายามอบรมมันให้ดีกว่านี้ครับ"
มีคณายกมือไหว้
"ขอบคุณมากนะคะที่เข้าใจและไม่ถือโทษสันติ แต่ยังไงดิฉันก็ยังยืนยันที่จะขอรับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลของมานพ"
พ่อมานพออกจะลังเลใจ
"จะเอายังงั้นเหรอครับ"
"ค่ะ ถ้าลูกคุณผิดเพราะเป็นคนก่อเรื่อง หลานฉันก็ผิดเพราะเป็นคนทำให้มานพบาดเจ็บ"
"งั้นพบกันครึ่งทางก็แล้วกัน มี่ออกค่ายาแต่ไม่ต้องจ่ายค่าทำขวัญ ดีมั้ยครับคุณพ่อ" ครูอรุณบอก
พ่อมานพเห็นด้วย
"ดีครับครูใหญ่... พรุ่งนี้ไปโรงเรียนผมจะให้มันไปขอโทษหลานคุณ แล้วให้สัญญาว่าจะไม่ไปล้อหรือแกล้งหลานคุณอีก"
มีคณายิ้มยกมือไหว้พ่อมานพอีกครั้ง
"ขอบคุณมากค่ะคุณพ่อ"
พ่อมานพรับไหว้ยิ้มแย้ม มีคณาสบายใจเรื่องนี้แต่ก็ยิ้มจืดจางลงเมื่อนึกถึงความเข้าใจผิดของเธอที่มีต่อหลานชาย หันไปสบตาหิรัณย์ที่มองเธออยู่พอดี เขายิ้มบางๆ ให้กำลังใจ เหมือนเข้าใจว่า มีคณารู้สึกยังไง
มีคณามีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมา แอบถอนใจบางๆ ออกมา
หิรัณย์ขับรถมาส่งมีคณาที่หน้าบ้านตอนหัวค่ำ ทั้งคู่ต่างนั่งเงียบกันมาระยะหนึ่ง
"ขอบคุณมากนะคะสารวัตร ที่ไม่พูดว่าผมบอกคุณแล้ว” มีคณาบอก
"ผมไม่ชอบซ้ำเติมใครอยู่แล้วล่ะครับ"
"เสียดายนะคะ น่าจะพาสันติไปโรงพยาบาลด้วย เค้าจะได้เห็นว่า พ่อคนที่มีความน่านับถือควรทำตัวยังไง ไม่ใช่ตัวอย่างผิดๆ อย่างที่เค้าเคยเห็นมาตลอดชีวิต" มีคณาถอนใจบางๆ แล้วลงไปจากรถพร้อมถุงใส่อาหาร
หิรัณย์รีบลงตามมา
"ง้อหลานนิดๆ หน่อยๆ คงไม่เสียหายอะไร"
"คงต้องเป็นยังงั้นล่ะค่ะ ขอบคุณมากสำหรับทุกๆ เรื่องที่สารวัตรช่วยฉันวันนี้"
หิรัณย์ยิ้มรับ
"แล้วก็ขอบคุณมากที่ไม่ถามอะไร"
"การดูแลเด็กผู้ชายวัยรุ่นเป็นเรื่องยากสำหรับผู้หญิงตัวคนเดียวอายุขนาดคุณ"
มีคณาถอนใจออกมาด้วยความรู้สึกเห็นด้วย
"มีอะไรให้ผมช่วย ไม่ต้องเกรงใจ โทรหาได้ตลอดเวลา"
"ขอบคุณค่ะ...ขับรถดีๆ นะคะ"
"ใจเย็นๆ นะครับ"
มีคณายิ้มบางๆตอบไปก่อนเดินเข้าบ้านไป... หิรัณย์มองตามส่งเล็กน้อยก่อนขึ้นรถขับกลับออกไป
มีคณาเดินกลับเข้าบ้านมา ภายในบ้านปิดไฟมืด เธอเดินไปเปิดไฟโถงจนบ้านสว่าง แต่ไม่มีวี่แววของสันติ เธอวางถุงอาหารที่โต๊ะอาหารแล้วตะโกนเรียก
"สันติ...ป้าซื้อผัดซีอิ้วมาฝาก ลงมาทานสิ"
ไม่มีเสียงตอบจากสันติ
มีคณาเดินไปรินน้ำที่ตู้เย็นและเดินกลับมาเตะรถแข่งที่เธอซื้อให้หลานชาย เธอหยิบรถแข่งขึ้นมาดู เห็นรอยยุบรอยแตก สีขูดถลอก
เธอรู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ ขึ้นมา เดินถือรถแข่งติดมือขึ้นไปที่ชั้นบน
มีคณาเคาะประตูหน้าห้องนอนสันติ
"สันติ ป้าซื้อผัดซีอิ้วมาฝาก"
ไม่มีเสียงตอบ เธอมีสีหน้ารู้สึกผิด
"ป้ารู้เรื่องที่โรงเรียนวันนี้หมดแล้ว ป้าขอโทษที่ไม่ฟังที่ติพูด"
ยังไม่มีเสียงตอบกลับมา มีคณาชักเอะใจ เปิดประตูเข้าห้องนอนเข้าไป ประตูห้องไม่ได้ล็อก ห้องปิดไฟมืด เมื่อเปิดสวิทช์ไฟ ห้องสว่างทำให้เห็นว่า ไม่มีสันติอยู่ในห้อง แต่มีเสื้อผ้าชุดนักเรียนที่ถูกถอดทิ้งอยู่กับพื้น ตู้เสื้อผ้าเปิดอ้า
มีคณาใจไม่ดี เอารถแข่งที่ถือติดมือมาไปวางที่เตียง แล้วเดินไปที่ตู้เสื้อผ้า เสื้อผ้าสันติเหลือแค่ชุดนักเรียน เสื้อผ้าใส่เล่นไม่เหลือซักตัว !!
มีคณาเปิดตู้เก็บกระเป๋าเสื้อผ้า ไม่มีกระเป๋าเสื้อผ้าอยู่แล้ว ตู้ทั้งใบดูโล่งไปหมด เธอตกใจมาก มั่นใจว่าสันติต้องหนีออกจากบ้านแน่
มีคณาผุนผันรีบวิ่งออกไปจากห้องนอนหลานชายทันที
มีคณาหน้าตาตื่นด้วยความเป็นห่วงสันติ วิ่งไปดูที่ลานอเนกประสงค์ใต้สะพานที่หลานชายชอบมาเตะบอลกับเพื่อนๆ เธอจับตามองเด็กวัยรุ่นซึ่งเหลือไม่กี่คนที่เตะบอลกันอยู่ ไม่มีสันติอยู่ในกลุ่มนั้น เธอเดินเข้าไปถาม
"โทษทีนะจ๊ะ น้องรู้จักสันติรึเปล่า"
วัยรุ่นคนที่ 1สีหน้างงๆ
"เด็กผู้ชายสูงเท่าๆ น้องนี่ล่ะ ไว้ผมรองทรง เรียนที่วัดช่างหมื่นนี่แหละ ชอบมาเตะบอลที่นี่บ่อยๆ"
วัยรุ่นคนนั้นส่ายหน้า แล้วเตะบอลกับเพื่อนต่อ มีคณาต้องหลบเลี่ยงออกมาเองก่อนจะถูกเตะบอลเข้าใส่ เธอเดินต่อไปในละแวกใกล้เคียงเพื่อตามหาหลานต่อไป
บริเวณร้านขายของชำใกล้ๆ อาอึ้มเล่าไปพัดไป มีคณาฟังอย่างสนใจ
"หลานลื้อใช่มั้ย อัวะเห็นมาวิ่งเล่นกับเด็กแถวนี้หลายวันแล้ว อัวะกำลังคิดจะไปเตือนลื้ออยู่เชียวอามี่ ว่าอย่าให้หลานมาเล่นกับพวกอี มันร้ายจะตาย เกาะกันเป็นแก๊ง ท่าทางจะติดยาด้วยนะ ไม่น่าคบเลย"
"มี่นึกว่าสันติมาเล่นกับเด็กแถวนี้ หรือ เพื่อนที่โรงเรียนซะอีก"
อาอึ้มส่ายหน้าดิก
"ไม่ใช่น่อ"
"แล้วเด็กจากไหนคะอาอึ้ม"
"เห็นอาเล้งว่ามาจากปากคลองรึไงนี่แหละ พวกเด็กข้างถนน รับจ้างขนผักบ้าง ขโมยเค้าบ้าง เด็กแถวนี้พ่อแม่เค้าไม่ให้ยุ่งกับไอ้พวกนี้หรอก ขนาดอัวะยังต้องระวังเลยอามี่ เผลอไม่ได้ มันคว้าของวิ่งปร๋อไปแล้ว"
มีคณาชักใจไม่ดี
"วันนี้อาอึ้มเห็นหลานมี่บ้างมั้ยคะ"
"เห็น ช่วงเย็นๆ อีมาเดินวนๆ อยู่พักนึงแล้วก็ไปกับไอ้เด็กพวกนั้นแหละ"
มีคณาตกใจปนร้อนใจ
"แล้วอาอึ้มพอจะรู้มั้ยคะว่า ติกับเด็กพวกนั้นไปไหนกัน"
อาอึ้มใช้พัดชี้ทางไป
"โน่น เห็นเดินลัดไปทางตลาด ยังไม่เห็นกลับมาเลยนะ"
"ขอบคุณค่ะอาอึ้ม"
มีคณารีบวิ่งไปตามทางที่อาอึ้มชี้
มีคณารีบวิ่งไปตามทางลัดที่มืดๆ แคบๆ อย่างร้อนใจ เธอทะลุทางลัดไปโผล่ที่ตลาด ร้านรวงขายของสดปิดหมดแล้ว เหลือแต่พวกรถเข็นขายก๋วยเตี๋ยว ขายขนมหวาน ไม่กี่เจ้า เธอกึ่งเดินกึ่งวิ่งกวาดตามองไปทั่วๆ
มีคณากวาดตามองลูกค้าตามร้านต่างๆ ไม่พบสันติ เธอสำรวจ จนแน่ใจว่า ไม่มีสันติแน่ และเริ่มฉุกคิดตามคำที่อาอึ้มเล่า จึงวิ่งไปหน้าตลาด ซึ่งมีรถตุ๊กตุ๊กจอดรอผู้โดยสารอยู่
"ไปปากคลองตลาดค่ะ"
มีคณาเดินทางมาถึงปากคลองตลาด กวาดสายตาหาสันติไปทั่วด้วยความเป็นห่วงและร้อนใจ เห็นแต่พ่อค้าแม่ขายที่ทำมาหากิน ลูกค้าก็เดินจับจ่ายซื้อของ เธอเดินแหวกกลุ่มผู้คนตามหา
มีคณาเห็นกลุ่มแก๊งเด็กวัยรุ่นรวมตัวกันก็ปรี่เข้าไปดู เด็กวัยรุ่นเหล่แล้วเดินไปคุยกันที่อื่น เธอยังออกตามหาหลานชายไม่ลดละ ท่ามกลางความวุ่นวายสับสนของผู้คนที่ปากคลองตลาด
มีคณาสีหน้าท่าทางท้อแท้อ่อนแรงเดินมาหยุดที่หน้าสถานีตำรวจ สน. พระราชวัง เธอเงยหน้ามองไปที่โรงพัก ด้วยสีหน้าช่างใจอยู่ไปมา
ในเวลาต่อเนื่องมา ร้อยเวรพูดคุยกับมีคณาด้วยท่าทางเห็นใจและเข้าใจ
"คนหายไปแค่ไม่กี่ชั่วโมงทางเรายังไม่อยากรับแจ้งความไว้หรอกนะครับ ไม่แน่ อีกซักพักหลานชายคุณอาจจะกลับไปที่บ้านก็ได้"
มีคณาสีหน้ารู้สึกผิด
"คงไม่กลับหรอกค่ะ เราทะเลาะกันค่อนข้างแรง เค้าเก็บเสื้อผ้าไปด้วย"
"โทรเช็กตามบ้านเพื่อน บ้านญาติรึยังครับ"
"สันติไม่รู้จักใครที่กรุงเทพหรอกค่ะ เพราะเพิ่งลงมาจากทางเหนือ จะเดินทางกลับไปก็คงยาก เพราะไม่มีเงินพอยังไงก็รบกวนคุณตำรวจช่วยตามหาให้หน่อยได้มั้ยคะ หลานดิฉันคงยังไปไหนได้ไม่ไกล" มีคณาสีหน้าขอร้อง
ร้อยเวรเห็นใจ
"เอางี้ คุณพอจะมีรูปหลานคุณในมือถือมั้ย"
มีคณาส่ายหน้า
"ไม่มีค่ะ"
"งั้นบอกลักษณะรูปพรรณของหลานคุณมาผมจะให้ตำรวจในพื้นที่ช่วยดูให้"
"ขอบคุณค่ะ"
มีคณาดีใจมาก ยกมือไหว้ ร้อยเวรรีบรับไหว้แทบไม่ทัน
ผ่านเวลาเล็กน้อย จ่าสิบตำรวจนายหนึ่งขับมอเตอร์ไซค์พามีคณาซ้อนท้ายตระเวนดูตามตรอก
ซอกซอย แต่ก็ยังไม่มีวี่แววสันติ จนเธอได้แต่ถอดถอนใจออกมา
จ่าพามีคณามาส่งที่หน้าบ้าน เธอถอดหมวกกันน็อคคืนให้ และยกมือไหว้ขอบคุณ
"ขอบคุณมากค่ะจ่า"
จ่าตะเบ๊ะตอบรับกลับมา พร้อมพูดให้กำลังใจ
"เด็กสิบขวบสมัยนี้เก่งแล้วครับคุณ เอาตัวรอดได้ ผมว่าหายโกรธก็คงกลับ ดีไม่ดีแกอาจจะหาทางกลับไปบ้านที่ต่างจังหวัดเองก็ได้ครับ"
มีคณาคิดตาม... ก็เป็นไปได้
"ยังไงถ้าทางเราได้เรื่องจะรีบติดต่อกลับมาทางคุณทันทีเลยนะครับ"
"ขอบคุณมากค่ะ"
มีคณาสีหน้าเครียดด้วยความเป็นห่วงสันติมาก
มีคณาทิ้งตัวนั่งลงที่โซฟารับแขก ก่อนพูดพึมพำ
"ถ้าฉลาดก็กลับมา"
มีคณาเหลือบตามองนาฬิกาผนังบอกเวลาเที่ยงคืนกว่าๆ เธอถอนใจ แล้วลุกไปยืนที่หน้าประตูโถงมองไปยังหน้าบ้าน รอการกลับมาของสันติอย่างกังวลใจ
ที่รั้วหน้าบ้านยามค่ำคืน ไม่มีวี่แววของหลานชายเธอเลย
เช้าวันต่อมา เธอผล๋อยหลับที่โซฟา แต่ยังหันหน้าที่พริ้มหลับของเธอมาทางหน้าประตูโถง ความกังวลทำให้เธอสะดุ้งตื่นขึ้นมา...และตกใจเล็กน้อยที่รู้ตัวว่า เช้าแล้ว เธอจับสังเกตเห็นว่า ประตูโถงเปิดแง้มไว้ ปิดไม่สนิท
"สันติ" มีคณาลุกพรวดด้วยความดีใจ ฉวยโทรศัพท์มือถือ วิ่งขึ้นชั้นบนไปอย่างเร็ว
มีคณาวิ่งขึ้นบันได เปิดประตูห้องนอนสันติพรวด ไม่มีวี่แววของหลานในห้องนอนแม้แต่น้อย...ประตูโถงที่แง้มไว้นั้น ที่แท้ เธอปิดไม่สนิท !! สีหน้ามีคณาเต็มไปด้วยความผิดหวัง ได้แต่ถอนใจออกมา
เวลาเล็กน้อย มีคณาปิดประตูห้องนอนสันติ พร้อมคุยมือถือ
" ยังไม่กลับมาบ้านเลยค่ะ" มีคณาฟังก่อนพูดกลับไป
"ขอบคุณมากค่ะ ถ้าได้ข่าวยังไงรบกวนคุณตำรวจโทรบอกดิฉันทันทีเลยนะคะ...ค่ะ ค่ะ"
มีคณากดตัดสาย ถอนใจอีกครั้ง พร้อมๆกับหลับตาอย่างพยายามตั้งสติ
ยามสาย มีคณาเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่กลับมาที่ปากคลองตลาดอีกครั้ง เธอออกตามหาสันติ ทั่วทุกซอกทุกมุมของปากคลองตลาดอย่างไม่ย่อท้อ ท่ามกลางแดดเปรี้ยงจนเย็น
สุดท้าย... มีคณาได้แต่ยืนนิ่งอย่างยอมแพ้ ท่ามกลางความเคลื่อนไหวของผู้คนที่ปากคลองตลาด
เวลาเย็น เด็กคนงานเดินนำบานเช้ามาที่ร้านขายของชำ แล้วแยกตัวไปทำงานต่อ เจ้าของร้านหน้าหงิกใส่บานเช้า พร้อมต่อว่าทันที
"บอกผัวเธอว่า งดเหล้าซักวันสองวันเอาเงินไปจ่ายค่าโทรศัพท์ซะที จะได้มีใช้ ไม่ต้องเที่ยวยืมจมูกชาวบ้านเค้าหายใจ เด็กคนงานฉันมีไว้ช่วยขายของ ไม่ใช่เที่ยวตระเวนไปตามใครต่อใครมารับโทรศัพท์"
"เดี๋ยวฉันขอซื้อข้าวสารซัก 2 โลนะ"
เจ้าของร้านเสียงอ่อนลงถาม
"อย่างเดียวเหรอ"
"น้ำปลาอีกขวดก็ได้"
เจ้าของร้านค่อยยิ้มออก อารมณ์ดีขึ้นหน่อย
"อย่าคุยให้นานนักล่ะ"
"จ้ะ"
บานเช้ารีบไปยกหูโทรศัพท์ในร้านขายของชำขึ้นมารับ
"มี่...แม่พูดเองลูก สันติเป็นก่อเรื่องอะไรอีกรึเปล่า"
บานเช้าสีหน้าไม่สบายใจมาก รอฟังปลายสาย
3 ทหารเสือสาว ฟ้ากระจ่างดาว ตอนที่ 5 (ต่อ)
มีคณาคุยโทรศัพท์มือถือที่มุมหนึ่งของปากคลองตลาดอย่างลังเลไปมา ก่อนตอบแม่กลับไป
"เปล่าหรอกค่ะ"
บานเช้าโล่งอก
"ค่อยยังชั่ว พอเด็กไปตามแม่บอกว่ามี่โทรมา แม่ล่ะใจคอไม่ดีเลย ค่อยโล่งอกหน่อย"
มีคณาฟังเสียงแม่ น้ำตาคลอๆ ขึ้นมา
"มี่ล่ะสบายดีมั้ยลูก ทำงานเหนื่อยมั้ย"
มีคณาสะกดอารมณ์เครียดผสมกับเหนื่อยให้อยู่ พยายามไม่ให้เสียงสั่นจนอีกฝ่ายจับได้
"ไม่หรอกค่ะแม่" มีคณารีบปาดน้ำตาออกก่อนจะไหล
"วันก่อนเจ้าติมันโทรมาคุย น้ำเสียงมันไม่ค่อยดี จะขอกลับบ้าน แม่ก็บอกมันไป ให้อดทน หนักนิดเบาหน่อยให้สู้เข้าไว้ ตั้งใจขยันเรียน อย่าสร้างปัญหาให้มี่"
มีคณารับฟังอย่างคิดตาม สีหน้าติดใจบางอย่างขึ้นมา
"แม่บอกติมันนะ ให้ทำตัวเป็นเด็กดีกับมี่ แม่ไม่อยากให้มี่โมโหหรือโกรธหลาน"
มีคณาสีหน้าติดใจสงสัย ถามขัดไป
"ติบอกแม่เหรอคะว่าอยากกลับบ้าน"
"จ้ะ แต่แม่บอกไปแล้วว่าไม่ให้กลับ ต้องเรียนให้จบป.6ก่อน"
มีคณาพยายามตะล่อมถามต่อ
"หลังจากวันนั้น ติโทรหาแม่อีกมั้ยคะ"
มีคณารอฟังอย่างใจจดใจจ่อ
"เปล่านะ แม่เองก็ห้ามไปว่าอย่าโทรมาบ่อยนัก ค่าโทรศัพท์มันแพง แม่เกรงใจมี่ เกรงใจน้าหวิลแกด้วย" บานเช้าเหลือบตามองไปทางเจ้าของร้านที่นั่งโต๊ะเก็บเงิน ค้อนตากลับมาทางบานเช้า ข้างตัววางข้าวสาร 2 กิโลและน้ำปลา 1 ขวด รอพร้อมเก็บเงิน
"ทีหลังมี่ไม่ต้องให้เจ้าติโทรมาหาแม่บ่อยๆ ก็ได้นะ แม่เสียดายเงิน แค่เดือนละครั้งก็พอแล้ว"
มีคณาดูอึ้งๆไป
"เดี๋ยวค่ะแม่ ติบอกแม่ว่า มี่เป็นคนสั่งให้เค้าโทรไปหาแม่เหรอคะ"
"จ้ะ"
มีคณาแอบถอนใจ กับความแสบของหลานชาย บานเช้าชักไม่สบายใจ
"มี่ เจ้าติไม่ได้ก่อเรื่องอะไรแน่นะ"
มีคณารีบตอบกลับไปเพื่อให้แม่สบายใจ
"อ๋อ เปล่าค่ะ ทุกอย่างเรียบร้อยดี แม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ"
"งั้นแม่ขอคุยกับติหน่อยได้มั้ยมี่ แป๊บเดียวลูก"
มีคณาตกใจเล็กน้อย รีบปฏิเสธ
"ติยังไม่กลับจากโรงเรียนเลยค่ะแม่"
" ตายจริง เย็นค่ำปานนี้แล้ว เถลไถลจริงๆ เด็กคนนี้"
มีคณารีบตอบตัดไป
"คงไปเตะบอลกับเพื่อนๆ เค้าแหละค่ะ งั้นแค่นี้ก่อนนะคะแม่"
"เออ ๆ หลายตังค์แล้ว ดูแลรักษาตัวดีๆ นะมี่นะ ฝากเจ้าติมันด้วยนะ"
มีคณาฟังแม่ฝากฝังอีกอึดใจก่อนตัดสายไป รู้แล้วว่า สันติไม่ได้กลับไปหาย่า เธอมีสีหน้าครุ่นคิดเครียดๆ ขึ้นมาว่า สันติหายไปไหน พลางบ่นพึมพำด้วยความเป็นห่วงมาก
"ไปไหนของแกนะ"
มีคณาถอนใจออกมา กวาดตามองหาไปทั่วๆ แล้วเริ่มเดินตามหาอีกรอบ
ผ่านเวลาเล็กน้อย บานเช้าถือถุงข้าวสารกับน้ำปลาเดินกลับเข้าโถงบ้านมา บุญสมนั่งกินเหล้า อาการมึนๆ หลังพิงผนังบ้าน เคี้ยวกับแกล้มอยากสบายใจเหล่มอง
"อีมี่มันโทรมาทำไมวะ อย่าบอกนะว่ามาฟ้องเรื่องหลานกูอีก หนอย หลานคนเดียวทำเป็นเลี้ยงไม่ได้ ดัดจริต"
ธำรงนอนดูทีวีที่โซฟา ห่มผ้าช่วงขามิดชิด..เหล่มอง
"มันโทรมาถามสารทุกข์สุกดิบธรรมดา"
"จริงเรอะแม่ ร้อยวันพันปีเคยโทรที่ไหน"
บานเช้าก็แปลกใจอยู่เหมือนกัน
"ฉันว่าต้องมีอะไรแน่ๆเลย" ธำรงว่า
"อย่าบอกนะว่ามันทุบตีหลานกูจนทนอยู่ไม่ไหวต้องหนีออกจากบ้าน กูจะตามไปเตะมันให้คอหักถึงกรุงเทพเลยคอยดู"
"โอ๊ย มี่มันไม่ใช่คนใจยักษ์ใจมารขนาดนั้นหรอกน่ะ"
"ว่าได้เหรอแม่ มันอาจจะแค้นฉันอยู่ก็ได้" ธำรงบอก
"ถ้าคิดร้ายกับมี่มันยังงั้น แล้วเอ็งเขียนจดหมายไปอ้อนวอนให้รับไอ้ติไปเลี้ยงทำไมล่ะ ยกให้เค้าไปอุปการะแล้วเค้าจะดุจะด่าจะว่าจะตีบ้าง ก็ต้องทำใจ"
"แล้วแม่ได้คุยกับติมันรึเปล่า"
"มี่บอกว่ายังไม่กลับจากโรงเรียน เถลไถลไปเตะบอลกับเพื่อนมันตามเคยนั่นแหละ"
"พรุ่งนี้ฉันจะโทรไปหาติมัน"
"ก็เรื่องของแก จ่ายเงินเจ๊หวิลเอาเองแล้วกัน ฉันเตือนไว้ซะก่อน แกคิดเงินเป็นวินาทีเลยนะ" บานเช้าเดินเซ็งๆเข้าครัวไป ธำรงดูเจื่อนไป เพราะไม่ค่อยมีเงิน
บุญสมโวยวาย
"แล้วทำไมมึงไม่ขอมือถือลูกบังเกิดเกล้ามึงมาติดบ้านไว้ใช้ซักเครื่องนึงวะ จะได้โทรหาไอ้ติมันสะดวกๆ หน่อย ไม่ต้องง้ออีหวิลขี้งกมัน แล้วก็ให้มันดูแลค่าใช้จ่ายให้ กูจะได้มีพกไปตลาดโก้ๆ กะเค้ามั่ง" บุญสมหัวเราะชอบใจไป ธำรงยังมีสีหน้าติดใจสงสัยอะไรบางอย่าง
เวลาหัวค่ำ มีคณาไขกุญแจรั้วบ้านมาอย่างหมดกำลังใจ จนปัญญาจะไปตามหาหลานชาย เธอเดินเข้ามาทิ้งตัวนั่งที่โซฟา
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น เธอรีบลุกขึ้นนั่งจะกดรับ คิดว่าทางสถานีตำรวจโทรมา เธอดูเบอร์โชว์แล้วลังเลเล็กน้อยที่จะกดรับ
หิรัณย์ที่ยืนอยู่ที่ร้านก๋วยเตี๋ยวข้างทางใกล้ๆ บ้านมีคณา รอปลายสายที่ไม่ยอมรับซะที ในที่สุดปลายสายก็กดรับ ก่อนสายจะตัด
" นึกว่าคุณมี่จะไม่ยอมรับสายผมซะแล้ว"
มีคณาฟังเสียงหิรัณย์นิ่งน้ำตาค่อยๆ เอ่อท่วมขึ้นมา หลายอารมณ์ถาโถมเข้าใส่เธอ ทั้งรู้สึกผิด ท้อ ล้า เป็นห่วงสันติ โดดเดี่ยว ขาดกำลังใจในช่วงลำบากเช่นนี้ พอได้ยินเสียงหิรัณย์ที่เหมือนเสียงสวรรค์ ... พลางนึกเราลืมผู้ชายคนนี้ไปได้ยังไง เค้าคือที่พึ่งที่ดีที่สุดของเธอตอนนี้จริงๆ
หิรัณย์ น้ำเสียงแจ่มใส
"อยู่ไหนครับเนี่ย พอดีผมมาธุระแถวนี้ แวะทานก๋วยเตี๋ยว เลยอยากโทรมาชวนออกมาทานด้วยกัน"
มีคณาร้องไห้สะอื้นจนหิรัณย์ตกใจมาก
"คุณมี่เป็นอะไรครับ ร้องไห้ทำไม คุณอยู่ไหน อยู่บ้านใช่มั้ยครับ ผมจะรีบเข้าไปเดี๋ยวนี้เลย"
หิรัณย์รีบร้อนวิ่งกลับไปที่รถ
ผ่านเวลาเล็กน้อย รถหิรัณย์ปาดจอดอย่างเร็วที่หน้ารั้วบ้านของมีคณา เขาหน้าตาตื่นรีบร้อนวิ่งลงจากรถไปที่หน้ารั้ว กดกริ่งรัวไม่ยั้ง มีคณาหน้านิ่งๆ นั่งรออยู่ที่เก้าอี้มุมหน้าบ้าน ลุกมาหาพร้อมยกมือไหว้
หิรัณย์รับไหว้ ดูงงๆ เล็กน้อย
"เกิดอะไรขึ้นครับ ผมได้ยินเสียงคุณร้องไห้"
มีคณาแอบอาย ไม่สู้ตา ไขรั้วให้พร้อมตอบไป
"คนเราก็ต้องมีมุมอ่อนแออ่อนไหวกันทั้งนั้นแหละค่ะ"
"ผมดีใจนะครับ ที่คุณยอมให้ผมได้เห็นมุมนั้นของคุณบ้าง"
หิรัณย์ก้าวเข้ารั้วบ้านมา
"ตกลงมีเรื่องอะไรกันแน่ครับ"
มีคณาเครียด สีหน้านิ่ง
"สันติหนีออกจากบ้านตั้งแต่เมื่อวาน ป่านนี้ยังตามตัวไม่เจอเลยค่ะ ทางสถานีตำรวจก็ยังไม่ได้ความคืบหน้า"
"แล้วทำไมคุณไม่บอกผม"
"เกรงใจ"
หิรัณย์อดต่อว่าไม่ได้
"คุณมีเพื่อนเป็นตำรวจแท้ๆ กลับไปนึกถึงตำรวจที่ไม่รู้จักก่อน มันน่าน้อยใจมั้ยครับ"
"นี่ไม่ใช่เวลามาต่อว่ากันนะคะ"
"ขอโทษครับ แต่มันอดไม่ได้ คุณทำเหมือนเราไม่สนิทกันงั้นล่ะ เรื่องสำคัญขนาดนี้น่าจะนึกถึงผมก่อนตำรวจคนอื่น"
มีคณาแอบจ๋อย
"ต่อว่าพอรึยังคะ"
"พอแล้วก็ได้ รอเจอตัวสันติก่อน ค่อยรื้อคดีนี้ขึ้นมาใหม่"
มีคณาจ๋อยๆ แต่แอบเหยียดปากใส่
"คุณทำงานกับหนังสือพิมพ์แท้ๆ ทำไมไม่ลงประกาศคนหายล่ะครับ"
"ทำไม่ได้หรอกค่ะ กลัวทางบ้านสันติรู้เข้า เดี๋ยวจะเป็นเรื่องราวใหญ่โต... นี่ฉันจนปัญญาไปหมดแล้ว ตั้งใจว่าพักซักเดี๋ยว จะลองออกไปตามหาที่ปากคลองตลาดกับหัวลำโพงอีกที"
"คุณพอมีรูปสันติถ่ายเก็บไว้มั้ย เอาแบบใกล้เคียงกับหน้าตาตอนนี้ที่สุด"
"ก็มีรูปติดบัตรนักเรียนน่ะค่ะ เพิ่งถ่ายไป"
หิรัณย์ยิ้มพอใจ
"งั้นก็พอมีทางครับ"
มีคณามีสีหน้าติดใจสงสัยเล็กน้อยว่าหิรัณย์จะทำอะไร
หิรัณย์กำลังใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายรูปติดบัตรของสันติอยู่ที่โต๊ะกลางโซฟา มีคณานั่งมองอยู่ข้างๆ
"เรียบร้อย ชัดเป๊ะ พรรคพวกผมในเฟซบุ๊กเยอะ ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวก็ได้เบาะแส" หิรัณย์ยิ้มแย้มให้มีคณา
หิรัณย์เข้าเฟซบุ๊กในมือถือ ขณะพิมพ์ไปก็คุยไป
"โซเชี่ยลเน็ทเวิร์ก ถ้าใช้ให้เป็นก็มีประโยชน์"
"ฉันลืมคิดถึงสนิทเลย"
หิรัณย์เหลือบตามอง
"ญาติสันติที่ต่างจังหวัดไม่ได้เล่นแน่นะ"
"โทรศัพท์บ้านยังไม่มีใช้เลยค่ะ"
"งั้นก็สบายใจได้"
ระหว่างการรอโหลดรูป
"คุณใช้ชื่ออะไรล่ะ ผมจะได้ขอเป็นเพื่อน จะได้ไปแปะหน้าวอลล์คุณให้"
"ไม่จำเป็นหรอกค่ะ ฉันไม่เล่น แล้วก็มีเพื่อนอยู่แค่สองคนวารีกับมัท"
หิรัณย์ขำๆ เหลือบตามองโทรศัพท์
"เรียบร้อยแล้ว โพสท์ซะ ใจคอคุณนี่ไม่คิดจะสังคมกับใครบ้างเลยเหรอ"
"ฉันไม่ใช่คนประเภทที่ชอบระบายความในใจให้ใครฟัง คิดอะไร รู้สึก ยังไง จะไปไหนมาไหน ทำไมต้องบอกให้ใครต่อใครรู้ด้วย"
" หนุกดีออก"
เสียงเตือนว่ามีข้อความเข้ามาดังขึ้น
"มีคนตอบแล้วครับ"
หิรัณย์กดอ่านอย่างเร็ว เงยหน้าบอกมีคณา
"มีเพื่อนผมเห็นที่ kfc แถววังบูรพา"
มีคณาตื่นเต้น ดีใจมาก
"ไปกันเลยมั้ยคะ"
"เห็นเมื่อคืนนะ"
มีคณาเซ็งไปเลย
"แต่แถวๆ นั้นมันก็เชื่อมถึงกันหมด ปากคลอง วังบูรพา ลองไปดูหน่อยแล้วกัน"
"ค่ะ ดีกว่านั่งรอฟังข่าวอยู่เฉยๆ"
ทั้งคู่ลุกขึ้นเตรียมตัวออกไปจากบ้าน เสียงโทรศัพท์มือถือดังขัดขึ้นมา หิรัณย์ดูเบอร์โชว์
"หมวดดาวโทรเข้ามา สงสัยจะเห็นที่ผมโพสท์ไว้"
หืรัณย์สีหน้าขออนุญาต
"ผมเล่าเรื่องสันติได้มั้ยครับ หมวดดาวค่อนข้างกว้าง เผื่อจะช่วยอะไรคุณได้บ้าง"
มีคณานิ่งไป
"ถ้าคุณไม่อยากให้ผมเล่าก็ไม่เป็นไร"
"เล่าเถอะค่ะ แต่ฉันไม่คิดว่าหมวดดาวจะช่วยอะไรได้"
มีคณาเดินเลี่ยงนำออกไปก่อน หิรัณย์รีบกดรับสายก่อนที่หมวดดาวจะตัดสายไป
วิมลินกำลังซื้อของอยู่ในซุปเปอร์มาเก็ต แต่หยุดเลือกซื้อยืนคุยโทรศัพท์มือถือกับหิรัณย์อยู่
เธอฟังข้อมูลจากหิรัณย์ สีหน้านิ่งขรึม จริงจัง ใส่ใจ
" ได้ ๆ คุณกับคุณมี่ไปรอที่ร้านก่อน เดี๋ยวฉันตามไปสมทบ"
วิมลินกดตัดสายแล้วรีบร้อนเข็นรถไปจ่ายเงินทันที เธอดูห่วงใยและเต็มใจช่วยมีคณาด้วยใจเต็มร้อย
ผ่านเวลาพักใหญ่ ที่ร้านฟาสท์ฟูด หิรัณย์และมีคณานั่งทานไก่ทอดไปคุยกันไประหว่างรอหมวดดาว
หิรัณย์มีสีหน้าเห็นใจ
"ผมเข้าใจถ่องแท้แล้ว ทำไมคุณถึงดูอึดอัดไม่อยากเล่าเรื่องสันติให้หมวดดาวฟัง"
มีคณาถอนใจออกมา
"ที่จริงก็ไม่ใช่แค่แม่สันติหรอกนะคะที่เดินทางไปทำงานอย่างว่า น้องสาวต่างพ่อฉันอีก 2 คนก็ทำ คนนึงตายในซ่องเพราะทำแท้งเถื่อน"
หิรัณย์สีหน้าอึ้ง ตกใจและเห็นใจ มีคณาสีหน้าเศร้าๆ
"ธาราตายตั้งแต่เพิ่งทำบัตรประชาชนได้ปีเดียว ส่วนธิดากลับมาอยู่บ้านได้ไม่นานก็ทนไม่ไหว ต้องหันกลับไปทำอาชีพเดิม น้องคนนี้ของฉันลงใต้แล้วก็หายตัวไปเลย เป็นตายร้ายดียังไงก็ไม่มีใครรู้"
"แต่คุณเองก็ไม่จำเป็นต้องอายที่มีญาติทำงานแบบนั้นนี่ครับ ญาติก็ญาติ ตัวคุณก็ตัวคุณ"
"สารวัตรไม่เข้าใจ"
หิรัณย์สวนทันที
"คุณตะหากที่ยังไม่เข้าใจ จำที่พ่อมานพพูดที่โรงพยาบาลได้มั้ยครับ"
มีคณามีสีหน้าคิดตาม หิรัณย์พูดทบทวนให้
"การที่พ่อแม่ติดคุกไม่ได้หมายความว่าลูกจะเลวซะหน่อย การที่คุณมีญาติทำอาชีพแบบนั้น มันก็ไม่ได้ทำให้คุณค่าในตัวคุณกับสันติลดลงแม้แต่นิดเดียว"
มีคณานิ่งๆไป
"พ่อของมานพเป็นคนดี เข้าใจโลก สารวัตรก็เป็นคนเข้าใจชีวิตได้ง่ายเหมือนกัน แต่คนอื่น..."
หิรัณย์สวนทันที
"แต่คนอื่นไม่มีความสำคัญเท่ากับตัวคุณเองนะคุณมี่ ผมว่าใจคุณเองตะหากที่พยายามลดคุณค่าตัวคุณเองอยู่ตลอดเวลา คุณกลัวไปเอง คุณให้ค่ากับมันมากเกินไปทั้งที่มันเป็นเรื่องนิดเดียว"
มีคณาเงียบกริบไป
"หมวดดาวเธออาสามาช่วยตามสันติด้วยใจ หมวดเค้าไม่สนใจหรอกว่า สันติจะมาจากไหน พ่อแม่ญาติพี่น้องทำ อาชีพอะไร สิ่งแรกที่หมวดดาวสน คงเป็นเรื่องจะหาตัวสันติเจอได้ที่ไหนมากกว่า"
" น่าอายจังเลยนะคะ"
มีคณาถอนใจออกมา แล้วพูดต่อ
"ได้คุยกับสารวัตร ทำให้ฉันมองเห็นตัวเองชัดขึ้นเยอะ"
มีคณารู้สึกแย่กับตัวเองน้ำตาคลอๆ ขึ้นมา หิรัณย์เป็นห่วงความรู้สึก จับตามองเธอพูดไปพร้อมน้ำตารื้น ระบายความในใจ
"ฉันเหมือนคนหน้าไหว้หลังหลอก วันๆ ทำข่าวซ่อง ทำข่าวโสเภณี รายงาน ปัญหาต่างๆให้ประชาชนรับรู้ แต่ตัวเองกลับซ่อนปัญหาหลานตัวเองเอาไว้ โดยที่ไม่เคยคิดช่วยหลานตัวเองเลย"
หิรัณย์มีสีหน้าเข้าใจและเห็นใจ มีคณาน้ำตาท่วมตา รู้สึกผิดมาก
"ลึกๆ ฉันมีแต่ความดูถูก ดูถูกพวกเค้าทุกคน จนนึกดูถูกตัวเองไปด้วย เพราะรากเหง้าของฉันก็มาจากหมู่บ้านนั้นเหมือนกัน พ่อแท้ๆของฉันก็ไม่ได้ดีไปกว่าน้าสมบุญ ผู้ชายที่ฉันรู้จักในชีวิตก็เอาเปรียบผู้หญิงพอกันหมด"
มีคณาน้ำตาไหลซึมออกมา รีบเบือนหน้า ซับน้ำตาออก หิรัณย์เลื่อนมือไปจับกุมมือเธอเอาไว้
"ผู้ชายที่ไม่ได้เป็นเหมือนพ่อคุณ พ่อเลี้ยงคุณก็ยังมีอยู่นะครับ"
มีคณาสบตามองหิรัณย์ วิมลินเดินเข้ามาขัดจังหวะพอดี
"โทษที มาเร็วไปหน่อย"
ทั้งคู่รีบผละออกจากกันอย่างเขินๆ มีคณารีบซับน้ำตาออกเนียนๆ วิมลินทำไม่รู้ไม่ชี้เรื่องส่วนตัว นั่งลงได้ก็ยิงคำถามเลย
"อัพเดทล่าสุดมีคนเห็นสันติที่ไหนคะ"
หิรัณย์เช็กข้อความจากเฟซบุ๊กในมือถืออีกทีเพื่อความแน่ใจ
"เม้นท์ล่าสุด บอกว่าเห็นคนหน้าคล้ายติ ซื้อขนมอยู่แถวท่าน้ำศิริราชเมื่อตอนกลางวัน"
วิมลินคิดตามประมวลผลในใจ
"ถ้าใช่หลานคุณมี่จริงก็แปลว่าเด็กคงวงเวียนอยู่แถวนี้ อย่างนี้ยิ่งง่าย" วิมลินพูดพลางยิ้มมั่นใจ
มีคณาหันไปสบตาหิรัณย์ เขายิ้มให้อารมณ์ประมาณ ผมบอกแล้วว่าผู้หมวดหญิงคนนี้กว้างขวาง
วิมลินคล่องแคล่วกระฉับกระเฉง ตัดสินใจรวดเร็ว
"เดี๋ยวฉันจะทิ้งรถไว้ที่นี่นะคะ สารวัตรเอารถสารวัตรไปคันเดียวพอ"
"หมวดว่าเราจะเริ่มหาสันติที่ไหนก่อนดี"
หมวดดาวตอบอย่างมั่นใจ
"สะพานพุทธค่ะ"
มีคณาชำเลืองมองหน้าหมวดดาวเล็กน้อย
ผ่านเวลาซักพัก หิรัณย์ขับรถวนรอบสวนหย่อมใต้สะพานพุทธ มีคณานั่งหน้า วิมลินนั่งหลัง
ไม่มีอะไร ไม่เห็นสิ่งใดผิดปกติ
"ไม่เห็นมีใครเลย"
"ขับวนอีกรอบสิคะสารวัตร คุณมี่หมอบลงค่ะ ให้เห็นสารวัตรคนเดียว"
"ค่ะ"
มีคณาและวิมลินหมอบต่ำลงกับที่นั่ง
"สารวัตรขับไปก่อนค่ะ พอฉันบอกให้จอดก็จอดนะคะ"
หิรัณย์ขับวนไปเรื่อยๆ นั่งคนเดียว ขับรถวนไปเรื่อยๆ
"จอดรถตรงนี้เลยค่ะ"
หิรัณย์จอดรถตรงที่มีพุ่มไม้หนาๆ รอบๆ
"หรี่ไฟหน้าค่ะ"
"หรี่ทำไมครับ"
"ให้ทำอะไรก็ทำไปเถอะค่ะ"
หิรัณย์หรี่ไฟหน้าลง
"เปิดไฟกระพริบค่ะ"
หิรัณย์ทำตามวิมลิน ไม่คาดคิด เด็กวัยรุ่นอายุราว 11-15 ปีหลายคนออกมาจากสุมทุมพุ่มไม้ตรงมาที่รถ มีคณาตกใจมาก
"อะไรกันคะเนี่ย"
วิมลินสั่งมีคณา
"ทำท่าปกติไว้ ยิ้มได้ก็ยิ้ม"
วิมลินและมีคณาค่อยยืดตัวนั่งตรงเป็นปกติ เด็กส่วนใหญ่มาถึงรถ ส่งยิ้มให้หิรัณย์ พร้อมเคาะกระจกหน้าต่าง พยายามดึงดูดความสนใจมาที่ตนให้มากที่สุด
มีคณามองเด็กด้วยความรู้สึกสลดใจ หิรัณย์โปรยยิ้มออกไปให้ก่อนสบตากับวิมลินที่กระจกส่องหลัง..
หิรัณย์และวิมลินเปิดประตูรถออกไป ทั้งที่ทั้งคู่ก็อยู่นอกเครื่องแบบ แต่ด้วยสัญชาตญาณเอาตัวรอดทำให้เด็กผิดกลิ่น สัมผัสได้เอง
"ตำรวจโว้ย เผ่น"
กลุ่มเด็กวงแตกจะหนีกระจายเหมือนผึ้งแตกรัง หิรัณย์และวิมลินมือไวฉวยตัวเด็กวัยรุ่นไว้ได้คนละคน
เด็กที่เหลือหนีกระจาย เข้าสุมทุมพุ่มไม้หายเกลี้ยงไร้ร่องรอย มีคณารีบลงมาจากรถ
เด็กผู้ชายที่วิมลินจับไว้ดิ้นจะหนี
หมวดดาวดุ เสียงแข็ง
"อยู่นิ่งๆ ไม่งั้นฉันจะฟาดให้น่องลายเลย"
เด็กที่ถูกวิมลินจับ จ๋อยปนกลัวไป
หิรัณย์มองถามวิมลิน
"จะเอาคนไหนไว้"
มีคณามองตามด้วยสีหน้างงๆ ปนสงสัย
วิมลินมองเด็กวัยรุ่นที่เธอจับได้กับหิรัณย์จับได้เปรียบเทียบ เด็กที่หิรัณย์จับได้ รูปหล่อผิวพรรณดี รูปร่างดีกว่า
"เอาคนของสารวัตรไว้ รูปร่างหน้าตาดี น่าจะตัวทำเงิน"
เด็กหนุ่มเหลือบตามองอย่างตกใจที่วิมลินพูดเหมือนตาเห็น เธอกระชากเด็กที่จับอยู่ ตัวเกือบลอย
"กลับไปบอกลูกพี่เรานะว่าฉันอยากคุยด้วย"
"พี่โอ่งไม่โง่มาให้จับหรอก" เด็กคนที่ 2 บอก
"งั้นไปบอกพี่โอ่งของนายว่า เราไม่ได้มาจับ แค่อยากมาถามอะไรหน่อย ถ้าเค้าไม่ยอมมา คราวนี้แหละจะจับจริง ทั้งจับทั้งกวาดให้หมดไม่ให้เหลือเกะกะลูกกะตาแม้แต่คนเดียว เข้าใจมั้ย" วิมลินขมขู่พร้อมกระชากเสื้อจนแน่นก่อนผลักเด็กออกไป
เด็กตกใจกลัว วิมลินตวาดกร้าว
"รีบไปซิ"
เด็กกลัวจัดวิ่งหางจุดตูดหายวับไปกับความมืด
" พวกเด็กๆ รู้ได้ยังไงว่าพวกคุณเป็นตำรวจ" มีคณาถาม
หิรัณย์เหล่มองเด็กหนุ่มที่เขาจับได้
"พวกนี้มันมีเรดาร์พิเศษ สัญชาตญาณของพวกมิจฉาชีพ"
เด็กหนุ่มไม่กล้าสู้ตา มีคณาเดินเข้าไปหาพร้อมเอารูปติดบัตรของสันติให้เด็กหนุ่มดู
"เคยเห็นเด็กในรูปนี่มั้ย"
เด็กหนุ่มไม่ยอมดู
วิมลินตรงเข้าจับคางเด็กหนุ่มให้หันมอง พร้อมพูดเสียงดุ
"พี่เค้าถามทำไมไม่ตอบ"
หิรัณย์กระเซ้า
"ต้องเจอขาโหด"
วิมลินทำตาดุใส่หิรัณย์ เด็กหนุ่มพยายามขัดขืน ผู้หมวดสาวบีบคาง บังคับให้ดู
"ดูรูปเดี๋ยวนี้ แล้วบอกมานะว่าเคยเห็นมั้ย"
เด็กหนุ่มยอมดูด้วยความกลัว มีอาการผงะเล็กน้อย สีหน้าเหมือนรู้จักและเคยเจอ
"ไง เคยเห็นมั้ย"
เด็กหนุ่มไม่สู้ตา ส่ายหน้าดิก
"ไม่เคยเห็น ผมไม่รู้จัก"
"โกหก หน้าตามีพิรุธมาก" หิรัณย์บอก
"ผมไม่ได้โกหก มีเด็กใหม่เข้ามาทุกวัน ย้ายไปขายแหล่งอื่นทุกคืน ไม่ซ้ำที่หรอก ใครจะจำได้ มืดก็มืด"
มีคณาเอะใจ
"เดี๋ยว เด็กกลุ่มนี้ขายทุกคนเลยเหรอ"
"ก็ใช่น่ะสิ ขายก็ได้ ไม่ขายก็ตาย"
มีคณาตกใจจะผงะไป หายใจไม่ทั่วท้อง เป็นห่วงสันติมาก ภาวนาอย่าให้หลานชายต้องหลงเข้ามาอยู่กับคนกลุ่มนี้เลย
3 ทหารเสือสาว ฟ้ากระจ่างดาว ตอนที่ 5 (ต่อ)
เด็กวัยรุ่นสีหน้าตื่นกลัว วิ่งหกล้มหกลุกหนีเตลิด กลับไปหาลูกพี่ที่จอดรถกระบะซุ่มอยู่ที่มุมมืดๆ ในบริเวณสวน
"พี่โอ่ง ๆ"
เด็กวัยรุ่นทุบกระจกหน้าต่างรถ ด้านในรถ โอ่งปรับเบาะนอนกอดอยู่กับแฟนสาว โอ่งตกใจเด้งขึ้นมอง...
โอ่งเพิ่งผ่านพ้นวัยรุ่นตอนต้นมาหมาดๆ รีบลงมาจากรถด้วยความหงุดหงิด
"อะไรของเอ็งวะ"
"ตำรวจจับไอ้ติ๊บไว้พี่"
โอ่งมีอาการตกใจมากถาม
"แล้วไอ้พวกที่เหลือล่ะ"
"หนีกระเจิงไปหมดแล้ว"
"งั้นก็หนีสิวะ จะอยู่ให้มันจับรึไง"
โอ่งจะรีบขึ้นรถหนี แต่เด็กวัยรุ่นคว้าแขนเอาไว้
"เดี๋ยวพี่...ตำรวจจะขอคุยกับพี่"
โอ่งหน้าซีดตกใจมากบอก
"กูไม่คุย"
เด็กวัยรุ่นดึงโอ่งเอาไว้
"มันบอกว่าแค่มีเรื่องอยากถาม"
"กูไม่เชื่อพวกมันหรอก ปล่อยกู"
โอ่งสะบัด จะรีบขึ้นรถด้วยความกลัว
"มันบอกว่าถ้าพี่ไปคุย มันจะยอมปล่อยไอ้ติ๊บ ไม่จับพี่ด้วย
โอ่งชะงักไป
"แต่ถ้าพี่ไม่ไปเจอมัน มันจะตามจับพวกเราทุกวัน ให้หมดทางหากินกันเลย"
โอ่งอึ้ง คิดตาม
บริเวณสวนหย่อมใต้สะพานพุทธ หิรัณย์จับตัวติ๊บ เด็กหนุ่มที่มาค้าประเวณีล็อกเอาไว้ให้แน่น หลังจากพยายามขัดขืนจะหนี
"เฉยๆ ซะทีเถอะ ยังไงก็หนีไม่พ้นหรอก"
เด็กจ๋อยปนกลัวไป มีคณาเริ่มร้อนใจ
"นานจังเลย สงสัยจะหนีไปกันหมดแล้วล่ะ"
วิมลินขยับตัวขวับไปตามทิศทางที่ได้ยินเสียงพร้อมชักปืนออกมา โอ่งยกมือยอมแพ้ เดินออกมาหา
เด็กวัยรุ่นคนเดิมที่ตามมาด้วยเห็นปืนก็วิ่งเตลิดหนีไปเลย
"ไอ้ท็อป" โอ่งเรียก
วิมลินเก็บปืนบอก
"ฉันไม่ยิงนายหรอกน่ะ"
โอ่งค่อยโล่งอก แต่ยังกล้าๆกลัวๆอยู่
"ถ้าฉันตอบคำถามแล้วแน่ใจนะว่า เจ๊จะไม่จับฉันเข้าคุก"
"สัญญาว่าไม่จับก็ไม่จับสิ"
โอ่งพูดหยันๆ
"สัญญาของตำรวจ"
วิมลินพยายามข่มอารมณ์ ก่อนยื่นมือไปขอรูปจากมีคณา
"ขอรูปหน่อย"
มีคณาส่งรูปติดบัตรของสันติให้ วิมลินเดินไปส่งรูปให้โอ่งดู
"เคยเห็นเด็กคนนี้มั้ย"
"เด็กใหม่ บอกยากว่าเคยเห็นหรือไม่เคย" โอ่งทำสีหน้าใช้ความคิด พูดจากวนๆ ตามสไตล์เด็กพวกนี้
วิมลินสีหน้ารำคาญปนหมั่นไส้ อาศัยความว่องไวพุ่งเข้าจับโอ่งบิดไพล่มือไปด้านหลังล็อกโอ่งเข้ากระแทกกับรถหิรัณย์อย่างแรง
หิรัณย์อึ้งเป็นห่วงรถ บ่นพึมพำ
"ถึงว่า ไม่เอารถตัวเองมา"
โอ่งโวยวาย
"ไหนบอกไม่จับไงล่ะ สัญญาอะไรกันวะ"
"สัญญาว่าจะไม่จับถ้าตอบคำถามดีๆ ตอบตรงประเด็น ไม่ใช่ยักท่ากวนประสาท น่ารำคาญแบบนี้" วิมลินล็อคบิด ข่มขู่
"เอานะ ทีนี้ฟังฉันดีๆ ตอนนี้เด็กคนนี้อยู่ที่ไหน อยู่กับนายรึเปล่า"
เธอล็อกแขนให้เจ็บยิ่งขึ้นไปอีก โอ่งทั้งเจ็บทั้งกลัว รีบตอบ
"ไปสีลมแล้ว"
ทุกคนหันมองหน้ากันอย่างตกใจ
"เด็กใหม่ๆ หน้าตาดีๆ แบบนี้ฝรั่งชอบ เงินดีกว่าอยู่แถวนี้"
มีคณาโกรธมาก
"นี่แกบังคับหลานฉันไปขายตัวเหรอ"
หิรัณย์ปล่อยพร้อมผลักติ๊บที่จับไว้ไป ติ๊บวิ่งหนีไปไม่คิดชีวิต หิรัณย์ตรงเข้าถามโอ่ง บีบคางให้เงยหน้ามอง
"สีลมตรงไหน ใครเป็นคนดูแล"
หิรัณย์จ้องเขม็ง รอฟังคำตอบ โอ่งกลืนน้ำลายแทบไม่ลงคอ
ผ่านเวลาพักใหญ่ บริเวณซอยหนึ่งในสีลม ชายวัยกลางคนเดินเข้ายังซอยหนึ่งเหมือนรู้แหล่ง แก๊งวัยรุ่นนั่งรวมกลุ่มกันอยู่... สันตินั่งก้มหน้านิ่งอยู่หลังสุด เด็กโตสุดในกลุ่มเห็นลูกค้าเดินมา ก็ผิวปากเรียก สันติเหลือบตามองไปที่ชายคนนั้น... ชายวัยกลางคนเดินยิ้มกริ่มเข้ามาแล้วชี้ไปที่สันติ
สันติหน้าตาตกใจทันที
มีคณานั่งหน้าคู่กับหิรัณย์หันมาถามวิมลินที่นั่งด้านหลังรถ รถกำลังหาที่จอดยังซอยหนึ่งอยู่
"ผู้หมวดจะไปจับนายโอ่งเมื่อไหร่คะ"
"ข้อหาอะไรล่ะคุณ"
"อ้าว ก็ข้อหากักขังหน่วยเหนี่ยวเด็ก บังคับให้ค้าประเวณีไงคะ จับนายโอ่งเข้าคุกซะ ส่วนเด็กก็พากลับบ้านหรือไม่ก็ส่งเข้าประชาสงเคราะห์"
หิรัณย์และวิมลินเกือบจะยิ้มพร้อมกัน
"หมวดตอบแล้วกัน"
"เด็กน่ะจับส่งประชาสงเคราะห์เดี๋ยวเดียวก็หนีกลับออกมาใหม่ ขนาดบ้านยังไม่อยากอยู่แล้วจะอยู่กับประชาสงเคราะห์ได้ยังไง"
"ส่วนไอ้คนคุมเด็ก วันนี้จับนายโอ่งเข้าคุกพรุ่งนี้ก็มีนายโอ่งคนใหม่มาแทน"
มีคณาไม่เห็นด้วย
"แล้วยังงี้จะทำยังไงคะ ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปแบบนี้น่ะเหรอ เราน่าจะมีวิธีแก้ไขบ้าง"
"เรามีโครงการครูอาสาคุณมี่ มีกองทุนสำหรับจ้างครูเพื่อลงพื้นที่สอนเด็ก ให้ความรู้ทั้งนอกทั้งในตำรา สอนวิธีป้องกันตัวเอง วิธีดูแลสุขภาพแทบจะทุกเรื่องเลยล่ะ"
หิรัณย์เสริม
"เราอาจจะแก้ปัญหาเรื่องเด็กพวกนี้ได้ไม่หมดหรอกนะคุณมี่ แต่ก็น่าจะช่วยลดจำนวนได้มั่ง"
มีคณาได้ฟังก็อดที่จะยิ้มออกมาอย่างชื่นชมไม่ได้
"เราเอาเค้าออกจากข้างถนนไม่ได้ เค้าต้องเต็มใจก้าวออกไปเอง ความรู้ช่วยได้นะ ช่วยได้ดีกว่ามาตามกวาดจับซะอีก" วิมลินบอก
"โครงการนี้ดีจังเลย ฉันจะช่วยประชาสัมพันธ์ให้นะคะ"
วิมลินรีบชี้ เหมือนไม่สนใจน้ำใจมีคณา
"ข้างหน้ามีที่จอดค่ะสารวัตร"
หิรัณย์รีบปาดรถเข้าไปจอดทันที
เวลาต่อเนื่องมา ชายวัยกลางคนเปิดประตูห้องพักเล็กๆ ให้ สันติมีสีหน้าหวาดกลัวเล็กน้อยเดินนำเข้าไปในห้อง ชายคนนั้นยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วเดินตามเข้าไปปิดประตูห้องล็อก
สันติตกใจหันขวับมามอง ชายคนเดิมยิ้มแย้มใจดี หยิบเงิน 1 พันบาทยื่นให้ สันติตาโตอยากได้ จะรีบคว้ามา แต่ชายกลางคนดึงกลับ
"อยากได้มั้ย"
"อยาก ฉันต้องทำไงมั่ง"
ชายกลางคนยิ้มๆ
หิรัณย์พยายามเดินตามหาสันติตามตรอกซอกซอยต่างๆ เขามองไปยังกลุ่มเด็กวัยรุ่น แต่ไม่มีสันติ
ฝ่ายวิมลินเดินผ่านผับคลับบาร์ต่างๆ เพื่อตามหาสันติ หนุ่มนักเที่ยวเป่าปากกระเซ้า เธอพยายามข่มอารมณ์เรื่องตามหาสันติสำคัญกว่าเรื่องเห็บเหา มีคณาเดินตามร้านขายของต่างๆ ในซอยหนึ่ง ก็ยังไม่มีวี่แววสันติ
ชายหนุ่มเดินยิ้มมาหาเธอ พร้อมเปิดอัลบั้มแนะนำขายหนังโป๊ให้ มีคณาตกใจขยับแว่นตา รีบเดินหนีไป สีหน้าอายๆ ปนรังเกียจ
ทั้งสามคนต่างตามหาสันติอย่างร้อนใจ
ผ่านเวลาซักพัก ฝั่งตรงข้ามร้านกาแฟ / หิรัณย์ มีคณา หมวดดาว สันติ แก๊งวัยรุ่น
ผ่านเวลาซักพัก มีคณา หิรัณย์ และหมวดดาวมาพบกันที่หัวถนน
"เจอมั้ยครับ"
มีคณาและวิมลินต่างส่ายหน้าพร้อมกัน...
มีคณาหน้าเสียไป ความรู้สึกแย่มาก
"ถ้าสันติต้องเจอเรื่องเลวร้าย ฉันจะไม่มีวันให้อภัยตัวเองเลย"
วิมลินพยายามปลอบใจ
"คุณอย่าเพิ่งตีโพยตีพายไปเลยน่ะ นายโอ่งอาจจะตอบให้พ้นๆตัวไปก็ได้"
หิรัณย์เพ่งมองไปที่ร้านกาแฟฝั่งตรงข้าม น้ำเสียงตื่นเต้นดีใจ
"นั่นใช่สันติมั้ยคุณมี่"
หิรัณย์ชี้ไปถนนฝั่งตรงข้าม มีคณาเห็นกลุ่มเด็กวัยรุ่นนั่งจับกลุ่มคุยกันอยู่ที่หน้าร้านกาแฟ สันตินั่งจ๋องก้มหน้างุดดูตื่นกลัวอยู่ด้านในสุด
"สันติ"
มีคณาดีใจมากลืมตัวจะวิ่งข้ามถนนไปทันที แต่หิรัณย์คว้าแขนเธอเอาไว้ซะก่อน
"เดี๋ยวครับคุณมี่"
มีคณาหันมองหิรัณย์
"ให้ผมไปเอง สันติเห็นคุณ เดี๋ยวจะเตลิดหนีไปอีก คราวนี้จะยิ่งตามยาก"
มีคณาพยักหน้าเห็นด้วย หิรัณย์รีบเดินข้ามถนนไปฝั่งตรงข้าม ปล่อยมีคณาไว้กับวิมลิน เธอจับตามองตามหลานชายเอาไว้อย่างไม่ละสายตา ด้วยความเป็นห่วงจับใจและกลัวจะหนีไปอีก... มีคณามีน้ำตารื้นๆ ขึ้นมาอย่างกลั้นไม่อยู่ วิมลินเห็นใจ เอื้อมมือไปจับแขนเธอบีบเบาๆ ให้กำลังใจ วิมลินยิ้มบางๆ ให้ก่อนจูงมือมีคณาข้ามถนนตามหิรัณย์ไปห่างๆ
หิรัณย์ข้ามถนนมาที่หน้าร้านกาแฟ แหล่งเด็กหนุ่มวัยรุ่นหน้าใสที่นั่งรวมตัวกันอยู่ หิรัณย์ยิ้มนำมาก่อน
วัยรุ่นชายต่างยิ้มรับ เก็กหล่อกันขนานใหญ่
สันติที่นั่งซึมอยู่เงยหน้าขึ้นมองหิรัณย์ก็แปลกใจ แต่ไม่ตกใจตะโกนหรือว่าวิ่งหนี สันติยังคงนั่งนิ่ง วัยรุ่นชายคนหนึ่งตั้งท่าจะลุกมาหาหิรัณย์ เขาพูดบอกวัยรุ่นคนนั้นด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
"ผมเจ้าหน้าที่ตำรวจ"
ฉับพลันนั้นเอง กลุ่มวัยรุ่นก็วงแตก หนีกระจายกันไปคนละทิศละทางอย่างไร้ร่องรอย ทว่าสันติยังนั่งนิ่งอยู่กับที่ หิรัณย์ถามอย่างเป็นห่วง
"ไม่เป็นอะไรใช่มั้ย"
สันติมองเลยหิรัณย์ไปด้านหลัง แล้วค่อยๆลุกขึ้นยืน แววตานิ่งแน่วแน่ หลังไหล่เกร็ง ริมฝีปากเม้มแน่น ท่าทางเหมือนพร้อมที่จะถูกทำโทษรุนแรง !! หิรัณย์มองตามสายตาของสันติ เห็นมีคณายืนอยู่ข้างวิมลิน
มีคณาหน้านิ่งมองมาที่สันติเขม็ง เธอกำมือแล้วคลายอยู่หลายครั้ง พยายามทำใจสงบสติอารมณ์ เธอเดินเข้าหาหลานชาย พร้อมๆกับน้ำตาเอ่อท่วมตา ตาแดงกล่ำ จนเห็นแววตาสั่นระริกทะลุแว่นออกมา
"ใจเย็นๆ นะครับคุณมี่"
สันติกลืนน้ำลายอึกใหญ่ เตรียมพร้อมรับการลงโทษอย่างรุนแรงจากมีคณา
"ป้าขอโทษ" มีคณาพูดน้ำเสียงสั่นเครือ
สันติมีแปลกใจ อาการแข็งเกร็งทั่งร่างกายค่อยๆคลายลง สายตาที่แข็งกร้าวดูอ่อนลงทันที
"กลับบ้านกันเถอะนะ"
มีคณาน้ำตาซึมๆ สันติหลบตาลงมองพื้น ไม่พูดอะไรซักคำ เธอเข้าไปสวมกอดหลานชายเอาไว้ ร้องไห้ออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ ทั้งห่วงและเหนื่อยมากตลอด 2 วันที่ผ่านมา จนเผลอธาตุแท้ของความอ่อนแอออกมาให้เห็น ไม่มีคำพูดอะไรจากเธฮอีก นอกจากสวมกอดหลานชายเอาไว้แน่น ตัวสั่นสะท้านเพราะพยายามกลั้นร้องไห้และก้อนสะอื้นเอาไว้ให้อยู่
สันติอยู่ในอ้อมกอดของป้า เขาไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆ ออกมาให้เห็นจากสีหน้าแม้แต่น้อย ได้แต่หลบตามองต่ำลงที่พื้นตลอดเวลา
หิรัณย์ค่อยถอนใจยาวออกมาอย่างโล่งอก หันไปสบตากับวิมลินอย่างสบายใจขึ้น
ผ่านเวลาเล็กน้อย หิรัณย์วางมือบนบ่าสันติ พาเดินนำเข้าซอยไปที่รถ ฝ่ายสันติยังคงก้มหน้ามองพื้น ไม่พูดอะไรซักคำ มีคณาหยุดคุยกับวิมลินที่หน้าซอย
"ต่อไปก็ระวังอย่าให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีกนะคุณ ถ้าเตลิดอีกทีคราวนี้จะตามยาก" วิมลินเตือน
มีคณาพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
"ค่ะหมวด"
"เด็กจะโตขึ้นมาเป็นคน ครึ่งคนหรือคนเต็มตัว มันขึ้นอยู่กับคนเลี้ยงดู จะดี จะเลวมาก่อน คุณมี่ไม่ต้องไปสนใจ ต้องอดทนอบรมเค้าไป ทำความเข้าใจเค้าซะหน่อย ให้เค้ารู้ว่าคุณใส่ใจจริงๆ เด็กก็จะเข้าใจเองแหละ"
"ขอบคุณมากสำหรับคำแนะนำนะคะหมวด"
"ที่พูดมานี่ไม่ได้จำขี้ปากใครมาพูดนะคะ พูดจากประสบการณ์ตรงของฉันเอง"
มีคณายิ้มแย้ม
"ฉันรับรอง ต่อไปจะไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก ฉันจะเชื่อใจสันติมากกว่านี้ ลืมอดีตของเค้าให้ได้"
วิมลินยิ้มแย้มสบายใจ
"ดีค่ะ ฉันการันตีได้เลยว่า ที่สุดแล้วคุณจะต้องภูมิใจกับเด็กคนนี้"
มีคณายิ้มตอบกลับไป
"ฉันไปก่อนนะ นัดเพื่อนมารับไปเอารถ รอนานเดี๋ยวมันด่าเอา"
มีคณารีบยกมือไหว้
"ขอบคุณมากนะคะหมวด"
หมวดดาวรีบจับมือมีคณาลง
"ไหว้แล้วไหว้อีก ฉันยังไม่อยากแก่ โอกาสหน้าหวังว่า คงได้ทำงานร่วมกับคุณอีก แต่ขอเป็นงานจริงๆ แบบนี้ไม่เอานะ"
"ฉันก็หวังยังงั้นค่ะ"
เสียงโทรศัพท์มือถือของวิมลินดังขึ้นมา เธอรีบตัดบท รับสายและเดินคุยไป
"ไปล่ะ กำลังไปเดี๋ยวนี้แหละ ใจร้อนซะจริง"
มีคณายิ้มมองวิมลินไปอย่างชื่นชม รู้สึกประทับใจในน้ำใจของผู้หมวดสาวคนนี้มาก
มีคณาขึ้นรถนั่งหน้าคู่กับหิรัณย์ สันตินั่งซุกเบาะด้านหลังฝั่งหิรัณย์ เอียงหน้ามองไปนอกหน้าต่างรถ
“หลานชายคุณหิว ตั้งแต่มื้อกลางวันเพิ่งกินแฮมเบอร์เกอร์ไปอันเดียว”
มีคณามองหลานชายด้วยความเป็นห่วง สันติมองไปนอกหน้าต่างตลอด ไม่สนใจฟัง
“ผมก็หิวเหมือนกัน คุณหิวรึเปล่า เมื่อกี้ผมเห็นคุณกินไปคำสองคำเอง”
“นิดหน่อยค่ะ”
“งั้นแวะไปกินอะไรที่บ้านผมก็แล้วกัน จากนี่วิ่งไปบ้านผมไม่เกิน 15 นาที”
“จะไม่รบกวนครอบครัวสารวัตรเหรอคะ ฉันว่าเราหาอะไรทานง่ายๆ แถวนี้ดีกว่า”
หิรัณย์ยิ้มเจ้าเล่ห์
“ช้าไปแล้วล่ะครับ ระหว่างรอคุณเดินกลับมารถ ผมโทรไปออเดอร์เมนูอาหารกับคุณแม่เรียบร้อยแล้ว” หิรัณ์ยิ้มแย้มหน้าเป็น มีคณาบ่นๆ ก่อนทิ้งค้อนใส่
“แล้วจะมาถามทำไม”
หิรัณย์ยิ้มแย้มอารมณ์ดีขับรถออกไป
สันตินั่งเงียบพิงหัวกับเบาะมองออกไปนอกหน้าต่างนิ่ง ไม่พูดจาซักคำ เขานึกถึงเหตุการณ์ขึ้นห้องกับชายกลางคนที่หยิบเงิน 1 พันบาทยื่นให้
สันติตาโตอยากได้ จะคว้าเงินมา ชายคนนั้นดึงกลับถามว่า
“อยากได้มั้ย”
“อยาก ฉันต้องทำไงมั่ง”
ชายกลางคนยิ้มๆ
สันติถีบชายกลางคนล้มไปกับเตียง สีหน้าตื่นตกใจปนกลัว วิ่งตะบึงหนีออกไปจากห้องเชือดทันที
เมื่อเขาวิ่งตะบึงออกมาที่หน้าโรงแรม ไม่คาดคิดมีมือหนึ่งมากระชากแขนเขาเอาไว้
“ปล่อยกู” สันติสู้ตายเหวี่ยงหมัดจะชก
“กูเอง” รุ่นพี่บอก
สันติเห็นเป็นเด็กวัยรุ่นรุ่นพี่ร่วมแก๊งเลยยั้งหมัดไว้ รุ่นพี่จ้องหน้าถาม
“มึงทำร้ายลูกค้ามาใช่มั้ย”
สันติพยักหน้ายอมรับ สีหน้าหวาดหวั่น รุ่นพี่สั่งวัยรุ่นอีกคน
“มึงพามันกลับไปที่กลุ่ม อย่าเพิ่งให้รับแขก กูไปเคลียร์กับลูกค้าก่อน”
รุ่นพี่รีบวิ่งกลับไปรับหน้าลูกค้า วัยรุ่นอีกคนกระชากสันติพาเดินกลับไปรวมก๊วน
สันติทอดสายตามองไปนอกหน้าต่าง ใช้ความคิดกับเหตุการณ์ต่างๆที่เผชิญมาตลอด 2 วัน มีคณาเหลือบตามองจะอ้าปากถามเรื่องต่างๆ ที่สงสัยค้างคาใจ หิรัณย์เอื้อมมือมาแตะแขน ส่ายหน้าเป็นเชิงห้ามเอาไว้ซะก่อน เธอดึงแขนออกอย่างไว้มารยาท สันติยังคงนั่งเงียบกริบมองไปนอกหน้าต่างนิ่ง ไม่พูดไม่จาซักคำ
ผ่านเวลาพักใหญ่ กัลยา แม่หิรัณย์วัยใกล้ 60 อยู่ในชุดนอนแบบผ้าฝ้ายลายๆเปรอะๆ เดินมารอรับทุกคนที่หน้าโถงบ้าน เธอยิ้มแย้มแจ่มใสยินดีต้อนรับ
หิรัณย์พามีคณาและสันติเข้าบ้านมา...ทั้ 2 คนยกมือไหว้กัลยาทันที แม่หิรัณย์รับไหว้ยิ้มแย้ม
“แม่ครับ นี่คุณมี่เพื่อนผม ส่วนนี่สันติหลานชายของคุณมี่ครับ”
“ต้องขอโทษคุณป้าด้วยนะคะที่มารบกวนดึกๆแบบนี้”
“ ไม่เป็นไรหรอกลูก ป้าไม่ได้เดือดร้อนอะไร ชินแล้วล่ะ พ่อลูกบ้านนี้บ้างาน บางทีกว่าจะกลับบ้านก็สามสี่ทุ่ม ที่บ้านต้องทำกับข้าวเผื่อไว้ตลอด มาๆ นั่งก่อน หิวกันรึยัง”
หิรัณย์รีบตอบ
“หิวสิครับ โดยเฉพาะหนุ่มน้อยนี่” หิรัณย์วางมือบนบ่าสันติ ยิ้มอย่างเอ็นดู
กัลยามองสันติ จับแขนเอาไว้อย่างเอ็นดู
“ทนหิวอีกเดี๋ยวนะ เด็กกำลังอุ่นอาหารอยู่ในครัว ยายมีแกงจืดผักตำลึงกับหมูทอดกระเทียม
ทานได้มั้ยลูก”
สันติพยักหน้ารับ มีคณาเตือนหลานชาย
“ผู้ใหญ่ถามต้องตอบสิติ ส่ายหน้าหรือพยักหน้าไม่สุภาพ”
สันติทำท่าเหมือนจะเม้มปาก กัลยาขำๆ พูดด้วยน้ำเสียงสีหน้าเอ็นดู เหมือนลูกเหมือนหลาน
“กับยายไม่เป็นไรหรอก... ไหนมาใกล้ๆ ซิ หน้าตาดีนี่หนุ่มคนนี้ โตขึ้นคงหล่อน่าดู”
กัลยาดึงสันติเข้าไปใกล้ๆ พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ไง ลุงรันเค้าบอกยายว่า หนีอกจากบ้านเหรอเรา ทำไมทำยังงั้นล่ะลูก รู้มั้ยผู้ใหญ่เค้าเป็นห่วง เป็นเด็กเป็นเล็กอยู่นอกบ้านคนเดียวมันอันตราย รู้มั้ยลูก”
สันติพยักหน้ารับพร้อมน้ำตาร่วงพรู หิรัณย์และมีคณาต่างตกใจปนแปลกใจและชำเลืองมองหน้ากัน ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์เพิ่งจะเห็นน้ำตาสันติ
“อ้าว ร้องไห้ซะแล้ว”
สันติรีบยกมือขึ้นปาดน้ำตาออก แต่ยิ่งปาดน้ำตาก็ยิ่งน้ำตาไหลออกมา กัลยาปลอบโยน
“ไม่เป็นไรลูก คราวนี้ผ่านไปแล้วช่างมัน คราวหน้าอย่าทำอีกนะ มันไม่ดีต่อตัวหนูเอง อยู่บ้านน่ะถึงป้าเค้าจะดุ จะว่า ก็เพราะเค้ารักเค้าห่วงเรา เป็นเด็กต้องเชื่อฟังผู้ใหญ่ ต้องอดทน โตขึ้นหนูจะเข้าใจเองว่า ผู้ใหญ่เค้าสอนเค้าเตือนเพราะรักหนูห่วงหนูจริงๆ”
ความรู้สึกต่างๆ ทั้งกลัว ทั้งเสียใจ ทั้งคิดถึงย่าบานเช้าที่ถาโถมจนล้น สันติยิ่งร้องไห้หนักขึ้นเรื่อยๆ สะอึกสะอื้น กัลยาสงสารจับใจต้องดึงสันติเข้ามากอดเอาไว้
“ไม่ร้องลูก ไม่ร้อง”
สันติปล่อยโฮ สะอื้นจนตัวสั่น
“ติคิดถึงย่า” สันติสวมกอดกัลยาเอาไว้ ร้องไห้จนตัวสั่นสะท้าน
กัลยาสงสารเด็กจับใจ ปลอบไปทั้งน้ำตาคลอ
“ไม่ร้องนะลูกนะ หนูปลอดภัยแล้วไม่ต้องกลัวนะลูก”
มีคณาน้ำตาซึมๆ ออกมาด้วยความสงสารสันติ หิรัณย์เลื่อนมือมาจับกุมมือมีคณาบีบเอาไว้เบาๆ เพื่อให้กำลังใจ เธอไม่ได้ดึงมือหนี แต่บีบมือหิรัณย์เบาๆ ตอบแทนคำขอบคุณทั้งหมด พร้อมแอบเบือนหน้าไปซับน้ำตา อายที่หิรัณย์เห็นความอ่อนแอของเธออีกครั้ง
สันตินั่งติดไม่ยอมห่างจากกัลยา กินข้าวอย่างตายอดตายอยากด้วยความหิว กัลยาคอยตักกับข้าวให้
“ค่อยๆกินลูก เดี๋ยวก็ติดคอตายพอดี”
สันติไอสำลักเล็กน้อย ยกมือขึ้นตบอกเบาๆ
“นั่นไง ขาดคำที่ไหน”
กัลยาหยิบแก้วน้ำมาให้ สันติรับน้ำไปดื่ม มีคณาสีหน้าผ่อนคลายสบายใจขึ้นอมยิ้มบางๆให้หิรัณย์
ทั้งคู่สบตากันเล็กน้อย วันทนีย์ น้องสาวหิรัณย์ ลงมาจากชั้นบนได้ก็บุกมาประชิดถึงโต๊ะอาหาร
“อาหารมื้อไหนคะเนี่ย”
ทั้งคู่รีบละสายตาจากกันทันที กัลยาแนะนำลูกสาว
“วัน...นี่คุณมี่ เพื่อนพี่รันเค้า”
วันทนีย์ยกมือไหว้
“สวัสดีค่ะพี่”
มีคณารับไหว้
“สวัสดีค่ะ”
วันทนีย์ลากเก้าอี้มานั่งข้างๆมีคณา
“พี่มี่สวยกว่าในรูปอีกนะคะ”
หิรัณย์ตกใจ ทำตาดุใส่เพื่อปรามน้องสาว
“น้องเคยเห็นรูปพี่ที่ไหนคะ”
หิรัณย์รีบขัด
“ไหนวันว่าต้องท่องหนังสือสอบไม่ใช่เหรอ”
วันทนีย์ยิ้มๆ รู้ใจว่า พี่ชายว่าเขิน
“อะไรกันคะพี่รัน เพิ่งจะคุยได้แค่ประโยคเดียวก็จะไล่กันแล้วเหรอคะ”
“พี่ไม่ได้ไล่ พี่เป็นห่วง กลัววันพูดมาก เดี๋ยวความรู้ที่ท่องมาจะไหลออกปากหมด”
วันทนีย์ทำเป็นเคือง
“เดี๋ยวเหอะพี่รัน”
กัลยาขำๆ...
“พี่มี่ดูสิคะ พี่รันปากจัดว่าวันพูดมาก”
“พี่เค้ายังไม่ได้ว่าอะไรเราเลย” กัลยาบอก
หิรัณย์ยิ้มที่แม่เข้าข้าง
“พี่เค้าแค่พูดดักคอเราเพราะเค้าเป็นเขิน เอ๊ย เป็นห่วง”
หิรัณย์ยิ้มค้าง วันทนีย์หัวเราะชอบใจขยับตัวไปแปะมือกับกัลยา แม่ก็เล่นด้วยเหมือนเพื่อนกัน
สันติแอบชำเลืองมองความสัมพันธ์ของคนในบ้านหิรัณย์ชนิดที่ไม่เคยเจอมาก่อน กัลยาพูดกับมีคณา
“แม่ก็เห็นด้วยกับวันเค้านะ ตัวจริงหนูมี่น่ารักกว่ารูปที่เห็นในคอมตั้งเยอะ”
มีคณาอายหน้าร้อนผ่าว หิรัณย์อ้าปากค้าง
“ไม่น่าล่ะ รันถึงเอาแต่ดูรูปหนู ยิ้มไปยิ้มมาได้ทั้งวัน”
ทั้งหิรัณย์และมีคณาตาล่อกแล่ก วางหน้ากันไม่ถูกเลย
หิรัณย์เขินสุดๆ ที่โดนแฉ จึงเลี่ยงไป
“ผมไปเข้าห้องน้ำก่อนนะครับ”
มีคณาได้แต่กระชับแว่นเข้าดั้งไปมา ก้มทานอาหารเงียบ เขินสุดๆเช่นกัน วันทนีย์และกัลยาหันไปยิ้มให้กัน รู้สึกถูกชะตากับมีคณา ท่าทางแอบลุ้นแทนหิรัณย์ไปด้วย
สันตินั่งทานอาหารไป แต่ก็เก็บข้อมูลทั้งหมดอยู่เงียบๆ เขาเหลือบตามองไปที่มีคณาก่อนจะมองตามหิรัณย์ไปทางห้องน้ำ จากท่าทีของทั้งสอง พอเดาได้ว่า สองคนนี้น่าจะแอบชอบกันอยู่จริงๆ
ผ่านเวลาพักใหญ่ กัลยามาส่งมีคณาและสันติที่รถหิรัณย์หน้าบ้าน
“ถ้าว่างก็แวะมาเยี่ยมแม่บ่อยๆ นะหนูมี่”
มีคณาฝืนยิ้มแหยๆ ยกมือไหว้ ฝ่ายกัลยารับไหว้ก่อนพูดจับแขนสันติด้วยสายตาเอ็นดู
“ติมีอะไรก็โทรมาคุยกับยายได้นะลูก เดี๋ยวขอเบอร์บ้านลุงเค้าเอาไว้ ส่วนใหญ่ยายอยู่บ้าน
ทั้งวันแหละ”
“ครับ” สันติยกมือไหว้กัลยา
กัลยาสวมกอดสันติเอาไว้แล้วสอน
“เป็นเด็กดีนะลูกนะ มีแต่คนหวังดีกันหนูทั้งนั้นล่ะ”
มีคณาสบตากับหิรัณย์ต่างยิ้มสบายใจขึ้น หวังว่าหลังจากนี้ไป สันติน่าจะดีขึ้น
เวลากลางคืน หิรัณย์ขับรถมาส่งมีคณาที่หน้าบ้าน สันติยกมือไหว้หิรัณย์เร็วๆ แล้วรีบเดินกลับเข้าบ้านไป มีคณายืนคุยกับหิรัณย์ที่หน้ารั้วบ้าน
“เลี้ยงเด็กต้องใจเย็นนะครับ”
มีคณาชำเลืองมอง หิรัณย์รีบพูดเสริมทันที
“แม่ผมฝากบอกว่าให้คุณอดทนไว้ ท่าทางสันติไม่ใช่เด็กไม่มีความคิด เพียงแค่อาจต้องใช้เวลาหน่อย ระหว่างนี้ถ้าคุณมีปัญหาอะไรก็ปรึกษาท่านได้ แม่ผมชอบให้คำปรึกษาช่วยเหลือคนอื่นอยู่แล้ว ทั้งป้า ทั้งหลาน ปรึกษาได้หมด”
มีคณาซึ้งใจ
“ฝากสารวัตรกราบขอบคุณคุณป้าด้วยนะคะ”
“ครับ ผมจะบอกให้...คุณเองก็อย่าเพิ่งไปซักไซ้อะไรติตอนนี้เลย รอให้เค้าพร้อมก่อนค่อยเปิดใจคุยกัน”
“ค่ะ ฉันก็ตั้งใจไว้แบบนั้นเหมือนกัน”
หิรัณย์ยิ้มให้
“ดีครับ ดึกมากแล้ว คุณไปพักก่อนเถอะ เหนื่อยมาหลายวันติดต่อกันแล้ว ผมกลับล่ะ”
หิรัณย์เดินไปขึ้นรถ มีคณาตัดสินใจพูดขึ้นมา
“สารวัตรคะ”
หิรัณย์หันกลับมามอง มีคณามองตอบด้วยสีหน้าซาบซึ้งใจ
“ขอบคุณอีกครั้งที่ช่วยตามหาติแล้วก็ ชี้ให้ฉันเห็นปัญหาตัวเองชัดขึ้น ฉันจะไม่ลืมบุญคุณของสารวัตรเลย”
หิรัณย์ยิ้มดีใจ
“อย่าถือว่าเป็นบุญคุณเลยครับ ผมเต็มใจช่วยคุณมี่ทุกอย่างอยู่แล้ว”
หิรัณย์หน้าขี้เล่นขึ้นมาเล็กน้อย พูดต่อ
“จริงๆ อยากจะพาตัวทั้งป้า ทั้งหลานไปดูแลที่บ้านเลยด้วยซ้ำ"
มีคณาเหยียดปากใส่รีบเดินเลี่ยงกลับเข้าบ้านไปพร้อมอมยิ้มเขินๆ หิรัณย์มองตามมีคณาก็รู้สึกมีความหวังมากขึ้น ก่อนเดินไปขึ้นรถ
ผ่านเวลาเล็กน้อย สันติเดินหารถแข่งที่มีคณาซื้อให้ซะทั่วบ้านก็ไม่เจอ เขาเดินไปคุกเข่านั่งมองไปใต้โซฟา
"หานี่อยู่ใช่มั้ย"
มีคณายื่นรถแข่งเข้ามาให้ สันติเหลือบตาขึ้นมอง
"ป้าเก็บไว้ให้เองแหละ"
สันติลุกขึ้นยืนพร้อมรับรถมาถือเอาไว้
"อยากได้คันใหม่มั้ย ป้าจะซื้อให้"
สันติส่ายหน้าจะเดินขึ้นบ้าน
"ป้าขอโทษจริงๆที่ไม่เชื่อคำพูดของติ ป้ายอมรับว่าป้ามีอคติกับติเกินไป"
สันติเหลือบตามองหน้ามีคณา มีคณาพูดสีหน้าจริงจังจากใจ
"เราลองมาเริ่มต้นกันใหม่ดีมั้ยติ ลืมทุกอย่างที่ผ่านมาไปซะให้หมด"
มีคณายิ้มให้อย่างตั้งหวังในคำพูดของหลานที่จะตอบรับ สันติหน้านิ่งๆ ไม่ตอบอะไร เดินถือรถแข่งติดมือกลับขึ้นชั้นบนไป เธอหน้าเจื่อนมองตามหลานชาย ก่อนเดินไปทิ้งตัวนั่งลงที่โซฟาพร้อมถอนใจยาวออกมา
มีคณาเดินหน้าเหนื่อยๆ ขึ้นบันไดบ้านมาชั้นบน พอขึ้นมาถึงชั้นบนต้องแปลกใจเมื่อเห็นสันติเดินหอบหมอนผ้าห่มเดินออกมาจากห้องใหญ่จะไปห้องนอนเล็ก เธอถามด้วยความแปลกใจ
"ทำอะไรน่ะติ"
"จะย้ายห้องนอน ไปนอนห้องเล็กแทน ป้ากลับไปนอนห้องใหญ่ของป้าเถอะ"
"ทำไมล่ะ"
"ติอยากนอนห้องใหญ่เพราะอยากเอาชนะป้า อยากแย่งห้องของป้า ถ้าป้าอยากเริ่มต้นกันใหม่ ติก็ควรกลับไปนอนห้องที่ป้าจัดไว้ให้ตั้งแต่แรก"
สันติหอบของนำไป มีคณายิ้มดีใจนับเป็นนิมิตรหมายที่ดี
"ป้าช่วย"
มีคณาเดินตามไปช่วย
หน้าบ้านหิรัณย์ตอนเช้า
หิรัณย์ในชุดนอนโอบประคองกัลยาแทบจะอุ้มลงบันไดบ้านลงมาที่โถง
"เร็วๆ เลยนะแม่ ผมมีงานตอนบ่าย"
"ให้เด็กทำก็ได้นี่"
"ใครจะทำอร่อยสู้ฝีมือแม่ได้ล่ะครับ"
กัลยาแขวะ
"หลอกใช้แม่ล่ะทำมาปากหวาน"
"ผมจะหลอกใช้แม่ได้ไงล่ะครับ สุดฝีมือเลยนะครับ ผมรีบไปอาบน้ำก่อน ขอบคุณครับ" หิรัณย์พูดอ้อนๆ ก่อนหอมแก้มแม่ฟอดใหญ่ แล้ววิ่งจู๊ดขึ้นบ้านไป
กัลยายิ้มส่ายหน้ามองตามลูกชาย แล้วเดินไปเข้าครัว
หน้าบ้านมีคณาตอนเช้า
มีคณาเคาะประตูห้องนอนเล็ก สันติกำลังหลับสบายก็สะดุ้งตื่น
"ติ ตื่นรึยัง"
สันติเสียงงัวเงีย
"วันนี้ผมขอไม่ไปเรียนนะป้า"
มีคณาที่หน้าห้องนอนเล็กบอก
"วันนี้วันเสาร์จะไปเรียนทำไมล่ะเปิดประตูให้ป้าหน่อย มีเรื่องจะคุยด้วย"
สันติเดินมาเปิดประตูให้ แล้วเดินง่วงๆ ไปทิ้งตัวนั่งที่โซฟา มีคณาเข้ามาในห้อง
"ไปอาบน้ำแต่งตัวเถอะ จะได้ไปหาหมอกัน"
สันติงงๆ ถาม
"ไปหาหมอทำไม"
"ตรวจร่างกายแล้วก็ตรวจเลือด"
สันติตกใจ ลุกขึ้นโวย
"ตรวจทำไม ติไม่ตรวจ ติไม่ได้เป็นอะไรซะหน่อย"
"ค่อยๆ พูดก็ได้ ไม่เห็นต้องโวยวายอะไรเลย ป้าเป็นห่วงติตรวจสุขภาพเอาไว้ไม่เสียหลายหรอก ไม่ติดโรคอะไรมาก็ดี"
สันติไม่พอใจ เสียงดัง น้ำตาคลอ ตั้งท่าจะโวยวาย
"ติไม่ได้ทำ ติไม่ยอมมัน ป้าไม่เชื่อติอีกแล้วใช่มั้ย... ติว่าแล้ว ยังไงป้า"
มีคณาหน้านิ่ง สวนไปทันที
"ป้าเชื่อที่ติพูด หยุดโวยวายได้รึยัง"
สันติชะงักไปไม่อยากเชื่อหูตัวเอง จ้องหน้ามีคณานิ่ง
"งั้นเราก็ไม่ต้องไปหาหมอ"
สันตินิ่งๆ ทุกอย่างง่ายดาย ไม่ทะเลาะรุนแรงกันเหมือนก่อน มีคณาถอนใจออกมา มองหน้าหลานชาย
"เรื่องที่ติหนีออกจากบ้าน ป้าไม่อยากรื้อฟื้นอีกแล้ว แต่มีเรื่องนึงที่ป้าอยากพูด และป้าก็จะขอพูดครั้งนี้ครั้งเดียว ติเพิ่งเจอกับตัวมา ตอนนี้ติคงจะเข้าใจแล้วว่า การต้องมีเพศสัมพันธ์กับคนที่เราไม่ได้รักไม่ได้ชอบ ต้องทำเพราะถูกบังคับมันไม่ใช่เรื่องสนุก มันเจ็บปวดและน่าอายมากกว่า"
สันติค่อยๆ นั่งสงบลงที่เตียงแล้วรับฟัง
"ผู้หญิงหลายคนถูกทารุณให้รับแขก บางคนถูกแขกทำร้าย ติอาจจะเห็นเป็นเรื่องปกติ เพราะคนที่หมู่บ้านติมีความสุขสบายขึ้นที่ส่งลูกสาว หลานสาว น้องสาวไปขายตัว ใครทำเป็นลูกกตัญญู ไม่ทำถือว่าเนรคุณ แล้วมีใครเคยเจอทุบตี ถูกข่มขืน ถูกกรีดเนื้อเป็นริ้วๆบ้างมั้ย ...ป้าเป็นนักข่าวเห็นมาเยอะ"
สันติเงียบฟังสีหน้าเศร้าอยู่นาน พูดขึ้นบ้าง
"แม่ไม่ได้อยากไป แต่ปู่บอกว่า เราไม่มีจะกินแล้ว ถ้าอยากให้ผัวให้ลูกสบาย ทำแค่นี้ไม่เห็นเป็นไร
ก็ทำมันอยู่ทุกวันอยู่แล้ว"
มีคณาอึ้งไป สะเทือนใจมากกับสิ่งที่หลานชายเล่า
"ก่อนแม่ไปแม่ร้องไห้ทั้งคืน"
สันติเงียบก้มหน้า เหมือนไม่เต็มใจที่จะยอมรับนัก
"ติไม่อยากให้แม่ไป"
พอมีคณาได้ยินคำนี้ก็รู้สึกมีกำลังใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เผลอที่จะยิ้มออกมา จังหวะนั้น สันติเงยหน้าขึ้นสบตากับมีคณาพอดี
"ยิ้มทำไม" สันติเปลี่ยนสีหน้าเป็นเคือง เสียงห้วนเล็กน้อย
มีคณารีบหุบยิ้ม
"เปล่า"
"ก็เห็นอยู่"
"ก็ยิ้มเพราะดีใจที่ติรักแม่ รักย่า"
สันติถอนใจลุกจากเตียงจะเดินไปเข้าห้องน้ำ
"เรื่องแม่ ถ้าติไม่อยากให้แม่ทำต่อก็เขียนจดหมายไปบอกให้แม่กลับบ้านสิ"
"ปู่คงไม่ยอม"
มีคณาน้ำเสียงเคือง
"ก็ช่างปู่ปะไร แม่เป็นแม่ของติ ไม่ใช่แม่ของปู่ แม่เค้าต้องฟังติอยู่แล้ว"
สันติรับฟังนิ่งๆไม่ตอบอะไร เดินเข้าห้องน้ำไป มีคณายิ้มออกมาอีกครั้งที่เริ่มมองเห็นแสงสว่าง อย่างน้อย ... สันติก็ไม่ได้เลวร้ายเหมือนพ่อกับปู่ซะทีเดียว
ผ่านเวลาซักพัก สันตินั่งทำการบ้านที่โซฟารับแขก มีคณาล้านจานชามอยู่ในครัว
"ป้าล้างจานให้แล้ว เดี๋ยวติเอาผ้าจากเครื่องไปตากด้วยล่ะ"
สันติทำการบ้านไป น้ำเสียงหงุดหงิดเบาๆ แต่ดีกว่าก่อนเยอะ
"รู้แล้วน่า"
สันติทำการบ้านต่อ
เสียงกริ่งหน้าบ้านดังขัดจังหวะขึ้น มีคณาหันมองอย่างสงสัยว่าใครมา
"ติไปดูทีซิ ใครมา"
"ป้าไปดูเองแล้วกัน ติจะไปเอาผ้าตาก"
สันติลุกเดินไปออกประตูหลังบ้านแทน มีคณาเหล่ๆ มองหมั่นไส้หลานชายเบาๆ ก่อนเดินออกไปหน้าบ้าน
หิรัณย์ยิ้มแย้มอยู่หน้ารั้วบ้าน ในมือถือถุงใส่กล่องอาหารติดตัวมาด้วย มีคณาเดินออกมาที่หน้าระเบียง เผลอยิ้มดีใจออกมา ก่อนจะรีบหุบยิ้มเพราะกลัวเสียฟอร์ม แล้วรีบยกมือไหว้ก้มหน้าก้มตาออกไปเปิดประตูรั้วให้หิรัณย์
หิรัณย์เอากล่องอาหารอุ่นๆ ที่แม่เพิ่งทำมาให้ วางที่โต๊ะอาหารพร้อมพูดไป
"คุณแม่ฝากมาให้ครับ"
"ขอบคุณค่ะ"
"จริงๆผมก็ไม่อยากมารบกวนคุณมี่แต่เช้าหรอกนะครับ แต่คุณแม่น่ะสิ เร่งยิกๆ ให้รีบมาถามข่าวว่า คุณกับติเป็นยังไงมั่ง"
หิรัณย์ยิ้มกว้าง มีคณารู้ทัน รีบดักคอ
"ถ้าคุณป้าเร่งขนาดนั้น สารวัตรโทรมาก็ได้นี่คะ เสียเวลาขับรถทำไม"
หิรัณย์ยิ้มเจื่อนลง หน้าจ๋อยที่มีคณารู้ทัน และแอบอมยิ้มมุมปาก
หิรัณย์แก้เขินถามหา
"สันติล่ะครับ"
มีคณาแขวะ
"หลังบ้านค่ะ รีบไปหาเค้าสิคะ จะได้โทรกลับไปรายงานคุณป้าถูก ป่านนี้ท่านรอฟังข่าวแย่แล้ว"
หิรัณย์ยิ้มแหย เขินปนจ๋อยๆ เดินเลี่ยงไปหลังบ้านแบบเสียฟอร์ม งานนี้...ตำรวจลับถูกจับได้ มีคณาหันมองตามแล้วอมยิ้มชอบใจ
ที่หลังบ้าน สันติกำลังเก็บผ้าจากเครื่องซักผ้าใส่ตะกร้าไปหน้าเซ็งๆ... หิรัณย์เดินตามหาออกมา
"ขยันจังเลย"
สันติหน้าเซ็งๆบอก
"ติไม่อยากทำหรอก มันงานผู้หญิง"
"ทำไมคิดยังงั้นล่ะ ผู้ชายก็ทำงานบ้านได้เหมือนกัน ไม่แปลกหรอก"
"ตำรวจก็ทำเหรอ"
หิรัณย์ยิ้มๆ เข้าไปช่วยหยิบผ้าออกจากเครื่องซักผ้า
"ทำสิ สมัยเล็กๆ ลุงต้องผลัดกับพี่ชายทำทุกอย่างแหละ ช่วยแม่ล้างจาน กวาดลานบ้าน บางทีถ้าไม่มีคนก็ต้องซักผ้ารีดผ้ากันเอง"
"แล้วน้องสาวลุงล่ะ เป็นผู้หญิงแท้ๆ ทำไมไม่ทำงาน ปล่อยให้ผู้ชายทำ ไม่ได้เรื่องเลย"
สันติหน้าตาไม่พอใจจริงๆ
หิรัณย์สะบัดเสื้อยืดใส่เล่นของสันติก่อนเอาไปตากที่ราวตากผ้าพร้อมคุยกับสันติ ที่ราวตากผ้าหน้าบ้าน-สันติยืนตากผ้าคุยด้วยอยู่ข้างๆ
"อาวันเค้าเป็นลูกคนเล็ก พ่อลุงโอ๋มาก ไม่ต้องทำอะไรหรอก"
สันติแปลกใจ
"แต่เค้าเป็นผู้หญิงนะ"
"เป็นผู้หญิงนั่นแหละ พ่อแม่ถึงต้องยิ่งถนอม"
สันติอึ้งปนงง หิรัณย์หยุดตากผ้าหันมาพูดสอนสันติ
"แต่ละบ้านไม่เหมือนกันหรอกติ สังคมบ้านติอาจจะคิดว่าผู้หญิงต้องทำทุกอย่างเพื่อครอบครัว แต่ในสังคมใหญ่ที่กว้างกว่าบ้านติมาก ผู้หญิงผู้ชายเท่าเทียมกันหมด ไม่มีการเกี่ยงว่าเธอต้องทำนั่นทำนี่เพราะเป็นผู้หญิงหรอก"
มีคณาเดินตามหาทั้งคู่ออกมา แล้วหลบมุมฟัง
"ติเองมาอยู่กับป้าเค้าตั้งนานก็น่าจะดูป้าเค้าเป็นตัวอย่างนะ ป้าเราเค้าเก่ง งานข่าวยากๆ ป้าเราก็ทำได้ ทำได้ดีกว่าผู้ชายซะอีก ยังงี้ติจะมาเกี่ยงว่า งานนี้ผู้หญิงทำ งานนั้นผู้ชายทำ ไม่ได้หรอก"
หิรัณย์หันไปหยิบผ้ามาตากต่อ สันติเงียบไปอย่างคิดตามแล้วหยิบผ้ามาตากต่อไป มีคณาอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ รู้สึกอบอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก
มีคณาเดินเลือกซื้อหมูเห็ดเป็ดไก่ ผักผลไม้ ที่ตลาดสดละแวกบ้านเพื่อเอาไปเก็บไว้ทำอาหารให้หลานกินระหว่างอาทิตย์ หิรัณย์เดินถือตะกร้าเดินตามต้อยๆ มีคณาหยุดเลือกซื้อผักสด
"อาทิตย์หน้าคุณมี่ว่างมั้ยครับ"
"ทำไมเหรอคะ"
"ขึ้นเชียงใหม่ไปทำข่าวฝึกสุนัขตำรวจใช้จับยาเสพติดกันมั้ยครับ"
"ทำข่าวเบาๆ บ้างก็ดีเหมือนกันนะคะ"
หิรัณย์รีบเสริม อย่างดีใจมาก
"ใช่ครับ น่าสนใจเลยล่ะ"
"ฉันยังไม่ได้รับปากสารวัตรนะคะว่าจะไป ต้องปรึกษากับบอกอก่อน"
มีคณาหันไปเลือกผักต่อ หิรัณย์แอบยิ้มดีใจไปก่อนแล้ว
ในเวลาสาย ไชยวัฒน์มีความสนใจขึ้นมาทันที
"ไปทำข่าวนี้เลยมี่"
มีคณามารายงานไชยวัฒน์ที่ห้องทำงานในตอนสายของวันจันทร์
"ข่าวไม่เบาไปเหรอคะบอกอ"
"ไม่หรอก งานข่าวก็เหมือนการจัดสำรับอาหารนั่นแหละ มีอาหารคาว อาหารหนักแล้วก็ควรมีพวกน้ำจิ้มพวกขนมหวานบ้าง มันจะได้ครบรสน่ากิน"
มีคณาพยักหน้าเห็นด้วย
"มี่อย่าคิดดูถูกข่าวพวกนี้เชียวนะ ดีไม่ดีคนอ่านจะชอบอ่านเรื่องพวกนี้มากกว่าเรื่องหนักๆซะอีก เบาแต่มันไม่ได้ไร้สาระซะหน่อย"
มีคณาคิดตามที่บอกอพูด ก็พยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย
หิรัณย์คุยโทรศัพท์มือถือที่โต๊ะทำงานสีหน้ายิ้มแย้มดีใจมาก
"ไม่ต้องห่วงครับ นักข่าววี.ไอ.พี.อย่างคุณมี่ มีที่นั่งสำรองให้อยู่แล้ว...ค้างคืนนึงนะครับ" หิรัณย์สีหน้าลุ้นๆ วิมลินที่นั่งเช็กข่าวและข้อมูลจากไอแพดข้างๆ เหล่ยิ้มมองหิรัณย์
ฝ่ายมีคณาเดินคุยมือถือมาตามทางเดินในสยามสาร
"แต่มี่ไม่อยากเอาติไปฝากบ้านครูอรุณอีกรอบน่ะค่ะ คราวก่อนก็ไปต่อยลูกชายเค้ามาทีแล้ว ไม่รู้ว่าจะเข้าหน้ากันติดรึยัง" มีคณามีสีหน้าไม่สบายใจนัก
หิรัณย์รีบเสนอ
"เอาไปฝากแม่ผมก็ได้ แม่ผมชอบเลี้ยงเด็ก ดูแม่ผมกับติเข้ากันได้ดีนะครับ"
วิมลินแกล้งกระเซ้ายิ้มเบาๆ
"ผมก็ชอบเลี้ยงเด็กครับคุณมี่"
หิรัณย์เหล่มองวิมลินเล็กน้อย ก่อนเบี่ยงตัวไปคุยห่างๆ กลัวเสียงเล็ดลอดเข้า ผู้หมวดสาวทำไม่รู้ไม่ชี้อ่านไอแพดไป
"เกรงใจคุณป้าค่ะ ถ้าจะรบกวน เอาไว้คราวที่จำเป็นจริงๆกว่านี้ดีกว่า งานนี้ขอไปเช้าเย็นกลับก็แล้วกัน" มีคณาบอก
หิรัณย์มีสีหน้าแอบเสียดาย
"ก็ดีกว่าไม่ไปครับ... ครับ ได้ครับ ใกล้จะไปผมคอนเฟิร์มอีกที ...ครับ สวัสดีครับ" หิรัณย์กดตัดสาย
วิมลินกระเซ้าทันที
"เอะอะจะชวนเค้าไปค้างต่างจังหวัดยันเลย พฤติกรรมไม่น่าไว้ใจ"
"ไม่ต้องมาแซวกันเลยหมวด"
"คนนี้เอาจริงเหรอ"
"กลัวเค้าไม่เอาผมมากกว่า ป่านนี้ยังดูไม่ออกเลยว่าคิดกับผมยังไง"
หมวดดาวขำๆบอก
"สารวัตรมือหนึ่งตกม้าตายซะแล้ว"
หิรัณย์ถอนใจส่ายหน้า ลากเก้าอี้มานั่งคุยข้างๆ กระเซ้าคืนวิมลินมั่ง
"แล้วรับแอ๊ดเพื่อนผมรึยัง เค้าอยากรู้จักหมวดมากเลยนะ"
"ไม่ต้องเที่ยวมาจับคู่ให้หน่อยเลยสารวัตร"
"จะหวงความโสดไปถึงไหน"
"รอไปงานสารวัตรก่อน"
" งั้นผมลองแนะนำสาวๆให้รู้จักมั่งเอามั้ยล่ะ เผื่อจะเปลี่ยนแนว"
วิมลินตีเขาด้วยความเจ็บใจ หิรัณย์ขำๆ แล้วลุกเลี่ยงกลับไปที่โต๊ะทำงานอย่างอารมณ์ดี
มีคณาเดินกลับมานั่งที่โต๊ะทำงาน สีหน้าอารมณ์ดี เหลือบตามองดอกส้มก้านเล็กที่เปลี่ยนมาปักแจกันให้อยู่ทุกเช้า ก็อดที่จะยิ้มกว้างออกมาไม่ได้ ชักใจอ่อนในความจริงใจและความเสมอต้นเสมอปลายของผู้ชายคนนี้มากขึ้นทุกทีซะแล้ว
ตอนหัวค่ำวันหนึ่ง บนโต๊ะกินข้าว...มีคณากับสันตินั่งทานข้าวเย็นด้วยกันอยู่
"พรุ่งนี้ป้าจะไปทำข่าวที่เชียงใหม่นะ"
สันติหน้าเซ็งบอก
"จะเอาติไปฝากบ้านครูรุณอีกเรอะ"
"เปล่า ป้าไปเช้าเย็นกลับ... แต่คราวหน้าถ้าป้าต้องไปทำข่าวต่างจังหวัดหลายๆวัน สารวัตรเค้าอนุญาตให้พาติไปฝากกับแม่เค้าได้"
สันติยิ้มดีใจ
"ค่อยยังชั่ว"
มีคณาทานข้าวต่อไป
"พรุ่งนี้ไปกับสารวัตรรึเปล่า" สันติอิ่มแล้ว ถามเสร็จก็ดื่มน้ำไป
"ไป เค้าเป็นคนแนะนำให้ป้าไปทำข่าวนี้เองแหละ"
สันติยิ้มๆ วางแก้วน้ำลง
"ป้าโชคดีนะเนี่ย ถ้าอยู่ที่หมู่บ้านติ ใครมีผัวตำรวจโก้สุดๆW
มีคณาไอสำลักข้าวทันทีที่ได้ยิน
"ติ อย่าพูดแบบนี้ให้ใครได้ยินนะ น่าเกลียด"
"พูดความจริง น่าเกลียดตรงไหน ป้าไม่ชอบเหรอมีผัวตำรวจ"
มีคณาอึ้งหน้าเหวอ พูดไม่ออก
"ที่บ้านนะ ใครได้ผัวตำรวจ แค่จ่า ก็เดินกร่างไปทั่วหมู่บ้านแล้ว ปู่ยังว่าอีพวกนี้กระแดะเลย" สันติบอกย้ำ "พอแล้วติ ที่ป้าว่าน่าเกลียดคือเรื่องป้ากับสารวัตร ป้ากับเค้าเป็นแค่คนรู้จักกัน ถ้าใครมาได้ยินเข้า ป้าอายเค้าตายเลย"
มีคณาขึ้นเสียงจนสันติงงๆ ลุกขึ้นยืน แล้วยืนยันความคิดเดิม
"มีผัวตำรวจดีจะตายไป น่าอายตรงไหน"
สันติส่ายหน้าไม่เข้าใจ แล้วเดินหนีขึ้นบ้านไป
มีคณาหน้าร้อนผ่าว ถูกเด็กผีพูดแทงใจดำเข้า เลยทานข้าวต่อไม่ลง กระชับแว่นเข้าดั้ง ยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม กลอกตาไปมาส่อพิรุธสุดๆ ประสาพวกปากไม่ตรงกับใจ!
3 ทหารเสือสาว ฟ้ากระจ่างดาว ตอนที่ 5 (ต่อ)
เวลาสายที่สนามฝึกสุนัข ตำรวจกำลังโชว์ขั้นตอนการฝึกสุนัขตำรวจให้กับนักข่าวดูและเก็บภาพไป วิมลินและตำรวจนอกเครื่องแบบในทีมหิรัณย์ก็มาดูการฝึกร่วมกับนักข่าว มีคณาถ่ายรูปเก็บภาพอยู่ไปมา หิรัณย์เดินถือแก้วน้ำมาเผื่อมีคณากับตัวเองคนละแก้ว
"ขอบคุณค่ะ"
วิมลินกระเซ้าขึ้นลอยๆ
"คอแห้งจังเลย"
มีคณาอมยิ้มอย่างอายๆ นักข่าวสำนักอื่นที่อยู่ใกล้ เหล่มองยิ้มแซวๆ กันใหญ่ หิรัณย์รีบพูดแก้เขินกับกลุ่มนักข่าว
"ใครอยากได้น้ำอะไรบ้างครับ เดี๋ยวผมเอามาเสิร์ฟ"
แป๋ม นักข่าวสาวใหญ่แกล้งกระเซ้า
"อยากได้คนเสิร์ฟน้ำมากกว่าค่ะหรือว่ามีเจ้าของแล้ว"
บรรดานักข่าวกิ๊วก๊าวกันยกใหญ่ หิรัณย์ได้แต่อมยิ้มไปมา มีคณายืนนิ่ง แทบจะกลั้นหายใจ กลัวโดนแซวอีก เขินมาก วิมลินแซวรวมๆ เหมือนกัน
"สนใจสุนัขตำรวจหน่อยค่ะ วันนี้เราไม่ได้มาดูซีรีย์ สายลับหน้าขาวกะนักข่าวหน้าแว่น กันนะคะ"
นักข่าวเฮกันอีกครืนใหญ่ จนเขินจัดด้วยกันทั้งคู่ ขณะเดียวกัน สุนัขตำรวจที่ดูตื่นๆ ตกใจกับเสียงกรี๊ดกิ๊วก๊าวของกลุ่มนักข่าว
ช่วงพักกลางวัน...นักข่าวนั่งรวมกลุ่มทานอาหารกันอยู่ที่โต๊ะในโรงอาหารรวมถึงมีคณาด้วย
"คืนนี้มี่ไม่ค้างจริงๆ เหรอ" แป๋มถามมีคณา
"ไม่ได้หรอกค่ะพี่แป๋ม มี่ไม่อยากทิ้งหลานอยู่บ้านคนเดียว"
นักข่าวสาวใหญ่กระเซ้า
"แน่ใจนะว่าหลาน ไม่ใช่ลูก...ถ้าเป็นลูกสารวัตรคนนั้น พี่จะได้ขอ ยิ้มที พี่งี้ใจละลาย แข้งขาสั่นไปหมด
มีหนวดด้วย จั๊กจี๋" แป๋มพูดหยอกด้วยหน้าตาขี้เล่น
มีคณาขำๆ
"หลานจริงๆ ค่ะพี่ ส่วนสารวัตร มี่ไม่เกี่ยว พี่แป๋มไม่ต้องขอมี่หรอกค่ะ"
แป๋มกระเซ้าอีก
"จริงอ้ะ"
มีคณายิ้มอมเขิน
"จริงค่ะ แต่พี่แป๋มต้องไปตกลงกับเจ้าตัวเค้าเองนะคะ ว่าจะขอไปทำอะไร"
"แหม...นึกว่าน้องเราจะใจกว้าง ที่แท้ก็มีข้อแม้ ไอ้เรามันไม่ใช่สาวน้อยอย่างมี่ ตำรวจที่ไหนเค้าจะสน" แป๋มพูดแบบตัดพ้อนิดๆ
"ตำรวจนั่นไงสนพี่แป๋ม"
นักข่าวชายคนหนึ่งในวงพูดแล้ว ชี้ไปที่ตำรวจสุนัขคนหนึ่ง ที่อ้าปากอย่างเหนื่อย ลิ้นห้อย น้ำลายยืดเล็กน้อย มีสุนัขอยู่ข้างตัว ตำรวจคนนั้นบังเอิญมองมาทางแป๋มพอดี
"นั่งจ้องพี่น้ำลายยืดเลย"
แป๋มเอาเอกสารใกล้ๆมือฟาด เรียกชื่อเสียงดัง
"ไอ้เผือก"
นักข่าวชายรีบลุกเผ่นหนีไป มีคณาหัวเราะดังออกมาอย่างสนุกสนาน นับเป็นความรื่นเริงอย่างเป็นธรรมชาติที่สุดของมีคณาเท่าที่เคยเห็นมา ในกลุ่มเพื่อนซี้ และโชคดีที่มุมมีชีวิตชีวาของมีคณาคราวนี้อยู่ในสายตาของหิรัณย์ที่แอบมองจากมุมหนึ่ง เขาไม่เคยเห็นมีคณาผ่อนคลาย รื่นเริงแบบนี้มาก่อน ก็ยิ้มเบิกบานตามไปด้วย
มีคณาเหลือบตาไปเห็นเขาเข้าก็หุบยิ้มแทบไม่ทัน ออกอาการเขิน ได้แต่ก้มหน้าทานอาหารต่อไป
วิมลินเดินถือถาดอาหารมาจอดเทียบข้างๆหิรัณย์
"สารภาพรักได้แล้ว"
หิรัณย์ออกอาการเขินเล็กน้อย
"เร็วไป"
"ก็ดีกว่าช้าไปนะคะ"
หิรัณย์ชะงักไป หันมองหน้าวิมลินที่ยักคิ้วให้ก่อนเดินถือถาดอาหารไปนั่งกินกับเพื่อนตำรวจ เขาชำเลืองมองไปที่มีคณา ด้วยสีหน้าใช้ความคิด
เวลาเดียวกับที่มีคณามาทำข่าวอยู่ที่นี่ เป็นวันเดียวกับที่สาระวารีเกิดเหตุ ที่โรงเก็บเรือของเกาะยานก
... สาระวารีสีหน้า ท่าทางเจ็บๆ ค่อยๆรู้สึกตัวขึ้นมา ก่อนได้กลิ่นเหม็นกลิ่นน้ำมันเข้ามาเต็มจมูกสาระวารีเงยหน้ามอง เห็นน้ำมันกำลังไหลต่อเนื่องคืบคลานมาเป็นทางเหมือนลำธารน้ำไหลเล็กๆ จนใกล้จะถึงกองเปลวไฟใกล้ๆ ตัวเธอ เธอตกใจสุดชีวิต พยายามลุกขึ้นหนีตามสัญชาติญาณ แต่มึนหัวไปหมด พอหยัดกายลุกขึ้นได้ก็ล้มลงอีก
น้ำมันไหลใกล้เข้ามาเรื่อยๆ อยู่ห่างจากผ้าติดไฟอีกไม่มากแล้ว เธอเหลือบไปมองที่ผ้าติดไฟ แม้จะยังมึนเบลออยู่ แต่ก็รู้ว่าอันตรายร้ายแรงใกล้เข้ามาแล้ว เธอกัดฟันลุกขึ้น วิ่งหนีไปทางทะเลด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่เหลืออยู่ เพื่อจะหนีเอาชีวิตรอด
น้ำมันไหลมาจนถึงผ้าติดไฟ ทันใดนั้น ไฟก็ลุกพรึ่บ! แล้วลามต่อไปที่ถังน้ำมันในโรงเก็บเรืออย่างรวดเร็วทันที เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว จนโรงเก็บเรือพังพินาศในพริบตา
บริเวณสนามฝึก มีการสาธิตสุนัขตำรวจจับคนร้ายค้ายาเสพติด โดนจำลองเหตุการณ์ ทำการจับเสมือนจริงอยู่ที่กลางสนาม...โชว์นี้ดูตื่นเต้นเร้าใจ ช่วงจับคนร้าย นักข่าวให้ความสนใจ ถ่ายภาพมาก มีคณาก็นั่งเก็บภาพอยู่มุมหนึ่ง หลังการสาธิตดำเนินไปได้เล็กน้อย วิมลินก็เดินมานั่งข้างๆ
"ขอนั่งด้วยคนค่ะ"
" เชิญค่ะ"มีคณายังถ่ายภาพการสาธิตไป
"ได้ข้อมูลพอไปเขียนสกู๊ปมั้ยคะ"
"พอค่ะ ไม่มาเสียดายแย่เลย"
"แต่ถ้าคุณมี่ไม่มา จะมีคนเสียดายมากกว่า" วิมลินพูดพลางยิ้มหยอก
มีคณาเหลือบตามองผู้หมวดสาว
"สารวัตรหิรัณย์เป็นคนดีมากนะ"
มีคณาได้ยินก็ชะงักไป
"ลุ๊คเค้าดูเหมือนคนเจ้าชู้ แต่จริงๆ แล้ว ไม่กล้าจีบสาวหรอก ตั้งแต่รู้จักกันมาก็มีคุณมี่นี่แหละที่ดูสารวัตรเค้าทุ่มสุดๆ"
มีคณาชักเขิน เริ่มหลบสายตาแล้วขยับแว่นอยู่ไปมาแก้เขิน
"ฉันชอบนิสัยคุณนะ แอบเชียร์คู่คุณสองคนอยู่"
มีคณาแอบชำเลืองมองหน้าวิมลินเล็กน้อย
วิมลินเป่าปาก แล้วปรบมือมองไปที่สนามฝึก ... เสียงนักข่าวก็กิ๊วก๊าวเป่าปากตาม พร้อมปรบมือเชียร์ไปพร้อมๆกัน มีคณาหันมองตามไปที่สนามฝึกสุนัขตำรวจ ... หิรัณย์ถูกเชิญออกไปร่วมการแสดงสาธิตกับตำรวจผู้ฝึกและสุนัขตำรวจ ท่ามกลางเสียงเชียร์ของนักข่าวและเพื่อนๆ ตำรวจ
หิรัณย์ดูแหยงๆ กลัวสุนัขตำรวจอยู่เหมือนกัน แต่ก็ทำตามผู้คุมสุนัขแนะนำ มีคณามองไปที่หิรัณย์อย่างเงียบๆ วิมลินสีหน้าลุ้นๆ เขาร่วมโชว์ไปกับสุนัขตำรวจเป็นที่สนุกสนานไป ดูเป็นผู้ชายอารมณ์ดี ไม่มีฟอร์ม
มีชีวิตชีวาดี
ในเวลาต่อมา วิมลินกำลังแนะนำพี่น้องนักข่าวอยู่ที่มุมสนามฝึก
"พี่ๆนักข่าวที่จะพักค้างคืน เชิญไปขึ้นรถทางนี้เลยค่ะ"
นักข่าวส่วนหนึ่งเดินตามตำรวจนอกเครื่องแบบผู้ชายไป
"ส่วนใครที่จะกลับกรุงเทพเย็นนี้เลย รอที่โรงอาหาร หาอะไรทานตามอัธยาศัยก่อนนะคะ"
นักข่าวก็แยกย้ายกันไป วิมลินมองหาหิรัณย์และมีคณาเล็กน้อย ก่อนจะเห็นทั้งคู่เดินคุยกันไปทางมุมสวย เธอมองตามด้วยสีหน้าลุ้น พูดพึมพำ
"กล้าๆ หน่อย"
หิรัณย์เดินคุยกับมีคณามาตามทางเดินมุมสวย มีคณายิ้มแย้มสบายใจ
"ขอบคุณมากนะคะที่ชวนฉันขึ้นมาทำข่าววันนี้ ฉันไม่ได้ทำข่าวเบาๆ สบายใจแบบนี้มานานมากแล้ว"
"ผมก็ดีใจครับที่ได้เห็นคุณมี่มีความสุข"
มีคณามองหน้าหิรัณย์
"ผมไม่เคยเห็นคุณมี่หัวเราะเต็มที่ ดูผ่อนคลายแบบนี้มาก่อนเลย"
มีคณาหลบสายตาไปเล็กน้อยก่อนเดินนำไป สีหน้าใช้ความคิดอะไรบางอย่าง หิรัณย์ยิ้มๆ เดินตามหลังไป เธอหยุดเดิน หันกลับมามองหน้าหิรัณย์ด้วยสายตาคาดคั้น ต้องการคำตอบ
"ทำไมต้องเป็นฉันคะ สารวัตร"
หิรัณย์ผงะไปเล็กน้อย แปลกใจกับคำถามของเธอ
"ผู้ชายอย่างสารวัตรสามารถเลือกคบผู้หญิงได้ตั้งเยอะแยะ ผู้หญิงที่ไม่เก็บกด ไม่มีปัญหาครอบครัวรุงรังอย่างฉัน ทำไมสารวัตร ถึงได้..."
มีคณาอดเขินไม่ได้ที่จะพูดต่อ เธอยกมือขึ้นดันแว่นกระชับดั้งแทน หิรัณย์ส่งตาหวานช่วยพูดแทน
"ถึงได้ชอบคุณ"
เธอหลงมองลึกเข้าไปในดวงตาของหิรัณย์
"ตามจีบคุณ ส่งดอกส้มไปปักแจกันให้คุณทุกเช้าใช่มั้ยครับ"
มีคณารวมความกล้า สู้สายตา
"ค่ะ ฉันรู้ตัวดีนะคะว่าหน้าตาฉันก็พอไปวัดไปวาได้ แต่สารวัตรก็คงได้เจอผู้หญิงที่สวยกว่าฉันมาก อย่างผู้หมวดดาว ก็สวยไร้ที่ติ"
หิรัณย์ยิ้ม กอดอก พูดอย่างเปิดใจ
"ผู้หมวดดาวไม่ใช่คนที่คุณควรกังวล ผมกับเธอไม่มีอะไรเกินเลยไปกว่าการเป็นเพื่อนร่วมงานกัน"
"ฉันไม่ได้กังวลเรื่องผู้หมวด ฉันแค่ยกตัวอย่าง แต่ฉันรู้สึกว่าตัวเองไม่มีอะไรพร้อม ก็อย่างที่คุณเห็นฉันเองก็มีปัญหา หลานก็มีปัญหา ครอบครัวทางบ้านก็มีปัญหา"
หิรัณย์ยิ้มส่ายหน้า
"คุณมี่ที่รักครับ"
มีคณาเหวอไปเลย ที่หิรัณย์ต่อท้ายชื่อเธอด้วยที่รักครับ
"โลกนี้ไม่มีใครที่พร้อมสมบูรณ์ไปซะทุกอย่างหรอกนะครับ คุณอาจจะมองไม่เห็นตัวเอง ว่าคุณมีดีตรงไหน ผมถึงมาชอบคุณ แต่ผมมองเห็น แล้วก็มั่นใจว่าผมมองคุณไม่ผิด"
มีคณาเงียบกริบจ้องตาหิรัณย์นิ่ง รอฟังชนิดแทบจะกลั้นหายใจ หิรัณย์ขยับเข้าใกล้ ส่งสายตาจริงใจ
"คุณเป็นคนที่อ่อนนอกแข็งใน คุณดูหวาน แต่ภายในใจเข้มแข็งกว่าที่ใครๆ คิด"
หิรัณย์ยื่นมือไปจับกุมมือมีคณาเอาไว้ แล้วพูดต่อ
"รู้มั้ย สิ่งแรกที่คุณสะดุดตาสะดุดความรู้สึกผม ไม่ใช่หน้าหวานๆ ตาสวยๆ ของคุณ แต่เป็นความพยายามปกป้องเด็กคนนั้นของคุณมากกว่า คุณพร้อมจะสู้ยิบตาเพื่อคนที่คุณต้องการปกป้อง ผมต้องการผู้หญิงแบบนี้ ผู้หญิงอ่อนหวานนุ่มนวล แต่พร้อมจะสู้ถ้าเหตุการณ์บีบบังคับ"
มีคณาได้ฟังก็อดที่จะน้ำตารื้นๆ ขึ้นมาไม่ได้
"อาชีพอย่างผม คุณก็เห็นอยู่ว่าเสี่ยง วันหนึ่งถ้าผมจะแต่งงานมีลูก ผมก็อยากให้แม่ของลูก แกร่งพอจะนำครอบครัวต่อไปโดยที่ไม่มีผม"
มีคณาดึงมือออก เบี่ยงตัวหลบสายตาไป
"สารวัตรมองฉันดีเกินไป"
"คุณตะหากที่ประเมินค่าตัวเองต่ำเกินไป ผู้หญิงทั่วไปคงทนแรงกดดันจากข่าวอย่างที่คุณทำอยู่ทุกวันไม่ได้แน่ ไม่สติแตกไปซะก่อน ก็คงด้านชาไม่รู้สึกอะไรแล้ว"
มีคณาหันมองหน้าหิรัณย์อีกครั้ง
"แต่กับคุณไม่ใช่ คุณยังเจ็บปวดกับสิ่งที่เห็น และคุณก็ยังเลือกที่จะทำต่อ คุณเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอมาเลย รู้มั้ยคุณมี่"
มีคณามีน้ำตาเคลือบตาตลอดเวลา
"สารวัตรก็เป็นผู้ชายที่ดีที่สุดที่ฉันเคยเจอมา"
หิรัณย์ยิ้มออกมาอย่างดีใจ
"ฉันดีใจที่มีโอกาสได้รู้จักกับคุณ"
มีคณามองหิรัณย์ แต่สายตามีแววของความกล้าๆ กลัวๆ ฉายออกมาให้เห็น เธอรีบตัดบท
"กลับกันเถอะค่ะ"
มีคณาจะเดินกลับไป
"ผมรอคุณได้นะ"
มีคณาชะงัก
"ผมเข้าใจว่าคุณกำลังกลัว ที่จะต้องเปิดรับความรู้สึกที่คุณปิดประตูกั้นมันมาตลอดชีวิต"
มีคณาน้ำตาท่วม ผู้ชายคนนี้พูดเหมือนเข้าไปอยู่ในใจของเธอ
"ผมไม่ได้เร่งรัดอะไร ผมจะรอคุณ ไม่หนีไปไหนจนกว่าคุณจะพร้อมรับผม"
มีคณาน้ำตาไหลออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ เขาค่อยๆ เดินเข้าไปหา ยื่นมือเข้าจับต้นแขนเบาๆ ให้กำลังใจ
เธอรีบเบี่ยงตัวหลบ เดินเร็วหนีนำกลับไปทันที
หิรัณย์ได้แต่มองตามพร้อมถอนใจยาวออกมา รู้เพียงอย่างเดียวว่า ต้องอดทน เพื่อรอคอย
อ่านต่อตอนที่ 6