มนต์จันทรา ตอนที่ 6
เวลาหัวค่ำ สาระวารีนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ไป แอบเหล่มองษมาที่กำลังใช้มือขวายกช้อนตักข้าวต้มหมูสับอย่างยากลำบาก
ษมาเล่นละครทำสีหน้าเจ็บปวดแขนจนต้องวางช้อนลง เพราะยกช้อนป้อนข้าวต้มไม่ไหว สาระวารีเห็นใจแต่จะให้ป้อนก็ไม่ใช่นิสัย เสียเหลี่ยมหมด
“แขนเจ็บด้วยเหรอ”
“ถ้าไม่ได้แขนช่วยรับกิ่งไม้ไว้ คงตายคาที่ไปแล้ว”
ษมาพยายามจะใช้มือขวาจับช้อนข้าวต้มกินอีกแต่ก็มีสีหน้าเจ็บมาก
สาระวารีถอนใจออกมาพับหนังสือพิมพ์วาง ษมาเหล่มอง แอบอมยิ้ม เธอลุกมาใช้ช้อนตักข้าวต้มให้ เลือกตักหมูสับใส่ข้าวให้พอดีคำ
ษมายิ้มกริ่มยืดตัวตรงเล็กน้อย รอจะอ้าปากให้ป้อน สาระวารีตักหมูและข้าวพอดีคำ
“ฉันตักให้แล้ว คุณลองใช้มือซ้ายแทน”
ษมาอึ้ง
“อ้าว นึกว่าจะป้อน”
สาระวารีจ้องหน้า
“ปูนนี้แล้ว ...”
ษมายิ้มเจื่อนไป
“คนเรามีสองมือ เจ็บแขนขวาก็มีแขนซ้าย ก่อนจะยืมจมูกคนอื่นหายใจ ก็ต้องพึ่งตัวเองจนสุดความสามารถซะก่อน ฉันถือคตินี้นะ ทานซะสิ เดี๋ยวเย็นหมด”
“นี่ผมโชคดีโชคร้ายกันแน่เนี่ย ที่ได้คุณมาเป็นพยาบาล”
สาระวารีนิ่งไป มองผ้าปิดแผลที่ศีรษะษมาที่มันเผยอๆ เธอปาดมือไปจับผ้าปิดแผล จะช่วยแปะให้ติด
แต่อารมณ์ชนักติดหลัง ทำให้ษมารีบเบี่ยงหลบ
“จะทำอะไรครับ”
พอษมาเบี่ยงหัวออก เลยทำให้ผ้าพันแผลเปิดออกเพราะสาระวารีจับเทปปิดแผลไว้แล้ว ความจริงเลยปรากฏ ไม่มีแผลใดๆ บนศีรษะษมาเลยนอกจากผมดกดำ
สาระวารีอึ้ง ษมาได้แต่ยิ้มแหยๆ เธอโมโห
“นี่คุณหลอกฉันเรอะ”
ษมาหน้าเสีย
สาระวารีโมโหมาก สวนเสียงดังทันที
“สนุกมากใช่มั้ย”
สาระวารีโกรธจัดสะบัดหน้าพรืดเดินฉับๆ ออกไปจากห้องพักษมาทันที
“วารี เดี๋ยว”
ษมารีบลงจากเตียง เดินตามติดไป หายเจ็บหายป่วยเป็นปลิดทิ้ง
บริเวณโถงบ้าน ษมาคว้าแขนสาระวารีไว้
“วารี ผมขอโทษ”
สาระวารีสะบัดมือษมาอย่างแรง หันไปโวยใส่ทันที
“ฉันไม่รับคำขอโทษ”
ษมาแหยสุดๆ เสียฟอร์มเจ้าพ่อ
“ฉันไม่อยากฟังคำแก้ตัวอะไรทั้งนั้น ฉันจะกลับ”
สาระวารีจะเดินไป ษมาตามขวางหน้า สีหน้ารู้สึกผิด
“หลีกไป” สาระวารีจ้องหน้า เสียงแข็ง
“ผมไม่ได้แก้ตัวนะวารี ผมอยากจะขอโทษคุณจริงๆ ผมแค่...”
ษมาหยุดไป เขินที่จะบอกความรู้สึก เนื่องจากเขาอายุมากแล้ว สาระวารียังโกรธอยู่ สวนตอบแทน “แค่คิดว่าฉันโง่เง่า อยากจะหลอกอะไรก็หลอกได้ใช่มั้ยล่ะ คุณรู้ไว้เลยนะ ว่าในชีวิตฉัน เกลียดการ
พนันมากที่สุด รองลงมาก็คนโกหก แล้วคุณก็มีทั้งสองอย่างในตัวครบเลย”
สาระวารีสีหน้าแววตาผิดหวัง ผลักไหล่ษมาให้พ้นทาง แล้วเดินฉับๆ ออกไปสงบสติอารมณ์นอกบ้าน
ษมาหงุดหงิดตัวเองแล้วส่ายหน้า
“ทำอะไรลงไปวะ”
สาระวารีเดินลิ่วมาในสวนด้วยความโมโห ปนเสียใจที่ตนห่วงจากใจจริงแต่กลับเป็นละครตบตา มันเสียความรู้สึก ยิ่งกับคนที่นิสัยอย่างเธอ มันรับไม่ได้
ไม่คาดคิด ทันใดนั้น ก็มีคนโยนกล่องรังผึ้งตกลงที่ด้านหลังสาระวารี โดยที่เธอไม่รู้ตัว ผึ้งจำนวนมากบินว่อนออกจากกล่อง
สาระวารีได้ยินเสียงผึ้งบิน เลยหันกลับไปดู ตกใจมาก ต้องยกมือขึ้นปิดหน้าวิ่งหนีไปอย่างเร็วอย่างไม่คิดชีวิต ร้องลั่น
“ช่วยด้วยค่ะ ผึ้งจะต่อยฉัน ช่วยด้วย”
ผู้โยนกล่องใส่รังผึ้ง สวมชุดป้องกันผึ้งต่อยพร้อม ใช้มือหยิบกล่องใส่รังผึ้งกลับขึ้นมา
ฝูงผึ้ง...วิ่งไล่ตามหลังสาระวารีมา
พิพัชกำลังสั่งงานคนงานในสวนอยู่ด้านหน้า เขากำลังชี้มือบอกตำแหน่งไปทางหาด เขาและคนงานหันมองสาระวารีที่วิ่งตะบึงหน้าตื่นมาทางตน
“ช่วยด้วย ผึ้งไล่ฉันมา...”
คนงานร้องโอ๊ยจับต้นแขนโดนผึ้งต่อย
พิพัชกระชากสาระวารีวิ่งหนี พร้อมสั่งคนงาน
“ไปจุดคบไฟมาเร็ว”
ผึ้งวิ่งไล่จี้ทั้งสองคนไปทางมุมหนึ่งของสวน
“ถึงบ่อน้ำโดดเลยนะครับ”
ผึ้งจี้ติดหลังพิพัชและสาระวารี
“โดด...”
พิพัชและสาระวารีกระโดดลงไปในบ่อน้ำ หมู่มวลผึ้งโฉบขึ้นฟ้าหายลับไปกับความมืด
ผ่านเวลามา สาระวารีเปียกปอนไปทั้งตัว ใช้ผ้าขนหนูห่อตัวอยู่ที่ห้องรับแขก หน้าตายังตื่นตกใจไม่หาย ษมากำลังโกรธจัดเล่นงานลำแพงอยู่ พิพัชและจันเลาอยู่ด้วย...พิพัชเองก็เปียกโชก
“ฉันเคยบอกแล้วใช่มั้ย ว่าถ้าจะเลี้ยงผึ้งก็ต้องดูแลให้ดี อย่าปล่อยให้มันมาทำร้ายใคร พรุ่งนี้เอามันออกไปให้หมด อย่าให้เหลืออยู่บนเกาะของฉันอีก”
ลำแพงหน้าเสีย น้ำตารื้นๆ ยกมือไหว้
“ดิฉันขอโทษจริงๆค่ะคุณษมา แต่อย่าให้ดิฉันเลิกเลี้ยงผึ้งเลยนะคะ ดิฉันเลี้ยงพวกมันมาหลายปี ถ้าให้เลิก ดิฉันคงทำใจไม่ได้ แล้วผึ้งที่รุมต่อยคุณนักข่าว ก็ไม่ใช่ผึ้งโพรงที่ฉันเลี้ยงอยู่ ผึ้งโพรงไม่ดุ ไม่เคยต่อยใคร ทุกคนที่นี่ก็รู้ ต้องเป็นผึ้งจากที่อื่นแน่ๆ เลยค่ะ”
“ผึ้งมันก็เหมือนๆกันทั้งนั้นแหละ เธอแยกออกรึไง”
“ออกค่ะ เอาซากผึ้งที่ต่อยคุณนักข่าวกับผึ้งที่ดิฉันเลี้ยงมาเทียบดูก็ได้ คุณษมาจะเห็นเลยนะคะ ว่ามันไม่เหมือนกัน”
“ช่างเถอะค่ะ ฉันไม่เป็นอะไรแล้ว ถือว่าวันนี้เป็นคราวซวยของฉันก็แล้วกัน โดนทั้งคน ทั้งสัตว์ทำให้เจ็บตัวเจ็บใจ”
ษมาเจื่อนไปเล็กน้อย ที่โดนว่าแดกเข้าให้ จันเลาแอบอมยิ้ม พิพัชหน้าดุใส่จันเลา สาระวารีตัดบท สีหน้าบึ้งตึง
“ฉันไปเปลี่ยนชุดก่อนนะคะ”
สาระวารีเดินเลี่ยงกลับเข้าไป ษมาทำหน้าดุใส่ลำแพง
“พรุ่งนี้เธอจัดการให้เรียบร้อย ถ้ามีใครโดนผึ้งต่อยอีกแม้แต่คนเดียว ฉันจะเผารังผึ้งเธอทิ้งให้หมด”
ลำแพงปั้นหน้าเสียใจ
“ค่ะคุณษมา ฉันขอโทษจริงๆ ค่ะ ฉันจะไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีกเป็นอันขาด”
ษมาได้แต่ถอนใจส่ายหน้าเดินกลับไปยังห้องพัก จันเลาและพิพัชเดินออกไปจากบ้าน ลำแพงที่ดูนิ่งเฉยชานั้น ในแววตาเธอเห็นความโกรธเกลียดเข้ากระดูกดำฉายอยู่
สาระวารีสะพายเป้เดินฉับๆ จะไปท่าเรือเกาะยานก ษมารีบเดินตามติดๆ อย่างไม่สบายใจและเป็นห่วง
“นี่มันมืดแล้วนะวารี พรุ่งนี้ค่อยกลับไม่ได้เหรอ”
“พรุ่งนี้ฉันมีงาน ฉันต้องการเข้ากรุงเทพคืนนี้เลย”
สาระวารีเดินนำไปต่อ ษมาตัดสินใจว่าต้องพูดความจริงแล้ว อายเป็นอาย
“ผมมีเรื่องต้องสารภาพกับคุณ”
สาระวารีหยุดกึก
“ผมไม่อยากให้เราต้องจากกันด้วยความเข้าใจผิดแบบนี้”
สาระวารีถอนใจ สีหน้าเซ็ง
“มีอะไรจะพูดก็รีบพูดๆ มาเร็ว ๆเลย”
ษมาจ้องตาสารวารี กำลังจะเปิดปากพูด กูซอวิ่งทะเล่อทะล่าเข้ามาขัดจังหวะซะก่อน
“ผมช่วยถือของครับคุณวารี”
ษมาเสียจังหวะไป ต่อไม่ติดเลย อีกอย่าง เขาอายคนงานด้วย
“ขอบใจจ้ะ”
กูซอรับของแล้วเดินนำกลับไปทางท่าเรือ พิพัชรีบตามมาสมทบ พิพัชเข้ามารายงาน
“รถตู้ของบริษัทกำลังมารอรับคุณวารีที่ท่าเรือแล้วครับ จะไปส่งถึงบ้านที่กรุงเทพเลย คุณษมาไม่ต้องห่วงนะครับ เดี๋ยวผมจะข้ามฝั่งไปด้วย”
ษมาพยักหน้ารับ สาระวารีจ้องหน้าษมาอย่างกวนๆ
“มีอะไรจะพูดก็พูดมาสิคะ ฉันจะรีบไป”
สาระวารีและพิพัชมองไปที่ษมา เขายิ้มบางๆ
“เดินทางปลอดภัยนะครับ”
ษมาเดินกลับเข้าบ้านไป สาระวารีรู้สึกค้างคาใจเล็กน้อย
“เชิญครับ” พิพัชบอก
สาระวารีเดินนำไปทางท่าเรือ พิพัชเดินตามไป ษมาและสาระวารีเดินห่างจากกันไปทุกที กับความรู้สึกค้างคาใจที่ยังไม่เคลียร์ ทั้งคู่ต่างหันกลับไปมองกันและกันก่อนจาก แต่คลาดกันเพียงเสี้ยว จึงไม่ได้สบตา ประจันหน้ากัน ต่างฝ่ายต่างไม่ได้เห็นถึงความรู้สึกลึกๆที่ผูกพันกัน
ต่างคนต่างเดินไปตามทางของตนกับความรู้สึกที่ยังค้างคาในใจ
กูซอเอาสัมภาระของสาระวารีไปใส่เรือแล้วคอยรอช่วยพาลงเรือ สาระวารีเดินคุยกับพิพัชมา
“ฉันยังไม่ได้ขอบคุณคุณเลยที่ช่วยฉันเอาไว้”
พิพัชสีหน้านิ่ง
“ไม่จำเป็น ถือว่าหายกัน ตอนผมป่วย คุณก็เคยดูแลผมเหมือนกัน”
สาระวารีเซ็งๆ กับท่าทีไม่เป็นมิตรของพิพัช
“คุณนี่เป็นคนเสมอต้นเสมอปลายดีนะ”
พิพัชจ้องหน้าวารี สีหน้างงๆ
“ไม่ชอบขี้หน้าฉันมากเรอะ”
“เปล่า แต่ผมไม่ไว้ใจคุณ เพื่อความปลอดภัยของคุณษมา ผมมีสิทธิ์ระแวงคนทุกคนที่เข้าใกล้เจ้านายผมทั้งนั้นล่ะ ก็เหมือนกับที่คุณระแวงจันเลาไง แต่ผมกับจันเลาไม่โกรธคุณหรอกนะ เพราะเราไม่สนิทกัน แล้วที่คุณทำไปก็เพราะเป็นห่วงคุณษมาเหมือนกัน”
สาระวารีรีบปฏิเสธ
“ฉันไม่ได้ห่วงอะไรเค้าขนาดนั้นหรอก”
พิพัชแดกดันเบาะๆ
“ขนาดไม่ห่วงยังรีบข้ามเกาะมาเยี่ยมทันทีเลยนะครับ ถ้าห่วงจะขนาดไหน”
สาระวารีเจ็บใจ สวนกลับไป
“ห่วงขนาดไหนก็ไม่เห็นจะแปลก แต่ผู้ชายห่วงผู้ชายจนเว่อร์ขนาดเนี้ย มันแปลกกว่าเยอะ แอบคิดอะไร อยู่รึเปล่า”
สาระวารียิ้มกวนประสาท ก่อนเดินนำขึ้นเรือไป พิพัชได้แต่ถอนใจส่ายหน้าก่อนเดินตามไปขึ้นเรือ
ษมายืนมองตามเรือที่ค่อยๆ แล่นออกไปจากท่าเกาะยานกด้วยสีหน้าไม่สบายใจนัก ลำแพงแอบมองการจากไปของสาระวารีอยู่ที่มุมสนาม...ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม สบายใจ
ษมามองตามเรือไปจนลับสายตา ดูซึมๆ ก่อนหันเดินกลับเข้าบ้านไป
สาระวารีนั่งอยู่บนรถตู้ของบริษัทษมา มีคนขับรถของบริษัทขับรถไปส่งที่กรุงเทพ ขณะนั้นเอง เสียงโทรศัพท์มือถือของสาระวารีก็ดังขึ้น สาระวารีดูเบอร์โชว์ แล้วพึมพำแดกดันไปทันที
“ว่าไงคะ จะโทรมาหลอกอะไรฉันอีก”
ษมาเสียงจ๋อยๆ
“ถึงไหนแล้วครับ”
“ไม่รู้สิคะ ไม่ใช่คนขับ”
ษมาหน้าเจื่อนๆ รู้สึกผิดกำลังนั่งคุยโทรศัพท์มือถืออยู่บนเตียง
“ยังไม่หายโกรธผมอีกเหรอ”
สาระวารีเงียบไป ไม่มีเสียงตอบกลับมา
“ผมขอโทษที่หลอกคุณ แต่ผมไม่เคยคิดว่าคุณเป็นตัวตลก หรือว่าโง่เง่าอะไรอย่างที่คุณคิดเลยนะ”
“แล้วคุณทำไปเพื่ออะไร บอกตรงๆ ว่าฉันเสียความ...”
ษมาพูดสวนกลับมา
“เพราะผมคิดถึงคุณมากน่ะสิ”
สาระวารีชะงักไป พูดต่อไม่ถูกเลยทีเดียว
“ผมก็ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้ผมทำแผนการงี่เง่าแบบนั้น ผมรู้ว่าทำตัวไม่สมกับเป็นผู้ใหญ่ แต่ผมคิดแค่ว่าอยาก เจอคุณอีก อยากมีเวลาอยู่กับคุณมากขึ้นอีกหน่อย ทำยังไงก็ได้ที่จะได้เห็นหน้าคุณ อีกแค่ 5 นาทีก็ยังดี”
สาระวารีเงียบกริบ พูดไม่ออก แทบจะลืมหายใจทีเดียวที่ได้ยินแบบนั้น
“วารี คุณฟังผมอยู่รึเปล่า”
สาระวารีตอบไปเบาๆ ใจชักอ่อนยวบ
“ค่ะ”
ษมายิ้มบางๆ
“ผมดีใจมากที่คุณยอมกลับมาเยี่ยมผม อย่างน้อยผมก็รู้ว่า คุณยังห่วงผมบ้าง ไม่ใช่แค่มาทำงาน เสร็จงานก็จากกันไป ไม่ได้มีความรู้สึกดีๆ อะไรเพิ่มขึ้นมาเลย”
สาระวารี หน้าร้อนผ่าว ปากหนัก พูดอะไรไม่ออกซะงั้น
“คุณจะไม่พูดอะไรบ้างเหรอ ปล่อยผมพูดคนเดียวแบบนี้ ผมก็เขินเป็นเหมือนกันนะ”
สาระวารีเสียงอ่อนลงเล็กน้อย
“ฉันง่วงแล้ว อยากนอนเอาแรงซะหน่อย เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยโทรคุยกันใหม่แล้วกัน”
สาระวารีรีบกดตัดสาย
ษมาเป่าปากแรงออกมา โล่งอกที่กล้าพูดความในใจเพื่อปรับความเข้าใจให้ชัดเจนกันไป ส่วนเธอนอนพิงศีรษะมองไปนอกหน้าต่าง แอบเผลออมยิ้มออกมาบางๆ ก่อนจะพริ้มตาหลับไป อบอุ่นใจชอบกล
เวลากลางคืน บรรยากาศในผับแห่งหนึ่ง ดูครึกครื้น โศภีกำลังนั่งเซ็งๆอยู่คนเดียว ดิตถ์เดินเข้ามาในผับมากับลูกน้อง พอเห็นโศภี ก็สั่งให้ลูกน้องไปนั่งกันก่อน ดิตถ์เดินยิ้มทักทายมาหาโศภี
“ผมตาฝาดไปรึเปล่าครับเนี่ย”
โศภีชายหางตามองดิตถ์ สีหน้าเซ็งปนรำคาญ
“สาวสวยอย่างคุณโศภีมานั่งอยู่คนเดียว ไม่มีหนุ่มๆคอยตามเทคแคร์ได้ยังไงกันครับเนี่ย”
ดิตถ์ถือวิสาสะนั่งด้วยเลย
“ใครเชิญไม่ทราบ จะไปไหนก็ไปเลย ฉันอยากอยู่คนเดียว”
ดิตถ์ยิ้มเยาะ
“สรุปโดนไอ้ษมามันทิ้งชัวร์ล่ะสิ”
โศภีโดนแทงใจดำ ก็โกรธมาก
“หุบปากไปเลยนะ”
“หนุ่มใหญ่ก็ต้องแพ้ทางเด็กสาวน้อยยังงี้แหละ ถึง 30 ยังแจ๋วแต่ก็แบ๊วสู้เด็กไม่ได้หรอกคุณ” ดิตถ์จงใจพูดกวนปนยิ้มเยาะอย่างขำๆ
“แกไม่ไป ฉันไปเอง”
โศภีลุกขึ้น ดิตถ์คว้าแขนเธอเอาไว้ ยิ้มรู้ทัน
“ผมรู้จักคุณดี คนอย่างคุณบูชาเงินที่สุด คุณไม่ได้พิศวาสอะไรไอ้ษมาหนักหนาหรอก”
โศภีสะบัดแขนดิตถ์ออก
“ในเมื่อไอ้แผนอดีตรักฝังใจของคุณ มัดไอ้ษมาไม่อยู่แล้ว ทำไมเราไม่หันมาร่วมมือกันล่ะครับ”
โศภีนิ่งไปอย่างใช้ความคิด จ้องหน้าดิตถ์เขม็ง
“โอกาสชิงสัมปทานคาสิโนมาจากมันเหลือน้อยเต็มทีแล้ว ถ้าเราไม่รีบจับมือกันตอนนี้ คงได้ไปจับมือแสดงความยินดีกับมันวันงานเปิดคาสิโนแน่ๆ”
โศภีถอนใจออกมา ยอมนั่งลงคุยกับดิตถ์ที่ยิ้มแย้มพอใจ ที่จะได้เธอเป็นพันธมิตร
สาระวารีกำลังไขกุญแจรั้วหน้าบ้าน คนขับรถขนกระเป๋าเสื้อผ้าของเธอลงมาให้
“วางไว้ตรงนี้ล่ะค่ะ เดี๋ยวฉันขนเข้าไปเอง”
“ไม่เป็นไรครับ ยังมีอีกเยอะ”
คนขับรถเดินไปขนของต่อ สาระวารีงงๆ หันมองตามไป คนขับรถเดินกลับไปขนชะลอมใส่ลำไยจำนวนหลายชะลอมลงมา สาระวารีแปลกใจ
“ลำไยนี่ไม่ใช่ของฉันนะ”
“คุณษมาท่านฝากมาให้คุณน่ะครับ บอกว่าเผื่อคุณจะเอาไปฝากเพื่อนๆที่ทำงาน นี่ยังมีอีกนะครับ”
คนขับรถเดินกลับไปขนลำไยมาอีก
สาระวารีเหยียดปากหมั่นไส้ บ่นไปงั้นแหละ แล้วเดินเข้าบ้านไป
“วุ่นวายกะฉันซะจริง”
ตอนเช้า โทรศัพท์มือถือของสาระวารีกำลังส่งเสียงเรียกเข้าอยู่ เธอในชุดนอนกำลังงัวเงียเพราะตกใจตื่นจากได้ยินเสียงมือถือ เธอใช้มือควานหามือถือสะเปะสะปะจนเจอ
สาระวารีง่วงมาก งัวเงีย กดรับสาย หลับตาพูด เสียงไม่รับแขก
“ฮัลโหล”
“ตื่นรึยังวารี”
สาระวารีลืมตาโพลง แอบหงุดหงิด
“คุณโทรมาทำไมเนี่ย คนกำลังหลับสบายอยู่เลย”
ษมายืนคุยโทรศัพท์มือถืออยู่ที่ระเบียงหน้าบ้าน
“ผมขอโทษที่โทรมาปลุก ผมแค่อยากโทรมาเช็กดูว่า คุณกลับถึงกรุงเทพปลอดภัยดีรึเปล่า”
สาระวารีลุกขึ้นนั่งคุยโทรศัพท์ น้ำเสียงแดกดันเล็กน้อย ตอบกลับไป
“ถึงเรียบร้อย ปลอดภัยดีทุกอย่างเจ้าค่ะ”
ษมายิ้มแย้มที่สาระวารีคนเดิมที่ชอบต่อปากต่อคำกับเขากลับมาแล้ว อาการนี้น่าจะหายโกรธแล้ว
“ขอบคุณที่โทรมาถามนะคะ สวัสดีค่ะ”
ษมารีบแย้ง
“เดี๋ยวสิวารี คุยแค่นี้เองเหรอ”
“โอ๊ยคุณ เพิ่งจะจากกันไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมงเลย ฉันจะไปมีเรื่องอะไรคุยกับคุณนักหนาล่ะ”
ษมาขำๆ
สาระวารีนึกขึ้นได้
“อ้อ ขอบคุณมากเรื่องลำไยนะคะ ฉันต้องแบกชะลอมลำไยโหนรถเมล์ไปทำงาน ลำบากไม่มากเลยค่ะ”
ษมาได้แต่อมยิ้ม สาระวารีเสียงแข็งกลับมา
“แค่นี้นะคะ”
ษมายิ้มแย้ม ตอบกลับไป
“โอ.เค.ครับ แล้วเจอกันที่กรุงเทพวันนัดตรวจต้นฉบับนะครับ”
ษมากดตัดสาย ยิ้มแย้มอารมณ์ดี
สาระวารีพูดล้อเลียนใส่โทรศัพท์ แล้วเหยียดปาก
“เจอกันที่กรุงเทพวันนัดตรวจต้นฉบับนะครับ”
สาระวารีเลื่อนตัวลงนอนต่อ แต่ตาค้างซะแล้ว นอนพลิกไปพลิกมา เอามือก่ายหน้าผากข่มตาหลับต่อไม่ลง
“โอ๊ย ไม่ต้องนงต้องนอนกันแล้ว”
สาระวารีลุกพรวดจากเตียงหน้าหงิกไปเข้าห้องน้ำ
สยามสารตอนสาย มีคณากำลังกดลิฟท์อยู่ที่โถงล็อบบี้ ลิฟท์เปิดมีคณาเข้าไปยืน มองออกมาขณะลิฟท์จะปิด ด้วยสีหน้าดีใจมากที่สุด เธอรีบกดลิฟท์เปิดอย่างเร็ว
สาระวารีเดินหน้าหงิกปนง่วงถือชะลอมใส่ลำไยมาสองมือ 4 ชะลอม เธอแอบหาวออกมา มีคณารีบเดินเร็วเข้ามาหา เรียกเพื่อน ด้วยความดีใจ
“วารี”
“มี่ ฉันคิดถึงแกจังเลย”
สาระวารีทิ้งชะลอมผลไม้กลางโถงแล้วตรงเข้าไปสวมกอดเพื่อนด้วยความคิดถึง แถมบ้าพลังเล็กน้อย ด้วยการยกตัวเพื่อนหมุน
“บ้าวารี เดี๋ยวล้ม...”
สองสาวกอดกันยิ้มแย้มแจ่มใสดีใจหายคิดถึง
มนต์จันทรา ตอนที่ 6 (ต่อ)
มีคณาและสาระวารีช่วยกันถือชะลอมลำไยเดินคุยมาตามทางเดินในสยามสาร
“วันนี้มาทำงานเช้าได้นะแก”
“ก็ไม่ได้อยากมานักหรอก มีพวกโรคประสาทโทรมาปลุก”
สาระวารีเดินไปหาพนักงาน ยกลำไย 2 ชะลอมที่ถืออยู่ให้
“หนิงจ๊ะ พี่เอามาฝากกองบ.ก.”
พนักงานรับของ ยกมือไหว้ขอบคุณ
“ขอบคุณค่ะพี่วารี”
“แบ่งๆ กันนะ ของดีมีน้อย”
สาระวารีเดินกลับมาหามีคณา
“มัทกลับมารึยัง”
“คงวันสองวันนี้แหละ”
“งั้นเธอเอาไปชะลอมหนึ่งเลย กินผลไม้หวานๆ ซะ ชีวิตรักจะได้หวานชื่นกะเค้ามั่ง”
“บ้า” มีคณายิ้มๆ ตีแขนเพื่อนเล็กน้อย
มีคณาวางชะลอมลำไย 2 ชะลอมลงบนโต๊ะทำงาน ก่อนนั่งลงพร้อมคุยต่อ
“สรุปแล้วเจ้าพ่อคนนี้เป็นไง น่ากลัวเหมือนในหนังรึเปล่า”
สาระวารีนั่งลงฝั่งตรงข้าม คุยตอบ
“เค้ายังยืนยันว่าเค้าไม่ใช่เจ้าพ่อ แต่ท่าทางเอาเรื่องเหมือนกันแหละ อย่างที่เคยเล่า บ้านเค้าที่เกาะยานกยังกะโรงเรียนดัดสันดาน โทรศัพท์ทุกสายต้องบันทึกไว้หมด”
มีคณายิ้มๆ เปิดชะลอมลำไย เด็ดออกมา
“เอามั้ย”
“ฉันกินจนจะเป็นคุณนายลำไยอยู่แล้ว”
มีคณายิ้มๆ แกะลำไยชิมไป สาระวารียิ่งคุยยิ่งมันปาก
“แล้วที่สำคัญนะมี่ อนามัยจัดมาก ขึ้นเกาะปุ๊บ ยึดบุหรี่ฉันปั้บ บอกคนบนเกาะเค้าไม่สูบ มาคืนให้ก่อนกลับ แถมเทศนาซะยกใหญ่”
มีคณามีหน้าเคืองขึ้นมา
“นี่เธอแอบสูบบุหรี่อีกแล้วเรอะ”
“ยัง แค่ตั้งท่าเฉยๆ”
มีคณาโกรธ
“ไหนเธอเคยสัญญากับพวกเราแล้วไง เรื่องนี้ฉันเชียร์คุณษมาเต็มที่ เค้าทำถูกต้องที่สุด คนไม่สูบแต่สูดควันบุหรี่ของเธอเข้าไป ก็เหมือนกับสูบเอง ...เห็นแก่ตัว”
สาระวารีรีบลุก
“พอเลยยัยป้าแว่น ตั้งแต่ฉันไปจนถึงวินาทีนี้ ฉันยังไม่ได้สูบบุหรี่ซักตัว โอเคป๊ะ ไปรายงานตัวกับบ.ก.ดีกว่า ขี้เกียจฟังเทศน์” สาระวารีฉวยลำไยชะลอมหนึ่งไป แล้วค้อนใส่มีคณาเดินไปห้องบ.ก.เลย
มีคณาหมั่นไส้เพื่อน ปาลำไยลูกนึงใส่กลางหัวเพื่อนพอดี
“โอ๊ย”
สาระวารีหันมาชี้หน้า
“ป้าแว่น กลางวันเลี้ยงก๋วยเตี๋ยวฉันด้วย”
สาระวารีเดินไปห้องบ.ก. มีคณายิ้มๆ พร้อมส่ายหน้า กินลำไยต่อไปอย่างอร่อย
ในเวลาต่อเนื่องมา ไชยวัฒน์แกะลำไยกินไป คุยไปกับสาระวารีอยู่ในห้องทำงาน
“ฟังเสียงคุณดูไม่เดือดร้อนเลยนะที่เกือบตาย” ไชยวัฒน์พูดด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง
“ตอนแรกก็กลัวหรอกค่ะ พอรอดมาได้ก็ดีขึ้น กลายเป็นว่าได้มีประสบการณ์แปลกๆ ในชีวิตอีกเรื่อง”
“คุณนี่แข็งกว่าที่ผมคิดไว้เยอะนะ”
สาระวารีรีบเตือน
“แต่ข่าวเรื่องลอบยิง เรื่องผู้บงการอะไรนี่ ทางคุณษมาเค้าขอเอาไว้ อย่าให้ลงข่าวนะคะ”
“อ้าว ไม่ให้ลงเรอะ ว๊า น่าเสียดาย”
“วารีก็เสียดายค่ะบอกอ แต่คิดอีกที ลงไปอาจจะมีปัญหาทั้งทางเค้า ทางเราก็ได้ แต่สำคัญกว่านั้น เจ้าพ่อแกอาจจะฟ้องเราได้นะคะบอกอ”
ไชยวัฒน์พยักหน้าเห็นด้วย
“ก็ว่าไปตามนั้น...งั้นคุณก็เขียนงานไป ไม่ต้องรีบร้อนมาก เอาให้ดีที่สุด ผลงานชิ้นโบว์แดงเลยนะ”
“ไม่รีบไม่ได้หรอกค่ะ แหล่งข่าวจะขอตรวจข่าวก่อน”
ไชยวัฒน์อึ้งไป
“ขนาดนั้นเลย ไหนว่าเค้ารักสันโดษ ไม่ชอบออกจากเกาะไงล่ะ”
“แต่คราวนี้คงกลัวมั้งคะบอกอ กลัวเราจะเขียนข่าวให้เค้าเสียหาย เลยยอมออกจากถ้ำมาได้”
ไชยวัฒน์สีหน้าติดใจสงสัย
“ฟังทะแม่งๆ อยู่นะวารี บอกตรงๆ ผมไม่ค่อยไว้ใจนายเจ้าพ่อนี่ซะแล้วซิ”
ไชยวัฒน์มองหน้าวารีเหมือนหาคำตอบบางอย่าง
“เล่าอะไรให้ผมฟังไม่หมดรึเปล่าวารี”
สาระวารีขำฝืนๆ กลบเกลื่อนไป
“ไม่มีค่ะ”
ไชยวัฒน์ยังจับตามองสาระวารีอยู่ เธอฝืนขำต่อไปไม่ไหว รีบตัดบท
“กลับโต๊ะทำงานดีกว่า … คิดถึงโต๊ะสุดชีวิตเลยค่ะ”
สาระวารีรีบเดินเลี่ยงออกไปจากห้อง บ.ก.ทันที ไชยวัฒน์มีสีหน้าติดใจสงสัย ก่อนจะป้อนลำไยเข้าปากไปอีกเม็ด
เวลากลางวัน ที่โต๊ะทำงาน มีคณากำลังเร่งพิมพ์งานปิดต้นฉบับให้เสร็จ สาระวารีเดินมาหาเพื่อนที่โต๊ะ
“ไปมี่ พักกินข้าวกันก่อน”
มีคณาหน้าแหยๆมองเพื่อน
“สงสัยฉันไปกับแกไม่ได้แล้วล่ะ”
“อ้าว ทำไมล่ะ”
“แหล่งข่าวโทรมานัดพอดี”
“ก็ให้รอไปก่อนสิ นักข่าวก็คน ต้องกินข้าวเหมือนกัน”
“ก็แหล่งข่าวนัดกินข้าวน่ะสิ”
สาระวารีชักเอะใจ จ้องหน้าคาดคั้น
“อย่างเธอเนี่ยนะ ยอมรับนัดกินข้าวกับแหล่งข่าว”
มีคณาไม่สู้ตารีบเซฟงานปิดเครื่องไปทันที สาระวารีเดินอ้อมมาข้างๆ วางมือเท้าโต๊ะถาม
“แหล่งข่าวที่ไหนจะมีความสำคัญมากกว่าฉัน ขนาดเธอยอมทิ้งให้เพื่อนที่ไม่ได้เจอกันมานานแสนนาน กินข้าวคนเดียวได้ลงคอ บอกมาเดี๋ยวนี้เลยนะ”
สาระวารีจ้องหน้าดุ มีคณาอ้อมแอ้ม
“ก็สารวัตรหิรัณย์ แหล่งข่าวเรื่องยาเสพติดไงล่ะ ไปล่ะ” มีคณาคว้ากระเป๋าสะพาย จะเลี่ยงไป
สาระวารีมาขวางหน้า จับเพื่อนกดนั่งกระแทกลง
“ยังไปไม่ได้”
มีคณาแหยๆ กรอกตาไปมา กระชับแว่นเข้าดั้ง
“เห็นน้องๆ เมาท์ให้ฟังว่า หมู่นี้เอะอะก็ไปหาข่าวหน่วยนี้ตลอด แล้วตาสารวัตรนี่ก็โทรจิกเธอ เช้ากลางวัน เย็นเลย สารภาพมาซะดีๆ แอบกิ๊กกันใช่มั้ย”
มีคณาตกใจ ปฏิเสธเสียงแข็งทันที
“จะบ้าเหรอวารี ฉันทำงาน”
“เดี๋ยว เดี๋ยว ขอสรุปความเข้าใจอีกที สารวัตรคนนี้ใช่คนเดียวกับที่เธอฟาดเค้า 2 ครั้งซ้อนรึเปล่า”
“ก็ใช่น่ะสิ บอกอให้ฉันหาเรื่องอื่นมาทำสกู๊ปสลับกับข่าวทารุณกรรมเด็กมั่ง กลัวคนอ่านจะเครียด”
“ฉันจะเตือนเธอเอาไว้นะมี่ โบราณเค้าว่า รถไฟ เรือเมล์ ลิเก ตำรวจ เชื่อถือไม่ได้ เจ้าชู้สุดๆ”
“ผู้ชายทุกอาชีพก็เจ้าชู้หมดแหละ ขนาดไม่มีอาชีพยังไม่เจียมตัวเลย ขึ้นชื่อว่าผู้ชายก็ต้องระวังทั้งนั้นแหละ”
สาระวารีเงียบไปเล็กน้อย แม้จะรู้ปมชีวิตของเพื่อนบ้าง แต่ไม่ละเอียดทั้งหมด ปกติมีคณาไม่ใช่คนที่ชอบเล่าเรื่องส่วนตัวให้ใครฟังมากมายอยู่แล้ว
“ฉันไปได้แล้วใช่มั้ย เค้ามานั่งรออยู่ที่ล็อบบี้นานแล้ว”
มีคณาจะเดินเลี่ยงไป สาระวารีฉุกคิด
“เดี๋ยว...”
มีคณาหันมองสาระวารี
“ฉันขอพิสูจน์อะไรหน่อยสิ”
มีคณามองหน้าเพื่อน ด้วยสีหน้าสงสัย สาระวารีอมยิ้มเจ้าเล่ห์อย่างมีแผนการบางอย่างในใจ
สารวัตรหิรัณย์ในชุดนอกเครื่องแบบ นั่งเล่นเกมส์ในโทรศัพท์มือถือฆ่าเวลาอยู่ที่โซฟารับแขกที่ล็อบบี้สยามสาร สาระวารีที่ยืนอยู่ข้างมีคณาแอบซุ่มมองอยู่ที่มุมตึก
“หน้าตาคุ้นๆ เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน”
“จะพิสูจน์อะไรก็รีบทำซะสิ เค้ามีงานต้องไปทำต่อ”
“กินข้าวกลางวันกับเธอเนี่ยนะงาน”
มีคณาได้แต่ถอนใจออกมา ขี้เกียจพูดมาก เดี๋ยวเข้าตัว สาระวารีมองด้วยสายตาอคติ
“หน้าตาเหมือนตำรวจที่ไหนล่ะ...เดี๋ยวเธอคอยดูให้ดีนะมี่ ฉันจะเผยธาตุแท้ของผู้ชายคนนี้ให้เธอเห็น ก่อนเธอจะหลวมตัวหลวมใจไปกันใหญ่”
สาระวารีจัดแจงเสื้อผ้าให้เข้าที่ดูเซ็กซี่ สูดหายใจลึกแอ๊บจากข้างใน แล้วเดินกรีดกรายทำตัวเป็นสาวเซ็กซี่ออกไปจากที่ซ่อน มีคณาได้แต่หลบมุม แอบมองตามเพื่อนไป ลึกๆก็อยากรู้เหมือนกัน
หิรัณย์นั่งเล่นเกมส์ในโทรศัพท์มือถืออย่างเมามัน สาระวารีนั่งลงข้างๆ ใกล้ชิดเกินไปนิด เขารู้สึกแปลกๆ เหล่มองเล็กน้อย ดูระวังตัวขึ้น
สาระวารีไขว่ห้าง ทำสีหน้าท่าทาง แววตาเซ็กซี่ใส่ ดูเชิญชวนเล็กน้อย
“สวัสดีค่ะ”
หิรัณย์ยิ้มฝืนๆตอบไป
“สวัสดีครับ”
สาระวารีเท้าคาง เอียงคอมอง หูตาแพรวพราว อ่อยๆ
“มารอใครเหรอคะ เห็นนั่งรออยู่นานสองนานแล้ว”
หิรัณย์นิ่งไปเล็กน้อย ปั้นยิ้ม ถามย้อนกลับไป
“แล้วคุณมารอใครล่ะครับ”
สาระวารีส่งสายตาเจ้าชู้
“รอคนที่ใช่น่ะค่ะ”
สาระวารีวางมือบนตักหิรัณย์เบาๆ มีคณาแอบมองอยู่มุมตึก...เธอตกใจมาก ยกมือขึ้นปิดปากที่เห็นเพื่อนแตะเนื้อต้องตัวขนาดนั้น
“แล้วเจอรึยังล่ะครับ”
หิรัณย์จ้องตาสาระวารี ส่งสายตาเจ้าชู้คืน เธออมยิ้ม พอใจที่เหยื่อติดเบ็ด จ้องตา
“ยังไม่แน่ใจจนกว่าจะได้พิสูจน์”
สาระวารีทำปูไต่ขาหิรัณย์ไปมาเบาๆ
“พิสูจน์ยังไงครับ”
“ไปคุยกันต่อที่ห้องแอปเปิ้ลดีกว่าค่ะ”
สาระวารีถือวิสาสะจับมือหิรัณย์ดึงลุกขึ้นจะพาเดินไป
ไม่คาดคิด … หิรัณย์ล้วงมือไปคว้ากุญแจมือจากในแจ็คเก็ตมาล็อคข้อมือสาระวารีทันที
สาระวารีตกใจมาก
“มาจับฉันทำไม”
“ผมตามมานานแล้ว พวกค้าบริการแอบแฝง”
มีคณาตกใจมาก รีบวิ่งออกจากที่ซ่อน
“กล้าดียังไงมาว่าฉันแบบนี้ ฉันเป็นนักข่าวของสยามสารนะยะ”
“ทำไซด์ไลน์ก็ผิดกฎหมายอยู่ดีครับ”
สาระวารีโกรธจนปากคอสั่น
“ปากเสีย”
มีคณารีบวิ่งเข้ามาขวาง
“สารวัตรคะ นี่เพื่อนฉันเองค่ะ”
หิรัณย์อึ้งไปเล็กน้อย สาระวารีหน้าตาโกรธมาก ถลึงตาใส่หิรัณย์
“วารีไม่ได้เป็นอย่างที่สารวัตรคิดหรอกนะคะ เธอแค่อยากจะทดสอบคุณให้แน่ใจเท่านั้นเอง ปล่อยวารีก่อนเถอะค่ะ คนมองกันใหญ่แล้ว”
หิรัณย์หน้าดุ หยิบกุญแจออกมาก่อนไขแล้วตักเตือน
“ทีหลังอย่าเล่นอะไรไม่เข้าท่าแบบนี้อีก”
มีคณายกมือไหว้ สีหน้าแหยปนจ๋อย
“ฉันขอโทษแทนเพื่อนด้วยนะคะสารวัตร”
สาระวารีจ้องหิรัณย์เขม็งอย่างเจ็บใจ มีคณาใช้สายตาดุใส่เพื่อน จนเพื่อนแอบเจื่อนไปเหมือนกัน
“นี่สารวัตรหิรัณย์” มีคณาแนะนำ
หิรัณย์ยิ้มมารยาทให้สาระวารี
“ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณแอปเปิ้ล”
สาระวารีเจ็บใจที่หน้าแตก แผนพัง สะบัดหน้าพรืดเดินฉับๆ กลับไป มีคณาได้แต่ยิ้มแหย กระชับแว่นเข้าดั้งไปมาเพื่อนทำน่าอายมาก
สาระวารีเห็นหิรัณย์เปิดประตูรถให้มีคณาขึ้นไปนั่งหน้า เธอแอบมองตามมีคณาไปด้วยความเป็นห่วง พลางพูดพึมพำ
“อย่าหวังเลยว่า จะหลอกเพื่อนฉันสำเร็จ”
หิรัณย์ยิ้มแย้มแจ่มใสรีบเดินอ้อมไปขึ้นฝั่งคนขับอย่างกระตือรือร้น
สาระวารีจับตามองตามไปอย่างระแวง
“ฉันจะต้องฉีกหน้ากากนายให้ได้ ไอ้หน้าหนวด”
บรรยากาศเกาะยานกยามค่ำคืน ษมากำลังเซ็นเอกสารอยู่ในห้องทำงาน โดยมีพิพัช และจันเลา ยืนอยู่ใกล้ๆ หลังเซ็นเสร็จ พิพัชก็รับแฟ้มเอกสารกลับมา
“พรุ่งนี้จะขึ้นฝั่งไปเอาเสบียงใช่มั้ย”
“ครับ คุณษมาอยากได้อะไรเพิ่มรึเปล่าครับ”
ษมายิ้มเล็กน้อย
“ฉันอยากได้ต้นการะเกดมาปลูกที่เกาะหน่อย ถ้าพอหาได้ ก็หาให้ฉันด้วยนะ”
พิพัช และจันเลาหันไปมองหน้ากันแบบงงๆ พิพัชถามอย่างแปลกใจ
“คุณษมานึกยังไง ถึงอยากปลูกต้นการะเกดครับ”
ษมาตีหน้าตาย
“ก็ไม่ได้นึกอะไร ฉันก็ชอบต้นไม้ไทยๆอยู่แล้วนี่ ก็แค่นึกอยากจะปลูกขึ้นมาเท่านั้นเอง”
ษมาทำเฉไฉ หันไปดูข้อมูลจากคอมพิวเตอร์เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จันเลาและพิพัชต่างมีสีหน้าติดใจสงสัยบางอย่าง
ในเวลาต่อเนื่องมา ลำแพงกำลังปิดประตูหน้าต่างภายในบ้าน ตรวจความเรียบร้อย พิพัชและจันเลาเดินคุยกันออกมา
“คุณษมาเนี่ยนะ ชอบต้นไม้ไทยๆ ชอบตั้งแต่เมื่อไหร่ ฉันไม่เห็นรู้เลย”
“เจ้านายอยากได้ เราก็ไปหามาให้ ไม่เห็นต้องสงสัยอะไรมากเลย” จันเลาบอก
ลำแพงได้ยินไม่ถนัดนัก
“คุณษมาอยากได้อะไรเหรอ”
“ต้นการะเกด คุณอยากได้มาปลูก” จันเลาว่า
ลำแพงอึ้งไป สีหน้าแววตาไม่พอใจขึ้นมาให้เห็น
“แปลกดีนะคุณลำแพง ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นคุณษมาสนใจต้นหมากรากไม้เลย อยู่ๆ นึกอยากจะปลูกขึ้นมาซะงั้น แถมเจาะจงว่าต้องเป็นต้นการะเกดซะด้วย” จันเลายักไหล่อย่างงงๆ
ลำแพงขบกรามแน่นด้วยความหึงหวง สีหน้าชิงชัง
“ไม่เห็นจะแปลก ขนาดเกลียดนักข่าวยังพานักข่าวขึ้นเกาะมาได้เลย”
จันเลายิ้มๆ
“ก็จริง”
“แล้วก็รู้ประดับสมองเอาไว้ซะด้วย ว่าชื่อแม่นักข่าวสาระวารีนั่น แปลว่าดอกการะเกด”
จันเลาและพิพัชอึ้งไป และเข้าใจได้ทันที จันเลาอมยิ้ม กระเซ้า
“แล้วคุณแม่บ้านไปรู้ได้ไง”
ลำแพงหลุด
“เปิดพจนานุกรมในห้องทำงานคุณษมาดูก็รู้ คนอะไรชื่อประหลาด สาระวารี” ลำแพงเหยียดปากอย่างหมั่นไส้ จันเลาเห็นท่าทางหวงษมาจนออกนอกหน้าของลำแพง แล้วกลั้นยิ้มเอาไว้
“ตัวไม่อยู่ ปลูกต้นไม้ไว้ดูต่างหน้าก็ยังดีเจ้านายพวกเธอ ชักจะเพ้อเจ้อไปใหญ่แล้ว”
ลำแพงสะบัดหน้าพรืดเดินหัวเสียกลับเข้าไปด้านใน พิพัชถอนใจอย่างเซ็งๆ จันเลาพูดขำๆ
“ท่าทางเจ้านายเราจะตกหลุมรักคุณวารีจริงๆซะแล้วล่ะ”
พิพัชไม่ขำด้วย เดินหน้าเซ็งนำออกไปจากบ้าน เขายังไม่ไว้ใจสาระวารีอยู่ดี
เวลาเช้า ภายในห้องนอน โทรศัพท์มือถือของเธอกำลังส่งเสียงเรียกเข้าอยู่ สาระวารีในชุดนอนสภาพงัวเงีย หงุดหงิดตะปบโทรศัพท์มือถือขึ้นรับสาย
“คุณอีกแล้วเหรอ จะจองเวรฉันไปถึงไหนเนี่ย”
ษมากำลังเดินคุยโทรศัพท์มือถืออยู่ที่ชายหาด ษมายิ้มแย้ม
“โมโหแต่เช้า เค้าว่าจะแก่เร็วนะคุณ”
สาระวารีหงุดหงิด
“ช่างฉันเถอะ ฉันจะนอน”
"ตื่นแต่เช้าดีต่อสุขภาพมากกว่านะ นอกจากสมองจะแจ่มใสแล้ว ระบบการทำงานอย่างอื่นของร่างกาย.."
"พอๆๆ ฉันตื่นแล้ว"
ษมายิ้มขำๆ
"คุณตื่นก็ดีแล้ว อีก 3 วันเจอกันนะวารี"
ษมากดวางสาย ก่อนจะหันไปทางทะเลแล้วสูดลมหายใจเข้าลึกๆอย่างสดชื่น สาระวารีส่งเสียงหงุดหงิดออกมาก่อนเดินกระฟัดกระเฟียดไปเข้าห้องน้ำ
ตอนสาย สาระวารีเดินบ่นงึมงำไปมาขณะเดินผ่านโต๊ะทำงานมัทนา
“ยังง่วงอยู่เลย โทรมาปลุกอยู่ได้ ว่างมากนักรึไงเจ้าพ่อขี้นก”
เธอเดินเลยโต๊ะมัทนาที่กำลังนั่งถอดเทปอยู่ สาระวารีหยุดกึก เดินถอยหลังกลับมา
“มัท กลับมาเงียบๆนะจ๊ะ”
มัทนาดีใจ กดปิดเครื่องอัดสัมภาษณ์ ปั้นยิ้มแย้มให้
“พี่วารี มัทมีขนมกับผ้าบาติกมาฝากพี่วารีด้วย”
มัทนาหยิบถุงใส่ของฝากที่วางไว้ข้างโต๊ะขึ้นมาให้ เธอรับไว้
“ขอบใจจ้ะ พี่ก็มีของฝากจากเกาะมาให้เราเหมือนกันอยู่ที่โต๊ะแน่ะ”
“ขอบคุณค่ะ”
“เจอป้ามี่รึยัง วันๆหาตัวไม่เจอเลย เอะอะไปขลุกอยู่หน่วยปราบปรามยาเสพติดตลอด ไม่รู้ไปติดใจอะไรนักหนา”
มัทนายิ้มๆบอก
“เห็นพี่มี่บอกว่าจะทำสกู๊ปอะไรซักอย่างนี่ล่ะค่ะ”
“แล้วงานสัมภาษณ์เราเป็นไงบ้าง”
“ก็ไม่เลวค่ะ” มัทนารีบตัดบท ไม่อยากโดนซักเยอะ
“แล้วคุณษมายอมให้พี่สัมภาษณ์แต่โดยดีรึเปล่าคะ”
สาระวารีดูเหมือนจะเขินอายเล็กน้อยแปลกๆ ก่อนตอบ
“ก็ยอม พี่ได้ไปดูเกาะที่เค้าจะสร้างด้วยนะ ถ้ามัทกับมี่ไปคงชอบ เกาะเล็กๆ มีน้ำตก ดอกไม้แปลกๆ ทะเลก็สวย” แล้วเธอก็หน้าเบ้เล็กน้อยก่อนพูดต่อ
“แต่แย่หน่อยตรงที่เค้าขออ่านต้นฉบับก่อนจะตีพิมพ์”
“จบข่าวกันเลย อย่างพี่วารีไม่ยอมแน่ ๆ ใช่มั้ยคะ”
สาระวารีตอบไม่เต็มเสียง ผิดจากคนเดิม
“ก็ต้องยอมบ้างไรบ้างแหละ”
มัทนาอึ้งปนแปลกใจ จ้องหน้าเพื่อนรุ่นพี่ เธอรีบหลบตา ทำอารมณ์เสียกลบ
“ก็เค้าจะตามขึ้นมาอ่านถึงที่นี่ พี่จะไปห้ามได้ไงล่ะ บอกอก็อยากได้ข่าวซะ”
มัทนาอ้าปากจะถามต่อ แต่เธอรีบชิงปิดการสนทนา
“งั้นพี่ไปโต๊ะก่อน มีข้อมูลต้องค้นเพิ่มจมเลย กลางวันค่อยไปเมาท์กันที่ร้านเจ๊”
สาระวารีรีบเดินหนีไปเลย กลัวโดนซัก
มือถือสมาร์ทโฟนในมือมีคณาถูกยื่นไปข้างหน้า เพื่อถ่ายภาพรวมสามสาวอยู่บริเวณหน้าลิฟท์
สามสาวฉีกยิ้มค้าง มีคณาไม่กดถ่ายซักที
“ป้ามี่ ถ่ายเป็นรึเปล่า” สาระวารีถาม
“ก็มันยังไม่ชิน”
“มัทถ่ายให้ค่ะ”
มัทนาไปเอามือถือจากมีคณามาตั้งถ่าย ทั้งสามสาวต่างเล็งมุมกันใหม่ มัทนาเปลี่ยนมาอยู่หน้าสุด
แล้วลังเล เปลี่ยนใจ ยิ้มแหย ขอร้อง
“พี่วารีอยู่หน้าสุดได้มั้ย เดี๋ยวมัทหน้าใหญ่”
“โอ๊ย เรื่องมากกันจริง จะได้กินข้าวมั้ยเนี่ย”
ไชยวัฒน์เดินมาที่ลิฟท์พอดี สามสาวพูดพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
“บอกอขา” ทั้งสามสาวต่าง ชะงักหันมองหน้ากัน
ไชยวัฒน์กระเซ้า
“ประสานเสียงกันเลยเชียว จะให้ช่วยถ่ายรูปให้ใช่มั้ยล่ะ”
“ค่ะ รบกวนด้วยนะคะบอกอ” มีคณาบอก
มัทนาเอามือถือไปให้ไชยวัฒน์
“เราจะใช้เป็นรูปโพรไฟล์แก๊งสามทหารเสือสาวของเราน่ะค่ะ”
“ได้เลย แอ๊ดผมเข้ากลุ่มด้วยคนสิ”
“แล้วจะเมาท์ใครล่ะคะ” สาระวารีถาม
ไชยวัฒน์มองเหล่ สาระวารีขำๆรีบเปลี่ยนเรื่อง
“เอามุมนี้ค่ะ แบ็คกราวนด์ สีสดๆ หน่อย”
สาระวารีจัดแจงลากเพื่อนๆไปรวมก้อนกันที่หน้ากำแพงสีสดใส ทุกคนโพสท์ท่ายิ้มแย้มแจ่มใสให้ไชยวัฒน์ถ่าย
ไชยวัฒน์กดถ่ายให้ ยิ้มๆ แซว
“แอ๊บกินกันไม่ลงเลย”
สาระวารีฉุกคิด
“อุ๊ย ขออีกรูปค่ะบอกอ ทหารเสือสาวต้องดุๆ ถึงจะถูก … ทุกคนทำหน้าให้ดุที่สุดเลยนะ”
“ไม่ต้องก็ได้วารี” มีคณาบอก
“ยัยป้า อย่ามาเรื่องมาก จะเข้ากลุ่มมั้ย”
มีคณาหน้าจ๋อย
“ก็ได้”
“เอ้า ทุกคนพร้อม ทำหน้าเสือสาวจอมโหด”
สามสาวพยายามตั้งท่า มีสาระวารีดุสุด อีกสองสาวยังดูอายๆ
“มัทกับมี่..เสือนะไม่ใช่แมว” ไชยวัฒน์ขำออกมา
มัทนาเขิน
“บอกออ้ะ”
มีคณาเขินๆ กระชับแว่นเข้าดั้ง ไชยวัฒน์ยิ้มๆ
“เอาใหม่ 1 2 3 เหี้ยม”
ภาพหมู่สามสาวทำหน้าตาดุดันสมชื่อแก๊งสามทหารเสือสาว
มนต์จันทรา ตอนที่ 6 (ต่อ)
เวลากลางวัน ที่ร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อ เด็กเสิร์ฟกำลังลวกลูกชิ้นและเนื้อสดปริมาณเยอะในหม้อน้ำต้มซุปก่อนจะเอามาเทใส่ชามก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็ก เจ๊คนขายเดินโวยมาแต่ไกล
“ตายแล้วๆ โชคดีที่อั๊วฉี่ไม่ออก...”
เจ๊รีบเข้ามาคีบลูกชิ้นและเนื้อสดออกไปใส่อีกชาม แล้วใช้ตะเกียบชี้ใส่ตัวเองถามเด็กเสิร์ฟ
“นี่ใคร”
“เจ๊นิด”
เจ๊เสียงดุ ตาเขียว
“ชื่อเต็ม นิดอะไร”
เด็กเสิร์ฟตอบด้วยความแหยปนกลัว
“เจ๊นิดเดียว”
“ถูก เนื้อนิดเดียว เส้นเยอะๆ จำเอาไว้”
เจ๊ตักน้ำลวกใส่เลือดคลุกๆเทราดใส่ชาม
“เอาไปเสิร์ฟ ไปให้พ้นๆเลย เดี๋ยวค่าแรงลื้อจะเหลือนิดเดียว”
เจ๊นิดเดียวชายหางตามองค้อนตามเด็กเสิร์ฟที่ยกชามก๋วยเตี๋ยวไป... ก่อนจะเลี้ยวไปที่โต๊ะสามสาว
สาระวารีหัวโจกของกลุ่มเริ่มเล่าเรื่องไปทำข่าวเป็นคนแรก มัทนาและมีคณานั่งฟังกันตาแป๋ว
“ตอนแรกก่อนไปก็คิดว่า นี่งานหินชัดๆ คงคว้าน้ำเหลวกลับมาแน่ๆ แต่เอาเข้าจริงๆ ก็ไม่ยากอย่างที่คิดเอาไว้สัมภาษณ์ตามเก็บได้ทั้งหมด ทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับการเปิดบ่อน แม้แต่ตัวเจ้าพ่อใหญ่”
สาระวารีชะงักไปเล็กน้อย แอบเหยียดปากหมั่นไส้ เมื่อต้องเอ่ยชื่อหนุ่มใหญ่คนนี้
“ไม่น่าเชื่อว่าเค้าจะยอมให้สัมภาษณ์ง่ายๆ เน๊อะ” มัทนาบอก
“ก็ไม่น่าเชื่อพอๆกับดาราใหญ่แหล่งข่าวของเธอแหละมัท”
มัทนาดูจ๋อยๆ ไปเล็กน้อย
“จะว่าไปฉันก็โชคดีหลายอย่างนะ มีทั้งเพื่อนคอยแนะนำให้ไปเจอแหล่งข่าว แถมแหล่งข่าวใหญ่ยังเคยรู้จักกันเมื่อสิบกว่าปีก่อนด้วย”
“เคยเจอกันที่ตราดเหรอ”
“ใช่ ที่บ่อนเล็กๆ กลางตลาด คุณษมาเค้าเล่นได้เยอะ ถูกนักเลงคุมบ่อนตามตี ฉันไปตามตำรวจมาช่วยไว้ได้ทัน เค้าเลยจำฉันได้แม่น พอไปทำข่าว สยามสารก็เลยได้สิทธิ์พิเศษได้สัมภาษณ์เป็นเจ้าแรก ได้ข้อมูลแบบเอ็กซ์คลูซีฟสุดๆ เสียอย่างเดียว เจ้าพ่อท่านไม่ยอมให้ถ่ายรูปซะงั้น”
เด็กเสิร์ฟยกก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็กเนื้อน้ำตกมาเสิร์ฟให้ที่ข้างๆสาระวารี และ ก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่น้ำข้นลูกชิ้นให้มัทนา... ยังเหลือมีคณายังไม่ได้อยู่คนเดียว
“ได้แค่นี้ก็นับว่าดีมากแล้วล่ะวารี” มีคณายิ้มน้อยๆแล้วพูดต่อ
“ใครจะไปคิดว่าเจ้าพ่อที่เก็บตัวนักหนาจะมีบุญคุณค้างอยู่กับนักข่าว สาวสวยอย่างเธอ งานที่คิดว่ายากเลยง่ายไป”
สาระวารีเหล่มองเพื่อน ระแวงว่า พูดแซวเพราะจับได้ หรือจะพูดไปตามปกติ ก่อนที่อะไรจะหลุดกลางวงก๋วยเตี๋ยว ขอตัดบทดีกว่า
“จบข่าว”
“อ้าว ไปตั้งนาน มีเล่าแค่เนี้ย” มัทนาว่า
“เออ แค่นี้แหละ หิวแล้ว...
สาระวารีเลื่อนชามก๋วยเตี๋ยวมาปรุงแล้วถาม
“ถึงคิวแกแล้วมี่ แฟชั่นการกุศลเป็นไงมั่ง เงียบกริบไม่เล่าให้เพื่อนฟังเลย มีอะไรรึเปล่า”
มีคณาหลบสายตา ปฏิเสธเสียงแหลมทันที
“ไม่มี”
มีคณาใช้ปลายนิ้วแตะขอบแว่นตาเหมือนจะขัดเขิน ทำเป็นหันไปสั่งอาหารเด็กเสิร์ฟแทน
“ลืมบะหมี่แห้งของพี่รึเปล่าจ๊ะ” มีคณาพูดพลางกรอกตาไปมาเล็กน้อย
ผ่านเวลาเล็กน้อย สาระวารีกินไม่ลงแล้ว วางตะเกียบ ยกมือขึ้นเท้าคาง พูดเปรยๆขึ้นมา
“สิบกว่าวันนี่ก็นานเหมือนกันนะ”
ทั้งมัทนาและมีคณาต่างชะงัก คิดตาม สาระวารีถอนใจยาวออกมา เหลือบตามองเพื่อนๆ
“ในที่สุดก็ไม่มีเรื่องอะไรสนุกๆ มาเล่าให้กันฟังเลยว่ามั้ย”
สามสาวต่างสบตากันไปมา ต่างคนต่างรีบหลบสายตากลัวเพื่อนจะจับพิรุธได้..จิบน้ำ เช็ดปาก รวบช้อน หาอะไรทำไปเรื่อยดีกว่าสบตาเพื่อน
เสียงส่งข้อความผ่านwhatsapp ดังขึ้น
สามสาวรีบหยิบสมาร์ทโฟนของตนมาดูพร้อมๆ กัน แต่เป็นข้อความส่งถึงสาระวารี เธอกดตอบไป แต่ก็แอบเหล่มองมัทนาและมีคณาที่ต่างวางโทรศัพท์มือถือลง ทั้งคู่มีสีหน้าแอบผิดหวังเล็กน้อย
สาระวารีมีสีหน้าใช้ความคิดบางอย่าง แล้วก็พิมพ์ข้อความส่งไป
เสียงส่งข้อความผ่านwhatsapp ดังขึ้นอีก คราวนี้ดังพร้อมกัน 2 เครื่อง มัทนาและมีคณารีบหยิบโทรศัพท์มาเปิดดู สมาร์ทโฟนเครื่องมัทนา เป็นกลุ่มสามทหารเสือสาว มีรูปโพร์ไฟล์3สาวท่าเสือดุที่ถ่ายหน้าลิฟท์พร้อมข้อความ
“เป็นอะไรกันยะ” ตามด้วยรูปการ์ตูนหน้าบึ้งดุ ถูกส่งมาโดยสาระวารี
มัทนาและมีคณาหน้าจ๋อยปนแหย เหลือบตาขึ้นมองสาระวารี
สาระวารีสูดหายใจลึกรวมความกล้า ก่อนพูด
“เอาล่ะ เราสามคน” เธอกระแอมเล็กน้อย จ้องหน้าเพื่อน พูดต่อ
“เราเล่านิทานหลอกตัวเองกันมาพอแล้วล่ะ ทีนี้มาพูดเรื่องจริงกันดีกว่า เอาความรู้สึกที่มีกับแหล่งข่าวล้วนๆ เลย ตกลงมั้ย”
มีคณาและมัทนาต่างหลบตาสาระวารีมาประสานตากันเองพอดี ต่างรีบหลบสายตาไปอีกทางทันที
สาระวารีนั่งยืด ตัวตรง
“ฉันจะเริ่มก่อน ใครไม่กล้าพูดความจริงไม่ใช่ทหารเสือสาว ออกจากกลุ่มไปเลย”
มีคณาและมัทนาจ๋อยปนแหยๆ หงอๆให้สาระวารี
สาระวารีกลืนน้ำลายอึกใหญ่ เขินเหมือนกันที่ต้องมาสารภาพว่า แอบชอบแหล่งข่าวยังงี้เสียฟอร์มสาวห้าวหมดเลย สาระวารียกมือขึ้นปาดเหงื่อที่หน้าผากไปมาเล็กน้อย
เวลากลางวัน บนเกาะยานก ลำแพงเดินถือถาดใส่แซนด์วิชกับกาแฟเย็นและน้ำเปล่ามาให้ษมา ที่กำลังนั่งอ่านข้อมูลในไอแพดอยู่ในห้องทำงาน
“คุณษมาทานแค่นี้จะอิ่มเหรอคะ ให้ดิฉันทำอะไรมาเพิ่มอีกหน่อยดีมั้ยคะ”
ษมาพูดไปอ่านข้อมูลไป
“ไม่ต้องหรอก ฉันอยากทำงานไปด้วยจะได้ไม่เสียเวลา”
“ช่วงนี้ดูคุณษมาเร่งทำงานจังเลยนะคะ”
“เดี๋ยวฉันต้องขึ้นไปกรุงเทพ ก็เลยอยากสะสางงานที่นี่ให้เรียบร้อยก่อน”
ลำแพงแอบเหยียดปากหมั่นไส้ แขวะ
“คงเป็นธุระสำคัญมากสิคะ”
ษมาเหลือบตามองลำแพง ยังไม่ทันพูดอะไร เสียงเคาะประตูห้องดังขัดขึ้นมาพอดี พิพัชเปิดประตูห้องทำงานเข้ามา
“เรือขนเสบียงมาถึงแล้วนะครับ”
ษมาดีใจ
“ได้ต้นการะเกดมารึเปล่า”
ลำแพงยืนนิ่ง ขบกรามแน่นสะกดความอิจฉา
“ได้ครับ แต่ได้มาแค่ไม่กี่กระถาง แล้วต้นก็ไม่ใหญ่เท่าไหร่นะครับ”
ษมายิ้มดีใจ
“ไม่เป็นไร ให้มาโตที่นี่แหละ”
ษมาลุกออกจากห้องไปดูต้นไม้ด้วยความกระตือรือร้น โดยมีพิพัชตามหลังไป ลำแพงหันขวับมองตาม ด้วยความอิจฉาปนหมั่นไส้สุดๆ พูดลอยๆ ด้วยความเจ็บใจ
“จะปลูกทำไม เดี๋ยวมันก็ตายหมด”
ลำแพงแววตาแข็งกร้าว ชิงชัง
กูซอ แลง และคนงานกำลังช่วยกันขนเสบียงลงจากเรือ ทั้งของกิน ของใช้เต็มไปหมด ษมากำลังยืนคุยกับพิพัช และจันเลาอยู่ใกล้ๆ คนงานขนกระถางใส่ต้นการะเกด 2-3 กระถางลงจากเรือ
“คุณษมาจะให้เอาต้นไม้ไปลงตรงไหนครับ”
ษมาเดินเข้าไปดูต้นการะเกด สีหน้าใช้ความคิดเล็กน้อย
“ที่จริงอยากปลูกแถวห้องทำงาน แต่เอาไปตั้งให้ต้นไม้ปรับสภาพก่อนแล้วกันค่อยเอาลงดิน”
“ได้ครับ” จันเลารับคำ ก่อนหันไปสั่งคนงาน
“ตามมาทางนี้เลย”
คนงานยกกระถางต้นการะเกด เดินตามจันเลาไป แต่พอคล้อยหลังษมาไปนิดเดียว ก็ทิ้งต้นการะเกดลงกับพื้น แล้วชักมีดหันกลับไปแทงใส่ษมาทันที แลงเหลือบไปเห็นเข้า ก็ตกใจสุดๆ
“คุณษมา ระวังครับ”
ษมาหันกลับไป จังหวะเดียวกับที่คนงานแทงมาพอดี
ปลายมีดห่างจากท้องษมาเพียงแค่ฝ่ามือกั้น แต่ไม่สามารถแทงต่อไปได้ เพราะษมาจับข้อมือของคนงานเอาไว้ได้ทัน พิพัชชักปืนออกมาจ่อเล็งคนงานทันที
คนงานทิ้งอาวุธไม่กล้าขยับ ได้แต่มองษมาด้วยความหวาดกลัว ษมาตรงเข้ากระชากคอเสื้อคนงาน “ใครใช้แกมา”
คนงานมีสีหน้าหวาดกลัวมาก แต่ปิดปากเงียบ
ผ่านเวลาซักครู่ จันเลาและแลงมารายงานษมาที่นั่งหน้าเครียดที่โถงบ้าน
“มันยอมพูดมั้ยว่าใครใช้มันมา”
“ไม่ยอมครับ ตอนนี้พิพัชกับกูซอคุมตัวมันไปแจ้งความแล้วครับ เสียดายคุณษมาไม่ยอมให้เราทรมานมัน รับรองมันต้องยอมเปิดปากพูดแน่ๆ”
ษมายกมือห้าม
“ฉันไม่ชอบวิธีการรุนแรงแบบนั้น ส่งไปให้ตำรวสอบปากคำน่ะดีแล้ว”
“มันเพิ่งมาสมัครเป็นคนงานวันนี้เองครับคุณษมา ช่วงนี้คนขาด ผมก็เลยรับเข้ามา กะให้ลองงานซักสองสามวันก่อน ไม่คิดว่ามันจะ...” แลงบอก
จันเลาสวนขึ้นด้วยความแปลกใจ
“อ้าว นึกว่าญาติของแกซะอีก”
แลงรีบปฏิเสธ
“ไม่ใช่ครับ เห็นมันซื่อๆ น่าสงสาร ผมก็เลย”
ษมายกมือห้ามตัดบท
“ต่อไปจะรับใครเข้าทำงานที่นี่ต้องรอบคอบกว่านี้ จะชุ่ยแบบนี้อีกไม่ได้ ยิ่งคาสิโนใกล้เสร็จ คนไม่หวังดีกับเรามันมาได้ทุกรูปแบบ”
แลงหน้าจ๋อยๆรู้สึกผิด
“ครับคุณษมา”
“ยังไงก็ขอบใจแกมากนะแลง แกช่วยชีวิตฉัน2ครั้งซ้อนแล้ว คนซื่อสัตย์อย่างแก เดี๋ยวนี้ไม่ได้หาง่ายๆ”
แลงยิ้มรับอย่างปลื้มใจ
“ฉันมีรางวัลให้ เดี๋ยวจะฝากไว้กับทางลำแพงก็แล้วกัน”
แลงยกมือไหว้ ดีใจมาก
“ขอบคุณครับนาย”
จันเลารู้สึกผิด
“ผมขอโทษนะครับ ที่ทำงานบกพร่อง ไม่สามารถคุ้มกันนายได้ เกือบทำให้นายได้รับอันตรายแล้ว”
“ช่างเถอะ ถือเป็นบทเรียนอีกครั้ง ต่อไปต้องระวังให้มากขึ้นกว่าเดิม”
“ครับ...เอ่อ แล้วนายคิดว่าเป็นฝีมือใครครับ”
ดิตถ์มาพบโศภีกำลังคุยกันที่โถงบ้านโศภี
“หาคุกให้ผมอีกแล้วคุณโศ”
“ไม่ใช่ฝีมือนายจริงๆ เรอะ” โศภีพูดอย่างระแวง
“เห็นผมโง่ขนาดนั้นเลยเหรอครับคุณโศ จะเก็บคนรอบจัดอย่างไอ้ษมา มันต้องวางแผนรอบคอบ มีชั้นเชิงกว่านั้นเยอะ” ดิตถ์กรอกตาไปมา อย่างมีพิรุธเล็กน้อย
“ก็ไม่แน่ มันอาจจะตายน้ำตื้นก็ได้”
“เปอร์เซ็นต์ต่ำครับ”
โศภีจ้องหน้าดิตถ์
“ฉันชักสงสัยแล้วสิ ข่าวกรองของนายทำไมถึงรวดเร็วแม่นยำขนาดนี้ เกิดอะไรขึ้นที่ยานกหรือพระฮาม นายต้องรู้เรื่องก่อนใครเพื่อน”
ดิตถ์ยิ้มตอบ
“คนเรามีดี ไม่จำเป็นต้องโอ้อวดนี่ครับ ผมบอกคุณโศแล้วไง ว่าคุณเลือกจับมือกับคนไม่ผิดหรอก ไม่มีใครจะรู้การเคลื่อนไหวของไอ้ษมาดีเท่าผมอีกแล้ว”
โศภีเหยียดปากหมั่นไส้เล็กน้อย
“ว่าแผนการของนายมาเลยดีกว่า”
“ตอนนี้โอกาสเข้าข้างพวกเราแล้ว อีกไม่กี่วันมันจะเข้า กรุงเทพ ไปหานังนักข่าวนั่น รอเก็บมันที่กรุงเทพน่าจะง่ายกว่าเกาะส่วนตัวของมัน” ดิตถ์ยิ้มเจ้าเล่ห์อย่างมั่นใจ
“เก็บมันพร้อมกับอีนักข่าวนั่นเลยยิ่งดี”
โศภีมีสีหน้าชิงชังฝังแค้น
รถยนต์หรูคันหนึ่งขับเข้ามาจอดที่หน้าบ้านสาระวารีตอนหัวค่ำ สาระสะมาลงจากรถ กัปตันเครื่องบินเป็นคนขับรถ เขารีบกุลีกุจอลงจากรถแล้วไปเปิดท้ายรถ เพื่อขนกระเป๋าเดินทางให้สาระสะมา ซึ่งเป็นแอร์โฮสเตส
“ขอบคุณมากค่ะกัปตัน”
กัปตันยิ้มกรุ้มกริ่มบอก
“ขอบคงขอบคุณอะไรกันครับ สำหรับซาร่า ผมเต็มที่อยู่แล้วล่ะครับ”
เสียงสาระวารีแดกดันเข้ามา
“มีฝรั่งที่ไหนหลงมาด้วยไม่ทราบ”
ทั้งสองคนหันมองสาระวารีในชุดอยู่กับบ้านยืนหน้าหงิกอยู่ด้านในรั้ว
กัปตันตกใจ หันมองทั้งคู่ด้วยความตกใจ ที่หน้าตาเหมือนกันเปี๊ยบ สาระสะมายิ้มแย้ม
“ชื่อเราเองแหละวารี ผู้โดยสารต่างชาติเค้าอ่านชื่อเราไม่ถนัด เลยเรียกว่าซาร่า ก็เลยติดปากกันทั้งเครื่อง”
สาระวารีเปิดประตูรั้วออกมา
“ถ้าอยู่บนเครื่องจะเรียกนายว่าซาร่าก็เรียกไปเถอะ แต่ลงเครื่องแล้วเรียกแบบเดิมดีกว่า เรียกซาร่า มันดูดัดจริต”
สาระวารีหันไปจ้องหน้า กัปตันถึงกับหน้าแหยไป สาระสะมารีบแนะนำแก้ความอึดอัด
“นี่กัปตันพิเชษฐ์จ้ะวารี”
สาระวารีเดินวนรอบๆตัวกัปตันช้าๆ พร้อมกับมองหัวจรดเท้าอย่างสำรวจละเอียด
“เป็นกัปตันเครื่องบิน ก็อายุไม่น้อยแล้วนี่ แต่งงานรึยัง มีลูกกี่คน อยู่คนเดียวหรืออยู่กับพ่อแม่ แม่หวงลูกชายมากรึเปล่า”
กัปตันอึ้งไปที่โดนยิงคำถามเป็นชุด สาระสะมายิ้มแหย เกรงใจไปมา
“เอ่อ กัปตันคะ คือน้องสาวเป็นนักข่าวน่ะค่ะ ก็เลยติดนิสัยช่างซักมา”
“อ๋อ ครับ เอ่อ งั้นผมกลับก่อนนะครับซา... เอ๊ย สะมา”
กัปตันยิ้มให้สาระวารีที่ทำหน้าตาบึ้งตึงไม่รับแขก
กัปตันยิ้มเจื่อน รีบขึ้นรถ และขับออกไปทันที สาระสะมามองตาม ก่อนจะหันมาปรามน้อง
“นายไปแกล้งเค้าทำไมเนี่ย”
สาระวารียิ้มสะใจ
“ก็แค่ข่มขวัญไว้ก่อน ดูหน้าก็รู้แล้วว่าพวกหัวงู”
สาระสะมาส่ายหน้า
“ไป เข้าบ้านเถอะ นี่นายกลับมากรุงเทพตั้งแต่เมื่อไหร่”
สาระวารีหน้าขรึมลง
“วันสองวันแล้ว เรามีอะไรบางอย่างมาฝากนายด้วย”
สาระสะมามีสีหน้าสงสัยอยากรู้
ภายในห้องนั่งเล่น สาระสะมากำลังอ่านจดหมายของพ่ออยู่ สาระวารีเดินยกน้ำมาเสิร์ฟให้พี่สาว
“ขอบใจจ้ะ”
สาระสะมาสีหน้านิ่งพับจดหมายคืนให้น้องสาวไป เธอรับจดหมายมา แล้วถามอย่างแปลกใจ
“ทำไมหน้าเฉยนักล่ะ นายไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอ”
สาระสะมายิ้มบาง หน้าขรึม เห็นใจพ่อมากกว่าโกรธ
“มันก็เศร้าแหละ แต่เราไม่เคยสงสัยในความรักที่พ่อมีให้พวกเราอยู่แล้ว แค่พ่อหลงเดินทางผิดก็เท่านั้นเอง”
“สรุปว่าเราสงสัยว่าพ่อไม่รักอยู่คนเดียวงั้นสิ”
“ใช่ ไม่อย่างงั้นนายจะยึดติดเรื่องนี้มาตลอดเหรอ เรารู้นะวารีว่านายรักพ่อมาก นายถึงได้เสียใจกับสิ่งที่พ่อทำไว้มากกว่าใคร”
“แล้วนายล่ะ นายไม่เสียใจบ้างเหรอ”
“เสียใจสิ แต่เรารักพ่ออย่างที่เป็นเค้า เรารู้อยู่แล้ว ว่าพ่อทำได้แค่ไหน แล้วเราก็ไม่เคยคาดหวังมากไปกว่านั้น เราถึงเสียใจน้อยกว่านายไง”
สาระวารีอึ้ง คิดตามที่พี่สาวพูด
“นายเป็นอย่างงี้เสมอเลยนะสะมา นายเข้มแข็งแล้วก็ทำใจรับสิ่งต่างๆได้ดีกว่าเรา มีแต่เราเท่านั้นแหละ ที่ยังจมอยู่กับอดีตไม่เลิก” สาระวารีพูดพลางถอนใจ
สาระสะมายื่นมือมาบีบไหล่น้องสาวเบาๆ อย่างให้กำลังใจ เธอได้แต่ปั้นยิ้มบางๆ คืนพี่สาวไป
ภายในห้องทำงาน ษมากำลังเซ็นเอกสารใบสุดท้ายเสร็จ เขาวางปากกา พักศีรษะพิงไปกับเก้าอี้ อย่างเหนื่อยล้ามาก ลำแพงเคาะประตูห้องก่อนเดินถือแก้วใส่นมเข้ามาให้ษมา ลำแพงสีหน้ายิ้มแย้ม
“นมอุ่นๆค่ะคุณษมา”
ษมายิ้มรับ
“ขอบใจนะ แล้วนี่ยังไม่นอนอีกเหรอ”
“ถ้าคุณษมายังไม่นอน ดิฉันไม่กล้านอนหรอกค่ะ”
“ทำไมล่ะ ฉันไม่ได้ต้องการให้ใครมาคอยรับใช้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงหรอกนะ”
“แต่ดิฉันเต็มใจค่ะ”
“นี่ฉันแทบจะทำอะไรไม่เป็นอยู่แล้วนะลำแพง” ษมาพูดพลางจิบแก้วนมไป
ลำแพงยิ้มแย้มอย่างมีความสุขใจ
“คุณทำงานไปอย่างเดียวพอแล้วล่ะค่ะ เรื่องอื่นปล่อยเป็นหน้าที่ของลำแพงเอง รับรองว่าไม่มีขาดตกบกพร่อง”
ษมายิ้มแย้ม ลดแก้วนมลง
“ฉันไปกรุงเทพอยากได้อะไรรึเปล่า”
ลำแพงหน้าเครียดขึ้นมาทันที
“คุณษมาจะไปหาคุณนักข่าวนั่นล่ะสิ”
“ก็ไปทำงานอื่นด้วย”
ลำแพงพยายามข่มอารมณ์เต็มที่
“คุณษมาอยู่ที่โน่น คงไม่มีใครดูแล ให้ดิฉันตามไปรับใช้ดีมั้ยคะ”
“ขอบใจมากที่เป็นห่วง แต่ฉันไม่อยากรบกวนเธอ กรุงเทพไม่ได้เหมือนบนเกาะยานก อยากจะได้อะไรก็มีทุกอย่าง ฉันไม่ลำบากอะไรหรอก”
ษมาเก็บงานต่างๆ เตรียมเข้านอนอย่างอารมณ์ดี ลึกๆแล้ว เขาดีใจจะได้เจอกับสาระวารี
ลำแพง มีสีหน้านิ่งขรึมไม่แสดงอารมณ์อะไร พยายามกดอารมณ์ตัวเองเต็มที่
สาระวารีนั่งจ้องมือถือตัวเองที่วางอยู่บนโต๊ะอาหารเขม็ง ในตอนเช้าวันใหม่ โดยไม่ยอมแตะต้องกาแฟ ขนมปังบนโต๊ะเลย สาระสะมาเดินถือน้ำผลไม้ออกมา มองน้องสาว ด้วยสีหน้าสงสัย
“เป็นอะไรของนาย ทำไมไม่กินล่ะ”
สาระวารีจ้องมือถือเขม็ง
“กำลังรออยู่”
“รออะไร”
ทันใดนั้นเอง โทรศัพท์มือถือของสาระวารีก็ดังขึ้น หลังดูเบอร์โชว์ ก็ขำชอบใจอย่างผู้ชนะ เธอส่งมือถือให้พี่สาว
“โทรปลุกดีนัก... คุยแทนทีสิ”
สาระสะมางงๆ ถาม
“ทำไมไม่คุยเองล่ะ”
“เหอะน่า คุยให้หน่อย”
สาระสะมากดรับสาย ยังไม่ทันพูด เสียงปลายสายก็ชิงพูดมาก่อน
“ทำไมวันนี้รับเร็วจัง ตื่นเช้ากว่าปกติเหรอครับ”
สาระสะมาสบตาน้องสาวเล็กน้อยก่อนตอบกลับไป
“ผิดเวลาน่ะค่ะ เลยนอนไม่ค่อยหลับ”
สาระสะมาหันไปยิ้มให้น้องสาว สาระวารีชอบใจ กลั้นขำเอาไว้
ษมาคุยโทรศัพท์อยู่ที่ระเบียงบ้านพักบนเกาะ ษมางงๆเล็กน้อย
“ทำงานจนเลยเวลานอนเหรอครับ”
“กลัวคนโทรมาปลุกน่ะค่ะเลยไม่กล้านอน” สาระสะมาหลุดขำๆ ออกมา ษมาฉุกคิด ที่เสียงของเธอแปลกไปเล้กน้อย
“คุณสาระสะมาเป็นคนพูดใช่มั้ย”
สาระสะมายิ้มๆ ตอบกลับไป
“โดนจับได้แล้ว คุณเก่งนะคะ จำเสียงได้เร็ว เพื่อนบางคนคุยเกือบยี่สิบนาที ยังไม่รู้เลย”
“เก่งอาไร๊ นายไม่ตั้งใจหลอกมากกว่า ไม่งั้นจ้างให้พรุ่งนี้ก็ยังไม่รู้หรอก” สาระวารีบอก
“ได้ยินแล้วใช่มั้ยคะ คุยกับเค้าเองนะคะ”
“ไม่เอา ไม่มีอะไรจะคุย”
ษมายิ้มๆ ก่อนตอบกลับไป
“ไม่เป็นไรครับ งั้นฝากบอกเค้าด้วยว่าอีก 2 วันเจอกัน”
“ค่ะ แล้วจะบอกให้ สวัสดีค่ะ”
สาระสะมากดวางสาย แล้วยื่นมือถือคืนให้ สาระวารีรับไป
“คุณษมาฝากบอกว่าอีก 2 วันเจอกัน”
สาระวารีสีหน้าหมั่นไส้
“มาเคานท์ดาวน์ทำไมไม่ทราบ คงคิดว่าตัวเองสำคัญมาก จนใครต่อใครต้องรอเจอตัวงั้นแหละ”
สาระวารีเหยียดปากหมั่นไส้ก่อนจะคว้าเป้มาสะพายเดินไปหน้าบ้าน สาระสะมาสีหน้าติดใจทะแม่งๆมองตามน้องสาวก่อนลุกเดินตามไป
มนต์จันทรา ตอนที่ 6 (ต่อ)
สาระวารีกำลังใส่รองเท้าอยู่หน้าระเบียงบ้าน เตรียมจะไปทำงาน สาระสะมาเดินตามออกมา
“คุณษมาเค้าพูดจาดีนะ ท่าทางเป็นคนน่าคบ”
“นายนี่ก็พูดจาดีกับทุกคนนั่นแหละ แต่ถึงไงเค้าก็เป็นเจ้าพ่อ แล้วก็กำลังจะเป็นเจ้าของคาสิโนยักษ์ใหญ่ด้วย นายคุยกับเค้าแค่ไม่กี่คำ จะตัดสินว่าเป็นคนน่าคบไม่ได้หรอกนะ”
“ถ้าเค้าไม่ใช่คนน่าคบ นายคงไม่ให้ความสนิทสนมถึงขนาดแกล้งแหย่กันเล่นได้แบบนี้หรอก”
สาระสะมาจ้องหน้าน้องสาว
“เราเป็นฝาแฝดกันนะวารี นายปิดเราไม่มิดหรอก มีอะไรเกิดขึ้นบนเกาะที่นายยังไม่ได้เล่าให้เราฟังอีกรึเปล่า”
สาระวารีร้อนตัว พาลกลบเกลื่อน
“นายหัดเป็นคนชอบจับผิดตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่เอา ไม่คุยด้วยแล้ว ไปทำงานดีกว่า”
สาระวารีรีบชิ่งหนีไปทันที สาระสะมามองตามแล้วยิ้มบางๆ พฤติกรรมน้องสาวชักน่าสงสัย
ษมาสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ถือฝักบัวรดน้ำต้นการะเกดขนาดย่อมในกระถางไป ลำแพงเดินมาตามไปทานอาหารเช้า เห็นกำลังรดน้ำต้นการะเกดอย่างใส่ใจ ก็ยิ่งหมั่นไส้ แต่เก็บอาการไว้
“ทานข้าวได้แล้วค่ะ”
“ลำแพงว่าโตแล้ว ต้นมันจะใหญ่ซักแค่ไหน”
“ไม่รู้สิคะ ชอบเลี้ยงผึ้ง ไม่นิยมปลูกต้นไม้...”
ลำแพงชายหางตามองษมา สีหน้าจับผิด
“ชื่อสาระวารีมีความหมายว่า ดอกการะเกดใช่มั้ยคะ”
ษมาหน้าตาย เก็บอาการ
“รู้เหมือนกันเรอะ”
“ค่ะ ดิฉันสงสัย คนอะไรชื่อแปลกๆ อยากรู้ความหมายก็เลยเปิดหาดู นี่คือเหตุผลที่คุณเลือกปลูกต้นนี้ใช่มั้ยคะ”
ษมาได้แต่ยิ้มๆ
“คุณษมาชอบเด็กคนนี้จริงๆเหรอคะ”
ษมาอึ้งๆไป
ลำแพงเตือนสติ
“เธอเข้ามาที่นี่ เข้ามาพัวพันกับคุณก็เพื่อผลประโยชน์ในหน้าที่การงาน สยามสารเป็นเล่มเดียวที่ได้ข่าวคุณ ป่านนี้คงได้โบนัสก้อนโตไปแล้ว”
ลำแพงมีสีหน้าชิงชังปนหมั่นไส้ ษมานิ่งอย่างรับฟัง
“คุณคิดว่ารู้จักเธอดีพอแล้วเหรอคะ”
ษมาตอบนิ่งๆ สีหน้าอมยิ้ม
“ก่อนที่เราจะไปทำความรู้จักใครให้ลึกซึ้ง ก็ต้องเริ่มต้นจากชอบเค้าก่อนไม่ใช่เรอะ”
ลำแพงหน้าชาเหมือนโดนน้ำเย็นจัดราดลงที่กลางหัว แต่เก็บอาการนิ่ง ในใจแทบกระอักระเบิดออกมา
“ฉันไปกรุงเทพ ฝากดูแลต้นไม้ด้วยล่ะ”
ษมาส่งฝักบัวรดน้ำให้ลำแพง
“ค่ะ”
ลำแพงสีหน้านิ่ง สายตาเยือกเย็น ษมาเดินกลับขึ้นบ้านไป ลำแพงแค้นแทบอกระเบิด อยากยกเท้าเหยียบต้นไม้ให้ตายคาเท้า อยากปาฝักบัวรดน้ำทิ้ง แต่ไม่กล้าทำ ได้แต่กำไม้กำมือแน่น หึงหวงเจ้านายสุดๆ
ยามบ่าย โศภีเดินถือถุงช็อปปิ้งในห้างหนึ่งในกรุงเทพ พร้อมกับคุยโทรศัพท์มือถือไปด้วย
“ฉันมาถึงกรุงเทพแล้วนะ จะให้ฉันทำอะไรก็บอก”
โศภีฟังอีกฝ่าย สีหน้าเครียดๆ ก่อนเหลือบตาเห็นสาระสะมาที่เดินหาซื้อของไปมา เธอเข้าใจผิดว่าเป็นสาระวารี เธอเปลี่ยนเป็นสีหน้าชิงชังก่อนรับตัดบท
“แค่นี้ก่อนนะดิตถ์ ฉันเจอนังนั่น ต๊าย ดูสิ ทำตัวเป็นสาวชาวกรุง ใส่กระปงกระโปรง เหมือนลิงไม่มีผิด แค่นี้ก่อนนะ”
โศภีจิกตามองตามสาระสะมาที่เดินเข้าร้านหนึ่งไป โศภีมีสีหน้าแววตาหมั่นไส้ เดินเชิดตามไปหา
สาระสะมากำลังเดินเลือกซื้อเสื้อผ้าอยู่ เธอถูกใจตัวหนึ่งเลยหยิบขึ้นมามาดู โศภีเดินมาหยุดด้านหลัง
โศภียิ้มเหยียด
“รสนิยมดีเหมือนกันนี่”
สาระสะมาชะงักไป ใครก็ไม่รู้ เธอไม่รู้จัก โศภี !
“เคยเห็นแต่งตัวเป็นทอมๆ แต่พอมาอยู่กรุงเทพก็พลิกเป็นสาวหวานเลยนะ”
สาระสะมาสีหน้างง ไม่เข้าใจว่าโศภีพูดอะไร
“ฉันนับถือเธอจริงๆ ทำการบ้านมาดี เข้าใจวางแผนหลอกล่อษมา จนเค้าหลงเธอหัวปักหัวปำ”
สาระสะมาพอเดาได้แล้วว่าเรื่องอะไร เลยอมยิ้มออกมา โศภีโกรธ จงใจพูดเสียงดัง ให้ขายหน้า
“ยังมีหน้ามายิ้มอีก สะใจมากใช่มั้ยที่แย่งเค้าไปจากฉันได้ หน้าด้าน”
โศภีจงใจพูดเสียงดังจนคนในร้านเริ่มหันมามองเป็นตาเดียว
“คุณจำคนผิดแล้วล่ะค่ะ ฉันไม่เคยรู้จักคุณ”
สาระสะมาเดินหนี โศภีตามไปกระชากแขน เธอหันกลับมา เสียงแข็งใส่โศภี
“หยุดคุกคามฉันเดี๋ยวนี้เลยนะ ไม่งั้นฉันจะแจ้งความ”
โศภีผงะไป เพราะเธอยังมีคดีความติดหลังอยู่ เลยไม่อยากให้เรื่องถึงตำรวจ
“ที่นี่มีกล้องวงจรปิดติดอยู่ทั่วห้าง ไม่ใช่เกาะห่างไกลความเจริญเหมือนที่คุณอยู่”
โศภีเจ็บใจปนอาย
“ถ้าคุณทำอะไรฉัน เรื่องไม่จบแน่ แล้วฉันก็เชื่อว่าคุณษมาจะต้องเข้าข้างฉัน คนที่เสีย ก็จะมีแต่คุณคนเดียว”
สาระสะมาเดินหน้านิ่งออกไปจากร้าน โศภีอึ้งไป ไม่คิดว่า นักข่าวสาวที่ชื่อ สาระวารีคนนี้จะใจเย็น และยอกย้อนได้เจ็บขนาดนี้ ต่างกับคนใจร้อนที่เธอเคยเจอลิบลับ
โศภีได้แต่มองตามด้วยความเจ็บใจ ตั้งใจจะหาเรื่อง แต่กลับโดนให้อายซะเอง เธอรีบหลบหน้าหลบตาคนในร้าน เดินเลี่ยงออกไปอย่างเร็ว
ภายในบ้านสาระวารีตอนหัวค่ำ สองสาวพี่น้องฝาแฝดกำลังช่วยกันเล็งเศษจิ๊กซอว์มาต่อ พร้อมคุยกันไป สาระวารีโกรธแทนพี่สาว
“พูดจาน่าเกลียดขนาดนี้ ไม่ต้องเห็นหน้าก็รู้ว่ายัยโศภี กิ๊กเก่าเจ้าพ่อนั่นแหละ”
“นายเก่งนะ ทนรับมือคนแบบนั้นได้ตั้งนาน เราเจอแป๊บเดียวยังเครียดเลย” สาระสะมาบอก
“เราก็ไม่ได้อยากทนนักหรอก แต่กลัวเหวี่ยงวีนมากเกินไปจะเสียงาน”
สาระวารีพูดพลางต่อจิ๊กซอว์ไป
“เท่าที่เรามองดูนะ คุณษมาฉลาดมากพอที่จะไม่เลือกผู้หญิงแบบนั้น”
สาระวารีหมั่นไส้
“เค้าอาจจะไม่ฉลาดอย่างที่นายคิดก็ได้ เข้าข้างไปรึเปล่า เมื่อเช้าก็ทีนึงแล้วนะ เค้ากำลังจะเปิดบ่อน ทำไมนายยังอวยเค้าอยู่ได้”
สาระสะมายิ้มบางๆ
“เราชักอยากเห็นหน้าคุณษมาซะแล้วสิ” สาระสะมาต่อจิ๊กซอว์อีกมุม
สาระวารีหน้าบึ้งตึง
“จะอยากเห็นไปทำไม คนที่มีความคิดเปิดบ่อน ไม่เห็นจะน่ารู้จักเลย”
“บ่อนอีกแล้ว คำก็บ่อน สองคำก็บ่อน เมื่อไหร่นายจะเลิกฝังใจกับเรื่องพวกนี้ซะที คุณษมาเค้าทำธุรกิจเปิดคาสิโน ไม่ได้ทำให้พ่อเราติดการพนัน จนครอบครัวเราต้องล่มสลายซะหน่อย”
สาระวารีสีหน้าเครียดเอาจริง
“เรารู้ แต่เราเกลียดการพนันเข้ากระดูกดำเราไม่มีวันทำใจได้หรอก”
สาระวารีต่อจิ๊กซอว์ชิ้นนั้นไม่เข้าช่อง หยิบ ออกมาปาใส่เก้าอี้โซฟาอย่างหงุดหงิด พี่สาวมองหน้าน้องสาวแล้วพูดน้ำเสียงนิ่ง
“ถึงแม้ว่านายจะรู้สึกดีๆกับคุณษมาอย่างงั้นเหรอ”
สาระวารีเหลือบตามองหน้าพี่สาวก็ชะงักไป
“แล้วถ้าคุณษมาเค้ายอมเลิกทำคาสิโน นายจะเปิดใจกับเค้ามากกว่านี้มั้ยวารี”
“อย่าพูดอะไรที่มันเป็นไปไม่ได้หน่อยเลยน่ะสะมา”
สาระวารีถอนใจแล้วลุกเดินออกไปหน้าบ้าน สาระสะมาหันมองตามน้องสาวไป สีหน้าไม่ค่อยสบายใจนักก่อนจะเอื้อมตัวไปหยิบจิ๊กซอว์อันเดิมที่น้องสาวปาไปที่เก้าอี้มาต่อในตำแหน่งเดิมที่สาระวารีต่อไม่ได้ มันก็เข้าล็อกต่อได้สนิทพอดี จริงๆ เป็นเพราะสาระวารีที่ไม่มีสมาธิ ใจไม่อยู่กับตัว
ผ่านเวลาถึงเช้าวันหนึ่ง สาระสะมากำลังรดน้ำต้นไม้อยู่หน้าบ้าน รถหรูคันใหญ่ขับมาจอดเทียบที่หน้ารั้วบ้าน สาระสะมาหันมอง ษมาลงมาจากรถเดินมาที่รั้ว สาระสะมารีบปิดน้ำ แล้วเดินไปรับแขกที่หน้าบ้านทันที
“มาหาใครคะ”
“น้องสาวคุณครับ ผมชื่อษมา ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณสาระสะมา”
สาระสะมายิ้มต้อนรับ ยกมือไหว้
“สวัสดีค่ะ”
ษมายิ้มแย้มรับไหว้อย่างดีใจที่ได้เจอตัว
สาระวารีแต่งตัวเตรียามไปทำงานเดินลงบันไดมา ทำจมูกฟุดฟิดสูดกลิ่นหอม เธอยิ้มพอใจ อารมณ์ดี “หอมจังเลยสะมา หอมจนเราท้องร้องจ๊อกๆ”
สาระวารีลงมาถึงโถงบ้านก็สะดุ้งสุดตัวที่เห็นษมานั่งยิ้มอยู่ที่โซฟารับแขก
“คุณมาได้ยังไง”
ษมากวนหน้าตาย
“ขับรถมา”
สาระวารีสูดหายใจลึก สะกดอารมณ์
“คุณมาบ้านฉันทำไม”
“ผมก็ขึ้นมาตรวจต้นฉบับอย่างที่รับปากเอาไว้ไง หรือว่าคุณจะไม่รักษาสัญญา”
“ฉันรักษาสัญญาอยู่แล้ว แต่เจอกันที่สยามสารสิคะ”
“ผมเกรงใจ”
“เหตุผลคุณแปลกๆ ไปเจอที่ทำงานเกรงใจ แต่บุกมาบ้านเค้าไม่ต้องเกรงใจ”
ษมายิ้มแย้ม ไม่สนใจคำประชด
“ผมเจอคุณสะมา เธอเลยเชิญผมทานอาหารเช้าด้วย”
“พี่สะมาก็เชิญไปตามมารยาทงั้นแหละ”
ษมายิ้มแย้ม
“ผมก็เลยต้องรับปากเพื่อไม่ให้เสียน้ำใจ”
สาระวารีแดกดันกลับ
“ขั้นนี้แล้วก็เชิญพรรคพวกคุณเข้ามาทานข้าวด้วยกันซะให้หมดเลยสิ”
“ผมมาคนเดียว คนอื่นมีงานต้องทำ”
สาระวารีแปลกใจ
“แล้วนี่คุณไม่กลัวว่าใครรู้ จะตามมายิงถล่มคุณเอาเรอะ บอกก่อนนะ บ้านนี้ฉันกับสะมายังผ่อนไม่หมดเลย ถ้าถูกระเบิดล่ะก็ ไม่มีปัญญาหาเงินมาซ่อมแน่”
ษมายิ้มแย้ม
“ไม่ต้องห่วงครับ มีแต่คนสนิทเท่านั้นที่รู้ว่าผมมากรุงเทพ ตลอดทางที่ผมขับรถมาบ้านคุณ ผมก็ระวังอย่างดี รับรองไม่มีใครสะกดรอยตามมาเด็ดขาด”
สาระวารีได้แต่ทิ้งค้อนอย่างหมั่นไส้ พี่สาวเธอยกจานไข่เจียวกับยำไข่แดงออกมาจากครัว
“ลงมาพอดีเลยวารี เลยข้าวกันเลยค่ะ”
สาระสะมายิ้มแย้มรับแขก สาระวารีตาแข็งเหล่มองพี่สาว พอเธอเห็นสายตาน้องสาวก็แอบแหยไปเล็กน้อย
สาระวารีลากแขนพี่สาวเข้ามาแอบคุยกันในครัว..หลังจากทานข้าวเสร็จแล้ว สาระสะมาทำใจดีสู้เสือ
“จะเอาอะไรเหรอวารี”
สาระวารีหยิกแขน
“เอาเรื่องนายน่ะสิ”
“เจ็บนะ”
“ไม่เห็นว่าเป็นพี่ จะเจ็บยิ่งกว่านี้”
สาระสะมาทำหน้าแหย
“บอกแล้วใช่มั้ยว่าคุณษมากำลังจะเปิดบ่อน นายอย่าไปญาติดีกับเค้าให้มันมากนัก”
“เราก็แค่ทำตัวเป็นเจ้าของบ้านที่ดี”
“ไม่จำเป็น”
สาระสะมาทำหน้าตายแซวน้อง
“ไม่ต้องห่วงน่าวารี คุณษมาชอบนาย ไม่ได้ชอบเราหรอก”
สาระวารีแทบกรี๊ด หน้าร้อนผ่าว เสียงดัง
“สะมา”
เสียงษมาดังตอบรับมาทันที
“ครับ”
สาระวารีอารมณ์เสีย สวนกลับไป
“ฉันไม่ได้เรียกคุณ ฉันคุยกับพี่สาวของฉัน ทีหลังนายอย่าพูดอะไรบ้าๆ ยังงี้อีกนะ”
สาระสะมากวนหน้าตาย
“พูดเรื่องจริงก็หาว่าบ้า”
“ยังอีกนะ”
สาระสะมาขำ
“ก็เราเห็นว่าคุณษมาเค้าท่าทางเอาจริง ดูๆไปเค้าก็ไม่เลวนะวารี”
“นายเพิ่งเจอเค้าแค่ชั่วกินข้าวอิ่ม ตัดสินคนเร็วเกินไปหน่อยแล้ว”
“ไม่หรอก เราว่าเค้าดูเป็นคนมีอำนาจแล้วก็มีความมั่นใจในตัวเองนะ ถึงเวลาอยู่กับนาย เค้าจะดูสบายๆก็เถอะ แต่ของแบบนี้ มันปิดไม่มิดหรอก ยิ่งเวลาเค้ามองนายนะ สายตาเค้าดูจริงจังมาก เราว่านายเองก็รู้ตัวอยู่แล้วล่ะ”
สาระวารีอึ้งไปครู่ ก่อนจะถอนใจออกมา
“แต่เค้ากำลังจะเปิดบ่อนนะสะมา คนอีกเท่าไหร่จะต้องหมดเนื้อหมดตัว เด็กอีกเท่าไหร่จะต้องบ้านแตกสาแหรกขาดกลายเป็นกำพร้าแบบเรา”
“ถึงคุณษมาไม่เปิด คนอื่นก็เปิดอยู่ดี แล้วบ่อนอื่นอาจจะขี้โกงไม่ได้มาตรฐานตรงไปตรงมาอย่างบ่อนเค้าก็ได้ อย่าปิดโอกาสเค้ากับตัวนายเอง ด้วยข้อจำกัดอย่างโน้นอย่างนี้เลยวารี จะคบใคร ดูนิสัยก่อน เรื่องอื่นยังพอเปลี่ยนกันได้”
“นายถูกเค้าล้างสมองแล้วล่ะสะมา”
สาระวารีเดินเลี่ยงไปหยิบแก้วชงกาแฟ หน้าขรึมๆ ลึกๆ ก็ว้าวุ่นใจอยู่ สาระสะมากอดอกมองตามตามน้องสาวแล้วทอดถอนใจออกมา
ษมานั่งอ่านต้นฉบับของสาระวารีจากโน้ตบุ๊กที่โซฟารับแขก เธอเดินหน้าตาระแวงยกถ้วยกาแฟมาเสิร์ฟ
“ดูแต่ตานะคะ ฉันแก้เอง”
ษมายิ้มๆ เหลือบตามองสาระวารี
“ผมมีมารยาทพอหรอกครับ”
“บุกเข้าบ้านคนอื่นมาทานข้าวเช้าได้หน้าตาเฉย ยังจะให้ฉันไว้ใจได้อีกเรอะ...กาแฟค่ะ” สาระวารีตัดบท วางแก้วกาแฟลงตรงหน้า
“ขอบคุณครับ”
สาระวารีนั่งลง
“คุณอยากจะแก้ตรงไหนก็ทำตัวหนาเอาไว้ เดี๋ยวฉันจะพิจารณาดูเองว่าสมควรแก้ให้รึเปล่า”
ษมาละสายตาจากต้นฉบับมาที่สาระวารี
“คุณเก่งเรื่องไซโคคนอ่านเรื่องตัวเลขนะ”
สาระวารียักไหล่
“ตามหน้าที่ค่ะ เราต้องชี้ให้คนอ่านเห็นตัวเลขเกี่ยวกับวงการพนันชัดเจนว่าแต่ละปี มีเงินหมุนเวียนมากขนาดไหน”
ษมาคิดตาม พยักหน้ารับ มองหน้าเธอ
“ก็น่าสนใจ บทความคุณเกือบดีแล้วล่ะแต่มีบางจุดที่ผมอยากให้คุณแก้ไขนิดหน่อย”
สาระวารีมองหน้าตอบ
“ก็อย่างที่บอก ทำตัวหนาเอาไว้ ถ้าจะให้ดีวงเล็บเหตุผลไว้ด้วยว่าทำไม แล้วฉันจะพิจารณาดูอีกที” สาระวารีลุกเดิน ปั้นหน้านิ่งเดินออกไป ษมาเลื่อนสายตากลับมาอ่านต้นฉบับอีกครั้ง เธอออกจะหมั่นไส้ปนเจ็บใจที่ษมามาวุ่นวายกับบทความของเธอทั้งที่ไม่เคยมีแหล่งข่าวคนไหนได้สิทธิ์นี้มาก่อน
ผ่านเวลาสักครู่ ระหว่างทางที่ษมาขับรถพาสาระวารีมาส่งสยามสาร
“ส่งฉันตรงนี้ก็ได้ คุณจะได้กลับไปพักผ่อน”
“ไม่เป็นไร ผมจะไปออฟฟิศกับคุณด้วย”
สาระวารีตกใจร้องเสียงหลง
“ไปทำไม”
ษมาขับรถพร้อมตอบหน้าตาย
“ไปส่งคุณแล้วก็รอให้คุณแก้ต้นฉบับให้เรียบร้อย จากนั้นก็รอรับคุณกลับ”
สาระวารีอึ้งไปทันที
“ขอบคุณ แต่ไม่จำเป็น ฉันแก้งานเสร็จจะเมลไปให้คุณอ่านเอง”
“ไม่ได้หรอกครับ ผมใจร้อน อยากอ่านต่อหน้า จะได้รู้ว่า คุณเห็นด้วยกับคำขอแก้ไขของผมแน่รึเปล่า”
ษมายิ้มให้แล้วขับรถต่อไป สาระวารีเหลือบตามองษมา สีหน้าเจ็บใจปนหมั่นไส้มาก อยากจะหักคอให้ตายคามือซะจริงๆ
สาระวารีสะพายเป้เดินนำเข้ามายังล็อบบี้สยามสาร ษมาเดินตามมาติดๆ พนักงานที่เดินไปมาในล็อบบี้เริ่มหันมอง สาระวารีหยุดกึก หันกลับมาจ้องหน้า
“คุณจะตามฉันไปถึงไหน”
“ก็ถึงโต๊ะทำงานคุณเลย”
สาระวารีถอนใจออกมา
“คุณไม่ไว้ใจฉัน ไม่เชื่อว่าฉันจะแก้ข่าวให้คุณใช่มั้ย คุณถึงได้ตามประกบฉันทุกฝีก้าวขนาดนี้”
ษมายิ้มใจเย็น พูดจริงจัง
“เปล่า ผมให้เกียรติและเชื่อถือคำสัญญาของคุณนะวารี แต่บทความนี้ของคุณเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เป็นเรื่องที่ล่อแหลม และการสื่อสารระหว่างผมกับคุณในบางเรื่อง เราเข้าใจแตกต่างกัน ผมไม่ต้องการให้ความแตกต่างนี้มีผลกระทบตามมาทีหลัง”
“พูดวกวนไปมา สรุปก็คือคุณไม่เชื่อมือฉัน ไม่ไว้ใจว่าฉันจะเขียนข่าวออกมาได้ดี”
ษมาจ้องหน้าสาระวารี
“เข้าใจผิดไปกันใหญ่แล้ว ข่าวคุณดี ดีมากทีเดียวล่ะ แต่ถ้าบทความนี้ตีพิมพ์ออกไป จะทำให้บางคนเดือดร้อน การตัดบางประโยคออกไป หรือทำให้คำมันเบาลงบ้าง มันไม่ได้ทำให้ข่าวคุณดีน้อยลงเลย”
สาระวารีอ่อนลงกับคำชี้แจงที่ชมเธอด้วย
“ฉันบอกแล้วไงคะว่าจะนำข้อติติงคุณไปพิจารณาดูอีกที...งั้นขอตัวขึ้นไปทำงานชั้นบนนะคะ”
สาระวารีเดินนำไป ษมาจะก้าวเดินตาม เธอหันขวับกลับมาห้ามทันที
“ที่นี่ไม่อนุญาตให้คนภายนอกขึ้นไปที่กองบอกอ ถ้าอยากรอก็รอที่ล็อบบี้นี่แหละ ทนได้ก็ทน ทนไม่ไหวก็กลับไปนอนที่โรงแรม แก้เสร็จจะโทรไปปลุก”
สาระวารีสะบัดหน้าพรืดเดินไป ษมามองตามสาระวารีไม่ละสายตา อมยิ้มปลื้มๆ ผู้หญิงยังงี้แหละใช่เลย!! ว้าว...
ลูกน้องดิตถ์ขับรถวนช้าๆที่หน้าตึกสยามสาร ดิตถ์นั่งอยู่เบาะหลังจับตามองเข้าไปในตึก ดิตถ์โทร. หาโสภีรายงานความคืบหน้า
“ไม่ผิดตัวแน่นอน มันมาส่งแม่นักข่าวนั่นที่สยามสาร ท่าทางจะหลงเอามากๆ”
โศภีอารมณ์เสียเมื่อได้ยิน
“พอแล้ว ฉันขี้เกียจฟัง”
“ผมจะวนรอมันแถวๆ นี้ก่อน ตอนนี้ยังไม่แน่ใจว่ามันพักโรงแรมไหน มันจองเอาไว้ 2 ที่ จะว่าไปมันก็รอบคอบใช่ย่อย”
รปภ.มาเป่านกหวีดไล่ ห้ามจอด ดิตถ์เหลือบตามองออกไป สั่งคนขับรถ
“ขับออกไปก่อน เดี๋ยวจะผิดสังเกต”
ลูกน้องขับรถวนออกไป ดิตถ์กดตัดสายจับตามองเข้าไปในล็อบบี้สยามสาร สีหน้านิ่งขรึม
ต้นฉบับถูกปรินท์ออกมาพร้อมอ่าน สาระวารียื่นตรงหน้าษมาที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ที่ล็อบบี้สยามสาร เขาเหลือบตามอง
“นั่งทนดีเหมือนกันนะ”
“เสร็จแล้วเหรอะ เร็วดีจัง”
“คุณจะได้กลับไปซะที คนเค้าสงสัยกันทั่วตึกแล้วว่าผู้ชายที่ไหนมานั่งเฝ้า เสียประวัติหมด อ้ะ อ่านซะสิ ฉันคิดว่าคุณคงจะพอใจ” สาระวารียื่นเอกสารให้อีกที
ษมายิ้มตอบ รับมาถือไว้
“ผมพอใจ”
ษมาส่งต้นฉบับคืนให้ สาระวารีอึ้งปนงง ที่ษมาไม่อ่านเลยแล้วรู้ได้ไง
“ขอบคุณที่ทำให้ความรู้สึกของผมที่มีต่อสื่อมวลชนดีขึ้น อย่างน้อยคุณก็ไม่ได้มีอีโก้สูงขนาดแตะต้องไม่ได้ ทำอะไรไม่เคยคิดถึงคนอื่น ดีแต่จะขายข่าวเหมือนนักข่าวบางคนที่ผมเคยเจอมา”
“นักข่าวทุกคนก็อยากทำข่าวตัวเองให้ออกมาดีที่สุด ถูกต้องที่สุดทั้งนั้นแหละ แต่อย่าลืมว่านักข่าวก็เป็นปุถุชนคนนึงเหมือนกัน”
“ผมทราบครับ ตั้งแต่ได้รู้จักกับคุณ ผมเรียนรู้เรื่องนักข่าวมากขึ้นเยอะเลย... แต่ตอนนี้ผมหิวแล้ว”
ษมาสีหน้าอ้อนๆ สาระวารีถอนใจเซ็งออกมาแรงๆ
จบตอนที่ 6
อ่านต่อตอนที่ 7 เวลา 17.00น.