โดมทอง ตอนที่ 6
สักครู่ต่อมา วิรงรองยืนมองรูปภาพใบใหญ่ของบรรดาต้นตระกูลในห้องโถงใหญ่ สายตาเพ่งมองไปโดยรอบ จนมาหยุดที่ภาพท่านผู้หญิงสรรักษ์ไกรณรงค์ในวัยสาวและแก่ นัยน์ตาของทั้ง 2 ภาพเหมือนจะมองมายังเธออย่างเยาะหยัน
“ฉันรู้ว่ามันอยู่ที่ไหน”
วิรงรองถอนใจเฮือกใหญ่ “นั่นน่ะซีคะ! คุณพลับพลึงอยู่ที่ไหน”
“ออกไป! ฉันบอกให้ออกไป” เสียงท่านผู้หญิงดังขึ้นในหู
วิรงรองมองเลื่อนสายตามาที่รูปต้นตระกูล พลางเอ่ยถาม
“ท่านล่ะคะ...ทราบหรือเปล่าว่า คุณพลับพลึงอยู่ที่ไหน”
รูปนั้นมองมานิ่งสนิท
วิรงรองเลื่อนมองรูปต่อไป ถามอีก “ท่านล่ะคะ”
รูปนั้นนิ่งสนิทเช่นกัน
“แล้วท่านล่ะคะ” วิรงรองถาม
แต่ละรูปมองมา ราวกับจะปิดปากกันสนิท
“เฮ้อ..ไม่มีใครทราบสักคน! หรือไม่ก็ทราบแต่ไม่ยอมบอก”
ครั้นพอวิรงรองหันหลังเดินกลับออกไป บุคคลในแต่ละรูปมองเขม็งตามร่างวิรงรองไป
ภายในห้องครัวฝรั่งเวลานั้น อุไรปล่อยมือ จนภาชนะใส่กับข้าวอย่างใดอย่างหนึ่ง ตกเพล้งลงพื้นด้วยความตกอกตกใจ
อุไรตะกุกตะกัก “กะ...กะ...กุญ..กุญแจห้องเก็บของ”
วิรงรองแบมือออกไป “ใช่แล้ว! ส่งมาซะดีๆ”
“ผะ...ผะ...ผี...ผีดุนะคะ”
“อ้าว! ก็ไหนบรรดาเจ้านายที่นี่บอกว่าไม่มีผีที่โดมทองไง”
อุไรจับมือวิรงรองที่ยื่นและแบมือออกมาลงข้างลำตัวตามเดิม ขณะบอก “ใครที่บอกว่าไม่มี แสดงว่าคนนั้นยังไม่เห็น! ...แล้วป้าอุไรน่ะไม่ใช่คนเก็บกุญแจค่ะ”
“งั้นใครเก็บล่ะจ๊ะ”
“ท่านผู้หญิงค่ะ!...กุญแจห้องเก็บของอยู่ที่ท่านผู้หญิง” อุไรบอก
“เวรกรรม!..แล้วกุญแจประตูเหล็กที่บันไดจะขึ้นไปยอดโดมล่ะ”
“นี่...นี่คุณวิจะเอาจริงหรือคะ”
“ก็จริงน่ะซิ! ถามจริง! ป้าอุไรไม่อยากเข้าไปดูหรอกเหรอว่ามีอะไรอยู่ข้างใน”
อุไรสวนคำทันทีทันใด “ไม่อยากค่ะ”
“แต่วิ อยาก! ยิ่งตอนนี้คู่จิ้นเขาไม่อยู่”
“อะไรคะ คู่จิ้น”
“แหม!…คุณอดิศรว์กับคุณแสงแขไง! ก็ท่านผู้หญิงท่านอยากจะให้ ทั้งสองคนเป็นแฟนกัน” วิรงรองเว้นจังหวะไปนิด “โอกาสเป็นของเราแล้ว”
“อย่าเหมามั่วค่ะ..โอกาสอาจจะเป็นของคุณวิ แต่ไม่ใช่ของป้าอุไรแน่! และป้าอุไรขอประกาศไว้ตรงนี้เลยว่า ป้าอุไรจะไม่ยอมให้ความร่วมมือกับคุณวิเด็ดขาด”
สีหน้าแววตาอุไรหนักแน่นมั่นคงมาก...เช่นทุกครั้ง
แล้วห็เป็นอุไรที่พาวิรงรองเดินมาตามทางเดินแคบๆ ค่อนข้างมืดทึมในบ้านชั้นล่าง...หน้าต่างปิดสนิท มีเพียงแสง
สว่างส่องสะท้อนเข้ามาจากกระจกสีต่างๆ เห็นฝุ่นปลิวกระจายอยู่...โดยอุไรมีท่าทางหวาดๆ เหลียวหน้าเหลียวหลังตลอดเวลา
วิรงรองจามออกมา
อุไรสะดุ้งโหยงและอุทาน “ผีหลอก”
“ผีเผอที่ไหน...เฮ้อ”
“ก็คุณวิอย่าจามซิคะ”
“วิแพ้ฝุ่น! ทำไมไม่เปิดหน้าต่างล่ะ ...แดดจะได้ส่องเข้ามา..ไม่ชื้นไม่มืดทึบแบบนี้”
“ก็ไม่มีใครมาเลยนี่คะ...ส่วนใหญ่อยู่ทางด้านโน้นหมด..อีกอย่างท่าน...ผู้หญิงไม่ชอบให้ใครมาวุ่นวายใกล้ห้องเก็บของค่ะ”
วิรงรองบ่นอุบ “ห้ามไปหมด”
“ถึงแล้วค่ะ”
อุไรพาวิรงรองมาหยุดหน้าห้องๆ หนึ่ง แล้วหันหลังจะเดินไป ถูกวิรงรองคว้าแขนไว้หมับ อุไรเซกลับมาร้องลั่น
“โอ๊ย! คุณวิ”
“จะไปไหน...ยังไปไม่ได้”
“ก็ป้าอุไรพาคุณวิมาถึงห้องเก็บของแล้วไงคะ”
“เราต้องหาทางเข้าไป”
“โดยไม่มีกุญแจเนี่ยนะคะ”
“ใช่...เข้าทางประตูไม่ได้ เราก็ต้องดูหน้าต่าง”
ฟังที่วิรงรองว่า อุไรทำท่าเหมือนจะเป็นลม
“เร็วซิจ๊ะ! ช่วยกันดูว่า พอจะมีทางไหนเข้าไปได้มั้ย”
วิรงรองเริ่มสำรวจหาทางเข้า
ทางด้านโอบอ้อมเดินถือซองจดหมายเข้ามาตรงประตูบ้าน พลางเลือกดู มือของโอบอ้อมหยุดที่ซองสีน้ำตาล พลางยิ้มอย่างพอใจ
“เรียบร้อย”
ส่วนที่บริเวณหน้าห้องเก็บของวิรงรองแนบหน้าลงกับรอยแยกเล็กๆ ทางหน้าต่าง แสงสว่างที่ส่องเข้าไปตามรอยแยกเล็กๆ ของหน้าต่างไม้ ทำให้เห็นวิรงรองเห็นว่าข้าวของกองรวมๆ กันและมีผ้าคลุมเป็นเงาตะคุ่มๆ
อุไรเหลียวซ้ายแลขวาแล้วถอยมาจนติดวิรงรองกระซิบถามอย่างตื่นเต้น
“เห็น....เห็นอะไรมั้ยคะ”
วิรงรองพูดขณะมองเข้าไป “ห้องเก็บของ ก็ต้องเห็นของน่ะซิ! จะเห็นอย่างอื่นได้ไง” วิรงรองเว้นไปนิดแล้วร้อง “เอ๊ะ”
เงาตะคุ่มๆ ของใครคนหนึ่งอยู่ในมุมห้อง
“นั่นใครน่ะ” วิรงรองร้องถาม
อุไรตาเหลือกแล้ว “คะ...คะ...คุณ...คุณ...วิ! อย่า...อย่า...พูดเล่น”
“ไม่เล่นหรอก...วิพูดจริง!...มีคนอยู่ในนั้น”
อุไรดึงมือนักสืบสาวจำเป็นออกมา “ไปกันเถอะค่ะ”
วิรงรองหันกลับไปดูใหม่แล้วเรียก “คุณ...คุณคะ”
อุไรใจหล่นวูบ “คุณวิ! อย่าไปเรียกซิคะ! อย่าเรียก”
“หายไปไหนแล้ว”
อุไรดึงแขนวิรงรองให้หันมา “คุณวิ! เชื่อป้าอุไร! ป้าอุไรขอร้อง! ไปกันเถอะค่ะ”
วิรงรองหันไปมองท่าทีลังเล
“ได้โปรด! ไปกันเถอะค่ะ”
พูดพลางดึงแขนวิรงรองให้ตามไป วิรงรองอดหันมามองไม่ได้
อุไรดึงแขนวิรงรองเข้ามาในครัวฝรั่งในบ้าน
“คิดดูซิคะ! ในห้องเก็บของปิดสนิททั้งประตูหน้าต่าง แล้วคนจะเข้าไปอยู่ได้ยังไง”
“หรือจะเป็นคุณพลับพลึง” วิรงรองออกความเห็น
“โอ๊ย! ไม่ใช่หรอกค่ะ”
“งั้นก็คุณผี” วิรงรองว่า
“ผีเผออะไรที่ไหน!” เสียงไม่เป็นมิตรของโอบอ้อมดังขึ้น
2 คนสบตากันแล้วหันไปมอง เห็นโอบอ้อมยืนท้าวสะเอว มองมาอย่างเย่อหยิ่ง
“ที่นี่ไม่มีผี กรุณาอย่ามาทำให้คนอื่นเขาสับสน”
“ป้าอุไร...ยัยนั่นเขาพูดกับใครน่ะ” วิรงรองไม่ได้สนใจ หันมาถามอุไร
“พูดกับผีมั้งคะ”
อุไร และวิรงรอง หัวเราะคิกคัก
โอบอ้อมโกรธจัด “หยุด! หยุดเดี๋ยวนี้”
วิรงรองไม่ใส่ใจเดินหัวเราะออกไป
โอบอ้อมหันขวับไปมอง เหยียดยิ้ม “เออ! หัวเราะดีไปเถอะ! แล้วคอยดูฉันบ้าง!หัวเราะทีหลัง หัวเราะดังกว่าเว้ย”
วิรงรองชะงักนิดหนึ่ง แล้วเดินไปต่อ
อนิรุทธิ์คุยโทรศัพท์อยู่ในออฟฟิศกรมกองในกรุงเทพฯ เบิกตากว้างด้วยความตกใจ
“วิ! อย่าทำอย่างนั้นอีก! ขอร้อง”
วิรงรองหัวเราะคิก “พูดยังกับป้าอุไรแน่ะ!…อย่าห้ามวิเลย! ต่อมอยากรู้ของวิมันแตกแล้ว โธ่! เป็นรุทธิ์...รุทธิ์จะไม่อยากรู้หรือว่า ใครอยู่ในนั้น”
“ใครจะไปอยู่ในนั้นได้! เท่าที่วิเล่าให้ฟัง นั่นมันห้องที่ปิดตายนะครับ”
“แล้วทำไมวิถึงเห็นเหมือนมีคนเคลื่อนไหวอยู่ในนั้นล่ะคะ”
“ก็วิตาฝาดไง! วิเล่าเองว่าในนั้นมีข้าวของมากมาย แถมยังต้องมองทางช่องเล็กๆ เข้าไปในห้องที่ปิดหมดทั้งประตูหน้าต่าง”
“วิว่าวิไม่ได้ตาฝาด”
“ไม่ว่าจะฝาด หรือไม่ฝาด ก็ห้ามพยายามไปสืบเสาะอะไรอีก เข้าใจไหม”
“ไม่เข้าใจค่ะ”
“วิ” อนิรุทธิ์ทำเสียงดุๆ
วิรงรองปิดโทรศัพท์ด้วยสีหน้ายิ้มกริ่ม
อนิรุทธิ์ถอนหายใจเฮือก
“ผู้หญิงอะไร! ดื้อที่สุดในโลก”
เวลาผ่านไปอีกช่วงหนึ่งแล้ว แสงแขนั่งร้องไห้อยู่หน้าเตียงท่านผู้หญิงสรรักษ์
ท่านผู้หญิงตวาดเสียงแหบโหย “เงียบ”
แสงแขรีบกลั้นสะอึ้นแล้วเช็ดน้ำตา
“แกมันอยากไม่มีเสน่ห์เอง! ไม่มีเสน่ห์แล้วยังน่ารำคาญ!…ฉันหวังจะพึ่งแก...แต่ก็พึ่งไม่ได้”
“จะให้แขทำยังไงล่ะคะ! ในเมื่อคุณลบไม่เปิดโอกาสให้แขได้ใกล้ชิดเลย”
“ก็ใช้มารยาซิ! มารยาหญิงมีตั้งหลายร้อยเล่มเกวียน ทำไมไม่เอามาใช้! โง่”
แสงแขเม้มปาก “คุณพิชญ์กับคุณพิณทองคอยเป็นก้างขวางคอ”
“เรื่องมันก็กลับมาที่แกไม่มีเสน่ห์นั่นแหละ”
“ทำไมคุณย่าไม่บังคับให้คุณลบแต่งงานกับแขให้รู้แล้วรู้รอดเสียเลยล่ะคะ คุณลบน่ะรักคุณย่า...ตามใจคุณย่าทุกอย่าง…”
ท่านผู้หญิงเยาะหยัน “ยกเว้นเรื่องนี้”
แสงแขร้องไห้อีก
“บอกให้หยุด! ฉันเกลียดน้ำตา! น้ำตาแสดงถึงความอ่อนแอ”
แสงแขกอดขาท่านผู้หญิงสะอึกสะอึ้น “คุณย่าขา...คุณย่าช่วยแขด้วย”
ท่านผู้หญิงสรรักษ์สะบัดขาแล้วถีบแสงแขจนหงายหลัง
“อย่ามาเซ้าซี้! รำคาญ”
แสงแขคลานเข้ามากราบเท้าใหม่ ครวญคร่ำ “คุณย่าอย่าทิ้งแขนะคะ...แขรักคุณลบมากเหลือเกิน”
ท่านผู้หญิงมองเขม็ง “ฉันรู้จักแกดี! นังแสงแข...แกเองก็ไม่ยอมแพ้เหมือนกัน!..ใช่มั้ย”
แสงแขก้มหน้านิ่ง นัยน์ตาแสงแขเวลานี้มีแววระแวงระแวดระวัง
ท่านผู้หญิงก้มหน้าลงมา...นัยน์ตาเป็นประกายวาวโรจน์ “จะทำอะไรต้องให้แนบเนียน! อย่าให้ใครจับได้”
แสงแขชะงัก เงยหน้าขึ้นมองท่านผู้หญิงอย่างประหลาดใจ
ท่านผู้หญิงสรรักษ์ขยับตัวพิงหมอน สีหน้ากลับเป็นปกติ
“ออกไปได้แล้ว”
แสงแขรับเบาๆ “ค่ะ” คลานออกไป แล้วลุกเดินไปที่ประตู
ท่านผู้หญิงสรรักษ์มองตามแสงแข นัยน์ตาเหมือนจะพอใจอยู่ลึกๆ
ขณะเดียวกัน อดิศวร์ ศิโรดม อยู่ในห้องทำงานกำลังเลือกดูจดหมายแต่ละฉบับ แล้วชะงักเมื่อเห็นซองสีน้ำตาล อดิศวร์เปิดออกมาดูแล้วชะงัก...สีหน้าแววตาโกรธจัด
ภาพในมือของเขาเป็นรูปทั้ง 4 คน เจ้าภูไท วิรงรอง อุษา และ พันธุ์สูรย์ ในอิริยาบถต่างๆ กัน ทั้งกลุ่มและคู่ อดิศวร์ขบกรามแน่น
ด้านวิรงรองกำลังนั่งเอนๆ อ่านหนังสืออย่างเพลิดเพลินอยู่ในห้อง มีเสียงเคาะประตูเบาๆ วิรงรองวางหนังสือแล้วเดินมาที่ประตู
“ใครคะ”
“ป้าอุไรเองค่ะ”
วิรงรองเปิดประตูด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ในขณะที่อุไรมีสีหน้าหวาดหวั่น
“ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะ” วิรงรองฉงน
“คุณลบให้มาตามคุณวิไปพบค่ะ”
สีหน้าวิรงรองค่อยๆ หุบยิ้มลง
“ไม่รู้ว่ามีใครไปฟ้องเรื่องที่เราไปสำรวจห้องเก็บของหรือเปล่า”
วิรงรองเชิดหน้านิดๆ “ฟ้องก็ฟ้องไปซิ! ไม่เห็นจะกลัว”
“คุณวิไม่กลัว...แต่ป้าอุไรกลัวนี่คะ หน้าตาคุณลบบึ๊ง...บึ้ง” สีหน้าอุไรมีแววกังวลชัดเจน
วิรงรองตบไหล่ “ไม่ต้องกลัวน่า เดี๋ยววิจัดการเอง! วิจะบอกว่า ป้าอุไรไม่เกี่ยว”
วิรงรองปิดประตู แล้วเดินออกไปอย่างสง่าและมั่นอกมั่นใจ
ครู่ต่อมาอดิศวร์โยนรูปเหล่านั้นไปตรงหน้าวิรงรอง
“นี่อะไร”
วิรงรองก้มลงมอง สีหน้าแววตาตระหนกด้วยไม่คาดคิดว่า ความลับจะถูกเปิดเผย กลืนน้ำลาย พูดไม่ออก
“เอ้อ...”
“เธอมีแผนจะทำอะไรกับน้องสาวของฉัน...บอกมาให้หมดทุกอย่าง อวดสู่รู้ทำอะไรลงไปบ้าง”
วิรงรองอ้าปากจะเถียง อดิศวร์สำทับเสียงกร้าว “อย่าโกหก”
“คุณมีสิทธิ์อะไรจะมาบังคับให้บอก ทำไมไม่ไปถามคนที่ส่งรูปมาให้ล่ะ!”
“อย่ามาย้อน! ผิดแล้วก็ต้องรู้ตัวว่าผิด”
“ดิฉันไม่ผิด”
“อ้อ! ไอ้การที่เธอทำเจ้ากี้เจ้าการเข้ามาจัดการกับชีวิตพี่น้องของฉัน ยังมีหน้ามาพูดว่าไม่ผิดอีกเรอะ! เธอนัดแนะให้อุษาไปพบกับพันธุ์สูรย์ซึ่งเป็นบุคคลต้องห้ามของบ้านโดมทอง”
“คุณพันธุ์สูรย์ไม่ได้มีอะไรเสียหาย”
“อย่าอวดฉลาด! ไหน...บอกมาซิ เธอรู้อะไรบ้างเกี่ยวกับโดมทอง นอกจากเรื่องผีที่ตัวเธอเองพยายามสร้างขึ้นมาหลอกตัวเองและหลอกคนโน้นคนนี้ให้วุ่นวายไปหมด”
วิรงรองตาวาววับ “คุณต่างหากที่จงใจสร้างขึ้นมา เพื่อให้ฉันดูเหมือนคนบ้า เห็นโน่นเห็นนี่อยู่คนเดียว!คุณนั่นแหละเป็นโรคจิต อุตส่าห์แต่งตัวเป็นไฮโซสมัยก่อนนั่งรถม้ามาใต้หน้าต่างห้องฉัน”
“อ้อ! สร้างเรื่องจนตัวเองเกิดภาพหลอน”
“หมายความว่า คุณปฎิเสธ”
“ใช่! คนอย่างฉันไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้น! เลิกนอกเรื่องเสียที ต่อไปนี้ ฉันขอห้ามไม่ให้เธอยุ่งเกี่ยวกับอุษา ตัวเองอยากจะ “จับ” เจ้าภูไทก็ทำไปอย่าเอาอุษาไปบังหน้า” อดิศวร์จงใจเน้นคำว่าจับชัดแจ้ง
วิรงรองโกรธจนตัวสั่น ยกมือขึ้นจะตบหน้า อดิศวร์จับข้อมือไว้ได้และรวบตัววิรงรองเข้ามา
“อย่ามาใช้กิริยาต่ำๆ ในบ้านของฉัน”
“ปล่อย! แล้วคุณล่ะ...ที่ทำอยู่นี่ไม่ใช่กิริยาต่ำๆ หรือ”
“คงนึกว่าฉันอยากจะกอด อยากจะจูบเธอนักละซี! เข้าใจเสียใหม่ว่า ฉันไม่ได้พิศวาสเธอเลยสักนิด”
อดิศวร์ปล่อยวิรงรองเหมือนไม่มีเยื่อใย วิรงรองทั้งโกรธทั้งอับอายจนน้ำตาคลอ
“ไปได้แล้ว และก็อย่าทำอย่างนี้อีกเด็ดขาด!”
วิรงรองกัดปากและหันหลังเดินตัวตรงคอตั้งออกไป
วิรงรองปิดประตูลง ขณะที่อุษาเดินหน้าเสียเข้ามา
อุษาตกใจเมื่อเห็นสีหน้าท่าทางของวิรงรอง “คุณวิ”
“มีคนถ่ายรูปที่เราไปเที่ยวเมื่อวานส่งมาให้คุณอดิศวร์ค่ะ”
อุษาซีดหนักเข้าไปอีก “ตายแล้ว”
“พี่อุษาตั้งสติให้ดี แล้วบอกไปได้เลยว่าวิเป็นคนจัดการเรื่องทั้งหมดเอง”
“ไม่ค่ะ! พี่เองที่อยากจะไป”
“พี่อุษา”
อุษาจับมือวิรงรองบีบเบาๆ “พี่ไม่ยอมให้คุณวิต้องรับผิดคนเดียวหรอก”
อุษาปล่อยมือวิรงรองแล้วเดินเข้าห้องไป
ไม่นานต่อมาอุษาเดินเข้ามาด้วยสีหน้าท่าทางหวาดกลัว แต่ทีท่าก็กล้าหาญ
“เขาบอกเธอแล้วใช่ไหม”
“ค่ะ” อุษาก้มมองรูปที่กระจัดกระจายบนโต๊ะ
“แล้วเธอจะว่ายังไง”
“อุษาขอรับผิดเองค่ะ! คุณวิไม่เกี่ยว”
“เธอปล่อยให้วิรงรองที่เพิ่งมาอยู่ได้ไม่เท่าไหร่ครอบงำเธอได้แล้วหรือ”
“คุณวิรงรองไม่เคยครอบงำ” อุษาเถียง
อดิศวร์ขัดขึ้น “งั้นขัดคำสั่งพี่ ไปกับเขาทำไม”
“เพราะ...เพราะ...” อุษาเงยหน้าขึ้นสบตาอดิศวร์น้ำตาคลอ “อุษาอยากพบพันธุ์สูรย์ค่ะ คุณวิรงรองคงบังคับอะไรไม่ได้ ถ้าหากอุษาไม่เต็มใจ”
อดิศวร์ตบโต๊ะอย่างหงุดหงิด “นั่นแหละเขาเรียกว่าครอบงำ เธอไม่เคยเถียงพี่...ไม่เคยมีปากมีเสียง ตั้งแต่วิรงรองมาอยู่...เธอเปลี่ยนไปเป็นคนละคน”
“อย่าโทษคุณวิรงรองเลยค่ะ”
อดิศวร์มองอุษานิ่งๆ ครู่หนึ่ง “อย่าให้เกิดเรื่องอย่างนี้อีก! เพราะพี่จะเสียใจมาก”
“ค่ะ” อุษาก้มหน้าลง
“ไปได้”
อุษาหันหลังเดินออกไปเงียบๆ อดิศวร์มองตามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ขณะเดียวกัน 2 สาว กำลังเผชิญหน้ากันที่หน้าห้องวิรงรอง โดยแสงแขทั้งเยาะ ทั้งเย้ย
“ถ้าเป็นฉันละก็..เก็บข้าวเก็บของกลับบ้านไปแล้วด้วยความอับอายที่เขาจับได้ว่าทำผิด! ...ไม่หน้าด้านหน้าทนอยู่ต่อไปหรอก”
“น่าเสียดายนะคะที่ฉันไม่ได้เป็นคุณ” วิรงรองย้อน
“นังวิรงรอง”
“พอดีคุณอดิศวร์ไม่ได้ไล่ดิฉัน แถมไม่อยากให้ดิฉันไปจากโดมทองเสียด้วยซิคะ! เฮ้อ...ดิฉันไม่รู้จะทำยังไง เลยต้องอยู่ต่อทั้งๆ ที่ไม่ได้อยากจะอยู่เล้ย....อยากกลับไปใจจะขาด”
แสงแขโกรธจัด
“คุณแสงแขมีเรื่องจะพูดแค่นี้ใช่มั้ยคะ..ดิฉันจะได้เข้าไปพักผ่อนเสียที”
วิรงรองพูดพลางเปิดประตูเข้าไป แล้วหันมาส่งยิ้มให้แสงแขพร้อมกับปิดประตูลง
แสงแขร้องกรี๊ดด้วยความเจ็บใจ
ตรงมุมสวยๆ นอกคฤหาสน์ พิชญ์ถ่ายรูปบริเวณนั้นอย่างเพลิดเพลิน พิณทองมองอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น
“น่าสงสารคุณแสงแขนะคะ...พยาย้าม...พยายามจะเอาอกเอาใจน้าลบแทบตาย...แต่น้าลบกลับทำเย็นชาใส่”
“ก็คนมันไม่ได้รัก” พิชญ์พูดออกมา
พิณทองนิ่งอึ้ง สีหน้าขรึมลง
“ต่อให้พยายามแทบตาย เขาก็ไม่รัก”
“เหมือนกับที่พิชญ์ไม่รักพิณใช่ไหมคะ”
พิชญ์ลดกล้องลง ทำสีหน้าเหมือนรำคาญนิดๆ แล้วหันกลับมา
“นี่เราพูดถึงน้าลบไม่ใช่หรือ”
“พิณว่ามันคล้ายกับเรื่องของเรา”
พิชญ์ถอนใจเฮือก “ผมนึกว่าเราจะเข้าใจกันแล้วเสียอีก”
“เข้าใจว่ายังไงคะ”
พิชญ์นิ่งอึ้ง พิณทองเดินหันหลังกลับไป
พิชญ์ส่งเสียงตาม “งั้นพรุ่งนี้กลับกรุงเทพฯ ให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย”
พิณทองหันหน้ากลับมา “ก็ได้ค่ะ”
จากนั้นพิณทองเดินแกมวิ่งกลับเข้าบ้านไป
ใบหน้าพิณทองยามนี้พร่าพรายไปด้วยหยาดน้ำตา
“คุณพิณทอง...เป็นอะไรไปคะ”
พิณทองหยุดเดิน ยกแขนปาดน้ำตา
“คุณแสงแข” พิณทองน้ำตาร่วงพรูลงมาอีก
“นังวิรงรองใช่มั้ยคะ! นังคนนี้จิตใจมันเป็นยังไงถึงได้ตั้งหน้าตั้งตาจะแย่งคนรักของคนอื่นเสียจริง! มันจับปลาสองมือ! อ่อยทั้งคุณลบแล้วก็คุณพิชญ์”
“พิณขอตัวนะคะ”
พิณทองเดินแกมวิ่งเข้าไป
แสงแขมองตามสีหน้าแววตาใคร่ครวญ “หรือว่าจะยุให้นังวิรงรองจับคู่กับคุณพิชญ์ดี คุณลบจะได้เป็นอิสระ เอาไว้เป็นแผนทางเลือกดีกว่า! ถ้าแผนแรกไม่สำเร็จก็เอาแผนนี้”
สีหน้าแสงแขยิ้มกริ่มพอใจ
ครู่ต่อมาประตูห้องทำงานอดิศวร์เปิดออก พิณทองเดินเข้ามา น้ำตายังอาบแก้ม
อดิษวร์ลุกขึ้น...สีหน้าตกใจและประหลาดใจ “คุณพิณ”
“น้าลบขา...”
พิณทองโผเข้ากอดอดิศวร์ร้องไห้สะอึกสะอื้น
อดิศวร์ลูบผมอ่อนโยน “ใครทำอะไรคุณพิณ”
“พรุ่งนี้พิณจะกลับบ้านแล้วค่ะ! ใครไม่กลับก็อย่ากลับ”
อดิศวร์จับต้นแขนพิณทองดึงออกห่าง “มันเรื่องอะไรกัน”
“พิณอยากหย่ากับพิชญ์”
คำพูดจริงจังของหลานสาว สีหน้าอดิศวร์ขรึมลง
เวลาเดียวกันภายในร้านอาหารหรู และไฮโซแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ สองคุณหญิง แว่นแก้วและวัชรี นั่งทานของว่างและปรึกษากัน
“คุณแก้วโทร.ไปบอก หนูพิณเลยว่าเราจะไปช่วยกันถล่มนังผู้หญิงไร้ยางอายคนนั้น”
“โถ! คุณพี่ขา...เราคุยกันเองไม่ต้องสุภาพนักก็ได้...เรียกมันนังผู้หญิงหน้าด้านเลยค่ะ”
วัชรีพูดเต็มปากเต็มคำด้วยความลืมตัว “นังผู้หญิงหน้าด้าน ... ต๊าย พอหลุดออกไปแล้วมันสบายใจยังไงก็ไม่รู้”
คนที่โต๊ะข้างๆ หันมามองแว่บหนึ่ง
วัชรีลดเสียงลง “แล้วนี่เราต้องโทร.ไปบอกหนูพิณไหมคะ”
“คงไม่ต้องหรอกค่ะ หนูพิณแกขี้เกรงใจ...ไม่ชอบมีเรื่องกับใคร” ประโยคหลังสุดแว่นแก้วหัวเราะคิกคัก “ไม่เหมือนคุณแม่”
วัชรีหัวเราะคิกคักตาม “คุณแม่สามีด้วย”
ทั้งสองคุณหญิงวางแผนกัน กระซิบกระซาบไปมา
ไม่นานต่อมาอดิศวร์พูดโทรศัพท์คุณหญิงแว่นแก้วด้วยสีหน้าเหมือนจะอึดอัดนิดๆ
“แล้วคุณพี่จะมาเมื่อไหร่ครับ ได้ครับ พรุ่งนี้จะไปรับที่สนามบิน”
อดิศวร์วางโทรศัพท์ลง สีหน้ายุ่งยากใจ
ดึกสงัดคืนนั้น บรรยากาศภายนอกโดมทองเงียบสงัด มีหมอกควันจางๆ ปกคลุมไปทั่วดูวังเวง ลึกลับและน่ากลัว
ประตูห้องเปิดออก วิรงรองเดินออกมาช้าๆ เหมือนถูกสะกด เสื้อนอน ผมเผ้าพลิ้วเหมือนมีสายลมอ่อนๆ พัดเข้ามา
วิรงรองเดินเรื่อยๆ จนถึงบันไดแล้วก้าวลงไปเนิบช้า
วิรงรองเดินช้าๆ มาเรื่อยๆ จนถึงทางเดินแคบๆ ตรงไปยังห้องเก็บของ วิรงรองเดินมาจนถึงหน้าห้องเก็บของ แล้วหยุด
เสียงกุญแจดังกริ๊กเหมือนมีคนไขกุญแจ ทำให้วิรงรองรู้สึกตัว มองไปที่กุญแจที่มาของเสียง
กุญแจเลื่อนหลุดออกมา ประตูค่อยๆเปิดออก มีเสียงดังอ๊อดแอ๊ดด้วยความเก่า วิรงรองเดินเข้าไปช้าๆ กวาดสายตามองไปโดยรอบซึ่งในห้องเต็มไปด้วยฝุ่นและหยากไย่ และเห็นข้าวของเครื่องใช้ที่คลุมไว้ด้วยผ้าขาว ตรงมุมหนึ่ง
วิรงรองเดินมองไปจนถึง ผ้าดำ 2 ผืน ซึ่งคลุมอะไรบางอย่างลักษณะเหมือนรูปภาพ
วิรงรองเขม้นมอง นัยน์ตาเป็นประกายด้วยความอยากรู้อยากเห็น ยื่นมือไปจับผ้าดำนั้น มือวิรงรองเตรียมกระชากผ้าสีดำออกมา
จังหวะนี้มีมือผอมกรังเหมือนกระดูกข้างหนึ่งจับขยุ้มไหล่วิรงรองไว้
วิรงรองหันขวับมามอง แล้วต้องกรีดร้องสุดเสียง
วิญญาณพิศ ค่อยๆ แสยะยิ้มออกมาอย่างน่ากลัว
วิรงรองสะดุ้งเฮือก ตกใจตื่น ผุดลุกขึ้นนั่ง ใบหน้าวิรงรองมีเหงื่อแตกพลั่กเต็มหน้า
หญิงสาวถอนใจเฮือก “ฝันไปนั่นเอง”
ภาพพิศในห้วงความคิด ภาพนั้นเลือนหายไป วิรงรองเม้มปากอย่างใคร่ครวญ
“ป้าคนนั้นอีกแล้ว” วิรงรองนิ่งคิด “แกเป็นใคร”
อ่านต่อหน้า 2
โดมทอง ตอนที่ 6 (ต่อ)
อีกมุมหนึ่งในโดมทองยามเช้าอุไรกระซิบกระซาบกับวิรงรองด้วยสีหน้าแววตาตระหนก
“ผีค่ะ! ผีอย่างไม่มีข้อสงสัย”
“ฮื้อ...” วิรงรองส่ายหน้า
“อ้าว ...คุณวิลองคิดดูซิคะ ! ถ้าไม่ใช่ผีแล้วจะเป็นอะไร”
“เป็นคน” วิรงรองว่า
อุไรเถียง “ไม่มีทาง”
“วิก็คงจะคิดอย่างนั้นเหมือนกัน ถ้าหาก...” วิรงรองชะงัก
อุไรเบิกตากว้าง “อะไรคะ”
วิรงรองนิ่ง ภาพเหตุการณ์ค่ำคืนที่เห็นหน้าท่านเจ้าคุณ ซึ่งวิรงรองเชื่อว่าเป็นอดิศวร์ ผุดขึ้นมา
“คุณวิ เมื่อกี้จะพูดอะไรหรือคะ”
“เปล่า” วิรงรองไม่เล่า
เสียงโอบอ้อมแหลมเข้ามา “อ้อ หลบมาซุบซิบนินทากันที่นี่เองหรือยะ”
วิรงรองและอุไรหันมามอง
เห็นโอบท้าวสะเอวอยู่ “พี่อุไร ท่านผู้หญิงให้ฉันมาตาม”
อุไรหันมามองวิรงรองแว่บหนึ่ง แล้วขยับออกเดิน โอบอ้อมเสียงดังไล่หลัง
“สยองแน่”
อุไรชะงัก แล้วเดินไป
โอบอ้อมหันมาทางวิรงรอง “คุณก็เหมือนกัน”
เจอด่า “อย่าสะเออะ”
โอบอ้อมสะดุ้ง
“อย่าลามปาม”
วิรงรองด่าแล้วเดินออกไป โอบอ้อมมองตาม เบิกตากว้าง ไม่คาดคิด
อุไรเปิดประตูเดินเข้ามาในห้องท่านผู้หญิงสรรักษ์แล้วปิดลงเบาๆ พออุไรหันกลับมา ต้องสะดุ้งเฮือก เมื่อเห็นสายตาที่ท่านผู้หญิงมองตรงมาจ้องเขม็ง
แสงแขมองด้วยความสะใจ แกมเกลียดชัง อุไรทรุดตัวลงคุกเข่าคลานมาถึงหน้าเตียงแล้วอ้าปากจะพูด
ท่านผู้หญิงสรรักษ์ตวาดขึ้นก่อน “นังอุไร”
อุไรสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ
“แกชอบไปสุมหัวกับนังพลับพลึงใช่ไหม”
“ปล...ปละ...เปล่าเจ้าค่ะ...อุไร”
ท่านผู้หญิงตัวสั่นเทิ้มด้วยความโกรธ “นังอุไร”
“ไล่มันออกไปเลยค่ะ คุณย่า! มันเป็นพวกคุณย่าน้อย”
ท่านผู้หญิงหันขวับมาตวาดแสงแข “อย่าเรียกชื่อนังนั่นให้ฉันได้ยิน”
แสงแขก้มหน้าลง “ค่ะ”
“นังอุไร! แก...”
เสียงเคาะประตูดังขัดจังหวะขึ้นก่อนท่านผู้หญิงจะพูด เป็นอดิศวร์ที่เปิดประตูเข้ามา อุไรลอบถอนใจโล่งอก
อดิศวร์มองสีหน้าทุกคนแว่บหนึ่ง “มีอะไรหรือครับ”
“นังอุไรมันชอบสุมหัวกับนังพลับพลึง”
อดิศวร์ถอนใจเบาๆ โดยท่านผู้หญิงมองเห็นพอดี
“นั่นลบรำคาญย่าหรือ” หญิงชราออกอาการน้อยใจ
“ถ้าตราบใดที่คุณย่ายังหมกมุ่นอยู่แต่กับเรื่องคุณย่าน้อย ตราบนั้นคุณย่าจะไม่มีความสุขเลย”
ท่านผู้หญิงร้องไห้ด้วยความคับแค้นใจ “นังพลับพลึงต่างหากที่มันคอยตามรังควานย่า มันไม่ยอมปล่อยให้ย่าเป็นอิสระ มันจะแก้แค้นย่า” จากนั้นก็เอาแต่สะอึกสะอื้น
อดิศวร์หันมาพยักหน้ากับแสงแขและอุไร “ออกไปก่อน”
สองคนพึมพำรับคำเบาๆ แล้วลุกออกไป โดยแสงแขออกไปก่อน
อดิศวร์เดินมาทรุดตัวลงนั่งบนเตียง โอบท่านผู้หญิงไว้อย่างปลอบโยน
แสงแขเดินออกมา ตามด้วยอุไร โอบอ้อมซึ่งยืนรออยู่ รีบก้าวเข้ามา
“นังพี่อุไรถูกไล่ออกแล้วใช่มั้ยคะ”
“น้อยๆ หน่อย...นังน้องโอบอ้อม” อุไรเหลืออด
แสงแขแว้ดใส่ “หุบปาก! นังอุไร! วันนี้ แกยังโชคดีที่คุณลบเข้าไปพบคุณย่าเสียก่อนแต่ยังไงแกก็อยู่ไม่ได้แน่”
“เตรียมหาที่อยู่ใหม่ได้เลย...พี่อุไร” โอบอ้อมผสมโรง
“นี่ฉันไม่ได้แช่งใครนะ! แต่เคยได้ยินมั้ยที่เขาพูดกันว่า ให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นจะถึงตัว ขอตัวก่อนนะคะ” อุไรเดินไปแล้วนึกได้ หยุดหันกลับมา “อ้อ! ลืมไป...ต้องขอหัวด้วย ...ขืนไปแต่ตัวเหลือหัวไว้...ใครจะนึกว่าอุไรเป็นกระสือ”
อุไรหันหลังกลับเดินออกไปด้วยสีหน้าสะใจ ขณะที่แสงแขและโอบอ้อมเบิกตากว้าง
“นังอุไร ! มันกล้าต่อปากต่อคำกับฉัน”
ส่วนในห้องท่านผู้หญิงสรรักษ์เวลานั้น สองย่าหลานคุยกันอยู่
“คุณย่าอยากไปเที่ยวเมืองนอกบ้างไหมครับ...บางทีอะไรๆ อาจจะดีขึ้น” อดิศวร์แนะ
“ย่าจะไม่ไปไหนทั้งนั้น ...เดี๋ยวพวกมันจะคิดว่าย่ากลัว ย่าจะอยู่อย่างนี้ แล้วก็จะตายที่นี่”
“คุณย่าครับ”
“ฟังย่านะลบ...ไม่มีใครหนีตัวเองไปได้หรอก...ย่าจะอยู่เผชิญหน้ากับทุกสิ่งทุกอย่าง”
“ถ้าอย่างนั้น ก็ออกไปข้างนอกบ้าง...ไปในเมือง...หรือจะให้ผมเข็นรถดูในอาณาเขตโดมทองนี่ก็ได้”
“ขอบใจลูก...ขอบใจที่จะพาย่าไปโน่นไปนี่ ...แต่ย่า...” ดวงตาหญิงชราเริ่มลอยคว้างขณะเอื้อนเอ่ย “ย่าเหมือนคนถูกสาปให้ติดอยู่ในนี้...ในโลกของย่า”
อดิศวร์นิ่งไป
“ย่าเหนื่อยเหลือเกิน...อยากจะนอนพัก ลบช่วยออกไปบอกอุษาให้เข้ามาอยู่เป็นเพื่อนย่าหน่อย”
“ได้ครับ”
อดิศวร์จัดหมอน และประคองท่านผู้หญิงนอนอย่างอ่อนโยน
ท่านผู้หญิงสรรักษ์มองอดิศวร์ แต่กลับเห็นเป็นใบหน้าท่านเจ้าคุณเข้ามาแทนที่
“เจ้าคุณพี่...ทำไมเจ้าคุณพี่ทรยศดิฉัน เสียแรง...เสียแรงที่ดิฉันเฝ้าจงรักภักดี”
ท่านน้ำตาไหลพรากด้วยความเจ็บแค้น
“คุณย่าครับ...คุณย่า”
ท่านผู้หญิงยังสะอึกสะอื้นอยู่อย่างนั้น “เจ้าคุณพี่...ทำไม...”
“คุณย่าครับ...นี่ผมเอง...ลบไงครับ”
ท่านผู้หญิงสรรักษ์หลับตาลง แล้วโบกมือเป็นเชิงให้ออกไป อดิศวร์ดึงผ้านวมคลุมให้แค่อก มองท่านผู้หญิงครู่หนึ่ง
ครั้นเห็นว่าสงบนิ่งแล้วเขาจึงเดินออกไป
อดิศวร์เดินออกมาหน้าห้อง แล้วปิดประตูอย่างแผ่วเบา แสงแขกับโอบอ้อมยังรอฟังเรื่องอุไรอยู่
“โอบ...ไปตามคุณอุษามาอยู่เป็นเพื่อนคุณย่า” อดิศวร์สั่ง
“ค่ะ” โอบอ้อมเดินออกไป
“คุณย่าท่านสั่งให้ไล่นัง...เอ้อ...อุไรหรือเปล่าคะ”
“เปล่า”
อดิศวร์เดินไปเลย
แสงแขรีบตาม “แต่เมื่อกี้...”
อดิศวร์หยุดเดินแล้วหันมามอง “จะไม่มีการไล่ใครออกไปทั้งนั้น!...โดยเฉพาะคนเก่าคนแก่ของคุณแม่พี่ อย่างอุไร”
อดิศวร์เดินไป แสงแขมองตามพลางกัดปากแน่น
ด้านอุษากำลังเดินตรงมาจะไปห้องท่านผู้หญิง หยุดยืนตัวลีบเมื่อเห็นอดิศวร์เดินมา
“เย็นนี้เพิ่มอาหารอีก 2 ที่นะ” อดิศวร์บอก
“ค่ะ”
“แล้วช่วยจัดห้องพักทางปีกด้านโน้นอีก 2 ห้องด้วย”
“ค่ะ”
“ขอบใจมาก”
อดิศวร์เดินไป อุษาเดินต่อเพื่อไปห้องท่านผู้หญิง
ที่หน้าห้องท่านผู้หญิง อุษาเดินเลี้ยวเข้ามาในบริเวณนั้น โดยมีแสงแขนั่งคอแข็งอยู่ อุษาไม่ทักไม่ทายเดินก้มหน้าก้มตาไปที่ประตู
“แม่คนโปรด”
อุษาชะงักนิดหนึ่ง แล้วหันมามอง
“อยากทำอะไรให้เป็นประโยชน์บ้างมั้ย”
แสงแขเบิกตากว้างไม่คาดคิดว่าอุษาจะถามอย่างนั้น
“จะมีแขกของคุณลบมาพัก...เธอช่วยไปจัดห้องทางด้านโน้นให้ 2 ห้องพี่ต้องเข้าไปดูแลคุณย่า”
“ใครจะมา ผู้หญิงหรือผู้ชาย”
“ไม่รู้ พี่ไม่ได้ถาม แล้วเธอก็ไม่ควรหมกมุ่นอยู่กับเรื่องพวกนี้ จนไม่เป็นอันทำอะไร”
“สองผัวเมียนั่นล่ะ! ไหนบอกเมื่อคืนว่าจะกลับวันนี้...ยังไม่เห็นเตรียมตัวอะไรเลย”
“มันไม่ใช่เรื่องของเรา...คุณลบสั่งอะไรก็ทำตามนั้นพอ”
อุษาเดินไปที่ประตู เปิดออกแล้วเดินเข้าไป
แสงแขบ่นบ้าตามนิสัย “ตั้งแต่คบกับนังวิรงรอง...ปากเก่งขึ้นทั้งพี่อุษาทั้งนังอุไร”
ตรงสวนดอกกุหลาบสวยๆ วิรงรองกำลังโทรศัพท์อยู่บริเวณนั้น
“ไม่รู้เหมือนกันว่า เขายกโขยงกันไปไหน...ทั้งเจ้าของบ้าน...หลานสาว แล้วก็...” ชะงักไปนิดหนึ่ง “หลานเขย”
ลานนาคู่สนทนากำลังเดินดูคนงานให้อาหารสัตว์ ถึงกับเบิกตากว้าง
“อะไร้ ท่านเคานท์มีหลานเขยแล้วเรอะ ฟังดูแก๊...แก่”
“เขาแต่งงานกันแล้วมาฮันนีมูนที่โดมทอง”
“เข้าใจคิดนี่! โดมทองน่ะเป็นที่รวมภูมิประเทศสวยๆ ไว้เกือบหมด”
วิรงรองย่นจมูก “โชคร้ายน่ะไม่ว่า...ลานนา มารับวิหน่อยได้ไหม”
“แล้วเจ้านายตัวเองเขาไม่ว่าแน่นะ”
วิรงรองลงท้ายเสียงเข้ม “เขาไม่มีสิทธิ์”
“งั้นอีกประมาณครึ่งชั่วโมง ออกมารอข้างนอกนะจ๊ะ...ขี้เกียจเข้าไปคนที่นั่นหน้าตาไร้ชีวิตจิตใจยังกับผีดิบ”
“ได้จ้ะ ! เดี๋ยววิจะออกไปรอ”
เวลาผ่านไปอีกพักหนึ่ง ภายในห้องครัว อุษากำลังเตรียมทำซุปฟักทองให้ท่านผู้หญิง วิรงรองแต่งตัวน่ารักทะมัดทะแมงในชุดกางเกงขาสั้นเดินเข้ามาหา
“พี่อุษาคะ”
อุษาหันมาแล้วชะงักนิดหนึ่ง เมื่อเห็นวิรงรองนุ่งกางเกงขาสั้น ด้วยโลกของอุษาจะเป็นโลกที่ผู้หญิงแต่งตัวค่อนข้างปกปิด
“คุณวิ .. เอ้อ .. จะไปไหนคะ”
“ไปบ้านเจ้าลานนาค่ะ”
“ขออนุญาตคุณลบหรือยัง”
“เพิ่งนึกได้ว่าจะไปเมื่อสักครู่นี้เอง ... วิก็เลยมาขออนุญาตพี่อุษาไงคะ”
อุษาอึดอัดลำบากใจ “พี่กลัวว่าคุณลบ”
วิรงรองนิ่วหน้า “กลัวว่าเขาจะไม่อนุญาตหรือคะ”
อุษาพยักหน้านิดๆ เป็นเชิงยอมรับ
“ไม่เป็นไรค่ะ วิจะบอกว่าวิไปเอง” วิรงรองพูดพลางยกข้อมือขึ้นดูนาฬิกา “ไปล่ะค่ะ...ขากลับคงมีคนฝากดอกกล้วยไม้สวยๆ มาให้พี่อุษา”
วิรงรองยิ้มให้อุษาอย่างล้อเลียน แล้วออกไป
อุษารีบตะโกนไล่หลัง “ไม่เอานะคะ”
อุษาถอนใจยาว เมื่อวิรงรองไม่มีท่าทีจะได้ยิน พึมพำอย่างกังวล
“เดี๋ยวก็ยุ่งอีกหรอก”
วิรงรองเดินออกไป ในขณะที่แสงแขเดินสวนมาพอดี
แสงแขเบิกตากว้าง เมื่อเห็นวิรงรองใส่กางเกงขาสั้น “ตายแล้ว นั่นเกิดบ้าอะไรขึ้นมาน่ะ กลับไปเปลี่ยนเดี๋ยวนี้”
“ขอโทษ…คุณแสงแขไม่ได้เป็นทั้งคุณแม่แล้วก็เจ้านายดิฉันนะคะ ถึงจะได้มาสั่ง”
“ฉันจะฟ้องคุณลบ”
“ฟ้องว่าดิฉันนุ่งขาสั้นน่ะหรือคะ! ขนาดคุณแม่ดิฉันยังไม่ว่าเลย ...เอ๊ะ! หรือว่าคุณแสงแขอยากจะนุ่งบ้าง แต่ไม่กล้า”
“ไม่ใช่ไม่กล้า...แต่หน้าฉันไม่ด้านพอต่างหาก” แสงแขย้อน
“ถ้าการนุ่งขาสั้นแปลว่าหน้าด้าน แล้วการที่คอยพยายามจะเรียกร้องความสนใจจากผู้ชายทั้งๆ ที่เขาไม่สนล่ะคะเรียกว่าอะไร”
แสงแขเบิกตากว้าง โกรธจนพูดไม่ออก
“ดิฉันต้องไปล่ะค่ะ”
วิรงรองเดินไปอย่างรวดเร็ว
แสงแขกรี๊ด “นังวิรงรอง”
ขณะเดียวกันเจ้าภูไทจอดรถแอบข้างทางใกล้ประตูรั้วโดมทอง แล้ว 2 พี่น้องเปิดประตูลงมา ลานนาชะเง้อมองเข้าไปข้างใน ซึ่งดูเงียบสนิท มีแต่ต้นไม้ใหญ่ร่มครึ้มวังเวง
“น้องยังยืนยันว่าที่นี่เหมือนปราสาทแดร็คคูล่า”
“ไปว่าบ้านเขาอีกแล้ว พี่ว่าสวยคลาสสิคออก”
“ก็ไม่ได้เถียงนี่คะว่าไม่สวย...แต่สวยแบบบรื๊อ...บรื๊อ” ลานนาทำท่าสยองแต่น่าขัน
ภูไทหัวเราะ แล้วนัยน์ตาเป็นประกายขึ้น วิรงรองเดินตรงมา โดยมีสมตามมาเปิดประตูให้
ลานนากระซิบพี่ชาย “ดูซิคะ...อีตาคนที่ตามวิมาเปิดประตู ก็หน้าตายังกับคนเฝ้าสุสาน”
ภูไทดุเบาๆ “จุ๊! ยัยน้อง”
วิรงรองหันไปขอบคุณสม
“ขอบคุณนะคะ ลุงสม”
“ไม่เป็นไรครับ”
วิรงรองก้าวออกมาแล้วรีบตรงไปที่รถพลางยกมือไหว้ภูไท ซึ่งหน้าแดงทันที
“ขอบคุณค่ะ พี่ชาย ที่กรุณามารับ”
ภูไทรับไหว้ “ไม่เป็นไรครับ”
“เอ๊ะ ทำไมต้องหน้าแดงด้วยล่ะคะ พี่ชาย”
ถูกน้องสาวล้อภูไทเขม้นมองน้องดุๆ แล้วเปิดประตูด้านคู่คนขับให้วิรงรองด้วย ลานนาขึ้นไปนั่งเบาะหลังด้วยสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ภูไทอ้อมมานั่งที่คนขับ แล้วขับออกไป
ไม่นานหลังจากนั้น แลเห็นดอกไม้เบ่งบานหลากหลายพันธุ์ ชู่ช่อแข่งกันอวดความสวยงาม รวมทั้งกล้วยไม้ในเรือนกล้วยไม้ ขณะที่เจ้าภูไทขับรถเข้ามาจอด หน้าบ้าน พันธุ์สูรย์ซึ่งนั่งจิบกาแฟรอ รีบลุกขึ้นเดินไปรับ ด้วยสีหน้ากระตือรือร้น ทุกคนในรถเปิดประตูลงมา
วิรงรองมองล้อๆ “มารอฟังข่าวพี่อุษาหรือคะ”
พันธุ์สูรย์มีสีหน้าเก้อเขิน พูดไม่ออกในขณะที่ลานนาเหลือบมอง แล้วหน้าสลดลง
ภูไทมองเห็นพอดี รู้ว่าลานนาแอบรักพันธุ์สูรย์ จึงโอบไหล่น้องสาวเข้ามาเป็นเชิงปลอบใจ ทันใดมีเสียงดังโครม และเพล้งตามมาติดๆ
ทุกคนหันไปดู เห็นบัวคำจอมซุ่มซ่ามซึ่งถือน้ำมารับแขก ถลาหกล้ม แก้วตกแตกกระจาย
ลานนาแกล้งทำหน้าขรึม “เดือนนี้แก้วแตกกี่ใบแล้วฮึ! บัวคำ”
บัวคำเสียงอ่อยๆ แต่ก็ปกป้องตัวเองเต็มที่ “ยี่สิบใบเองค่ะ”
ทุกคนหัวเราะ ขณะที่ลานนายิ่งแกล้งทำหน้าเคร่งขึ้น
“ตั้งยี่สิบใบย่ะ...ไม่ใช่เพิ่ง 20 ใบ”
“โธ่! เจ้าลานนาขา...ใครจะอยากให้แตกคะ” บัวคำบอก
“อ๋อ! ก็เธอนั่นไงที่อยากให้แตก...โน่น หลักฐานกระจายเต็มไปหมด”
“ปล่อยให้ลานนาทะเลาะกับบัวคำไป...เชิญคุณวิรงรองข้างในดีกว่า...เชิญครับ”
วิรงรองเดินเข้าไปกับภูไท...โดยมีพันธุ์สูรย์ตามไป
“เก็บให้หมดเลยนะ” ลานนาบอก
“มันก็ต้องหมดอยู่แล้วละค่ะ! ไม่หมดก็บาดเท้าซิคะ” บัวคำเถียง
“โอ๊ย! พูดคำเถียง 3 คำ! ปวดหัว”
“ปวดหัวเจ้าก็อย่าพูดซิคะ”
“บัวคำ”
“ขา...”
“หุบปาก!”
บัวคำอ้าปากจะเถียงต่อ
“ถ้ามีเสียงออกมา ฉันจะหักเงินเดือนตามจำนวนแก้วที่แตก”
บัวคำรีบกลืนคำพูดลงไป แล้วยิ้มประจบ ลานนาเดินเข้าไป บัวคำหันไปบ่นงึมงำแบบไม่มีเสียง
“บัวคำ”
บัวคำสะดุ้ง มองซ้ายมองขวาแล้วก้มลงเก็บแก้วใส่ถาด
ตัวบ้านโดมทองอันสง่างามกว้างใหญ่ ปรากฏต่อสายตาผู้มาเยือนอีกครา ส่วนภายใน รัฐมนตรีพจน์ คุณหญิงแว่นแก้ว และคุณหญิงวัชรี มองไปโดยรอบด้วยความตื่นตาตื่นใจ
วัชรีเอื้อนเอ่ยใบหน้าเป็นปลื้ม “สวยเหลือเกินค่ะ...โดมทองของคุณลบ”
ร.ม.ต พจน์ “น่าเสียดายที่เราไม่ได้มาฮันนีมูนที่นี่นะ คุณแก้ว ....
“ก็ตอนนั้น ท่านผู้หญิง ท่านลือชื่อว่าดุมาก แก้วเลยไม่กล้าขออนุญาต...คุณลบเองก็ยังเป็นเด็ก แล้วดูเหมือนจะเรียนอยู่เมืองนอกด้วยใช่ไหม”
“ครับ” อดิศวร์รับ
“งั้นก็แสดงว่า ตาพิชญ์กับหนูพิณโชคดี”
พิชญ์พูดทีเล่นทีจริง “อาจจะโชคร้ายก็ได้ครับ”
ทุกคนชะงัก พิชญ์ยิ้ม ตีหน้าไม่รู้ไม่ชี้พูดต่อไปเรื่อยๆ ขณะที่พิณทองเม้มปาก
“อยู่ที่นี่ นึกอยากจะได้เที่ยวทะเลก็ได้ไป...หรืออยากจะไปภูเขา น้ำตกมีพร้อม อยากเห็นอะไรก็ได้เห็น ภายในอาณาเขตโดมทอง”
พิณทองมองหน้าพิชญ์ พูดทีเล่นทีจริงบ้าง “รวมทั้ง “คน” ด้วยใช่ไหมคะ”
ทุกคนนิ่งกันไปหมด บรรยากาศดูอึดอัด
รัฐมนตรีพจน์รีบคลี่คลายบรรยากาศแล้วกระแอมเล็กๆ “มหัศจรรย์มาก”
“ใช่ครับ…มหัศจรรย์เกินกว่าจะเป็นความจริง”
ขณะที่พิชญ์พูด แสงแขเดินนำโอบอ้อมซึ่งถือถาดวางแก้วน้ำใบเตยเย็นเจี๊ยบเข้ามา
แสงแขหันมาบอกโอบอ้อม “เอาไปวางไว้บนโต๊ะ”
“ค่ะ” โอบอ้อมทำตาม
“น้ำใบเตยหอมเย็นชื่นใจค่ะ...ที่นี่เราปลูกใบเตยเอง เลยมั่นใจได้ว่าสะอาด”
ทุกคนมองแสงแขซึ่งเดินมายืนเคียงข้างอดิศวร์อย่างสง่า ด้วยความแปลกใจ
อดิศวร์ขยับห่างออกมานิด “นี่แสงแข เป็นญาติทางผู้น้องของคุณแม่ผมครับ”
แสงแขนิ่วหน้านิดหนึ่ง แล้วยิ้มหวานพลางไหว้ทั้ง 3 คน แล้วหันมาทางอดิศวร์ด้วยท่าทีสนิทสนม
“คุณลบจะให้แขพาทุกท่านให้ไปห้องพักก่อนไหมคะ”
อดิศวร์หันมาทางแขก “ว่ายังไงครับ”
“ก็ดีเหมือนกัน...แต่ต้องขอดื่มน้ำใบเตยก่อน”
ว่าพลางพจน์ยกน้ำใบเตยขึ้นจิบ แว่นแก้วและวัชรีดื่มตาม ยกเว้นอดิศวร์ พิณทองและพิชญ์
ครู่ต่อมาพิณทองพาพ่อและแม่เดินเข้ามาในห้องพัก ซึ่งเปิดหน้าต่างให้ลมพัดเข้ามาจนม่านปลิวไสวรัฐมนตรีพจน์เดินไปที่หน้าต่างแล้วสูดอากาศเข้าไปเต็มปอด
“ฮึ้ม ....ม....ชื่นใจจริงๆ”
“โดมทองอากาศเย็นตลอดปีโดยที่ไม่ต้องติดแอร์เลยค่ะ คุณพ่อ” พิณทองบอก
“นั่นไม่ใช่เหตุผลหรอก” แว่นแก้วว่า
พจน์กับพิณทองหันมามองแว่นแก้ว
“คุณย่าน่ะท่านรักโดมทองของท่านมาก จนไม่ยอมให้อะไรมาเปลี่ยนแปลง...ท่านต้องการจะหยุดเวลาในโดมทองไว้ให้เหมือนเมื่อครั้งที่ท่านยังเป็นสาว เห็นมั้ยล่ะว่า นอกจากไม่มีแอร์แล้วยังไม่มีทีวี ไม่มีโทรศัพท์ ไม่มีแม้กระทั่งนาฬิกา”
“ไม่เห็นจะเกี่ยวกับนาฬิกาเลยนะคะ...สมัยก่อนก็มีนาฬิกา” พิณทองท้วง
“อ้าว! ถ้ามีนาฬิกา ก็เท่ากับเวลามันเดินไปเรื่อยๆ น่ะสิลูก ถ้าไม่มีก็เท่ากับทุกอย่างหยุดอยู่กับที่”
“แล้วท่านไม่สังเกตหรือว่า ตัวเองก็แก่ลงทุกวันๆ ซึ่งนั่นก็เท่ากับเวลาไม่ได้หยุดตามที่ท่านต้องการ” พจน์ท้วงบ้าง
แว่นแก้วค้อนขวับ “เอาไว้ คุณถามท่านเองก็แล้วกัน”
พิณทองห่อไหล่ “น่ากลัวออกค่ะ”
“นั่นซิ! ตกกลางคืนคงวังเวงพิลึก” พจน์ว่า
“พิณหมายถึงคุณทวดค่ะ บ้านน่ากลัวก็จริง แต่ยังมีมุมสวย...มุมรื่นรมย์...แต่คุณทวด...” พิณทองส่ายหน้าขณะบอกคำต่อมา “พิณบอกไม่ถูก...รู้แต่ว่ามีอะไรบางอย่างที่น่ากลัวมาก”
สองคนมองพิณทองอย่างแปลกใจ
สองคนอยู่ในห้องพักคุณหญิงวัชรี เวลานั้นพิชญ์หันมาทางแม่
“ความจริงผมกับพิณจะกลับกรุงเทพฯ วันนี้ แต่พอดีน้าลบบอกว่าคุณแม่จะมา”
“ลูกพบมันแล้วใช่ไหม”
“พบอะไรครับ”
“วิรงรอง”
พิชญ์ชะงัก “คุณแม่ทราบได้ยังไง...” ชายหนุ่มเว้นไปนิด แล้วพยักหน้าช้าๆ นึกได้ “พิณทองนั่นเอง...ผมไม่เข้าใจว่า ทำไมพิณทองต้องเอาเรื่องนี้มาบอกคุณแม่”
“อ๋อ! หนูพิณไม่ได้บอกฉันหรอกย่ะ เขาไม่สบายใจ ก็เลยบอกแม่ของเขา”
“แล้วคุณแม่ของเขาก็เอามาบอกคุณแม่”
“พิชญ์ แม่ไม่ชอบสีหน้าแล้วก็น้ำเสียงเยาะๆ ของลูกเลย ก็ถ้าเราไม่มีท่าทีผิดปกติ เรื่องอะไรหนูพิณ เขาจะเก็บมากลุ้มใจจนต้องเล่าให้คุณแก้วฟัง”
พิชญ์ถอนใจเฮือก
วัชรีจ้องลูกชายเขม็ง “ใช่ไหม ตาพิชญ์ แกทำให้หนูพิณช้ำใจเสียใจ”
พิชญ์พยายามอดทนสุดๆ “คุณแม่ครับ ผมยอมรับว่า ผมยังตัดใจจากพลับพลึงไม่ขาด แล้วอยู่ดีๆ มาพบเขาที่นี่โดยไม่ทันรู้ตัว...” พิชญ์ลงนั่งแล้วกุมขมับ
วัชรีโกรธ “แกก็เลยรื้อฟื้นความสัมพันธ์”
พิชญ์เงยหน้าขึ้น สีหน้าและแววตาเจ็บปวดเหลือแสน “ผม...ผมก็อยากทำอย่างนั้น”
“ตาพิชญ์” คุณหญิงขึ้นเสียง
พิชญ์แค่นหัวเราะ “ไม่ต้องตกอกตกใจไปหรอกครับ พลับพลึงเขามีศักดิ์ศรีพอที่ไม่ยอมยุ่งกับผม”
วัชรีเย้ยหยันวิรงรองทันที “ก็เพราะมันมีที่หมายใหม่แล้วละซี อย่าโง่ไปหน่อยเลยพิชญ์ ไม่เกี่ยวกับเรื่องศักดิ์ศรีอะไรหรอก แต่มันกำลังจะจับคุณลบ ลูกไม่เห็นหรือว่า คุณลบรวยขนาดไหน”
“ผมคบกับพลับพลึงมาหลายปี...พลับพลึงไม่ใช่คนอย่างนั้น” พิชญ์บอก
“แน่ใจหรือ”
พิชญ์มองแม่ วัชรียิ้มมีเลศนัย
ด้านอดิศวร์ยังคงทอดสายตามองไปข้างหน้า ด้วยสีหน้าท่าทางเฉยชาเป็นปกติ มีแต่นัยน์ตาเท่านั้นที่เป็นประกายแว่บหนึ่งด้วยความไม่พอใจ
“จะออกไปเที่ยวไหน มันก็เป็นสิทธิ์ของเขา แต่ก็ควรขออนุญาตคุณลบก่อน...แล้วก็ไม่ควรนุ่งกางเกงขาสั้นจู๋อย่างนั้น พอแขเตือนอย่างพี่สาวที่หวังดี...เขากลับว่าแขหน้าด้าน”
อดิศวร์หันกลับมา ตามองแสงแขเพ่งพิศ
“ทำไมเขาถึงได้ว่าเธออย่างนั้น”
แสงแขหลบตา แล้วอึกอักเล็กน้อย “แข...เอ้อ...แขก็ไม่ทราบค่ะ แต่ถึงแขจะพูดแรงไปสักนิด แต่ก็เพราะความหวังดีล้วนๆ อย่างที่เรียนคุณลบไปน่ะค่ะ”
“ขอบใจที่มาบอก”
แสงแขยิ้มออก “ไม่เป็นไรค่ะ...เป็นหน้าที่ของแขที่ต้องคอยดูแลบ้านและผู้คนเวลาคุณลบไม่อยู่”
“เธอมีอะไรก็ไปทำเถอะ” อดิศวร์ตัดบท
แสงแขรีบสวนทันที “แขว่างแล้วค่ะ”
“พี่จะไปธุระหน่อย” อดิศวร์ว่า
อดิศวร์เดินไป แสงแขรีบวิ่งตาม
“คุณลบจะไปไหนคะ...แขขอไปด้วยคน”
อดิศวร์หยุด ผินหน้ามามอง
“อยู่บ้านทั้งวันแขเง้า...เหงา”
“พี่จะไปธุระ...ไม่ได้ไปเที่ยว! เข้าใจไหม”
แสงแขอึ้ง มองดูอดิศวร์เดินไปอย่างน้อยอกน้อยใจ
ขณะที่พิณทองเปิดประตูเข้ามาในห้อง แล้วชะงักไปนิดหนึ่ง เห็นพิชญ์ยืนหันหลังให้ แล้วมองออกไปนอกหน้าต่าง พิณทองค่อยๆ ก้าวถอยหลัง จะออกไปแต่แล้วก็ต้องหยุดชะงักอีก เมื่อเสียงพิชญ์ดังขึ้นโดยที่ไม่ได้หันมา
“ผมไม่เข้าใจว่า คุณเอาเรื่องที่เรามาพบพลับพลึงที่นี่ไปเล่าให้ผู้ใหญ่ฟังทำไม”
พิณทองเม้มปาก สีหน้าน้อยใจวูบขึ้นมา
“พออยู่กันตามลำพังเท่านั้น คุณแม่ก็เปิดฉากเอาเรื่องผมเป็นการใหญ่...หาว่าผมไม่ดีอย่างโน้น...พลับพลึงเลวอย่างนี้”
พิณทองขัดขึ้นเสียงเย็นชา “ถ้าพิณทำให้คุณกับ...คุณวิรงรองไม่พอใจก็ต้องขอโทษด้วยค่ะ”
พิชญ์หันมาสีหน้าเคร่ง “อย่ามาทำสุ้มเสียงเย็นชาใส่ผม”
“คุณก็อย่ามาทำสีหน้าเคร่งเครียดใส่พิณ”
“อ้อ! เดี๋ยวนี้มีขึ้นเสียง” พิชญ์เยาะ
“แล้วคุณคิดว่า พิณเป็นทาสหรือคะ ถึงจะต้องฟังคุณดุด่าตลอดเวลา”
พิชญ์หงุดหงิด “ผมไม่เคยดุด่า กรุณาใช้คำพูดใหม่ด้วย...คุณต้องยอมรับว่า คุณเป็นต้นเหตุให้ผู้ใหญ่ต้องลำบากมาที่นี่ทั้งๆ ที่เรากำลังจะกลับกันอยู่แล้ว”
พิณทองย้อน “หมายความว่า! พิณผิดคนเดียว...คุณถูกทั้งหมด” พูดแล้วน้ำตาจะหยดมิหยดแหล่
พิชญ์ถอนใจเฮือกหงุดหงิด
พิณทองตัดสินใจ “ถ้าอยู่ด้วยกันแล้วไม่มีความสุข เราก็หย่ากันเถอะค่ะ”
พิชญ์ชะงัก
“พิณไม่แคร์แล้วว่าสังคมหรือใครจะนินทาว่าร้ายยังไง เพราะขืนอยู่ด้วยกันไป พิณต้องเสียสุขภาพจิตแน่! คุณพร้อมเมื่อไหร่ บอกพิณด้วยก็แล้วกัน”
พิณทองเดินออกไป แล้วปิดประตูลงปกติ พิชญ์มองตามด้วยสีหน้ามึนๆ
คุณหญิงแก้วและคุณหญิงวัชรีเดินเข้ามาภายในห้องนั่งเล่นพลางเหลียวมองหา
“หายไปไหนแล้วล่ะ” วัชรีแปลกใจ
“บ้านช่องใหญ่โต หากันลำบาก” แก้วว่า
แสงแขเดินเข้ามา ปรับสีหน้าอ่อนหวาน
“คุณลบออกไปข้างนอกค่ะ”
แก้วและวัชรีหันมามอง
“อ้อ ....หนู” แก้วทัก
“คุณอาทั้งสองต้องการอะไรเพิ่มหรือเปล่าคะ”
“ไม่มีแล้วจ้ะ ขอบใจหนูมาก” วัชรีเยื้อนยิ้ม
“ถ้าอย่างนั้น แขขอไปดูคุณย่าก่อนนะคะ”
วัชรี และแก้วพยักหน้า แสงแขหันกลับไป แก้วนึกได้แล้วรีบเรียกไว้
“เดี๋ยวจ้ะ”
แสงแขหันกลับมา สีหน้าแววตายังคงยิ้มอ่อนหวาน
“นัง...เอ๊ย! วิรงรองอยู่ที่นี่ใช่ไหม” แก้วถาม
แสงแขแปลกใจเล็กๆ “ค่ะ...แต่เขาไปบ้านเจ้าภูไทตั้งแต่เช้า”
วัชรีเยาะหยันทันที “เจ้าภูไท...ผู้ชายละซี”
แสงแขพอจะจับน้ำเสียงได้ว่า 2 คนไม่ปลื้มวิรงรอง “ค่ะ แม่คนนี้เขาสนใจแต่ผู้ชายที่มีฐานะดีทั้งนั้น”
“นั่นไงคะ คุณพี่...มาอยู่โดมทองไม่เท่าไหร่ เขาก็รู้นิสัยกันหมด” แก้วพลอยพยัก
“แล้วคุณลบล่ะ หนูแข”
แสงแขบีบน้ำตาทันทีเหมือนเจ็บปวดหนักหนา
วัชรีและแก้วมองหน้ากัน
“แข...แข...ขอไม่พูดถึงได้ไหมคะ...แขกลัว”
แก้วอยากรู้ขึ้นมาทันที “กลัวอะไร”
แสงแขส่ายหน้า
“นังนั่นมันจับคุณลบ” วัชรีเดา
“ใช่ค่ะ...คุณย่าตั้งใจจะให้คุณลบหมั้นกับแข...ทุกอย่างกำลังจะเป็นไปด้วยดี...แต่แล้ว...วิรงรองก็เข้ามา”
แสงแขน้ำตาไหลพรากแลดูน่าสงสาร วัชรีและแก้วสบตากัน
ส่วนอดิศวร์ขับรถเข้ามาจอดหน้าบ้านเจ้าภูไท แล้วเปิดประตูก้าวลงมา บัวคำซึ่งออกมายืนดูว่าใครมา เบิกตากว้าง มือเท้าอ่อน
“แม่เจ้า!...หล่อยังกับพระเอกช่อง 7 สี แน่ะ”
“ฉันมารับวิรงรอง”
บัวคำยังคงมองราวกับตกอยู่ในภวังค์
อดิศวร์พูดเข้มขึ้น แล้วเน้นเป็นคำๆ “ฉันมารับวิรงรอง”
บัวคำกระตือรือร้นขึ้นมา “ไปกันเดี๋ยวนี้เลยค่ะ”
บัวคำทำท่าจะไปขึ้นรถ แต่แล้วก็หน้าเจื่อนลง เมื่อสบตาเย็นชาของอดิศวร์
“ขอประทานโทษค่ะ ... คือตะกี้ได้ยินว่ามารับบัวคำ”
อดิศวร์ยังคงมองด้วยสายตาเย็นชาเช่นเดิม
“คุณ...คุณวิอยู่ในไร่”
อดิศวร์ยังคงมีสีหน้าดังเดิม
“ไปตามเดี๋ยวนี้แหละค่ะ”
บัวคำหันหลังกลับ แต่ขาดันขัดกัน ล้มโครมอีก หันมายิ้มแห้งๆ
“หกล้มค่ะ”
บัวคำรีบลุกขึ้นเดินเข้าไปข้างใน อดิศวร์กลับเข้าไปนั่งคอยในรถ
อ่านต่อหน้า 3
โดมทอง ตอนที่ 6 (ต่อ)
ภายในไร่ บริเวณแปลงไม้ดอก แลเห็นดอกไม้สวยงามเบ่งบานสะพรั่ง โดยมีคนงานคอยดูแลรักษาใส่ปุ๋ยบำรุงกันไป
เจ้าภูไทขับรถกอล์ฟโดยมีวิรงรองและลานนามองอย่างตื่นตาตื่นใจ โดยมีลานและภูไทคอยชี้ชวนชม อธิบายให้วิรงรองดูโน่น ดูนี่
ภูไทหยุดรถให้วิรงรองและลานลงไปตัดดอกไม้ใส่กระเช้าสวยๆ ที่ถือคนละใบ
แล้วหลังจากนั้นภูไทมาจอดที่สวนสัตว์ ลงไปให้อาหารที่เตรียมมาในรถ ทุกคนดูสดชื่นสนุกสนาน ภูไทนั้นเอาอกเอาใจใกล้ชิดวิรงรองเป็นพิเศษ
ส่วนบัวคำเดินแกมวิ่งตรงมาที่อดิศวร์ซึ่งนั่งหน้าเคร่งอยู่ในรถ บัวคำสะดุดหกล้มเช่นเคย อดิศวร์มองพลางส่ายหน้า แล้วเปิดประตูลงไป
จังหวะนี้พันธุ์สูรย์ขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามาช้าๆ อดิศวร์หันหน้ากลับไปมองเห็น หน้าตึงทันที พันธุ์สูรย์เองก็ชะงักตอนแรกแล้วขบกราม
“ขอโทษคุณคงจะเข้าบ้านผิด ที่นี่ไม่ใช่โดมทอง แต่เป็น คุ้มภูไท”
บัวคำโผล่เข้ามาทะลุกลางปล้อง “ติดต่อไม่ได้ค่ะ ทุกคนปิดมือถือหมด”
พันธุ์สูรย์เบือนหน้ากลับมามองอดิศวร์แล้วเลิกคิ้ว “คุณมาพบเจ้าภูไท...ไม่น่าเป็นไปได้ที่พวกเทวดาอย่างคุณจะลงมาพบปะผู้คนธรรมดา”
“ฉันมารับคนของฉันกลับ”
พันธุ์สูรย์อ้าปากจะพูด
บัวคำทะลุกลางปล้องเช่นเคย “คุณวิรงรองไงคะ”
พันธุ์สูรย์บอก “บัวคำ ! ไปได้แล้ว”
“แต่คุณคนนี้...”
“ฉันบอกให้ไป” พันธุ์สูรย์เสียงดัง
บัวคำรับคำอ่อยๆ แล้วเดินสะดุดหน้าคะมำออกไปตามประสา สองหนุ่มเปิดฉากทะเลาะกัน
“ผมคิดว่า...คุณวิรงรองคงไม่อยากกลับตอนนี้”
“วิรงรองทำงานให้ฉัน...และนี่ก็เป็นเวลาทำงาน”
“พวกคุณนี่ใหญ่จนเคยตัว”
“นายมีปัญหาหรือ”
พันธุ์สูรย์ย้อนเอา “เปล่า! คุณนั่นแหละมีปัญหา”
“ไอ้พันธุ์สูรย์” อดิศวร์ขบกรามแน่น
“คุณย่าของคุณก็เหมือนกัน! แต่จะว่าไป...คนที่อยู่ที่โดมทองล้วนแล้วแต่มีปัญหาทั้งนั้น”
อดิศวร์ต่อยเปรี้ยงที่ปากพันธุ์สูรย์เต็มแรง
พันธุ์สูรย์ยกหลังมือเช็ดปาก มีเลือดติดออกมา
“จำไว้ว่า! อย่ามาดูถูกพวกฉัน”
“พวกคุณมันน่าสมเพช เย่อหยิ่ง...จองหอง! นึกว่าตัวเองวิเศษกว่าคนอื่นเขาไปหมดทั้งๆ ที่ข้างในเน่าฟอนเฟะ! ริษยา อาฆาต! ผิดศีลธรรม และอำมหิตผิดมนุษย์”
อดิศวร์บันดาลโทสะกระชากคอเสื้อพันธุ์สูรย์เข้ามา และจ้องด้วยนัยน์ตาแข็งกร้าว
“ไม่เชื่อก็ไปถามคุณย่าของคุณดูว่า ผมพูดจริงหรือเปล่า”
ทั้งสองหนุ่มสบตากันไม่ลดละ พันธุ์สูรย์นั้นเย้ยหยัน ขณะที่อดิศวร์โกรธจัด
ด้านเจ้าภูไทปูผ้าผืนใหญ่ลงใต้ต้นไม้ใหญ่ร่มรื่น ในไร่ บรรยากาศโดยรอบสวยงามชวนปลอดโปร่ง วิรงรองหยิบกระเช้าดอกไม้ที่ตัดใส่จนเต็ม สวยสะพรั่งมาวางตรงกลาง แล้วลานวางตะกร้าปิคนิคลง
“พี่ชายช่วยไปหยิบกาแฟที่รถด้วยค่ะ” ลานนาบอก
“ได้จ้ะ”
ภูไทเดินไปหยิบตะกร้ากาแฟ และน้ำเปล่าที่รถมีเสียงมอเตอร์ไซค์ตรงมา ทุกคนหันไปมอง เห็นพันธุ์สูรย์ขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามาจอดเทียบรถกอล์ฟ
“คุณพันธุ์สูรย์มาพอดีเลย” วิรงรองทัก
วิรงรองพูดพลางหันกลับมา ทันได้เห็นนัยน์ตาลานเป็นประกายแวบหนึ่ง ก่อนจะเบือนกลับมาก้มหน้าก้มตา
จัดแซนด์วิชและพายวางในจาน
วิรงรองขมวดคิ้วแล้วรีบคลาย เมื่อเห็นภูไทและพันธุ์สูรย์เดินคุยกันตรงมา โดยพันธุ์สูรย์เป็นคนถือตะกร้ากาแฟ
และน้ำ ทั้งสองคนสีหน้าขรึมลง ท่าทางเหมือนกังวล
วิรงรองมอง 2 หนุ่มสลับกัน “มีอะไรหรือเปล่าคะ”
พันธุ์สูรย์มองภูไท
“บอกคุณวิไปเถอะ”
“คุณลบมารับคุณวิ” พันธุ์สูรย์บอก
วิรงรอง และ ลานนาชะงัก
“แล้วทำไมพี่พันธุ์สูรย์ไม่ชวนมาปิกนิกด้วยกันล่ะคะ”
“เขากลับไปแล้ว”
2 สาวจ้องมองพันธุ์สูรย์งงๆ
พันธุ์ยักไหล่นิดๆ ขณะบอก “เขาโกรธผมน่ะ”
“น้องวิจะกลับไหม...พี่จะไปส่ง” ภูไทถาม
วิรงรองสีหน้าแววตาถือดีขึ้นมา “ไม่ค่ะ วิตั้งใจไว้แล้วว่าจะกลับเย็นๆ...วิก็จะกลับเย็นๆ”
พูดพลางวิรงรองก็หยิบแซนด์วิชกินอย่างเอร็ดอร่อย
สามคนมองวิรงรองอย่างฉงนปนทึ่ง แล้วต่างกินตามและพูดคุยเรื่องอื่นกันไป
ขณะเดียวกันนั้น รัฐมนตรีพจน์ กำลังถ่ายรูปมุมต่างๆ อยู่หน้าคฤหาสน์โดมทอง เช่นเดียวกับวัชรี โดยมีแว่นแก้วคอยแจมขอถ่ายกับคนโน้นบ้างคนนี้บ้าง และถ่ายเดี่ยวบ้าง
แสงแขยกถาดของว่าง ตามด้วยโอบอ้อมซึ่งถือถาดน้ำเปล่า และน้ำผลไม้สีสวยเดินเข้ามาบริการ
“หิวกันหรือเปล่าคะ...แขนึ่งแป้งสิบไส้ปลามาให้ค่ะ”
พจน์เดินมาที่โต๊ะอาหารทันที “ที่จริงก็ไม่หิวหรอก แต่มันหอม...หนูทำเองหรือ”
แสงแขอึกอักและกำลังพยักหน้าจะรับ
โอบอ้อมแทรกขึ้น “คุณอุษาทำค่ะ”
แสงแขเบือนหน้าไปถลึงตาใส่แว่บหนึ่ง โอบอ้อมหน้าจ๋อย
วัชรีจิ้มกิน “อร่อยจัง...พี่ไม่เคยกินแป้งสิบที่ไหนอร่อยอย่างนี้เลย คุณแก้ว”
โอบอ้อมพยายามแก้ตัว “คุณแขเป็นคนปรุงไส้น่ะค่ะ”
แสงแขถลึงตาใส่อีกรอบ
พจน์มองไปเห็นรถอดิศวร์แล่นเข้ามา “อ้าว ! นั่นคุณลบมาแล้วนี่”
อดิศวร์ขับรถเข้ามาจอด ก้าวลงมา
“ถ่ายรูปกันหรือครับ”
“บ้านคุณสวยคลาสสิคมากเลยคุณลบ...เหมือนเข้ามาอยู่ในโลกอีกโลกนึง” พจน์ว่า
“ประมาณเมืองลับแลได้ไหม” วัชรีสัพยอก
“น่าจะได้นะครับ” พจน์เห็นด้วย
“ต้องยกความดีให้เจ้าคุณทวดของผมนะครับ...แล้วคุณย่าก็พยายามรักษาทุกสิ่งทุกอย่างไว้ให้เหมือนเดิมมากที่สุด ...เชิญตามสบายนะครับ...ผมจะเข้าไปดูคุณย่าก่อน”
อดิศวร์หันหลังจะเดินไป
วัชรีเรียกไว้ “เดี๋ยวค่ะ...คุณลบ”
อดิศวร์หันกลับมาหา
“พวกเราจะถือโอกาสเข้าไปกราบท่านผู้หญิงด้วยเลยได้ไหม...มาถึงตั้งหลายชั่วโมงแล้ว ยังไม่ได้พบเจ้าของบ้านเลย”
สีหน้าอดิศวร์ปรากฏความยุ่งยากใจขึ้นมาแวบหนึ่ง
แก้วดูออกรีบแก้สถานการณ์ “อย่าเพิ่งเลยค่ะ คุณพี่...เรายังไม่ได้รีบกลับไม่ใช่หรือคะ”
วัชรีมีแววแปลกใจแว่บหนึ่ง “ใช่ค่ะ”
“ไปเถอะ คุณลบ” แก้วว่า
อดิศวร์ก้มศรีษะให้นิดๆ แล้วเดินไป แสงแขซึ่งขยับเข้ามายืนยิ้มแย้มพยักหน้าน้อยๆ และเปลี่ยนไปตามสีหน้า
ของอดิศวร์ รีบตามไปรวมทั้งโอบอ้อม
“ก็อย่างที่บอก...คุณย่าท่านไม่ธรรมดาหรอกค่ะ...ต้องรอให้ท่านพร้อมก่อนแล้วค่อยขออนุญาตเข้าไปพบ” แก้วบอก“งั้นใครที่จะมาเป็นสะใภ้บ้านนี้ก็เอาเรื่องเหมือนกันนะ” พจน์ว่า
แก้วค้อนขวับ “น้อยไปน่ะซิคะ!...ที่เห็นๆ อยู่นี่ก็สองคนเข้าไปแล้ว” คุณหญิงยักไหล่ “แต่ก็ไม่ค่อยจะคู่ควรสักเท่าไหร่ ...โดยเฉพาะแม่วิรงรองนั่น”
วัชรีพยักเพยิดหนักแน่นเห็นด้วย
“คุณเคยเห็นเขาแล้วเรอะ” พจน์ถาม
“โอ๊ย! ถึงไม่เห็นก็รู้” แก้วบอก
พจน์ทำสุ้มเสียงตักเตือน “คุณแก้ว...อย่าเพิ่งตัดสินคนอื่นโดยที่เรายังไม่ทันรู้จักเขาเลย...ยังไม่เคยเห็นตัวด้วยซ้ำ”
“ถึงยังไม่เห็นตัว แต่ดิฉันเห็นฤทธิ์มันแล้วละค่ะ! ก็ที่หนูพิณกับตาพิชญ์ไม่ได้มีความสุขเหมือนคู่แต่งงานข้าวใหม่ปลามันทั่วๆ ไป ไม่ใช่เพราะนัง...เอ๊ย! แม่คนนี้หรือคะ พูดแล้วมันเจ็บใจ”
ขณะที่วัชรี และแก้วมีสีหน้าหงุดหงิด พจน์ก็เบือนหน้าหนีไปทางอื่นด้วยสีหน้าอ่อนอกอ่อนใจ
ส่วนภายในห้องท่านผู้หญิงสรรักษ์เวลานั้น
ท่านผู้หญิงมีสีหน้าหงุดหงิด “ไม่รู้จะขนมาทำไมกันมากมาย”
“ทุกคนอยากจะมากราบคุณย่ากันครับ” อดิศวร์บอก
“ฉันไม่ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่จะต้องยกโขยงกันมากราบไหว้!” หญิงชราเว้นวรรคไปอีกนิด...ดวงตาเริ่มเลื่อนลอย “..โดมทองเขาไม่พอใจ รู้ไหม...เขาอยู่อย่างสงบมานาน แล้วจู่ๆ ใครก็ไม่รู้พากันมาทำลายความสงบของเขา”
“คุณย่า” อดิศวร์เรียกเสียงอ่อนๆ เป็นเชิงเรียกให้สติย่ากลับคืนมา
ท่านผู้หญิงสรรักษ์หันมามอง นัยน์ตาแห้งแล้งกลับส่องประกายวาวโรจน์ “โดมทองมีชีวิต! ลบอย่าคิดว่า เขาเป็นแค่อิฐแค่หิน...โดมทองเขาช่วยย่า”
อดิศวร์จับมือท่านผู้หญิงไว้ “ผมคิดว่าพี่แก้วกับเพื่อนๆ คงไม่ได้จะมาพักอยู่นานหรอกครับ...อีกไม่กี่วันก็คงกลับ... คุณย่าจะให้เขามาพบเมื่อไหร่ดีครับ”
ท่านผู้หญิงสรรักษ์ถอนใจยาว แล้วหลับตาลง “ตามใจลบเถอะ” จากนั้นก็ไม่พูดอะไรอีก
อดิศวร์หันมาพยักหน้ากับอุษา แล้วลุกเดินออกไป อุษาผินหน้ามามองท่านผู้หญิงแวบหนึ่งแล้วเดินออกไป
ที่หน้าห้องครู่ต่อมาอุษาปิดประตูลงเบาๆ แล้วหันมามองลบซึ่งยืนหันหลังให้หวาดๆ อดิศวร์หันกลับมา
“รู้หรือเปล่าว่าวิรงรองไม่อยู่”
อุษาบอกเสียงเบา “ทราบค่ะ...เอ้อ...คุณวิมาบอกอุษาว่าเธอจะไปหาเจ้าลานนา”
“เจ้าลานนาหรือเจ้าภูไทกันแน่” อดิศวร์กระแทกเสียงใส่
อุษามีสีหน้าประหลาดใจในท่าทีของอดิศวร์แวบหนึ่ง
“ถ้าเขากลับมาเมื่อไหร่ให้ไปพบพี่ที่ห้องทำงาน”
อดิศวร์เดินหน้าบูดไปทันที
อุษามองตามด้วยสีหน้าแปลกใจสุดๆ “คุณลบไม่เคยเป็นอย่างนี้เลย”
ดวงอาทิตย์ลอยคล้อยต่ำลงบริเวณเทือกเขายาวเหยียด แลเห็นทุ่งหญ้าต้องลมอ่อนๆ ปลิวไสวสุดลูกหูลูกตา
เจ้าภูไทขับรถเลี้ยวตรงมาช้าๆ ตรงบริเวณหน้ากำแพงโดมทอง
“เดี๋ยวจอดหน้าประตูนะคะ” วิรงรองบอก
“น้องวิกลัวคุณอดิศวร์มากหรือ” ภูไทถาม
วิรงรองนัยน์ตาวาวขึ้นทันทีทันควัน “เรื่องอะไรจะต้องกลัวคะ คนโรคจิตแบบนั้น”
ภูไทอดขำไม่ได้ “ทำไมไปว่าเขาอย่างนั้น”
“ก็วิเห็น...” วิรงรองนิ่งไปเมื่อนึกได้ว่าไม่สมควรพูด
“เห็นอะไร” ภูไทถามย้ำ
“เปล่าค่ะ!...ขอบคุณพี่ชายมากนะคะที่อุตส่าห์มาส่ง”
ภูไทมองวิรงรองแน่วนิ่งขณะบอก “พี่เต็มใจที่จะมารับแล้วก็มาส่งน้องวิ”
วิรงรองไหว้ลา “งั้นก็ต้องขอบคุณอีกครั้งค่ะ”
วิรงรองเปิดประตูลงไป ภูไทลงมาเช่นกันแล้วเปิดประตูหลังหยิบกระเช้าดอกไม้ออกมาพร้อมกับเดินไปส่งสาวเจ้า ที่ประตู
“แล้วจะเข้าไปยังไง”
“วิบอกลุงสมว่าให้มาเปิดประตูตอน 6 โมง” วิรงรองชะเง้อมอง “โน่นไงคะ... มาแล้ว”
สมเดินแกมวิ่งมาเปิดประตู วิรงรองรับกระเช้าดอกไม้จากภูไท “ขอบคุณมากเลยค่ะ”
“คุ้มภูไท…ยินดีต้อนรับน้องวิตลอดเวลานะครับ”
“ค่ะ”
วิรงรองโบกมือให้ภูไทขณะเดินเข้าประตู
“ขอบคุณนะคะ ลุงสม”
สมยิ้มเพียงนิดเดียว แล้วปิดประตู
ภูไทมองตามร่างแบบบางนั้นไปจนลับตา แล้วเดินกลับมาขึ้นรถ ภูไทยังคงมองโดมทองด้วยสายตาครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วขับออกไป
วิรงรองหิ้วกระเช้าดอกไม้เดินตรงมาหน้าตึก โดยมีอุษายืนรออย่างกระวนกระวายใจ
วิรงรองยิ้ม “นี่ค่ะ! ของฝากจากคุณพันธุ์สูรย์”
อุษาไม่รับ “รีบเข้าไปเถอะค่ะ คุณลบสั่งให้ไปพบในห้องทำงาน”
“สั่งก็สั่งไป! วิจะไปอาบน้ำก่อน! เหนียวตัวจะแย่”
“ได้โปรด” อุษามองมาอย่างอ้อนวอนเต็มที่
วิรงรองมองอุษาแล้วนิ่วหน้า “คุณอุษากลัวคุณอดิศวร์ขนาดนั้นเลยหรือคะ”
“ถ้าไม่ไปพบคุณลบเดี๋ยวนี้ พี่ก็จะไม่รับดอกไม้”
“เฮ้อ...ก็ได้ค่ะ! เห็นแก่คุณพันธุ์สูรย์นะเนี้ย”
วิรงรองเย้าพลางส่งกระเช้าดอกไม้ให้อุษา แล้วเดินเข้าไป อุษาถอนใจโล่ง
เวลาต่อมา อดิศวร์เงยหน้าขึ้นกวาดสายตามองวิรงรองทั้งตัว ขณะเดินมายืนตรงหน้า
“นี่ชุดไปหาเจ้าภูไทหรือ”
น้ำเสียงและท่าทีดูแคลนของนายจ้าง ทำให้วิรงรองเม้มปากแล้วเชิดหน้าขึ้นนิดๆ อย่างถือดี “งั้นมั้งคะ”
อดิศวร์ลุกขึ้นอย่างหงุดหงิด “แล้วเป็นไงล่ะ ได้ผลหรือเปล่า”
วิรงรองโต้ไม่ลดราวาศอก “คิดว่าได้ค่ะ เพราะเจ้าภูไทเชิญให้ดิฉันไปเที่ยวที่บ้านบ่อยๆ”
อดิศวร์ก้าวเข้ามาแล้วจับต้นแขนวิรงรองบีบจนสาวเจ้านิ่วหน้าเจ็บ แต่กัดปากไว้ไม่ยอมร้อง
“จำได้ไหมที่ฉันเคยบอกว่า ฉันเป็นนายจ้าง เธอเป็นลูกจ้าง เพราะฉะนั้นฉันขอห้ามไม่ให้เธอไปโดยไม่ขออนุญาต”
“จำไม่ได้ เพราะคำสั่งคุณไม่มีสาระพอที่จะให้จำ”
อดิศวร์ฉุนรวบตัวลูกจ้างสาวเข้ามา วิรงรองรีบยกมือยันหน้าอกไว้โดยสัญชาติญาณระวังตัว
“ปล่อยนะ”
“อวดดีไปให้ตลอดซิ”
“ปล่อย! ฉันไม่ใช่คุณแสงแขของคุณ”
อดิศวร์ชะงักก้มลงมองหน้าวิ นัยน์ตาเป็นประกายแวบหนึ่ง “แสงแขมาเกี่ยวอะไรด้วย”
วิรงรองเบือนหน้าหลบจมูกอดิศวร์ที่ก้มลงมาชิดแก้ม “คุณก็ไปถามกันเองซิ...ปล่อย”
“ฉันจะถามเธอ” อดิศวร์ก้มลงอีก
วิรงรองพยายามส่ายหน้าหนีเป็นพัลวัน
“ว่าไง! แสงแขเกี่ยวอะไร...ทำไมถึงชอบอ้างถึงเขานัก”
“คุณอดิศวร์! ปล่อย!”
“ไม่อย่างนั้น ฉันอาจจะคิดว่าเธออิจฉา”
วิรงรองหันขวับมามอง แล้วเบิกตากว้าง อดิศวร์ก้มลงมอง จนปากใกล้จะชนปากวิรงรองรอมร่อ เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น ตามด้วยเสียงคุณหญิงแก้ว
“คุณลบ...พี่เข้าไปได้ไหมคะ”
อดิศวร์ค่อยๆ คลายวงแขนขณะวิรงรองผลักอกเขาอย่างแรง “เชิญครับ”
แก้วเปิดประตูเข้ามา แล้วชะงัก เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางของทั้งคู่ วิรงรองขยับจะเดินออกไป แต่อดิศวร์จับข้อมือเอาไว้
แก้วเบิกตากว้าง แล้วพูดไม่ออก
อดิศวร์ แนะนำ "พี่แก้วครับ...นี่วิรงรอง...วิรงรอง..นี่คุณแก้วพี่สาวของฉัน...เธอเป็นแม่ของพิณทอง"
วิรงรองยกมือไหว้อย่างนอบน้อม แก้วซึ่งตั้งสติได้ รับไหว้เพียงแค่อก สีหน้าแววตาแสดงความดูถูกอย่างชัดแจ้ง แล้วเบือนสายตามาที่อดิศวร์เหมือนจะตำหนิเล็กๆ
“ต้องขอโทษด้วย...พี่ไม่รู้ว่าคุณลบกำลัง “ยุ่ง” อยู่”
อดิศวร์มีสีหน้าแววตาปกติขณะตอบ “ก็ไม่ได้ “ยุ่ง” อะไรมากหรอกครับ...วิรงรองเขามารายงานว่าวันนี้ไปทำอะไรมาบ้างแค่นั้น”
แก้วตวัดสายตามามองวิรงรองเยาะๆ “แหม...ช่างเป็นลูกจ้างที่ Perfect จริงๆ นะอะไรนิดอะไรหน่อยก็ต้องรีบมา “รายงาน” เจ้านาย”
วิรงรองยิ้มนิดๆ นัยน์ตาเป็นประกายขณะสบตาแก้ว มือที่พยายามจะดึงออกกลับปล่อยให้อดิศวร์จับไว้ตามสบาย
“ดิฉันก็ไม่ได้อยากจะทำอย่างนั้นหรอกค่ะ...แต่คุณอดิศวร์น่ะซีคะ...” พลางสบตาอดิศวร์หวานๆ แวบหนึ่งก่อนมองแก้วตามเดิม “อะไรนิดอะไรหน่อยก็ต้องเรียกดิฉันมาคอยถาม...ไปไหนมา?... ไปกับใคร? สนุกไหม? ดิฉันก็เลยต้องรีบมารายงานเสียก่อน” หันมาทางอดิศวร์ “วิขอไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะคะ...แล้วจะเล่าให้ฟังต่อ”
วิรงรองดึงข้อมือออกเนียนๆ ยิ้มหวานให้อดิศวร์ แล้วก้มศรีษะนิดๆ ให้แก้ว ก่อนเดินออกไปอย่างสง่างาม
อดิศวร์มองตาม ด้วยสายตาเหมือนจะขำๆ แกมเอ็นดูโดยไม่รู้ตัว
ส่วนแก้วมองตามวิรงรองอย่างไม่พอใจ แล้วหันมาเห็นสายตาอดิศวร์พอดี กระแอมอย่างขวางๆ
อดิศวร์รู้สึกตัวปรับสีหน้าเป็นปกติ “พี่แก้วมีอะไรหรือครับ”
“คุณลบนั่นแหละ มีอะไรจะบอกพี่หรือเปล่า”
อดิศวร์สบตาญาติผู้พี่อย่างเฉยเมย “พี่แก้วหมายถึง “อะไร” ล่ะครับ”
แก้วหน้าเจื่อนลง ในขณะที่ลบยังดูเฉยเมย และเย็นชานิดๆ
ที่หน้าห้องคุณหญิงวัชรีจ้องมองวิรงรองเขม็ง ขณะที่วิรงรองกำลังเดินผ่านไปแล้วเรียกไว้
“เดี๋ยว”
วิรงรองหยุด ค่อยๆ หันกลับมามอง รัฐมนตรีพจน์ มองท่าทีของ 2 สาว อย่างสบายๆ อารมณ์ดี ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
“เธอชื่อ พลับพลึง ใช่ไหม”
“ไม่ใช่ค่ะ! ดิฉันชื่อวิรงรอง”
พจน์ มองวิรงรองอย่างขำๆ ปนทึ่ง
วัชรีสายตากราดเกรี้ยว “ก็นั่นแหละ... ฉันเป็นแม่ของพิชญ์”
สีหน้าวิรงรองยังคงสงบ “ค่ะ...ไม่มีอะไรแล้วใช่ไหมคะ”
“มี”
วิรงรองมองหน้าวัชรีอย่างเฉยเมย
พจน์เห็นท่าทางชักจะไม่ดี “คุณวัช” แต่ไม่ทันแล้ว
“ลูกชายฉันแต่งงานกับผู้หญิงที่ดีเพียบพร้อมคู่ควรกันแล้ว เธออย่าได้เข้าไปแทรกเป็นอันขาด หมั่นท่องศีลข้อ 3 ไว้ให้ขึ้นใจเข้าใจไหม”
พจน์มองวัชรีเหมือนไม่เชื่อหู
“เข้าใจค่ะ แต่คงจะมีการเข้าใจอะไรผิดสักอย่าง เพราะทั้งหมดที่พูดมา...คนที่ต้องรับฟังคือลูกชายของท่าน ไม่ใช่ดิฉัน ไม่มีอะไรแล้วใช่มั้ยคะ”
วิรงรองเดินเลยไป พจน์อดหัวเราะอย่างอารมณ์ดีไม่ได้
วัชรีหันขวับมาอย่างโกรธๆ “ขำอะไรนักหนาคะท่าน”
พจน์รีบหุบยิ้มทันที “ขอโทษครับ”
ประตูห้องอดิศวร์เปิดออก แก้วเดินออกมา สีหน้าไม่ได้ต่างไปจากวัชรีเท่าไหร่
“คุณพี่...น้องร้อนใจเหลือเกิน”
“พี่ก็เหมือนกัน”
สองคนพากันเดินไป พจน์มองตามขำๆ แก้วหยุดเดินแล้วหันมา
“จะไปด้วยกันไหมคะ”
รัฐมนตรีพจน์ โบกมือ “เชิญตามสบายเถอะ! ผมจะออกไปดูอะไรต่ออะไรข้างนอกอีกหน่อย เมื่อกี้ยังดูไม่ทั่วเลย...คุณก็ลากเข้ามาแล้ว” แล้วเดินออกไป
วัชรีกระซิบแก้วเล่าเรื่อง รัฐมนตรีพจน์ ให้ฟัง...แก้วเบิกตากว้าง”
“ต๊าย! จริงหรือคะ! ไอ้เราเรอะหวังจะให้ช่วยกันถล่มนังนั่น”
พจน์เดินออกมานอกคฤหาสน์ เดินดูโน่นดูนี่ไปเรื่อยๆ พร้อมกับถ่ายรูป สักพักหนึ่งจึงเบือนหน้ากลับมา แล้วบังเอิญมองไปที่โดม พร้อมกับยกกล้องขึ้นถ่ายรูปโดมนั้น
ค่ำแล้ว รัฐมนตรีพจน์ เดินเข้ามา ในจังหวะที่พิณทองกำลังจะเดินออกไป
“อ้าว! คุณพ่อ...พิณกำลังจะออกไปตามพอดี...ได้รูปอะไรมาบ้างคะ”
“เยอะแยะ! เดี๋ยวพ่อจะให้ดู”
“ไปอาบน้ำแล้วลงมาทานข้าวก่อนนะคะ...ที่นี่เขาทานกันทุ่มนึง”
พจน์ยิ้มขำ “ระเบียบจัดขนาดนั้นเชียวเรอะ”
“ค่ะ”
สองพ่อลูกเดินขึ้นบันไดไป
ด้านวิรงรองกำลังครึ่งนั่งครึ่งนอนอ่านหนังสืออยู่ หลังจากอาบน้ำอาบท่าอยู่ในชุดนอนเรียบร้อย เสียงเคาะประตูดังขึ้น
วิรงรองขยับตัวแล้ววางหนังสือลงบนตัก “ใครคะ”
“ฉันเอง” เสียงขรึมเข้มของผู้เป็นนายจ้างดังเข้ามา
วิรงรองนิ่งไป
“เปิดประตูซิ” อดิศวร์สั่งอีก
“ดิฉันง่วงมาก...กำลังจะนอนแล้วค่ะ”
“ให้เวลาเธอ 1 นาที มาเปิดประตู อย่าลืมว่าฉันมีกุญแจ”
วิรงรองรีบถลาไปเปิดประตูด้วยความกลัวว่าอดิศวร์จะเข้ามา จนลืมใส่เสื้อคลุม อดิศวร์มองทั่วตัววิรงรองแว่บหนึ่ง ด้วยสายตาดูแคลนแบบนั้นทำให้วิรงรองฉุน รีบยกแขนขึ้นกอดอกทันที พูดโดยไม่สบตา
“ก็บอกว่าง่วงนอน”
“เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วลงไปทานข้าวกับฉัน”
“ดิฉันอิ่มแล้ว”
“ฉันให้เวลาเปลี่ยนเสื้อผ้า 3 นาที”
“เอ๊ะ”
อดิศวร์ดูนาฬิกาข้อมือพลางบอก “เหลือ 2 นาที 54 วินาที”
วิรงรองผลักประตูปิดใส่หน้าอดิศวร์อย่างหงุดหงิด
อดิศวร์ยิ้มนิดๆ แล้วถอยออกมายืนติดระเบียงหันหลังให้ห้อง
สักครู่หนึ่งประตูเปิดออก ก่อนจะเห็นวิรงรองหน้างอเดินออกมา
อดิศวร์หันกลับมาหา “เร็วนี่ เหลืออีก 10 วินาที”
วิรงรองถลึงตามอง “ฉันเกลียดคุณ!”
วิรงรองสะบัดบ๊อบเดินจ้ำพรวดๆ นำหน้าไป โดยมีอดิศวร์เดินตามอย่างใจเย็น
ทุกคนยกเว้นอดิศวร์และวิรงรองต่างนั่งพร้อมหน้ากันในห้องรับประทานอาหาร โดยมีแสงแขทำตัวเป็นเจ้าภาพชวนแขกคุย ยิ้มหัวกันอย่างสนุกสนาน
“ชายหาดของเราก็สวยสะอาดมากค่ะ เพราะเป็นหาดส่วนบุคคล...นึกได้แล้ววันพรุ่งนี้ไปปิ้งบาร์บิคิวทานกันที่นั่นดีกว่า”
แก้วและวัชรี พยักเพยิดตื่นเต้นกันไป
จังหวะนี้อดิศวร์เดินเข้ามากับวิรงรอง
พจน์หันไปเห็นก่อนใคร “คุณลบมาพอดี”
ทุกคนต่างมีสีหน้าเป็นไปตามความรู้สึกของแต่ละคน ที่เห็นอดิศวร์และวิรงรองเข้ามาราวกับสนิทสนมกัน
“ต้องขอโทษด้วยครับที่มาช้าหน่อย เพราะต้องรอวิเขา”
พลางอดิศวร์เดินไปขยับเก้าอี้ให้วิรงรองนั่ง แล้วเดินกลับมาที่หัวโต๊ะ ซึ่งวิรงรองนั่งต่อจากพิณทอง
แสงแขที่นั่งตรงกันข้ามมองวิรงรองราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
อดิศวร์พยักหน้ากับอุไรเป็นเชิงบอกให้เริ่มเสิร์ฟ อุไรและโอบอ้อมเริ่มตักข้าวบริการ
ที่ทะเลเวลานั้นเกลียวคลื่นซัดพัดเข้าสู่ฝั่งเป็นระยะๆ
ในขณะที่รัฐมนตรีพจน์และแก้วเดินเข้ามาในห้อง แก้วหน้าตาบึ้งตึง
“นังนั่นมันมีอะไรดีนักหนา”
สีหน้าพจน์ออกจะรำคาญ ขณะเดินไปหยิบกล้องมาเปิดดูรูปที่ถ่าย
“คุณลบก็อีกคน รู้ทั้งรู้ว่านังวิรงรองมันเป็นแฟนเก่าตาพิชญ์ก็ยังจะไปคลุกคลีกับมันอีก”
“ไม่เอาน่า...คุณ...เรื่องของเขา” พจน์ปราม
“คุณลบน่าจะได้คนดีกว่านี้” แก้วฮึดฮัด
“แล้วคุณรู้ได้ยังไงว่าหนูวิรงรองไม่ดี” พจน์แย้ง
“เอ๊ะ! คุณพี่ มันจะดีไปได้ยังไงในเมื่อ...”
ขณะเถียงกัน พจน์เปิดดูรูปไปเรื่อยๆ
“เขาเป็นแฟนเก่าตาพิชญ์ไม่ใช่เรอะ...งั้นก็แสดงว่าตาพิชญ์เป็นคนไม่ดี”
แก้วโมโหลงเสียงหนัก “คุณพจน์”
พจน์ชะงัก “แปลก”
แก้วฉงน “คุณว่าฉันแปลกเรอะ”
“ไม่ใช่ คุณมาดูรูปนี้ซิ”
แก้วเดินมาหา พจน์ส่งกล้องให้ดู แก้วมองพลางขมวดคิ้ว
เป็นรูปภาพตัวโดมที่พจน์ถ่ายเมื่อบ่าย มีเงาปรากฏเหมือนคนยืนอยู่ที่หน้าต่าง ทั้งๆ ที่หน้าต่างปิด
“เงาอะไรน่ะ...เหมือนเงาคน”
พจน์ดึงกล้องมาดูด้วยสีหน้าแววตาครุ่นคิด
ทิวเขายาวเหยียดสุดสายตา ถูกห่อคลุมและตกอยู่ท่ามกลางไอหมอกในยามเช้า รัฐมนตรีพจน์ กำลังยืนมองไปที่ตัวโดมอย่างเพ่งพิศ สลับกับดูภาพในกล้อง และดูต้นไม้ใหญ่ในบริเวณนั้น ว่าจะเป็นสาเหตุให้เกิดเงาได้หรือไม่
จังหวะนี้วิรงรองในชุดออกกำลังกายวิ่งเหยาะๆ กลับมา วิรงรองหยุดยืนมอง ท่าทีนั้นอย่างแปลกใจครู่หนึ่ง แล้วจึงตัดสินใจเดินเข้ามาใกล้
พจน์เบือนหน้ามามองทักทายอย่างมีไมตรี “อ้อ...หนู...ไปวิ่งออกกำลังกายมาหรือ”
“เพิ่งจะเริ่มวันนี้เองค่ะ...เอ้อ ...คุณลุงดูอะไรหรือคะ”
พจน์ส่งกล้องในมือยื่นให้ดู “ดูนี่ซิ”
วิรงรองเพ่งตามองที่ภาพนั้น เป็นภาพเหมือนมีเงาคนซ้อนอยู่กับหน้าต่างโดม
วิรงรองตื่นเต้นเล็กๆ “เหมือนเงาคนเลย” พลางเหลียวมองรอบบริเวณนั้น “ไม่ใช่เงาไม้แน่นอน”
“ลุงถึงได้ออกมาดูอีกครั้งให้แน่ใจ...จะว่ามีคนขึ้นไปทำความสะอาดก็ไม่ใช่”
“ขึ้นไปไม่ได้หรอกค่ะ เพราะทางขึ้นปิดประตูเหล็กใส่กลอน”
วิมองพจน์อย่างครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วตัดสินใจถาม
“คุณลุงเชื่อเรื่องลึกลับเหนือธรรมชาติหรือเปล่าคะ”
พจน์ยิ้มๆ “หมายถึงผีละซี”
วิรงรองมีสีหน้าแสดงอาการลังเลครู่หนึ่ง “หนูก็บอกไม่ถูก เพราะปกติหนูเป็นคนไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ แต่...ก็มีบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้หนูลังเลว่า...อาจจะมีพวก...เอ้อ ...โรคจิต”
“เรื่องนี้คงต้องคุยกันยาว ไปหาที่นั่งก่อนดีกว่า” พจน์ว่า
“ทางโน้นมีค่ะ”
วิรงรองชี้ พลางเดินนำ รัฐมนตรีพจน์ไป
ขณะเดียวกันนั้นวัชรีที่ยืนอยู่ตรงหน้าต่างห้องนั่งเล่น เบิกตากว้าง
“คุณแก้ว! มาดูอะไรนี่”
แก้วลุกขึ้น “อะไรคะ” คุณหญิงชะงักเมื่อมาถึงหน้าต่าง “นั่นคุณพจน์นี่”
วิรงรองกำลังเล่าอะไรบางอย่าง โดยพจน์ดูท่าทางตั้งใจฟังอย่างยิ่ง
“อย่าว่าพี่คิดอะไรสกปรกเลยนะคะ...พี่คิดว่าแม่ดอกพลับพลึงกำลัง...เอ้อ...”
แก้วเบิกตากว้างหันขวับมามองวัชรี
วัชรีพยักหน้าคอนเฟิร์มความหมายที่ค้างไว้ให้แก้วเข้าใจอย่างหนักแน่น
“คนเฒ่าคนแก่ มันก็ไม่เว้น...แต่ก็อย่างว่าแหละค่ะ คุณพจน์น่ะสง่าภาคภูมิแถมยังเป็นถึงรัฐมนตรี”
แก้วทนไม่ได้ “พอแล้วค่ะ...คุณพี่! ยิ่งพูดยิ่งเหมือนใจจะหยุดเต้น”
“มันพลาดจากตาพิชญ์ ก็เลยคิดจะมาคว้าคุณลบ แต่ก็ต้องฟาล์วอีกเพราะเขามีคู่หมายอยู่แล้ว ทีนี้ก็ต้องหาที่เกาะใหม่น่ะซีคะ มองไปมองมาดันมาจ๊ะเอ๋กับคุณพจน์” วัชรีพูดเป็นตุเป็นตะ
แก้วยกมืออุดหู “โอ๊ย! ตายแล้ว”
“อย่ายอมเป็นอันขาดเชียวนะคะ...วัวแก่กับหญ้าอ่อนน่ะ”
วัชรีพูดไม่ทันจบ แก้วเดินลิ่ว ออกไปแล้ว
วัชรีรีบตามไป
สองคนอยู่บริเวณภายนอกที่เดิม
“เท่าที่หนูเล่ามาทั้งหมดนี่ คุณลุงคิดว่าเป็นผีหรือว่า คนโรคจิตกันแน่คะ”
“แล้วคนโรคจิตที่ว่านี่...หนูคิดว่าเป็นใครล่ะ” พจน์ถาม
วิรงรองนิ่งอึ้งไป
“เป็นคนที่อยู่ในโดมทองใช่ไหม” พจน์ซัก
“หนู...หนู...”
“คุณพจน์” เสียงคุณหญิงแก้วแหลมเข้ามา
2 คนหันไปมอง เห็นแก้วเดินมาหน้าตาบึ้งตึง แล้วถลึงตาขุ่นเขียวใส่วิรงรองมาตั้งแต่ไกล
วิรงรองลุกขึ้น “หนูขออนุญาตไปก่อนนะคะ”
วิรงรองพูดพลางเดินไป โดยไม่มองหน้าแก้ว คุณหญิงมองตามอย่างเกลียดชัง
“ไปคุยกับมันทำไมคะ”
“อ้าว! แล้วทำไมผมจะคุยไม่ได้ล่ะ”
“คุณพจน์! นังคนนั้นมันจ้องจะแย่งสามีลูกสาวเรานะคะ”
พจน์ย้อน “เท่าที่รู้...หนูวิรงรองรักกับตาพิชญ์มาก่อนไม่ใช่เรอะ”
“นี่...นี่ คุณหาว่าลูกพิณเป็นมือที่สามเรอะ”
พจน์เหลืออด “คุณนั่นแหละมือที่ 3 ไม่ใช่ลูกพิณ! ส่วนคุณวัชก็เป็นมือที่ 4 ช่วยกันผลักดันให้ยัยพิณแต่งงานกับตาพิชญ์ แล้วเห็นไหมว่าลูกเราเป็นยังไง”
“จะเป็นยังไงนอกจากเป็นผู้ชนะ แล้วอย่ามาบังอาจมาว่าฉันกับพี่วัชเป็นมือที่สามที่สี่เด็ดขาด เพราะเราเป็นแม่ แม่ทุกคนย่อมหวังดีและต้องการให้ลูกแต่งงานกับคนที่เหมาะสมและคู่ควร” วัชรีเว้นนิด “ไม่เหมือนพ่อบางคน”
พจน์ เดินไปแบบเซ็งๆ ปนรำคาญ
“นั่นจะไปไหน” แก้วส่งเสียงดังถามตามหลัง
“ไปที่ชอบ” พจน์ตะโกนตอบโดยไม่หันกลับมา
แก้วฉุนจัด “เออ! ขอให้ได้ไปจริงๆ เถอะ”
ขณะที่วิรงรองเดินเข้ามาในบ้าน ต้องชะงักนิดหนึ่งเมื่อเห็นวัชรียืนมองอยู่ วัชรีจ้องวิรงรองเขม็งอย่างเกลียดชัง
วิรงรองลอบสูดลมหายใจยาว แล้วเดินจะเลี่ยงไป
วัชรีพูดไล่หลัง “อย่ามายุ่งกับลูกชายของฉัน”
วิรงรองชะงักนิดหนึ่งแล้วเดินต่อ
วัชรีเสียงดังมากขึ้นอย่างหงุดหงิดเมื่อเห็นท่าทางวิรงรองเหมือนไม่ได้ยิน
“ได้ยินหรือเปล่า”
วิรงรองหยุดแล้วหันกลับมา ยิ้มนิดๆ “ได้ยินค่ะ...แต่คุณควรจะพูดกับลูกชายของคุณ ไม่ใช่ดิฉัน ขอโทษนะคะ”
จากนั้นวิรงรองก็เดินไปอย่างสง่า โดยมีวัชรีมองตามด้วยสีหน้าท่าทางเหมือนอยากจะร้องกรี๊ดๆ
อ่านต่อหน้า 4
โดมทอง ตอนที่ 6 (ต่อ)
เวลานั้นสายหมอกบริเวณเทือกเขาจางลงไป จนเห็นดวงอาทิตย์ชัดเจนขึ้น วิรงรองซึ่งอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว กำลังแปรงผมหน้ากระจกช้าๆ สีหน้าและแววตาครุ่นคิด
ภาพเงาเหมือนคนยืนอยู่ที่หน้าต่างโดม ผุดเข้ามาในห้วงความคิดหญิงสาว
เสียงเคาะประตูดังขึ้น ภาพเลือนหาย วิรงรองสะดุ้งด้วยกำลังตกอยู่ในภวังค์
“ใคร”
“ป้าอุไรเองค่ะ”
วิรงรองถอนใจโล่ง ด้วยคิดว่าอาจเป็นอดิศวร์ แล้วเดินไปเปิดประตู
วิรงรองยิ้มทัก “พร้อมจะไปผจญภัยที่ห้องเก็บของกันหรือยังจ๊ะป้า”
อุไรค้อนขวับ “ผจญพ้ง...ผจญภัยอะไรละค่ะ คุณลบให้ขึ้นมาตามคุณวิลงไปรับประทานอาหารเช้าค่ะ”
วิรงรองเชิดหน้า “กลับไปบอกเจ้านายของป้าอุไรว่าวิไม่หิว”
อุไรวิงวอน “กรุณาหิวเถอะค่ะ”
“เอ๊ะ! ก็บอกว่าไม่หิว”
“เพื่อเห็นแก่ป้าอุไร ... ได้โปรดหิวเถอะค่ะ” อุไรอ้อนท่าทีน่าสงสาร
วิรงรองอ้าปากจะปฎิเสธอีก
อุไรรีบชิงพูดก่อน “ถ้าคุณวิไม่หิว...ป้าอุไรไม่รอดแน่”
วิรงรองมองหน้าอุไร แล้วถอนใจเฮือก
ภายในห้องอาหาร แก้วฉุนเมื่อเห็นว่าวิรงรองไม่มาสักที
“เขาไม่มาก็อย่ามา ไม่เห็นจะต้องรอเลยนี่ คุณลบ”
พจน์เอ่ยขึ้น “คุณก็...มันเป็นระเบียบในบ้านของเขา”
พิชญ์พูดลอยๆ “วิเขาไม่ชอบให้ใครบังคับ”
พิณทอง วัชรี และแก้ว หันขวับไปมองพิชญ์เป็นตาเดียว
“เอ๊ะ! ตาพิชญ์ เราไปยุ่งอะไรกับเขาด้วย ไม่มีใครเขาถามความเห็นสักหน่อย” วัชรีเอ็ด
วิรงรองเดินนำอุไรซึ่งท่าทางโล่งอกโล่งใจมากเข้ามา
ทุกคนมองมาเป็นตาเดียวด้วยความรู้สึกต่างๆ กัน แสงแขเกลียดชัง ริษยา วัชรี และแก้ว เกลียดเข้าไส้
และตำหนิ พิณทองเหลือบมองแว่บหนึ่ง แล้วเริ่มทานข้าวก่อนราวกับไม่สนใจ อดิศวร์มองมาอย่างเคร่งขรึม
พจน์เห็นใจและเอ็นดูเมื่อเห็นสีหน้าแววตาของทุกคน “นั่งซิหนู”
วิรงรองเดินมาทรุดตัวลงนั่งซึ่งที่ว่างอยู่ข้างแสงแข
แสงแขทำพูดแบบผู้ใหญ่เอ็นดูเด็กแต่ตำหนิเบาๆอยู่ในที “ปล่อยให้ผู้ใหญ่ตั้งหลายท่านต้องรอ...ไม่คิดจะขอโทษเลยหรือจ๊ะ”
“ความจริงก็ไม่ใช่ความผิดของดิฉัน เพราะดิฉันอิ่มแล้ว แต่ท่านเจ้าของบ้านยังสั่งให้ป้าอุไรไปบังคับมาอีก”
ทุกคนแทบจะสะอึก เว้น รัฐมนตรีพจน์ที่หัวเราะร่าออกมา
แก้วหันขวับมา “ขำอะไรนักหนาคะคุณ”
พจน์ยังขำอยู่ “ไม่รู้ซิ! อยู่ดีๆ มันก็ขำขึ้นมา”
วิรงรองมองพจน์เป็นเชิงขอบคุณ บรรยากาศตึงเครียด
“เออ! คุณลบ ผมมีรูปจะให้คุณลบดู”
ทุกคนหันมามองพจน์อย่างแปลกใจ เว้นแก้วและวิรงรองซึ่งรู้อยู่แล้ว
“รูปอะไรหรือครับ”
ภายในห้องนั่งเล่น รูปถ่ายฝีมือพจน์ที่เหมือนมีเงาคนยืนอยู่ที่หน้าต่างโดม อดิศวร์กำลังมองรูปนั้นอยู่
“คล้ายๆ เงาคน ...แต่อาจจะเป็นเงาไม้ก็ได้”
พจน์มีสีหน้าขำๆ “หนูวิแกบอกว่า อาจจะเป็นพวกโรคจิต”
อดิศวร์สะดุ้งแล้วมีสีหน้าหงุดหงิดขึ้นมาแวบหนึ่ง “คนโรคจิตที่ไหนจะขึ้นไปอยู่บนนั้น”
“อ้าว! ก็เพราะเป็นคนโรคจิตน่ะซีครับถึงได้ขึ้นไปอยู่บนนั้น...” พจน์บอก แล้วรู้สึกตัว “ขอโทษ...ผมก็เกิดนึกสนุกไปกับคำพูดของหนูวิ”
สีหน้าอดิศวร์ดูออกว่าหงุดหงิดสุดๆ โดยพจน์มองอย่างประหลาดใจ
เวลานั้นวิรงรองแกล้งปิดปากหาวเปิดประตูออกมา
“มีธุระอะไรก็กรุณารีบพูดด้วยค่ะ ดิฉันง่วงนอน”
“เธอไปพูดอะไรกับคุณพจน์”
“ไม่ทราบค่ะ จำไม่ได้” วิรงรองปิดปากหาวอีก
อดิศวร์จับไหล่วิรงรองบีบแน่น จนอีกฝ่ายร้องลั่น
“โอ๊ย”
“เธอตั้งใจจะบอกเขาว่า ฉันเป็นโรคจิตใช่ไหม”
วิรงรองจ้องหน้าเขม็ง “ก็แล้วใช่หรือเปล่าล่ะคะ”
อดิศวร์บีบแน่นอีกและนัยน์ตาเป็นประกายกร้าว “วิรงรอง”
วิรงรองนิ่วหน้า “อยู่ดีๆ ก็เรียกผู้หญิงออกมาบีบไหล่จนเจ็บอย่างนี้คงไม่มีคนดีๆ ที่ไหนเขาทำกันหรอกค่ะ”
อดิศวร์รู้สึกตัวยอมปล่อย แต่ยังมองด้วยความหงุดหงิดเต็มที่ แล้วหันหลังจะเดินกลับห้อง
วิรงรองตัดสินใจ “ดิฉันอยากขึ้นไปดูบนนั้น”
อดิศวร์ชะงัก หันมามอง
“อะไรนะ”
“คุณไม่อยากพิสูจน์หรอกหรือคะว่า คุณไม่ได้เป็น...เอ้อ...”
“โรคจิต” อดิศวร์ต่อเสียงเข้ม
วิรงรองพยักหน้าแล้วสบตาอดิศวร์เขม็ง
“เธอกล้ามาก”
“คุณจะปฏิเสธหรือคะว่า คืนวันนั้นคุณไม่ได้แต่งตัวโบราณขับรถม้ามาที่ใต้หน้าต่างห้องดิฉัน”
“ใช่”
“แต่ดิฉันเห็นกับตา”
“ฉันจะทำบ้า! อย่างนั้นทำไม”
“ก็คุณบอกมาซิคะ”
อดิศวร์มองหน้าวิรงรองอย่างเพ่งพิศ ท่าทีเหมือนเริ่มเอะใจ “เธอจะแน่ใจได้ยังไงว่าไม่ได้ตาฝาดไปเอง ในเมื่อมันเป็นกลางคืน”
“ใช่ค่ะ! แต่เป็นวันขึ้น 15 ค่ำค่ะ...แสงจันทร์สว่างมาก”
“รู้ไหม...ฉันว่าเธอนั่นแหละที่เป็นโรคจิตเสียเอง”
“คุณ”
“ลองทบทวนดีๆ ถ้าเพิ่งเริ่มเป็นจะได้รีบรักษา”
อดิศวร์เดินกลับเข้าห้องโดยวิรงรองมองตามเบิกตากว้าง อึ้งจนพูดไม่ออก
ทั่วทั้งห้องเปิดแต่ไฟโคมข้างเตียง วิรงรองเดินมากระแทกตัวลงนั่งบนเตียงอย่างหงุดหงิด
เสียงอดิศวร์ดังก้องในหู“รู้ไหม...ฉันว่าเธอนั่นแหละที่เป็นโรคจิตเสียเอง”
“มาว่าฉันเป็นโรคจิต”
ภาพท่านเจ้าคุณในคืนนั้นผุดเข้ามาในห้วงความคิดอีกครา
“ถ้าไม่ใช่คุณอดิศวร์แล้วจะเป็นใคร...ปวดหัว”
วิรงรองเดินมาทรุดตัวลงนั่งหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง แล้วหยิบหวีขึ้นมาแปรงผม สักพักหนึ่ง แล้วไฟโคมก็ดับลง
ม่านหน้าต่างไหวพลิ้ว เหมือนมีลมพัดเย็นพัดเข้ามาทันทีทันใดวูบหนึ่ง วิรงรองสะดุ้ง ความหนาวแบบเย็นยะเยือกเย็น ทำให้วิรงรองถึงกับกอดอกห่อตัว แล้วขยับจะลุกขึ้น
วิรงรองชะงัก เมื่อเสียงซอสามสายเพลงนางครวญดังขึ้นอย่างเศร้าสร้อยโหยหวน บรรยากาศทั้งห้องดูเย็นยะเยือกวิรงรองกลืนน้ำลาย แล้วค่อยๆ เหลือบมองโดยรอบไม่กล้าขยับตัว
วิรงรองค่อยๆ เบือนกลับมาที่เดิม แล้วต้องเบิกตากว้าง ตัวแข็งทื่อ เมื่อเห็นคุณพลับพลึงซึ่งบนเรือนผมแซมดอกพลับพลึงไว้ ปรากฏแทนเงาวิรงรองในกระจก วิรงรองยังคงตกตะลึงมอง ขณะที่พลับพลึงมองมาเศร้าๆ
วิรงรองกลืนน้ำลายอย่างยากเย็น ค่อยๆ ยกหวีขึ้นแปรงผม เพื่อพิสูจน์ดูอีกครั้ง พลับพลึงยังคงมองมาด้วยสีหน้าแววตาเศร้าหมอง วิรงรองพึมพำ
“ฉัน...ฉันคงฝันไป”
วิรงรองค่อยๆ ลุกขึ้น แล้วเดินถอยหลังออกมา โดยมีพลับพลึงมองตาม
พอพ้นรัศมีกระจก วิรงรองรีบเดินแกมวิ่งไปเปิดประตู
วิรงรองทิ้งตัวพิงประตู พยายามจะรวบรวมสติ ตั้งสติอยู่ครู่หนึ่งแล้วรีบเดินแกมวิ่งออกไปทันที
ประตูอีกห้องเปิดออก อดิศวร์ก้าวออกมาแล้วมองตาม
ขณะที่วิรงรองเดินแกมวิ่งมาตามระเบียงหน้าห้องซึ่งมีแสงไฟสลัวๆ ด้วยความหวาดกลัว แขนใครคนหนึ่งจับแขนวิรงรองไว้
วิรงรองหันขวับมา ตั้งท่าจะร้อง แต่แล้วก็อุทานออกมาด้วยความโล่งใจ ผวาเข้าหาอ้อมแขนนั้นด้วยความลืมตัว
“พิชญ์”
พิชญ์โอบกอดวิรงรองด้วยความตื้นตันใจ “พลับพลึง”
“ผีค่ะ!…ฉันกลัว”
พิชญ์ลูบหลังอ่อนโยน “ผมอยู่นี่แล้ว...ไม่ต้องกลัว”
เสียงอดิศวร์ดังขึ้นกวนๆ “กาเมสุมิฉาจารา”
พิชญ์กับวิรงรองสะดุ้ง ผละจากกันแล้วหันไปมอง เห็นอดิศวร์ยืนมองมา แต่ความมืดทำให้มองเห็นหน้าไม่ชัดนัก
“ภรรยาคุณคงไม่ชอบใจแน่ !..ถ้าได้เห็นภาพประทับใจเมื่อสักครู่”
“มันไม่ใช่อย่างที่คุณคิด” วิรงรองว่า
“แล้วมันเป็นยังไงล่ะ...ลองอธิบายมาหน่อยซิ...เผื่อฉันจะเชื่อ”
“เราไม่ได้ลักลอบมาพบกันอย่างที่น้าลบเข้าใจ”
อดิศวร์บอกด้วยเสียงเย็นชา “คุณกลับเข้าไปหาภรรยาคุณได้แล้ว”
“ไม่! จนกว่าน้าลบจะเข้าใจ”
“อย่าพยายามเลยค่ะ ต่อให้คุณอธิบายจนคอแตกตาย เขาก็ไม่มีวันเข้าใจ”
“ผมสาบานได้” พิชญ์ยืนยันกับอดิศวร์หนักแน่น
อดิศวร์ขยับมุมปากเหมือนยิ้มเยาะแว่บหนึ่ง
“กลับไปห้องคุณเถอะค่ะ...ฉันไม่กลัวเขาหรอก”
พิชญ์บอกเสียงหนักแน่น “ผมไม่มีวันทิ้งคุณ”
“แล้วที่ไปแต่งงานกับพิณทองเขาเรียกว่าอะไรล่ะ”
พิชญ์ขยับจะโต้ตอบ
“พิชญ์...ฉันขอร้องละค่ะ...นี่มันเรื่องของฉัน”
พิชญ์ขบกรามมองอดิศวร์อย่างแค้นเคือง แล้วมองวิรงรองอย่างน้อยใจ แล้วหันหลังเดินออกไป
วิรงรองเดินย้อนกลับไปทางห้อง
อดิศวร์กระชากแขนไว้ “ไหน อธิบายมาซิ”
ประตูค่อยๆ แง้มเปิดออก พิชญ์ค่อยๆ แทรกตัวเข้ามาแล้วปิดลงเบาๆ พิชญ์เดินอย่างระมัดระวังเกรงว่าพิณทองจะตื่นมาจนถึงเตียงแล้วลงนอน
พิณทองซึ่งนอนตะแคงหันหลังให้พิชญ์ ยังคงลืมตาโพลง
พิชญ์ก่ายหน้าผาก ดวงตาจับจ้องมองเพดานด้วยสีหน้าเหมือนยังกังวลค้างคาใจ ในที่สุดถอนใจยาว
ส่วนพิณทองเม้มปาก น้ำตาคลอขึ้นมา
พิชญ์พลิกนอนตะแคงหันหลังให้ ถึงแม้ทั้งสองคนจะนอนใกล้กันแค่เอื้อม แต่เหมือนอยู่ไกลกันนักหนา
วิรงรองเดินหนีมาเร็วๆ ย้อนกลับไป โดยมีอดิศวร์ตามมาติดๆ
อดิศวร์คว้าแขนไว้อีก “จะไปไหน ไม่อยากจะแก้ตัวหรือไง”
วิรงรองพยายามบิดออก “อย่ามายุ่งกับฉัน”
อดิศวร์คว้าทั้งตัวให้หันกลับมา “ฉันจะไม่ยุ่งเลยสักนิดเดียวถ้าเธอไม่มา...”
“ฉันเปล่า”
“กอดกันกลมขนาดนั้น ต่อให้อมพระมาพูดก็ไม่มีใครเขาเชื่อหรอก”
“คุณมันคิดแต่อกุศล”
“อ้อ แล้วเธอจะให้ฉันคิดว่า เมื่อกี้เธอกำลังกอดกันทำสมาธิกับนายพิชญ์เรอะ”
“บ้า”
“แก้ตัวมาซิ เผื่อฉันจะเชื่อบ้าง”
“ไม่”
“ฉันบอกให้พูด” อดิศวร์ขึ้นเสียง
“คุณไม่มีสิทธิ์มาบังคับฉัน”
“อย่าท้านะ”
“คุณนั่นแหละ อย่ามาพาล”
“ฉันอยากรู้ว่า เธอไปนัดแนะกับหลานเขยฉันตอนไหน”
“ไม่ได้นัดแนะ แต่เมื่อกี้ฉันคิดว่าฉันเห็นคุณพลับพลึงในกระจก”
อดิศวร์เลิกคิ้ว
“เห็นมั้ย! พูดไปคุณก็ไม่เชื่อ”
“คนที่เชื่อ คงจะมีแต่นายพิชญ์ของเธอคนเดียวมั้ง”
วิรงรองดิ้นจนอดิศวร์ยอมปล่อย “ฉันขอยืนยันว่าฉันไม่ได้โกหก”
“แล้วทำไมไม่เรียกฉัน ห้องเราอยู่ติดกันแค่นี้ไม่เห็นจำเป็นจะต้องวิ่งมาจนถึงนี่” อดิศวร์เว้นวรรคนิดหนึ่ง “แต่ก็แปลกนายพิชญ์เองก็ช่างจำเพาะเจาะจงมานอนไม่หลับ ออกมาเจอกันพอดี”
วิรงรองสะบัดหน้าเร่งฝีเท้าออกเดิน
อดิศวร์เดินตามอย่างใจเย็น “แล้วคราวนี้ เธอจะเรียกว่าโรคจิต หรือว่าผีล่ะ”
วิรงรองกัดปาก เดินโดยไม่ตอบโต้
บรรยากาศยามเช้าสวยแบบเหงาๆ เศร้าๆ ของอาณาเขตโดมทอง
ภายในห้องพิชญ์และพิณทอง พิชญ์พลิกตัวมากอดพิณทองด้วยความเคยชิน แล้วต้องลืมตาดูเมื่อคว้าเอาความ
ว่างเปล่า
“พิณทอง”
พิชญ์ลุกขึ้นนั่ง เหลียวมองโดยรอบ ไม่มีวี่แววว่าพิณทองจะอยู่ในห้องนั้น
เวลานั้นพิณทองอยู่ตรงมุมสวยๆ ด้านนอกโดมทอง มองไปข้างหน้าเศร้าๆ
“พิณตัดสินใจแล้วค่ะว่าจะกลับพร้อมคุณพ่อคุณแม่พรุ่งนี้ ...ส่วนพิชญ์จะกลับหรือไม่กลับก็ตามใจเขา”
อดิศวร์หันหน้ามามอง “ในเมื่อคุณพิณกลับ...คุณพิชญ์เขาก็ต้องกลับ”
“ไม่แน่หรอกค่ะ” พิณทองหันมามองอดิศวร์ แล้วฝืนยิ้ม “พิณรู้ว่าเขายังรักคุณวิรงรองอยู่...มันเป็นความผิดของพิณเองที่ไม่รู้จักคิดให้รอบคอบ”
“น้าลบบอกแล้วไงว่า เขาเองก็ไม่ได้ยืนกรานปฏิเสธที่จะไม่แต่งงานกับคุณพิณ”
พิณทองฝืนยิ้ม “ช่างมันเถอะค่ะ...น้าลบกับคุณแสงแขล่ะคะ จะแต่งกันเมื่อไหร่”
อดิศวร์โยกศรีษะพิณเบาๆ “น้าลบไม่แต่งงานกับญาติแน่นอน”
ทั้ง 2 คนเดินช้าๆ ตรงไปที่ตัวบ้าน
“งั้น ...น้าลบจะแต่งกับ...คุณวิรงรองหรือคะ”
อดิศวร์ยิ้มนิดๆ ไม่ตอบ
“ถ้าน้าลบจะทำเพื่อพิณละก็...อย่าเลยค่ะ”
อดิศวร์นัยน์ตาเป็นประกายแวบหนึ่ง “น้าอาจจะทำเพื่อตัวเองก็ได้”
พิณทองหันมามองอดิศวร์ราวกับจะค้นหาความจริง
อดิศวร์ยังคงมีสีหน้ายิ้มนิดๆ เดินไปโดยไม่ได้มองหน้าพิณทอง
คืนนั้นอุษากำลังจัดหมอนรองหลังให้ท่านผู้หญิง ขณะที่แสงแขเปิดประตูเข้ามา คุกเข่าตรงหน้าเตียงอย่างเรียบร้อย
“คืนนี้ คุณลบจะเลี้ยงส่งพวกกรุงเทพฯ ค่ะ”
“ดี! ไปเสียได้ก็ดี ฉันไม่ชอบให้ใครมาจุ้นจ้านในบ้าน”
“แขก็เหมือนกันค่ะ”
อุษาชำเลืองมองแสงแขแวบหนึ่ง แล้วถอยออกไปนั่งถักผ้าคลุมไหล่ให้ท่านผู้หญิง
“คุณย่าขา...คุณลบจะเลี้ยงที่ชายหาด...แขขออนุญาตไปสนุกกับเขาด้วยจะได้ไหมคะ”
“อ้อ! แกเมื่อยที่จะมานั่งหลังขดหลังแข็งเฝ้าฉันแล้วละซี้”
แสงแขรีบปฏิเสธ “เปล่าค่ะ”
“โกหก”
แสงแขสะดุ้งกับเสียงตวาดนั้น
“จะไปไหนก็ไสหัวไป” ท่านผู้หญิงหันมาทางอุษา “แกล่ะ! นังอุษา!”
“อุษาไม่ไปค่ะ”
“ฉันอนุญาตให้ไปให้หมด เอานังอุไรกับนังโอบไปด้วย”
“แล้วคุณย่าจะอยู่กับใครคะ” อุษาถาม
ท่านผู้หญิงจ้องไปข้างหน้าแล้วยิ้มอย่างน่ากลัว “นังพิศ”
อุษาและแสงแขหันมามองหน้ากัน
“นังพิศมันเป็นบ่าวที่จงรักภักดี ! มันไม่เคยไปไหนนอกจากวนเวียนอยู่กับฉัน”
สีหน้าและแววตาท่านผู้หญิงสรรักษ์ยังคงดูลึกลับและน่ากลัวน่าขนลุก
ครู่ต่อมาอุษาเปิดประตูออกมาหน้าห้อง ตามด้วยแสงแข
“ใครกันน่ะพี่อุษา...นังพิศของคุณย่า”
“พี่ไม่รู้”
“หรือว่าคุณย่าจะเพ้อ”
“ท่าทางท่านไม่ใช่อย่างนั้น” อุษาว่า
“หรือว่าจะเป็น...ผี”
“บ้า”
อุษาเดินไป แสงแขยังคงติดใจ มีสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด
สองคนอยู่ในห้องทำงานอดิศวร์
“ดิฉันไม่ไปค่ะ”
“ทำไมล่ะ!...หรือว่าใจหายที่หลานเขยฉันจะกลับกรุงเทพฯ แล้ว”
วิรงรองสบตาท้าทาย “งั้นมั้งคะ”
อดิศวร์ลุกขึ้น “ตามใจนะ ความจริงฉันก็เห็นใจ”
วิรงรองฉงน ทวนคำเป็นเชิงถาม “เห็นใจ?”
“ก็ใครจะทนดูภาพคุณพิณกับสามี...”
ไม่ทันที่อดิศวร์จะพูดจบคำวิรงรองสวนทันที
“ดิฉันเปลี่ยนใจแล้ว แต่ไม่ใช่เพราะเรื่องที่คุณพูด”
“งั้นเรื่องอะไร”
วิรงรองไม่ตอบ เดินออกไปเงียบๆ อดิศวร์มองตามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
บรรยากาศแสนสดชื่น สวยงามไปด้วยไม้ดอกนานาพันธุ์มุมหนึ่งในคุ้มภูไท ลานนาเดินเข้ามาในบริเวณนั้น แล้วเหลียวซ้ายแลขวา จนมาหยุดที่ภูไทซึ่งยืนกอดอกมองไปข้างหน้า
ลานนายิ้มนิดๆ แล้วเดินตรงไปหาพี่ชาย
“คิดถึงวิรงรองอยู่ละซี้”
เจ้าภูไทสะดุ้งนิดๆ แล้วหันกลับมาจับหัวน้องโยกอย่างเอ็นดูแกมเขินๆ
“รู้ดีนัก”
“ถ้าคิดถึงก็ต้องไปหา...ไม่อย่างนั้น เขาจะรู้หรือคะ”
ภูไทถอนใจยาว...สีหน้าขรึมลง “เจ้าของบ้านเขาจะคิดยังไง ถ้าเราเทียวไปเทียวมาที่นั่นบ่อยๆ”
“ก็ไม่เห็นจะต้องคิดยังไง เพราะพี่ชายไม่ได้ไปหาเขาสักหน่อย”
“พูดน่ะมันง่าย”
“เอ้า! ทำไมคิดมากจัง”
“ยัยน้องดูไม่ออกหรือว่า คุณอดิศวร์เขาไม่ได้เต็มใจต้อนรับเรานัก”
“ก็ช่างเขาเป็นไรล่ะ! เราไม่ได้ไปหาเขานี่”
ภูไทชักจะหงุดหงิด “เธอก็พูดไปเรื่อย” ขยับจะเดินไป
“น้องจะจัดให้เอง”
ภูไทหันกลับมา ลากเสียงเล็กน้อย อารมณ์เหมือนจะอ่อนใจ “ลานนา...”
ลานนาพูดด้วยสีหน้าจริงจังขึ้น “ในเมื่อพี่ชายมั่นใจแล้วว่าวิรงรองคือคนที่ใช่ แล้วจะรออะไรอีกล่ะคะ! พี่ชายต้องเดินหน้าให้มันรู้ไปว่า ยัยวิมีใจตอบหรือเปล่า”
ภูไททอดถอนใจเบาๆ ลานนาเดินเข้ามา แตะแขนพี่ชายอย่างอ่อนโยน
“ซึ่งไม่ว่าผลจะเป็นยังไง...มันก็ยังดีกว่าปล่อยให้พี่ชายสงสัยไม่แน่ใจอยู่อย่างนี้นะคะ”
“พี่คิดว่า มันยังเร็วเกินไป”
มีเสียงล้มดังโครมดังขึ้น...ภูไทและลานนาหันขวับไปมอง เห็นบัวคำหกล้มทำหน้าเหรอหราอยู่
ลานนาถอนใจ “เฮ้อ...”
“โทรศัพท์เจ้าลานนาค่ะ”
วิรงรองคุยโทรศัพท์อยู่มุมหนึ่งในห้องรับแขก ปลายสายคือลานนา
“นะจ๊ะ...ลานนา...วิฝากช่วยเทคแคร์ เพื่อนวิหน่อย! อุตส่าห์ตั้งใจจะมาฉลองวันเกิดกับวิ แต่บังเอิญวิไม่ว่าง ....ท่านเคานท์เขาจะเลี้ยงส่งบรรดาญาติโกโหติกา กลับกรุงเทพฯ”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับวิด้วย”
“เฮ้อ ไอ้เรามันเป็นลูกจ้างเขานี่...ทำไงได้! เขาสั่งให้จัดงาน...เราก็ต้องทำ เพราะปกติก็ไม่ค่อยได้ทำอะไรอยู่แล้ว”
ขณะวิรงรองพูดสาย อดิศวร์เดินเข้ามาทางด้านหลัง
“ทำไมเขาไม่ใช้พวกสมุนแวมไพร์ของเขาล่ะ” ลานนาบอก
วิรงรองหัวเราะคิก “นั่นซิ…แค่นี้ก่อนนะจ๊ะ...ท่านเคานท์สั่งให้วิไปซื้อ” พอหันกลับมาแล้ววิรงรองต้องสะดุ้ง ทำหน้าเสีย “เอ้อ...”
อดิศวร์จ้องเขม็ง เป็นเชิงถาม “ท่านเคานท์”
วิรงรองปิดโทรศัพท์ ขยับจะเดินเลี่ยงออกไป แต่อดิศวร์คว้าแขนไว้
“ท่านเคานท์ไหน! และใครคือท่านเคานท์”
“ดิฉันจะรีบไปซื้อของตาม “คำสั่ง” ค่ะ” วิรงรองเน้นตรงคำว่า คำสั่ง
“ฉันให้อุษาโทร. ให้เขาเอามาส่งแล้ว...ฉันอยากรู้ว่า ท่านเคานท์ไหน”
วิรงรองสบตา “ท่านเคานท์แดร็คคูล่าค่ะ! และคงไม่ต้องบอกกระมังคะว่าดิฉันหมายถึงใคร”
วิรงรองกระชากแขนออกแล้วเดินออกไป อดิศวร์มองตามอย่างเคร่งขรึมเช่นเคย
ลานนาเดินถือกุญแจรถเดินออกมาที่รถตรงลานจอดรถคุ้มภูไท พันธุ์สูรย์ซึ่งกำลังสั่งงานคนงานอยู่ หันมามอง
“จะไปไหนครับ...เจ้า”
“ไปรับเพื่อนวิรงรองที่สนามบินค่ะ” ลานนากดรีโมทรถ
“ผมขับไปให้ดีกว่า” พันธุ์สูรย์อาสา
“อุ๊ย! ไม่ต้องหรอกค่ะ...พี่พันธุ์สูรย์มีงาน”
“ตอนนี้ไม่มีอะไรแล้วครับ” พันธุ์สูรย์หันไปพยักหน้ากับคนงาน เห็นคนงานเดินไป “เจ้าขับรถไม่ค่อยแข็ง...”
ลานนาอ้าปากจะปฏิเสธ แต่พันธุ์สูรย์เปิดประตูรถให้ ลานนาจำใจขึ้นไปนั่ง พันธุ์สูรย์อ้อมไปนั่งที่คนขับ แล้วหันมาแบมือ
ลานนาส่งกุญแจรถให้ “น้องไม่ขับไปชนใครหรอกน่า”
“รู้แล้วว่าไม่ได้ชนใคร แต่ไปชนท้ายรถคนอื่น”
ลานนาค้อนขวับ พันธุ์สูรย์ขับออกไป
วิรงรองเดินเข้ามาในครัว ในขณะที่อุษากำลังทำน้ำจิ้มทะเล และบาร์บิคิวอยู่ อุษาหันไปมอง
“น้องวิทราบแล้วใช่มั้ยคะว่า...ไม่ต้องไปเอาอาหารทะเลแล้วเดี๋ยวเขาจะเอามาส่งเอง”
“ทราบแล้วค่ะ...พี่อุษาทำน้ำจิ้มหรือคะ”
“ค่ะ...น้องวิช่วยชิมหน่อยซิว่า เผ็ดไปหรือเปล่า”
อุษาตักน้ำจิ้ม นิดเดียวให้วิรงรองชิม
วิรงรองชิมรส “เผ็ดกลางๆ อร่อยแล้วค่ะ...มีอะไรให้วิช่วยไหมคะ”
“ช่วยล้างมะเขือเทศกับพริกหวานที่จะเสียบกับบาร์บิคิวก็แล้วกันของอยู่ในตู้เย็นค่ะ”
“จัดให้เลย”
วิรงรองเปิดตู้เย็นหยิบของออกมา แล้วจัดการตามกรรมวิธี ปากก็คุยไปพลางด้วยสีหน้าแจ่มใส
“พี่อุษารู้ไหมคะว่า ตอนนี้วิกำลังจับคู่ให้เพื่อน” ว่าพลางยกมือไหว้ “เพี้ยง! ขอให้สำเร็จทีเถอะ”
“ใครคะ”
“เจ้าลานนากับอนิรุทธิ์ค่ะ” วิรงรองว่า
อุษานิ่งไปนิดหนึ่ง “ทำไมไม่เป็นเจ้าลานนากับ...เอ้อ... พันธุ์สูรย์ล่ะคะ...เขาน่าจะสนิทกันอยู่แล้ว”
วิรงรองเหลือบมองอุษาแวบหนึ่ง “เพราะคุณพันธุ์สูรย์รักพี่อุษาน่ะซีคะ” วิรงรองไหวไหล่นิดๆ “ดูท่าจะไม่ยอมเปลี่ยนใจเสียด้วย”
อุษามีสีหน้าหมองลง “เรื่องของพันธุ์สูรย์กับพี่คงเป็นไปไม่ได้”
วิรงรองบอกอย่างหนักแน่น “ต้องเป็นไปได้แน่นอนค่ะ...พี่อุษาอย่ายอมแพ้เด็ดขาด”
อุษาส่ายหน้า...น้ำตาซึม
วิรงรองจับมืออุษาบีบเบาๆ “วิจะช่วยเต็มที่”
“ไม่มีประโยชน์ พี่เนรคุณคุณย่ากับคุณลบไม่ได้”
“ไร้สาระ”
อุษาหันขวับมามองทันที “อย่าพูดอย่างนั้น”
“มันเรื่องอะไรกันนักหนา! นี่มัน พ.ศ. 2013 แล้วนะคะ ไม่ใช่ยุคโรมิโอกับจูเลียต ที่รักกันไม่ได้ เพราะคนในตระกูลเป็นศัตรูกัน”
อุษาหยิบทิชชูซับน้ำตา “เลิกพูดเรื่องนี้ได้แล้ว”
จากนั้นอุษาก้มหน้าก้มตา หยิบสับปะรดมาปอก วิรงรองมองอย่างไม่เข้าใจความคิดอุษา
สองสาวไม่รู้ว่าโอบอ้อมกำลังแอบฟังอยู่หน้าห้องครัว ก่อนจะขยับเดินออกไปด้วยสีหน้ามาดหมาย
เรื่องที่สองคนคุยกันถูกโอบอ้อมนำมาเล่าให้แสงแขฟัง ที่มุมหนึ่งในบ้าน
แสงแขนัยน์ตาเป็นประกาย “ขอบใจมาก โอบ” แสงแขเว้นนิด “ฉันอยากรู้นักว่าคุณย่าจะว่ายังไงถ้าทราบเรื่องนี้”
ไม่นานต่อมาเสียงสั่นๆ ด้วยความโกรธของท่านผู้หญิงสรรักษ์แผดดังออกมาที่หน้าห้องท่าน
“ไปตามนังอุษามาเดี๋ยวนี้”
อ่านต่อตอนที่ 7