xs
xsm
sm
md
lg

คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะ ตอนที่ 6

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะ ตอนที่ 6

ขณะเดียวกัน ที่ดิออร์แกน โสภีลงไปนอนกองกับพื้นโดยมีเลือดซึมออกมาจากมุมปาก พายัพค่อยๆ เดินเข้ามา ก่อนจะก้มลงไปนั่งข้างๆ


“ทำไมถึงได้ปล่อยพวกมันไป”
โสภีมองพายัพด้วยความโกรธก่อนจะถุยน้ำลายใส่พายัพแทนคำตอบ
“ที่นี่เป็นที่ของฉัน ฉันจะทำอะไรทำไมต้องขออนุญาตแก”
ทันใดนั้นพายัพตบเผียะ! จนโสภีหน้าหัน ไม่เท่านั้นพายัพกระชากผมโสภีขึ้นก่อนจะเหวี่ยงไปชนข้าวของกระจัดกระจาย โสภีหันมาแล้วยิ้มอาฆาต
“แกรู้ใช่มั้ยว่าทำกับฉันแบบนี้ เสธ.โรจน์จะทำยังไงกับแก”
“แล้วแกคิดว่าแกจะมีปัญญาไปบอกใครได้เหรอ”
โสภีเห็นพายัพยิ้มเลือดเย็นก็เริ่มกลัว
“ทำไม แกจะฆ่าฉันหรือไง”
พายัพยิ้มก่อนจะนั่งลงแล้วดึงโสภีเข้ามากอด
“ฉันจะทำอย่างนั้นทำไม” แล้วพายัพก็ลากลิ้นเลียเลือดที่อยู่มุมปากของโสภี โสภีทำหน้าขยะแขยง แต่พายัพกลับชอบที่ลิ้มชิมเลือด “หวานไม่แพ้เลือดสาวๆ เลยนะ ฉันไม่ฆ่าเธอหรอก ฉันจะปล่อยให้เธออยู่อย่างนี้ เพราะยังไงพวกมันก็ต้องย้อนกลับมาหาเธออยู่ดี เธอคงรู้ใช่มั้ยถ้ามันกลับมาที่นี่อีกคนแรกที่แกต้องโทรหาคือใคร” โสภีมองหน้าพายัพอย่างเคียดแค้น พายัพลุกขึ้นไม่สนใจ “อ๋อ...ส่วนเธอจะไปฟ้องเสธ.อะไรของเธอก็ตามใจ อย่าลืมสะกดชื่อฉันให้ถูกด้วยก็แล้วกัน”
พายัพยิ้มเหี้ยมก่อนจะเดินออกไปพร้อมลูกน้อง โสภีมองตามด้วยความคับแค้นเพราะเจ็บทั้งตัวเจ็บทั้งใจ

คืนนั้นภูวนัยกับไผ่พญาเดินเข้ามาในบ้าน ไผ่พญายังเศร้าโศกจากการร่ำลากับแม่ไม่คลาย ภูวนัยหันมาเห็นไผ่พญาซึมๆ ก็เป็นห่วง
“คุณโอเคมั้ย”
ไผ่พญายิ้มให้เศร้าๆ เสียงม่านเมฆดังขึ้น
“พ่อ”
ม่านเมฆเรียกภูวนัยแต่วิ่งโผไปหาไผ่พญาซะงั้น
“อะไรเนี่ย เกินไปละๆ”
ภูวนัยกับไผ่พญาเดินเข้ามาถึงห้องรับแขก เห็นเผ่าพงศ์กับม่านหมอกนั่งดูโทรทัศน์กันอยู่ ไผ่พญายกมือสวัสดีเผ่าพงศ์และทักทายม่านหมอก
“เป็นไงพ่อ เรียบร้อยมั้ยครับ”
เผ่าพงศ์หันมองหน้าม่านหมอก ม่านหมอกทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เผ่าพงศ์เลยหันไปพยักหน้ากับภูวนัย
“เรียบร้อย ไม่มีอะไรนี่”
“ใช่ครับ แต่พ่อไม่น่าให้ยัยพั้นซ์มาสอนเราเลยพ่อ”
“พั้นซ์มาเหรอ”
ม่านหมอกยิ้มมุมปากพูดกับเผ่าพงศ์
“เห็นมั้ยหนูบอกแล้วว่ายัยนั่นไม่ได้โทรหรอก”
พอภูวนัยรู้ว่าพรรณรายมาก็ชักจะสังหรณ์ใจ
“ไม่มีเรื่องอะไรใช่มั้ย”
สิ้นคำถามของภูวนัย เสียงของเสกสรรก็ดังขึ้นที่หน้าบ้าน
“เฮ้ย ออกมาซิวะ”
ภูวนัยได้ยินเสียงเสกสรรก็หันมองทุกคนประมาณว่ารู้ว่าทุกคนต้องทำอะไรไว้แน่ๆ

เสกสรรกำลังโวยวายอยู่หน้าบ้าน
“เฮ้ย กล้าทำแล้วไม่กล้ารับหรือไง ออกมาซิ”
ภูวนัย ไผ่พญา เดินออกมา
“มีอะไรอีกครับ”
“มีอะไร แกถามได้ยังไงว่ามีอะไร คอยดูนะฉันจะแจ้งตำรวจจับพวกแกให้หมดในข้อหาทำร้ายร่างกายยัยพั้นซ์”
ภูวนัยได้ยินอย่างนั้นก็ชะงักไป
“คุณพั้นซ์โดนทำร้ายร่างกายเหรอคะ”
“ก็ใช่ซิ”
“แล้วพั้นซ์เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
“โชคดีที่ฉันพาส่งโรงพยาบาลทัน ไม่อย่างนั้นละก็ฉันจะให้พวกแกทุกคนชดใช้ในสิ่งที่พวกแกทำกับลูกสาวฉัน”
“แล้วคุณแน่ใจเหรอคะว่าเป็นฝีมือของคนในบ้านนี้” ไผ่พญาย้อนถาม
“นี่ ถ้าไม่รู้ว่าเป็นครูบาอาจารย์ละก็ผมตบกลิ้งไปแล้ว ทำไม...ต้องให้ยัยพั้นซ์ตายก่อนใช่มั้ย พวกแกถึงจะเชื่อ”
ไผ่พญาหันมองภูวนัยที่มีสีหน้าเครียดลงทันที

ม่านเมฆ เผ่าพงศ์นั่งก้มหน้างุดที่โซฟา ขณะที่ม่านหมอกนั่งเฉย
“ตกลงจะไม่มีใครยอมรับใช่มั้ย” เผ่าพงศ์กับม่านเมฆนั่งก้มต่ำลงอีก “อะไรกัน พ่อไม่อยู่แค่วันเดียวทำไมถึงได้ก่อเรื่องก่อราวได้ขนาดนี้”
“ไอ้ภู ค่อยๆ พูดก็ได้”
“พ่อก็เหมือนกัน” เผ่าพงศ์ถึงกับสะอึก “เป็นผู้ใหญ่ทำไมไม่ห้าม”
ม่านหมอกที่นั่งอยู่ พูดขึ้นมาอย่างไม่สะทกสะท้าน
“ฉันเป็นคนทำเอง”
“พี่หมอก พวกเราก็ทำด้วยกันหมดแหละ”
“แต่ฉันเป็นคนคิด เอาซิ ฉันเป็นคนทำ จะทำอะไร จะส่งฉันให้ตำรวจอย่างที่ไอ้พ่อเลี้ยงนั่นว่าหรือไง”
ภูวนัยมองม่านหมอก รู้อยู่แล้วว่าม่านหมอกทำและรอว่าเมื่อไหร่จะยอมรับ
“ทำไมต้องทำถึงขนาดนั้น ถ้าเกิดพั้นซ์เขาตายไปจะว่าไง”
“จะไปยากอะไร หนูตายไปอีกคนไง เรื่องจะได้จบ”
“หมอก”
ไผ่พญาที่ยืนอยู่ไม่อยากเห็นทุกคนทะเลาะกันไปมากกว่านี้จึงขัดขึ้น
“ฉันว่านายใจเย็นก่อนเถอะ ตอนนี้เราก็ไม่รู้ว่าคุณพั้นซ์เป็นอะไรมากน้อยแค่ไหน แล้วอีกอย่างฉันอยากให้นายฟังความสองข้าง ว่าทำไมเมฆ หมอกแล้วก็คุณลุงถึงได้ทำอย่างนั้น”
“ไม่มีประโยชน์หรอกคะ เพราะเขามักจะให้ว่าคนอื่นสำคัญกว่าคนใกล้ตัวอยู่แล้ว”
ม่านหมอกบอก ภูวนัยพยายามสงบสติอารมณ์
“รีบไปนอนซะ พรุ่งนี้อาจะพาเธอไปขอโทษเขาที่โรงพยาบาล”
“ฉันไม่ไป”
“ทำผิดก็ต้องยอมรับผิด”
“แต่ฉันไม่ได้เริ่มก่อน ถ้าอยากให้ฉันขอโทษอาก็ไปลากยัยนั่นมาขอโทษฉันก่อน”
“เอ่อ ให้ฉันไปแทนหมอกได้มั้ยละ” ไผ่พญารับอาสา
“ไม่ได้ ใครทำ คนนั้นก็ต้องรับผิดชอบ”
ภูวนัยยืนกราน ทำให้ม่านหมอกเดินออกไปอย่างไม่พอใจ
“หมอก หมอก”
“เอาน่า ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันไปแทนก็ได้”
“คุณเป็นครูยังไง แทนที่จะสอนให้รู้จักรับผิดชอบกับการกระทำของตัวเองแต่กลับออกหน้ารับผิดซะเอง ทำอย่างนี้เดี๋ยวก็ยิ่งได้ใจกันใหญ่”
“เอ้า โน่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่ได้แล้วจะให้ฉันทำยังไง”
“ก็ทำให้เธอไปขอโทษพั้นซ์ที่โรงพยาบาลพรุ่งนี้ไง”

ภูวนัยพูดจบก็เดินออกไป ไผ่พญามองตามอย่างเหนื่อยใจ

ไผ่พญาเดินลงมาจากบันได ภูวนัยเดินเข้ามาจากนอกบ้านกับพรรษา

“ก็ใช้ได้แล้วละครับ เดี๋ยวขอดูบัญชีเดือนที่แล้วด้วยแล้วกันนะครับ”
“ได้คะ”
ภูวนัยเดินเข้ามาเห็นไผ่พญา ภูวนัยกับไผ่พญาต่างชะงักกันไป ภูวนัยมองไผ่พญาที่ใส่เสื้อสีดำก็พูดขึ้น
“ใครเขาให้ใส่เสื้อสีดำไปเยี่ยมคนป่วย”
“อ้าวเหรอ ไม่เป็นไรหรอกมั้ง คุณพั้นซ์เขาก็ไม่ได้เป็นอะไรมากนี่”
“แต่มันก็ไม่ควร ขึ้นไปเปลี่ยนซะ”
ไผ่พญาชักไม่พอใจ
“ ถ้างั้นนายก็ไปโกนหัวก่อนซิ” ภูวนัยงง “ผมนายก็ดำเหมือนกัน”
“อย่าหาเรื่องทะเลาะกันแต่เช้าได้มั้ย”
“ใครกันแน่”
พรรษาที่ยืนอยู่ด้วยรีบหย่าศึก
“คุณภูคะ ลืมแล้วเหรอคะว่าคุณแม่คุณครูเพิ่งเสีย”
ไผ่พญาได้ยินอย่างนั้นก็เพิ่งนึกได้เหมือนกัน ภูวนัยเองก็ชะงักไปอย่างรู้สึกผิด
“ใช่ ฉันกำลังไว้ทุกข์อยู่”
“เอ่อ ผมลืมไป” แล้วภูวนัยก็รีบเปลี่ยนเรื่อง “หมอกละ ตกลงคุณทำให้เธอยอมไปโรงพยาบาลได้มั้ย”
ไผ่พญาอึกอักเพราะยังไม่ได้ทำอะไรเลย
“เอ่อ คือ”
“เมื่อเช้า ป้าเห็นคุณหมอกอยู่ในครัวน่ะคะ” พรรษาบอก ภูวนัยกับไผ่พญาได้ยินอย่างนั้นก็แปลกใจ
“ครัว”
ระหว่างนั้นเสียงม่านหมอกดังขึ้น
“ฉันทำอะไรไปเยี่ยมคุณพั้นซ์เขาหน่อย”
ทุกคนหันไปก็เห็นม่านหมอกเดินถือถุงผ้าที่ใส่กล่องข้าวกับกระบอกน้ำออกมา
“ไปกันหรือยัง”
ม่านหมอกพูดจบก็เดินนำออกไป ภูวนัยกับไผ่พญามองตามด้วยความสงสัย พรรษาเองก็เช่นกัน
“สงสัยวันนี้ฟ้าจะถล่มละมั้ง”
“ทำไมละคะ” ไผ่พญาถามอย่างแปลกใจ
“ก็แต่ก่อนคุณหมอกเป็นอย่างนี้ซะเมื่อไหร่ละคะ” พรรษาหันไปพูดกับภูวนัย “ป้าว่าแกคงจะคิดได้แล้วก็รู้สึกผิดจริงๆ แล้วนะคะคุณภู”
ภูวนัยไม่อยากจะเชื่อเช่นกัน
“คุณทำยังไง หมอกถึงได้ยอมไป” ภูวนัยถามไผ่พญา
“บอกไม่ได้หรอก ความลับ”
แล้วไผ่พญาก็เดินตามม่านหมอกออกไป ภูวนัยมองตามด้วยความสงสัย

ภูวนัยเดินนำมาตามทางเดินของโรงพยาบาล ไผ่พญากับม่านหมอกเดินตามมาไม่ห่างแล้วจู่ๆ ภูวนัยก็นึกขึ้นมาได้
“เดี๋ยวฉันเข้าไปก่อน...” ภูวนัยชะงักด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นม่านหมอกกับไผ่พญากำลังซุบซิบบางอย่างกันอยู่ “มีอะไร กำลังคิดอะไรแผลงๆ อยู่หรือเปล่า”
“แผลงอะไรละ คือหมอกเขากลัวว่าคุณพั้นซ์ยังโกรธอยู่ แล้วไม่รับของที่เธอตั้งใจทำมาฝากน่ะ” ภูวนัยมองม่านหมอกที่ทำหน้านิ่งตามสไตล์ ไผ่พญาเอาถุงกล่องข้าวจากม่านหมอกมาแล้วยื่นให้ภูวนัย “นายเอาให้คุณพั้นซ์ซิ”
“แต่ฉันว่า หมอกน่าจะเป็นคนเอาให้นะ จะได้ปรับความเข้าใจกัน”
“ถ้าบอกว่านายเอามาฝาก รับรองว่ายัยนั่น อุ้ย...คุณพั้นซ์จะต้องหายทันทีเลย น่า อยากให้หมอกหน้าแตกหรือไง”
ภูวนัยรับถุงกล่องข้าวมา
“ก็ได้ ดีเหมือนกัน ถ้าเกิดพวกคุณโผล่เข้าไปเลย พั้นซ์อาจตกใจก็ได้ เดี๋ยวผมเข้าไปก่อนแล้วสักพักค่อยตามเข้าไปแล้วกัน”
ภูวนัยเดินเข้าห้องไป ไผ่พญาเข้ามาคุยกับม่านหมอก
“ไม่ต้องห่วง เรื่องนี้ต้องแฮ๊ปปี้เอนดิ้งแน่นอน”
ไผ่พญาพูดปลอบม่านหมอก ม่านหมอกหน้าตายไม่ได้รู้สึกอะไร

ภายในห้องขณะนั้นพรรณรายกำลังกดรีโมทโทรทัศน์เปลี่ยนช่องไปเรื่อยด้วยอาการเซ็งก่อนจะปารีโมททิ้ง
“ฮึ่ยย์ ทำไมป่านนี้ภูยังไม่มาอีก หรือว่าไอ้เด็กนั่นต้องเป่าหูอะไรแน่ๆ” เสียงเคาะประตูดังขึ้น พรรณรายไม่คิดว่าเป็นภูวนัย “อะไรอีก” ภูวนัยเปิดประตูเข้ามา พรรณรายเห็นก็ดีใจ “ภู ภูมาหาพั้นซ์จริงๆ ด้วย”
“เมื่อกี้พั้นซ์นึกว่าใครเหรอ”
พรรณรายกลัวภูวนัยเห็นร่างนางมาร
“อ๋อ ฤทธิ์ยาน่ะคะ”
“แล้วเป็นยังไงบ้าง”
“ภูถามถึงร่างกายหรือว่าจิตใจละคะ” ภูวนัยรู้สึกผิด “ภูไปกรุงเทพฯ กับยัยครูนั่นทำอะไรกันคะ”
พรรณรายเมินหน้าหนีงอนๆ
“คุณแม่ของครูไผ่เสีย ผมเลยขับรถพาเธอไปงานศพ ส่วนผมก็ไปทำธุระต่อ”
พรรณรายได้ยินอย่างนั้นก็ยิ้มออกมาได้
“จริงนะคะ ภูกับยัยครูนั่นไม่ได้กิ๊กกั๊กกันใช่มั้ยคะ”
“คุณอยากได้ของชำร่วยงานศพมั้ยละ”
“จริงนะคะ” ภูวนัยพยักหน้า ระหว่างนั้นพรรณรายเห็นถุงในมือภูวนัย “อุ้ย อะไรนะคะ”
“แซนวิชน่ะครับ” ภูวนัยส่งให้ พรรณรายรีบรับมาเปิด
“ภูนี่ รู้ใจพั้นซ์จริงๆ เลย รู้มั้ยว่าพั้นซ์เบื่อข้าวโรงบาลจะแย่แล้ .พั้นซ์ทานเลยนะคะ”
ไผ่พญากับม่านหมอกเปิดประตูเข้ามา
“สวัสดีคะ”
พรรณรายที่กัดแซนวิชไปคำแรกถึงกับชะงัก
“พวกแกมาทำไม” พรรณรายหันมองหน้าภูวนัย แล้วรีบเปลี่ยนคำพูดกับน้ำเสียง “เอ่อ พวกเธอมาเยี่ยมฉันด้วยเหรอ อุ้ย หวัดดีจ้ะหมอก”
ไผ่พญาเห็นพรรณรายทานแซนวิชอยู่เลยรู้ว่าม่านหมอกทำแซนวิชมา
“โห แซนวิช”
“อ๋อ จ้ะ ภูเขาทำมาให้ฉันน่ะ”
พรรณรายรีบกัดแซนวิชคำโตเพื่อยั่วไผ่พญากับม่านหมอก ระหว่างนั้นภูวนัยพูดขึ้น
“ผมไม่ได้ทำหรอกพั้นซ์ หมอกเขาทำมาขอโทษคุณน่ะ”
พรรณรายได้ยินอย่างนั้นก็ถึงกับพ่นพรวดออกมาทันที
“ภูว่าใครทำน่ะคะ”
ไผ่พญาพูดในอารมณ์ต้องการนำเสนอ เพราะไผ่พญาไม่รู้ว่าพรรณรายโดนม่านหมอกแกล้งยังไง
“ก็หมอกไงคะ ไม่อร่อยเหรอ”
“ฉันทำมาขอโทษ ถ้าคุณไม่กินก็แสดงว่าคุณไม่ยกโทษให้ฉัน” ม่านหมอกบอก

พรรณรายมองแซนด์วิชในมืออย่างหวั่นใจ

ด้านตะวันฉายประคองยายสามาตามทางในโรงพยาบาล

“ไม่เป็นไรนะยาย เดี๋ยวหาหมอเสร็จยายก็พูดได้เหมือนเดิมแล้ว”
ยายสาจะพูดแต่เสียงแหบเหลือเกิน
“ขอบ...”
“ไม่ต้องพูดหรอกยาย เดี๋ยวจะยิ่งเจ็บคอ” ตะวันฉายพายายสาเดินมาถึงหน้าห้องน้ำ ยายสาชี้ไปที่ห้องน้ำ “จะเข้าห้องน้ำเหรอครับ”
ยายสาพยักหน้า ตะวันฉายประคองยายสาไปที่หน้าห้องน้ำ ตะวันฉายมองยายสาอย่างเป็นห่วง
“ให้ผมพาเข้าไปมั้ย” ยายสาส่ายหน้าแล้วทำไม้ทำมือบอกให้ตะวันฉายรอข้างหน้า “งั้นยายเดินดีๆ นะ” ยายสาเข้าห้องน้ำไป ตะวันฉายมายืนรอหน้าห้องน้ำ ตะวันฉายยืนรออยู่ได้ครู่นึงก็กังวล “เป็นหวัดอย่างนี้ เกิดเป็นลมไปจะทำยังไง”
ตะวันฉายมองซ้ายมองขวา พอเห็นคนเดินผ่านไปแล้วปลอดคนจึงรีบผลุบเข้าไปในห้องน้ำทันที

ตะวันฉายเข้ามาในห้องน้ำ แล้วทำเสียงเบาเรียก
“ยาย...ยาย ยายไม่มีเสียงนี่ เป็นไรไปหรือเปล่า”
ตะวันฉายเดินไปที่หน้าห้องน้ำที่เรียงราย ก่อนจะก้มลงไปมองข้างล่างเพื่อดูว่ายายสาเป็นลมกับชักโครกไปหรือเปล่า แต่ระหว่างที่ตะวันฉายกำลังก้มอยู่นั่น จู่ๆ ประตูห้องส้วมห้องนั้นก็เปิดออก ตะวันฉายค่อยๆ เงยหน้าขึ้นไปแล้วตะวันฉายก็ต้องตกใจเมื่อเห็นปลายฟ้ายืนอยู่
“กรี้ดดดด”
“เฮ้ย”
“นาย ฉันไม่คิดเลยนะว่านายจะเป็นพวกโรคจิต”
“เดี๋ยวก่อนหมอ ฟังผมก่อน”
ปลายฟ้าไม่ฟังอะไรทั้งนั้นเพราะจากสิ่งที่เห็นทำให้เธอเชื่อไปแล้ว ปลายฟ้าหันรีหันขวางก่อนจะเห็นไม้ถูพื้นอยู่มุมห้อง ปลายฟ้ารีบวิ่งเข้าไปหยิบ ตะวันฉายเห็นปลายฟ้าหยิบอาวุธก็ตกใจ
“เฮ้ย”
ตะวันฉายตกใจรีบวิ่งแผล่วออกไปทันที ปลายฟ้าเห็นก็รีบถือไม้ถูพื้นวิ่งตาม

ตะวันฉายวิ่งออกมาจากห้องน้ำ แต่ปลายฟ้าก็ตามมาทันก่อนจะหวดไม้ใส่ตะวันฉาย
“โอ๊ย”
“จะหนีไปไหน”
ปลายฟ้าจะตีอีก แต่ตะวันฉายจับไม้ถูพื้นเอาไว้ ทั้งสองหมุนกันไปหมุนกันมา
“หมอฟังผมก่อนซิ”
“ต้องฟังอะไรอีก ก็ฉันเห็นนายแอบดูฉันอยู่”
“มันไม่ใช่อย่างนั้นน่ะหมอ ผมไม่ใช่โรคจิต ลามกจกเปรตอะไรที่หมอคิดเลย”
“แล้วนายเข้าห้องน้ำหญิงไปทำไม”
เสียงไอแค่กๆ ดังขึ้น ตะวันฉายกับปลายฟ้าหันไปมองก็เห็นยายสายืนอยู่
“นี่ไง ผมจะเข้าไปดูคุณยายว่าเป็นอะไรหรือเปล่า คุณยายแกเป็นหวัดผมก็กลัวแกจะเป็นลมในห้องน้ำ”
ปลายฟ้าได้ยินอย่างนั้นก็ชะงักไป
“จริงเหรอจ้ะยาย”
ยายสาพยักหน้า บอกเสียงแหบ
“จริงจ้ะหมอ”
“เอ่อ...”
“ถ้าอย่างนั้น ผมจะปล่อยมือแล้วนะ” ตะวันฉายค่อยๆ ปล่อยมือจากไม้ถูพื้น ปลายฟ้ายิ้มเจื่อน “แล้วยังไงเนี่ยหมอ ถ้าหัวผมแตกไปจะว่ายังไง”
“ก็นายทำให้ฉันเข้าใจผิดเองทำไม”
“เอ้า”
“หรือจะให้ฉันรายงานพฤติกรรมของนายให้ทางจังหวัดรู้”
“โห...ถ้าอย่างนั้นผมก็จะบอกโรงพยาบาลเหมือนกันว่าหมอไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นหมอ”
“มันเกี่ยวอะไร”
“หมอยังไม่ทันฟังผมก็ตัดสินแล้ว มันก็เหมือนกับหมอยังไม่ทันตรวจก็วินิจฉัยโรคแล้วไง” ปลายฟ้าอึ้งเถียงไม่ออก ก่อนจะหันหลังเดินออกไปดื้อๆ “อ้าว นี่หมอจะไม่ขอโทษผมสักคำเลยเหรอ”
ตะวันฉายมองตามปลายฟ้าอย่างหมั่นไส้

พรรณรายพะอืดพะอมหลังจากพยายามกินแซนวิชจนหมด
“อร่อยมากเลยจ้ะ” พรรณรายบอกกับม่านหมอก
“เหรอ เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าอาหารหมูเอามาทำแซนวิชอร่อยเหมือนกัน”
“ห๊า แหวะ” พรรณรายได้ยินอย่างนั้นก็ลืมตัวจะพลิกหากระโถน เลยทำให้ตกเตียง “โอ๊ย”
ภูวนัยรีบเข้ามารับพรรณราย
“เล่นอะไรเนี่ยหมอก ไม่เห็นหรือไงว่าพี่เขาเจ็บอยู่”
ภูวนัยต่อว่าม่านหมอก ระหว่างนั้นเสกสรรเปิดประตูเข้ามาในห้องพร้อมกับตำรวจ
“นี่เลยครับ เชิญสารวัตรสอบปากคำลูกสาวผมได้เต็มทีเลยครับ” เสกสรรเห็นภูวนัย ไผ่พญาและม่านหมอกก็ตกใจ “พวกแก” เสกสรรหันไปเห็นภูวนัยกำลังประคองพรรณรายที่กำลังจะตกเตียง “เฮ้ย แกทำอะไรยัยพั้นซ์”
เสกสรรรีบเข้ามาหาพรรณราย ส่วนไผ่พญาพอเห็นตำรวจก็ตกใจ
“ฉิบ”
เสกสรรเข้าไปประคองพรรณราย
“สารวัตรเห็นหรือยังว่าพวกนี้มันกำลังทำร้ายลูกสาวผม จับมันเลยสารวัตร”
“อะไรเนี่ยพ่อ พ่อพาตำรวจมาทำไม”
“เอ้า ก็พ่อไปแจ้งความว่าพวกนี้มันทำร้ายร่างกายแกไง สารวัตรเขาก็เลยอยากสอบปากคำแก”
พรรณรายอยากจะจัดการม่านหมอกอยู่เหมือนกัน แต่เพราะภูวนัยอยู่ด้วยเลยต้องเปลี่ยนท่าที
“จะบ้าเหรอพ่อ ใครทำร้ายร่างกายใคร”
“ตกลงจะเอายังไงครับคุณเสกสรร” สารวัตรถาม
“เอายังไง ก็ต้องจัดการซิ เมื่อวานลูกสาวผมไปบ้านของไอ้หมอนี่ แล้วพอตอนเย็นก็เดินอย่างนี้” เสกสรรทำท่าเดินกะเผกให้ดู “กลับมาที่บ้าน”
“เอ่อ พั้นซ์ลื่นล้มเองคะสารวัตร”
“อ้าว ไหนแกบอกว่าพวกนี้มันแกล้งแกไง”
ไผ่พญาเห็นว่าทุกคนกำลังเถียงกันหน้าดำคร่ำเครียดก็ค่อยๆ กระเถิบไปที่ประตู จะชิ่งออกจากห้อง
“ตกลงยังไงครับ คดีอย่างนี้ถ้าเจ้าทุกข์บอกว่าไม่โดนทำร้ายก็เอาผิดอะไรไม่ได้”
“ยัยพั้นซ์”
“ก็พั้นซ์ลื่นล้มเองจริงๆ นี่คะ”
ภูวนัยรู้สึกโล่งอกขึ้นมาทันที ภูวนัยหันมองม่านหมอกที่นิ่งเงียบไม่พูดอะไร ขณะที่ไผ่พญากระเถิบใกล้ถึงประตูอยู่แค่เอื้อม
“ถ้าอย่างนั้น ก็คงไม่มีอะไรแล้วผมคงต้องขอตัว”
สารวัตรทำความเคารพ ทุกคนยกมือไหว้ลา มีแต่เสกสรรที่ไม่ยอม
“เดี๋ยวก่อนสารวัตร”
สารวัตรเดินมาที่ประตูก็ปะหน้าเข้ากับไผ่พญาที่กำลังจะย่องออกจากประตู ไผ่พญาเห็นสารวัตรก็รีบก้มหน้าก้มตาทันที
“เอ หน้าคุ้นๆ นะเราเนี่ย”
ไผ่พญาหลบหน้าหลบตา
“จริงเหรอคะ”
“จริงซิ เคยเห็นที่ไหนน้า”
“ไม่เคยหรอกคะ เพราะถ้าเคยเห็นหนูคงจำสารวัตรได้แล้ว พอดีหนูเกิดมาหน้าโหล ใครๆ ก็ชอบทักถูกทักผิดอยู่เรื่อย”
“แล้วนั่นคุณจะไปไหน”
“เอ่อ...เอ่อ...พอดีเมื่อกี้ฉันเพิ่งนึกได้ว่าเข้าห้องน้ำแล้วยังไม่ได้ปิดน้ำเลย เดี๋ยวฉันไปปิดน้ำก่อนนะ”
ไผ่พญาพูดจบก็รีบเปิดประตูออกจากห้อง ระหว่างนั้นสารวัตรก็นึกขึ้นมาได้
“นึกออกแล้ว”สารวัตรหันไปทำความเคารพกับทุกคน “ผมไปก่อนนะครับ”
“อ้าว เดี๋ยวก่อนซิสารวัตร”

เสกสรรรีบตามสารวัตรออกไปอีกคน

คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะ ตอนที่ 6 (ต่อ)

ไผ่พญารีบเดินจ้ำอ้าวมาตามทาง ตาก็คอยหันมองหลังตลอดเวลา

“บ้าเอ๊ย ดันมาเจอตรงนี้ได้ไงเนี่ย”
สารวัตรวิ่งตามไผ่พญาเข้ามา
“เดี๋ยวก่อนซิคุณ”
ไผ่พญาได้ยินก็หันไปมองแล้วก็ตกใจเมื่อเห็นสารวัตรตามมา มีเสกสรรคอยตามสารวัตรมาอีกคน
“สารวัตรนั่นแหละหยุดก่อน” ไผ่พญาตกใจรีบเดินจ้ำอ้าวเร็วกว่าเดิม เสกสรรดึงสารวัตรเอาไว้ “เดี๋ยวก่อนๆสารวัตรจะกลับง่ายๆ อย่างนี้น่ะเหรอ”
ไผ่พญาเดินมาตามทาง อาศัยจังหวะที่เสกสรรดึงสารวัตรเอาไว้รีบผลุบหายเข้าไปในห้องนึงข้างๆ เสกสรรรั้งสารวัตรเอาไว้
“แล้วคุณเสกจะให้ผมอยู่ทำไม ก็ไม่มีเหตุอะไรนี่”
“แล้วสารวัตรตามผู้หญิงคนนั้นมาทำไม”
“อ๋อ ผมเพิ่งนึกได้ว่าเป็นลูกยายแป๋วขายหอยจ้อที่ตลาดไง ร้านนี้เขาขายดีมากนะถ้าจะกินต้องสั่งก่อนอย่างน้อยสามวัน ผมก็เลยจะฝากเธอไปบอกยายแป๋วก็แค่นั้น”
“นี่สารวัตรเห็นหอยจ้อสำคัญกว่าลูกผมเหรอ”
สารวัตรถึงกับเซ็งที่เสกสรรพูดไม่รู้เรื่อง
“เว้ย ผมจะพูดยังไงกับคุณเสกดีเนี่ย”

ไผ่พญาเอาตัวพิงประตูเอาไว้ก่อนจะหายใจอย่างโล่งอก
“ฟู่ เกือบไปแล้ว”
ไผ่พญาหันหน้ามา แล้วไผ่พญาก็ต้องผงะเมื่อเห็นหมอคนนึงอยู่ในห้อง ภายในห้องเต็มไปด้วยหัวใจโมเดล แผ่นแสดงโรคหัวใจ หมอคนนั้นที่กำลังมองฟิล์มเอ็กซเรย์ในมือก็มองไผ่พญางงๆ ไผ่พญาเองก็อึ้งเหมือนกัน
“ผมกำลังจะให้พยาบาลไปตามคุณอยู่พอดี”
“ห๊า”
ไผ่พญาถึงกับงงเมื่อหมอเข้าใจว่าเธอเป็นคนไข้ไปซะแล้ว

ตะวันฉายกำลังประคองยายสาเดินมาตามทาง
“แหม ยาของหมอเขาดีจริงๆ ค่อยมีเสียงพอคุยได้หน่อย”
“ดีแล้วยาย ต่อไปยายหาหมามาเลี้ยงซักตัวดีกว่า จะได้ไม่ต้องไปนอนเฝ้านาอย่างนั้น”
ยายสาพยักหน้าก่อนจะหันไปบอกกับตะวันฉาย
“ขอโทษนะคุณ”
“เรื่องอะไรยาย”
“ก็ถ้าคุณไม่พายายมาโรงพยาบาล ก็ไม่ต้องโดนคุณหมอคนนั้นเข้าใจผิดไง”
“ใช่ความผิดของยายที่ไหนกันครับ ถ้าจะผิดก็ต้องผิดที่ความคิดคนเขาอกุศลต่างหาก”
ระหว่างนั้นไผ่พญาออกจากห้องตรวจโรคหัวใจ ตะวันฉายเห็นพอดี
“คุณไผ่”
ไผ่พญาหันมาเห็นตะวันฉาย
“อ้าว คุณตะวัน”
หมอออกมาจากห้องตรวจ
“คุณครับ คุณ” ไผ่พญาหันไปตามเสียงเรียก “หมอลืมบอกไป โรคหัวใจของคุณถ้าไม่ได้รับการผ่าตัดภายในหกเดือนนี้ หมอเกรงว่า...”
ไผ่พญาทำหน้าเศร้า
“ฉันเข้าใจดีคะหมอ”
หมอพยักหน้าก่อนจะเดินเข้าห้องไป ไผ่พญาโล่งอกที่เอาตัวรอดไปได้ ไผ่พญาหันมาจะคุยกับตะวันฉาย แต่แล้วไผ่พญาก็ต้องอึ้งไปเมื่อเห็นสายตาของตะวันฉายมองมาที่เหมือนช๊อคกับสิ่งที่ได้ยิน ไผ่พญารู้ได้ทันทีว่าตะวันฉายเข้าใจว่าเธอเป็นโรคหัวใจแน่นอน

เสกสรรกำลังคาดคั้นพรรณราย
“มันขู่แกใช่มั้ย บอกพ่อมา ไม่ต้องกลัว”
“เปล่า พ่อนี่ก็พั้นซ์บอกแล้วว่าพั้นซ์ล้มเอง”
ระหว่างนั้นภูวนัยที่ยืนอยู่ก็พูดขึ้น
“คุณเสกสรร”
เสกสรรหันมาเห็นภูวนัยยืนอยู่ใกล้ๆ ก็ตกใจรีบกระเถิบหนี
“ทำไม อย่าเข้ามานะเว้ย”
“ผมไม่เคยขู่พั้นซ์ให้พูดยังไง ถ้าใครผิดก็ว่าไปตามผิด”
“ไม่ต้องมาบอกฉัน โน่น ไปบอกลูกแกโน่น ถึงว่าคนไม่มีพ่อมีแม่ก็เลยไม่มีใครสั่งใครสอน”
ม่านหมอกได้ยินอย่างนั้นก็มองหน้าเสกสรรเอาเรื่อง
“คุณเสกสรร ผมว่าคุณกำลังล้ำเส้นนะ”
ม่านหมอกพูดขึ้น
“ฉันยอมรับว่าพ่อแม่ฉันตายไปแล้วก็เลยไม่มีคนสั่งคนสอน แต่ฉันว่าก็ยังดีกว่าคนที่ยังเหลือพ่ออยู่แต่ยังทำตัวไม่ได้รับการสั่งสอนยิ่งกว่าฉันซะอีก”
“หมอก...พอ...ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว”
“หนอย นังเด็กปากดี แน่จริงพวกแกกลับไปซิวะ พวกแกอยู่อย่างนี้ ลูกฉันก็ไม่กล้าพูดอะไรซิ”
“ได้ ถ้าอย่างนั้นผมกลับก่อน”
พรรณรายได้ยินภูวนัยลากลับก็รีบรั้งเอาไว้
“ภู อย่าเพิ่งกลับซิ”
“ไว้เดี๋ยวผมมาเยี่ยมใหม่แล้วกัน ไปกันเถอะ”
ภูวนัยเดินออกไปจากห้องพร้อมกับม่านหมอก พรรณรายพยายามร้องเรียกตาม
“ภู เดี๋ยวก่อน”
พอเสกสรรเห็นภูวนัยกับม่านหมอกไปแล้วจึงหันมาถามพรรณรายอีก
“ดีใจมั้ยที่พ่อไล่มันกลับไปแล้ว”
“ถ้าพ่อกลับฉันจะดีใจมากกว่า”
“เอ้า นังนี่”

พรรณรายหน้าง้ำไม่พอใจ

ด้านตะวันฉายเดินมากับไผ่พญาและยายสา ตะวันฉายมีท่าทางเศร้าๆ มองไผ่พญาด้วยความเป็นห่วง แต่ไผ่พญากลับกำลังคิดหาทางบอกความจริงกับตะวันฉาย

“เอ่อ ที่คุณตะวันเห็นเมื่อกี้”
“ผมรู้ครับว่าคุณรู้สึกยังไง”
“ไม่ใช่คะ คือว่า”
“ถ้ามีอะไรที่ผมช่วยได้ บอกเลยนะครับ”
ไผ่พญาครุ่นคิด ในเมื่อตะวันฉายเชื่อว่าเธอเป็นโรคหัวใจ แต่คนอื่นยังไม่รู้เพราะฉะนั้นก็ให้เรื่องนี้หยุดที่ตะวันฉายแค่คนเดียว ไผ่พญาจึงบอกกับตะวันฉายด้วยสีหน้าเศร้า
“ถ้าจะมี ก็คงมีอย่างเดียวแหละคะ”
“อะไรครับ”
“คุณตะวันช่วยเก็บเรื่องที่ฉันเป็นโรคหัวใจไว้เป็นความลับได้มั้ยคะ”
“ทำไมละครับ ผมว่าน่าจะบอกให้ทุกคนรู้นะครับ ถ้าเกิด...” ตะวันฉายลำบากใจ ไม่อยากพูด “คุณเป็นอะไรไปจะได้มีคนช่วย”
“แค่นี้ฉันก็เหมือนเป็นตัวประหลาดมากแล้วคะ ฉันไม่อยากให้ทุกคนมองฉันด้วยความสงสาร นะคะ ถือว่าฉันขอร้อง”
ตะวันฉายพยักหน้าเศร้าๆ ยายสาเห็นสายตาของตะวันฉายที่มองไผ่พญาก็เหมือนจะรู้ว่าตะวันฉายคิดอะไร
ไผ่พญาแอบโล่งอกที่ตะวันฉายรับปาก ทั้งหมดจะเดินต่อแต่ก็หันไปเห็นปลายฟ้าเดินเข้ามาพอดี
อ้าว สวัสดีคะคุณหมอ”
“สวัสดีคะ” ปลายฟ้ามองไผ่พญากับตะวันฉายมาด้วยกันก็แปลกใจ “พวกคุณรู้จักกันด้วยเหรอคะ”
“ทำไมเหรอคะ”
“คุณหมอเขาคงคิดว่าผมทำงานกับสัตว์เลยต้องรู้จักแต่สัตว์เท่านั้นมั้งครับ”
ปลายฟ้ามองตะวันฉายอย่างหมั่นไส้
“คุณตะวันเขาช่วยฉันจากไอ้พวกหื่นกาม ตอนที่ฉันไปที่ฟาร์มวันแรกน่ะคะ” ไผ่พญาบอก
“อ๋อเหรอคะ ระวังหนีเสือปะจระเข้นะคะ”
“คืออะไรคะ” ไผ่พญ่าทำหน้างง
“ไม่มีอะไรหรอกครับ พอดีหมอปลายฟ้าเขารักษาทางด้านประสาทก็เลยทำตัวแบบว่า...” ตะวันฉายแสดงออกทางสีหน้า แต่ไม่พูด “ให้กลมกลืนกับคนไข้น่ะครับ”
ปลายฟ้ากับตะวันฉายต่างจ้องหน้ากัน ต่างคนต่างหมั่นไส้
ภูวนัยเดินมากับม่านหมอก ม่านหมอกนึกถึงไผ่พญาขึ้นมาได้
“แล้วครูไผ่ล่ะ”
“จริงซิ”
ภูวนัยหันไปเห็นไผ่พญา ตะวันฉาย ปลายฟ้าและยายสายืนอยู่
“นายว่าฉันประสาทเหรอ”
“อ้าว นี่คุณพูดของคุณเองนะ”
ไผ่พญาเห็นทั้งคู่ชักจะมีน้ำโหก็เลยทำเป็นหัวเราะทะลุกลางปล้อง
“แหม คุณหมอกับคุณตะวันคุยกันสนุกดีนะคะ”
ภูวนัยเดินเข้ามา
“ฉันจะกลับแล้ว”
ทุกคนหันไปก็เห็นภูวนัยเดินเข้ามากับม่านหมอก
“สวัสดีครับคุณภู”
“อ้าว ภูมาทำอะไร”
ภูวนัยกำลังจะพูด แต่เสียงของพรรณรายก็ดังขึ้น
“ภู”
ทุกคนหันไปก็เห็นพรรณรายเดินกะเผลกเข้ามา พรรณรายรีบเข้ามาหาภูวนัย ภูวนัยรีบเข้ามาดู
“พั้นซ์ออกมาทำไม ยังเดินไม่ได้ไม่ใช่เหรอ”
“อ้าว เป็นไรน่ะพั้นซ์”
“ก็เห็นอยู่ว่าเจ็บสะโพกยังจะถามอีก ภูอยู่เป็นเพื่อนนะ”
“แล้วคุณเสกสรรละ”
“กลับไปแล้ว เห็นว่ามีธุระด่วนที่รีสอร์ตพ่อก็เลยรีบกลับไป นะภูนะ ภูจะให้พั้นซ์อยู่คนเดียวเหรอ”
“ไม่ได้หรอกพั้นซ์ ผมต้องไปส่งหมอกกับครูอีก”
“อ๋อ ตามสบาย เดี๋ยวฉันพาหมอกเขากลับเองได้” ไผ่พญาบอก
“เดี๋ยวผมไปส่งให้ก็ได้ครับ” ตะวันฉายรับอาสา
ตะวันฉายยิ้มให้กับไผ่พญา ภูวนัยเห็นอย่างนั้นก็รู้สึกขัดเคืองเพราะอุตส่าห์หาข้ออ้างแล้วแต่ไผ่พญาดันออกตัวซะได้

แฟลชไดฟ์ของเสี่ยสมสุขที่อนันต์ให้ไว้กับพายัพถูกเสียบกับคอมพิวเตอร์ จากนั้นข้อมูลรายชื่อตำรวจหลายนายพร้อมกับจำนวนเงินที่ส่งให้กับตำรวจเหล่านั้นทุกเดือนก็ปรากฎบนหน้าจอ พายัพดูข้อมูลนั่นด้วยอาการอึ้งไม่ใช่น้อย
“ไอ้สมสุข มิน่าทำไมพวกตำรวจถึงได้เกรงใจแก หึๆ ร้ายไม่ใช่เล่นนี่” เสียงเคาะประตูดังขึ้น พายัพรีบปิดหน้าจอคอมทันที “เข้ามา” มือขวาเปิดประตูเข้ามา “มีอะไร” มือขวายื่นพระสมเด็จให้กับพายัพ พายัพเห็นก็ตาวาว แล้วนึกถึงไผ่พญา “แล้วผู้หญิงอยู่ไหน” มือขวาค่อยๆ ยื่นแผ่นกระดาษให้กับพายัพ พายัพรับไปอ่าน “ฉันคืนของที่คุณต้องการให้แล้ว ต่อไปนี้ขอให้เราเลิกแล้วต่อกัน”
พายัพขย้ำกระดาษทิ้งก่อนจะหยิบพระสมเด็จมาดูตาเป็นประกาย
“ในที่สุด ฉันก็ได้มันมา”
มือขวาพูดขึ้นอย่างระมัดระวัง
“นายครับ”
“มีอะไรอีก”
“เอ่อ ผมว่าพระสมเด็จนั่น น่าจะเป็นของปลอมครับ”
พายัพได้ยินอย่างนั้นก็เดินไปที่โต๊ะก่อนจะหยิบที่ทับกระดาษทุบลงไปที่พระสมเด็จทันที กรอบพระแตกออก พายัพคุ้ยหาแต่ก็ไม่พบอะไร พายัพเริ่มโกรธ แล้วทุบลงไปที่พระอีกครั้งแล้วครั้งเล่าจนแหลกละเอียด แต่ก็ไม่พบอะไรในพระนั่น พายัพกำหมัดด้วยความแค้น
“หาตัวนังผู้หญิงนั้นมาได้”

ไผ่พญากำลังประคองยายสามาที่แคร่หน้าบ้าน
“ระวังนะจ้ะยาย”
“เอ้าๆ พอละ โทษทีนะหนู มาส่งยายเลยทำให้กลับบ้านช้าเลย”
“ช้าอะไรกันยาย ดีซะอีกหนูน่ะอยู่แต่ในฟาร์มเบื่อจะตาย”
ตะวันฉายเดินมากับม่านหมอก ตะวันฉายมองไผ่พญาแล้วยิ้มอย่างเอ็นดู
“ท่าทางครูไผ่จะเข้ากับคนแก่ได้ดีนะ”
“คงงั้นแหละ”
ไผ่พญาพายายสามาถึงที่หน้าบ้าน
“เอ้าๆ พอแล้วๆ เดี๋ยวให้คุณตะวันพายายขึ้นไปเอง”
“เอ่อ ได้คะ” ไผ่พญาเดินเข้ามาหาตะวันฉายที่ยืนอยู่กับม่านหมอก “ยายเขาจะให้คุณพาขึ้นบ้านน่ะ”
“ได้ซิ”
ตะวันฉายเดินเข้ามาหายายสา ยายสามองไปที่ไผ่พญาก่อนจะมองหน้าตะวันฉาย
“คุณชอบยายหนูนั่นใช่มั้ย”
ตะวันฉายคิดว่าหมายถึงม่านหมอก
“ไม่ใช่จ้ะยาย น้องเขายังเด็กอยู่นะยาย”
“ไม่ใช่เด็กคนนั้นซิ หนูไผ่นั่นต่างหาก”
ตะวันฉายหันมองไปทางไผ่พญา ไผ่พญายิ้มให้แบบงงๆ
“เอ่อ”
“น่า ยายเห็นที่คุณมองเธอ มันเหมือนตอนตาเขาหนุ่มๆ เขาก็มองยายแบบเดียวกันนี่แหละ” ตะวันฉายยิ้มเจื่อนๆ
“สายตาผมมันบอกขนาดนั้นเลยเหรอยาย”
“เอาละ เดี๋ยวยายขึ้นไปเอง รีบไปส่งนังหนูสองคนนั่นเถอะ”
ยายสาค่อยๆ เดินขึ้นบ้านไป ตะวันฉายหันมาเห็นไผ่พญามองอยู่ก็ออกอาการเขิน ตะวันฉายพยายามข่มอาการเขินแล้วเดินเข้ามาหาไผ่พญากับม่านหมอกที่ยืนอยู่
“ยายเขาพูดอะไรกับคุณเหรอ”
“อ๋อ เปล่า ยายเขา...เขาเกรงใจที่ทำให้พวกคุณกลับบ้านช้าไง เอ่อ ไปหมอก กลับบ้านกันเถอะ” ตะวันฉายก้มหน้าก้มตาด้วยความเขิน กำลังจะเดินไปแต่เสียงมือถือของตะวันฉายดังขึ้น ตะวันฉายรับสาย “ผมตะวันฉายครับ...” ตะวันฉายฟังแล้วตกใจ “ได้ครับ ผมจะรีบไปเดี๋ยวนี้”
“มีอะไร”
“เอ่อ นังแดงที่บ้านป้าแช่มจะคลอดลูกน่ะ พี่คงต้องไปทำคลอด”
ไผ่พญารู้ว่าตะวันฉายเกรงใจจึงพูดขึ้น
“ไปซิ พวกเรากลับบ้านช้าหน่อยไม่เป็นไรหรอกเนอะหมอก” ม่านหมอกพยักหน้ารับ ตะวันฉายยิ้มโล่งอก
“งั้นไปกันครับ”

ทั้งหมดรีบขึ้นรถ ตะวันฉายขับแล่นออกไปทันที

ที่โรงพยาบาล ภูวนัยเกิดความสงสัยหลังจากได้ยินที่พรรณรายเล่าให้ฟัง

“หมอกกับเมฆแกล้งคุณจริงๆ เหรอ”
พรรณรายนอนอยู่ที่เตียงพยักหน้ารับเศร้าๆ
“คะ”
“แล้วทำไมคุณไม่บอกตอนที่หมอกเขาอยู่ ไม่ได้นะ ทำอะไรก็ต้องยอมรับ เล่นแรงอย่างนี้ได้ยังไง”
“อย่าไปว่าแกเลยคะภู เพราะพั้นซ์คิดว่าคงไม่ใช่ความคิดของแกหรอก” ภูวนัยสงสัย พรรณรายเห็นภูวนัยสงสัยก็เล่นละครเพื่อให้ภูวนัยอยากรู้ “เอ่อ ไม่มีอะไรหรอกคะ คิดว่าพั้นซ์ไม่ได้พูดก็แล้วกัน”
“พูดมาเถอะพั้นซ์ ผมเองก็อยากรู้ว่าพวกแกได้ความคิดพิเรนท์ๆ นี้มาจากไหน”
พรรณรายทำอิดเอื้อนแต่ก็พูดจนได้
“ภูไม่สังเกตเหรอคะ ตั้งแต่ที่ครูคนนั้นเข้ามาสอนหมอกกับเมฆเด็กสองคนนั่นก็เปลี่ยนไป ทั้งก้าวร้าวแล้วก็หยาบคาย” ภูวนัยครุ่นคิดตามที่พรรณรายบอก พรรณรายเห็นภูวนัยคิดก็กลัวว่าภูวนัยจะไม่เชื่อจึงร้องออกมาอย่างเจ็บปวด “โอ๊ย”
ภูวนัยรีบเข้ามาดูพรรณราย
“เป็นไรพั้นซ์”
“อยู่ๆ มันก็เจ็บที่สะโพกน่ะคะ ภูคะ” พรรณรายเอื้อมมือไปจับมือภูวนัย สั่นระริก “พั้นซ์กลัวจังเลยคะ พั้นซ์กลัวว่าพั้นซ์จะเดินอย่างนี้ไปตลอดชีวิต ถ้าอย่างนั้นพั้นซ์จะทำยังไง ชีวิตของพั้นซ์จบลงแล้ว ใครเขาจะมาสนใจผู้หญิงที่พิการอย่างพั้นซ์”
พรรณรายร้องไห้บีบน้ำตาเลยทำให้ตอนที่ภูวนัยพยายามหาเหตุผลเรื่องไผ่พญา กลายเป็นความสงสารพรรณราย แล้วกลายเป็นความโกรธไผ่พญาแทน

ตะวันฉายรีบลงมาจากรถเจอกับชาวบ้านยืนอยู่
“อยู่ไหนครับ”
“หลังบ้านค่ะ”
ตะวันฉายรีบตามชาวบ้านเข้าไป ไผ่พญากับม่านหมอกลงจากรถแล้วก็เห็นป้าแช่มอ้วนๆ เดินอุ้ยอ้ายมือกุมท้องมาตามทาง ไผ่พญาตกใจรีบเข้าไปพยุงป้าแช่ม
“ป้า คุณตะวันเข้าไปข้างในแล้ว ป้าไหวมั้ย”
“ไม่ไหวแล้ว” ป้าแช่มหน้าเหยเก “มันปวด ปวดท้อง”
“งั้นทำไงดี? เอางี้ หมอกช่วยครูแบกป้าเข้าไปในบ้านเถอะ”
ไผ่พญากับม่านหมอกช่วยกันแบกป้าแช่มด้วยความทุลักทุเลรีบพาเข้าไปในบ้าน

ไผ่พญาแบกป้าแช่มเข้ามาหอบแฮ่ก
“วางป้าลงตรงนี้แหละ” ไผ่พญาวางป้าแช่มลงหน้าห้องน้ำ “ขอบใจมากนะหนู ป้าไม่ไหวแล้ว...ป๊าดดดด”
ป้าแช่มตดเสียงดัง ทำเอาไผ่พญากับม่านหมอกเหวอ ป้าแช่มรีบเข้าห้องน้ำ เสียงดังปู๊ดป๊าดออกมา ม่านหมอกทำหน้าเหม็น
“อ้าว ป้าไม่ได้ปวดท้องคลอดลูกหรอกเหรอ”
“กลิ่นขนาดนี้ยังจะถามอีกเหรอ”
ไผ่พญาบีบจมูกเพราะเหม็นมาก

ที่คอกควาย ตะวันฉายปาดเหงื่อเห็นลูกควายพยายามยืนอยู่ ชาวบ้านสองสามคนยิ้มด้วยความดีใจ
“ขอบคุณคุณตะวันมาก นึกว่านังแดงมันจะตายแล้ว”
“ไม่เป็นไรครับ”
ตะวันฉายหันไปเห็นไผ่พญาเดินเข้ามาเหงื่อเต็มหน้า
“ที่แท้มาทำคลอดให้ควาย”
“ใช่ไงครับ ทำไมเหรอครับ” ป้าแช่มกับชาวบ้านเอาของมาให้ตะวันฉายตอบแทนน้ำใจ “ไม่ต้องหรอกครับป้ามันเป็นหน้าที่ผมอยู่แล้ว”
“ได้ยังไงคะ ถ้าไม่ได้คุณตะวันป่านนี้นังแดงคงตายไปแล้ว”
ไผ่พญายิ้มแหยๆ ป้าแช่มกับชาวบ้านเดินเข้าไป ตะวันฉายหันมามองไผ่พญางงๆ
“พี่ทำคลอดควายได้ด้วยเหรอ” ม่านหมอกถามตะวันฉาย
“เป็นซิ”
“จะบอกให้ อย่าว่าแต่ควายเลย คุณตะวันก็เคยทำคลอดให้คนมาแล้ว” ป้าแช่มบอก
“โห คุณนี่เก่งไม่ใช่เล่นนะ”
“ไม่ใช่เรื่องเก่งอะไรหรอกครับ จะคนหรือว่าสัตว์มันก็เหมือนกัน มันคือชีวิตๆ หนึ่งที่เราต้องรักษา”
ไผ่พญาได้ยินอย่างนั้นก็ทึ่งไป ส่วนม่านหมอกมองตะวันฉายราวกับฮีโร่
“อย่าเพิ่งกลับกันนะ ยังไงต้องอยู่ฉลองด้วยกันก่อน”
“เอ่อ คงไม่ได้หรอกครับ นี่ก็เย็นมากแล้วผมกลัวว่าจะ...”
“ไม่ได้เลยคุณตะวัน ยังไงป้าไม่ยอมให้พวกคุณกลับแน่” ป้าแช่มหันไปพูดกับไผ่พญาและม่านหมอก “นะหนูอยู่ฉลองให้เจ้าแดงมันหน่อย”
ไผ่พญาหันมองหน้ากับม่านหมอกไม่รู้เอาไงดี

ภูวนัยนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โซฟา พรรณรายมองภูวนัยอย่างขัดใจที่ไม่ยอมเอาใจ พรรณรายคิดหาทางเรียกร้องความสนใจ เธอจึงลุกขึ้นแล้วลงจากเตียงก่อนจะแกล้งล้มลงไปนั่งกับพื้น
“โอ๊ย”
ภูวนัยเห็นพรรณรายล้มก็ตกใจ
“พั้นซ์” ภูวนัยรีบเข้ามาดูพรรณราย “จะทำอะไรน่ะพั้นซ์”
“พั้นซ์เห็นภูเหงา พั้นซ์ก็เลยอยากไปนั่งข้างๆ ภูน่ะ”
ภูวนัยส่ายหน้าก่อนจะช้อนร่างของพรรณรายขึ้นแล้วค่อยๆ วางลงที่เตียง แต่พรรณรายกลับคล้องคอแน่นไม่ยอมปล่อย
“ปล่อยผมเถอะพั้นซ์”
“อะไรกันภู ก่อนที่ภูจะมีเหมือนฝันพั้นซ์ก็กอดภูอย่างนี้นี่”
“ตอนนี้มันไม่เหมือนกันแล้ว”
พรรณรายยังไม่ยอมปล่อยจ้องหน้าภูวนัยอย่างเชิญชวน
“เราก็ทำให้มันเป็นเหมือนเดิมซิ”
“พั้นซ์”
พรรณรายโน้มคอภูวนัยลงมาอีก ภูวนัยพยายามขัดระหว่างนั้นเสียงโทรศัพท์ของภูวนัยก็ดังขึ้นเหมือนระฆังช่วยพอดี พรรณรายหงุดหงิดจึงต้องปล่อยให้ภูวนัยรับสาย
“มีอะไรครับป้า”

พรรษากำลังคุยโทรศัพท์อยู่ที่ห้องรับแขก
“คุณภูจะให้ป้าเตรียมข้าวเย็นให้ด้วยมั้ยคะ”
ภูวนัยเดินเลี่ยงออกมาจากพรรณรายที่กำลังด่าพรรษาอยู่ในใจ
“ฮึ่ยย์ นังป้าจังหวะนรก”
“เอ่อ ไม่ต้องหรอกครับ ผมทานที่โรงพยาบาลแล้ว”
“คะ”
“แล้วหมอกถึงบ้านปลอดภัยดีใช่มั้ยครับ”
พรรษาแปลกใจ
“คุณหมอกเหรอคะ ยังไม่กลับมาเลยนี่คะ”
ภูวนัยได้ยินอย่างนั้นก็ตกใจ
“อะไรนะครับ หมอกยังไม่ถึงบ้านอีกเหรอ”
“คะ”
ภูวนัยวางสาย เป็นห่วงม่านหมอกขึ้นมาทันที พรรณรายได้ยินที่ภูวนัยคุยโทรศัพท์ก็แจ๋นขึ้น
“หมอกยังไม่ถึงบ้านอีกเหรอคะ”
“ใช่ ไปไหนกันนะ” ภูวนัยเป็นกังวลเพราะเป็นห่วงม่านหมอก
“ก็คงจะเถลไถลตามยัยครูนั่นไปแหละคะ”
ภูวนัยได้ยินอย่างนั้นร้อนใจขึ้นมาทันที
“ผมต้องไปแล้ว”
“อ้าว แล้วพั้นซ์ละคะ”
“พั้นซ์ อยู่นี่คุณยังมีพยาบาลข้างนอกคอยดูแล แต่ตอนนี้ผมไม่รู้ว่าหมอกเขาจะมีอันตรายอะไรหรือเปล่า ถ้ายังไงเดี๋ยวผมโทรหาแล้วกันนะ”
ภูวนัยพูดจบก็รีบออกจากห้องไป พรรณรายพยายามเรียกเอาไว้

“ภู ภู! ฮึ่ยย์ อีกนิดเดียวเอง”

คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะ ตอนที่ 6 (ต่อ)

งานเลี้ยงเล็กๆ ถูกจัดขึ้นกลางหมู่บ้าน มีกองไฟตั้งอยู่ตรงกลางชาวบ้านต่างล้อมวง เคาะไม้ไผ่เป็นจังหวะ ผู้ใหญ่ในชุดพื้นบ้านกำลังร่ายรำอยู่ตรงกลางกองไฟ ไผ่พญาหันไปถามม่านหมอกด้วยความสงสัย

“เธอรู้มั้ยว่าเขากำลังทำอะไรน่ะ”
ม่านหมอกส่ายหน้า ระหว่างนั้นเสียงตะวันฉายดังตอบขึ้นแทน
“มันเป็นประเพณีของที่นี่น่ะครับ เวลามีชีวิตเกิดใหม่ไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์ คนที่นี่จะต้องเต้นรำบอกกับวิญญาณบรรพบุรุษ เพื่อบอกกล่าวให้ช่วยปกป้องคุ้มครองชีวิตใหม่ที่เกิดขึ้น”
ไผ่พญามองไปที่ทุกคนที่กำลังสนุกสนานอยู่กับพิธีก็เหมือนรู้สึกอิ่มใจขึ้นมาอย่างประหลาด
“การเริ่มต้นใหม่เหรอ ก็ดีนะงั้นวันนี้ฉันจะถือว่าเป็นวันเริ่มต้นใหม่แล้วกัน”
พิธีจบลงก่อนจะเห็นชาวบ้านเริ่มร้องรำทำเพลง ป้าแช่มลุกขึ้นแถลงกลางวง
“เดี๋ยวๆ” ทุกคนเงียบลง “ในฐานะที่คุณตะวันเขาทำคลอดให้ไอ้แดง เพราะฉะนั้นก็น่าจะให้คุณตะวันเป็นคนเปิดงานจริงมั้ย”
ทุกคนส่งเสียงเฮตบมือชอบใจ
“เอ่อ ไม่เป็นไรครับ เชิญทุกคนตามสบายดีกว่าครับ”
“ได้ยังไง อ้ะ ถ้าคุณตะวันเขิน งั้นให้เต้นกับนังหนูนั่นก็ได้”
“ห๊า” ไผ่พญาร้องเสียงหลง ป้าแช่มไปดึงไผ่พญาเข้ามาที่ลานกลางวง “อย่าเลยคะ”
“อะไร เต้นน่ะเป็นมั้ย อย่างเนี่ย” ป้าแช่มเต้นให้ดู เอาเอวกระแทกไผ่พญาเพื่อกระตุ้น ไผ่พญาชักจะมีน้ำโห
“เพลงมา”
ทันใดนั้นเพลงขึ้น แล้วทุกคนก็ต้องอ้าปากค้างเมื่อเห็นไผ่พญาดันเต้นเหมือนโคโยตี้ ไผ่พญาเต้นได้ไม่นานก็เหมือนกำลังถูกจับจ้องเลยหันไปมองก็เห็นทุกคนตกตะลึง โดยเฉพาะตะวันฉาย ม่านหมอก ไผ่พญาได้สติเพราะดันไม่ลืมอาชีพเก่า จึงยิ้มเจื่อนๆ
“เอ่อ เปิดแล้ว งั้นทุกคนสนุกกันต่อได้เลยคะ”
พอไผ่พญาพูดจบ เสียงดนตรีก็ดังต่อคราวนี้ชาวบ้านต่างออกมาร้องรำทำเพลง ไผ่พญาเดินเข้ามาหาตะวันฉายที่นั่งยิ้มๆ
“เต้นสวยดีนะครับ”
“ฉันก็เต้นไปอย่างนั้นแหละ”
ชาวบ้านคนนึงเดินเข้ามาหาตะวันฉาย
“คุณตะวันว่างมั้ย”
“เอ่อ ทำไมครับ”
“อ๋อ เปล่าหรอก คือผมมีเรื่องสำคัญอยากคุยกับคุณตะวันหน่อย”
ตะวันฉายหันมองไผ่พญากับม่านหมอกเหมือนไม่อยากทิ้งทั้งสองคนเอาไว้
“ไม่เป็นไรหรอก ไปคุยกับลุงเขาเถอะ” ไผ่พญาบอก
“แป๊ปเดียวเอง มาๆ”
ชาวบ้านคนนั้นไม่รอให้ตะวันฉายตอบรับก็รีบดึงตะวันฉายลุกออกไปทันที ไผ่พญามองตามก่อนจะหันมาคุยกับม่านหมอก
“แหม ฮอตจริงๆ”
ป้าแช่มเดินถือไหที่มีก้านมะละกอเสียบไว้เข้ามา
“มาแล้วๆ”
“อะไรน่ะคะ” ไผ่พญาถามอย่างสงสัย
“ของดีของที่นี่ ชิมดูซิ ชาวบ้านที่นี่เขาหมักกันเองเลยนะ”
“ขอบคุณคะ” ไผ่พญาดูดไปอึก “หือ”
“ไง ชื่นใจมั้ย”
ไผ่พญาทำหน้าแบบว่าร้อนมาก
“โห ผ่าวไปถึงกะเพราะเลยป้า” ไผ่พญาหันไปยื่นให้ม่านหมอก “ลองมั้ย”
“ไม่ละ”
ไผ่พญาอยากกินต่อแต่เห็นม่านหมอกมองมาเลยเกรงใจแล้วยื่นไหคืนให้ป้า
“ขอบคุณคะ”
“อะไร เอาอีกหน่อย คนที่นี่เขาไม่ชอบน่ะถ้าปฏิเสธน้ำใจกันอย่างนี้”
ไผ่พญากระมิดกระเมี้ยน
“เอ่อ จะดีเหรอคะ” ป้าแช่มยัดไหให้เลย “งั้น นิดหน่อยก็ได้คะ”
ไผ่พญาทำท่าดูดต่อแบบเกรงใจแต่ที่จริงๆ แล้วไผ่พญาแอบติดใจในรสชาติ

ชาวบ้านคนนั้นดึงตะวันฉายเข้ามาที่วงเหล้าของตัวเองที่มีชาวบ้านสามสี่คนนั่งอยู่
“เอ่อ มีอะไรเหรอครับ”
“ไม่มีหรอกคุณตะวัน ผมน่ะเห็นคุณตะวันเป็นคนดีก็เลยอยากให้ของดีคุณตะวันไปเก็บไว้”
“โอ๊ย ไม่ต้องหรอกครับ ผมทำเพราะหน้าที่”
“เอาน่าคุณ รับไว้เถอะไอ้ผุยนี่มันไม่เคยให้ใครเลยนะ”
“แล้วของอะไรเหรอครับ”
“แน่ะ อยากเห็นละซิ รับรองว่าไม่ผิดหวัง” ชาวบ้านหันไปตบมือ ส่งสัญญาณเรียก “ออกมาได้แล้ว”
สาวชาวบ้านคนนึงออกมาจากบ้าน ตะวันฉายเห็นก็ตกใจ
“เฮ้ย อย่าบอกนะว่าของดีที่ลุงว่า...คือ”
“ใช่ ลูกสาวผมเอง”
“ห๊า”
ชาวบ้านเข้าไปดึงลูกสาวเข้ามาเจ้ากี้เจ้าการ
“เอ้า หาเหล้ายาปลาปิ้งให้ผัวเองซิ”
ตะวันฉายตกใจที่อยู่ๆ จะมีเมียจึงรีบเข้าไปอธิบาย
“เฮ้ย เดี๋ยวก่อนครับ”
ตะวันฉายกำลังจะเข้าไปบอกกับชาวบ้านอยู่ๆ แม่จ่อยก็วิ่งเข้ามา
“คุณ คุณ”
“มีอะไรครับ”
“ช่วยไอ้จ่อยด้วย ไอ้จ่อยมันนอนชักอยู่บนบ้าน”
“ห๊า”
ตะวันฉายได้ยินอย่างนั้นก็รีบวิ่งตามแม่จ่อยไป

ตะวันฉายวิ่งมาถึงแล้วก็ตกใจเมื่อเห็นจ่อยเด็กน้อยกำลังชักอยู่กับพื้น ตะวันฉายรีบวิ่งเข้ามาที่จ่อยพอเห็นอาการก็พอจะเดาออก ชาวบ้านหลายคนตามเข้ามา

“สงสัยจะเป็นลมชักน่ะครับ”
“แล้วต้องทำไงละ”
“ผมว่าไปโรงพยาบาลดีกว่าครับ”
“คะๆ ได้คะ”
ตะวันฉายรีบอุ้มจ่อยออกไปจากบ้านไปทันที

รถของตะวันฉายขับมาตามทางที่มืดมิดราวกับจรวด ก่อนที่รถของตะวันฉายจะเบรกเมื่อถึงสามแยก รถของตะวันฉายเลี้ยวไปทางขวา หลังจากรถของตะวันฉายขับออกไปไม่นานก็เห็นรถของภูวนัยแล่นมาอีกทางก่อนจะหยุดที่กลางสามแยก ภูวนัยพยายามมองไปรอบๆ เพื่อตัดสินใจ
“นังครูตัวแสบ ถ้าหมอกเป็นอะไรไปละก็”
ภูวนัยมองไปทางขวาของตัวเองซึ่งคนละทางกับที่รถตะวันฉายเลี้ยวออกมา

ปลายฟ้าเดินมาตามคุยโทรศัพท์กับภูวนัย
“ไม่มีนะภู ฉันเช็คดูแล้วถ้าเกิดอุบัติเหตุกับพวกเขาจริงๆ ก็น่าจะมาโรงพยาบาลนี่แหละ ได้ เดี๋ยวฉันลองเช็คโรงพยาบาลใกล้ๆ ให้ดูอีกที”
ปลายฟ้าวางสายไป กำลังจะกดโทรศัพท์เช็คโรงพยาบาลอื่น ระหว่างนั้นเห็นตะวันฉายอุ้มจ่อยเข้ามา แม่ของจ่อยวิ่งตามเข้ามาด้วย ปลายฟ้าเห็นอย่างนั้นก็ตกใจเพราะคิดว่าเกิดอุบัติเหตุอะไรกับม่านหมอกหรือเปล่าจึงรีบเข้ามาถามตะวันฉาย
“เกิดอะไรขึ้น”
“เด็กเป็นไข้แล้วชัก”
“แล้วม่านหมอกกับครูไผ่ละ”
“ผมว่าคุณอย่าเพิ่งถามอะไรเลย ช่วยเด็กก่อนเถอะ”
ปลายฟ้าหันหาบุรุษพยาบาล
“ขอเตียงหน่อย”
บุรุษพยาบาลรีบเข็นเตียงเข้ามา

ตะวันฉายวางจ่อยลง ก่อนที่ปลายฟ้าจะรีบนำบุรุษพยาบาลออกไป

ตะวันฉายเป่าปากอย่างโล่งอกที่มาถึงโรงพยาบาลจนได้ ตะวันฉายมองตามปลายฟ้าแล้วไม่เข้าใจ

“แทนที่จะช่วยเด็กก่อน”
ตะวันฉายนั่งลงที่ม้านั่งหน้าห้องฉุกเฉิน ระหว่างนั้นตะวันฉายมองไปที่นาฬิกาฝาผนังแล้วก็ตกใจ ตะวันฉายไม่เชื่อสายตาตัวเองจึงยกนาฬิกาข้อมือของตัวเองขึ้นดูอีกครั้ง
“ตายละ”

ไผ่พญาวางไหลงกับพื้น ไผ่พญาตาเยิ้มเพราะความเมา
“อ้าว หมดแล้ว ไหน...เอามาอีก”
ชาวบ้านหลายคนนอนฟุบเมาหลับไปกับพื้น ม่านหมอกนั่งมองอยู่
“ครูอะไร คอแข็งเป็นบ้า”
“ครูอะไร ก็ครูคอแข็งไง ฮ่าๆ”
ไผ่พญาหัวเราะชอบใจ ม่านหมอกส่ายหน้าก่อนจะมองหาตะวันฉาย ระหว่างนั้นป้าแช่มเดินเข้ามา
“โอ้โห ดุใช่เล่นนะพวกคุณเนี่ย”
“ป้าเห็นพี่ตะวันมั้ย”
“อ๋อ คุณตะวันแกพาไอ้จ่อยไปโรงบาล”
“มีใครเป็นไรคะ”
“ไอ้จ่อยมันเป็นลมชักน่ะ คิดว่าคงไม่เป็นไรมากหรอก” ป้าแช่มมองไปที่ไผ่พญา “คืนนี้พวกคุณนอนที่นี่กันมั้ยแล้วกัน ห้าทุ่มแล้วเดี๋ยวป้าไปจัดบ้านไว้ให้”
ไผ่พญาได้ยินอย่างนั้นก็ถึงกับสร่างเมาตาโตทันที
“ป้าว่ากี่โมงแล้วนะ”
“ห้าทุ่มกว่าแล้ว”
“เฮ้ย” ไผ่พญากระเด้งผัวะขึ้นทันที “ไม่ได้ อยู่ไม่ได้แล้ว”
“อะไรของคุณ”
“กลับ ต้องกลับเดี๋ยวนี้เลย”
“แล้วจะกลับยังไง พี่ตะวันยังไม่มาเลย”
“ไม่มาก็เดินไป ตอนนี้ฉันเห็นหน้าพ่อเธอยังไงรู้มั้ย” ไผ่พญาทำหน้าให้ดู “ขืนกลับช้ากว่านี้ ฉันโดนไล่ออกแน่ๆ”
“แต่จากนี้กลับไปที่ฟาร์มมันไกลแค่ไหนรู้มั้ย”
“ไม่รู้ แต่ยังไงก็ต้องไป” ไผ่พญาดึงม่านหมอกลุกขึ้น “ไปๆ หนูลาละคะป้า”
ไผ่พญาหันไปสวัสดีป้าแช่มแล้วจะเดินออกไปกับม่านหมอก ป้าแช่มถามขึ้น
“นี่จะเดินกันไปจริงๆ เหรอ”
“ต่อให้คลาน หนูก็ต้องไป” ไผ่พญาลุกขึ้นเดิน แต่แล้วเพราะรองเท้าของไผ่พญาเป็นแบบแฟชั่นเลยทำให้ข้อเท้าเกือบพลิก “อุ้ยๆ”
“เอ้าๆ เดินดีๆ แน่ใจนะว่าเดินไหว”
ม่านหมอกถาม ไผ่พญามองรองเท้าตัวเองก่อนจะหันไปมองป้าแช่ม
“เอ่อ ป้า หนูรบกวนอย่างนึงซิ”
ป้าแช่มสงสัยว่าไผ่พญาจะรบกวนอะไร

ไผ่พญาเดินหมดแรงมาตามทาง ทั้งเมาทั้งเหนื่อย ทรมานสุดๆ
“โอ๊ย ฉันเดินต่อไม่ไหวแล้ว”
ไผ่พญานั่งลงกับพื้น ม่านหมอกที่เดินนำหน้าเห็นก็เดินเข้ามาหา
“นี่ คุณเป็นคนบอกเองว่าจะเดิน รีบลุกขึ้นมาเลย” ไม่มีเสียงตอบรับจากไผ่พญา ม่านหมอกทำหน้าเซ็งแล้วเขย่าแต่ทันทีที่มือโดนไผ่พญา ร่างของไผ่พญาก็เอนลงไปนอนกับพื้น “เฮ้ย อย่านอนตรงนี้ซิ ตื่น...ตื่นดิ”
ภูวนัยขับรถมาตามทางอย่างร้อนใจ ระหว่างนั้นภูวนัยขับเลยสามแยกไป แต่แล้วเหมือนภูวนัยเหลือบไปเห็นบางอย่างที่ริมถนน ภูวนัยเพ่งมองไปในความมืด

รถของภูวนัยถอยกลับมาที่สามแยกก่อนจะเลี้ยวมาอีกทาง ขณะนั้นม่านหมอกเขย่าร่างของไผ่พญา แต่เขย่าแรงยังไงไผ่พญาก็ไม่ตื่น รถของภูวนัยขับเข้ามาเทียบ ม่านหมอกเห็นก็ตกใจ แล้วยิ่งตกใจเมื่อเห็นภูวนัยกระโดดลงมาจากรถ ภูวนัยรีบเข้ามาหาม่านหมอกด้วยความเป็นห่วง
“เกิดอะไรขึ้น รถชนเหรอ หรือว่า...” ภูวนัยที่กำลังตกใจกำลังจะถามต่อ แต่แล้วภูวนัยก็ชะงักไปเพราะได้กลิ่นเหล้าโชยเตะจมูกอย่างจัง “กินเหล้ามาเหรอ”
“ฉันไม่ได้กิน โน่น”
ม่านหมอกพยักหน้าไปที่ไผ่พญา ภูวนัยมองไปก็เห็นไผ่พญานอนอ้าปากหวอกรนคร่อกๆ

ตะวันฉายวิ่งเข้ามาที่ป้าแช่มที่กำลังเก็บข้าวของพวกวงเหล้าที่กินกันเกลื่อน
“ป้า ป้าเห็นผู้หญิงสองคนที่มากับผมมั้ย”
“อ้าวคุณ อ๋อ กลับไปกันแล้ว”
“ไปแล้วเหรอป้า”
“อืม ไปได้สักพักแล้ว” แล้วป้าแช่มก็นึกขึ้นมาได้ “เออ ป้าฝากของไปคืนนังหนูนั่นหน่อยซิ”
ตะวันฉายแปลกใจว่าอะไร ป้าแช่มยื่นรองเท้าของไผ่พญาให้กับตะวันฉาย
“รองเท้า”
“เห็นนังหนูสองคนนั่นบอกว่าจะเดินกลับ แล้วไอ้คู่นี้มันเดินไม่สบายก็เลยขอแลกกับรองเท้าแตะป้าไป ยังไงฝากไปคืนนังหนูนั่นด้วยแล้วกัน”
ตะวันฉายมองรองเท้าไผ่พญาด้วยความเป็นห่วง

รถของภูวนัยแล่นเข้ามาจอดที่หน้าบ้าน ม่านหมอกลงจากรถ ภูวนัยลงจากรถด้วยสีหน้าเซ็งสุดขีด ม่านหมอกเหมือนรอบางอย่าง ภูวนัยพูดขึ้น
“ไปนอนเถอะ เดี๋ยวพ่อจัดการเอง”
ม่านหมอกได้ยินอย่างนั้นก็นิ่งคิดนิดนึงก่อนจะเดินเข้าบ้านไป
พอม่านหมอกเข้าบ้านไป ภูวนัยก็เดินเข้ามาที่ท้ายกระบะเห็นไผ่พญานอนอยู่ที่ท้ายกระบะแผ่หรา ภูวนัยถอนหายใจด้วยความเซ็ง

ภูวนัยค่อยๆ หย่อนไผ่พญาลงกับพื้นเพื่อถอดรองเท้า ไผ่พญานอนหลับไม่ได้สติอยู่ที่พื้น แต่อยู่ๆ ไผ่พญาก็ละเมอร้องเพลงออกมา
“มองได้ แต่อย่าชอบ”
ภูวนัยที่กำลังถอดรองเท้าก็ตกใจรีบกระโดดเอามือปิดปากไผ่พญาทันที
“เฮ้ย”
ไผ่พญาร้องอู้อี้ไม่หยุด ภูวนัยมองซ้ายมองขวาทำยังไงดีก่อนจะหันไปเห็นถุงเท้าที่เพิ่งถอดวางไว้อยู่

ไผ่พญาถูกอุดปากด้วยถุงเท้าหงายหลังนอนแผ่ลงไปกับเตียงของภูวนัย ภูวนัยหอบแฮ่กจับเนื้อจับตัวด้วยความเมื่อย
“แม่พิมพ์ของชาติเขาทำตัวกันอย่างนี้หรือไง...ห๊า”
ภูวนัยเอื้อมมือไปดึงถุงเท้าออกจากปากของไผ่พญา ระหว่างนั้นเสียงมือถือภูวนัยดังขึ้น ภูวนัยนั่งลงกับเตียงแล้วรับสาย
“ยังไม่นอนอีกเหรอ”

พรรณรายคุยโทรศัพท์อยู่ที่เตียง
“คะ แล้วภูละคะ ทำไมนอนดึกจัง”
ภูวนัยมองไผ่พญาอย่างหมั่นไส้
“เอ่อ พอดีผมมีงานต้องทำอีกนิดหน่อยน่ะ”
พรรณรายเลียบๆ เคียงๆ ถาม
“ภูอ่ะ พั้นซ์กลัวคะ ไม่มีใครอยู่เป็นเพื่อนพั้นซ์เลย”
“แล้วพยาบาลละ...เฮ้ย” ภูวนัยร้องอย่างตกใจ พรรณรายแปลกใจ
“ภู เป็นอะไรคะ ภู”
ภูวนัยร้องเพราะถูกไผ่พญาดึงตัวลงไปกอด
“นี่ วันนี้คือวันเริ่มต้นใหม่ของฉัน”
พรรณรายได้ยินเสียงผู้หญิงก็คิ้วขมวดทันที
“ภูอยู่กับใครคะ”
ภูวนัยกำลังดิ้นให้หลุดจากการกอดของไผ่พญา
“เอ่อ ตอนนี้ผมยุ่งอยู่ ไว้พรุ่งนี้ผมโทร.หานะ”
“เดี๋ยวคะภู ภู”
ภูวนัยกดวางสายไป พรรณรายกำมือถือแน่น เต็มไปด้วยความสงสัยและพิษรักแรงหึง

“ภูอยู่กับใคร”

ภูวนัยสะบัดหลุดจากการกอดของไผ่พญา

“เป็นบ้าอะไรของเธอ”
ไผ่พญาลุกขึ้นนั่งบนเตียง ภูวนัยชะงัก
“บ้า บ้าเหรอ” ภูวนัยสงสัยในท่าที
“เอ่อ ก็ใช่น่ะซิ” แล้วภูวนัยก็แปลกใจเมื่อเห็นไผ่พญานิ่งเงียบไป ก่อนจะได้ยินเสียงกรนเบาๆ ดังออกมา ภูวนัย
เข้าไปดู “นั่งหลับก็ได้เว้ย...เฮ้อ”
ภูวนัยใช้ปลายนิ้วยันหัวไผ่พญา ไผ่พญาตัวเอียงก่อนจะล้มลงนอน ภูวนัยส่ายหน้าเอือมแล้วหันหลังเดินออกจากห้อง ระหว่างนั้นเสียงไผ่พญาดังขึ้น
“แม่ แม่จ๋า...หนูขอโทษ”
ภูวนัยชะงักหยุดก่อนจะหันหลังมองไผ่พญา พอภูวนัยเห็นไผ่พญาละเมอถึงแม่ก็เข้าใจว่าที่ไผ่พญาเมาอย่างนี้คงจะเศร้าเรื่องการตายของแม่ ภูวนัยเดินกลับมาที่เตียงแล้วเอาผ้าห่มมาห่มให้กับไผ่พญา
“ฉันจะทำให้เธออย่างนี้แค่ครั้งเดียว รู้มั้ย”
เงียบ...ไม่มีเสียงตอบจากไผ่พญา ภูวนัยลุกขึ้นแล้วเดินไปปิดไฟออกจากห้องไป หลังจากภูวนัยออกไปได้ไม่นาน อยู่ๆ ไผ่พญาก็สะบัดผ้าห่มออกแล้วลุกขึ้นนั่งโวยวาย
“ได้เวลาเรียนแล้ว” ไผ่พญางัวเงียมองไปรอบๆ “ทำไมไม่เห็นมีใครมาเลย เมฆ หมอก”
ไผ่พญาค่อยๆ ตะเกียกตะกายลงจากเตียงก่อนจะเดินโซซัดโซเซออกจากห้อง

ไผ่พญาเดินตุปัดตุเป๋มาตามทาง ไผ่พญามองไปยังห้องที่เรียงรายอยู่
“แล้วมันห้องไหนเนี่ย” ไผ่พญามองไปแล้วก็ยิ้มกริ่ม “ห้องนั่นไง”

ไผ่พญาเปิดประตูห้องภูวนัยเข้ามา ในห้องไม่มีใครอยู่เพราะขณะนั้นภูวนัยอาบน้ำอยู่ในห้องน้ำจึงไม่ได้ยินเสียงที่ไผ่พญาเข้ามา ไผ่พญามองไปรอบๆ อย่างสงสัย
“หมอก ลงไปเรียนได้แล้ว ไปไหนเนี่ย” ไผ่พญาเดินมาที่ข้างเตียงที่ติดกับผนัง แล้วทำท่าจ้ะเอ๋ “แอ่ะ เจอแล้ว”ไผ่พญาหน้ามุ่ยเพราะมีเพียงพื้นที่ว่างเปล่า ไผ่พญานั่งลงบนเตียง “อย่าทำให้ฉันเดือดร้อนซิ เธอก็รู้ว่าตานั่นดุยังกับ
หมา...” ไผ่พญาเงียบไปได้ซักพักแล้วรู้สึกอยากนอน “แหม เตียงน่านอนจัง”
ว่าแล้วไผ่พญาก็เอนตัวลงจะนอน แต่ไผ่พญากะพลาดเลยถลาลงไปนอนที่พื้นแทน พลั่ก
ภูวนัยเดินออกมาจากห้องน้ำ ภูวนัยเดินไปพาดผ้าเช็ดตัวก่อนจะปิดไฟแล้วเดินมานอนที่เตียงโดยไม่เห็นไผ่พญาที่นอนอยู่ที่พื้น

เช้าวันรุ่งขึ้น สมส่วนกำลังเข็นจักรยานออกมาจากบ้าน สมส่วนก้มลงเช็คลมยาง ระหว่างนั้นเสียงพรรณรายก็ดังขึ้น
“ภูอยู่มั้ย”
สมส่วนเงยหน้าขึ้นมาก็ตกใจเมื่อเห็นพรรณรายยืนอยู่
พรรณรายเดินกะเผลกเข้ามาในบ้าน ส่งเสียงเรียกไปทั่วบ้าน โดยมีสมส่วนคอยเดินตามห้ามปราม
“ภู ภู”
“อย่าครับคุณพั้นซ์”
พรรณรายไม่สนใจยังเดินร้องเรียกหาภูวนัยไม่เลิก พรรษาเดินออกมาจากห้องครัว
“เอะอะอะไรกันแต่เช้าคะ”
“ฉันมาหาภู ภูอยู่ไหน”
“คุณภูก็อยู่บนห้องซิคะ นี่มันยังไม่เจ็ดโมงเลยยังไม่มีใครตื่นหรอกคะ”
“งั้นฉันจะขึ้นไปหาภู”
พรรณรายจะเดินขึ้นข้างบน พรรษาเข้ามาขวางเอาไว้
“ขึ้นไปไม่ได้คะ”
“หลีกไป ป้าลืมแล้วเหรอว่าภูเขาบอกว่าไง”
พรรณรายผลักพรรษาจนล้มลง
“โอ๊ย” พรรณรายเดินโขยกเขยกขึ้นข้างบนไป สมส่วนรีบเข้ามาดูพรรษา “อย่าให้เธอขึ้นไป”
“แต่คุณพั้นซ์ขึ้นไปแล้วนะป้า”
“ก็ขึ้นไปห้ามเธอซิ ไม่อย่างนั้นฉันจะไล่เธอออก”
สมส่วนได้ยินอย่างนั้นก็รีบวิ่งจู๊ดตามพรรณรายขึ้นไปทันที พรรณรายเดินขึ้นบันไดมาด้วยความโมโห ระหว่างนั้นสมส่วนเข้ามาเกาะขาพรรณรายเอาไว้
“คุณพั้นซ์ครับ ผมว่าคุณพั้นซ์รอข้างล่างดีกว่าครับ”
“ปล่อย”
“คุณพั้นซ์ครับ อารมณ์ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหานะครับ”
“งั้นฉันจะแก้ปัญหาโดยการให้ภูไล่แกออก”
สมส่วนได้ยินก็ปล่อยมือขวับทันที
“ทำไมมีแต่คนจะไล่ฉันออกวะเนี่ย”
เผ่าพงศ์กับม่านหมอกเดินออกมาจากห้อง
“โว้ย โวยวายอะไรกันแต่เช้า”
“สวัสดีคะคุณพ่อ” พรรณรายหันไปทางม่านหมอก แล้วกระแทกเสียงใส่ “สวัสดี”
ม่านหมอกกระแทกเสียงกลับ
“สวัสดี”
“มีอะไรกันแต่เช้าห๊ะหนูพั้นซ์”
พรรษาตามขึ้นมา
“คุณพั้นซ์กรุณาลงไปเถอะคะ อย่ารบกวนคนอื่นมากไปกว่านี้เลย”
“ฉันไม่ลงจนกว่าฉันจะรู้ว่าเมื่อคืน ภูอยู่กับใคร”
ทุกคนแปลกใจเมื่อได้ยินที่พรรณรายพูดอย่างนั้น

ไผ่พญาค่อยๆ ลืมตาด้วยอาการเมาค้าง
“โอ๊ย ปวดหัวจังเลย”
ไผ่พญาพลิกตัวมากำลังจะลุกแล้วก็ตกใจเมื่อเห็นภูวนัยนอนข้างๆ
“เฮ้ย”
ด้วยความตกใจทำให้ไผ่พญาถีบภูวนัยจนตกเตียง ภูวนัยตกเตียงก็ตื่นเพราะความเจ็บ
“โอ๊ย อะไรอีกเนี่ย” ภูวนัยเห็นไผ่พญาอยู่บนเตียงตัวเองก็ตกใจเหมือนกัน “เฮ้ย”
ยังไม่ทันที่ภูวนัยจะพูดอะไรก็เจอเข้ากับหมอนที่ไผ่พญาปาใส่จนโดนเต็มๆ หน้า
“ไอ้บ้า ไอ้โรคจิต นายทำอะไรฉัน บอกมานะ” ไผ่พญาระดมของใกล้มือปาใส่ไม่ยั้ง “นายทำอะไรฉัน”
ภูวนัยต้องหลบของที่ไผ่พญาปามากันจ้าละหวั่น
“ฉันต่างหากต้องถามเธอ เธอเข้ามาในห้องฉันได้ยังไง”
“ห้องนาย”
ไผ่พญาชะงัก แล้วหันมองไปรอบก็ตกใจเพราะไม่ใช่ห้องตัวเอง ระหว่างนั้นเสียงโวยวายดังมาจากนอกห้อง
“อย่าคะคุณพั้นซ์ อย่า”
ภูวนัยกับไผ่พญาต่างก็ชะงักตาโตว่าเกิดอะไรขึ้น ภูวนัยส่งสัญญาณให้ไผ่พญาเงียบก่อนจะวิ่งเปิดประตูแอบดู
ภูวนัยรีบปิดประตูหน้าตาตื่น ไผ่พญาที่กำลังจะแอบดูด้วยก็ถามด้วยความอยากรู้
“มีอะไร”
“พั้นซ์มา”
“ห๊า”

ไผ่พญาตาเหลือก ตกใจมาก

คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะ ตอนที่ 6 (ต่อ)

ด้านพรรณรายจะเดินไปที่ห้องของภูวนัยโดยไม่สนใจใครทั้งนั้น

“จะมากไปแล้วนะคะคุณพั้นซ์ หัดเกรงใจคนอื่นบ้าง”
“ฉันไม่เกรงใจจนกว่าจะรู้ว่าภูอยู่กับใคร”
“หนูคงเข้าใจผิดแล้วละ ไอ้ภูมันไม่เคยพาใครเข้าไปนอนด้วยตั้งนานแล้ว”
“แต่เมื่อคืนหนูได้ยินเสียงผู้หญิง ถ้าทุกคนเชื่อว่าภูไม่ได้ซ่อนใครไว้ก็หลีก”
พรรณรายผลักทุกคนออกก่อนจะเดินไปที่ห้องภูวนัย

พรรณรายเปิดประตูห้องภูวนัยเข้ามา ผัวะ
“ภู”
“อ้าวพั้นซ์ มีอะไร”
ภูวนัยกึ่งนั่งกึ่งนอนห่มผ้าครึ่งตัวอยู่บนเตียง พรรณรายมองไปรอบๆ ก่อนจะเดินไปค้นตามตู้เสื้อผ้า
“คุณหาอะไร”
“เมื่อคืนภูอยู่กับใคร”
“อยู่กับใคร คุณก็ถามแปลกนะพั้นซ์ ผมก็อยู่คนเดียวซิ”
“เห็นมั้ยคะ คราวนี้คุณพั้นซ์จะลงไปได้หรือยัง”
“เอ่อ ใช่ คุณลงไปก่อนนะ เดี๋ยวผมขออาบน้ำก่อนแล้วเดี๋ยวตามลงไป”
ภูวนัยแกล้งหาวกำลังจะนอน พรรณรายเข้ามาจับผ้าห่มเอาไว้
“พั้นซ์ไม่ลง แล้วเมื่อคืนเสียงผู้หญิงที่พั้นซ์ได้ยินมาจากไหน” ภูวนัยอ้ำอึ้ง
“เอ่อ คือ”
“อาจจะเป็นเสียงหลอนของคนที่กำลังจะเป็นโรคประสาทก็ได้”
ไผ่พญาที่หลบอยู่ใต้ผ้าห่มนอนพิงภูวนัยเอาไว้ก็ทำหน้าสงสัย
“นายเอาอะไรมาโดนหลังฉัน”
ไผ่พญาล้วงมือไปด้านหลัง ภูวนัยกระตุกแต่ต้องพยายามทำหน้าปกติแล้วพูดเสียงดังทำเป็นพูดกับทุกคนแต่จริงๆ แล้วต้องการสื่อให้ไผ่พญารู้
“ตอนเช้าผู้ชายก็เป็นอย่างนี้แหละ” ไผ่พญาตาโตตัวแข็งเมื่อรู้ว่าเป็นอะไร “โอ๊ย” ทุกคนมองแปลกใจ ภูวนัยมั่วตามน้ำ “ โอ๊ย ทำไมมันง่วงอย่างนี้ เออ...ผมขอนอนต่ออีกหน่อยดีกว่า”
“ไม่ได้นะคะ ภูต้องขึ้นมาคุยกันให้รู้เรื่อง”
พรรณรายพูดพร้อมกับเอื้อมไปจับผ้าห่มจะดึงออก ภูวนัยตกใจรีบดึงกลับ
“อย่า”
“มีอะไรคะ” พรรณรายกับภูวนัยยื้อผ้าห่มกันไปมา ไผ่พญาอยู่ใต้ผ้าห่มหลับตาปี๋ใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ พรรณรายตะโกนบอก “ยืนนิ่งทำไม ช่วยกันดึงซิ”
แล้วทุกคนก็มาจับผ้าห่มดึงเหมือนกับเล่นชักคะเย่อ ภูวนัยแอบโผล่เข้าไปบอกไผ่พญา ทำเสียงกระซิบ
“ช่วยดึงซิ”

ไผ่พญาตกใจรีบช่วยภูวนัยดึงอยู่ข้างใต้ผ้าห่ม แต่แล้วทันใดนั้นก็ได้ยินแคว่ก! ผ้าห่มของภูวนัยฉีกขาดกระจุย
ทุกคนต่างเซล้มกันไป
“โอ๊ย” พรรณรายเจ็บสะโพกมากกว่าเดิม แต่แล้วความเจ็บก็หายเป็นปลิดทิ้งเมื่อเธอมองไปที่เตียงของภูวนัยแล้วก็ตกใจ “เธอ”
ทุกคนหันไปมองก็ตกใจเมื่อเห็นไผ่พญานั่งอยู่บนเตียงที่ตัวเต็มไปด้วยใยสังเคราะห์จากผ้าห่ม ไผ่พญายิ้มแหยทำหน้าไม่ถูก พรรณรายจ้องมองไผ่พญากับภูวนัยรู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากลทันที

ไผ่พญานั่งก้มหน้างุดต่อหน้าทุกคน ขณะที่ภูวนัยแจกแจงด้วยสีหน้าตีขรึม
“เมื่อคืนนี้ครูไผ่เธอเมามาก ก็แค่นั้นเอง”
“แล้วทำไมต้องมานอนที่ห้องภู ทำไมไม่ไปนอนที่ห้องตัวเอง”
“ใช่...ทำไมนายไม่พาฉันไปที่ห้อง”
ภูวนัยทำหน้าไม่ถูก เพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่าอยู่ๆ ไผ่พญาเข้ามาหาที่ห้องเขาได้ยังไง ภูวนัยจึงแกล้งเสียงดังด้วยความโมโห
“ก็คุณอ้วกเต็มที่นอนอย่างนั้นจะให้ผมทำยังไง”
ทุกคนนิ่งไปเหมือนจะยอมรับในเหตุผล
“เอาละๆ ถ้ามันเป็นอย่างนี้ หนูพั้นซ์คงไม่ติดใจอะไรแต่อย่าให้เกิดเรื่องอย่างนี้อีก เข้าใจมั้ยไอ้ภู”
เผ่าพงศ์บอก แล้วจู่ๆ ม่านหมอกกลับหัวเราะขึ้นมา
“แต่โซฟาที่ห้องรับแขกก็ว่างนี่ปู่ มิน่า เมื่อคืนถึงได้บอกให้ฉันขึ้นไปนอนก่อน”
“ห๊า”
ภูวนัยกับไผ่พญาอุทานออกมาพร้อมกัน ที่จู่ม่านหมอกเล่นพูดซะอย่างนั้น พรรณรายเลยของขึ้นอีก
“หนอย”
พรรณรายพุ่งเข้าไปหาไผ่พญาด้วยความโกรธ พรรษากับสมส่วนต้องรีบเข้าไปรั้งตัวพรรณรายเอาไว้
“ปล่อย ปล่อยฉัน”
พรรณรายกระโดดถีบสองขา ยังไงก็ต้องสั่งสอนไผ่พญาให้ได้ ม่านหมอกเห็นก็บอกกับพรรษา
“เขาบอกให้ปล่อยก็ปล่อยเถอะป้า”
พรรษากับสมส่วนปล่อยมือ เป็นจังหวะเดียวกับที่พรรณรายกระโดดถีบสองขาเลยทำให้พรรณรายตัวลอยละลิ่วก่อนจะหล่นกระแทกลงกับพื้น ผลั่ก! ทุกคนถึงกับอ้าปากค้าง เพราะรู้สึกเจ็บแทนพรรณราย
“โอ๊ย สะโพก สะโพกฉัน”

ที่หน่วยปราบปรามยาเสพติด มารุตยืนครุ่นคิดสีหน้าเครียดอยู่ริมหน้าต่าง ระหว่างนั้นเสียงเคาะประตูดังขึ้น
“เชิญ”
ชาติกล้าเปิดประตูเข้ามาในห้อง
“ครับผม” มารุตหันมามองชาติกล้าสีหน้าเครียด “มีอะไรหรือเปล่าครับผู้กำกับ”
“คุณได้นำข้อมูลเกี่ยวกับการตายของคุณนายหยาดฟ้าไปบอกกับหมวดภูวนัยหรือเปล่า”
ชาติกล้าไม่หลบตา กลัวผิดสังเกต
“เปล่าครับ ทำไมเหรอครับ”
“หมวดภูวนัยมาหาผม” ชาติกล้าแปลกใจ
“เอ่อ แล้ว”
“หมวดภูเขาพูดแปลกๆ เหมือนมีคนไปบอกข้อมูลบางอย่างกับเขา” มารุตพูดพร้อมกับจ้องหน้าชาติกล้า ชาติกล้าสบตาไม่หลบ “คุณไม่รู้จริงๆ เหรอ”
“ผู้กำกับพูดเหมือนสงสัยผม”
ระหว่างนั้นเสียงมือถือของมารุตดังขึ้น มารุตมองเบอร์ในโทรศัพท์ ชาติกล้าเห็นสีหน้าของมารุตเปลี่ยนไปก่อนจะเห็นมารุตบอกกับชาติกล้า
“หมดธุระแล้ว”
ชาติกล้าทำความเคารพ
“ครับผม”
ชาติกล้าเดินออกไป มารุตมองตามจนกระทั่งประตูปิดสนิทแล้วจึงกดรับสาย
“ฉันบอกแล้วไงว่าอย่าโทรมาเบอร์นี้” มารุตฟัง แล้วเครียดขึ้นมาทันที “แกแน่ใจนะ”
มารุตได้ฟังบางอย่างจากทางปลายสายก็เห็นสีหน้ามารุตสนใจขึ้นมาทันที
มารุตเปิดประตูออกมาจากห้อง มารุตมองไปรอบๆ อย่างระวังตัวก่อนจะรีบเดินออกไป ไม่นานหลังจากที่มารุตเดินออกไป ก็เห็นชาติกล้าเดินออกมาจากมุมหนึ่ง

มองตามมารุตด้วยความสงสัย

ที่รีสอร์ตเสกสรรเวลานั้น เสกสรรกำลังเดินคุยกับชาโณ ชายวัยกลางคนคนหนึ่งลงพุงและหัวล้าน แต่ดูมีเงิน

“รีสอร์ตของเราแม้จะไม่ใหญ่โตเหมือนที่อื่น แต่รับรองครับว่าทุกคนที่มาที่นี่จะกลับมาอีกแน่นอน เพราะ...”
“เขาลืมของเอาไว้”
เสกสรรถึงกับชะงัก หันไปทำตาดุใส่สมหมายที่ดันพูดผิด ชายคนนั้นก็ทำหน้างง สมหมายรีบแก้
“ล้อเล่นขำๆ น่ะครับ เพราะความประทับใจในธรรมชาติของเสกสรรรีสอร์ตยังไงครับ”
“เอาละ ผมฟังเรื่องรีสอร์ตคุณมาครึ่งวันแล้ว ตอนนี้ผมอยากเห็นคุณพรรณรายที่คุณเสกสรรคุยนักคุยหนา”
“อ๋อ ตอนนี้คุณพั้นซ์นอนอยู่ที่โรง...”
เสกสรรหันไปเหยียบเท้าสมหมายเพื่อให้หยุดพูด สมหมายร้องเจ็บก่อนจะเห็นสายตาของเสกสรรที่ส่งสัญญาณให้หุบปากมา
“สมหมายเขากำลังจะบอกว่าลูกสาวผมตอนนี้พักอยู่ที่โรงแรมในกรุงเทพฯ น่ะครับ พอดีช่วงนี้ยัยพั้นซ์ต้องไปเก็บตัวเพื่อประกวดอะไรของเขาเนี่ยแหละครับ”
ระหว่างนั้นเสียงของพรรณรายก็ดังแหววขึ้น
“มายืนเกะกะอะไรกันตรงนี้ หลบไปซิ”
เสกสรร สมหมายและชาโณหันไปก็เห็นภูวนัยกำลังเข็นรถเข็นที่มีพรรณรายนั่งอยู่เข้ามา
“ยัยพั้นซ์” เสกสรรตกใจ ชาโณได้ยินที่เสกสรรพูดก็สงสัย
“ไหนบอกว่าคุณพั้นซ์อยู่กรุงเทพฯไงครับ”
“อ๋อ นั่นซิ” แล้วเสกสรรก็ทำเป็นพูดเหมือนว่าเพิ่งรู้เหมือนกัน “จะกลับมาทำไมไม่บอกพ่อละ”
“พูดเรื่องอะไรกัน ไปกันเถอะคะ” พรรณรายบอกภูวนัย
“เอ่อ ผมว่าผมส่งคุณแค่นี้ดีกว่านะพั้นซ์”
“แล้วผู้ชายคนนี้เป็นใคร” ชาโณถาม เสกสรรรีบหาทางแก้
“อ๋อ เอ่อ...บุรุษพยาบาลน่ะครับ”
“บุรุษพยาบาล คุณพั้นซ์เป็นอะไร ทำไมต้องมีบุรุษพยาบาลตามด้วย”
พรรณรายหงุดหงิดที่ชาโณซักวุ่นวาย
“ใครเป็นบุรุษพยาบาลกันคะ นี่คือภู แฟนพั้นซ์ แล้วคุณเป็นใคร”
“อ๋อ นี่คือคุณชาโณ เจ้าของโรงแรมในเครือวันเดอร์ทั้งหมดไง” เสกสรรรีบบอก
“ชาโณเหรอ ที่จริงฉันว่าคุณน่าจะเปลี่ยนชื่อเป็นชะโดมากกว่านะ”
“ชะโดอะไรครับ”
“ก็ชะโดตีแปลงไง”
ชาโณถึงกับโมโหขึ้นมาทันทีที่พรรณรายเล่นกระแทกปมด้อยเรื่องหัวล้านซะอย่างนั้น
“พอกันที”
ชาโณเดินออกไปอย่างหงุดหงิด เสกสรรตกใจ
“ยัยพั้นซ์ แกทำเสียเรื่องอีกแล้วนะ แกรู้มั้ยว่าคุณชาโณเขารวยแค่ไหน ฉันอุตส่าห์ให้เขามาดูตัวแก”
“นี่พ่อจะขายหนูกินหรือไง”
“ขายอะไร ถ้ารีสอร์ตเราได้เข้าไปอยู่ในเครือวันเดอร์ก็สบายไปทั้งชาติ โธ่...ทำเสียเรื่องหมด คุณชาโณครับ รอก่อนครับ”
เสกสรรกับสมหมายรีบตามชาโณออกไป พรรณรายยี้ปากขยะแขยงก่อนจะหันไปยิ้มให้กับภูวนัย
“ไปคะภู ไปส่งพั้นซ์ที่ห้องหน่อย”
“เอ่อ แต่ว่า”
พรรณรายพูดขึ้นอย่างตัดพ้อ เป็นเชิงให้ภูวนัยรู้สึกผิด
“พั้นซ์เป็นอย่างนี้ก็เพราะภู ภูไปส่งพั้นซ์แค่นี้ไม่ได้เหรอคะ”
ภูวนัยนิ่งไปอย่างลำบากใจ

ภูวนัยมาส่งพรรณรายที่ห้องแล้วค่อยๆ พยุงพรรณรายขึ้นจากรถเข็น
“ค่อยๆ นะ”
พรรณรายกอดคอภูวนัยแล้วแอบมองภูวนัยอย่างหลงใหล
“พั้นซ์ไม่ได้มองภูใกล้ขนาดนี้มานานแค่ไหนแล้วเนี่ย”
ภูวนัยชะงักมองไปก่อนจะสบเข้ากับตาของพรรณรายที่สื่อความนัยมา
“ตั้งแต่ตอนที่คุณทิ้งผมไปมั้ง”
พรรณรายชะงัก ภูวนัยจึงค่อยๆ ประคองพรรณรายนั่งลงที่เตียง
“นี่ภูยังโกรธพั้นซ์อยู่อีกเหรอคะ”
“คุณจำตอนที่คุณโทรมาจากอเมริกา เพื่อบอกเลิกผมไม่ได้เหรอ”
“ตอนนั้นพั้นซ์ยังเด็ก แล้วพั้นซ์ก็ไม่รู้ด้วยว่าภูรักพั้นซ์ขนาดนี้”
พรรณรายเอื้อมมือไปจับมือภูวนัย
“แต่ตอนนี้ผมไม่ได้รักคุณแล้ว”
“แต่พั้นซ์ยังรักภูอยู่”
ภูวนัยค่อยๆ จับมือพรรณราย พรรณรายยิ้มคิดว่าภูวนัยเริ่มใจอ่อนก่อนที่พรรณรายจะหุบยิ้มเพราะที่ภูวนัยจับเพราะต้องการจะจับมือของพรรณรายออก
“มันเป็นไปไม่ได้หรอกพั้นซ์ พักผ่อนเถอะนะ ผมต้องไปแล้ว”
ภูวนัยหันหลังเดินออกไป พรรณรายพูดขึ้น
“ภูอยากให้พั้นซ์ทำยังไง เราถึงจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม”
ภูวนัยหยุดแล้วหันมา
“ผมลืมบอกคุณไป ตอนนี้ผมกับคุณไม่ได้เป็นอะไรกัน ผมไม่อยากให้คุณบอกคนอื่นว่าเราเป็นแฟนกัน”
ภูวนัยพูดจบก็เดินออกจากห้องไป พรรณรายกำหมัดแน่นด้วยความโกรธ

มารุตยืนอยู่บนตึกร้างแห่งหนึ่ง ระหว่างนั้นเห็นเท้าของใครบางคนก้าวเข้ามา เท้าของใครคนนั้นเหยียบเศษหินที่อยู่แถวนั้นจนเกิดเสียงดัง มารุตได้ยินก็หันมามอง
“มีใครรู้หรือว่าเปล่าว่าแกมานี่”
เจ้าของเท้าคนนั้นคือมือขวาของพายัพนั่นเอง
“ไม่ต้องห่วงน่า”
ชาติกล้าแอบดูมารุตอยู่ที่มุมหนึ่งจึงเห็นมารุตกับมือขวาของพายัพกำลังคุยกัน

พรรษากำลังนั่งเด็ดผักอยู่ภายในห้องครัว ระหว่างนั้นไผ่พญายกกาละมังเข้ามา
“หนูละแปลกใจจริงๆ ในเมื่อคุณภูบอกว่าไม่ได้เป็นอะไรกับคุณพั้นซ์แล้ว แล้วทำไมคุณพั้นซ์ต้องโวยวายทำตัวเป็นเจ้าเข้าเจ้าของคุณภูอย่างนั้นด้วย”
“ตอนคุณพั้นซ์อยู่ ไม่เก่งอย่างนี้นะครู”
“โห ถ้าหนูไม่เมาค้างละก็ น่าดู” ไผ่พญายังบ่นไม่เลิก “ถ้าหนูเป็นคุณภูนะคะ หนูจะตอกให้หน้าหงายเลยว่าเราไม่ได้เป็นอะไรกัน”
“ครูไผ่คะ”
“คะ”
“เราอย่าพูดถึงคนอื่นลับหลังเลยคะ”
“อ้าว นี่ป้ากำลังจะบอกว่าหนูนินทาคุณภูละซิ ไม่ใช่เลย อย่างนี้เขาเรียกว่าออกความเห็นต่างหาก”
ระหว่างนั้นภูวนัยเดินเข้ามาในห้องครัว
“คุณภู” ไผ่พญายังไม่รู้ตัว
“ใช่คะ หนูเองก็ไม่เข้าใจคุณภูเหมือนกัน หรือว่าคุณภูจะโดนของยัยคุณพั้นซ์นั่นถึงได้ยอมเธอทุกอย่าง”
“ผมไม่ได้โดนของอะไรหรอก” ไผ่พญาถึงกับสะดุ้งหันขวับไปแล้วเห็นภูวนัยเดินเข้ามา “พั้นซ์เขาก็เป็นของเขาอย่างนี้มาแต่ไหนแต่แล้ว แล้วตอนนี้พั้นซ์เขาก็ไม่สบาย ผมไม่อยากทำให้เธอไม่สบายใจ”
“คุณภูจะรับอะไรหรือเปล่าคะ เดี๋ยวป้าทำให้”
“ไม่ต้องหรอกครับ แต่ผมรบกวนป้าไปบอกผจญให้ช่วยยกของที่รถลงให้หน่อยแล้วกัน”
“ได้คะ”
พรรษาลุกขึ้นแล้วเดินออกไป ไผ่พญาทำเนียนจะลุกตาม
“จะไปไหน”
“ไปช่วยผจญยกของไง” ไผ่พญารีบหันหลัง เดินไป
“หยุด” ไผ่พญาถึงกับหยุดกึก “มานี่” ไผ่พญาหันหน้ามาแล้วเดินกลับมา “นั่งลง” ไผ่พญาค่อยๆ นั่งลงแล้วนึกได้

“ทำไมฉันต้องทำตามที่นายสั่งด้วย”

ไผ่พญาทำเป็นตบโต๊ะด้วยความโมโห แต่ภูวนัยเสียงดังกว่าลุกขึ้นบ้าง

“เพราะผมเป็นคนจ่ายเงินเดือนคุณไง” ไผ่พญาที่ตบโต๊ะกำลังจะลุกขึ้นก็ลงนั่งเหมือนเดิม “คุณรู้ตัวมั้ยว่าเมื่อคืนคุณทำอะไรลงไปบ้าง”
ไผ่พญายิ้มแหยๆ
“เอ่อ ก็พอเลาๆ”
“พอเลาๆ หรือพอเมาๆ”
“โอเค ฉันยอมรับว่าฉันเมา แต่ฉันไม่ได้กินอะไรเยอะเลยนะ หมอกเขาไม่เล่าให้ฟังเลยเหรอว่าที่ฉันต้องกินเพราะพวกชาวบ้านเขาคะยั้นคะยอ แล้วฉันก็ไม่อยากให้หมอกเขากินเหล้าฉันก็เลยต้องกินแทน”
“แต่หมอกเขาไม่ได้เล่าอย่างนี้นี่”
ไผ่พญาชะงัก แล้วรีบหาเรื่องเพื่อเบี่ยงประเด็น
“จริงด้วย นายบอกว่าฉันอ้วกเต็มที่นอน แต่เมื่อเช้าฉันขึ้นไปดูก็ไม่เห็นมีอะไร”
“ผมต่างหากต้องถามคุณว่าคุณมานอนห้องผมได้ยังไง”
“ม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่องเลย นายคิดจะทำอะไรฉันใช่มั้ย หรือว่านายทำไปแล้ว ห๊ะ”
ไผ่พญาเอาผักที่อยู่ตรงหน้าระดมปาใส่ภูวนัยไม่ยั้ง ภูวนัยปัดป้องโวยวาย
“เฮ้ย ทำอะไรของคุณ หยุดเดี๋ยวนี้”
ไผ่พญาไม่หยุดยังระดมปาไม่ยั้ง ระหว่างนั้นเสียงมือถือดังขึ้นไผ่พญาจึงหยุด
“โชคนายยังดีนะที่ฉันโทรศัพท์เข้า”
ภูวนัยทำหน้าเซ็งแล้วโชว์มือถือของตัวเองให้ดู
“โทรศัพท์ผม”
ไผ่พญาทำหน้าจ๋อย ภูวนัยส่ายหน้าก่อนจะมองโทรศัพท์แล้วภูวนัยก็ชะงักไปเมื่อเห็นว่าเป็นชาติกล้า ภูวนัยเห็นอย่างนั้นก็รีบเดินออกไป ไผ่พญาเห็นภูวนัยเดินออกไปก็เป่าปากโล่งอก

ภูวนัยเดินมายังมุมที่ปลอดคนก่อนจะกดรับสายชาติกล้า
“ว่าไงชาติ”
ชาติกล้ากำลังเดินออกมาจากตึกร้าง
ช”ฉันมีอะไรอยากให้แกดูวะ แกดู แล้วก็จะรู้เอง”
ชาติกล้าละโทรศัพท์จากหูก่อนจะกดหาบางอย่างแล้วกด send video ให้กับภูวนัย
ภูวนัยรับก่อนจะกดคลิปที่ชาติกล้าส่งมาให้ แล้วภูวนัยก็ต้องอึ้งไปเพราะมันเป็นคลิปที่มารุตกำลังคุยอยู่กับมือขวาของพายัพ

ทุกคนนั่งทานข้าวอยู่ที่โต๊ะทานข้าว ไผ่พญากินอย่างอร่อยไม่สนใจใคร เผ่าพงศ์แอบมองม่านเมฆที่นั่งซึมไม่แตะต้องอะไรเลย ส่วนภูวนัยก็นั่งทานข้าวสีหน้าเครียด
“เป็นไรพ่อหนุ่ม กลัวอ้วนหรือไง”
เผ่าพงศ์ถามม่านเมฆ
“เปล่า”
“อ้าว แล้วเป็นไรหรือว่าต้องให้ครูไผ่เขาป้อน”
ม่านเมฆมองไปที่ไผ่พญาที่คาบไก่หน้าเหรอหรา
“เมื่อคืนครูไผ่เข้าไปนอนกับพ่อเหรอ”
พรวด! ไผ่พญาถึงกับสำลักกระดูกไก่หล่นออกมา ภูวนัยก็ชะงักช้อน
“เอ่อ เปล่า ไม่ใช่ซะหน่อย”
“ใครบอกลูก” ภูวนัยหันไปทางม่านหมอก “มันใช่เรื่องที่ต้องเล่าให้น้องฟังมั้ย”
ม่านหมอกนั่งทานข้าวเงียบๆ คนเดียวก็ฉุนกึกขึ้นมาทันที
“ใครเล่า”
“ถ้าไม่ใช่เราแล้วจะเป็นใคร”
“ไอ้ภูใจเย็นๆ น่า”
“ทำไมฉันต้องเล่า ฉันไม่ได้สนใจเรื่องอะไรของอาเลย...โธ่”
ม่านหมอกกระแทกช้อนแล้วลุกขึ้นเดินตึงตังออกไป
“หมอก”
ม่านเมฆหน้าจ๋อยๆ พูดขึ้น
“พี่หมอกไม่ได้เล่าหรอกครับ ผมได้ยินพี่สมส่วนคุยกับพวกคนใช้น่ะครับ”
“สมส่วนกับใครที่เล่า”
ทุกคนหันมองภูวนัยที่เสียงดังดูหงุดหงิดมากกว่าทุกวัน
“นี่แม่ษาทำอะไรมาเนี่ย ถ้ากินแล้วหน้ายักษ์อย่างไอ้ภูฉันจะได้ไม่กิน”
ภูวนัยรวบช้อนอย่างหงุดหงิด ทุกคนยิ่งเครียดหนัก
“ผมจะไปกรุงเทพฯ ซักสามสี่วัน”
“อ้าว ไปอีกแล้วเหรอ แกโดนพักงานอยู่จะไปทำไมบ่อยๆ ห๊ะไอ้ภู” ภูวนัยไม่ตอบ แต่หยิบผ้าเช็ดปากแล้วลุกขึ้นเดินออกไปอย่างหงุดหงิด “มีใครรู้บ้างเนี่ยว่ามันเป็นไรของมัน”
ทุกคนส่ายหน้า เผ่าพงศ์มองตามภูวนัยด้วยความสงสัย

ภูวนัยกำลังเก็บเสื้อผ้าลงในกระเป๋าอย่างหงุดหงิด ภูวนัยครุ่นคิดก่อนจะตัดสินใจเดินไปที่โต๊ะก่อนจะเปิดลิ้นชักแล้วหยิบปืนออกมาใส่ลงไปในกระเป๋าเสื้อผ้าด้วย ระหว่างนั้นเสียงของเผ่าพงศ์ดังขึ้น
“แกยังทำใจไม่ได้อีกเหรอไอ้ภู”
ภูวนัยหันไปก็เห็นเผ่าพงศ์ยืนอยู่
“พ่อ มีอะไรครับ”
“ไอ้ภู รู้มั้ยว่าฉันอยากให้แกเป็นอัลไซเมอร์เหมือนฉัน” ภูวนัยแปลกใจ “บางทีการลืมเรื่องบางเรื่องก็ทำให้เรามีความสุข” ภูวนัยนิ่งงันไป รู้ว่าเผ่าพงศ์กำลังบอกให้เขาลืมอดีต “อย่าไปเลยลูก ปล่อยได้แล้ว”
“ถ้าพ่อโดนเจ้านายที่ตัวเองนับถือหักหลัง พ่อจะปล่อยได้เหรอครับ”
“แกรู้มั้ยว่าตอนนี้ ฉันมีความสุขที่สุด ได้อยู่กับแก อยู่กับหลาน แกไม่มีความสุขหรือไง”
ภูวนัยคิด ก่อนจะตอบ
“พอเถอะครับพ่อ ผมตัดสินใจแล้วผมไปครั้งนี้เพื่อต้องการพิสูจน์ตัวเองว่าผมไม่ได้ผิด”
ภูวนัยสายตามุ่งมั่นและโกรธเคือง เผ่าพงศ์มองภูวนัยอย่างเป็นห่วง

เผ่าพงศ์กำลังเคาะประตูหน้าห้องพรรษา
“คะ”
พรรษาเปิดประตูออกมาแล้วก็ต้องตกใจ
“ว้าย คุณเผ่า เล่นอะไรคะเนี่ย”
เผ่าพงศ์ยืนอยู่หน้าเต็มไปด้วยกอเอี้ยะติดแก้ปวด
“ฉันนอนไม่หลับ ช่วยอะไรฉันหน่อย” พรรษาแปลกใจ

ใบหน้าของเผ่าพงศ์หลับตาพริ้มมีความสุข
“อย่างนั้นแหละ อ้า”
เผ่าพงศ์นอนหนุนหมอนอยู่ในห้องรับแขก มีพรรษานั่งอยู่ปลายศรีษะกำลังนวดให้เผ่าพงศ์
“ไปเครียดอะไรมาอีกละ”
“แม่ษาว่าฉันมีค่ามั้ย”
“ถามแปลกๆ ก็ต้องมีซิคะ”
“แล้วทำไมแต่ละคนไม่ค่อยฟังฉันเลย หรือว่าเพราะฉันไม่สมประกอบ”
“การเป็นอัลไซเมอร์ไม่ได้แปลว่าไม่สมประกอบนะคะคุณเผ่า”
เผ่าพงศ์ลุกขึ้นนั่ง หลังจากสบายตัว
“พอละ เฮ้อ คุยกับแม่ษาทีไรฉันสบายใจทุกที นี่ถ้าฉันหนุ่มกว่านี้ซักห้าปี ฉันคงขอแม่ษาแต่งงานแล้วนะเนี่ย”
พรรษากำลังเก็บผ้าเก็บกอเอี้ยะ เลยพูดไม่คิด
“คุณเผ่าไม่ได้แก่ซะหน่อย” พรรษาพูดจบก็เหมือนทุกอย่างเงียบลง พรรษาหันมองเผ่าพงศ์ที่รู้สึกกับคำพูดของพรรษา “มีอะไรเหรอคะ หรือว่ายังไม่หาย”
เผ่าพงศ์ทำหน้าไม่ถูก
“หาย หายแล้ว ไปเถอะแม่ษาไปนอนเถอะ ขอบใจมาก”
พรรษาลุกขึ้นแล้วเดินออกไป เผ่าพงศ์ทำเป็นคอแข็งไม่มองตาม แต่พอสักพักจึงหันขวับกลับไปมอง แล้วเหมือนหัวใจเต้นแรง
“ทำไมหน้าร้อนอย่างนี้วะเรา ฟู่...ฟู่”

เช้าวันรุ่งขึ้น เสกสรรกับสมหมายนั่งอยู่ที่ม้านั่งด้านนอก ระหว่างนั้นได้ยินเสียงดังอย่างเจ็บปวดออกมาจากห้องเสกสรรกับสมหมายสะดุ้ง
“ไอ้หมาย แกแน่ใจนะว่าวิธีนี้มันจะช่วยให้ไอ้ภูมันไม่มายุ่งกับยัยพั้นซ์”
“โอ๊ย รับรองครับนาย โน่น เห็นมั้ยครับ” เสกสรรหันมองไปที่สมหมายบอกแล้วก็เห็นชายคนนึงเดินยิ้มหน้าชื่นออกมา “รับรองว่าได้ผลจริงๆ ครับ...ไม่อย่างนั้นคนนั้นจะเดินยิ้มออกมาอย่างนั้นเหรอครับ”
“คนต่อไป”

เสียงดังมาจากข้างในเสกสรรกับสมหมายสะดุ้ง

โปรดติดตาม ตอนต่อไป
กำลังโหลดความคิดเห็น