แผนรักแผนร้ายตอนที่ 6
พเยียกึ่งเดินกึ่งวิ่ง ท่าทีรีบร้อนออกจากตึกมาถึงประตูหน้าวังศิวาลัย เห็นไม่มีคนอยู่ พเยียมองไปอีกมุมเห็นนพดลนั่งอยู่บนมอเตอร์ไซค์ พเยียตั้งท่าจะเปิดประตูเล็กเดินไปหา
แต่ทองมายามเฝ้าประตูวังเดินกลับมาจากไปเข้าห้องน้ำพอดี พเยียเห็นรีบแอบหลังต้นไม้ ทองมาเข้าประจำที่ป้อมยามตามหน้าที่ พเยียขัดใจ
พเยียมองไปเห็นนพดลดูนาฬิกาข้อมือ ด้วยหน้าตาหงุดหงิด พเยียยิ่งร้อนใจ คิดไปคิดมาแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากด
จู่ๆ เสียงโทรศัพท์ที่ป้อมยามดัง ทองมาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วรีบกดรับ
“ครับผม...ครับ ผมจะรีบไปเดี๋ยวนี้ครับ”
ทองมามีท่าทีรีบร้อนเดินแกมวิ่งไปทางสวนด้านข้างวัง พเยียมองตามไปจนทองมาลับสายตา หันซ้ายหันขวามองจนแน่ใจว่าไม่มีใครเห็น ก่อนจะวิ่งไปที่ประตูเล็ก
นภดลรออยู่นาน ชักเริ่มไม่พอใจ กดโทรศัพท์หาพเยียอีก
“ฮัลโหล ขอสายคุณพเยียอีกทีซิ” จู่ๆ มีมือมาคว้าโทรศัพท์ไว้ นพดลเห็นหน้าพเยีย ยิ้มออก “โอเคๆ ไม่มีอะไร แค่นี้แหละ”
นพดลกดวางสายมองพเยียกวนๆ “กว่าจะเสด็จมาได้นะ เจ้าหญิง”
พเยียชักสีหน้าไม่พอใจ พูดไประวังตัวไปกลัวมีคนมาเห็น
“พี่นพมาที่นี่ทำไม”
“ก็มาเยี่ยมเยียนกันตามประสาวันก่อนก็วิ่งหนีพี่ทีนึงแล้ว ทำไม ได้ดีแล้วกะจะทิ้งเพื่อนเก่าเลยหรือไง”
พเยียรีบตัดบท “พี่นพมีธุระอะไรก็พูดๆ มาเลยดีกว่า พเยียไม่มีเวลา”
นพดลมองอาการพะวักพะวนของพเยีย รู้สึกไม่ชอบใจ ยิ่งอยากแกล้ง
“มายืนคุยอะไรข้างถนนอย่างนี้ล่ะ เข้าไปคุยกันในวังดีกว่า พี่อยากจะเห็นเป็นบุญตาซะหน่อย ว่าหม่อมแม่ของพเยียรวยขนาดไหน”
นพดลพูดไป พลางเดินไปที่ประตูวัง พเยียรีบตามไปขวางไว้
“ไม่ได้นะ ไม่ได้ พี่จะเข้าไปไม่ได้”
นภดลเสียงเข้มใส่ “ทำไม…รังเกียจพี่งั้นเหรอ”
พเยียอึกอัก ไม่อยากมีเรื่อง “เปล่า แต่พเยียไม่อยากให้พวกเค้าเห็นพี่”
นภดลยียวน “ก็บอกเค้าไปซี๊ ว่าเราเป็นอะไรกัน รึจะให้พี่ไปบอกเอง”
นพดลขยับตัวทำท่าจะเข้าไปอีก พเยียตกใจ ลนลามห้าม ดึงตัวนพดลเอาไว้
“อย่านะพี่นพ”
จังหวะนั้นเสียงแม่ชื่นดังแว่วขึ้นมาจากหลังประตูวัง
“ทองมา” เสียงแม่ชื่นบ่น “ไปไหนนะ” เสียงดังใกล้เข้ามา “ทองมา อยู่ข้างนอกหรือเปล่า…ทองมา”
“นังชื่น”
พเยียตกใจมาก กลัวว่าแม่ชื่นจะเปิดประตูมาเห็น เลยตัดสินใจ โถมกอดนพดลทั้งตัว ออดอ้อน
“ไปหาที่คุยกันข้างนอกดีกว่าพี่ เราจะได้นั่งคุยนอนคุยกันให้สบาย”
นพดลยิ้มอย่างรู้ทัน หันกลับขึ้นขี่แล้วสตาร์ทรถมอเตอร์ไซค์ พเยียรีบวิ่งไปซ้อนท้ายหมับ นพดลขับออกไปทันที
แม่ชื่นเปิดประตูเล็ก ชะโงกหน้ามองซ้ายขวา หาตัวทองมา เห็นลิบๆ ข้างหลังเป็นชายหญิงขับมอเตอร์ไซค์ออกไป ไม่ได้สงสัยอะไร แม่ชื่นหันกลับเดินเข้ามาในวัง เห็นทองมาวิ่งปาดเหงื่อกลับมา แม่ชื่นเอ็ดเสียงขุ่น
“ทองมา! หายไปไหนมา อู้ดีนัก เดี๋ยวเถอะ จะเรียนคุณหญิงซะให้เข็ด”
“เปล่าอู้ครับ คุณแม่บ้าน ผมไปไล่งูมา” ทองมาบอก
แม่ชื่นตกใจ “หา! งูเหรอ งูอะไร!”
ทองมายิ้มแหะๆ “งูอะไรก็ไม่ทราบครับ คุณหนูเธอโทร.มาตามผม ให้ไปช่วยไล่งูที่สวนด้านหลัง ผมไปหาอยู่ตั้งนาน ไม่เห็นเจอซักกะตัว”
แม่ชื่นฟัง แล้วนึกเอะใจว่ามอเตอร์ไซค์ที่เห็นหลังไวๆ นั้นน่าจะเป็นพเยีย
ไม่นานต่อมาแม่ชื่นเดินหน้าเครียดเข้ามาในบ้าน เห็นนภดาราเดินเหลียวซ้ายแลขวา อยู่ตรงโถงเหมือนมองหาใคร ศรีเดินเข้ามาจากด้านหลัง
นภดาราถาม “ว่าไง ศรี เจอไหม”
ศรียังไม่ทันตอบ แม่ชื่นก็ถามขึ้น
“หาอะไรคะ คุณดารา”
“หาลูกพเยียค่ะ แม่ชื่น เห็นเข้าห้องปิดประตูเงียบไป ฉันก็เป็นห่วง แต่พอไปหา ก็ไม่อยู่ ไม่รู้หายไปไหน” นภดาราบอกท่าทีเป็นห่วง
“อาจจะออกไปข้างนอกก็ได้นะคะ คุณดารา ตะกี๊มีเพื่อนของคุณหนูโทร.มาหา คุณหนูอาจจะออกไปหาเพื่อน” ศรีบอก
“เพื่อน? เพื่อนผู้ชายใช่ไหม” แม่ชื่นถาม
“ค่ะ คุณแม่บ้าน เห็นว่าเพื่อนจากเชียงใหม่น่ะค่ะ ชื่อคุณนภดล” ศรีบอก
แม่ชื่นพยักหน้ายิ่งมั่นใจ “ใช่แน่ๆ” หญิงชราบอกกับนภดารา “ตะกี๊ดิฉันเห็นซ้อนมอเตอร์ไซค์ออกไปด้วยกัน เห็นหลังไวๆ ไม่นึกว่าจะใช่คุณหนู”
นภดาราฟังแล้วไม่ค่อยสบายใจ
“นพดล…ใครกัน”
ช่วงบ่ายวันนั้น สองคนอยู่ที่คอนโดนภดล เห็นโค้กจากกระป๋องเทลงแก้วเหล้าที่ผสมไว้แล้วสองใบ นพดลถือแก้วเหล้า เดินมาหาพเยียซึ่งนั่งอยู่ที่โซฟา รอบตัวมีอาหารพวกดิลิเวอรี่เรียงรายเต็มไปหมด
นภดลส่งให้พเยียหนึ่งแก้วพูดเหน็บ “เอ้า โค้ก โซดา เหมือนเคย กินได้ไหม หรือว่าเดี๋ยวนี้ต้องกินไวน์ขวดละหมื่นสองหมื่น”
พเยียรับแก้วมาจิบอย่างชื่นใจ เมื่อได้กลับมาใช้ชีวิตแบบเดิมๆ กับนพดล พเยียดูผ่อนคลายและเป็นตัวของตัวเองขึ้น
“พี่ก็พูดไป ไวน์เวยอะไรไม่เคยได้แตะซักหยด อยู่ที่วังกินอยู่สุขสบายก็จริง แต่ระเบียบจัด เรื่องเยอะยิ่งกว่าอยู่กับแม่ชีซะอีก”
นพดลลงนั่งข้างๆ “ไหน เล่าให้พี่ฟังสิ มันยังไงถึงได้กลายไปเป็นลูกท่านหลานเธอกับเค้าได้”
พเยียโกหกหน้าตาเฉย
“คุณแม่ท่านก็ให้คนตามหาลูกที่หายไปของท่าน อีตาลุงนั่นก็มาหา จนกระทั่งมาเจอพเยียเข้านี่แหละ”
“ตั้งสิบกว่าปีมาแล้ว แม่พเยียเค้ารู้ได้ยังไงว่าเป็นพเยียเป็นลูกของเค้า” นพดลถาม
พเยียตัดบท “เค้ารู้ก็แล้วกันน่ะ คุณแม่รับพเยียมาอยู่ด้วย แต่พวกญาติแก่ๆ ในวังเค้าไม่ชอบพเยีย จ้องจับผิดอยู่ตลอด เพราะฉะนั้น พี่นพห้ามมายุ่งกับพเยียอีกเป็นอันขาด”
นพดลมองพเยียอย่างมีแผน กระเถิบเข้ามาใกล้ ดึงมากอด ป้อคำหวาน
“แหม พเยียสวย ออร่าคุณหนูจับไปทั้งตัวอย่างนี้ จะให้พี่เลิกยุ่งได้ยังไง”
พเยียเอามือดันออกอย่างไว้ตัว “พอๆๆๆ” มองนพดลอย่างรู้ทัน “เอางี้ ฉันจ้างพี่ก็แล้วกัน
พเยียหยิบกระเป๋าขึ้นมา ส่งเงินให้ปึกหนึ่ง
“เอาไป…แล้วอย่ามายุ่งกับฉันอีก”
นภดลกรีดเงินดูอย่างชำนาญ “หมื่นนึง...ไม่น้อยไปหน่อยเหรอคุณหนูพเยีย”
“ฉันมีเท่านี้แหละ พี่จะเอาไม่เอา”
นพดลเก็บเงิน “เท่านี้ก่อนก็ได้” ยิ้มกวน “วันหลัง ค่อยว่ากัน”
พเยียทนไม่ไหว ลุกพรวดขึ้น โวยวายอย่างลืมตัว
“วันหลังอะไรเล่า ไม่มีแล้ว! ฉันพูดจริงๆ นะ พี่นพ ห้ามมายุ่งกับฉันอีก ลำพังตัวฉันเองตอนนี้ก็จะเอาตัวไม่รอดอยู่แล้ว จะโดนเฉดออกจากวังเมื่อไหร่ก็ไม่รู้”
“อะไรกัน” นภดลงง เมื่อเห็นสีหน้าพเยียจริงจัง “พเยียเป็นลูกเป็นหลานของเค้าไม่ใช่เหรอ ทำไมจะโดนเฉดออกจากวังได้”
พเยียนิ่งอัดอั้น ใจหนึ่งไม่อยากให้นพดลมายุ่ง อีกใจหนึ่งก็อยากระบาย อยากมีคู่คิด
นพดลมองคาดคั้น ในที่สุด พเยียก็ตัดสินใจ
“ฉันเป็นลูกเป็นหลานของเค้าก็จริง แต่มันดันมีคนคนนึง เข้ามาทำให้ชีวิตของฉันมีปัญหา”
“ใคร” นพดลประจบ “ใครมันมางี่เง่ากับพเยียของพี่ พี่เคลียร์ให้ได้นะ”
พเยียมองนพดล ได้คิด ยิ้มออกมา
“ก็แค่ผู้หญิงคนนึง พี่เคลียร์ให้พเยียได้จริงเหรอ”
“ได้สิจ๊ะที่รัก มันอยู่ที่ว่า เคลียร์แล้ว พี่จะได้อะไร”
พเยียยิ้มหวาน โน้มคอนพดลเข้ามาใกล้ กระซิบกระซาบ แล้วสองคนก็นัวเนียกันอย่างคุ้นเคย
คืนนั้นนภัสรพีนั่งอ่านเอกสารอยู่ที่โต๊ะในห้องหนังสือ กอหญ้าเคาะประตู
“ขออนุญาตค่ะ”
นภัสรพีเงยหน้าไปมองพลางปิดเอกสาร “เข้ามา”
กอหญ้ายิ้มแย้มเข้ามาพร้อมชุดน้ำชาประจำตัวของนภัสรพี
“ชาก่อนนอนค่ะ ท่าน...” กอหญ้าเห็นนภัสรพีมองยิ้มๆ จำใจเรียก “คุณตา”
“นี่มันหน้าที่ของแม่ชื่นเค้า วันนี้นึกยังไงให้หนูเป็นคนยกมา”
กอหญ้ารินชาร้อนควันกรุ่นลงในถ้วย เลื่อนไปให้ พูดไปด้วย
“แม่ชื่นดูแลคุณอาดาราอยู่ค่ะ หนูเลยอาสาทำแทน”
นภัสรพีจิบชา นึกรู้หน้าขรึมลง
“แปลว่าพเยียยังไม่กลับใช่ไหม”
“ค่ะ” กอหญ้าพูดอย่างเห็นใจ “คุณอาดารากลุ้มใจ ห่วงคุณพเยีย แม่ชื่นกลัวว่าโรคหัวใจจะกำเริบอีก เลยไม่กล้าทิ้งไปไหน”
นภัสรพีถอนใจ พูดลอยๆ “บางทีฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน ว่าฉันทำถูกหรือทำผิด ที่รับเอาเด็กคนนี้เข้ามาอยู่ในบ้าน”
กอหญ้ามองนภัสรพี แปลกใจในคำพูด
“ทำไมท่านพูดอย่างนั้นล่ะคะ คุณพเยียเป็นหลานของท่าน หลานที่ท่านตามหามาตั้งสิบกว่าปี ท่านไม่ดีใจเหรอคะ ที่ได้หลานสาวกลับคืนมา”
“หลานสาวของฉัน ถ้าฉันได้เค้ากลับคืนมาจริงๆ ก็ดีสิ”
นภัสรพีแววตาหม่นเศร้าลง
กอหญ้ามองอย่างงุนงง ไม่เข้าใจ แต่ก็สงสารนภัสรพีที่ดูเป็นทุกข์
ด้านพเยียเปิดประตูเล็ก ย่องเข้าบ้าน ทองมาที่นั่งดูทีวีเล็กอยู่ในป้อมยาม หันมาเห็นทักเสียงดัง
“คุณหนู”
พเยียเอานิ้วแตะปาก เป็นสัญญานให้เงียบ ทองมาลดเสียงลง
“คุณหนูไปไหนมาครับ”
“ไปเที่ยว อย่าเอะอะไปล่ะ”
พเยียวิ่งเข้าประตูไป ลัดเลาะไปทางด้านข้างบ้าน
พเยียย่องหาทางแอบเข้าบ้านที่ประตูข้างสวน ทันใดนั้นก็มีเสียงนภาจรีดังขึ้น
“หยุดนะ”
พเยียสะดุ้งสุดตัว รีบหลบ ใจเต้นโครมครามนึกว่าโดนจับได้ แต่แล้วกลับเห็นปุยฝ้ายวิ่งออกมา นภาจรีเดินแกมวิ่งตามออกมา
“ปุยฝ้าย จะไปไหน อย่าซนสิลูก”
พเยียถอนหายใจเฮือก หลบนิ่งอยู่ เห็นนภาจรีมาอุ้มปุยฝ้าย โอบกอดอย่างแสนรัก
นภาจรีพูดกับน้องหมาอย่างอ่อนหวาน “พรุ่งนี้เช้าค่อยเล่นนะจ๊ะลูกจ๋า ดึกแล้ว เข้าบ้านกันดีกว่านะจ๊ะ”
นภาจรีพาปุยฝ้ายออกไป พเยียทำปากขมุบขมิบด่าตามหลัง
“ทีพูดกับแมวล่ะลูกจ๊ะลูกจ๋า หมั่นไส้”
พเยียเข้าห้องปิดประตูอย่างเบามือ ไม่อยากให้นภดาราได้ยิน พอขยับตัวออกจากประตู ก็มีเสียงเคาะ พเยียทำหน้าเหมือนอยากจะกรี๊ด แล้วบ่นเบาๆ กับตัวเอง
“คุณแม่”
พเยียกลั้นใจ เปิดประตู ปั้นหน้ายิ้มหวาน
“มีอะไรคะ” พเยียชะงัก หน้าเปลี่ยน เสียงเปลี่ยน “กอหญ้า”
“คุณอานภดาราเข้านอนไปแล้วค่ะ แม่ชื่นให้ทานยา เพิ่งหลับไป” กอหญ้าพูดเสียงเป็นเชิงตำหนิ “แต่ก่อนหน้านั้น ท่านเป็นห่วงคุณมาก”
“อืมม์” พเยียทำเสียงรับรู้ จะปิด กอหญ้าดึงบานประตูไว้
“คุณอาดาราไม่ค่อยแข็งแรง คุณไม่น่าทำให้ท่านต้องกังวลใจ มันไม่ดีกับสุขภาพของท่าน”
พเยียชักสีหน้า “แล้วไงอีก”
“ท่านรักคุณมากนะคะ ถ้าฉันมีแม่ ที่รักฉันมากอย่างนั้น ฉันจะไม่ทำให้ท่านเสียใจเลย” กอหญ้าบอก
พเยียยิ้มเยือกเย็น “ไม่ต้องห่วงหรอก กอหญ้า ฉันจะรักและดูแลคุณแม่ให้ดีที่สุด เพราะท่านเป็นคุณแม่ของฉัน…ของฉันคนเดียว”
พเยียปิดประตูใส่หน้ากอหญ้า ดังปัง!
วันต่อมาสุบรรณเดินเข้ามาในออฟฟิศของอิศร ในมือมีของฝากใส่ถุงมา 2-3 อย่าง สุบรรณโผล่หน้าเข้ามาหาในห้องทำงานอิศร
“กลับมาแล้วคร้าบ”
อิศรที่นั่งพิงพนักเก้าอี้หันหลังดูอะไรบางอย่างอยู่ หมุนเก้าอี้กลับมามอง สุบรรณเอาของวางลงบนโต๊ะ
“นี่ครับ จากเชียงใหม่”
อิศรมองมา ท่าทีหงุดหงิด “อะไรของแก
“แคบหมู น้ำพริกหนุ่ม แล้วอันนี้หมูยอ” สุบรรณบอก
อิศรทนไม่ไหว ลุกพรวด หัวแทบจะชนกับสุบรรณ
“ฉันมีตาโว้ย ฉันเห็นว่ามันเป็นอะไร แต่แกเอามาวางที่โต๊ะฉันทำไม”
สุบรรณยิ้มกวน “อ๋อ ก็เห็นคุณอิศรสั่งว่า ยังไงก็ห้ามกลับมามือเปล่า แล้วผมก็เห็นว่าน้ำพริกเจ้านี้เค้าดัง…”
อิศรสวนขึ้น “พอ พอเลยไอ้สุบรรณ...” พลางลงนั่ง “ฉันหากอหญ้าเจอแล้ว เค้าอยู่ที่วังศิวาลัย”
“อ้าว จริงดิ” สุบรรณลงนั่ง “โห ไอ้ผมก็หาซะเหนื่อย ที่แท้ก็หนีไปอยู่ข้างบ้านคุณอิศรนี่เอง” นึกได้ “เอ๊ะ แล้วนึกยังไงไปอยู่ที่นั่นล่ะครับ”
อิศรบ่นระบายอย่างน้อยใจ “คุณอาดาราอาสาจะดูแลเค้า แล้วเค้าก็ไว้ใจทางโน้นมากกว่าฉัน”
สุบรรณถึงบางอ้อ “เลย’รมณ์เสีย”
อิศรบ่นต่อ “ไอ้ชิษณุพงษ์มันไปป้วนเปี้ยนอยู่ที่นั้นด้วย มันเสนอตัวจะช่วย ทำให้กอหญ้าจำอดีตได้”
“ก็ดีนี่ครับ คุณอิศรเองก็อยากให้คุณกอหญ้าหายความจำเสื่อมซะทีไม่ใช่เหรอ”
“ไม่รู้สิ”
สุบรรรณฟังแล้วงง “ห๊ะ!”
อิศรถอนใจฮึดฮัด ทิ้งตัวลงกับเก้าอี้เหมือนเด็กไม่ได้อย่างใจ สุบรรณมองงงและสงสัย
“ฉันกลัวว่ะ สุบรรณ ฉันกลัวว่าถ้ากอหญ้าเค้าจำอดีตได้ ฉันจะเสียเค้าไป”
“ทำไมคิดหยั่งงั้นล่ะครับ
อิศรไม่ตอบได้แต่ทอดถอนใจ พลางก้มลงมองแหวนรูปดาวในมือ ที่ถือดูอยู่ก่อนหน้า คิดถึงคำพูดของชิษณุพงษ์ ที่บอกอย่างมั่นใจ วันที่เจอกันหน้าโบสถ์
“กอหญ้าเพื่อนผม ที่นิ้วนางข้างขวาของเค้า จะมีแหวนใส่ไว้ตลอดเวลา แหวนที่เป็นรูปดาว”
กอหญ้าฟังแล้วสับสน “แล้วคุณล่ะ คุณเป็นใคร เราสองคนรู้จักกันมาตั้งแต่เมื่อไหร่”
“เธอกับฉันเป็นเพื่อนกัน ตอนที่เธออยู่ที่เชียงใหม่ เธอช่วยดูแลฉันตอนที่ตาฉันมองไม่เห็น เราสองคนรักกัน เธอสัญญาว่าถ้าฉันผ่าตัดตาเรียบร้อย เธอจะหมั้นกับฉัน”
อิศรดึงตัวเองกลับมาบอกกับสุบรรณ น้ำเสียงไม่พอใจ
“กอหญ้ากับชิษณุพงษ์อาจจะเคยสัญญารักกันจริงๆ ก็ได้ ถึงได้ให้แหวนแทนใจกันไว้”
“คุณอิศรไม่ลองเอาแหวนไปให้คุณกอหญ้าดูล่ะครับ แกอาจจะนึกอะไรออกขึ้นมาก็ได้” สุบรรณแนะ
อิศรทำหน้าแบบเด็กเกเร ที่ไม่ยอมแพ้
“เรื่องอะไร ในเมื่อกอหญ้าเองก็จำไม่ได้ ว่าตัวเองเคยใส่แหวนของไอ้หมอนั่น” พูดกวนๆ “แหวนเหวินอะไรกัน ฉันไม่เคยเห็นกอหญ้าใส่แหวนอะไรทั้งนั้น” มองสุบรรณ พูดข่มขู่ “แกเองก็ไม่เคยเห็น ใช่ไหม”
สุบรรณรู้ทันว่าอิศรจะโกงอีกแล้ว ตอบอย่างอ่อนใจ
“คร้าบบบ”
อิศรยิ้มเจ้าเล่ห์ หยิบแหวนมาชู “แหวนวงนี้ ไม่เคยมีอยู่ในโลกเลยด้วยซ้ำ”
อิศรโยนแหวนใส่ลิ้นชัก ปิดดังปัง สุบรรณมองอิศรอย่างทึ่งในความเกเรและขี้โกงสุดๆ
แผนรักแผนร้ายตอนที่ 6 (ต่อ)
ตอนสายๆ นภดารากึ่งนั่งกึ่งนอนพักผ่อนอยู่บนเตียง มีแม่ชื่นดูแลอยู่ พเยียเดินหน้าตาสดใสเข้ามาหา ทักทายเสียงอ่อนหวาน
“คุณแม่ขา”
นภดาราหันไปเห็น “พเยีย”
พเยียเข้ามากอดประจบ แม่ชื่นมองอย่างไม่ไว้ใจ
“คุณแม่ไม่สบาย หายหรือยังคะ”
“แม่ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกจ้ะ”
แม่ชื่นพูดแทรกเสียงเรียบ นิ่ง “คุณดาราเป็นโรคหัวใจ จะประมาทไม่ได้ ทางที่ดี” หญิงชราปรายตามองพเยียขณะพูดประโยคต่อมา “ก็ไม่ควรจะให้มีเรื่องเครียดหรือกังวลใจ”
นภดารามองอย่างกังวล ไม่อยากให้ชื่นต่อว่าพเยีย แต่พเยียกลับพูดเสียงอ่อนหวาน
“พเยียผิดเอง ที่ทำอะไรไม่คิด ทำให้คุณแม่ไม่สบายใจ” พเยียก้มกราบที่ไหล่ “พเยียขอโทษนะคะ” พลางหันไปไหว้แม่ชื่น “พเยียขอโทษค่ะ แม่ชื่น”
แม่ชื่นตกใจรับไหว้แทบไม่ทัน พเยียหันไปหานภดารา
“เมื่อวานพเยียออกไปหาเพื่อนน่ะค่ะ เค้าเห็นข่าวพเยียในหนังสือพิมพ์ เลยโทร.มาหา บังเอิญว่าโทรศัพท์แบตหมด พเยียเลยไม่ได้โทร.บอกคุณแม่” พเยียแก้ตัว
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ” นภดาราลูบหัวพเยียอย่างรักใคร่ “แต่วันหลังอย่าหายไปเฉยๆ แบบนี้อีกนะคะ แม่เป็นห่วงหนู”
พเยียกอดประจบนภดารา “ค่ะ หนูสัญญาจะเป็นเด็กดี ไม่ทำให้คุณแม่ต้องกลุ้มใจอีกเลย”
นภดารายิ้มชื่นใจ แม่ลูกหยอกล้อกันน่ารัก
แม่ชื่นมองพเยียกับนภดารา แทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง แล้วหันหลัง เดินออกไปเงียบๆ
กอหญ้าเดินมาจากชั้นล่าง มาเคาะประตูห้องนภดารา
“ขออนุญาตค่ะ”
ภายในห้องนภดารากำลังเอาเครื่องเพชรออกมาขัดทำความสะอาด รอบตัวมีกล่องใหญ่กล่องเล็กเรียงราย พเยียหยิบโน่นนี่ดูอย่างตื่นตาตื่นใจ
นภดาราร้องเสียงใส มีความสุข “เข้ามาสิจ๊ะ หนูกอหญ้า”
กอหญ้าเข้ามา เห็นนภดาราหยิบแหวนเพชรวงหนึ่งขึ้นมาเช็ด พเยียชะโงกหน้ามอง ตาโต
“โอ้โห สวยจัง วงนี้กี่กะรัตคะนี่ คุณแม่” พเยียฉอเลาะ
“สามกะรัตจ้ะ” นภดาราเห็นพเยียตาวาว จึงถาม “หนูชอบเหรอลูก”
“ค่ะ” พเยียเสียงตื่นเต้น
“งั้นแม่ให้”
พเยียรับแหวนมาสวมอย่างดีใจ
“ขอบคุณนะคะ คุณแม่ใจดีที่สุดเลย”
พเยียโผเข้ากอดนภดาราออดอ้อนเอาใจ นภดาราหัวเราะสดใส แล้วหันมาหากอหญ้าที่นั่งเรียบร้อยอยู่
“มัวแต่เล่นเพลิน หนูมีอะไรจ๊ะ หนูกอหญ้า”
“แม่ชื่นให้หนูมาเรียนว่า ที่คุณอาจะลงไปทำอาหารกลางวัน แม่ชื่นเตรียมเครื่องปรุงไว้เรียบร้อยแล้วค่ะ”
“อ๋อ จ้ะ ฉันลงไปเดี๋ยวนี้แหละ หนูช่วยฉันเก็บกล่องพวกนี้ที”
นภดาราเก็บกล่องเครื่องเพชร กอหญ้าช่วยปิดกล่องเก็บ ระมัดระวังและเจียมตัว นภดาราหันไปหาพเยียที่กรายมือดูแหวนบนนิ้วอย่างชอบใจ
“ลงไปช่วยแม่ทำกับข้าวไหมคะลูก”
พเยียประจบท่าทีน่ารัก “ช่วยชิมอย่างเดียวได้ไหมคะ เดี๋ยวแหวนเพชรพเยียเปื้อน”
นภดาราเย้า “แหม รู้งี้แม่ไม่ให้ เอาคืนซะดีไหมนี่”
“ไม่เอาค่ะ ไม่คืน ไม่ให้”
แม่ลูกหัวเราะหยอกล้อแย่งแหวนกัน กอหญ้ามองแล้วหน้าเศร้า ไม่ได้อิจฉา เพียงแค่คิดถึงตัวเองว่าไม่มีใคร เด็กสาวรู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนเกิน จึงขยับตัวจะลุกขึ้น
“งั้น... หนูขอตัวลงไปข้างล่างก่อนนะคะ”
นภดาราหันมองกอหญ้า เห็นแววตาเศร้าแล้วนึกรู้ สงสาร
“เดี๋ยวก่อนสิจ๊ะ กอหญ้า”
กอหญ้านั่งลงอย่างเดิม นภดารามองอย่างเอ็นดู
“ฉันมีของให้หนูเหมือนกันนะ”
นภดาราหยิบแหวนวงเล็กๆ น่ารัก ราคาไม่แพงนักขึ้นมา
“ฉันให้หนู ถือว่ารับขวัญที่หนูกอหญ้าเข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ของวังศิวาลัย”
“หนูรับไว้ไม่ได้หรอกค่ะ แค่คุณอาให้หนูอาศัยอยู่ที่นี่ก็เป็นพระคุณมากแล้ว” กอหญ้าบอกอย่างเกรงใจ
พเยียแอบทำหน้าหมั่นไส้ จะดีไปถึงไหนเนี่ย
“อย่าดื้อสิจ๊ะ หนูเป็นเด็ก ผู้ใหญ่ให้ของ ก็ต้องรับ รู้มั้ย”
นภดาราเอาแหวนวางให้ในมือเลย กอหญ้าจำใจรับไว้ ไหว้ขอบคุณ
“ไหน ลองสวมสิ พอดีไหม”
กอหญ้าสวมแหวนลงไปที่นิ้วนางข้างขวาอย่างเคยชิน ความรู้สึกบางอย่างพรั่งพรูเข้ามาในใจจนกอหญ้าชะงักนิ่ง เหมือนอยู่ในภวังค์ นภดาราเห็นท่าทางประหลาดของกอหญ้านึกสงสัย
“มีอะไรหรือเปล่าจ๊ะ กอหญ้า”
กอหญ้ารู้สึกตัว “เปล่าค่ะ หนูแค่รู้สึกแปลกๆ”
“แปลกยังไง” นภดาราสงสัย
“มันคุ้นๆ เหมือนกับว่า หนูเคยใส่แหวนที่นิ้วนี้มาก่อนค่ะ”
พเยียรำพึงเบาๆ “แหวน!”
พเยียเอะใจ เพิ่งนึกได้เรื่องแหวน กอหญ้าถอดแหวนออกดู เห็นรอยที่โคนนิ้วนางขวาชัด
“จริงๆ ด้วยค่ะ คุณอา เมื่อก่อนหนูเคยใส่แหวนที่นิ้วข้างนี้จริงๆ”
นภดาราดูรอยที่นิ้วของกอหญ้าอย่างสนใจ
“ท่าทางคงใส่ติดนิ้วเป็นประจำเลยล่ะนี่ ดูสิจ๊ะ เป็นรอยชัดเลย” นภดาราว่า
พเยียนิ่งอึ้ง หน้าเสีย
ครู่ต่อมาทุกคนช่วยกันเตรียมอาหารง่ายๆ ประเภทสลัดอยู่ในครัว มีพเยียคนเดียวที่นั่งห่างออกไป หน้าตาครุ่นคิด
ทั้งหมดยังคุยกันเรื่องแหวนของกอหญ้า แม่ชื่นถามอย่างสนใจมาก
“ตอนที่หนูรู้สึกตัวขึ้นมา แหวนของหนูไม่อยู่แล้วหรือคะ”
กอหญ้าพยายามนึก “ตอนที่ฟื้นขึ้นมาที่โรงพยาบาล หนูไม่เห็นนะคะ หรือว่าจะอยู่ที่คุณอิศร...หนูก็ไม่แน่ใจ”
พเยียนั่งฟังเงียบๆ พยายามเก็บข้อมูลให้มากที่สุด
นภดาราเอ่ยขึ้น “ถ้าอยู่ที่อิศร เค้าก็น่าจะคืนให้หนูแล้วล่ะ ฉันว่ามันอาจจะหายไปตอนที่หนูสลบก็ได้”
“น่าเสียดายนะคะ”
แม่ชื่นบ่นเสียดายเพราะอยากเห็นแหวนของกอหญ้า แต่นภดาราคิดว่าชื่นเสียดายแหวน พูดปลอบกอหญ้า
“โชคดีแล้วล่ะจ้ะ แม่ชื่น ที่มันเอาไปแต่แหวน คนสมัยนี้ใจร้ายกันเหลือ เกินแค่เงินไม่กี่ร้อยก็ฆ่ากันได้”
นภดารากับกอหญ้าคุยกันไป ทำสลัดกันไป ไม่ได้คิดอะไร
แม่ชื่นมองนภดารากับกอหญ้า แล้วหันมา เห็นพเยียมองสองแม่ลูกนิ่งๆ เครียดๆ อยู่อีกมุม
หญิงชราสังหรณ์ใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
นภาจรีกำลังแปรงขนปุยฝ้ายอย่างทะนุถนอม แม่ชื่นเดินวนเวียนอยู่รอบๆ หน้าตาหนักใจ ถอนใจไปมา
“มีอะไร แม่ชื่น”
แม่ชื่นอยากพูด แต่ไม่กล้า “เปล่าค่ะ คุณหญิง”
นภาจรีหันไปเลือกโบว์เล็กๆ พยายามจะแต่งตัวให้ปุยฝ้าย นภาจรียกโบว์ขึ้นมาถาม
“อันนี้ดีไหม แม่ชื่น”
แม่ชื่นไม่มีอารมณ์จะดู พยักพเยิดไป “ค่ะ”
นภาจรีลองติด ฝ่ายแม่ชื่นทำท่าเหมือนอยากจะพูดอะไร แต่ไม่กล้าพูด นภาจรีติดโบว์เสร็จ หอมปุยฝ้ายอย่างแสนรัก
“ลูกสาวแม่สวยจังเลย …อุ๊ย จมูกเย็นเชียว อีกแป๊บนึงค่อยไปกินนมนะ”
แม่ชื่นยังคงเดินวนไปเวียนมาอยู่ นภาจรีทนไม่ไหวละสายตาจากปุยฝ้าย หันไปมองชื่นอย่างรำคาญ
“แม่ชื่น จะพูดอะไรก็พูดมา เดินวนไปวนมาอยู่ได้ เวียนหัว”
แม่ชื่นลงนั่ง มองซ้ายมองขวา กลัวใครมาได้ยิน
“คือ...คุณหญิงคะ ดิฉันสงสัยว่า หนูกอหญ้าอาจเป็นลูกคุณดาราค่ะ”
นภาจรีตกใจ วางปุยฝ้ายลงทันที
“อะไรนะ”
นภาจรีลากแม่ชื่นเข้ามาในห้องตัวเอง ปิดประตู
นภาจรีมีท่าทีตื่นเต้น “ทำไม ทำไมแม่ชื่นถึงคิดอย่างนั้น”
“คือตอนแรก ดิฉันเห็นว่า กริยาท่าทางของคุณดารากับหนูกอหญ้ามีอะไรบางอย่างคล้ายกันมาก เวลาหัวเราะ เวลายิ้ม แต่ก็คิดว่าตัวเองคิดมากไปเอง เลยไม่อยากพูดไป”
“แล้วทำไมมาแน่ใจเอาตอนนี้” นภาจรีซัก
“ก็ไม่ถึงกับแน่ใจหรอกค่ะ แต่ว่าเมื่อตะกี๊ คุณดาราเห็นรอยที่นิ้วของหนูกอหญ้า เธอเคยใส่แหวนค่ะ ใส่มานานจนเป็นรอยที่นิ้ว...เหมือนกับใส่ติดตัวมาหลายๆ ปียังงั้นเลยค่ะ”
นภาจรีเริ่มเก็ต “แม่ชื่นคิดว่า แหวนที่กอหญ้าเคยใส่ เป็นแหวนของหลานดารา ใช่ไหม”
แม่ชื่นอึกอัก ลำบากใจ “ดิฉันได้ยินคุณชายบอกว่า ทนายปราบเจอตัวลูกสาวของคุณดารา ที่มีทั้งล็อกเก็ต ทั้งแหวน แล้วหนูกอหญ้าก็นั่งรถลงมาจากเชียงใหม่พร้อมๆ กันกับคุณพเยีย ...ดิฉันก็เลยมาคิดว่า…”
นภาจรีพูดต่อให้ “ถ้านังพเยียเป็นตัวปลอม กอหญ้า ก็น่าจะเป็นตัวจริง”
“ค่ะ” แม่ชื่นบอก
นภาจรีตาวาวโรจน์ สะใจสมใจ
ริมสระน้ำยามบ่ายๆ กอหญ้านั่งถอดแหวนใส่แหวนเข้าๆ ออกๆ พิจารณาดูรอยแหวนที่นิ้วของตัวเอง นึกถึงคำพูดชิษณุพงษ์ที่บอกอย่างมั่นใจ
“กอหญ้าเพื่อนผม ที่นิ้วนางข้างขวาของเค้า จะมีแหวนใส่ไว้ตลอดเวลา แหวนที่เป็นรูปดาว”
แต่พออิศรยกมือขวาของกอหญ้าขึ้นมา ชิษณุพงษ์มอง เห็นที่นิ้วว่างเปล่า
“กอหญ้าของฉัน ไม่เคยมีแหวนแบบนั้น เค้าไม่ใช่กอหญ้าของคุณ เลิกมายุ่งกับเค้าได้แล้ว” อิศรบอกอย่างรำคาญแล้วหันมาทางกอหญ้า “ไป กอหญ้า”
กอหญ้าดึงตัวเองกลับมา รำพึงอย่างปลงๆ
“กะอีแค่แหวนวงเดียว มีหรือไม่มีมันจะไปสำคัญอะไร”
เสียงนภาจรีดังเข้ามา
“สำคัญสิ”
นภาจรีเข้ามา หน้าตาเอาจริงเอาจังมาก กอหญ้าหันมามอง ตกใจนิดๆ
“สำคัญมากซะด้วย” นภาจรีย้ำ
“คุณหญิง”
กอหญ้าตกใจระคนแปลกใจ
นภาจรีคว้ามือกอหญ้ามาดู ถามคาดคั้นอย่างหนัก
“บอกฉันมา เธอจำได้ไหม ว่าแหวนของเธอหน้าตาเป็นยังไง”
กอหญ้าตกใจกับท่าทีเอาจริงของนภาจรี “หนู...หนูจำไม่ได้ค่ะ”
นภาจรีขัดใจ “พยายามหน่อยซี ใส่มานานจนเป็นรอยขนาดนี้ ลองนึกดูดีๆ สิเผื่อจะนึกออก นึกดูดีๆ”
กอหญ้าพยายามคิด
“หนูนึกไม่ออกค่ะ”
นภาจรีคาดคั้น “พยายามหน่อยซี มันสำคัญกับฉันมากนะ พยายามหน่อยนึก นึกให้ออก”
กอหญ้าพยายามนึก เห็นเป็นภาพตัวเองเล่นเปียโน ที่มือมีแสงประกายวิบวับ แต่ภาพนั้นพร่าเลือนจนมองไม่เห็นว่าแหวนหน้าตาเป็นยังไง แล้วก็เริ่มปวดหัวหนึบๆ
“หนู...หนูเห็น...โอ้ย”
นภาจรีมองอย่างคาดคั้น ลุ้น อยากให้กอหญ้าคิดให้ออก จับไหล่กอหญ้าเขย่า
“พยายามหน่อยสิ กอหญ้า เธอเห็นแล้วใช่ไหม”
“โอ้ย หนูปวดหัว”
พเยียเดินผ่านมาพอดี เห็นนภาจรีกำลังคาดคั้นกอหญ้า ก็รีบพุ่งเข้ามาทันที
“แหวนของเธอเป็นยังไง แหวนเพชรใช่หรือเปล่า มีอะไรสลักอยู่ไหม นึกให้ออกสิ มันสำคัญมากนะ กอหญ้า”
พเยียได้ยิน รีบเข้าไปดึงกอหญ้าออกจากนภาจรี
“หยุดนะ” รีบดันกอหญ้าไปไว้ข้างหลัง เหมือนปกป้อง “คุณยายหญิงทำอะไรกอหญ้า”
“ถอยไป ไม่ใช่เรื่องของเธอ” นภาจรีหงุดหงิด
“ไม่ค่ะ คุณตาบอกว่าถ้ากอหญ้าเป็นอะไรในบ้านนี้ พเยียต้องรับผิดชอบพเยียต้องดูแลกอหญ้า” พเยียดึงกอหญ้า “ไป กอหญ้า ไปกับฉัน”
พเยียจะพากอหญ้าออกไป นภาจรีขวางไว้ มองพเยียอย่างรู้ทัน
“เธออยากขัดขวางฉันมากกว่า เธอกลัวกอหญ้าจะจำอดีตได้ใช่ไหม”
พเยียประสานสายตากับนภาจรี รู้ว่าอีกฝ่ายรู้ทันตัวเอง
“ครั้งนี้เธอรอด แต่ซักวันกอหญ้าก็ต้องจำเรื่องทุกอย่างได้”
กอหญ้าพูดด้วยเสียงอ่อยๆ
“คุณหญิงคะ แต่หนูจำอะไรไม่ได้จริงๆ ค่ะ หนูขอโทษ”
“ไปเถอะกอหญ้า เธอไม่สบายมากแล้ว”
พเยียเชิดหน้า พากอหญ้าออกไป นภาจรีมองตามเจ็บใจ
พเยียเอายาให้กอหญ้ากิน แล้วประคองกอหญ้าลงนอน ท่าทางกังวล
“คุณยายหญิงถามอะไรเธอ”
กอหญ้าลงนอน ตอบด้วยเสียงอ่อนระโหย ยังคงปวดหัวอยู่
“คุณหญิงท่านอยากรู้ว่าฉันเคยใส่แหวนอะไรค่ะ”
“แล้วเธอนึกออกไหม”
กอหญ้าส่ายหน้า
พเยียถามย้ำ “แน่นะ ซักนิดนึงก็นึกไม่ออกจริงๆ เหรอ”
“ฉันจำอะไรไม่ได้จริงๆ แต่คุณหญิงท่านไม่ยอม จะให้ฉันนึกให้ออกให้ได้”
พเยียเม้มปาก เจ็บใจนภาจรี กอหญ้าเริ่มตาจะปิด เพราะยาเริ่มออกฤทธิ์
“ทำไม แหวนของฉันมันสำคัญอะไรนัก ท่านจะอยากรู้ไปทำไม”
กอหญ้าพึมพำ
พเยียมองกอหญ้า คิดหนัก รู้สึกว่าสถานภาพของตนเองเริ่มคลอนแคลนมากขึ้นทุกที
“นังนภาจรีคงไม่หยุดแค่นี้แน่ ฉันคงจะปล่อยเธอไว้ไม่ได้ซะแล้ว”พเยียคิดในใจ มองกอหญ้าที่ค่อยๆ ผล็อยหลับไป สีหน้าพเยียนิ่ง เยือกเย็น
นภาจรีเดินชะเง้อชะแง้รออยู่ที่ทางเข้าด้านหน้า แม่ชื่นอยู่ใกล้ๆ
“ทำไมพี่ชายยังไม่กลับอีกนะ”
“อีกประเดี๋ยวก็คงมาค่ะ คุณหญิง” แม่ชื่นดูนาฬิกา “คุณชายจะต้องเดินทางไปต่างประเทศคืนนี้ กระเป๋าเดินทางยังอยู่ที่นี่ ยังไงก็ต้องกลับมาเอาก่อน”
“นั่นไง มาแล้ว”
รถคันหรูของนภัสรีพีแล่นเข้ามาจอด นภาจรีถลาลงไปหา แต่กลายเป็นว่ามีเพียงคนขับรถ ที่ลงมาอย่างรีบร้อน
“อ้าว” นภาจรีถามวินัยคนขับรถ “คุณชายไปไหน ไม่กลับมาด้วยเหรอ”
“คุณชายประชุมกรรมการบริษัทเสร็จแล้ว ต้องเลยไปธุระสำคัญอีกทีนึงครับ คุณหญิง ท่านให้ผมมาเอากระเป๋าเดินทาง แล้วไปรอท่านที่สนามบินเลย” วินัยหันมาทางแม่ชื่น “กระเป๋าอยู่ไหนครับ คุณแม่บ้าน”
“อยู่ข้างบนจ้ะ”
แม่ชื่นขยับจะพาไป แล้วเห็นนภาจรีหน้าตาขัดใจ เดินไปให้ห้องสมุด หน้าตาเอาเรื่อง แม่ชื่นตกใจ
“คุณหญิงคะ”
นภาจรีเดินลิ่วไป ไม่หันมา แม่ชื่นหันไปบอกศรีที่เดินผ่านมาพอดี
“ศรีๆ พาวินัยไปเอากระเป๋าเดินทางของคุณชายหน่อย” แล้วรีบตามนภาจรีไป “คุณหญิงขา คุณหญิง”
นภาจรีคว้าโทรศัพท์ กำลังจะกดหานภัสรพี แม่ชื่นเข้ามาร้องห้าม
“คุณหญิงขา จะทำอะไรคะน่ะ”
“ฉันจะโทรบอกพี่ชาย เรื่องกอหญ้า”
“อย่าค่ะ อย่าเพิ่ง”
“เอ๊ะ จะห้ามทำไมนะ แม่ชื่น”
แม่ชื่นดึงมือนภาจรีรั้งไว้ นภาจรีขัดใจนัก
แผนรักแผนร้ายตอนที่ 6 (ต่อ)
ศรีกับวินัยช่วยกันยกกระเป๋าเดินทางของนภัสรพี เดินลงไปชั้นล่าง นภดาราตามมากำชับ
“เสื้อโคลทนี่วินัยเอาให้คุณพ่อนะ ถือขึ้นเครื่องไป” นภดาราส่งให้ “เวลาไปถึงโน่นจะได้ใช้ได้เลย ไม่ต้องรอเปิดกระเป๋า”
วินัยรับคำ “ครับ คุณดารา”
“แล้วนี่ ยาหยอดตา เวลานั่งเครื่องบินนานๆ ท่านต้องใช้”
ระหว่างนั้นพเยียเดินผ่านมาเห็น หยุดมองอย่างสนใจ
“ใครจะนั่งเครื่องบินไปไหนคะ คุณแม่”
“คุณตาจะไปนิวยอร์กจ้ะ ไปทำธุระ”
พเยียตาวาว ที่รู้ว่านภัสรพีจะไม่อยู่ รีบเข้ามาถาม “ไปนานไหมคะ”
“สองอาทิตย์จ้ะ ราวๆ ปลายเดือนโน่นแน่ะกว่าจะกลับ”
“สองอาทิตย์”
พเยียพึมพำพลางยิ้ม แล้วกอดเอวนภดาราอย่างประจบ หน้าตาเจ้าเล่ห์
แม่ชื่นอธิบายให้นภาจรีที่ยืนหน้าบึ้งฟัง
“ค่ะ แค่สองอาทิตย์เท่านั้นเอง คุณหญิงรอให้คุณชายกลับมาก่อน ค่อยพูดกับท่านดีกว่า เรื่องสำคัญขนาดนี้ พูดทางโทรศัพท์ไม่ได้นะคะ”
นภาจรียอม ตอบเสียงสะบัดๆ
“ก็ได้”
“ไม่แน่นะคะ ภายในเวลาสองอาทิตย์นี้ หนูกอหญ้าเธออาจจะนึกอะไรออกขึ้นมาอีกก็ได้” แม่ชื่นว่า
นภาจรียิ้มออก อารมณ์ดีขึ้นมา “ก็ดีเหมือนกัน ระหว่างที่พี่ชายไม่อยู่ ฉันจะหาหลักฐานมายืนยันให้ได้ ว่ากอหญ้าเป็นหลานของฉัน พี่ชายกลับมาเมื่อไหร่ นังพเยียจะต้องกระเด็นออกไปจากศิวาลัยเมื่อนั้น”
ด้านพเยียคลอเคลียนภดาราอยู่เหมือนลูกแมวขี้ประจบ ถามด้วยน้ำเสียงน่ารัก
“ระหว่างที่คุณตาไม่อยู่ เราหนีไปเที่ยวกันไหมคะ คุณแม่”
นภดารายิ้มเอ็นดู “พเยียอยากไปไหนล่ะคะ”
“ทะเลค่ะ พเยียอยากไปทะเล”
“เอาซีจ๊ะ แม่ก็ไม่ได้ไปนานแล้ว ชวนคุณยายหญิงกับแม่ชื่นไปด้วย” นภดาราชะงัก เมื่อเห็นพเยียทำหน้าจ๋อย “ทำไมล่ะลูก”
พเยียพูดเสียงอ่อยๆ แต่ทำทีเป็นออดอ้อนให้เห็นใจ
“พาคนแก่ไปด้วย จะสนุกอะไรคะ แล้วอีกอย่าง” พเยียทำหน้าจ๋อยๆ “คุณยายหญิงท่านไม่ชอบพเยีย ขืนท่านไป พเยียคงไม่กล้าขยับตัวแน่”
นภดารานิ่งไป รู้ว่าพเยียพูดจริง มองพเยียที่ทำตาปริบๆ อย่างเห็นใจ
“แล้วเราจะไปกันสองคนเองหรือลูก”
“เราก็ชวนกอหญ้าไปด้วยซีคะ” นภดารามอง แปลกใจนิดๆ พเยียทำหน้าซื่อ เสียงสดใส “กอหญ้าเค้าก็ไม่เคยไปเที่ยวไหนเหมือนกัน จะได้ไปช่วยพเยียดูแลคุณแม่ด้วย”
นภดาราฟังน้ำเสียง ดูท่าทีของพเยีย เข้าใจว่าพเยียพยายามจะเป็นมิตรกับกอหญ้า นภดาราดีใจ
“ดีจ้ะ ชวนกอหญ้าไปด้วย” นภดารานึกสนุก “เราสามคนหนีคุณยายหญิงไปเที่ยวทะเลกันนะ”
พเยียกอดนภดาราอย่างประจบ นภดารายิ้มมีความสุข พเยียยิ้มแววตาวาววับสาสมใจ
เช้าวันต่อมา ทั้งสามนั่งกินอาหารเช้าด้วยกันในสวนสวย นภดาราชวนกอหญ้าไปทะเลด้วยกัน แต่กอหญ้าลังเล
“ไปทะเลเหรอคะ”
“จ้ะ” นภดารายิ้มแย้มแจ่มใสร่าเริง “ฉันให้เวลาสาวๆ เตรียมตัวหนึ่งวัน พรุ่งนี้เราจะออกเดินทางกันแต่เช้า”
กอหญ้าแอบเหลือบมองพเยียนิดหนึ่ง เห็นพเยียหน้าตาสดใส ดูไม่มีพิษสง แต่กอหญ้ายังลังเลอยู่อย่างนั้น
“คุณอาไปกับคุณพเยียสองคนไม่ดีเหรอคะ หนูอยู่ช่วยเฝ้าบ้านให้”
นภดาราหัวเราะขำ “จะเฝ้าทำไมจ๊ะ ไปเที่ยวด้วยกันดีกว่า ไปพักผ่อนเปิดหูเปิดตาบ้าง” นภดารารู้ว่ากอหญ้ากลัวพเยีย ช่วยพูด “พเยียเค้าก็อยากให้หนูไป”
กอหญ้าหันมองพเยียอีก พเยียยิ้มแย้ม
“ไปด้วยกันนะ กอหญ้า จะได้ไปช่วยฉันดูแลคุณแม่ไง”
กอหญ้ามองพเยีย แล้วมองนภดารา เห็นสีหน้าของนภดารา เลยตอบอย่างเกรงใจ
“ค่ะ”
นภดารยิ้มพอใจ ศรีเข้ามาเรียน
“คุณคะ คุณอิศรมาพบคุณกอหญ้าค่ะ”
เห็นอิศรเดินตามศรีเข้ามาแล้ว ไหว้นภดารา
“สวัสดีครับ คุณอา”
“อิศรนั่งก่อนซี ทานอะไรมารึยังจ๊ะ” นภดารารับไหว้ แล้วหันไปบอกศรี “ศรี ขอกาแฟให้คุณอิศรด้วย” แล้วหันมาทักอิศร “มีธุระอะไรหรือเปล่าจ๊ะ มาแต่เช้า”
ครู่ต่อมาศรีเสิร์ฟกาแฟให้อิศร ซึ่งบอกธุระกับนภดารา
“วันนี้คุณหมอนัดตรวจเช็คอาการกอหญ้าน่ะครับ”
“ดีเลยจ้ะ ไปให้คุณหมอเช็คหน่อยก็ดี เมื่อวานหนูกอหญ้าก็ปวดหัวอีกแล้ว” นภดาราบอก
“อีกแล้วเหรอ กอหญ้า” อิศรเป็นห่วง
“ค่ะ แล้วก็เห็นภาพวูบวาบอีกแล้วด้วย ฉันอยากถามคุณหมออยู่เหมือนกัน ว่ามันเป็นภาพหลอนหรือว่าอะไร”
พเยียนิ่งฟังที่กอหญ้าพูด แอบมองอย่างกังวล ไม่สบายใจ
ไม่นานต่อมาอิศรกับกอหญ้านั่งคุยกับหมอวิชาญในห้องตรวจไข้ หมอวิชาญตื่นเต้นกับอาการของกอหญ้า
“อาจจะเป็นภาพหลอน หรืออาจจะเป็นเหตุการณ์จริงที่เคยเกิดขึ้นกับคนไข้มาก่อนก็ได้”
กอหญ้าซัก “แล้วทำไมฉันถึงต้องปวดหัวทุกครั้งที่คิดถึงมันด้วยล่ะคะ คุณหมอ”
“ภาพที่คนไข้เห็น มันอาจจะเป็นความทรงจำที่ถูกกดทับไว้ เมื่อเราไปพยายามนึกถึงมัน ร่างกายมันก็เกิดอาการต่อต้าน” หมอบอก
อิศรไม่เข้าใจ ถามอย่างหงุดหงิดรำคาญๆ “ต่อต้านทำไมวะ”
หมอวิชาญอธิบาย “ร่างกายมนุษย์เป็นสิ่งที่มหัศจรรย์มาก ไอ้อิศร มันมีกลไกธรรมชาติที่จะปกป้องดูแลตัวเองให้ปลอดภัยในยามที่เกิดเหตุร้าย”
อิศรยิ่งงง ยกมือห้าม เสียงดัง “พอ! หยุด” หมอวิชาญชะงัก “แกอธิบายเป็นภาษาคนได้ไหม ฉันอยากรู้แค่ว่าทำไมกอหญ้าปวดหัว แล้วทำไงถึงจะหาย” หมอวิชาญตั้งท่าจะอธิบาย อิศรขัดอีก “สั้นๆ ง่ายๆ”
หมอวิชาญขำเพื่อน “โอเคๆ ฉันลืมไปว่าแกโง่ คืองี้ สมองของกอหญ้าไม่ต้องการจดจำเหตุการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้น มันเลยบังคับให้เธอลืมทุกอย่าง เมื่อกอหญ้าพยายามจะรื้อฟื้น ร่างกายมันก็เลยต่อต้าน เป็นที่มาของอาการปวดหัวรุนแรงที่ว่า”
อิศรกับกอหญ้าฟัง รู้สึกทึ่ง ประหลาดใจ กอหญ้าหน้าเสีย
“หมายความว่า ฉันจะไม่มีวันจำอดีตของตัวเองได้อีกเลยเหรอคะ คุณหมอ”
หมอวิชาญมองตาแวววาว เหมือนเด็กได้ของเล่นชิ้นใหม่ขณะบอก
“ความจริงมันก็พอจะมีวิธี ว่าแต่ว่าคุณจะยอมเสี่ยงไหม”
กอหญ้าแววตาดูมีความหวังขึ้น อิศรมองหมอวิชาญอย่างระแวง ไม่ไว้ใจ
ไม่นานนัก อิศรลากแขนกอหญ้าออกมา หมอวิชาญตามมารั้งไว้ กลายเป็นเถียงกันเร็วๆ พูดสวนกัน โดยไม่มีใครหยุดรอเลยทีเดียว
“เฮ้ย เดี๋ยวก่อนซี ไอ้อิศร นี่แกไม่อยากให้กอหญ้าเค้าหายหรือไง”
“ก็แกบอกว่ามันเสี่ยง”
หมอวิชาญขัดใจ “ฉันก็ต้องพูดไว้ก่อน ตามหลักการแพทย์ผ่าหัวสิวมันก็ยังมีความเสี่ยง ฉันบอกแล้วไง ฉันจะดูแลอย่างดี ฉันรับรอง…”
อิศรเถียงสวนขึ้นมา “แกจะรับรองอะไรได้ แกเป็นคนบอกเอง ว่าสมองกอหญ้าพยายามจะลืมเรื่องในอดีต เพราะมันเลวร้ายมาก ถ้าแกไปกระตุ้นให้มันกลับมา แล้วกอหญ้าเกิดเสียสติ บ้าบอขึ้นมา แกจะว่ายังไง”
“ฉันไม่ปล่อยให้เป็นแบบนั้นหรอกน่ะ” หมอวิชาญหันมาทางกอหญ้า “ผมรับประกัน”
อิศรพาล ขัดอีก “แกก็พูดแบบนี้ ตอนที่รักษาปลาทองให้ฉัน แล้วมันก็ตาย”
หมอวิชาญชักโมโห “ตอนนั้นฉันอยู่ป.4 นะไอ้อิศร แล้วนี่คนนะ ไม่ใช่ปลาทอง”
“ฉันถึงไม่ให้แกลองไง” อิศรคว้ามือ “ไป กอหญ้า”
กอหญ้าขืนตัวไว้
“เดี๋ยวค่ะ” อิศรชะงัก “นี่มันชีวิตของฉัน ฉันขอตัดสินใจเองได้ไหมคะ” แล้วหันมาทางหมอวิชาญ “ฉันอยากรู้ค่ะ ว่าวิธีที่คุณหมอว่า มันคืออะไร”
อิศรอึ้ง กอหญ้าทอดสายตามองมาอย่างวิงวอน
ทางด้านพเยียกับนภดารานั่งรออยู่ที่ล้อบบี้โรงพยาบาล พเยียดูกระวนกระวาย คอยมองไปทางห้องหมอวิชาญตลอดเวลา ครู่หนึ่งเห็นอิศรกับกอหญ้าเดินออกมาด้วยกัน
พเยียลุกพรวด “คุณแม่ขา ออกมาโน่นแล้วค่ะ”
นภดาราลุกขึ้น พเยียรีบดึงนภดาราเข้าไปหากอหญ้า
กอหญ้าแปลกใจ “คุณอา คุณพเยีย…มาโรงพยาบาลทำไมคะ”
นภดารายิ้มเขินๆ รู้สึกว่าตัวเองทำเกินกว่าเหตุไปหน่อย
“ฉันเป็นห่วงหนูน่ะจ๊ะ” นภดาราออกตัว “ความจริงก็แค่บ่นคำเดียวเท่านั้น แต่สงสัยพเยียเค้าจะรำคาญที่ฉันบ่น เลยลากฉันขึ้นรถให้ตามมาดูอาการหนูที่นี่”
อิศรกับกอหญ้ามองหน้าพเยีย รับรู้ว่าพเยียเป็นคนอยากมาที่นี่ พเยียรีบถามอย่างร้อนใจ
“ตกลงหมอว่ายังไงบ้าง กอหญ้า”
“หมอว่าอาการปวดหัว แล้วเห็นภาพวูบวาบมันเกี่ยวกับที่ความจำเสื่อมน่ะค่ะ” กอหญ้าบอก
พเยียยิ่งร้อนใจ “แล้วมันจะหายไหม ยังไง เมื่อไหร่”
“เอ่อ คือ…”
กอหญ้าอีกอัก ตอบไม่ถูก แปลกใจกับอาการรุกเร้าของพเยีย
“หมอเค้าว่ามีทางรักษาไหมจ๊ะ” นภดาราถาม
“หมอแนะนำให้ใช้วิธีสะกดจิตครับ คุณอา เผื่อว่าภาพเหตุการณ์ในอดีตที่ถูกกดทับไว้ จะแสดงออกมา”
นภดาราซักท่าทางตื่นเต้น “สะกดจิตให้กอหญ้ากลับไปเห็นเหตุการณ์ วันที่เกิดอุบัติเหตุอย่างงั้นหรือจ๊ะ”
“ค่ะ คุณหมอว่า ถ้าหากจิตใจหนูยอมรับเหตุการณ์นั้นได้ ทุกอย่างอาจจะกลับมาเป็นปกติเหมือนเดิม”
พเยียอึ้ง หน้าเสีย นภดาราไม่เห็น มัวแต่ดีใจ
“ดีจริง แล้วหนูจะเข้ารับการรักษาเมื่อไหร่”
“อาทิตย์หน้าค่ะ พอกลับมาจากทะเล หนูก็ว่าจะมาพบคุณหมอเลย”
“ฉันจะมาเป็นเพื่อนหนูด้วย ฉันก็อยากรู้เหมือนกัน ว่าหนูเป็นใคร แล้วกำลังจะลงมาทำอะไรที่กรุงเทพฯ”
นภดาราปลื้มอกปลื้มใจ ไม่ได้สนใจว่าพเยียที่ยืนอยู่ด้านหลัง นิ่งเงียบ แววตาครุ่นคิดวางแผน
ที่สปา เมมเบอร์คลับ ภายในเต็มไปด้วยชายหนุ่มรูปร่างหน้าตาดี แต่งตัวคล้ายๆ กัน 3-4 คนนั่งเรื่อยเปื่อยอยู่ เหมือนรอลูกค้า
ห่างออกไป นพดลคุยโทรศัพท์อยู่ที่มุมห้อง หน้าตาจริงจัง
“ได้ แล้วไปถึงนั่นแล้วจะให้พี่ทำยังไง” นพดลนิ่งฟัง “โอเค ได้”
นพดลวางสาย แล้วเดินมาหาผู้จัดการสาวใหญ่ แต่งตัวสวย แต่ท่าทางโหด
“พี่ พรุ่งนี้ผมขอลาหยุดวันนึงนะครับ มีธุระ”
ผู้จัดการเปิดดูตารางนัดในสมุด “ไม่ได้ พรุ่งนี้เธอมีลูกค้าบุ๊คยาวเลย”
“ให้คนอื่นขึ้นงานแทนผมแล้วกันพี่ ผมมีธุระจริงๆ”
“ไม่ได้ ลูกค้าพรุ่งนี้เป็นลูกค้าวีไอพี เค้าบุ๊คล่วงหน้ามาหลายวันแล้วด้วยแกลาไม่ได้…ถ้าอยากจะลานักล่ะก็ ลาออกไปเลย”
นพดลมองหน้าผู้จัดการอย่างไม่พอใจสุดๆ
ขณะที่นภดารากำลังดูศรีแพคกระเป๋าเตรียมเดินทาง นภาจรีเปิดประตูเข้ามา พูดด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ
“ปิดกันเงียบกริบเลยนะ เรื่องจะพากันไปเที่ยวทะเล”
นภดาราอึ้ง มองหน้าศรี
“ศรีออกไปก่อนไป ที่เหลือฉันทำเอง”
ศรีรับคำแล้วค้อมตัวออกไป นภดาราหันไปตอบนภาจรี
“ที่หลานไม่ได้ชวนคุณอาหญิง ก็เพราะหลานทราบอยู่แล้ว ว่าคุณอาหญิงไม่ชอบลูกพเยีย” นภาจรีเชิดใส่ ไม่ปฏิเสธ “ในเมื่อไม่ถูกชะตากันก็ต่างคนต่างอยู่ ห่างๆ กันเสีย ไม่ดีกว่าหรือคะ”
“แต่อาบอกตรงๆ ว่าอาไม่ไว้ใจแม่พเยีย เธอเองก็ไม่แข็งแรงนะ ดารา แล้วถ้าพเยียทำอะไรหนูกอหญ้าอีก…”
นภดารายิ้ม พูดอย่างเชื่อมั่น
“คุณอาหญิงไม่ต้องห่วงเลยค่ะ หลังจากที่แกรับปากกับหลาน พเยียก็ไม่เคยพูดจา หรือทำอะไรไม่ดีกับกอหญ้าเลย แกพยายามจะเป็นเพื่อนที่ดีของกอหญ้า จริงๆ แล้วพเยียเป็นต้นคิดชวนกอหญ้าไปทะเลเสียด้วยซ้ำ”
นภาจรีอึ้งไป “งั้นหรือ”
“ค่ะ ก่อนหน้านี้ ที่พเยียทำตัวไม่ดี เพราะอิจฉา กลัวคนไม่รัก กลัวถูกทอดทิ้งต่างๆ นานา แต่พอเราพิสูจน์ให้แกเห็นว่า เรารักแกอย่างไม่มีเงื่อนไข พเยียก็หมดปัญหา ตอนนี้พเยียกับหนูกอหญ้าเค้าเป็นเพื่อนกันแล้วค่ะ”
นภดาราเล่าอวดๆ ด้วยความเชื่อเต็มเปี่ยมว่าพเยียกลับตัวแล้ว ส่วนนภาจรีนิ่งคิด
คืนนั้นนภาจรีอยู่ในห้องกับแม่ชื่น โดยนภาจรีนั่งลูบขนปุยฝ้ายใช้ความคิด แม่ชื่นถอนใจ บ่นงึมงำ
“คุณดาราหนอ คุณดารา ความรักมันทำให้ตาบอดจริงๆ”
นภาจรีคิดๆ “ที่นังพเยียทำแบบนี้ มันต้องมีแผนอะไรซักอย่าง”
“นั่นสิคะ นึกๆ แล้วก็เป็นห่วงหนูกอหญ้า ยิ่งไปไกลหูไกลตาด้วย” แม่ชื่นตัดสินใจ “คุณหญิงคะ ดิฉันว่าเราตามไปด้วยดีกว่า”
“ไปได้ยังไงล่ะ ดาราเค้าพูดกันท่าซะขนาดนั้น ไม่ให้ฉันไปยุ่งกับนังพเยีย”
แม่ชื่นฮึดขึ้นมา “งั้นดิฉันไปเอง ดิฉันจะอ้างว่าตามไปดูแลคุณดารา”
นภาจรีหันไปดุแม่ชื่น ด้วยความรักและเป็นห่วง
“แม่ชื่น แม่ชื่นอายุเท่าไหร่แล้ว จะไปทันอะไรนังเด็กนรกนั่น ขืนไป ฉันก็ต้องมานั่งเป็นห่วงแม่ชื่นอีก”
“แต่คุณหญิงขา ถ้าหากหนูกอหญ้าเป็นอะไรไป” หญิงชราลดเสียงลง “แล้วถ้าหากเรื่องที่เราสงสัยเป็นความจริง นั่นน่ะหลานคุณหญิงทั้งคนนะคะ”
นภาจรีฮึดฮัดขัดใจ สับสน ไม่รู้จะทำยังไงดี
แผนรักแผนร้ายตอนที่ 6 (ต่อ)
เช้าวันต่อมา ที่หน้าตึกใหญ่ของวังศิวาลัย มีรถตู้จอดรออยู่ เห็นศรีกับวินัยกำลังขนกระเป๋าใส่รถ
นภดารา กอหญ้า พเยีย แต่งตัวลำลองเดินออกมา นภดารากับพเยียดูเบิกบานแจ่มใส โดยเฉพาะนภดาราที่ดูมีความสุขมาก กอหญ้าแจ่มใส แต่ก็ยังระวังตัว
พเยียดึงแขนนภดารา “ขึ้นรถเลยค่ะ คุณแม่ พเยียอยากไปเล่นน้ำเร็วๆ”
นภดาราขำ “ใจเย็นๆ จ้ะ ไม่ต้องรีบ ทะเลไม่หนีไปไหนหรอก”
“แหม พเยียเป็นเด็กดอย ไปค่อยเคยไปทะเลนี่คะ ก็ต้องตื่นเต้นหน่อยซีจริงไหม กอหญ้า”
พเยียแกล้งทำน้อยใจท่าทีน่าขำ กอหญ้ายิ้มรับอย่างสำรวม นภดาราหัวเราะออกมา
“จ้ะๆๆ แม่ลืมไป” นภดารานึกขึ้นมาได้ “เออ แล้วแม่เด็กดอยสองคนนี้เนี่ย ว่ายน้ำกันเป็นหรือเปล่าจ๊ะ”
กอหญ้ากับพเยียมองหน้ากัน พเยียคิดๆ แล้วพยักหน้าตอบชัดเจน
“เป็นค่ะ”
กอหญ้าไม่แน่ใจ “ฉันว่ายน้ำเป็นด้วยเหรอคะ คุณพเยีย”
พเยียชะงักนิดเดียว แล้วตอบอย่างมั่นใจ “เป็น เธอกับฉันเคยเรียนว่ายน้ำด้วยกันตอนเด็กๆ เธอว่ายน้ำเก่งจะตาย เก่งกว่าฉันซะอีก”
กอหญ้าพยักหน้า หันไปตอบนภดาราบอกอย่างน่ารัก “งั้น หนูก็ว่ายน้ำเป็นค่ะ”
ทั้งสามหัวเราะกัน รถตู้ขับออกจากวังศิวาลัย
ภายในห้องประชุมบริษัท อรรถนั่งอยู่หัวโต๊ะ มีอิศรนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม และผู้บริหารร่วมอยู่ 2-3 คน สุบรรณกำลังเสนอโครงงานอย่างคล่องแคล่ว
“ในปีนี้ เราจะลงมือก่อสร้าง เซอร์วิส คอนโดมิเนียม โดยมีจุดขายเป็นที่พักผ่อน เป็นบ้านที่สองของครอบครัว ที่ต้องการความเป็นส่วนตัวแบบบ้าน แต่บริการสะดวกสบายแบบโรงแรม”
ระหว่างที่สุบรรณพูดอยู่ เห็นอิศรนั่งไม่ติด ไม่ได้สนใจฟัง เพราะมัวแต่กังวลใจเรื่องกอหญ้า
อรรถเหลือบมองอย่างไม่ค่อยพอใจ
“เจ้าอิศร”
อิศรเพิ่งรู้ตัว “ครับ”
“มัวใจลอยคิดอะไรอยู่ งานการไม่สนใจ”
อิศรไม่สนใจ “โทษทีครับ เผอิญมีเรื่องอื่นให้คิด” หันมาทางสุบรรณ “ว่าต่อไปสิ สุบรรณ ถึงไหนแล้ว”
“เรามุ่งเจาะกลุ่มลูกค้าเอบวก ในจุดท่องเที่ยวคือ เชียงใหม่ สมุย ภูเก็ต และหัวหิน...” สุบรรณรายงานต่อที่ประชุม
อิศรตาวาววับ พูดเสียงดัง “ที่หัวหิน!? จริงสิ เรามีโครงการที่หัวหิน”
“ก็ใช่นะสิ เอ๊ะ นี่แกเป็นบ้าไปแล้วหรือยังไง” อรรถพูดอย่างขวางๆ
อิศรเก็บของ ลุก ตั้งท่าจะไป พูดกับทุกคน
“ผมขอตัวก่อนครับ สุบรรณ ไปกับฉัน”
อรรถลุกขึ้นบ้าง โมโหกรุ่นๆ “แกจะไปไหน”
“ไปหัวหินครับ พ่อว่าผมไม่สนใจการงาน ผมก็สนใจแล้วไง” อิศรพูดกับที่ประชุม “ขอโทษนะครับ ทุกคน…ไป สุบรรณ”
ครู่หนึ่ง อิศรเดินออกไป สุบรรณรีบเก็บของ เดินตาม อรรถได้แต่โมโห
เช้านั้นอิศรเดินตัวปลิวท่าทีร่าเริงมาตามทางเดินในออฟฟิศ สุบรรณวิ่งตามไปขวาง กางมือออกเหมือนจราจรให้เจ้านายหยุด
“หยุดก่อนครับ” อิศรมอง ขัดใจ “ผมต้องการคำอธิบาย”
“วันนี้กอหญ้าเค้าไปหัวหินกับคุณอาดาราฉันเป็นห่วงเค้า เลยว่าจะตามไปดู”
สุบรรณบ่น “นึกว่าอะไร ที่แท้ก็เอางานบังหน้า”
“ใครว่า เค้าเรียก ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวต่างหาก” อิศรว่า
“แปลว่าที่ไปหัวหินเนี่ย คุณอิศรจะไปทำงาน”
“ทำสิ” อิศรยิ้มขี้โกง “แต่ขอไปหากอหญ้าก่อนนะ”
อิศรเดินไป สุบรรณตามไปอย่างอ่อนใจ
ตอนสายๆ รถตู้ของวังศิวาลัยวิ่งเข้ามาจอดในบ้านตากอากาศหลังใหญ่ สวยงาม นายบุญกับสร้อยลูกสาว คนดูแลบ้านที่เป็นพ่อลูกกัน ออกมาต้อนรับ ท่าทางตื่นเต้นดีใจสุดๆ
วินัยลงมาเปิดประตูให้ นภดารา กอหญ้า พเยีย ลงจากรถตู้ กอหญ้าและพเยียใส่แว่นกันแดดอันใหญ่ บุญกับสร้อยรีบเข้ามาไหว้
“สวัสดีค่ะ คุณดารา” สร้อยไหว้อย่างนอบน้อม
บุญบอกอย่างดีใจ “คุณดาราไม่ได้มาบ้านหัวหินเป็นสิบปีแล้ว ผมดีใจจังเลยครับ”
“เพิ่งจะแข็งแรงดีน่ะจ๊ะ” นภดารายิ้มรับ แล้วเห็นสร้อยกับบุญมองเด็กสาวทั้งสอง “นี่พเยียลูกสาวของฉันจ้ะ”
สร้อยกับบุญมองตาโต
“เคยแต่ได้ยินพวกที่วังเล่าให้ฟัง…คุณหนูสวยจังเลยค่ะ” สร้อยยิ้ม
“ขอบใจจ้ะ” พเยียยิ้ม
“แล้วนี่ก็ หนูกอหญ้า เพื่อนของพเยีย”
กอหญ้ายกมือไหว้ตามนิสัยนอบน้อม “สวัสดีค่ะ”
สร้อยกับบุญรับไหว้แทบไม่ทัน
“อุ๊ย ไม่ต้องไหว้ค่ะ” สร้อยบอก
“เชิญคุณดารากับคุณหนูข้างในดีกว่าครับ สร้อยมันจัดห้องเอาไว้ให้แล้ว”
“ไปจ้ะ เด็กๆ”
“เดี๋ยวก่อนค่ะ พเยียขอถ่ายรูปก่อน มาค่ะคุณแม่ กอหญ้า มาถ่ายรูปกัน เอ้า 1..2..ยิ้ม”
พเยียใช้มือถือถ่ายรูปตัวเองกับนภดาราและกอหญ้าอย่างสนุกสนาน แล้วถ่ายรูปต่อๆ ไป เห็นตัวบ้าน รั้วบ้าน ประตู และลักษณะของบ้านชัดเจน
กอหญ้าอยู่ในห้องพักตัวเองกำลังรื้อของจากระเป๋า พเยียโผล่หน้าเข้ามา ยิ้มแย้ม
“กอหญ้า เดี๋ยวเราไปเล่นน้ำกัน”
“แต่ฉันไม่มีชุดว่ายน้ำนะคะ”
“ไม่ต้องหรอก เล่นน้ำทะเล ใส่กางเกงขาสั้นกับเสื้อยืดก็พอ นะ ไปด้วยกัน”
“ค่ะ” กอหญ้ารับปาก
พเยียยิ้มแย้ม ชอบใจ “ดี เธอเปลี่ยนชุดเลยนะ พอกินข้าวเสร็จแล้วเราไปลงทะเลกัน รับรองสนุกแน่”
พเยียเดินตัวปลิวออกไป กอหญ้ามองตาม ชักจะเชื่อว่าพเยียดีกับตนจริงๆ
เวลาเดียวกันที่ร้านก๋วยเตี๋ยวในตลาดหัวหิน สภาพเป็นห้องแถวริมถนน แต่สะอาดและดูดี นพดลแต่งตัวตามสไตล์ ใส่ต่างหู นั่งอยู่ที่โต๊ะ และกำลังเปิดดูรูปที่พเยียส่งมาให้ทีละรูป ทีละรูป
ในนั้นมีรูปกอหญ้าด้วย 2-3 รูป แต่มีแว่นบังหน้า และอยู่ในท่าที่เห็นหน้าไม่ชัด นพดลเลยยังจำไม่ได้ โทรศัพท์พเยียเข้ามา นพดลรีบกดรับ
“ว่าไงจ๊ะ”
พเยียอยู่ในห้องพักของตัวเอง
“พี่เห็นรูปแล้วใช่ไหม”
“เห็นแล้ว คนไหน ที่พเยียจะให้พี่จัดการ”
นพดลฟังพเยียพูด ระหว่างนั้น แตงเดินเข้าร้าน มานั่งลงที่โต๊ะติดกับนพดล หันหลังให้กันพอดีพนักงานเข้ามา แตงสั่ง
“ขอโค้กจ้ะ แล้วก็...”
“พี่เขียนสั่งเลยค่ะ เดี๋ยวหนูมาเอา”
พนักงานเสิร์ฟเดินไป
นพดลคว้าปากกากับเศษกระดาษที่ทางร้านเสียบไว้ให้สั่งอาหารมาจด เขียนตามที่พเยียอธิบายแผน
“ตกลงให้พี่ไปที่ชายหาดหน้าบ้านนะ” นพดลจดไป พูดทวนไป “แยกไฟแดง แล้วเลี้ยวซ้ายไปทางชายหาด” หมึกดันหมด นพดลหงุดหงิด “เดี๋ยวๆ หยุดก่อน รอแป๊บนึง” นพดลหันไปด้านหลัง แตงกำลังจะหยิบปากกา แต่นพดลฉกปากกามาก่อน แตงชะงัก
“อ้าว”
“ยืมก่อน” นพดลไปพูดกับพเยีย “ต่อๆ ยังไงนะ” จดตามที่พเยียบอกอย่างละเอียด “เข้ามาสุดซอย ติดชายหาดบ้านเลขที่ 111 รั้วสีขาว…โอเค”
นพดลวางสาย หันมาวางปากกาคืนให้แตงที่นั่งมองตาเขียวอยู่
“ขอบใจ น้อง”
นพดลเดินออกไป แตงค้อนขวับ ด่าขมุบขมิบตามหลัง
“ใครน้องแก ไอ้บ้า” หยิบปากกากับกระดาษมา แล้วหยิบโทรศัพท์มากดโทร.ออก
“ฮัลโหล คุณณุเหรอ”
ขณะที่ชิษณุพงษ์กำลังจะจอดรถเข้าที่จอดข้างทาง เป็นที่ว่างแคบๆ ระหว่างรถสองคัน คันหน้าเป็นรถกระบะโทรมๆ ไม่มีป้ายทะเบียนของนพดล แตงโทร.มาพอดี ชิษณุพงษ์ละมือจากพวงมาลัยมารับ ปล่อยให้รถทำการจอดตัวเองด้วยระบบอัจฉริยะ
“มีอะไรแตง”
“คุณณุจะกินอะไรคะ แตงจะสั่งให้ เค้ามีเนื้อสด เนื้อเปื่อย เนื้อตุ๋น ลูกชิ้น เครื่องใน”
“ต้องถามตอนนี้ด้วยเหรอ ฉันกำลังจอดรถอยู่นะ” ชิษณุพงษ์หงุดหงิด
“แหม รถมันจอดเองได้ ทำไมต้องดุด้วย งั้นแตงสั่งเองเลยนะ”
แตงวางสาย ชิษณุพงษ์ส่ายหัว รถจอดตัวเองเสร็จ นพดลก็เดินมาขับรถของตัวเองออกไป ชิษณุพงษ์บ่นขำๆ
“โธ่เอ๊ย มาเร็วกว่านี้หน่อยก็ไม่ได้”
ครู่ต่อมาชิษณุพงษ์กินก๋วยเตี๋ยว แตงนั่งมองยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
“มองอะไร”
“อร่อยไหม”
“ฮื่อ” ชิษณุพงษ์กินต่อ
แตงชวนคุย “คุณณุ บ้านที่เราจะไปอยู่อีกไกลไหมอ่ะ”
“ไม่หรอก ออกจากตัวเมืองไปสิบนาทีก็ถึง...ถ้าไม่หลงนะ”
แตงเซ็ง “อ้าว”
“ก็ฉันไม่ได้มาตั้งนานแล้ว เจ้าพ่อเคยพามาตอนเด็กๆ หนสองหนเอง” เห็นแตงหน้ามุ่ย “ไม่ต้องห่วงน่ะ” ตบกระเป๋า “คุณย่าหญิงจดที่อยู่มาให้แล้ว”
ชิษณุพงษ์ส่งกระดาษให้แตงดู แตงดูแล้วขมวดคิ้ว
“เลขที่ 111 บ้านอยู่สุดซอย ติดชายหาด รั้วสีขาว…”
แตงแปลกใจนิดๆ เพราะได้ยินที่อยู่นี้ตอนนพดลทวนคำขณะเขียนลงกระดาษ แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา
ส่วนที่บ้านชายทะเล พเยียกับกอหญ้าใส่กางเกงขาสั้นเสื้อยืด พเยียสะพายกระเป๋าชายหาดเตรียมพร้อม ยืนมองกอหญ้าชวนนภดาราลงทะเลอย่างไม่ค่อยชอบใจ
“ไม่เอาหรอกจ้ะ กอหญ้า ฉันไม่ชอบเล่นน้ำทะเล”
“ไปนั่งเล่นเดินเล่นที่ชายหาดก็ยังดีค่ะ นะคะ” กอหญ้าบอก
“อากาศมันร้อน คุณแม่ยังไม่แข็งแรง เธอจะชวนไปเดินให้ทรมานทำไม เราไปกันสองคนนั่นแหละ ดีแล้ว” พเยียบอก
“คุณอาดาราก็ต้องอยู่บ้านคนเดียวซีคะ เพราะลุงบุญกับสร้อยออกไปจ่ายกับข้าว”
พเยียเดินไปทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟา แกล้งทำหน้างอนๆ ผิดหวัง
“อย่างงั้นก็ไม่ต้องไป นั่งอยู่บ้านกันให้หมด”
นภดาราเห็นพเยียงอน รีบบอก
“หนูกอหญ้าไปเถอะจ้ะ ไม่ต้องห่วงฉัน เดี๋ยวบุญกับสร้อยก็กลับมา”
พอดีมีเสียงรถยนต์แล่นดังใกล้เข้ามา
“นั่นแน่ะ สงสัยคงกลับมากันแล้ว”
นภดาราเดินนำไปที่หน้าบ้าน กอหญ้ากับพเยียลุกเดินตาม เห็นชิษณุพงษ์เดินมาตรงระเบียง มีแตงเดินตามหลัง
นภดารากับกอหญ้าแปลกใจ กึ่งยินดี แต่พเยียหน้าหงิก
กอหญ้ายิ้มทัก “คุณชิษณุพงษ์”
“กอหญ้า” ชิษณุพงษ์ยกมือไหว้นภดารา “สวัสดีครับ คุณอาดารา แตงนี่คุณอาดารา นี่คุณพเยีย ลูกสาวคุณอา แล้วนี่ก็ กอหญ้า”
แตงไหว้ พลางอธิบายแนะนำตัวเอง “แตงเป็นหลานลุงเติมจ้ะ เจ้าให้แตงตามมาดูแลคุณณุ”
“สวัสดีจ้ะ นี่มายังไงกันจ๊ะ”
ชิษณุพงษ์บอกยิ้มๆ “คุณย่าหญิงนภาจรีบอกผมว่า กอหญ้ามาเที่ยวหัวหินกับคุณอา ให้ผมตามมาช่วยดูแล”
“โธ่ ไม่เห็นจำเป็นเลย” นภดาราบอก
“นั่นสิ” พเยียพึมพำกับตัวเอง “แส่ไม่เข้าเรื่อง”
“ชิษณุมาพอดีเลย” นภดาราบอกกับพเยีย “พเยียได้เพื่อนไปเล่นน้ำทะเลอีกคนแล้วลูก”
พเยียหน้างอ ไม่ต้องการให้ชิษณุพงษ์ไปทำเสียแผน
“ไม่เอาค่ะ พเยียจะไปกับกอหญ้าสองคน” คว้ามือกอหญ้า “ไป กอหญ้า”
พเยียลากกอหญ้าไป
“ฉันไปด้วย กอหญ้า” ชิษณุพงษ์สั่ง “แตง อยู่รอที่บ้าน เป็นเพื่อนคุณอาดารา”
แตงเหวอ “เอ่อ ค่ะ”
ชิษณุพงษ์ตามพเยียกับกอหญ้าไป นภดาราหันมาบอกกับแตง
“ลูกสาวฉันเขาเป็นคนเอาแต่ใจซักหน่อย อย่าถือสาเลยนะจ๊ะ”
“คุณณุก็พอกันค่ะ คุณดารา ยิ่งห้าม ยิ่งจะทำ พอกัน”
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น นภดาราหันไปมองด้วยท่าทีแปลกใจ
ด้านสุบรรณนั่งประจำที่คนขับ จอดรถอยู่ข้างทาง หน้าหงิกงอ ส่วนอิศรกำลังคุยโทรศัพท์
“ฮัลโหล .. คุณอาดารา ผมอิศรนะครับ ผมกำลังจะไปหากอหญ้าที่บ้านคุณอา แต่ว่า เอ่อ... ผมคิดว่าผมกำลังหลงทาง”
ขณะเดียวกันที่บ้านพัก นภดาราอธิบายทางกับอิศร โดยมีแตงนั่งอยู่ใกล้ๆ ได้ยินไปด้วย
“อิศรต้องเลี้ยวแยกก่อนหน้านั้นจ้ะ แล้วตรงเข้าซอยมา บ้านอาอยู่สุดถนน ที่จะไปชายหาด รั้วสีขาวๆ จ้ะๆ ไม่เป็นไรเลยจ้ะ อิศรมาก็ดีแล้ว กอหญ้าคงจะดีใจ”
อิศรวางสาย แล้วหันมาจะพูดกับสุบรรณ
“สุบรรณ เดี๋ยวแก…”
สุบรรณพูดสวนเร็ว “ไปส่งคุณอิศรที่บ้านนั้น แล้วเลยเข้าไปที่โครงการ ตอนเย็นๆ ค่อยกลับมารับคุณอิศร”
อิศรยิ้มชม “โอ้โห ฉลาด”
“มาก” สุบรรณอวด
ด้านนภดารา กำลังสั่งสร้อย ที่นั่งพับเพียบอยู่กับพื้น แตงนั่งอยู่ห่างออกไป
“เดี๋ยวสร้อยไปซื้อพวกของสด ของทะเลมาเพิ่มอีกหน่อยดีกว่า ฉันจะชวนทุกคนทานข้าวเย็นด้วยกันที่นี่”
“จะทานกันซักกี่คนคะ คุณดารา สร้อยจะได้กะอาหารถูก” สร้อยถาม
นภดาราไล่ชื่อ “ฉัน พเยีย กอหญ้า ชิษณุ หนูแตง แล้วก็มีคุณอิศร เท่านี้แหละจ้ะ”
แตงแย้งขึ้นมา “ไม่ใช่มีอีกคนเหรอคะ”
นภดารางง “อีกคน? หนูหมายถึงใครจ๊ะ”
“ผู้ชายตัวสูงๆ ขาวๆ น่ะค่ะ แตงไม่รู้จักหรอก แต่เขาก็กำลังจะมาที่บ้านคุณเหมือนกัน” แตงบอก
“ผู้ชายสูงๆ ขาวๆ ใครกัน”
นพดลมาถึงหน้าบ้าน เห็นมีถนนต่อลงไปที่ชายหาด นพดลมองบ้านอย่างทึ่งๆ
“มีบ้านตากกอากาศด้วย ไฮโซเหลือเกินนะ”
นพดลมองออกไปที่ชายหาด เห็นพเยีย กอหญ้า และชิษณุพงษ์ หันหลัง อยู่ลิบๆ นพดลนิ่วหน้า ที่เห็นชิษณุพงษ์อยู่ข้างๆ กอหญ้า
“อ้าว มีคนมาคุม แล้วจะจัดการยังไงวะ นังพเยีย”
ฝ่ายชิษณุพงษ์เดินนำกอหญ้าลงไปที่ชายหาดอย่างเริงร่า พเยียเดินอยู่ข้างๆ สีหน้ากังวล คิดหาทางออกอยู่
“มา กอหญ้า เรามาว่ายน้ำแข่งกัน”
กอหญ้าหัวเราะ เมื่อโดนชิษณุพงษ์ฉุดลงน้ำไป จนลึกเลยเข่า ทันใดนั้น พเยียก็ร้องเสียงดังขึ้นมา
“อย่า! กอหญ้า อย่าไป อันตราย”
ทั้งสองตกใจ หันมามองพเยีย
“ทำไมคะ คุณพเยีย”
“เพราะเธอว่ายน้ำไม่เป็นน่ะซี”
กอหญ้างง “อ้าว ไหนคุณว่า…”
“ฉันโกหกน่ะ ฉันกลัวคุณแม่ไม่ยอมให้เธอมากับฉัน ฉันเลยหลอกว่าเธอว่ายน้ำเป็น” พเยียยิ้มบางๆ “อย่าโกรธฉันนะ”
กอหญ้ายิ้ม เข้าใจพเยีย “ไม่หรอกค่ะ ฉันเข้าใจ ขอบคุณนะคะที่เตือน” กอหญ้าหันมาทางชิษณุพงษ์ “งั้นคุณไปว่ายน้ำแข่งกับคุณพเยียก็แล้วกัน ฉันนั่งเล่นที่ชายหาดคนเดียวได้”
พเยียยิ้ม สาสมใจ แต่ชิษณุพงษ์กลับส่ายหน้า
“ไม่เอา เธอไม่ว่ายฉันก็ไม่ว่าย ฉันจะนั่งเล่นเป็นเพื่อนเธออยู่ยี่แหละ”
พเยียแอบถอนใจ ผิดแผนอีก
นภดาราเดินออกมา เห็นแตงยืนมอง ชะเง้อดูไปทางชายหาด นภดาราจึงเดินเข้ามาหา
“อยากไปเล่นน้ำกับเขาใช่ไหม หนูแตง” แตงหันกลับมา “อยากไปก็ไปเถอะ ไม่ต้องห่วงฉัน”
“เปล่าค่ะ เปล่า แตงอยู่ที่นี่ได้ค่ะ ไม่เป็นไร”
“เห็นหนูยืนชะเง้อชะแง้ นึกว่าอยากไปเล่นน้ำทะเลซะอีก”
“แตงมายืนดูคนน่ะค่ะ” แตงชี้ให้นภดาราดู “คนนั้นไงคะ ที่แตงได้ยินว่าเค้าจะมาบ้านคุณ”
นภดารา เห็นนพดลยืนอยู่มุมหนึ่งที่ชายหาดไกลลิบตา
“แปลกนะคะ เค้ามาแล้วทำไมไปยืนอยู่ชายหาด ไม่มาที่บ้าน”
“เข้าใจผิดหรือเปล่าจ๊ะ ฉันไม่รู้จักคนหน้าตาท่าทางแบบนั้นมาก่อนเลย เค้าจะมาบ้านฉันได้ยังไง” พเยียรีบแก้
นพดลยืนรออยู่ด้วยความกระวนกระวาย มีเสียงเมสเสจเข้า นพดลรีบเอาโทรศัพท์มาเปิดดู เป็นข้อความจากพเยีย นพดลอ่าน
“จะหาทางกำจัดผู้ชายให้ พี่รอจังหวะที่มันอยู่คนเดียว แล้วเอาตัวมันไปจัดการซะ”
กอหญ้าเดินเล่นเก็บเปลือกหอย หยอกล้ออยู่กับชิษณุพงษ์ที่ชายหาด ส่วนพเยียนอนเล่นอยู่บนห่วงยางขนาดใหญ่ในทะเล ห่างออกไป
พเยียมองไปที่ชิษณุพงษ์กับกอหญ้า ยิ้มร้าย แล้วร้องกรี๊ดขึ้นมา
“ว้าย…..”
กอหญ้ากับชิษณุพงษ์ตกใจ หันไปดู เห็นร่างของพเยียหล่นผลุบจากห่วงยาง ตกลงไปในทะเลแล้วกระเสือกกระสนเหมือนคนจะจมน้ำ
“คุณพเยีย” กอหญ้าตกใจ
พเยียผลุบๆ โผล่ๆ ตะโกนร้อง
“ช่วยด้วย ช่วยด้วย”
ร่างของพเยียจมหายไปอีก กอหญ้าตกใจ
“คุณณุ ไปช่วยคุณพเยียเร็วเข้าค่ะ”
ชิษณุพงษ์วิ่งลงทะเล แล้วว่ายไปหาพเยียทันที กอหญ้ายืนมองอยู่บนฝั่งด้วยใจระทึก
“คุณพเยีย อย่าเป็นอะไรนะ”
ที่กลางทะเล ชิษณุพงษ์ว่ายน้ำสุดกำลัง แต่เหมือนร่างของพเยียที่กระเสือกกระสนอยู่ กลับลอยไกลออกไปทุกที
“ช่วยด้วย ช่วย”
ร่างพเยียผลุบหายไปใต้น้ำ ชิษณุพงษ์ตกใจ ดำผุดดำว่าย หาพเยีย
นพดลเดินเข้ามาแอบที่โขดหินใกล้ๆ ขยับมีดในมือเตรียมพร้อม ตาจับจ้องอยู่ที่กอหญ้าเขม็ง
กอหญ้ายืนชะเง้อมองไปในทะเล ลุ้นด้วยความเป็นห่วงพเยียและชิษณุพงษ์ ไม่ได้สนใจสิ่งรอบตัว นพดลขยับจะออกจากโขดหินที่ซ่อน แล้วกลับชะงัก เมื่อมีคนย่องมาจากด้านหลังของกอหญ้า แล้วใช้มือแข็งแรงสองข้างเอื้อมมาปิดตา
กอหญ้าตกใจ ร้อง “ว้าย”
ที่แท้เจ้าของมือนั้นคืออิศร ที่ยืนยิ้มขี้โกงอยู่ พร้อมดัดเสียง
“เงียบนะ อย่าร้อง แล้วไปกับฉัน”
กอหญ้าจำเสียงได้ เอาศอกกระทุ้งอิศรอย่างแรง
“นี่แน่”
อิศรเจ็บ รีบปล่อยมือ ร้องโอดโอย
“โอ้ย เจ็บนะ เล่นอะไรของเธอเนี่ย”
“คุณนั่นแหละ” กอหญ้าต่อว่า “คนจะเป็นจะตาย ยังจะเล่นอะไรไม่เข้าท่า”
“ใคร ใครเป็นอะไร” อิศรแปลกใจ
“คุณพเยียจมน้ำค่ะ คุณณุตามลงไปช่วย” กอหญ้ากังวล “ป่านนี้ยังไม่ขึ้นมาเลย”
กอหญ้ามองไปในทะเล แล้วเห็นเงาตะคุ่มๆ แล้วค่อยๆ ชัดขึ้น ที่แท้คือร่างของชิษณุพงษ์โผล่จากน้ำ อุ้มพเยียที่ตัวอ่อนปวกเปียกเอาไว้ในอ้อมแขน เดินขึ้นมาจากทะเล มาดชิษณุพงษ์สุดเท่ ดูเป็นฮีโร่มากๆ
กอหญ้ายิ้มดีใจสุดๆ ที่ทุกคนปลอดภัย วิ่งถลาลงน้ำไปหาอย่างลืมตัว
“คุณณุ...เป็นยังไงบ้างคะ ปลอดภัยดีหรือเปล่า”
อิศรมองตาม เห็นกอหญ้าห่วงใยพเยียกับชิษณุพงษ์มาก ไม่สนใจตัวเองเลย ก็ชักน้อยใจนิดๆ
ส่วนที่หลังโขดหิน นพดลเก็บมีดแล้วเดินหลบออกไปอย่างเซ็งๆ
ติดตาม "แผนรักแผนร้าย"ตอนที่ 7