แผนรักแผนร้าย ตอนที่ 4
เวลาเดียวกันชิษณุพงษ์เดินเข้ามาภายในวังศิวาลัย โดยมีศรีเดินเข้ามารับตรงห้องโถงรับแขก
“ผมมาพบคุณหญิงนภาจรีครับ”
“คุณหญิงรอคุณอยู่ที่ห้องสมุดค่ะ เชิญค่ะ”
ชิษณุพงษ์พยักหน้ารับ แล้วเดินไปทางห้องสมุด
นภาจรีนั่งเฉิดฉายท่วงทีสง่าอยู่ที่ชุดรับแขก ชิษณุพงษ์นั่งเรียบร้อยอยู่ตรงหน้า ศรีเสิร์ฟน้ำ
“เห็นเจ้าพ่อบอกว่าคุณย่าหญิงอยากพบผม”
นภาจรียกมือห้าม รอจนศรีเสิร์ฟน้ำเสร็จ แล้วสั่ง
“ออกไปแล้วปิดประตูห้องด้วยนะ ศรี แล้วถ้าฉันไม่เรียก อย่าให้ใครเข้ามากวน ฉันกับหลานจะคุยธุระสำคัญ”
“ค่ะ คุณหญิง”
ศรีค้อมตัวเดินออกไปจากห้อง ปิดประตู
ชิษณุพงษ์แปลกใจ “เรื่องสำคัญอะไรหรือครับ”
นภาจรีถามเรื่องคาใจ “เห็นแม่ชื่นเค้าเล่าว่า ชิษณุมีปากเสียงกับแม่พเยีย”
ชิษณุพงษ์ตอบตรงๆ “อ้อ .. ไม่เชิงหรอกครับ คือผมมีเรื่องอยากคุยกับเค้าแต่เค้าไม่อยากคุยกับผม”
นภาจรีถามต่อ “เรื่องเด็กสาวที่ชื่อกอหญ้า”
ชิษณุพงษ์มองนภาจรีอย่างแปลกใจ แต่ก็ตอบ “ครับ ผมกำลังตามหาเค้าอยู่ กอหญ้าเป็นเพื่อนรักของผม เป็นเพื่อนของพเยียด้วย เค้าลงมากรุงเทพฯ พร้อมกับพเยีย แล้วก็หายตัวไป .. คุณย่าหญิงรู้เรื่องกอหญ้าด้วยเหรอครับ”
“ตำรวจเคยมาสอบปากคำพเยีย เค้าบอกว่าเด็กคนนั้นขอลงทำธุระที่ข้างทาง ก่อนจะถึงกรุงเทพฯ” นภาจรีบอก
ชิษณุพงษ์แย้ง “เป็นไปไม่ได้ครับ กอหญ้าโตมาในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เค้าไม่รู้จักใครที่ไหนทั้งนั้น แล้วพเยียก็บอกผมอีกอย่าง เค้าบอกว่าหลังจากรถคว่ำเค้าสลบไป ตื่นขึ้นมากอหญ้าก็หายไป ถ้าพเยียไม่โกหกตำรวจ ก็ต้องโกหกผม”
นภาจรีพยักหน้า ยิ้มน้อยๆ เหมือนคิดแผนอะไรได้ แล้วเอื้อมมือไปหยิบกระดิ่งทองเหลืองอันเล็กๆ ใช้สั่นเรียกคนรับใช้ ขึ้นสั่นเบาๆ
ครู่เดียวเห็นศรีโผล่หน้าเข้ามา
“คะ คุณหญิง”
“ไปเรียนคุณดารา ว่าฉันจะลงไปดื่มน้ำชาตอนบ่ายกับเค้า อยากจะชิมของว่างฝีมือหลานสาวซักหน่อย”
“ค่ะ” ศรียอบตัว แล้วออกไป
นภาจรีพูดกับชิษณุพงษ์เป็นปริศนา “อยู่ทานของว่างกับย่านะ มีคนคนนึง ที่ย่าอยากให้ชิษณุเจอ”
นภาจรียิ้มอย่างสาสมใจ ชิษณุพงษ์มองนภาจรีอย่างสงสัย ประหลาดใจ
ยามบ่ายที่โต๊ะน้ำชาในศาลากลางสวนของวังศิวาลัย ถูกจัดอย่างสวยงาม ถัดไปข้างๆ มีโต๊ะเล็กๆ ที่มีขนมจีบไทย 3 จานเรียงกันอยู่ กอหญ้า พเยีย และสุบรรณ ยืนอยู่หลังจานขนมจีบของตัวเอง
อาจารย์วรรณายืนตรวจ จานแรกของกอหญ้าสวยที่สุด ของสุบรรณเป็นขนมจีบลูกโต บูดเบี้ยว ของพเยียพอดูได้ แต่ไม่สวยนัก
อาจารย์วรรณาพูดให้กำลังใจ “เริ่มหัดใหม่ๆก็อย่างนี้ล่ะค่ะ เอาไว้คราวหน้า...”
พเยียสวนคำออกมา “ไม่มีคราวหน้า ฉันไม่เรียนแล้ว” หันไปหากอหญ้า “แกจะได้ไม่ต้องมาเรียนเป็นเพื่อนฉันอีก”
วาจาและท่าที ทำเอาอาจารย์อึ้ง กอหญ้าก็อึ้ง ยังไม่ทันตอบอะไร นภดาราก็เดินเข้ามา พูดเสียงแจ๋วนำมาก่อนตัว
“เชิญทางนี้เลยค่ะ อาหญิง มาช่วยตัดสินหน่อยว่าของใครอร่อยที่สุด”
ทุกคนหันไปมอง เห็นนภดาราเดินนำนภาจรีเข้ามา กอหญ้ายิ้มรับ พเยียชักสีหน้าทันที
นภดาราพูดกับพเยีย “คุณยายหญิงมีแขกพิเศษมาช่วยชิมด้วยจ้ะ”
ชิษณุพงษ์เดินออกมาจากด้านหลังของนภาจรี พเยียและกอหญ้าต่างตกใจ อุทานเบาๆ
“แก” / “คุณ”
นภดารารีบบอก “ชิษณุพงษ์มาเยี่ยมคุณยายหญิง แม่เลยชวนมาทานของว่างด้วยกัน”
นภาจรีมองพเยีย ยิ้มเยาะ “หวังว่าพวกเธอคงจะไม่ว่าอะไรนะ “คนคุ้นเคยกัน” ทั้งนั้นนี่”
ชิษณุพงษ์ยิ้ม มองพเยียกับกอหญ้าสลับกันไปมาอย่างจับผิดทั้งสองหน้าตาไม่สบายใจ
โดยทีพเยียอึดอัดที่ชิษณุพงษ์มาใกล้ชิดกอหญ้า กลัวความลับแตก ส่วนกอหญ้าระแวง ไม่แน่ใจว่าชิษณุพงษ์มาดีหรือมาร้าย
สุบรรณมองหน้าชิษณุพงษ์ แอบพึมพำทวนชื่อ
“ชิษณุพงษ์”
สุบรรณครุ่นคิดนึกถึงเรื่องที่คุยกับอิศรเมื่อคืน
ตอนนั้นสุบรรณถามอย่างแปลกใจ
“คนชื่อชิษณุพงษ์เค้าคือใครครับ”
“เค้าเคยรู้จักกับกอหญ้าที่เชียงใหม่ แต่ตอนนั้นเค้าตาบอด เค้าเลยไม่รู้ว่ากอหญ้าหน้าตาเป็นยังไง กอหญ้าไปเจอเค้าในงานเลี้ยงที่วังศิวาลัย แล้วจากนั้นมา เค้าก็ตามกอหญ้าไม่เลิก”
สุบรรณซัก “แล้วคุณอิศรคิดว่าเค้าจะทำร้ายคุณกอหญ้าเหรอ”
“ไม่รู้ แต่ฉันไม่ไว้ใจ เอาเป็นว่าแกคอยระวังเอาไว้แล้วกัน อย่าให้เค้าเข้าใกล้ หรือมาพูดจาอะไรกับกอหญ้าเป็นอันขาด เข้าใจไหม”
สุบรรณนึกออก ได้สติ รีบขอตัว
“ผมขอตัวไปโทรศัพท์หน่อยนะครับ นึกได้ว่ามีธุระด่วน”
สุบรรณรีบลนลานออกไป
นภดารารินน้ำชาแจกทุกคน พเยียกับกอหญ้านั่งอยู่เงียบๆ
“ทำไมเงียบจังล่ะครับ หรือว่าไม่มีใครอยากคุยกับผม” ชิษณุพงษ์ทำลายความเงียบขึ้น
นภาจรีเสริม “นั้นสิ เคยเป็นเพื่อนกันมาก่อนแท้ๆ”
นภดารามองดูอาการของคนในโต๊ะ และอาการอมยิ้มของนภาจรี เริ่มจับได้ว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากลระหว่างเด็ก 3 คน
“เคยเป็นเพื่อนกัน? หมายความว่ายังไงจ๊ะ ชิษณุ”
ชิษณุพงษ์บอกเสียงเรียบ “ผม กอหญ้า พเยียเคยรู้จักกันมาก่อนที่เชียงใหม่” กอหญ้าหันขวับมองหน้าพเยีย สงสัย “เค้าสองคนเป็นเพื่อนกัน โตขึ้นมาด้วยกันที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า”
นภดาราหันมาถามพเยีย “จริงเหรอ ลูก”
“ไม่จริง! ฉันไม่เคยรู้จักกอหญ้ามาก่อน” พเยียพูดโต้เสียงดัง
“โกหก!” นภาจรีขึ้นเสียง
พเยียลุกพรวดขึ้น ทำโมโห “คุณแม่คะ ดูคุณยายหญิงหาเรื่องพเยียอีกแล้ว เค้าไม่ใช่เพื่อนหนู” หันมาทางกอหญ้าอย่างเอาเรื่อง “ฉันไม่รู้จักเธอ บอกใครๆ ไปซีว่าฉันไม่รู้จักเธอ”
บรรยากาศมาคุสุดๆ ทุกคนยืนขึ้น ทุกสายตาจับจ้องไปที่กอหญ้า เห็นกอหญ้าอึกอัก นภดาราช่วยไกล่เกลี่ย
“อาหญิงคะ เด็กสองคนนี้ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนหรอกค่ะ หลานเป็นคนแนะนำกอหญ้าให้รู้จักพเยียที่งานเลี้ยงวันก่อนนี่เอง” นภดาราพูดเป็นเชิงถามกอหญ้า “จริงไหม หนู”
กอหญ้าจำใจตอบ “ค่ะ”
ชิษณุพงษ์เถียง “ไม่จริง” มองหน้าพเยียกับกอหญ้า “พเยียกับกอหญ้าเป็นเพื่อนกัน คุณสองคนทำไมต้องแกล้งทำเป็นไม่รู้จักกัน” ชิษณุพงษ์เข้ามาจับกอหญ้าเขย่าๆ “เธอโกหก ทำไมต้องโกหก เธอสองคนมีความลับอะไรกันแน่ พูดออก มาสิ กอหญ้า พูดออกมา”
ชิษณุพงษ์โกรธจนลืมตัว เขย่าด้วยอารมณ์แรง จนกอหญ้าเจ็บแขนร้อง “โอ๊ย”
“หยุดนะ ชิษณุ หยุด ปล่อย”
นภดาราตกใจและโกรธ รีบดึงกอหญ้าออกจากชิษณุพงษ์ จังหวะนั้นสุบรรณวิ่งกลับมาพอดี รีบเข้ากันกอหญ้า
“นี่มันอะไรกันครับ”
นภดาราอธิบาย “มีเรื่องเข้าใจผิดกันนิดหน่อยน่ะจ๊ะ ฉันต้องขอโทษแทนหลานชายด้วย”
สุบรรณบอกกับนภดารา “บังเอิญมีเรื่องด่วนที่บ้านน่ะครับ คุณอิศรสั่งให้ผมพาคุณกอหญ้ากลับทันที” สุบรรณหันมาบอกกอหญ้า “กลับกันเถอะครับ”
กอหญ้าไหว้ลานภดารากับนภาจรี “หนูลาค่ะ”
สุบรรณรีบพากอหญ้าเดินก้มหน้างุดออกไป
นภดาราหันมองชิษณุพงษ์อย่างตำหนิ
“ทำไมทำกับเค้าอย่างนั้น ชิษณุ มันเรื่องอะไรกัน อาไม่เข้าใจเลย”
ชิษณุพงษ์มองหน้าพเยียที่ยืนกอดอกเชิดหน้าอยู่ ชิษณุพงษ์ขัดใจ
“ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันครับ คุณอาหญิง ไม่เข้าใจจริงๆ ผมขอโทษครับ”
ชิษณุพงษ์พูดจบก็ยกมือไหว้ลา แล้วผลุนผลันออกไป นภาจรีรีบตาม
“เดี๋ยว ชิษณุ รอย่าก่อน”
นภาจรีตามไป นภดารามองตามอย่างไม่เข้าใจ
พเยียมองตาม แววตาวาววับร้ายกาจ
อิศรรู้เรื่องที่เกิดขึ้นแล้วโมโห
“นี่มันบุกไปถึงวังศิวาลัยเลยเหรอ” ยิ่งคิดยิ่งเจ็บใจ “คิดไม่ถึงว่าคุณอาดาราจะปล่อยให้มันทำร้ายเธอได้”
“เค้าไม่ได้ตั้งใจทำร้ายหรอกค่ะ เค้าโกรธจนลืมตัวมากกว่า”
“ยังจะมีหน้ามาแก้ตัวแทนมันอีก”
“จริงๆ นะคะ ท่าทางเค้าโกรธแล้วก็เสียใจมาก ที่ฉันบอกว่าฉันไม่รู้จักพเยีย ไม่รู้จักเค้า .. ฉันลำบากใจจังเลยค่ะคุณอิศร ฉันบอกใครๆ ไม่ได้เหรอคะ ว่าฉันความจำเสื่อม จำอะไรไม่ได้”
“ไม่! อย่าพูด อย่าให้ใครรู้เป็นอันขาด”
“ทำไมล่ะคะ ฉันอึดอัดใจจะตายอยู่แล้ว”
“เพราะฉันชักสงสัยขึ้นมาแล้วน่ะซี ในเมื่อนายชิษณุพงษ์ยืนยันว่าเคยรู้จักกับเธอและพเยียมาก่อน ทำไมพเยียยืนยันว่าไม่เคยรู้จักเธอ เค้าโกหกทำไม"
ฟังที่อิศรตั้งข้อสังเกต กอหญ้าครุ่นคิดตาม นึกสงสัยเหมือนกัน
ภายในห้องทำงานของประมุขแห่งวังศิวาลัยค่ำคืนนั้น นภัสรพีพูดอยู่กับนภาจรี น้ำเสียงเคร่งขรึม
“พเยียโกหกไม่ใช่เรื่องแปลก เค้าก็เคยโกหกเรามาแล้ว เรื่องแหวน”
นภดาราอยู่ให้ห้องด้วย หน้าตาไม่พอใจกับคำพูดที่ได้ยิน ปกป้องเด็กสาวที่คิดว่าเป็นลูกในไส้ทันที
“ค่ะ แต่ตอนนั้นลูกพเยียกลัวว่าเราจะโกรธว่าแกเอาแหวนไปขาย แกก็เลยโกหกไป แต่เรื่องที่แกรู้จักกับหนูกอหญ้า ไม่ใช่ความผิด ทำไมแกจะต้องโกหกด้วย”
“อาถึงได้สงสัยไง ดารา อาว่ามันต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากล”
นภัสรพีแย้ง “แต่หนูกอหญ้าดูไม่ใช่คนที่ชอบโกหก แล้วก็จริงอย่างที่ดาราว่ามันไม่มีเหตุผลอะไรเลย ถ้ากอหญ้าคนนี้ คือกอหญ้าที่หายตัวไปในคืนนั้น ทำไมเค้าต้องโกหกเรา มันมีเหตุผลอะไร”
นภัสรพีนิ่งคิด สงสัยอย่างมาก
“พี่ชายคะ” นภาจรีจะออกความเห็นนภัสรพียกมือห้าม ไม่ให้พูด
“เราคงต้องจับตาดูเด็กทั้งสองคนอย่างใกล้ชิด ถ้าเค้าสองคนโกหก ไม่นาน ก็ต้องถูกเราจับได้” คุณชายหันมาทางนภดารา “จริงไหม นภดารา”
นภัสรพีมองจ้องนิ่งๆ นภดาราอึ้ง เมื่อรู้ว่าตนต้องเป็นคนทำหน้าที่นั้น
ด้านพเยียอยู่บนเตียง กอดหมอนนอนครุ่นคิดอย่างกลัดกลุ้ม
“มีนังกอหญ้าอยู่ข้างบ้านยังไม่พอ ยังมีไอ้ชิษณุพงษ์เข้ามาวุ่นวายไหนจะนังนภาจรีอีก แก่ไม่อยู่ส่วนแก่ มันน่านัก”
เสียงนภดาราดังขึ้นจากหน้าประตูห้อง
“พเยีย หลับหรือยังลูก”
ภายในห้องพเยียถอนใจอย่างเบื่อหน่าย บ่นพึมพำ
“นี่ก็อีกคน ร้องหาทั้งวัน เบื่อจะอ้วกอยู่แล้ว” แต่ร้องตอบเสียงหวาน “ขา...คุณแม่”
นภดาราเข้ามา
พเยียลุกขึ้นนั่ง “มีอะไรคะ”
นภดาราเข้ามานั่งลงข้างพเยีย ลูบผมมองพเยียอย่างใช้ความคิด
“มีอะไรคะ คุณแม่”
“ตอนที่หนูอยู่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า พเยียเหงาไหมลูก”
พเยียตอบอย่างระวังตัว “ค่ะ ก็เหงา”
“แล้วตอนนี้ล่ะ”
พเยียกอดประจบ “พเยียมีคุณแม่แล้ว พเยียไม่เหงา ไม่เศร้า ไม่กลัวอะไรอีกแล้วค่ะ”
“หนูโชคดี ที่เจอแม่ แต่เด็กกำพร้าคนอื่น เค้าไม่โชคดีเหมือนหนู อย่างหนูกอหญ้า”
พเยียเสียงแข็ง “กอหญ้าทำไมคะ”
“เค้าก็เป็นเด็กกำพร้าเหมือนกันนะลูก แม่สงสารเค้า แม่อยากช่วยเค้า”
พเยียระแวง “ช่วยยังไงคะ”
“แม่ปรึกษาคุณตาคุณยายแล้ว ท่านก็เห็นดีด้วย ถ้าหากแม่จะอุปการะกอหญ้า”
พเยียตกใจลืมตัว ลุกพรวด
“จะอุปการะนังกอหญ้า! จะเอามันมาเลี้ยงเป็นลูกงั้นเหรอ”
นภดาราลุกขึ้นปลอบ “ก็แค่เอามาเลี้ยงดูส่งเสียเท่านั้น ไม่ได้จริงจังอะไรไม่ดีเหรอจ้ะ พเยียจะได้มีเพื่อนไง”
“ไม่! พเยียไม่ต้องการเพื่อน พเยียเป็นลูกคนเดียวของคุณแม่ พเยียไม่ให้ใครมาแย่งคุณแม่ไป”
พเยียเข้ากอดนภดาราอย่างเด็กหวงของ นภดารายิ้ม
“โถ ลูก ที่แท้ก็หวงแม่” นภดาราลูบหัวพเยียอย่างแสนรัก “ไม่ต้องกลัวหรอกจ้ะยังไงแม่ก็เป็นแม่ของพเยีย คนอื่นจะมาแย่งแม่ไปจากลูกได้ยังไง”
พเยียฟังแล้วอึ้ง กระแทกใจอย่างจัง
“พเยียกลัวมันมาทำดีประจบแม่ กลัวแม่รักมันมากกว่าพเยีย”
“จะเป็นไปได้ยังไงคะ” นภดาราประคองหน้าพเยีย มองตา พูดอย่างจริงจัง “แม่ที่ไหน จะรักคนอื่น มากกว่าลูกในไส้ ที่เป็นสายเลือดของตัวเอง จริงไหม”
นภดารายิ้ม ดึงพเยียเข้ามากอด
พเยียนิ่งอึ้ง แววตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและระแวง
เช้าวันต่อมาชิษณุพงษ์เดินลงมาจากชั้นบน ร้องเรียกหาลุงเติม
“ลุงเติมครับ ลุงเติม”
เจ้ามลุลีเดินมาหาพร้อมเจ้าแสงโชติ
“เรียกหาลุงเติมทำไมลูก”
“ผมมีธุระจะออกไปข้างนอกครับ จะให้ลุงเติมขับรถให้”
“ธุระเรื่องเด็กที่ชื่อกอหญ้าใช่ไหม” เจ้ามลุลีเอ่ยขึ้นเสียงขุ่น ชิษณุพงษ์อึ้ง “แม่ว่าลูกวุ่นวายกับเรื่องนี้มากเกินไปแล้วนะ แทนที่จะพักผ่อนตามที่หมอสั่ง กลับออกไปนั่งรถตะลอนๆ ตามหาคน ถ้าเกิดมันกระทบกระเทือน สายตาเป็นอะไรขึ้นมาอีก แล้วจะทำยังไง”
“ผมไม่เป็นไรหรอกครับแม่ ก็มีลุงเติมคอยดูแลอยู่ทั้งคน” ชิษณุพงษ์ออกไปร้องเรียกอีก “ลุงเติมๆ”
ลุงเติมเดินเข้ามา
“ครับ คุณชิษณุ”
ชิษณุพงษ์สั่ง “เอารถออก ฉันจะไปวังศิวาลัย”
ลุงเติมไม่ทันตอบ เจ้าแสงโชติก็พูดขึ้น
“ไม่ได้หรอก ชิษณุ ลุงเติมเค้าต้องกลับไปเชียงใหม่วันนี้แล้ว ไปจัดการธุระให้พ่อ”
ชิษณุพงษ์ขัดใจ เจ้าแสงโชติพูดสำทับ
“จากนี้ไป ลูกต้องพักผ่อนอยู่ที่บ้าน แล้วถ้าผลการตรวจร่างกายออกมาว่าเรียบร้อยดี ก็เตรียมตัวกลับไปเรียนต่อได้”
“อะไรนะครับ”
“แม่ปรึกษากับเจ้าพ่อแล้ว อีกสามเดือน แม่กับเจ้าพ่อจะต้องเอาผ้าไหมของเราไปโชว์ที่อเมริกา แม่คิดว่าเราจะให้ลูกบินกลับไปพร้อมๆ กันเลย” เจ้ามลุลีบอก
ชิษณุพงษ์อึ้งไป
แผนรักแผนร้าย ตอนที่ 4 (ต่อ)
ไม่นานต่อมาชิษณุพงษ์เดินมาส่งลุงเติมขึ้นรถตู้ หน้าตาฮึดฮัดขัดใจเป็นอย่างมาก
“ฉันเหลือเวลาอีกแค่สามเดือนเท่านั้น ลุงเติมต้องช่วยฉันเรื่องกอหญ้า”
“จะให้ลุงช่วยยังไง ว่ามาเลยครับ” เติมบอก
“ลุงต้องช่วยฉัน ไปหาหลักฐาน รูปถ่าย หรือพยานบุคคลก็ได้ ที่สามารถยืนยันได้ว่ากอหญ้าคนนี้ คือกอหญ้าคนเดียวกันกับที่เชียงใหม่”
“ผมก็ยืนยันนั่งยันแล้ว แต่หนูคนนั้นเค้าก็บอกว่าไม่รู้จักเรา”
“ถ้าเรามีรูปถ่ายหรือหลักฐานที่ยืนยันได้ ว่าเค้าเคยเป็นเพื่อนกับพเยีย เค้าก็ปฏิเสธไม่ได้”
“ครับ ผมจะพยายาม คุณชิษณุอยู่ทางนี้ระวังตัวนะครับ อย่าทำอะไรผลีผลาม ผมจะรีบส่งตัวช่วยมาให้”
ชิษณุพงษ์พยักหน้ารับ ไม่ได้ติดใจว่าตัวช่วยที่ลุงเติมว่าคืออะไร
อิศรเดินมากับกอหญ้าที่หน้าบ้าน กอหญ้าแต่งตัวเรียบร้อย
“ฉันไม่อยากให้เธอไปเลย”
“ฉันรับปากคุณอาดาราไปแล้วนี่คะ”
อิศรประชด “อยากไปเจอไอ้หมอนั่นอีกล่ะซี”
กอหญ้าอมยิ้ม แกล้งล้อ “ค่ะ”
อิศรหึงซะงั้น “นี่นัดจะไปเจอมันใช่ไหม ไม่กลัวหรือไง ถ้ามันเป็นฆาตกรโรคจิตจะทำยังไง”
กอหญ้าเลิกพูดเล่น หันมาพูดจริงจัง “ไม่กลัวหรอกค่ะ ต่อให้เค้าเป็นฆาตกรโรคจิต ถ้าเค้ารู้ว่าฉันเป็นใคร ฉันก็พร้อมจะคุยกับเค้า ไม่อยากอยู่แบบคนสมองกลวงแบบนี้”
อิศรกุมมือกอหญ้าอย่างอาทร “เธอไม่มีความสุขเหรอ”
กอหญ้ายิ้มเศร้า รับรู้ความห่วงใยของอิศร
“ฉันอยากรู้น่ะค่ะ ว่าตัวเองเป็นใคร มาจากไหน ทำไมถึงมีคนอยากจะฆ่าฉัน”
อิศรแย้งอย่างอ่อนโยน “ซักวันเธอก็จะจำได้เอง แต่ตอนนี้ เธอยังจำอะไรไม่ได้ ฉันขอร้องได้ไหม อย่าเสี่ยงไว้ใจใครเลย ฉันเป็นห่วงเธอนะกอหญ้า”
ถ้อยคำน้ำเสียงของอิศรที่แสนจริงจัง ทำให้กอหญ้าซาบซึ้งใจ อิศรดึงกอหญ้ามากอดอย่างอ่อนโยน ปกป้อง
สกุณาในชุดอยู่กับบ้านกรุยกรายยืนจิบกาแฟอยู่ที่หน้าต่างตรงมุมหนึ่งในบ้าน มองอิศรกับกอหญ้ากอดกัน ส่ายหัวอย่างหนักใจ
ส่วนด้านหลัง เห็นอรรถแต่งตัวจะไปทำงาน นั่งกินอาหารเช้า มีนุชกับนันรินกาแฟ ยกอาหารให้ เห็นท่าทีของสกุณา แปลกใจ
“มีอะไร สกุณา”
สกุณาเดินกลับมาที่โต๊ะ พูดเป็นเชิงปรารภ
“ลูกชายของคุณน่ะซีคะ ท่าทางจะจริงจังกับยายเด็กที่ชื่อกอหญ้านี่เหลือเกิน”
“ก็ช่างหัวมันปะไร” อรรถไม่สนใจ
“ลูกชายของคุณจะมีลูกสะใภ้เป็นเด็กกำพร้า ที่มาจากข้างถนน คุณไม่เดือดร้อนเลยหรือไง” สกุณาของขึ้น
“ถ้าเจ้าอิศรมันจะใฝ่ต่ำ ฉันจะไปห้ามอะไรได้” อรรถวางแก้วกาแฟลง “อย่าไปสนใจมันเลยคุณ”
อรรถอ่านหนังสือพิมพ์ ไม่สนใจ
สกุณาหันไปมองนอกหน้าต่างอีกครั้ง เห็นอิศรจูงมือกอหญ้าไปส่งที่รถตู้ของวังศิวาลัย ลากันอย่างหวานชื่น
“ฉันจะไม่สนใจได้ยังไง ในเมื่อมันเป็นเจ้าของทุกอย่างในบ้านนี้...” สกุณาคิดแค้นอยู่ในใจตาวาววับ หันมามองอรรถที่อ่านหนังสือพิมพ์อยู่ “ถ้าไอ้อิศรมันบังเอิญเป็นอะไรไป สมบัติก็จะกลับมาเป็นของคุณ ที่เป็นพ่อ แต่ถ้ามันดันแต่งงานไปซะก่อน” หันไปมองอีกที เห็นกอหญ้าโผล่หน้าต่างรถ โบกมือลาอิศรอย่างแจ่มใส “สมบัติของมัน ก็จะตกเป็นของนังกอหญ้า แล้วฉันจะไม่สนใจได้ยังไง”
สกุณาบีบแก้วกาแฟแน่น แววตาวาววับดูร้ายกาจ
รถตู้ของวังศิวาลัยเข้ามาจอดที่ถนนด้านหน้าตึก กอหญ้าลงมาจากรถนภดาราที่ยืนรออยู่ เดินออกไปรับด้วยตัวเอง
“หนูกอหญ้า”
“คุณอาดารา”
กอหญ้าไหว้ นภดาราดึงเข้ามากอด
“ฉันนึกว่าหนูจะไม่มาซะแล้ว”
“หนูรับปากแล้ว จะไม่มาได้ยังไงคะ” กอหญ้าว่า
“น่ารักจริง”
นภดาราดึงมากอดอีกที กอหญ้ากอดตอบ
พเยียอยู่ในบ้านยืนมองกอหญ้ากับนภดารากอดกัน แล้วจูงมือกันเดินเข้ามา พเยียหน้าเครียด
“ที่นี่เป็นของฉันแล้ว มันเป็นของฉันคนเดียว แกจะกลับมาวุ่นวายอีกไม่ได้”
พเยียคิดแค้นอยู่ในใจ ขณะมองกอหญ้าด้วยสายตาอาฆาตมาดร้าย
ไม่นานนัก นภดาราเดินนำกอหญ้าเข้ามาในบริเวณครัวขนาดใหญ่ กว้างขวาง มีส่วนเตรียมอาหารแยกออกมา
ที่โต๊ะกลางห้อง มีผักหลายชนิดแกะสลักไว้สวยงามวางอยู่บนพานกระเบื้องใบเล็ก ถัดออกมายังมีผักอีกหลายอย่างที่ยังไม่ได้สลักวางอยู่ในถาดใบใหญ่
“วันนี้อาจารย์วรรณาจะสอนทำน้ำพริกไข่ปู ฉันเลยทำผักจิ้มเตรียมไว้”
กอหญ้าเดินเข้าไปพิจารณาดูผักที่สลักเอาไว้ ท่าทางชื่นชม
“สวยจังเลยค่ะ นี่คุณทำเหรอคะ”
นภดาราเยื้อนยิ้ม “จ้ะ อยากทำเป็นไหม ฉันจะสอนให้”
กอหญ้ายิ้มแย้มดีใจ
ที่มุมนั่งเล่นสบายๆ ด้านนอก นภดาราเอาผักบางส่วนออกมาสอนกอหญ้า กอหญ้านั่งข้างๆ นภดารา มีมีดแกะสลักกับหัวขมิ้นขาวในมือ มองนภดาราสลักเป็นตัวอย่าง
“ครั้งแรกกดมีดลงไปตรงๆก่อน ครั้งต่อไปค่อยตะแคงมีดนิดนึงจะได้เป็นร่องสวย” นภดาราอธิบาย ไปด้วย กอหญ้าทำตาม “ลึกอีกนิดนึงจ้ะ”
กอหญ้ากะน้ำหนักมือไม่ถูก กดมีดลงไปอย่างแรง มีดไถลไปบาดนิ้วมือที่จับขมิ้น เลือดซึมออกมานิดๆ
“อุ๊ย”
กอหญ้าวางขมิ้นกับมีดลง กดปลายนิ้วห้ามเลือดไว้
นภดาราตกอกตกใจ “ตายจริง ขอฉันดูแผลหน่อยจ้ะ”
“ไม่เป็นไรเลยค่ะ แผลนิดเดียวเอง”
“ถึงนิดเดียวก็ต้องใส่ยา มา ฉันทำให้”
ไม่นานนักนภดาราใส่ยาให้ที่ปลายนิ้วกอหญ้า พลางพูดปลอบโยน
“แสบนิดนึงนะจ๊ะ”
นภดาราใส่ยาเสร็จ ก็พันพลาสเตอร์ยาให้อย่างอ่อนโยน กอหญ้ารับรู้ได้ถึงความอาทรนั้น นภดาราทำไป คุยไป ท่าทีมีความสุข เหมือนแม่ดูแลเอาใจใส่ลูกอย่างไรอย่างนั้น
“ตอนฉันเด็กๆ เริ่มหัดแกะสลักก็เป็นอย่างนี้แหละ คุณแม่ต้องทำแผลให้ทุกวัน...อ้ะ เสร็จแล้วจ้ะ” พลางเป่าแผลให้ “เพี้ยง หาย”
กอหญ้าน้ำตารื้นขึ้นมาด้วยความตื้นตัน พูดไม่ออก นภดาราเงยหน้าขึ้นมามองเห็นกอหญ้า น้ำตาคลอหน่วย ก็แปลกใจ
“หนูร้องไห้ เจ็บแผลเหรอจ๊ะ”
“เปล่าค่ะ หนู...” กอหญ้ามองนภดาราอย่างเต็มตื้นซาบซึ้งใจ “หนูเพิ่งรู้ว่าคนที่มีแม่ทำแผลให้ มันรู้สึกดียังไง”
“โถ หนูกอหญ้า”
นภดาราดึงกอหญ้ามากอดปลอบใจ กอหญ้ากอดตอบ
พเยียยืนอยู่ด้านนอก ตรงมุมที่ห่างออกไป มองเห็นสองแม่ลูกโอบกอดกัน สายตาพเยียที่มองกอหญ้าเต็มไปด้วยความหวาดระแวงและเกลียดชัง ก่อนจะหันหลังเดินออกไปด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง
พเยียเดินเข้ามาในครัว เห็นอุปกรณ์ทำอาหารวางเตรียมพร้อม พเยียคว้ามีดปลายแหลมมากำแน่น แทงกระหน่ำลงไปบนผักต่างๆ ในถาดใบใหญ่เป็นการระบายอารมณ์
“ฉันจะทำยังไงกับแกดี จะทำยังไงดี”
พเยียแทงมีดฉึ่กๆๆ ปักลงบนฟักทองเกือบมิดด้าม แววตาร้ายกาจและน่ากลัว
ไม่นานนักกอหญ้ากับพเยียยืนฟังอาจารย์วรรณาอธิบาย บนโต๊ะเตรียมอาหารในครัว มีครกหิน และเครื่องปรุง 3 ชุด อยู่ตรงหน้า 3 คน อย่างละชุด กอหญ้าตั้งใจฟัง ส่วนพเยียหน้านิ่ง เย็นชา
“การทำน้ำพริกไข่ปูนี่ไม่ยากเลยค่ะ สำคัญที่ตอนปรุงรสว่าใครจะปรุงได้กลมกล่อมกว่ากัน ... ตอนนี้เราเตรียมเครื่องปรุงเสร็จแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็คือเตรียมเนื้อกับไข่ปูค่ะ... หนูพเยียกับหนูกอหญ้าลงมือแกะปูได้เลย” อาจารย์วรรณาอธิบาย
พเยียกับกอหญ้าต่างหยิบจานที่ใส่ปูทะเลต้มสุกเอาไว้ เตรียมแกะปู นภดารามองดูเด็กสาวทั้งสอง พอแลเห็นพลาสเตอร์ที่มือกอหญ้าแล้วนึกอะไรได้ รีบเดินเข้าไปหา
“มือหนูเป็นแผล ฉันแกะปูให้ดีกว่าจ้ะ หนูรอปรุงก็พอ”
พเยียได้ยินนภดาราพูด ก็กระแทกจานปูในมืออย่างแรง
กอหญ้า นภดารา และอาจารย์วรรณาสะดุ้ง ทุกคนหันมามองพเยียอย่างตกใจ พเยียไม่สนมองกอหญ้ากับนภดาราอย่างเอาเรื่อง ก่อนจะเดินสะบัดออกไปจากห้อง
“พเยีย”
นภดาราตามออกไป
พเยียเดินกลับขึ้นชั้นบนด้วยความโกรธ นภดาราเดินตามมาทันตรงทางเดินหน้าห้อง
“พเยีย เป็นอะไรลูก”
“พเยียเกลียดมัน พเยียไม่อยากเห็นหน้ามัน”
“ทำไม หนูกอหญ้าเขาไปทำอะไรให้”
พเยียสะบัดหน้าหนี ไม่มีคำตอบ นภดารามองอย่างคาดคั้น
“ไหนว่าไม่เคยรู้จักกัน คนไม่รู้จักกัน เพิ่งเจอหน้ากัน จะมาเกลียดชังอะไรกันนักหนา”
พเยียอึ้งไป นึกหาเหตุผล
“พเยียเกลียดมัน เพราะ...เพราะมันจะแย่งคุณแม่ไปจากพเยีย”
“เหลวไหล” นภดาราว่า
“ก็เห็นๆ กันอยู่ มันทำออดอ้อนให้คุณแม่สงสาร คุณแม่ก็รักมัน หลงมัน คอยโอ๋แต่มัน มันมาได้แค่สองวัน คุณแม่ยังหลงมันขนาดนี้ อีกหน่อยก็คงจะถีบหัวพเยียส่ง”
“พาลใหญ่แล้วนะ พเยีย แม่จะทำอย่างนั้นกับลูกได้ยังไง”
“ก็ทำมาแล้วนี่” พเยียแดกดัน และได้ทีโวยวาย ลำเลิกให้นภดารารู้สึกผิด “คุณแม่เคยทิ้งพเยียมาแล้ว พเยียถึงต้องไปอยู่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าไง เคยทิ้งมาแล้ว ทำไมจะทิ้งอีกไม่ได้”
นภดาราเจอไม้นี้ถึงกับอึ้งไป เสียงอ่อนลง
“พเยีย อย่าพูดถึงเรื่องนี้อีกเลยได้ไหม แม่รักลูกนะจ๊ะ ไม่มีวันรักคนอื่นมากกว่าพเยียแน่นอน”
“แน่นะคะ”
นภดาราพยักหน้า พเยียพูดอย่างผู้ชนะ
“งั้นก็ไล่มันออกไป อย่าให้มันเข้ามาที่วังศิวาลัยอีกเป็นอันขาด”
นภดารานิ่ง มองพเยียเขม็ง นึกไม่ถึง ว่าพเยียจะเอาแต่ใจอย่างร้ายกาจอย่างนี้
“ว่าไงคะ คุณแม่” พเยียคาดคั้น
“แม่รักลูกนะ พเยีย แม่รักลูกมาก และอยากให้ลูกของแม่เป็นคนดี เพราะฉะนั้น แม่จะไม่ตามใจลูกในเรื่องแบบนี้เป็นอันขาด” นภดาราพูดเสียงเข้ม ท่าทีจริงจัง “นอกจากลูกจะมีเหตุผลมากกว่านี้ ว่าทำไมถึงไม่อยากให้กอหญ้าเข้ามาในบ้านของเรา”
พเยียอึ้ง ผิดคาดที่เห็นนภดาราแข็งใส่และดูท่าทางเอาจริง
ฝ่ายสุบรรณตามมาทีหลังเดินหน้ามุ่ยเข้ามาในครัว อาจารย์วรรณากับกอหญ้ากำลังจะใส่เครื่องปรุงลงในครกหิน
กอหญ้าร้องทักเลขาจอมทะเล้นของอิศร “อ้าว สุบรรณ”
สุบรรณโค้งคำนับอาจารย์ “ขอโทษครับ ที่มาช้า”
“ไม่เป็นไรค่ะ” อาจารย์หลีกออกมาจากด้านข้างของกอหญ้า “เชิญเลยค่ะ เรากำลังจะลองตำน้ำพริกกันพอดี”
สุบรรณเข้าไปประจำที่ หน้าครกหินของวรรณาที่อยู่ข้างๆ กอหญ้าอย่างซึมกะทือ กอหญ้ามองขำๆ ล้อเบาๆ
“ไหนบอกว่าหัวเด็ดตีนขาดก็จะไม่มาไง”
สุบรรณบ่นอุบอิบ “ขี้เกียจเถียงกับคุณอิศร”
กอหญ้าสัพยอก “ขี้เกียจหรือไม่กล้า”
“อย่ามาพูดดี คุณเองก็กลัวเค้าหงอเหมือนกัน” สุบรรณย้อนขำๆ
กอหญ้าอมยิ้มขำทุบสุบรรณเบาๆ อาจารย์วรรณาอมยิ้ม กระแอมเตือน
“คุณสุบรรณเอาไข่ปูที่ครูเตรียมไว้ มาตำกับพริกกระเทียมเลยค่ะ ตำให้เข้ากันนะคะ เสร็จแล้วจะได้ปรุงรสกัน”
“ครับ”
สุบรรณเอาไข่ปูใส่ครกรวมกับพริก กระเทียม ลงมือตำสุดแรงเพราะกะไม่ถูก พริกกระเด็นเข้าตา สุบรรณร้องจ๊าก
“โอ๊ย ตาผม ตาผม”
กอหญ้ากับครูวรรณาเข้ามารุมดู
“อย่าขยี้ค่ะ อย่าขยี้” กอหญ้าบอก
“ไปล้างตาก่อนค่ะ” อาจารย์บอกกับสุบรรณ “มาค่ะไปกับครู ทำไมต้องตำแรงขนาดนั้นก็ไม่รู้”
วรรณาพาสุบรรณเดินออกไป ยินเสียงสุบรรณเถียงอาจารย์แว่วๆ ห่างออกไป
“ผมไม่เคยทำกับข้าว ผมจะรู้ได้ยังไง โอ๊ย ตาผมจะบอดไหม โอ๊ย แสบ”
กอหญ้ายิ้มขำ แล้วหันไปก้มหน้าก้มตาใส่เครื่องปรุงน้ำพริก ลงในครกของตัวเองอย่างตั้งใจ พเยียเดินเข้ามาหยุดอยู่แค่ประตูครัว มองหน้ากอหญ้าหน้านิ่ง แววตาเต็มไปด้วยความเกลียดชัง อำมหิต กอหญ้าเงยหน้ามาเห็น รู้สึกสยอง แต่ฝืนยิ้มให้
“คุณพเยีย”
พเยียเดินเข้ามาช้าๆ นิ่งๆ ไม่พูดอะไร
นภดารานั่งพักอยู่ในห้องนั่งเล่นรู้สึกเหนื่อยใจ เลยไปเปิดลิ้นชักใส่ของจุกจิกที่ตู้ในห้อง เพื่อหาขวดยาบำรุงหัวใจประจำตัวของเธอ แม่ชื่นเข้ามา
“หาอะไรคะ คุณดารา”
“ยาบำรุงหัวใจของฉันน่ะจ้ะ”
แม่ชื่นมาช่วยหา ดูท่าทีนายหญิงแล้วบ่นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“ทะเลาะกับคุณหนูพเยียอีกแล้วใช่ไหมคะ”
นภดาราถอนใจแก้ต่างแทนอยู่ดี “เด็กมีปมด้อยก็พูดยากอย่างนี้แหละจ้ะ แม่ชื่น” พูดพลางฝืนยิ้ม โทษตัวเองอีก “เราเป็นคนทำให้เขาเป็นอย่างนี้เอง เราก็ต้องรับผิดชอบ จริงไหม”
“หนูกอหญ้าก็เป็นเด็กกำพร้า ไม่เห็นเป็นเหมือนคุณหนูพเยีย”
นภดาราชะงัก “นั่นสิ ทำไมลูกสาวของฉันถึงไม่หัวอ่อน ว่าง่ายอย่างนั้นบ้างก็ไม่รู้เหมือนกันนะคะ แม่ชื่น”
นภดาราถอนใจ แม่ชื่นส่งขวดยาให้ มองอย่างสงสาร
“คุณนั่งพักเถอะค่ะ ดิฉันจะไปเอาน้ำมาให้”
กอหญ้ามองพเยียเดินเข้ามา ใจสั่นๆ กลัวจะมีเรื่อง พเยียเดินไปที่ครกที่ว่างอยู่ ของตัวเอง
กอหญ้าหลบตา หันไปก้มหน้าก้มตากลับไปหยิบเครื่องปรุงใส่ครก ทำน้ำพริกของตนต่อ
พเยียตามองกอหญ้านิ่ง มือเอื้อมหยิบถาดเครื่องปรุงมา มืออีกข้างกำสากหินแน่น มือพเยียขณะที่หยิบของเกร็งแน่น แววตากร้าว สีหน้าดุดัน บรรยากาศภายในครัวดูกดดัน เหมือนกับอันตรายกำลังจะปะทุ
จังหวะนั้นพเยียผลักถาดเครื่องปรุงตรงหน้าไปที่กอหญ้าอย่างแรง ถาดปลิวกระเด็นไปโดนของทางฝั่งกอหญ้า ตกลงไปที่พื้นครัวดังโครมคราม
กอหญ้าตกใจ หน้าเสีย รู้ว่าพเยียจงใจหาเรื่อง
“คุณ... คุณทำของตกหมดเลย”
“แกก็เก็บขึ้นมาสิ” พเยียสั่งอย่างวางอำนาจ
กอหญ้ามองอย่างไม่พอใจ แต่แววตาพเยียแข็งกร้าว กอหญ้าข่มใจคุกเข่าลงไปเก็บของที่พื้นครัว แม่ชื่นเดินเข้ามาที่ประตูครัวพอดี พร้อมกับที่เห็นพเยียผลักสากหินในมือออกไปสุดแรง สากหินกลิ้งไปที่ขอบโต๊ะ แล้วตกไปตรงจุดที่กอหญ้าก้มหน้าอยู่พอดี
กอหญ้าเงยหน้ามาเห็น ตกใจ รีบหลบ แต่ไม่ทัน สากตกลงมาโดนเข้าที่ขมับอย่างจัง
กอหญ้าร้อง “โอ๊ย”
แม่ชื่นเห็นเหตุการณ์ตลอดตกใจมาก “คุณหนู!”
พเยียตกใจที่มีคนเข้ามา แต่ฝืนทำนิ่ง
แม่ชื่นวิ่งปราดไปดูฝั่งกอหญ้า เห็นกอหญ้านอนแน่นิ่ง มีสากหินกลิ้งอยู่ข้างๆ ตัว
“ว๊าย หนู หนูกอหญ้า”
แม่ชื่นเข้าไปประคอง กอหญ้าตัวอ่อน ไม่มีสติ
นภดารา สุบรรณ และอาจารย์วรรณาได้ยินเสียงร้องของแม่ชื่น วิ่งเข้ามาในครัว พร้อมๆ กัน นภดาราถามเป็นคนแรก
“อะไรกันคะ แม่ชื่น”
สุบรรณเห็นกอหญ้าหมดสติ ตกใจ
“เกิดอะไรขึ้นครับ กอหญ้าเป็นอะไร”
แม่ชื่นยังไม่ทันตอบ พเยียพูดขึ้นเสียงนิ่งๆ
“กอหญ้าหกล้มหัวฟาดพื้นค่ะ”
นภดาราสั่งเร็วรี่ “แม่ชื่น บอกให้เค้าเอารถออก ฉันจะพากอหญ้าไปโรงพยาบาล”
“ผมพาไปเองครับ”
สุบรรณเข้าไปประคองกอหญ้าออกไป มีอาจารย์วรรณาช่วย นภดารารีบเดินตามไปด้วยความเป็นห่วง แม่ชื่นหยุดมองหน้าพเยีย สีหน้าไม่พอใจ ก่อนจะตามออกไป
อาจารย์วรรณากับสุบรรณประคองกอหญ้าเข้าไปนอนเอนที่เบาะหน้ารถ สุบรรณรีบไปประจำที่คนขับ นภดาราตามมาด้วยความเป็นห่วง ตัดสินใจ
“ฉันไปด้วยดีกว่า แม่ชื่นไปหยิบกระเป๋า”
สุบรรณรีบห้ามเพราะอิศรสั่งไว้ และกลัวนภดาราจะรู้เรื่องกอหญ้าความจำเสื่อม
“ไม่เป็นไรครับ ผมจัดการเองได้”
แม่ชื่นรั้งนภดาราไว้ “ให้คุณสุบรรณเธอรีบไปดีกว่าค่ะ คุณ”
“ครับ หมอเค้าว่ายังไงแล้วผมจะรีบโทร.มาบอกคุณอา”
นภดาราได้สติ พยักหน้ารับ สุบรรณขึ้นประจำที่สตาร์ทรถ ขับออกไป นภดารามองตามอย่างห่วงใย
“ขออย่าให้เป็นอะไรมากเลยนะ หนูกอหญ้า” นภดาราใจเสีย หันมาพูดกับอจารย์วรรณา “ฉันขอตัวเค้ามาเรียนเป็นเพื่อนลูกสาว แต่กลับมาเจ็บตัวอย่างนี้ ไม่รู้ตาอิศรจะว่ายังไงบ้าง”
อาจารย์วรรณาปลอบ “อย่าคิดมากเลยค่ะ คุณดารา ถึงอยู่ในครัว อุบัติเหตุมันก็เกิดขึ้นได้”
“แต่บังเอิญว่ามันไม่ใช่อุบัติเหตุน่ะซีคะ คุณดารา”
แม่ชื่นพูดชัดเจน และมั่นใจ นภดารามองหน้าแม่ชื่น แปลกใจ
แผนรักแผนร้าย ตอนที่ 4 (ต่อ)
ไม่นานต่อมา พเยียนั่งเชิดหน้านิ่งอยู่ที่โซฟา ในห้องโถง ฝั่งตรงข้ามมีนภดารา นภาจรี นั่งอยู่ บรรยากาศเป็นการสอบสวนเรื่องที่เกิดขึ้น แม่ชื่นนั่งอยู่ที่เก้าอี้อีกด้าน ให้การเสียงดังฟังชัด
“ดิฉันเห็นกับตา ว่าคุณกอหญ้าไม่ได้ลื่นล้ม คุณหนูพเยียตั้งใจทำร้ายเธอ”
นภดาราถามเสียงอ่อนโยน “จริงหรือเปล่าลูก”
พเยียกอดอกนิ่ง เชิดหน้า ไม่ยอมตอบ นภาจรีพูดแทรกขึ้นมา
“จะถามทำไมให้มากความ ของอยู่บนโต๊ะ อยู่ดีๆ มันจะตกลงไปเองได้ด้วยหรือ นภดารา”
พเยียหันมองหน้าสู้สายตานภาจรีอย่างเกลียดชัง นภาจรีถลึงตาใส่
“พเยีย หนูบอกแม่มาตามตรง หนูจงใจทำร้ายกอหญ้าใช่ไหม”
“ถ้าพเยียบอกว่าไม่ได้ทำล่ะคะ” พเยียบอกเสียงเรียบ
แม่ชื่นท้วงทันที “แต่ดิฉันเห็น”
พเยียมองหน้านภดารา พูดท้าทาย
“คุณแม่จะเชื่อคำพูดของคนใช้ มากกว่าลูกสาวของตัวเองเหรอคะ”
แม่ชื่นอึ้ง นภดาราพูดด้วยความผิดหวัง เสียใจ ในความประพฤติของพเยีย
“แม่ชื่นเป็นคนเลี้ยงแม่มาตั้งแต่เล็ก เป็นผู้ใหญ่ที่ทุกคนในวังศิวาลัยเคารพนับถือ และที่สำคัญ แม่ชื่นไม่เคยพูดปด ตอบแม่มา หนูทำร้ายกอหญ้าเขาใช่ไหมลูก” นภดาราคาดคั้น เสียงเครือๆ ด้วยความเสียใจ “ใช่ไหม ใช่ไหม”
พเยียลุกพรวดขึ้นมา ระเบิดอารมณ์แรงตอบโต้
“ใช่! พเยียทำเอง พเยียอยากให้มันเจ็บ อยากให้มันตาย อยากให้มันหายไปจากโลกนี้ มันจะได้ไม่มาที่นี่อีก ไม่มาวุ่นวายกับชีวิตของพเยีย”
ทุกคนนิ่งอึ้งกับคำพูดรุนแรง เต็มไปด้วยโทสะนั้น นภดาราหน้าซีด ใจสั่น คาดไม่ถึง
“ทำไม” นภดาราน้ำตาคลอ ยิ่งเสียใจหนัก “ทำไมลูกแม่ถึงได้ใจคอโหดร้ายอย่างนี้ แม่บอกแล้วไง แม่ไม่มีทางรักเค้ามากกว่าหนู” เอามือทาบอกตัวเองสะเทือนใจ “นี่แม่นะลูก ทำไมพเยียคิดว่าแม่จะรักคนอื่นมากกว่าลูกของตัวเองได้”
พเยียมองนภดาราด้วยแววตาจริงจัง พูดเสียงหนักแน่น เย็นเยียบ เอาจริง
“ไม่รู้ล่ะค่ะ ถ้าคุณแม่เอามันมาที่นี่อีก พเยียจะทำอีก จะทำหนักกว่านี้ด้วย ไม่เชื่อคอยดู”
พูดจบพเยียกวาดตามองแม่ชื่นกับนภาจรีอย่างเกลียดชัง แล้วเดินออกไป นภดาราทรุดลงกับโซฟา หน้าซีดเผือด นภาจรีแทบกรี๊ด
“ดู ดูมันมองฉัน แม่ชื่นเห็นไหม นังเด็กนี่มันลูกเสือลูกตะเข้ชัดๆ”
“ทำคนเจ็บขนาดนี้ จะปล่อยให้ลอยนวยไปเฉยๆ เหรอคะ คุณดารา” แม่ชื่นชะงัก เห็นนภาดาราตัวอ่อนระทวย ท่าทางเหมือนใจจะขาด อาการกำเริบ “คุณดารา”
แม่ชื่นกับนภาจรีเข้าไปประคองนภดารา
นภาจรีลนลาน “ยา .. ยา แม่ชื่นเอายามา” รีบบีบนวดมือปลอบ เรียกสตินภดารา “ดารา หลานอาหายใจลึกๆ ทำใจดีๆ ไว้”
แม่ชื่นเอายากับน้ำมาให้ นภดารากินเข้าไป แล้วหอบหายใจถี่ คร่ำครวญเบาๆ
“ทำไม ทำไมลูกถึงได้เป็นคนอย่างนี้ ทำไม”
นภดาราน้ำตาไหลพราก นภาจรีมองดูหลานสาวด้วยความสงสาร นึกแค้นพเยีย
เวลาเดียวกันสุบรรณเดินกลับไปกลับมาที่หน้าห้องฉุกเฉิน สลับกับมองไปที่ทางเข้า
อิศรวิ่งเข้ามา สุบรรณรีบปราดเข้าไปรับหน้า
“คุณอิศรครับ”
อิศรมีท่าทีร้อนรนใจ “กอหญ้าล่ะ”
“อยู่ในห้องฉุกเฉินยังไม่ออกมาเลยครับ”
ประตูห้องฉุกเฉินเปิดออก หมอวิชาญเดินออกมา อิศรพุ่งเข้าไปหา สุบรรณรีบตามไปด้วย
“เฮ้ย หมอ กอหญ้าเป็นยังไงบ้าง”
“เอ็กซเรย์ดูแล้ว กระโหลกไม่ร้าว แค่ศีรษะบวมช้ำ แต่คงต้องขอให้อยู่ก่อน ฉันอยากตรวจอะไรเพิ่มเติมอีกหน่อย” หมอวิชาญว่า
อิศรฉงน “ทำไม มีอะไรหรือเปล่า”
“กอหญ้ามีอาการปวดหัวรุนแรงมาก ตอนนี้ฉันให้ยาระงับปวดไปแล้วแต่อยากจะตรวจให้ละเอียดหน่อย กลัวว่า...”
อิศรยิ่งห่วง “กลัวอะไร”
“กลัวว่าอาการปวดหัวที่ว่า มันจะไม่ได้เกิดเพราะอุบัติเหตุวันนี้ แต่เกิดจากสาเหตุอื่นน่ะซี”
อิศรกับสุบรรณอึ้งไป เป็นห่วงกอหญ้ามาก
กอหญ้านอนนิ่งอยู่บนเตียง อิศรเปิดประตูเข้ามายืนที่ข้างเตียง มองอย่างสงสารปนอ่อนใจ
“ยัยโก๊ะเอ๊ย ทำไมดูแลตัวเองไม่ได้เลย ไปไหนก็มีเรื่องเจ็บตัวตลอด”
อิศรเขี่ยแก้มกอหญ้าเบาๆ แววตาอ่อนโยน
“ทีนี้รู้แล้วใช่ไหม ว่าทำไม ฉันถึงต้องคอยดูแลเธอ”
อิศรมองสาวน้อยที่ตรงหน้า รู้สึกว่าตัวเองมีหน้าที่จะต้องปกป้องคุ้มครองเธอ
เย็นนั้นชิษณุพงษ์เดินมาที่ห้องโถง เห็นสาวใช้กำลังขนของเข้ามาในบ้าน ซึ่งเป็นของที่ระลึกประเภทงานหัตถกรรมพื้นเมืองจากเชียงใหม่
“นั่นขนอะไรมากันมากมาย”
“ของฝากพวกลูกค้าฝรั่งนะค่ะ คุณชิษณุ เจ้าให้รถขนลงมาจากเชียงใหม่ก่อน แล้วจะบินตามลงมาพรุ่งนี้เช้า”
“มีคนลงมาจากเชียงใหม่เหรอ” ชิษณุพงษ์ดีใจ “ลุงเติม”
ชิษณุพงษ์รีบเดินออกไปทางห้องพักลุงเติม สาวใช้เอ้ออ้าเหมือนจะห้าม แต่ชิษณุพงษ์ไม่ได้สนใจ คนขับรถหอบกล่องใส่ของตามเข้ามา สวนกับชิษณุพงษ์ที่ผลุนผลันออกไป
“นั่นคุณชิษณุจะรีบไปไหน”
สาวใช้ทำเสียงงงๆ “ไปหาลุงเติม”
คนรถทำหน้าเหวอ งงกว่า “อ้าว ได้ยังไง”
ชิษณุพงษ์ท่าทางลิงโลดดีใจมาก เดินเข้าไปในห้องลุงเติมอย่างสนิทสนม พลางร้องเรียกเสียงสดใส
“ลุงเติม ลุงเติม”
ชิษณุพงษ์มองทั่วห้องไม่มีใคร เห็นมีกระเป๋าเดินทางใบเล็กวางอยู่ที่พื้น แต่มีเสียงน้ำไหลจากฝักบัวอยู่ในห้องน้ำ
ชิษณุพงษ์ยิ้ม แล้วเดินไปทุบประตู พูดล้อๆ
“อาบน้ำอยู่เหรอลุง จวนเสร็จหรือยัง” เสียงน้ำหยุดไหล “เสร็จแล้วก็ออกมาเร็วเข้า ฉันร้อนใจจะแย่อยู่แล้ว”
ชิษณุพงษ์เดินไปนั่งรอที่เตียง ประตูห้องน้ำยังไม่เปิดออกมา ไม่มีเสียงใดๆ ชิษณุพงษ์แปลกใจลองเรียกดู
“ลุงเติมครับ” ไม่มีเสียงตอบ ชิษณุพงษ์ร้อนใจ “ลุงเป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมเงียบๆ” พลางทุบประตู “ลุง เป็นลมหรือเปล่า ลุง”
ประตูค่อยๆ แง้มออกมา เห็นดวงหน้าสดใสที่มีหยดน้ำเกาะพราวของเด็กสาวคนหนึ่งโผล่ออกมาอย่างหวาดๆ
ชิษณุพงษ์ตาค้าง ตกใจ “เธอ”
ที่แท้เป็น แตง เด็กสาวตัวช่วยที่ลุงเติมส่งมาช่วยชิษณุพงษ์
แตงเป็นเด็กบ้านนอก พูดจาง่ายๆ ซื่อๆ พูดทอดเสียงเรียบร้อย มีมารยาท แต่ไม่พูดคะขา
แตงยิ้มแหย “หวัดดีจ้ะ คุณ”
พูดยังไม่ทันจบ ชิษณุพงษ์สวนขึ้นมา
“เธอเป็นใคร มาจากไหน แล้วเข้ามาในห้องลุงเติมได้ยังไง ออกมาเดี๋ยวนี้นะ”
ชิษณุพงษ์พูดพลางกระชากประตูจะเปิด แตงยื้อเอาไว้สุดแรง
“อย่านะ อย่า อย่า”
ประตูเปิดออก ผลัวะ เพราะแตงสู้แรงไม่ไหว ชิษณุพงษ์อึ้ง เห็นแตงนุ่งแค่ผ้าเช็ดตัวผืนเดียว รีบหันหลังให้ แตงหดไปอยู่หลังประตูทันที
“แต่งตัวซะ แล้วออกไปคุยกับฉันข้างนอก”
ชิษณุพงษ์เดินออกไป แตงเป่าปากหวือ เกือบไป
แตงนั่งเรียบร้อยยืนอยู่ตรงหน้าชิษณุพงษ์ ยิ้มประจบ
“แตงเป็นลูกพ่อตั๋น เป็นหลานลุงเติมไง คุณณุ”
ชิษณุพงษ์มองแตงหัวจรดเท้า พยายามนึก
“แตงเคยอยู่ที่คุ้มตอนเด็กๆ ก่อนที่คุณณุจะลงมาเรียนกรุงเทพฯ ไง”
“อ๋อ ยัยแตงที่เป็นอีสุกอีใส” ชิษณุพงษ์นึกออก แตงค้อน “แล้วเธอหายไปไหน ทำไมฉันกลับบ้านตอนปิดเทอมไม่เห็นเคยเจอเธอ”
“พ่อเค้าแต่งงานใหม่ แล้วพาแตงไปอยู่แม่ฮ่องสอน ตอนนี้พ่อตายแล้วแตงไม่อยากอยู่กับแม่ใหม่ เลยกลับไปหาลุงเติมที่คุ้ม” แตงหยิบซองจดหมายออกมาจากกระเป๋า “ลุงเติมเลยฝากให้แตงเอานี่มาให้คุณ”
ชิษณุพงษ์รับมา เปิดซองดู ข้างในเป็นรูปถ่ายเก่าๆ เป็นรูปถ่ายในงานวันคริสต์มาสของโบสถ์ปีก่อน มีคุณแม่ยุพาอยู่ในรูปด้วย พเยียยืนร้องเพลงอยู่ในแถวนักร้องประสานเสียงของโบสถ์
ชิษณุพงษ์ดีใจ “พเยีย แล้วกอหญ้าล่ะ”
ชิษณุพงษ์กวาดตาหาต่อไป เห็นที่มุมภาพ เป็นกอหญ้าก้มหน้าก้มตาดีดเปียโน เป็นภาพด้านข้างเห็นหน้าไม่ชัด แต่ชิษณุพงษ์ก็มั่นใจ บอกกับตัวเอง
“กอหญ้า ต้องเป็นกอหญ้าแน่ๆ”
แตงยื่นหน้ามาดูบ้าง เล่นเอาชิษณุพงษ์ตกใจ
“เห็นแต่จมูกกับผมยาวๆ คุณณุรู้ได้ยังไงว่าเป็นใคร บอกว่าเป็นแตงยังได้เลย”
ชิษณุพงษ์ผลักหัวแตงออก “ยุ่งน่ะ แล้วนี่ลุงเติมจะลงมาเมื่อไหร่”
แตงส่ายหน้า “ที่โรงไหมมีปัญหา เจ้าให้ลุงเติมไปช่วยดู ลุงเติมเลยให้” แตงทำท่ามั่นใจมาก “แตงมาอยู่ช่วยคุณณุแทน”
ชิษณุพงษ์ไม่เชื่อนัก “เธอเนี่ยนะ มาช่วยฉัน น้ำหน้าอย่างเธอจะทำอะไรได้”
“ไม่ลองไม่รู้ .. ยังไงสองหัวก็ดีกว่าหัวเดียวนะ คุณณุ”
แตงทำท่ามั่นอกมั่นใจ ชิษณุพงษ์มองหน้าแป้นแร้นของแตง ชั่งใจ
ที่บ้านอดิศวร คืนนั้น พรถือกระเป๋าใบเล็กๆ มาส่งให้อิศรที่คอยอยู่
“นี่ค่ะ เสื้อผ้าของใช้ของคุณอิศร”
“แล้วของคุณกอหญ้าล่ะ เสื้อผ้าชุดใหม่ที่จะใส่กลับบ้านพรุ่งนี้น่ะ”
“พรจัดลงไปในกระเป๋านี้แล้วค่ะ ชั้นนอกชั้นในอยู่ในนี้ครบ”
อิศรรับไป พรอดไม่ได้ถามอย่างเป็นห่วง
“คุณกอหญ้าไม่ได้เป็นอะไรมากใช่ไหมคะ”
อิศรไม่แน่ใจ “ไม่หรอกมั้ง ฉันไปก่อนนะ เดี๋ยวกอหญ้าตื่นขึ้นมาไม่เจอใครจะตกใจ”
อิศรจะไปแล้ว จู่ๆ โทรศัพท์บ้านดังขึ้น พรรีบไปรับ
“บ้านอดิศวรค่ะ” พรมีสีหน้าแปลกใจ “จะพูดกับคุณกอหญ้าเหรอคะ”
อิศรชะงัก เดินกลับมา ส่งสัญญานให้พร
“รอซักครู่นะคะ”
พรกดพักสาย อิศรรีบถาม
“ใครโทร.มาหากอหญ้า”
ส่วนที่บ้านชิษณุพงษ์เวลาเดียวกัน ชิษณุพงศ์ยืนกำกับอยู่ข้างๆ สั่งงานแตงที่ถือโทรศัพท์อยู่
“เธอบอกกอหญ้านะ ว่าคุณแม่วันเพ็ญให้โทร.มาหา”
“โทร.หาเรื่องอะไรล่ะ คุณณุ”
“ก็บอกว่าคุณแม่วันเพ็ญเป็นห่วง ให้เธอโทรมาถามสารทุกข์สุกดิบอะไรก็ได้ ฉันแค่อยากรู้ว่ากอหญ้าจะบอกว่าไม่รู้จักคุณแม่วันเพ็ญด้วยหรือเปล่า”
เสียงทางปลายสายดังขึ้นเหมือนมีคนรับ แตงรีบบอก
“รับสายแล้ว” แตงพูดเสียงหวาน “สวัสดีจ้ะ กอหญ้าใช่ไหมจ๊ะ”
อิศรพูดสาย
“คุณเป็นใคร โทร.มาหากอหญ้าเรื่องอะไร”
แตงตอบทันที ไม่มีติดขัด “ฉันโทร.มาจากคุณแม่วันเพ็ญ คริสตจักรอิงดอยจ้ะ คุณแม่ได้ข่าวจากลุงเติมว่ากอหญ้าอยู่ที่กรุงเทพฯ เลยเป็นห่วง ให้ฉันโทร.มาถามข่าวคราว”
อิศรนิ่งไป ชั่งใจว่าควรจะบอกดีหรือไม่
“ว่าไงคุณ กอหญ้าอยู่ที่นี่จริงหรือเปล่า ฉันขอพูดด้วยได้ไหม คุณแม่วันเพ็ญท่านเป็นห่วงกอหญ้ามากนะ”
อิศรคิดไปคิดมา ในที่สุดก็ตัดสินใจบอก
“กอหญ้าอยู่ที่บ้านนี้ก็จริงครับ แต่ตอนนี้คงติดต่อกับใครไม่ได้”
แตงฟังอิศรพูด แล้วหยุดยิ้ม อึ้งๆ ไป
“จ้ะ จ้ะ... ขอบคุณมากจ้ะ”
แตงวางสาย ชิษณุพงษ์ใจเสีย
“ว่าไง แตง วางสายทำไม กอหญ้าล่ะ”
“คุณกอหญ้าอยู่ที่โรงพยาบาล”
กอหญ้านอนนิ่ง หลับอยู่บนเตียงในห้องพักฟื้น มีพยาบาลตรวจดูอาการอยู่ ส่วนตรงทางเดินหน้าวอร์ด ชิษณุพงษ์เดินมากับแตง 2 คนหยุดยืนอยู่ที่ป้ายบอกเลขห้อง
“ทางนี้ คุณณุ” แตงบอก
ชิษณุพงษ์เดินไปตามทางลูกศรชี้ สั่งงานไปด้วย
“เดี๋ยวฉันจะเข้าไปคุยกับกอหญ้า ส่วนเธอเฝ้าต้นทางไว้ ถ้ามีใครมา รีบเข้าไปบอกฉัน”
“ไอ้ใครที่ว่าน่ะ ใครมั่งล่ะ หมอ พยาบาล ภารโรง” แตงกวนประสาท
“เงียบ”
ชิษณุพงษ์จุ๊ปาก แล้วกระชากแตงหลบเข้ามุมบริเวณนั่งเล่นที่ติดกับห้องพัก แตงงง ชิษณุพงษ์บุ้ยใบ้ว่ามีคนมา
2 คนเห็นอิศรหิ้วกระเป๋าเดินมากับหมอวิชาญ คุยกันมา
“ฉันตรวจดูแล้ว สมองไม่บวม เลือดไม่คั่ง สรุปว่าไม่มีอะไรผิดปกติ” หมอวิชาญบอก
“แล้วทำไมปวดหัวมากมายขนาดนั้น”
ชิษณุพงษ์เงี่ยหูแอบฟังอย่างสนใจ
“สงสัยว่าจะเป็นอาการข้างเคียงจากอุบัติเหตุรถคว่ำคราวที่แล้วมากกว่า ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ก็น่าเป็นห่วงมาก”
อิศรกับหมอวิชาญเดินเข้าไปในห้องกอหญ้า
ชิษณุพงศ์ยืนนิ่ง พยายามเรียบเรียงข้อมูลที่ได้ยินมา
“อุบัติเหตุรถคว่ำคราวที่แล้ว”
คำพูดของลุงเติมดังก้องในหัวชิษณุพงษ์
“หนูกอหญ้าลงมาทำธุระที่กรุงเทพฯ กับคุณแม่ยุพาครับ ระหว่างทางรถที่นั่งมาเกิดอุบัติเหตุ ทั้งคุณแม่ยุพาทั้งเจ้าของรถ เอ่อ เสียชีวิตทันที”
ชิษณุพงษ์ ตาเป็นประกายเจิดจ้า ยิ้มด้วยความดีใจ
ที่โต๊ะอาหารค่ำ ภายในห้องอาหารของวัง นภัสรพีนั่งเป็นประธาน นภาจรีกับนภดารานั่งประจำที่ แม่ชื่นยืนคุมสาวใช้รอเสิร์ฟ นภัสรพีคุยกับนภดารา สีหน้าเบื่อหน่ายกับความประพฤติของพเยีย
“แล้วนี่หนูกอหญ้าเป็นยังไงบ้าง โทรไปถามข่าวคราวหรือยัง”
“เห็นคุณอิศรบอกว่าไม่ได้เป็นอะไรมากค่ะ แต่หมอขอให้นอนพักที่โรงพยาบาลซักคืนเพื่อดูอาการ ลูกว่าพรุ่งนี้จะไปเยี่ยมแกค่ะ” นภดาราตอบ
“ก็ดี” คุณชายหันไปสั่งแม่ชื่น “แม่ชื่นช่วยสั่งดอกไม้ให้ที” แล้วหันมาทางนภดารา “พ่อฝากไปเยี่ยมด้วย บอกเค้าด้วยว่าพ่อเสียใจมาก ที่เค้าต้องมาเจ็บตัวในบ้านของเรา”
“แล้วแม่ตัวดีอยู่ไหนนี่ ป่านนี้ทำไมยังไม่ลงมา” นภาจรีถามขัดขึ้น
ศรีเดินค้อมตัวเข้ามา หน้าจ๋อยๆ แม่ชื่นถามทันที
“ว่าไง ศรี ที่ให้ไปตามคุณหนูพเยีย”
“คุณหนูไม่ยอมลงมาค่ะ”
นภดาราถอนใจ ขยับจะลุก นภัสรพีห้ามไว้
“ไม่ต้องไป นภดารา ถ้าง้อกันวันนี้ ก็ต้องตามง้องอนกันไปไม่มีที่สิ้นสุด” นภัสรพีหันไปหาแม่ชื่น “แม่ชื่น ตักข้าวเถอะ ฉันหิวแล้ว”
“ค่ะ คุณชาย”
แม่ชื่นพยักหน้าให้สาวใช้เข้ามาเสิร์ฟข้าว นภดาราหนักใจ นภัสรพีคุยกับแม่ชื่น ชื่นชมกับอาหารตรงหน้า ไม่ทุกข์ไม่ร้อน ส่วนนภาจรียิ้มสะใจ
พเยียนอนดูทีวี เห็นช๊อตอาหารบ้าง โฆษณาของกินบ้าง พเยียกดเปลี่ยนช่องไปมาอย่างหงุดหงิด ก่อนจะกดปิด โยนรีโมททิ้ง
“โอ๊ย หิว”
พเยียลุกจากเตียง ดูนาฬิกาเห็นว่าเป็นเวลา 5 ทุ่มแล้ว ตัดสินใจเปิดประตูเบาๆ ย่องออกไป
ห้องแพนทรีปิดไฟมืด พเยียเปิดตู้เย็นควานหาของกินมาประทังหิว เจอขนมปัง ช็อกโกแลต ผลไม้ พเยียคว้าของกินที่ชอบเต็มอ้อมแขนย่องออกมา จะกลับห้องนอน
ตรงทางเดินค่อนข้างมืด เปิดไฟไว้เพียงไม่กี่จุด เพราะคนในบ้านเข้านอนหมดแล้ว พเยียเดินมาแล้วได้ยินเสียงนภาจรีดังแปร๋นออกมาจากห้องสมุด
“พี่ชายคะ พี่ชาย”
พเยียรีบฉากหลบ นภัสรพีเดินหนี มีนภาจรีเดินตามเซ้าซี้
“เดี๋ยวก่อนสิคะ พี่ชาย” นภัสรพีหยุดเดิน “พี่ชายยังไม่ตอบน้องเลย ว่าจะจัดการกับมันยังไง”
พเยียตาวาววับ เงี่ยหูฟัง
“ใจเย็นๆ ก่อนเถอะน่ะ เอาไว้ถ้าพเยียสร้างปัญหาอีกครั้งเดียว พี่จัดการกับแกเอง”
“ทำไมต้องมีอีกครั้งคะ นังเด็กนั่นมันทำจนยัยกอหญ้าเข้าโรงพยาบาลไปแล้ว พี่ชายยังจะรออะไรอีก”
นภัสรพีมองนภาจรีอย่างอ่อนใจ นภาจรีไม่หยุด พยายามโน้มน้าว
“พี่ชายเคยบอกน้อง ให้คิดเสียว่า เอาลูกหมาข้างถนนมาเลี้ยงเอาบุญ แต่ถ้าหมาตัวนั้น มันเป็นหมาบ้าไล่กัดคนไปทั่ว พี่ชายจะเลี้ยงมันไว้ทำไมคะ”
พเยียนิ่งฟัง เห็นนภัสรพีนิ่งอึ้ง
“เธอต้องการอะไรกันแน่ หญิงนภา”
“กำจัดมันไปเถอะค่ะ พี่ชาย เฉดมันออกไปจากศิวาลัยซะ พี่ชายก็รู้อยู่เต็มอกว่าเด็กคนนี้ไม่ได้เป็นอะไรกับเราซักนิด จะไปทนเลี้ยงมันเอาไว้ทำไม”
พเยียได้ยินทุกคำชัดเจน ถึงกับทรุดลงกับพื้น มือบีบขนมในมือแน่นจนปริแตกออกมา ตัวเย็นเฉียบ ด้วยความแค้นปนหวาดกลัว
แผนรักแผนร้าย ตอนที่ 4 (ต่อ)
แสงแดดยามเช้าสาดส่องเข้ามาในห้องเห็นลำแสงสวยงาม กอหญ้านอนหลับตาอยู่บนหมอนสีขาวสะอ้าน หลับตาพริ้ม ใบหน้าระบายยิ้มบางๆ อย่างมีความสุข เหมือนคนหลับฝันดี
กอหญ้าฝันว่าตัวเองอยู่ในทุ่งหญ้าเขียวขจีงดงาม นั่งเล่นเปียโนสีขาวอยู่กลางเนินเขาสวย รอบตัวมีดอกหญ้า ดอกไม้ธรรมชาติหลากสีบานสะพรั่ง กอหญ้าร้องเพลงเสียงสดใส
ทันใดนั้น เมฆฝนทะมึนมาเคลื่อนตัวมาอย่างรวดเร็วปกคลุมท้องฟ้าเบื้องบนจนมืดมิด ลมแรงโหมพัดกระหน่ำ บรรยากาศรอบข้างมืดลงทันที
กอหญ้าตกใจลุกขึ้น ละล้าละลัง จู่ๆ สายฟ้าฟาดเปรี้ยงลงมาเป็นเส้นไกลๆ กอหญ้าตื่นตระหนก ตัดสินใจวิ่งหนี
ท่ามกลางความมืด สายฟ้าฟาดเปรี้ยงๆ ไล่ตามมาจนใกล้ตัวกอหญ้ามากขึ้น กอหญ้าวิ่งหนีด้วยความหวาดกลัว จนสะดุดหกล้ม
กอหญ้าเงยหน้าขึ้นมามอง เห็นเงาร่างของพเยียดำทะมึนอยู่ตรงหน้าอย่างเอาเรื่อง แล้วสายฟ้าก็ฟาดเปรี้ยงลงมา แสงสว่างเจิดจ้าจนตาแทบบอด กอหญ้าหลับตาอย่างหวาดกลัว
พร้อมกันนั้น กอหญ้าก็รู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรงที่หัวจน กรีดร้องเสียงดังลั่นห้อง
“โอ๊ย.....”
ภายในห้องพักฟื้น ของโรงพยาบาล กอหญ้าสะดุ้งสุดตัว ลุกขึ้นนั่ง กุมหัวด้วยความเจ็บปวด อิศรเด้งตัวจากโซฟาที่นอนอยู่ ถลันเข้ามาหาที่เตียงทันที
“กอหญ้า เป็นอะไร”
กอหญ้าลืมตา ระล่ำระลัก
“ฉันกลัว”
อิศรกอดไว้ “ไม่ต้องกลัว ฉันอยู่นี่แล้ว”
ระหว่างนั้นพยาบาลถือแฟ้มวิ่งเข้ามา กอหญ้าขยับตัวออกจากอ้อมกอดของอิศร
“คนไข้เป็นอะไรคะ”
“ไม่มีอะไรครับ แค่ฝันร้าย” อิศรบอก
พยาบาลเข้ามาตรวจเช็คทั่วๆ ไปอย่างรวดเร็ว เห็นว่าปกติดี
“ถ้ามีอะไรผิดปกติกดเรียกทันทีเลยนะคะ”
“ค่ะ ขอบคุณมากค่ะ”
พยาบาลออกไป อิศรถาม
“บอกฉันได้ไหม ฝันเห็นอะไร ทำไมกลัวขนาดนี้”
กอหญ้ายังหน้าซีด พูดเสียงแผ่วเบา
“ฉันเห็นตัวเอง อยู่บนเนินเขา แล้วจู่ๆ มันก็มืดไปหมด แล้วก็มีคน...” กอหญ้าอึ้งไป
อิศรตื่นเต้น “ใคร”
กอหญ้านิ่งไป ไม่แน่ใจ “ไม่รู้ค่ะ ฉันเห็นแค่เงาดำๆ”
“มันทำอะไรเธอ ในฝันน่ะ”
กอหญ้าส่ายหน้า “เปล่าค่ะ แต่ฉันเห็นเค้าแล้วฉันกลัวมาก แล้วก็เจ็บหัวจี๊ดขึ้นมาทันทีเลย”
อิศรฟังแล้วนิ่งอึ้งไป
ขณะที่พยาบาลเดินถือแฟ้มประวัติของกอหญ้าเดินมา ไม่รู้ตัวว่าแตงสะกดรอยตามมาห่างๆ พยาบาลมาถึงเคาน์เตอร์หน้าวอร์ด เอาแฟ้มวาง ยังไม่ทันจะเก็บ แตงที่รอจังหวะอยู่ ก็วิ่งเข้าไปหาหน้าตาตื่น
“คุณพยาบาลคะ เพื่อนหนูค่ะ อยู่ดีๆ ก็ชักขึ้นมา คุณพยาบาลช่วยไปดูหน่อยได้เถอะค่ะ”
“ค่ะ ห้องไหนคะ” พยาบาลถาม
แตงชี้ไป “ห้องริมสุดทางเดินโน่นน่ะค่ะ”
พยาบาลรีบหยิบ Stethoscope เครื่องวัดความดัน วิ่งออกไปทันที แตงวิ่งตามไปพอเป็นพิธี ชิษณุพงษ์ที่แอบอยู่ รีบวิ่งไปที่เคาน์เตอร์พยาบาล คว้าแฟ้มที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมา ชิษณุพงษ์รีบเปิดดู อ่านปราดๆ ไปตามหน้าต่างๆ แตงที่ยืนเฝ้าต้นทางอยู่ ร้องบอก
“หมดเวลาแล้ว คุณณุ”
ชิษณุพงศ์เอาโทรศัพท์มือถือถ่ายประวัติเอาไว้
พยาบาลวิ่งกลับมา แตงกับชิษณุพงษ์วิ่งหนีไปได้อย่างหวุดหวิด
สองคนอยู่ตรงมุมหนึ่งของโรงพยาบาล แตงหอบแฮ่กๆ
“ได้เรื่องไหม คุณณุ”
ชิษณุพงษ์ชูโทรศัพท์ “อยู่ในนี้หมดแล้ว ทีนี้ล่ะ จะได้รู้กันซะที ว่ากอหญ้าคนนี้คือคนเดียวกันกับที่เชียงใหม่หรือเปล่า”
ส่วนที่วังศิวาลัยนภดาราอยู่หน้ากระจก แต่งตัวเตรียมจะออกไปข้างนอก แม่ชื่นเข้ามา
นภดาราถาม
“ไปด้วยกันไหมคะ แม่ชื่น ฉันไปเยี่ยมหนูกอหญ้าเสร็จแล้ว จะแวะไปตลาดด้วย”
“ไปซีคะ จะได้ไปคอยดูแลคุณด้วย” แม่ชื่นพยายามซ่อนสีหน้ากังวล
นภดาราเห็นสีหน้าของชื่น อดทักถามไม่ได้
“มีอะไรหรือเปล่าจ๊ะ”
แม่ชื่นชั่งใจ ว่าจะตอบหรือไม่ตอบ แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจ
“ตอนแรกชื่นไม่อยากบอก กลัวคุณจะกังวล แต่จะช้าจะเร็ว คุณก็ต้องรู้อยู่ดี คุณหนูพเยียน่ะค่ะ เธอหายไปไหนก็ไม่รู้”
นภดาราตกใจ “อะไรนะ!”
ไม่นานนักนภดาราเปิดประตูเข้าไปในห้องพเยีย เห็นในห้องว่างเปล่า
“พเยีย ลูก .. พเยียไปไหน”
แม่ชื่นเดินตามเข้ามา อธิบาย ชี้ให้ดูซองขนมและขยะอาหารในถังขยะ
“ของกินเกลื่อนห้องเลยค่ะ ในถังขยะนั่นก็เต็มไปหมด คงขนมาทานตั้งแต่เมื่อคืน”
“แปลว่าคงเพิ่งหนีไปเมื่อเช้า”
“ค่ะ แต่คงไม่ได้หนีไปไหนไกลหรอกค่ะ เสื้อผ้าข้าวของส่วนใหญ่ก็ยังอยู่มีแต่กระเป๋าสตางค์กับโทรศัพท์ที่หายไป” น้ำเสียงแม่ชื่นอ่อนอกอ่อนใจ “คงแค่ทำฤทธิ์ทำเดช หวังจะให้คุณเกรงใจ ก็เท่านั้นเอง”
นภดาราหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทร.หาพเยีย รออยู่นานแต่พเยียไม่รับ นภดาราตัดสินใจฝากข้อความเสียง
“พเยีย นี่แม่นะลูก หนูอยู่ที่ไหน รีบกลับมาบ้านเถอะนะคะ แม่เป็นห่วง แม่รักลูกนะจ๊ะ”
นภดาราวางสาย ถอนใจหนักหน่วย ท่าทีกลัดกลุ้ม
พเยียอยู่ในร้านฟาสต์ฟู้ด กดฟังข้อความเสียงของนภดารา ท่าทีเบื่อหน่ายแกมกลุ้ม
“แกรักฉันแล้วไง คนอื่นในบ้านนั้นจ้องจะฉีกฉันเป็นชิ้นๆ น้ำหน้าอย่างแกจะมาช่วยอะไรฉันได้”
พเยียกระแทกโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ มือไปโดนถาดเลื่อนตก เครื่องดื่มกระเด็นหวือไปที่ทางเดิน และไปโดนรองเท้าของลูกค้าคนหนึ่งที่เพิ่งเดินเข้ามา
ลูกค้าชายคนนั้นแต่งตัวตัวจัด ใส่หมวก สวมแว่นตาอันโต หันมองพเยียอย่างไม่สบอารมณ์
พเยียกระแทกเสียง “โทษทีค่ะ”
ชายคนนั้นชะงัก มองพเยียไม่วางตา ค่อยๆ ถอดแว่นออก
พเยียเห็นหน้าชายคนนั้นชัดๆ อ้าปากค้าง เพราะเขาคือ นภดล กิ๊กที่เชียงใหม่นั่นเอง
นพดลเขม้นมองพเยีย เห็นแต่งตัวเปรี้ยว หรู ถือกระเป๋าแบรนด์เนมใบโต ดูท่าทางรวยมาก
“พเยีย เฮ้ย นั่นพเยียจริงๆ เหรอนี่”
พเยียไม่ตอบ ยกแว่นสวมปิดหน้า แล้วเดินจ้ำอ้าวหนีออกจากร้านอย่างเร็วรี่ นพดลเดินตาม
“พเยีย เดี๋ยวก่อนซี พเยีย นี่พี่ไง พี่นพ”
พเยียวิ่งหนีเตลิดเปิดเปิง นพดลยิ่งสงสัย วิ่งกวดไล่ตามไม่ลดละ พเยียวิ่งขึ้นบันไดเลื่อน หนีไม่คิดชีวิต
พเยียวิ่งหน้าตั้งหนีสุดชีวิต เหลือบไปทางด้านหลังเห็นนพดลยังตามมา พเยียหันไปเห็นร้านขายเสื้อผ้าผู้หญิงหรู ตัดสินใจหนีเข้าไปในนั้น นพดล เห็นพเยียหลบแว้บเข้าไปในร้าน รีบพุ่งตัวตามติด
พอนภดลเข้ามาด้านในร้าน เห็นหลังพเยียหายเข้าไปด้านหลังร้าน นภดลทำท่าจะตามเข้าไป พนักงานขายหญิงเข้ามาขวางไว้อย่างสุภาพ
พนักงานขายยิ้ม “ขอประทานโทษค่ะ เข้าไม่ได้นะคะ ด้านหลังเป็นห้องลองเสื้อของผู้หญิงค่ะ”
“แฟนผมอยู่ในนั้น คนที่เข้าไปตะกี๊นี้ไง”
พนักงานขายชะงัก ลังเล นพดลเร่ง
“ผมมีธุระ ขอเข้าไปคุยกับเค้าหน่อย แป๊บเดียวเอง”
พเยียหลบอยู่ในห้องลองชุด แง้มประตูแอบดูสถานการณ์ เห็นพนักงานขายเดินนำนพดลเข้ามา พเยียรีบปิดประตูล็อกห้อง ใจเต้นระรัว
พนักงานขายบอกนพดลให้หยุดรอที่ทางเข้าห้องลอง
“คุณรอตรงนี้นะคะ ดิฉันจะเข้าไปตามให้”
พนักงานเดินเข้ามา สองข้างทางเดินมีห้องลองเสื้อเรียงราย มีสองห้องที่ปิดอยู่ ห้องพเยียและห้องที่อยู่ตรงข้ามกัน พนักงานขายมาหยุดที่หน้าห้องพเยีย
“คุณคะ ลองเสื้ออยู่หรือเปล่าคะ”
พเยียอยู่ในห้องลองเสื้อ สีหน้าหงุดหงิด บ่นพึมพำ
“บ้าเอ๊ย เอาไงดี”
ส่วนนพดลทำหน้าเร่งเร้า พนักงานเรียกอีก
“คุณคะ คุณผู้ชายเพื่อนคุณรออยู่ข้างนอกห้องนะคะ เห็นว่ามีธุระด่วนค่ะ”
ทันใดนั้น ประตูห้องตรงข้ามห้องที่พเยียอยู่เปิดปัง! สกุณาเดินออกมาจากห้องลอง มีเสื้อผ้าหลายชุดเต็มอ้อมแขน ถามอย่างกึ่งสงสัยกึ่งรำคาญ
“มีอะไรกัน”
พนักงานยังไม่ทันตอบ นพดลตกใจร้องขึ้น
“พี่!”
สกุณาหันไปเห็นนพดล ตกใจกว่า รีบยัดเสื้อในอ้อมแขนให้พนักงาน สั่งเสียงดุ
“ฉันเอาหมดนี่ ไปคิดเงินแล้วใส่ถุงให้ด้วย” สกุณาดันพนักงานขายออกไป “ไปซี”
พนักงานหอบเสื้อผ้าออกไป พอลับตา สกุณาคว้าแขนนพดลเข้ามาด้านใน ถามอย่างไม่พอใจ
สกุณาพูดเสียงไม่ดังนัก “มาทำไมเนี่ย นพ”
พเยียอยู่ในห้องได้ยิน ชะงัก แอบเงี่ยหูฟัง
นพดลพยายามอธิบาย
“คือผมมาหา...”
นพดลยังพูดไม่จบ สกุณาก็สวนอย่างร้อนใจ
“มาหาทำไม พี่เคยบอกแล้วใช่ไหม ว่าถ้าเจอกันข้างนอก ห้ามเรียก ห้ามทัก ห้ามทำท่าว่ารู้จักพี่เด็ดขาด นพจำไม่ได้หรือไง”
พเยียยิ่งฟังยิ่งสนใจ พยายามแอบดูจากร่องรูที่ประตู เห็นนภดลคุยกับสกุณาชัดเจน นพดลไม่ค่อยพอใจกับท่าทีรังเกียจของสกุณา เลฃยตอบแบบรำคาญๆ
“ผมไม่ได้มาหาพี่หรอกน่ะ ผมมาตามเพื่อน เพื่อนผมเข้ามาในนี้”
สกุณาตกใจ “ตายล่ะ ยิ่งแล้วใหญ่เลย เธอจะให้เพื่อนเธอเห็นหน้าพี่ไม่ได้นะ” สกุณาผลักนพดลออก “เธอออกไปเดี๋ยวนี้นะ นพ”
“แต่ว่าผม...”
นพดลยังสนใจมองไปในห้องลองอีกห้องที่ปิดอยู่ ไม่ยอมไป สกุณาควักเงิน 4-5 พันออกมา ยัดใส่มือนพดล กระซิบเสียงดุ
“บอกให้ไปก็ไปซี อย่าดื้อนะ...พี่ขอ แล้วว่างๆ พี่จะแวะไปหา” ผลักนพดลไปอีก “ออกไป”
สกุณาแทบจะลากนพดลออกไป นพดลหันมองห้องเสื้อที่ปิดอยู่ มั่นใจว่ามีคนอยู่ แต่จำใจต้องออกไปกับสกุณา
พเยียยืดตัวขึ้นมาจากที่แอบมองทางช่องประตู ท่าทางโล่งใจ
“เฮ้อ รอดตัวไป ..ไอ้พี่นพเอ๊ย หลอกเราว่ามาอยู่กรุงเทพฯ ได้เป็นนายแบบ ที่แท้ก็เป็น...”
พเยียส่ายหัว ยิ้มเยาะหยัน
ด้านกอหญ้าอยู่ในชุดคนไข้ นั่งอยู่ในห้อง อิศรปิดทีวี ท่าทางหงุดหงิด
“ไม่เห็นมีอะไรดูเลย” อิศรเดินวนเวียนไปมา ท่าทางเหมือนเด็กซนๆ เอาแต่ใจ “เบื่อไหม”
กอหญ้ายิ้มขำอิศร “ไม่ค่ะ”
“แต่ฉันเบื่อนี่”
“คุณเบื่อคุณก็ไปซี คุณไม่ได้เป็นอะไรซักหน่อย จะมาอยู่โรงพยาบาลทำไม”
อิศรกระโดดมานั่งบนเตียง ชิดกอหญ้า
“อ๋อ ไล่เหรอ พอหายดีแล้วเก่งใหญ่นะ ยัยโก๊ะอย่างเธอ พอไม่มีฉันคอยดูแล ดูสิ เป็นยังไง”
กอหญ้าลืมตัว เถียง “ฉันไม่ได้โก๊ะ”
“แล้วเดินยังไงถึงลื่นหกล้มหัวแตก”
“ฉันไม่ได้ลื่น” กอหญ้านึกได้ ชะงัก
“อะไรนะ”
“เปล่าค่ะ”
“เปล่าอะไร ตะกี๊เธอกำลังจะพูดอะไร เธอพูดว่าไม่ได้ลื่น ใช่ไหม”
กอหญ้าเอามือปิดปาก ส่ายหน้า อิศรยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆ จ้องตา
“จะพูดอะไร พูดมา อย่ามาทำเป็นลับลมคมนัย”
กอหญ้าส่ายหน้า ทำเสียงปฏิเสธ
“พูดมาซะดีๆ ไม่งั้น ...” อิศรคิดๆ ว่าจะทำอะไรดี แล้วนึกได้ “ไม่งั้น ฉันจะจูบเธอ”
กอหญ้าตกใจ เผลอเอามือออกจากปาก ร้องลั่น “ห๊ะ”
อิศรจับมือกอหญ้าไว้ จ้องตา ทำหน้าเอาจริง
“จะพูดไหม” เห็นกอหญ้านิ่งอิศรบอกต่อ “ฉันจูบจริงๆ นะ หนึ่ง...” ยื่นหน้าชิดเข้าไปอีก “สอง...”
กอหญ้าใจสั่น รู้ว่าอิศรเอาจริง ถ้าตนไม่ยอมพูด
ช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานนั้น จู่ๆ มีเสียงประตูเปิดเข้ามา อิศรผละออก นภดาราเดินเข้ามาในห้อง แม่ชื่นถือกระเช้าดอกไม้ตามมาด้วย
กอหญ้าดีใจมา “คุณอานภดารา”
“กอหญ้า ฉันมาเยี่ยมหนูจ้ะ ไม่ทราบว่ามารบกวน...” นภดาราเอ่ยทักทาย มองไปทางอิศร
อิศรรีบบอก “ไม่รบกวนครับ .. เชิญครับ คุณอา เชิญ”
แม่ชื่นกับนภดาราอมยิ้ม มองอย่างรู้ทัน อิศรยิ้มเขิน
แม่ชื่นวางดอกไม้เยี่ยมไว้ตรงโต๊ะที่ข้างเตียง
“คุณชายนภัสรพีให้ป้าเอาดอกไม้มาเยี่ยมคุณค่ะ”
กอหญ้ายกมือไหว้ “ฝากเรียนท่านด้วยนะคะ คุณป้า ว่าหนูขอบพระคุณมาก ความจริงท่านไม่น่าต้องลำบากเลย”
“ไม่ลำบากหรอกจ้ะ เท่านี้มันเทียบไม่ได้เลย กับสิ่งที่เกิดขึ้นกับหนู” นภดาราขยับเข้ามากุมมือกอหญ้า พูดจริงจัง “พวกเราทุกคนเสียใจมากนะจ๊ะ ที่เกิดเรื่องไม่ดีขึ้นในบ้านของเรา แล้วทำให้หนูต้องมาเจ็บตัวแบบนี้”
อิศรที่ฟังอยู่ เอะใจขึ้นมา
“คุณอาหมายความว่ายังไงครับ” อิศรเห็นนภดาราหน้าจ๋อย เดาเรื่องได้ เอะอะเสียงดัง “ที่กอหญ้าเป็นแบบนี้ ไม่ใช่อุบัติเหตุใช่ไหม”
กอหญ้าทำหน้าตกใจที่ความลับแตก อิศรยิ่งโมโห
“นี่ใช่ไหม กอหญ้า เรื่องที่เธอไม่ยอมบอกฉัน มีคนทำร้ายเธอใช่ไหมมันเป็นใคร” กอหญ้าไม่พูด อิศรหันไปใส่นภดารา “คุณอาครับ มันเป็นใคร”
นภดาราพูดบอกเสียงอ่อย “พเยีย ลูกสาวของอาเองจ้ะ อิศร พเยียแกเกิดน้อยเนื้อต่ำใจยังไงขึ้นมาไม่ทราบ แกเลยไปลงเอากับหนูกอหญ้า”
อิศรโกรธจัด กอหญ้ารีบไกล่เกลี่ย
“เรื่องแค่นี้เอง ไม่เป็นไรหรอกค่ะ”
อิศรเสียงขุ่น ฉุนขาด “หัวแตกจนต้องเข้าโรงพยาบาลเนี่ยนะ ไม่เป็นไร”
“ที่แตกมันก็หัวฉัน ฉันบอกว่าไม่เป็นไร แล้วคุณจะโวยวายทำไม”
อิศรมองกอหญ้า อยากจะซัดซักที หมั่นไส้และโมโห ที่กอหญ้าไม่เข้าใจความห่วงใยของเขา นภดาราพูดอย่างอ่อนโยน
“อาและทุกคนที่วังก็เสียใจมากนะจ๊ะ อิศร ที่อามาที่นี่ เพราะอยากจะขอโทษหนูกอหญ้าด้วยตัวของอาเอง”
“ครับ” อิศรเมินหน้า อารมณ์ยังขุ่นมัวพูดประชด “ขอโทษก็ง่ายดี”
กอหญ้ามองอิศรอย่างอ่อนใจ นภดาราหน้าเสีย แม่ชื่นที่ยืนฟังอยู่ห่างๆ เสริมขึ้นมานิ่มๆ
“ที่คุณอิศรพูดก็ถูกค่ะ หนูกอหญ้าเจ็บขนาดนี้ แค่คำขอโทษคงไม่พอ แต่ที่คุณดารามาวันนี้ ไม่ใช่แค่มาขอโทษ แต่มาขอไถ่โทษ”
นภดาราหันมาพูดกับกอหญ้า “ฉันยินดีทำทุกอย่าง หนูว่ามาเลยจ้ะ ว่าฉันต้องทำยังไงหนูถึงจะหายโกรธ ยอมยกโทษให้พเยีย”
“หนูไม่โกรธหรอกค่ะ คุณบอกคุณพเยียได้เลย ว่าหนูยกโทษให้ แล้วถ้าหากว่าหนูเคยทำอะไรให้คุณพเยียไม่พอใจ ก็ขอให้คุณพเยียยกโทษให้หนูด้วย จะได้จบกันแค่นี้…ดีไหมคะ”
ทั้งนภดาราและชื่นได้ยิน ยิ่งชื่นชมความดีของกอหญ้า
“โถ แม่คุณ น่ารักอะไรอย่างนี้” หญิงชรายิ้มปลื้ม
“ขอบใจหนูมากนะจ๊ะ กอหญ้า”
ทุกคนยิ้มให้กัน ยกเว้นอิศร ที่พูดขัดคอขึ้นมา น้ำเสียงจริงจัง
“แต่ในฐานะที่ผมเป็นคนดูแลกอหญ้า ผมอยากจะขออะไรซักอย่าง”
นภดาราถามทันที “อิศรจะขออะไรจ๊ะ”
“นับจากนี้ไป กอหญ้าจะไม่ไปที่วังศิวาลัยอีก ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรผมไม่ต้องการให้กอหญ้าพบกับคุณพเยียอีกเลย ตกลงนะครับ”
นภดาราอึ้งๆ แล้วจำใจพยักหน้าอย่างไม่เต็มใจ
บนถนนบรรยาสวยร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ใหญ่ รถของนภดาราแล่นไป ในรถนภดารานั่งเศร้า แม่ชื่นปลอบโยนอยู่ข้างๆ
“คุณหนูพเยียทำหนูกอหญ้าเจ็บขนาดนั้น คุณอิศรเธอก็ต้องกลัวเป็นธรรมดาล่ะค่ะ”
“ฉันอยากรู้จริงๆ ว่าเด็กสองคนนี้เค้ามีเรื่องอะไรกัน ลำพังแค่หวงแม่พเยียไม่น่าทำรุนแรงขนาดนั้น”
แม่ชื่นออกความเห็น “ดูท่าหนูกอหญ้าเธอก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่าคุณพเยียโกรธเธอเรื่องอะไร
ก็คงมีคุณพเยียคนเดียวล่ะค่ะ ที่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร”
นภดาราเหนื่อยล้าอ่อนอกอ่อนใจ
“ฉันถามเค้าได้ที่ไหนล่ะ โทร.ไปหาตั้งไม่รู้กี่ครั้ง ก็ไม่รับสายฝากข้อความไว้ก็ไม่โทร.กลับ” นภดาราน้ำตาซึม “บาปกรรมมีจริงนะคะ แม่ชื่น ตอนลูกเด็กๆ ฉันทอดทิ้งเค้า ทำให้เค้าเสียใจ ตอนนี้ฉันเลยต้องมาชดใช้ ต้องมาเสียใจกับสิ่งที่ลูกทำ”
นภดาราร้องไห้ออกมาอย่างสุดกลั้น
“โถ คุณ”
แม่ชื่นสงสารนัก ลูบหลังลูบไหล่ปลอบ
นภดาราเครียดขึ้นมาอีก “ฉันคิดว่าถ้าได้ลูกกลับมาแล้วจะมีแต่ความสุข ไม่นึกเลยว่าจะเป็นแบบนี้...” หอบหายใจแรง ถี่กระชั้นขึ้น อาการกำเริบ
แม่ชื่นเห็นอาการของนภดารา ก็ตกใจ
“ว้าย คุณ” หญิงชราลนลาน “ทำใจดีๆ นะคะ” ค้นกระเป๋าวุ่นวาย “ยา ยาอยู่ไหน”
แม่ชื่นเจอขวดยา งกๆ เงิ่นๆ เทยาที่เหลืออยู่เม็ดเดียวออกมา รถสะเทือน ยาเม็ดเล็กตกกระเด็นไปใต้เบาะ แม่ชื่นยิ่งลนลานหนัก หันไปเร่งคนขับรถเสียงสั่น
“วิชัย คุณดาราอาการกำเริบอีกแล้ว ขับรถกลับวังให้เร็วที่สุด”
“ครับ”
วิชัยเร่งความเร็วขึ้น แต่ยังไม่ทันใจแม่ชื่น มองนภดาราหายใจถี่ หน้าซีดเผือด หญิงชราบีบนวดมือท่าทีลนลาน กังวลหนัก
ทางด้านพเยียเปิดประตูรถ โยนถุงช้อปปิ้ง 2-3 ถุงที่ซื้อแก้เซ็งเข้าไปข้างใน แล้วลงไปนั่งที่นั่งคนขับ พเยียนิ่งคิด เซ็ง ถอนใจ
“กลับไปถึงวัง คงโดนหนักแน่ ..เอายังไงดีวะ”
พเยียคิดไปคิดมา จู่ๆ โทรศัพท์ดังขึ้น เป็นเบอร์ “วังศิวาลัย” พเยียนิ่วหน้า
“เบอร์ที่วัง ไม่ใช่เบอร์คุณแม่...ใคร...โทร.มาทำไม”
พเยียกดวาง โทรศัพท์ดังขึ้นอีก พเยียเริ่มหงุดหงิด
“เอ๊า ยังจะโทร.มาอีก อะไรกันนักหนา” พเยียกดรับสายเสียงขุ่น “ฮัลโหล”
นภาจรีอยู่ที่ห้องโถงวังศิวาลัย พูดสาย หน้าตาบึ้งตึง เสียงขุ่นเขียว
“เธออยู่ที่ไหน แม่พเยีย กลับมาที่ศิวาลัยเดี๋ยวนี้”
พเยียไม่พอใจ “มีธุระอะไรคะ”
“ฉันน่ะไม่มีธุระอะไรกับเธอหรอกย่ะ แต่นภดาราเขาไม่สบายมาก เขาเรียกหาเธอ”
พเยียแปลกใจ “คุณแม่ไม่สบาย! เป็นอะไรคะ!”
นภาจรีพูดประชด “คงตรอมใจเพราะมีลูกอย่างเธอล่ะมั้ง จะอะไรเสียอีก” นภาจรีบ่นอย่างลืมตัว “นี่เห็นแก่นภดาราหรอกนะ ฉันถึงโทร.มาตามเธอกลับไม่งั้นล่ะก็ จะไสหัวไปไหนก็ไปเถอะ ไปแล้วไปลับ ไม่กลับมาเลยยิ่งดี”
นภาจรีพูดจบก็กระแทกหูโครม พเยียยิ่งโมโห
“อีนังบ้า ด่าดีนัก เดี๋ยวไม่กลับซะเลยนี่ ปล่อยให้หลานแกชักตายไปเลย”
พเยียพูดจบ ก็ได้คิดอะไรขึ้นมา ตาวาววับ แล้วค่อยๆ ยิ้มออกมา
“จริงสิ ถ้าเราไม่กลับไป คุณแม่อาจจะเสียใจจนเป็นอะไรไปก็ได้...ไม่มีเราซะคน หม่อมหลวงนภดาราจะอยู่ต่อไปได้ยังไง”
พเยียยิ้มร้าย เห็นทางออกที่จะต่อสู้กับนภัสรพีและนภาจรีแล้ว
ติดตาม "แผนรักแผนร้าย" ตอนที่ 5