xs
xsm
sm
md
lg

รากบุญ ตอนที่ 6

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


รากบุญ ตอนที่ 6 
“ใจเย็นๆ ก่อนครับพี่จิต” พิสัยทำเป็นพูดกับลาภิณ “คุณต้นครับ พี่จิตห่วงคุณต้นมากนะครับ กลัวว่าคุณจะพลาดท่าเสียรู้เด็กนั่น...พวกเราถึงได้อยากให้คุณแต่งงานกับคนที่ดีพร้อมอย่างคุณปริมไปซะเร็วๆ คุณต้นเข้าใจความหวังดีของพวกเราบ้างเถอะครับ”
“สำหรับคุณแม่ผมเข้าใจ แต่สำหรับน้าพิสัย ผมยังงง” ลาภิณจ้องหน้า “จะมาเป็นตัวตั้งตัวตีเรื่องนี้ทำไม”
ชูจิตไม่พอใจแทน “เกินไปแล้วนะต้น พูดจาไม่น่ารักเลย”
“ไม่เป็นไรหรอกครับพี่จิต”พิสัยหันมาพูดกับลาภิณต่อ “โอเค ถ้าคุณต้นยังไม่อยากแต่งตอนนี้ เพราะอยากมุ่งงานให้เข้าที่เข้าทางงั้นก็หมั้นไว้ก่อนก็ได้นี่ครับ ทุกคนจะได้สบายใจขึ้น แค่หมั้น ชีวิตคุณต้นก็ยังทุ่มเทให้งานได้เหมือนเดิม คิดซะว่าทำเพื่อความสบายใจของคุณแม่เถอะครับ”
ลาภิณขรึมลงเพราะเมื่อพิสัยพูดอย่างนี้ เขาก็ดันทุรังต่อไปไม่ได้เหมือนกัน

เวลาต่อมา ปริมกำลังวีนใส่พิสัยอยู่ที่ร้านขนมหวาน
ปริมโมโห “คุณเจ้ากี้เจ้าการเกินไปแล้ว ฉันไม่ได้ตกต่ำถึงขนาดต้องบังคับให้ผู้ชายมาหมั้นด้วยหรอกนะ”
พิสัยส่ายหน้า “ผู้หญิงนี่เข้าใจยากซะจริง แล้วที่คุณตามหึงหวงไอ้ต้นซะขนาดเนี้ย ไม่ใช่เพราะต้องการแบบนี้หรอกเหรอะ อย่ามาทำเล่นตัวไปหน่อยเลย” พิสัยบ่นพึมพำ “ใจจริงก็อยากหมั้นจนตัวสั่น”
ปริมโมโห “พูดจาให้เกียรติกันมั่งนะ ฉันไม่ได้เล่นตัว แต่ฉันก็มีศักดิ์ศรีของฉันเหมือนกัน”
“เอ๊ะ คุณนี่ พูดไม่เข้าใจซักที ถ้าคุณยังขืนเรื่องมากอยู่ยังงี้ก็เตรียมตัวเสียมันไปได้เลย ผมช่วยคุณได้แค่นี้แหละ” พิสัยจ้องหน้า “ตกลงไม่หมั้นใช่มั้ย ผมจะได้ไปบอกพี่จิต”
ปริมค้อนประหลับประเหลือกใส่พิสัย พิสัยสะแหยะยิ้มดูถูกอยู่ในทีเพราะมั่นใจว่าปริมอยากหมั้นแต่ฟอร์มจัด

พิสัยยืนล้วงกระเป๋ากางเกงทอดสายตามองผืนน้ำอยู่ริมแม่น้ำ โดยมีปองและย้งยืนรอรับคำสั่งอยู่ใกล้ๆ
ย้งแปลกใจ “ผมไม่เข้าใจเลยครับ ว่าคุณพิสัยจะเชียร์มันทำไม ถ้าไอ้ลาภิณมันได้เมียเป็นลูกรัฐมนตรี เราก็ยิ่งจัดการมันยากเข้าไปใหญ่สิครับ”
พิสัยยิ้มเจ้าเล่ห์ “เอาน่า ฉันมีสัญญากับหนูปริมอยู่ ขอให้มันได้แต่งงานกันก่อนเถอะ ฉันเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของนิราลัยได้ไม่ยากหรอก”
“ไม่กลัวนังนั่นมันจะเบี้ยวเอาเหรอครับ” ปองถาม
“มันไม่กล้าหรอก...ห่วงแต่เรื่องของพวกเอ็งเถอะ” พิสัยหันมองหน้าทั้งสองคน “งานคืนนี้อย่าให้พลาดก็แล้วกัน”
“ไม่ต้องห่วงครับ ผมรับรองว่าโรงงานหีบศพของพวกมันได้เข้าเตาเผาคืนนี้แน่นอน” ปองบอก
พิสัยยิ้มสะใจที่วางแผนการร้ายดักไว้หลายทาง

ตอนเช้าที่บ้านลาภิณ นายตำรวจหลายนายเดินออกไปจากบ้าน ลาภิณ พิสัย ปริม และชูจิต ประชุมอยู่พร้อมหน้าที่โถงบ้าน ชูจิตนั่งดมยาดมโดยมีปริมบีบนวดอยู่ไม่ห่าง
ลาภิณเครียดหนัก “ตอนเกิดเหตุไม่มีพยานรู้เห็นเลย กล้องวงจรปิดก็จับภาพไม่ได้ ตำรวจสันนิษฐานไว้ก่อนว่าไฟฟ้าลัดวงจร”
ปริมแอบใช้หางตามองไปทางพิสัยอย่างไม่ไว้ใจ
พิสัยปั้นหน้าเครียดและนิ่ง
ชูจิตทำใจ “คงเป็นคราวซวยของเราเองล่ะ”
ลาภิณหน้าเครียด “ปัญหาเร่งด่วนตอนนี้ก็คือ เราไม่มีโลงศพเหลือเลยงานด้านอื่นก็คงต้องชะงักตามกันไปหมด”
พิสัยปั้นหน้าเครียดไม่แพ้คนอื่น “จะว่าไป มันก็ยังพอหาทางแก้ไขได้นะครับ” พิสัยทำสีหน้าลำบากใจ “แต่...”
ทุกคนหันไปมองพิสัย
พิสัยถอนใจยาวออกมาแล้วแกล้งทำเป็นลำบากใจมากก่อนจะตัดใจพูด “ที่จริงโรงไม้เก่าของผมยังมีไม้เหลืออีกเยอะ ผมพอจะพูดต่อรองราคาพิเศษได้ แต่ก็นั่นแหละ...” พิสัยปั้นหน้าจ๋อยๆ “ผมก็เคยมีชนักติดหลังอยู่ หลายคนอาจจะไม่สบายใจก็ได้” พิสัยเหล่มองลาภิณเล็กน้อย “ว่าผมอาจจะมีนอกมีใน ถึงผมจะขายโรงงานทิ้งไปแล้วก็เถอะ”
“ตอนนี้ ไม่มีใครมานั่งคิดหยุมคิดหยิมแล้วล่ะพิสัย ยังไงก็ต้องเอาบริษัทให้รอดก่อน อะไรเซฟได้ก็ต้องเซฟ” ชูจิตพูดก่อนจะหันไปถามลูกชาย “จริงมั้ยต้น”
ลาภิณไม่เต็มใจนักแต่ก็ไม่มีทางเลือก “ก็คงต้องยังงั้นล่ะครับ”
“งั้นผมรีบไปติดต่อที่โรงงานด้วยตัวเองเลยดีกว่า” พิสัยเดินออกไปด้วยสีหน้าร้อนใจ
ลาภิณได้แต่ถอนใจออกมา ขณะที่ชูจิตดมยาดม
“ต้น พาแม่ขึ้นไปข้างบนก่อน แม่อยากนอนพักซักหน่อย” ชูจิตบอก
ลาภิณรีบมาประคองชูจิตลุกขึ้นแล้วพาเดินขึ้นบ้าน
ปริมมองตามพิสัยด้วยสายตาระแวง เพราะคิดว่าพิสัยอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้

พิสัยเดินมาขึ้นรถที่จอดอยู่หน้าบ้านลาภิณ
เสียงปริมไม่พอใจดังขึ้น “คุณตบตาคนอื่นได้ แต่หลอกฉันไม่ได้หรอก”
พิสัยชะงักแล้วหันไปมอง ปริมเดินกรีดกรายตามเขาออกมาด้วยสีหน้าไม่พอใจ
ปริมจ้องหน้า “เผาโรงงานครั้งนี้ ฉันมั่นใจว่าคุณมีส่วนเกี่ยวข้อง”
พิสัยขำ “คุณนี่มันรู้ทันผมไปซะทุกเรื่องเลยนะ อย่าเอ็ดไปล่ะ”
“ครั้งนี้คุณทำเกินไป เห็นแก่ตัวที่สุด”
พิสัยยักไหล่ “ช่วยไม่ได้ อยากเสียน้อยเสียยากเอง” พิสัยชี้หน้า “อย่าปากโป้งไปล่ะ เราเป็นหุ้นส่วนกันอยู่ ถ้าไม่ได้ผมช่วยยุพี่จิต แกไม่กล้าทำอะไรหักหาญน้ำใจลูกชายแกแบบนี้หรอก”
ปริมพูดไม่ออก
พิสัยจ้องปริมเขม็ง “คุณคงไม่หักหลังผมหรอกนะ อย่าลืม ว่าผมช่วยคุณได้ ผมก็เล่นงานคุณกลับได้เหมือนกัน”
ปริมโมโห “นี่ขู่ฉันเหรอ”
“ไม่ได้ขู่ แค่เตือนความจำ คนอย่างผมไม่ยอมให้ใครมาหักหลังได้ง่ายๆ หรอก”
ปริมจ้องหน้าคืน “คนอย่างฉันก็ไม่ยอมให้ใครมากดหัวได้ตามใจชอบเหมือนกัน เอาไว้ฉันได้แต่งงานกับคุณต้นก่อนเถอะ แล้วค่อยมาพูดเรื่องนี้อีกที แค่หมั้น ฉันไม่ถือว่าเป็นบุญคุณหรอกนะ”
ปริมเชิดใส่ก่อนจะเดินกลับเข้าบ้านไป
พิสัยมองตามด้วยความเจ็บใจ “คิดจะหลอกใช้กันง่ายๆเหรอะ รู้จักฉันน้อยไปซะแล้ว” พิสัยมีสีหน้าแววตาร้าย

โอ้เอ้กำลังนั่งเล่นเกมส์ในมือถือไปกินขนมไปอยู่ที่โซฟารับแขกของบริษัทนิราลัยอย่างมีความสุข ทันใดนั้นก็มีมือข้างหนึ่งเอื้อมมาเขกหัวโอ้เอ้
โอ้เอ้ทั้งเจ็บทั้งเคืองจึงหันไปจะเอาเรื่อง “ใครวะ”
โอ้เอ้ชะงักเมื่อพบว่าคนที่เขกหัวเขาคือทวี โดยมีเจติยายืนยิ้มๆอยู่ข้างๆ ด้วย
“ข้าเอง จะทำไมวะ หนอย เค้าจ้างให้มาทำงาน ดันดอดมาเล่นเกมส์” ทวีว่า
“โธ่ ลุง ลูกค้าไม่มีแล้วจะให้ผมทำอะไรล่ะครับ”
เจติยายิ้มแย้ม “แผนกเราไม่มีงาน แต่แผนกอื่นเค้ามี เราว่างไปช่วยเค้าก็ได้นี่ ดีกว่ามานั่งเล่นเกมส์ตั้งเยอะ”
“โห ไม่เอาด้วยหรอก พี่เจขยันไปคนเดียวเหอะ นานๆจะได้พักซะที เรื่องอะไรต้องเหนื่อย ขนาดคุณลาภิณเจ้าของบริษัทแท้ๆ ยังอู้เลย”
“ลามปามแล้วไอ้โอ้เอ้” ทวีว่า
“ผมพูดจริง ผมเห็นคุณลาภิณเดินเล่นชิลๆ รับลมอยู่ที่สวนสาธารณะโน่นแน่ะ”
เจติยาและทวีหันมามองหน้ากันเพราะชักเป็นห่วงลาภิณ
“สงสัยคุณจะเครียดมาก เพิ่งเข้ามารับงานก็เจอแต่ปัญหาไม่ได้หยุดหย่อน ทั้งปัญหานอกบ้านในบ้าน” ทวีเหลือบตามองเจติยาเล็กน้อย
เจติยาหลบสายตา
“แกตามลุงลงไปข้างล่างเลยเจ้าโอ้เอ้” ทวีสั่ง
“ไปทำไรลุง” โอ้เอ้ถาม
“ก็หางานทำสิวะถามได้ ดีกว่านั่งอยู่เฉยๆ” ทวีลากคอเสื้อพาโอ้เอ้เดินไปทางลิฟท์ทันที
โอ้เอ้เดินไปตามแรงลาก “ไม่มีงานอะไรให้ทำแล้วนี่ลุง”
“ไม่มีอะไรทำ ฉันก็จะแต่งหน้าแกนี่ล่ะ”
“ผมยังไม่ตายนะลุง”
“เงียบแล้วตามมา ถ้ายังไม่อยากเป็นศพ”
โอ้เอ้ตกใจ “พี่เจช่วยด้วย”
ทวีลากคอโอ้เอ้เข้าลิฟท์ไป เจติยามองตามไปยิ้มๆ ก่อนจะมีหน้าขรึมลงเพราะเป็นห่วงลาภิณขึ้นมา

ลาภิณนั่งเหม่อลอยที่ริมเก้าอี้ตัวยาวอยู่หน้าบึงน้ำในสวนสาธารณะด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่าย สักพักเจติยาก็เดินมานั่งที่ริมเก้าอี้อีกฝั่ง ลาภิณเหลือบตามองแล้วก็แปลกใจที่เห็นเจติยา
“มาทำอะไรเนี่ย” ลาภิณถาม
เจติยายิ้มๆ “โดดงานตามเจ้านายไงคะ”
ลาภิณมีสีหน้าบึ้งตึง “เธอรู้ได้ไงว่าฉันอยู่ที่นี่”
เจติยาตอบกวนๆ “ก็เดินถามคนเค้ามาเรื่อยๆ ว่าเห็นชายหนุ่มมาดซีอีโอ ท่าทางเหมือนคนเบื่อโลกผ่านมาทางนี้มั้ย เจอใครเค้าก็ชี้มาทางเดียวกันหมด”
ลาภิณถอนใจ “ใครไม่โดนยังฉันมั่งไม่รู้หรอก ลำพังแค่เรื่องส่วนตัวก็รกสมองพอแล้ว ยังมาโดนไฟไหม้โรงงานอีก ไม่รู้จะหาความชื่นใจจากที่ไหนแล้ว” ลาภิณทอดสายตามองตรงไป
เจติยาเห็นใจ “ฉันก็ท้อแท้ไม่แพ้คุณหรอก...ที่บ้านก็ไม่มีใครเข้าใจ มาทำงานก็มีแต่คนจ้องจับผิด”
ลาภิณชำเลืองมองเจติยาเล็กน้อย เจติยาพูดต่อ
“ฉันมีความสุข ใจสงบสบายตอนได้แต่งศพ ตอนนี้ก็ไม่มีให้ทำซะอีก” เจติยาถอนใจออกมา
“มันยากมากนะ ที่เราจะเข้มแข็งและมีสติอยู่ได้ ตอนปัญหาประดังเข้ามารอบทิศแบบนี้” ลาภิณบอก
“แต่ถ้าไม่มีบททดสอบพวกนี้ แล้วจะรู้ได้ไงล่ะคะว่าเรามีความพร้อมเป็นผู้นำแค่ไหน”
ลาภิณขำ
“ขำอะไรคะ ฉันพูดอะไรผิดเหรอ”
“เปล่าหรอก ฉันขำตัวเอง เป็นเจ้าของบริษัทแท้ๆ ยังคิดไม่ลึกซึ้งเท่าเธอเลย”
“ฉันจำจากลุงทวีมาน่ะค่ะ”
“ไม่ต้องถ่อมตัวหรอก เธอทำงานสู้ชีวิตมาแต่เด็ก ประสบการณ์ทำงานเธอเยอะกว่าฉัน ฉันก็พวกลูกคุณหนู โดนสปอยล์แต่เล็ก เที่ยวใช้เงินไปเรื่อย ไม่ต้องรับผิดชอบอะไร เพิ่งจะเริ่มทำงานได้ไม่กี่เดือน ก็ขึ้นขี่หลังเสือเป็นเจ้าของบริษัทซะเลย” ลาภิณขำเยาะตัวเอง “สมแล้ว ที่ใครต่อใครเค้าถึงได้ดูหมิ่นดูแคลนเอายังงี้”
“อย่าคิดแบบนี้สิคะ จากที่ทำงานด้วยกันมา ฉันว่าคุณเป็นเจ้านายที่ดีมากคนนึงเลยนะ” เจติยาบอก
ลาภิณชำเลืองมองหน้าเจติยาอีกครั้ง
“เรื่องบริหารงานคุณอาจจะยังใหม่อยู่ แต่เรื่องเอาใจใส่และให้เกียรติพนักงาน คุณไม่เป็นรองเจ้านายที่ไหนหรอกค่ะ” เจติยาเว้นเล็กน้อยแล้วพูดเสียงเบาลง “ถึงจะหูเบาไปนิดก็เถอะ”
ลาภิณขำๆ “ฉันถือว่าเป็นคำชมแล้วกัน ค่อยชุ่มชื่นหัวใจหน่อย”
เจติยายิ้มๆ “ฉันเชื่อนะคะ ว่ายังไงคุณก็ต้องผ่านมันไปได้”
“ขอบใจมาก” ลาภิณสูดหายใจลึก
เจติยายิ้มๆ เหลือบตามองไปริมบึงแล้วก็ทำสีหน้าแปลกใจเพราะเห็นอะไรบางอย่างลอยขึ้นมาจากน้ำ
“นั่นอะไรคะ” เจติยาลุกไปดู
ลาภิณลุกตามไปดู เจติยาหยิบไม้ไปเขี่ยใบไม้กับดอกจอกดอกแหนที่ลอยบังอยู่ออกทำให้พบว่าเป็นศพผู้หญิงคนหนึ่ง เจติยาร้องลั่นกระโดดโหยงด้วยความตกใจจนถอยไปกระแทกลาภิณ ลาภิณจับตัวเจติยาเอาไว้ เจติยาสะบัดตัวออกทันทีอย่างไว้ตัว เจติยาเพ่งมองกลับไปที่ศพอีกครั้งด้วยสีหน้าหวั่นๆ เพราะกลัวศพพูดกับเธอ

ชาวบ้านกำลังมุงดูตำรวจที่ช่วยกันเอาศพหญิงสาวขึ้นมาจากบึงน้ำของสวนสาธารณะ ลาภิณและเจติยากำลังให้ปากคำกับตำรวจอยู่ที่มุมหนึ่ง นวัชเดินฝ่าฝูงคนเข้ามาหาตำรวจนายหนึ่ง ตำรวจนายนั้นตะเบ๊ะให้
“ได้ความคืบหน้ายังไงมั่ง” นวัชถาม
“ผู้ตายน่าจะมีอายุไม่เกินยี่สิบห้าครับ เท่าที่ดูคร่าวๆ น่าจะตายเพราะถูกของมีคมแทงก่อนเอามาทิ้งน้ำครับ แต่ที่น่าสงสัยคือ มีการทำหมายเลขไว้ตรงแขนซ้ายด้วยครับ”
“หมายเลขอะไร พาผมไปดูสิ” นวัชบอก
ตำรวจนายนั้นพานวัชเดินไปที่ศพ นวัชสวมถุงมือยางก่อนจะย่อตัวลงนั่งสำรวจศพ พอพลิกไปที่
ต้นแขนซ้ายของศพก็พบรอยมีดเขียนเป็นเลข ๔ ไทยกำกับไว้
นวัชพึมพำสีหน้าเครียด “เลขสี่ หมายความว่าอะไร”
ตำรวจอีกนายเดินเข้ามาหานวัช
“หมวดจะสอบปากคำผู้เห็นเหตุการณ์เพิ่มเติมมั้ยครับ”
นวัชเหลือบตาขึ้นมองตำรวจนายนั้นและมองเลยไปจนเห็นลาภิณยืนอยู่กับเจติยาก็อึ้งไปเล็กน้อย

นวัชมาแอบคุยกับเจติยาที่มุมหนึ่งของสวนสาธารณะ
นวัชมีสีหน้าแววตาไม่พอใจ “เจมากับเค้าได้ยังไง มันไม่ดีรู้มั้ย”
เจติยาเคือง “ไม่ดีตรงไหน”
“ยังต้องให้พี่พูดอีกเหรอ ที่เจเคยโดนเค้าหาเรื่องไล่ออก ไม่ใช่เพราะแฟนเค้าหึงเจกับคุณลาภิณหรอกเหรอ” นวัช
“เจไม่เข้าใจ ทำไมใครต่อใครต้องคิดว่าเจกับคุณลาภิณจะต้องชอบกันด้วยนะ”
“แล้วเจชอบเค้ารึเปล่าล่ะ” นวัชถาม

“เจกับคุณลาภิณเนี่ยนะ”
“ใช่ ก็เห็นสนิทกันมากเกินกว่าแค่เจ้านายกับลูกน้อง”
เจติยาเซ็งจึงพูดเสียงดัง “ทุกคนเป็นอะไรกันไปหมด ถึงอยากจับคู่ให้เจกับเค้านัก นี่ถ้าเจเกิดชอบคุณลาภิณขึ้นมาจริงๆ คงมีคนขาดใจตายเต็มไปหมด”
ลาภิณเดินตามหาเจติยามาได้ยินเข้าพอดี เจติยาและลาภิณสบตากันเล็กน้อยทำให้เกิดภาวะกระอักกระอ่วน
ลาภิณช่วยแก้สถานการณ์ “ฝ่ายผม เห็นๆก็สองคน คุณแม่กับปริม”
เจติยาหลุดขำออกมา ลาภิณขำตอบ
นวัชเหล่ๆ มองทั้งสองคนอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก
“โทษทีที่ขัดจังหวะ ฉันแวะมาบอกว่ากำลังจะกลับ” ลาภิณบอก
นวัชถอนใจด้วยความเซ็งเพราะคงทนฟังไม่ไหวถ้าเจติยาจะขอตัวกลับไปพร้อมกันจึงชิงพูดขึ้น “พี่ขอตัวไปทำงานต่อ” นวัชเดินหน้าเซ็งออกไป
เจติยายิ้มแหยๆ “คุณอย่าถือสาที่ฉันพูดโพล่งออกไปนะคะ”
“ไม่หรอก ฉันเข้าใจ ฉันก็เคยพูดโพล่งประมาณนั้นกับคุณแม่เหมือนกัน” ลาภิณบอก
“กดดันสิคะ”
“มาก” ลาภิณยักไหล่
เจติยายิ้ม “ยังไงก็ขอบคุณมากนะคะ”
ลาภิณยิ้มตอบ “กลับเลยมั้ย”
“เดินห่างๆ แล้วกัน จะได้ไม่เป็นเป้าสายตา”
ลาภิณยิ้มๆ ก่อนจะผันมือให้เจติยาเดินนำไปก่อน ลาภิณรออึดใจก่อนจะเดินตามไปห่างๆ นวัชแอบมองตามทั้งสองไปด้วยสีหน้านิ่งขรึม

เจติยาเดินนำลาภิณมาตามทางเดินกลับบริษัทโดยทิ้งระยะห่างกันเล็กน้อย
ลาภิณคุยขึ้นมา “ช่วงที่รอทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง ฉันรู้แล้วว่าเราจะทำอะไรกันดี”
เจติยาหยุดเดินแล้วหันมามอง “ทำอะไรคะ”
“ฉันกะว่าจะให้พนักงานที่ว่างอยู่ เดินสายประชาสัมพันธ์บริษัท คนเค้าจะได้เข้าใจนิราลัยมากขึ้น”
เจติยายิ้มรับ “ดีค่ะ ยังมีคนอีกเยอะที่ไม่รู้ว่ามีบริษัทจัดงานสวดศพแบบเราด้วยซ้ำ”
“งั้นเธอช่วยฉันนะ ฉันอยากได้คนที่ไว้ใจช่วยดูแลแทนฉัน”
“อ้าว คุณลาภิณไม่คุมเองเหรอคะ โปรเจ็คคุณเองนะคะ”
ลาภิณทำหน้าเซ็งเล็กน้อย “ช่วงนี้ฉันคงต้องวุ่นเรื่องเตรียมงานหมั้น”
เจติยาเผลอชะงักไปเล็กน้อย
“บริษัทเจอเรื่องร้าย แม่เค้าก็เลยอยากให้มีงานมงคลมาเสริมดวง เข้าทางเค้าเลย”
เจติยาปั้นยิ้ม “ยินดีล่วงหน้านะคะ”
“หลังจากหมั้นทุกคนคงสบายใจขึ้น รวมทั้งเธอด้วย”
“ไม่ใช่แค่สบายใจขึ้นค่ะ สบายใจที่สุด” เจติยาขำเบาๆ
ลาภิณมองหน้าเจติยานิ่งๆ ทั้งสองต่างเผลอมองลึกลงไปในตาของกันและกัน เจติยาหยุดขำแล้วรีบหันกลับก่อนจะเดินกลับไปด้วยความรู้สึกแปลกๆ ลาภิณเองก็งงๆ เพราะไม่เข้าใจตัวเองอยู่เหมือนกัน เขาส่ายหน้าไปมาก่อนจะเดินตามกลับบริษัทไป

เด็กๆมากมายกำลังวิ่งเล่น กินขนม อยู่ในสถานสงเคราะห์ นิษฐากำลังเดินคุยกับครูของสถานสงเคราะห์อยู่
ครูยิ้มแย้ม “ครูดีใจจริงๆค่ะ ที่ทางมูลนิธิจะเข้ามาให้ความช่วยเหลือ เด็กที่นี่มีจำนวนมากขึ้นทุกวัน ครูเองก็กลุ้มใจ”
นิษฐายิ้ม “ถ้าคุณครูมีปัญหาอะไร ก็โทรไปที่มูลนิธิได้ตลอดเวลาเลย หรือจะติดต่อกับฐาโดยตรงก็ได้นะคะ”
“ขอบคุณมากค่ะ”
ทันใดนั้น ครูก็เหลือบเห็นพีระเดชกำลังยืนมองเด็กๆอยู่ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส โดยมีแสง คนขับรถคอยยืนรับใช้อยู่ใกล้ๆ
ครูดีใจรีบเดินเข้าไปหา “คุณพีระเดช มาตั้งแต่เมื่อไหร่คะเนี่ย”
พีระเดชยิ้มรับ “ซักพักแล้วครับ”
ครูแนะนำ “น้องนิษฐาคะ นี่คุณพีระเดช ผู้อุปการะสถานสงเคราะห์ของเราค่ะ คุณพีระเดชคะ นี่น้องนิษฐา เจ้าหน้าที่จากมูลนิธิเพื่อนแท้ค่ะ”
นิษฐาไหว้ “สวัสดีค่ะ”
พีระเดชรับไหว้
นิษฐาคุ้นหน้าพีระเดช “ดิฉันคุ้นหน้าคุณพีระเดชจังเลย”
ครูยิ้ม “แหม ก็ต้องคุ้นสิคะ คุณพีระเดชเขียนหนังสือเบสเซลเลอร์ ไว้ตั้งหลายเรื่อง อย่างเรื่อง “จิตพยากรณ์” ไงคะ”
นิษฐาตื่นเต้น “อ๋อ จำได้แล้วค่ะ โชคดีจังเลยที่ได้เจอตัวจริง นี่ถ้าอยากดูดวงกับคุณ ต้องจองคิวนานมั้ยคะ”
พีระเดชขำ “ผมไม่ใช่หมอดูนะครับ คงดูดวงให้ไม่ได้ ผมเพียงแต่ศึกษาเกี่ยวกับเรื่องจิตของมนุษย์ เพื่อนำไปใช้พยากรณ์เหตุการณ์ในอนาคตเท่านั้นเอง”
นิษฐาคิดตามอย่างงงๆ “มันไม่คล้ายๆ กันเหรอคะ”
พีระเดชยิ้มๆ “ถ้าคุณสนใจจริงๆ ผมก็พอดูให้ได้นะครับ”
นิษฐาดีใจ “ขอบคุณมากค่ะ”
“นั่งทางนี้ก็ได้ค่ะคุณพีระเดช”
พีระเดชเดินนำไป
นิษฐาจูงมือครู “ดูด้วยกันมั้ยคะ”
“ไม่เอาหรอกค่ะ ดิฉันไม่เชื่อเรื่องพวกนี้”
แสงเดินหน้านิ่งๆ ตามหลังไปเป็นคนสุดท้าย

ชูจิตเดินคุยโทรศัพท์มือถือมาตามทางเดินในบริษัทด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“แม่ก็ดีใจจ้ะหนูปริม คิดซะว่าวิกฤติบริษัทคราวนี้ก็เป็นโอกาสดีๆ ที่ครอบครัวแม่จะได้มีงานมงคล”
“คุณต้นเค้าเต็มใจจริงๆ เหรอคะ” ปริมถาม
“จริงสิจ๊ะ หนูปริมไม่ต้องคิดอะไรอีกแล้ว เอาเวลาตอนนี้ไปเลือกชุดตัดชุดงานหมั้นให้สวยที่สุดดีกว่า” ชูจิตฟังอีกฝ่ายแล้วก็ยิ้มแย้ม “จ้ะ คิดแบบนั้นดีที่สุด” ชูจิตฟังอีกฝ่ายก่อนตอบ “มาที่ออฟฟิศจ้ะ...” ชูจิตหยุดฟัง “ยังมึนๆ นิดหน่อย แต่แม่ไม่อยากนอนแล้วล่ะ” ชูจิตฟังก่อนตอบ “จ้ะ...สวัสดีจ้ะ” ชูจิตกดวางสาย
ชูจิตเดินอย่างอารมณ์ดีไปทางห้องทำงาน แต่จู่ๆ ก็เกิดอาการมึนๆ วูบๆ ขึ้นมาจนเกือบล้มวูบไป เธอต้องใช้มือเกาะกำแพงไว้เพื่อพยุงตัวไม่ให้ล้ม

เสียงเจติยาถามขึ้น “เป็นอะไรรึเปล่าคะท่าน”
ชูจิตหันไปมองตามเสียงก็เห็นเจติยา ทวี และโอ้เอ้กำลังมองด้วยความเป็นห่วง เนื่องจากทั้งสามคนมาพักกินของว่างกันก่อนจะไปทำงานต่อ
ชูจิตหงุดหงิด “นี่เธออีกแล้วเหรอะ ไปให้พ้นหน้าฉันเลยไป๊ ฉันไม่อยากเห็นหน้าเธอ”
เจติยาหน้าเสีย “ขอโทษค่ะ”
เจติยาจะเดินเลี่ยงไปแต่ชูจิตก็มีอาการวิงเวียนจนเป็นลมทรุดลง
เจติยาตกใจจึงรีบเข้าไปประคองชูจิตไว้ได้ทัน “ระวังค่ะท่าน เป็นยังไงบ้างคะ”
ชูจิตปวดหัวหนักจึงได้แต่ยอมให้เจติยาประคองเพราะเธอช่วยเหลือตัวเองไม่ได้

ชูจิตนอนพักดมยาดมที่โซฟาในห้องทำงาน โดยมีเจติยาและทวียืนคอยดูแลอยู่ใกล้ๆ โอ้เอ้เปิดประตูเข้ามาพร้อมถือถาดใส่ยาหอมที่ละลายเสร็จแล้วกับน้ำร้อนมาด้วย
“ยาหอมได้แล้วครับท่าน”
ชูจิตมึนหัว “ขอบใจมาก”
เจติยาจะช่วยประคองชูจิตลุกขึ้นนั่ง ชูจิตรีบบอก
“ไม่ต้อง”
เจติยาจ๋อย เธอสบตากับทวี ทวีพยักหน้าให้กำลังใจ ชูจิตขยับตัวขึ้นมานั่งก่อนจะรับยาหอมมาจิบ
ทวีเป็นห่วง “พักนี้คุณชูจิตเป็นลมบ่อยนะครับ ได้ไปตรวจสุขภาพดูบ้างรึเปล่าครับ”
ชูจิตมึนหัว “ก็ตรวจเป็นประจำทุกปีล่ะค่ะพี่ทวี แต่ช่วงนี้มีแต่เรื่องเครียดๆ” ชูจิตเหล่มองเจติยาตาขวาง “ตัวสร้างปัญหามันเยอะ”
เจติยาหลบตาหน้าจ๋อย
โอ้เอ้รีบประจบเต็มที่ “ใครกันครับที่มันทำให้ท่านไม่สบายใจ บอกผมได้เลยครับ”
“ทะลึ่งแล้วเจ้าโอ้เอ้ เอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะ ออกไปได้แล้ว” ทวีทำหน้าดุใส่
โอ้เอ้ไหว้ลาชูจิตก่อนเดินเจื่อนๆ ออกไป
ทวีหันไปพูดกับชูจิต “ผมพอจะทราบว่าคุณจิตไม่สบายใจเรื่องอะไร แต่ผมว่าคุณคิดมากเกินไปรึเปล่าครับ”
เจติยาเหลือบมามองทวีเล็กน้อย
ชูจิตมองเขม่นเจติยา “คิดมากตอนนี้ ก็ดีกว่ามานั่งเสียใจทีหลัง ไม่งั้นจะซ้ำรอยตอนคุณสารัชเสีย จู่ๆก็ต้องมาแบ่งหุ้นตั้งสิบเปอร์เซ็นต์ ให้พวกหวังรวยทางลัด”
เจติยาทนไม่ไหว “ขอโทษนะคะท่าน ที่ท่านเข้าใจเรื่องหนูกับคุณลาภิณผิด หนูยังพอเข้าใจได้นะคะ แต่เรื่องหนูกับคุณสารัช ถ้าท่านไม่ไว้ใจหนูก็น่าจะไว้ใจสามีของท่านบ้าง”
ชูจิตโมโห “นี่เธอกล้าย้อนฉันเหรอะ” ชูจิตปวดหัวขึ้นมาอีก
“คุณนอนพักก่อนดีกว่าครับ อีกเดี๋ยวคุณหมอคงมาถึง...” ทวีหันไปพูดกับเจติยา “เจ ออกไปกันได้แล้ว”
ชูจิตพิงศีรษะไปกับโซฟา ทวีและเจติยาเดินออกไปจากห้อง ชูจิตเหล่มองตามด้วยสีหน้าแววตาจงเกลียดจงชังเจติยามาก

ปริมกำลังนั่งดูแบบเสื้อชุดงานหมั้นเพื่อหาไอเดียด้วยสีหน้าแช่มชื่น
เสียงพิสัยดังขึ้น “ไม่เห่อเลยนะครับ”
ปริมหันไปมองด้วยความตกใจเล็กน้อย
“รู้ได้ยังไงว่าฉันอยู่ที่นี่”
พิสัยยิ้มๆ “เจ้าของร้านนี่เพื่อนผมเอง เค้าฝากมาบอกว่าไม่เกิน 20 นาทีจะมาถึง”
ปริมค้อนใส่ด้วยความหมั่นไส้
พิสัยบอกพนักงาน “ขอเราคุยกันเป็นการส่วนตัวได้มั้ยครับ”
พนักงานรีบลุก “ตามสบายเลยค่ะ” พนักงานเดินเลี่ยงออกไป
พิสัยลากเก้าอี้มานั่งลงแล้วจ้องหน้า “อย่าลืมสัญญาของเรานะครับ”
ปริมปิดสมุดแบบเสื้อดังโครม “ใจคอจะทวงเช้าทวงเย็นเลยรึไง” ปริมมีสีหน้าเซ็งๆ
“เผอิญท่าทางคุณ ทำให้ผมเกิดไม่ค่อยไว้ใจขึ้นมา”
ปริมจ้องหน้าพิสัย “ฉันรู้สึกเหมือนโดนมัดมือชกยังไงก็ไม่รู้” ปริมยิ้มกวนๆ “ดีไม่ดีเรื่องหมั้นอาจจะเป็นความคิดของคุณแม่เองก็ได้ แต่คุณฉวยโอกาส” ปริมจ้องหน้า
พิสัยโมโหจึงจ้องหน้าแล้วพูดด้วยความโกรธ “พูดยังงี้หมายความว่าไง คุณคิดจะผิดสัญญาใช่มั้ย คุณรับปากแล้วนะว่าจะช่วยผมให้ได้หุ้นของนิราลัย”
ปริมยิ้มกวนๆแบบถือไพ่เหนือกว่า “ก็บอกแล้วไง ว่ารอให้ฉันได้แต่งงานกับคุณต้นจริงๆ ซะก่อน แล้วตอนนั้นฉันจะเก็บเรื่องนี้มาคิดอีกที”
พิสัยจ้องหน้าปริมเขม็ง
ปริมยิ้มไม่แคร์ เธอลุกขึ้นแล้วพูดกับพนักงาน “น้องคะ พี่ขอลองเสื้อแบบตัวที่โชว์หน่อยได้มั้ย” ปริมทิ้งหางตาพร้อมยิ้มเหยียดปากใส่พิสัยแล้วเดินเลี่ยงออกไปอย่างไม่สนใจ
พิสัยจับตามองตามปริมไปด้วยสีหน้าแววตาเจ็บใจมาก เขาขบกรามแน่นจนขึ้นสัน

โต๊ะของปริมกับเพื่อนอีกสองคนที่อยู่ในผับกำลังคุยกันอย่างสนุกสนาน พิสัยจับตามองปริมด้วยสีหน้าแววตาเจ็บแค้น สักพักปองและย้งก็เดินถือแก้วเหล้ามาให้พิสัย
พิสัยรับแก้วมาแต่ยังจับตามองไปที่ปริมอย่างไม่วางตา “พวกแกจะทำยังไงก็ได้ แยกเพื่อนๆ มันไปให้พ้นที”
“ได้เลยครับเจ้านาย” ปองรับคำ
ย้งยื่นซองยาใส่มือพิสัย “นี่ครับของที่คุณพิสัยสั่ง”
พิสัยรับซองมา ปองและย้งพยักหน้าให้กัน แล้วทั้งคู่ก็เดินไปทางโต๊ะปริมก่อนจะทำเป็นมีเรื่องชกต่อย ก่อนจะล้มไปทางโต๊ะปริม จนเครื่องดื่มและกับแกล้ม เปื้อนเสื้อเพื่อนๆ ของปริม ปริมรีบลุกหนีให้ห่างความวุ่นวายทันที พิสัยจับตามองไปที่ปริมอย่างเจ็บแค้นใจ เขากำซองยาในมือแน่น

เวลาผ่านไป ปริมค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นด้วยท่าทางยังมึนๆ ปวดหัวไม่หายเพราะฤทธิ์ยา เธอพบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงโดยมีผ้าห่มคลุมร่างอยู่ผืนเดียวเท่านั้น ปริมตกใจมากจึงมองไปรอบๆห้องด้วยอาการมึนๆเบลอๆ เพราะไม่รู้ว่าตัวเองมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง

ปริมสวมชุดคลุมเดินออกมาจากห้องนอนมาที่ห้องโถงแบบมึนๆ เธอชะงักเมื่อเหลือบไปเห็นภาพในจอโทรทัศน์แล้วก็ต้องช็อกสุดขีดแล้วรีบวิ่งไปกดปิดทีวี ก่อนที่พิสัยที่สวมเสื้อคลุมชุดนอนเดินออกมาจากห้องน้ำ
พิสัยยิ้มกวน “ตื่นแล้วเหรอที่รัก”
ปริมหันมาด้วยความโกรธจัด “ไอ้สารเลว แกทำอะไรกับฉัน” ปริมขว้างรีโมทในมือใส่
พิสัยหลบทัน “อารมณ์เสียแต่เช้าเลย ไม่พอใจผลงานการแสดงเมื่อคืนเหรอครับ”
ปริมโกรธจนตัวสั่น “แก”

รากบุญ ตอนที่ 6 (ต่อ)

ปริมโผเข้าทุบตีพิสัย แต่พิสัยจับปริมล็อคตัวเอาไว้
“ไม่ต้องกลัวหรอกนะ นี่เป็นความลับของเราสองคน” พิสัยบอก
ปริมร้องไห้แล้วพยายามดีดตัวออก “ฉันสะอิดสะเอียนแก ปล่อยฉันนะ”
พิสัยบีบล็อคแน่น “ก็เธอคิดเบี้ยวฉันก่อน ฉันก็เลยต้องขอมัดจำเอาไว้” พิสัยบีบคางปริมเชยหน้ามาสู้ตาตนแล้วขู่ “สินสอดงานหมั้นต้องเป็นหุ้นนิราลัยแล้วเธอเอามาให้ฉัน ไม่งั้นไอ้ต้นได้ดูหนังรักเรื่องนี้แน่” พิสัยผลักปริมออกไป
ปริมโกรธจัดจึงด่าทั้งน้ำตา “ไอ้ชาติชั่ว”
พิสัยยกนิ้วชี้ส่ายไปมา “จุ๊ๆๆ หยาบคายจังเลยคุณปริม..ทำร้องไห้ฟูมฟายเหมือนเป็นเด็กสาวแรกแย้ม ไม่เคยถูกใครเด็ดมาก่อนงั้นล่ะ” พิสัยขำดูถูก
ปริมกรี๊ดสุดเสียง เธอตรงเข้าไปทุบตีพิสัยไม่ยั้ง “ไปลงนรกซะไป”
พิสัยเอามือปัดป้องอยู่พักนึงก่อนจะโมโหจึงผลักปริมอย่างแรงจนเซไปเสียหลักล้มไปกับพื้น
ปริมหันมาจ้องพิสัยด้วยสายตาเกลียดชัง “ฉันจะฆ่าแก จะฆ่าแกให้ตายอย่างทรมานที่สุด”
พิสัยจ้องหน้าด้วยสายตาเหี้ยม “คนอย่างฉันไม่ยอมให้เด็กเมื่อวานซืนอย่างเธอมาหักหลังได้ง่ายๆหรอก เธออยากลองดีกับฉันก่อนเอง จะโทษใครไม่ได้”
ปริมได้แต่ร้องไห้
พิสัยหน้าตาย “แผ่นในเครื่องฉันยกให้ เพราะฉันก็อปเอาไว้อีกเยอะ” พิสัยยิ้มๆ ก่อนจะเดินกลับไปห้องนอน
ปริมกรีดร้องลั่น เธอร้องไห้ฟูมฟายทุบโซฟาโครมๆ ด้วยความเครียดและเจ็บแค้น

นวัชกำลังเดินลงมาจากโรงพักด้วยท่าทางอ่อนเปลี้ยเพลียแรงหลังจากไม่ได้นอนมาทั้งคืน จ่าคนหนึ่งรีบเดินตามนวัชออกมาจากโรงพัก
“หมวดครับหมวด” จ่าทัก
นวัชหันมามองด้วยท่าทางเหนื่อยๆ เพลียๆ
“ผู้กำกับให้มาถามว่าคดีฆ่าต่อเนื่องไปถึงไหนแล้ว”
นวัชถอนใจเฮือกใหญ่ “ก็เท่าเดิมน่ะแหละจ่า ไม่มีเบาะแสอะไรเพิ่มเลย คดีนี้สงสัยผมจะยกธงขาว”
“ไม่หรอกครับ ผมเชื่อว่าไม่เกินความสามารถของหมวดมือหนึ่งของเราหรอกครับ”
นวัชขำ “ผมเนี่ยนะมือหนึ่ง อวยกันเกินไปแล้ว”
“ไม่อวยหรอกครับ หลายเดือนมาเนี่ย หมวดปิดคดีได้เป็นว่าเล่น ขนาดคดีไอ้โชคที่ทุกคนส่ายหน้า หมวดยังหาตัวคนฆ่าได้เลย พวกเราซูฮกหมวดกันทั้งโรงพักล่ะครับ”
นวัชหน้าเจื่อนไปเพราะรู้อยู่แก่ใจว่าที่ตนปิดคดีได้ก็เพราะเจติยาทั้งนั้น

นวัชกำลังเดินคุยกับเจติยาที่เพิ่งเดินกลับจากซื้อของที่ตลาดเข้าซอยมาด้วยกัน
“เกิดมาก็เพิ่งเคยได้ยินนี่ล่ะ บังคับให้ฝัน” เจติยาว่า
นวัชหน้าจ๋อย “พี่ไม่ได้บังคับหรอกนะ แค่อยากให้เจช่วยฝันให้หน่อย คดีนี้พี่จนปัญญาจริงๆ”
เจติยาค้อน “ทีงี้เชื่อเรื่องความฝันของเจแล้วเหรอคะ”
“เจอเข้าไปตั้งกี่ครั้ง ไม่เชื่อก็แปลกแล้ว น่านะเจ ไอ้โรคจิตนี่มันโหดมากเลยนะ เท่าที่พี่สืบดู มันน่าจะฆ่ามาแล้วไม่ต่ำกว่าสี่คน เพราะมีการพบศพที่ถูกแทงด้วยอาวุธชนิดเดียวกันที่ต่างจังหวัดด้วย แต่ศพมันเน่าหมดแล้ว ก็เลยไม่รู้ว่ามันเขียนเลขอะไรไว้ที่ศพบ้าง”
“แล้วทำไมเค้าต้องเขียนเลขไว้ที่ศพด้วยล่ะคะ”
นวัชหน้าบึ้ง “เพื่อประกาศศักดาล่ะมั้ง ฆ่ามาแล้วกี่คนก็เขียนตัวเลขไว้เท่านั้น เหมือนเป็นการท้าทายตำรวจด้วย”
“ฆาตกรโรคจิตชัดๆ”
“ใช่ เป็นพวกมีปัญหาทางจิต ปล่อยทิ้งเอาไว้เป็นอันตรายมาก พี่ถึงบากหน้ามาขอให้เจช่วยนี่ไง”
เจติยาคิดตามเพราะชักสนใจคดีนี้ขึ้นมาเหมือนกัน ทันใดนั้นก็มีเสียงแตรรถดังขึ้น ทั้งคู่หันไปมองตาม ก็เห็นแสงขับรถพาพีระเดชและนิษฐานั่งมาด้วย
นิษฐากดปุ่มลดกระจกรถลงมาคุยกับเจติยาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “มาทันเจอแกพอดีเลยเจ” นิษฐายื่นสมุดจดการเรียนให้เจติยา “อ้ะ เล็คเชอร์ของแก”
เจติยารับสมุดมา “ขอบใจนะ” เจติยาเหล่พีระเดช
“นี่คุณพีระเดชที่เล่าให้ฟังเมื่อวานไง” นิษฐาหันไปพูดกับพีระเดช “คุณพีคะ นี่เจเพื่อนซี้ของฐาค่ะ”
เจติยาไหว้ “สวัสดีค่ะ”
พีระเดชรับไหว้ “สวัสดีครับ”
แสงแอบเหลือบตามองมาทางนวัชที่อยู่ในชุดตำรวจด้วยหน้านิ่งๆ ก่อนจะรีบหลบสายตาไป
“คุณพีเค้าสนใจงานที่มูลนิธิเพื่อนแท้ ฉันก็เลยอาสาพาไปดู ทางผ่านบ้านแกพอดี ก็เลยแวะเอาเล็คเชอร์มาคืนก่อน...เออ ฉันต้องรีบไปแล้ว เดี๋ยวคุณพีเค้ามีบรรยายต่อ” นิษฐาบอก
เจติยาพยักหน้ารับยิ้มๆ นิษฐาหันไปทิ้งค้อนอย่างงอนๆ ให้นวัชเพราะแอบหึงที่เขามากับเจติยา นวัชงงๆ เล็กน้อย แสงเลี้ยวรถพาทั้งคู่กลับไป
“เค้ารู้จักกันมานานแล้วเหรอะ ดูสนิทสนมจัง กล้านั่งรถไปกับเค้าตามลำพังด้วย” นวัชถาม
“เห็นว่าเป็นหมอดูใจบุญรึไงนี่ล่ะ คงรู้จักกันตามสถานสง เคราะห์หลายครั้งแล้วแหละ” เจติยาบอก
นวัชเป็นห่วง “ไว้ใจคนง่ายไปหน่อยมั้ย น่าจะพาเพื่อนไปด้วย”
เจติยายิ้มกระเซ้า “ฐาคงดีใจถ้ารู้ว่าพี่หมวดห่วงใยเค้าขนาดนี้” เจติยายิ้มแซว
นวัชชะงักไป
“ไม่ใช่นะเจ ฐาเค้าเป็นเพื่อนเจ”
เจติยาขำ “ไม่ต้องเขินหรอกค่ะ” เจติยาอมยิ้มเดินนำไป
นวัชร้อนใจจึงรีบตามไปแก้ตัว “เข้าใจผิดไปกันใหญ่แล้วเจ”

ลาภิณเดินเข้ามาในร้านเพื่อจะมาลองเสื้อผ้าที่จะใส่ในงานหมั้น แต่พอเดินเข้ามาก็เห็นปริมนั่งซึมๆ อยู่ โดยที่ปริมกำลังสับสนเพราะรู้สึกผิดกับลาภิณและไม่อยากตกเป็นเบี้ยล่างให้พิสัยจ้องเอาผลประโยชน์
ลาภิณเดินเข้าไปหาปริม “มานานแล้วเหรอครับ”
ปริมซึม “ซักพักแล้วค่ะ”
“จะให้ผมลองชุดไหนล่ะ”
ปริมกำลังสับสนเพราะรู้สึกผิดกับลาภิณและอยากเอาชนะพิสัย “เอ่อ คุณต้นคะ ถ้าคุณไม่เต็มใจ ไม่ต้องหมั้นก็ได้นะคะ”
ลาภิณงง “ปริมโกรธอะไรผมรึเปล่า”

“เปล่าหรอกค่ะ แต่ปริม...” ปริมหลบสายตาลาภิณเพราะไม่กล้าบอก “เอ่อ ปริมรู้สึกเหมือนคุณโดนคุณแม่บังคับ ทั้งที่ไม่ได้เต็มใจน่ะค่ะ”
ลาภิณยิ้ม “อย่าคิดมากสิครับ ผมเต็มใจหมั้นกับปริม แค่ไม่ใช่เวลานี้เท่านั้นเอง”
ปริมเหลือบตามองลาภิณ
“แต่ที่คุณแม่พูดก็ถูก เราเป็นแฟนกัน ช้าเร็วก็ต้องมีวันนี้อยู่ดี” ลาภิณจับมือปริมไว้ “ผมไม่ได้รู้สึกต้องจำใจทำเพราะโดนบังคับหรอก อย่ารู้สึกไม่ดีแบบนั้นอีกเลยนะปริม”
ปริมค่อยยิ้มออกมาบางๆ
“ไปลองชุดกันดีกว่า” ลาภิณจูงมือปริมให้ลุกขึ้น
ปริมลุกตามแต่สีหน้ายังไม่สบายใจนัก
ลาภิณเดินนำเข้าไปหาพนักงานพร้อมพูด “เดี๋ยวผมนัดผู้รับเหมาเอาไว้ที่บริษัท”
ปริมได้ยินเรื่องงานยิ่งรู้สึกเซ็งหนักขึ้นไปอีกจึงได้แต่ถอนใจออกมาด้วยสีหน้าเครียด

นทีกำลังช่วยมยุรีตักอาหารให้ลูกค้าอย่างขยันขันแข็ง นิษฐาเดินเข้ามาหามยุรีและนที
นิษฐาไหว้ “สวัสดีค่ะคุณน้า”
มยุรีรับไหว้ด้วยใบหน้ายิ้ม “สวัสดีจ้ะสาวสวย วันนี้เอาอะไรดีจ๊ะ”
นิษฐาดูกับข้าวด้วยท่าทางยิ้ม “น่ากินทั้งนั้นเลยค่ะ ไม่รู้จะเอาอะไรดี”
นทียิ้ม “งั้นก็เอาหมดเลยสิพี่ เดี๋ยวนี้มีแฟนขับรถคันเบ้อเร่อ ซื้อกับข้าวแค่เนี้ย อย่าเหนียวหน่อยเลย”
“แฟนที่ไหนกัน มั่วแล้วนที”
“เมื่อเช้าผมเห็นนะพี่ คนที่พี่นั่งรถไปกับเค้าไง”
“จะบ้าเหรอ พี่พาเค้าไปดูงานมูลนิธิ...แซวยังงี้พี่เสียหายหมด เดี๋ยวใครได้ยินเข้าล่ะขายไม่ออกกันพอดี”
มยุรียิ้มแย้ม “เจ้าทีมีปากก็พูดไปเรื่อย อย่าไปถือสาเลยหนูฐา แม่แนะนำ ยำสามกรอบ นานๆทำที”
“คุณแม่ก็ชอบค่ะ ขอ 2 ถุงเลยนะคะคุณป้า ป่านนี้รอทานข้าวแล้ว”
“แล้วเอาอะไรอีกครับ ผมตักให้พิเศษ” นทีบอก
มยุรีตักอาหารไป แซวไป “เห็นสาวสวยเป็นไม่ได้ แม่ขาดทุนทุกที”
ทุกคนขำๆ นิษฐารู้สึกเหมือนโดนจับตามองอยู่ตลอดเวลา เธอหันไปมองทางด้านหลังแต่ก็ไม่เห็นว่ามีใครมองตนเป็นพิเศษ นอกจากคนเดินซื้อของตามปกติ เธอคิดว่าตัวเองคิดมากเกินไป นิษฐาหันกลับไปเลือกซื้อกับข้าวต่อ
สายตาของใครบางคนกำลังแอบจับตามองตามนิษฐาอยู่ตลอดเวลา

โทรศัพท์บ้านเจติยาดังขึ้น ไฟห้องโถงสว่างขึ้น เจติยาเดินงัวเงียลงมารับโทรศัพท์ที่โถงบ้าน มยุรีเดินตามลงมาห่างๆ
เจติยารับโทรศัพท์ด้วยเสียงเสียงหงุดหงิดอยู่ในที “สวัสดีค่ะ” เจติยาฟังปลายสาย แล้วเสียงก็เปลี่ยนทันที “คุณป้า” เจติยาฟัง “ไม่เป็นไรค่ะ พอดีเจนอนแล้วก็เลยปิดมือถือ น่ะค่ะ คุณป้ามีอะไรรึเปล่าคะ” เจติยาฟังอีกฝ่าย แล้วก็ตกใจมาก “ไม่ได้อยู่ด้วยกันค่ะป่านนี้ฐายังไม่กลับบ้านอีกเหรอคะ”
มยุรีแปลกใจ “เมื่อตอนเย็นมาซื้อกับข้าวที่ร้านนะเจ กำลังจะกลับบ้านนี่นา”
เจติยาชักรู้สึกสังหรณ์ใจจึงถามกลับไป “คุณป้าโทรไปที่มูลนิธิรึยังคะ”
เจติยาฟังแม่นิษฐาเล่าทุกอย่างให้ฟังด้วยสีหน้าเครียดหนัก

กล่องรากบุญบนโต๊ะทำงานในห้องเจติยาสั่นเหมือนถูกเขย่าแล้วก็เกิดเสียงหัวเราะลึกลับดังเยือกเย็นออกมาราวกับจะเยาะเย้ยทุกคนที่กล้าขัดขืนความต้องการของกล่อง

วันรุ่งขึ้น นวัชเปิดประตูห้องทำงานเข้ามา เจติยานั่งรออยู่ในห้องก่อนแล้วด้วยสีหน้าเคร่งเครียดเพราะเป็นห่วงนิษฐา
เจติยาห่วงเพื่อนสุดๆ รีบลุกเดินเข้าไปหานวัช “ได้เรื่องมั้ยคะพี่หมวด”
นวัชหน้าเครียด “พี่ให้ลูกน้องช่วยตามหาให้แล้วนะ อาจจะไม่ร้ายแรงอย่างที่เจคิดก็ได้”
เจติยาร้อนใจสุดๆ
ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ตำรวจคนหนึ่งเปิดประตูเข้ามาพร้อมแฟ้มเอกสาร
“หมวดครับ พบศพผู้หญิงย่านรังสิตเมื่อชั่วโมงที่แล้ว”
เจติยาตกใจมาก เธอหันมองหน้านวัช
“ทราบแล้วว่าชื่อ นิด”
เจติยายกมือขึ้นปิดปากรู้สึกคล้ายหัวใจจะหยุดเต้น
ตำรวจคนนั้นพูดต่อ “ตะยา”
ทั้งเจติยาและนวัชเป่าปากโล่งอก
ตำรวจคนเดิมรายงานต่อ “บนศพมีเขียนตัวเลขไว้อีกแล้วนะครับ”
นวัชร้อนใจ “เขียนเลข ๕ ไทยใช่มั้ย”
“ไม่ใช่ครับ เลข ๑ ไทย”
นวัชงงหนัก “เลขหนึ่ง ศพก่อนเป็นศพที่สี่ แล้วทำไมมันถึงย้อนมาที่หนึ่งอีกล่ะ” นวัชหงุดหงิดปนเครียด “มันจะเอายังไงของมันกันแน่วะ ไอ้โรคจิตเอ๊ย”
ตำรวจกางแฟ้มให้ดูรูป “นี่ครับรูปศพผู้ตาย”
เจติยาเหลือบตามองไปที่รูปในแฟ้มแล้วเธอก็ผงะหงายไปทันที

นิษฐาถูกมัดมือมัดเท้ากำลังดิ้นทุรนทุรายอยู่บนพื้น โดยมีผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้าหานิษฐาช้าๆ พร้อมกับกริชเปื้อนเลือดในมือ
นิษฐากลัวสุดขีด “อย่าทำฉัน ฉันกลัวแล้ว ช่วยด้วย ช่วยฉันด้วย”
ชายคนนั้นยกกริชเปื้อนเลือดในมือขึ้นสูงแล้วกริชเล่มนั้นก็ถูกปักลงอย่างแรง

เจติยาลุกพรวดขึ้นแล้วร้องสุดเสียงด้วยความหวาดกลัว “ฐา”
นวัช และตำรวจนายนั้นตกใจมาก
“เป็นอะไรเจ” นวัชตกใจ
เจติยายังช็อก “ฐา”
“เจเห็นอะไร”
เจติยาพยายามตั้งสติ “ฐาถูกฆาตกรโรคจิตจับตัวไป พี่หมวด พี่ต้องรีบไปช่วยฐานะคะ” เจติยาปวดหัวขึ้นมาอย่างรุนแรง “โอ๊ย”
นวัชตกใจจึงรีบเข้าไปประคอง “ไหวมั้ยเจ”
เจติยาก้มหน้ากุมหัว เธอรู้สึกปวดหัวจนพูดอะไรไม่ออก

พนักงานเข็นเตียงใส่ศพที่แต่งหน้าเรียบร้อยแล้วออกไปจากห้องแต่งศพสวนกับลาภิณที่เดินเข้ามาพอดี
ลาภิณยิ้มแล้วหลีกทางให้ “วันสองวันนี้เหนื่อยหน่อยนะ”
พนักงานยิ้มรับ “ไม่เป็นไรครับ” ลาภิณน้อมศีรษะเล็กน้อยแล้วเข็นเตียงไป
ลาภิณเดินไปหน้าห้องแต่งศพที่โอ้เอ้กำลังยกมือไหว้ศพใหม่ที่พนักงานเข็นเตียงมาส่งพร้อมสวดพึมพำไปด้วย ทวีเดินหน้าหงิกออกมาตาม
“เจ้าโอ้เอ้เข้ามาเร็วๆ สิ โอ้เอ้สมชื่อ งานยิ่งเร่งๆอยู่” ทวีหันไปเห็น “อ้าว คุณต้น”
“วันนี้มีศพเข้าเยอะนะครับ ถ้าลุงมีอะไรให้ผมช่วย ก็บอกได้เลย”

โอ้เอ้ยิ้มแหยๆ แล้วก็รวบรวมความกล้าพูด “คุณลาภิณมาช่วยลุงวีแต่งศพได้มั้ยครับ ผมจะได้พักออกมาสูดหายใจมั่ง ขนลุกขึ้นหัววูบๆ จนผมจะร่วงหมดแล้วครับ”
ทวีดุ “ไปพักยาวที่บ้านเลยมั้ย ทะลึ่งขึ้นทุกวัน”
โอ้เอ้จ๋อยไปตามระเบียบ
ลาภิณยิ้มๆ แล้วก็มองหาเจติยา “แล้วเจล่ะครับลุง ไม่ตามมาช่วยล่ะครับ”
“คุณต้นคงยังไม่ทราบเรื่อง นิษฐา เพื่อนของเจเค้าน่ะครับ”
“อ๋อ ผมรู้จักครับ” ลาภิณบอก
“ตอนนี้หายตัวไป เจช่วยออกตามหาทั้งคืนแต่ก็ไม่เจอ เมื่อเช้าโทรมาบอกว่าไข้ขึ้น ลุกไม่ไหว ขอลาหนึ่งวัน”
ลาภิณพยักหน้ารับทราบแล้วก็มีสีหน้าขรึมเพราะเป็นห่วงเจติยาและนิษฐา

ชื่อ “เจติยา” ปรากฏบนโทรศัพท์มือถือของลาภิณ ลาภิณดูมือถือของตัวเองอย่างชั่งใจเพราะเป็นห่วงเจติยาและลังเลว่าจะกดโทรออกดีไหม ทันใดนั้นปริมก็เปิดประตูห้องเข้ามา ลาภิณปั้นยิ้มพร้อมกดปิดโทรศัพท์มือถือแล้ววางลงบนโต๊ะทำงาน ปริมเดินเข้ามาหาลาภิณ ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
“ยุ่งอยู่รึเปล่าคะ” ปริมถาม
“เพิ่งได้นั่งพักนี่ล่ะครับ”
ปริมนั่งลงตรงข้าม “พักกลางวัน ปริมจะชวนคุณต้นไปเลือกแพ็กเกจงานหมั้นด้วยกันนะคะ”
ลาภิณยิ้มๆ เขาเปิดลิ้นชักโต๊ะหยิบแฟ้มใส่โบชัวร์เกี่ยวกับงานหมั้น งานแต่ง จำนวนหนึ่งออกมา
“ผมก็ไปดูมาหลายที่แล้วนะ ปริมลองอ่านดูก่อนเผื่อจะถูกใจที่ไหน จะได้ไม่ต้องเสียเวลาตระเวนหลายๆ ที่”
ปริมดีใจมาก “คุณต้นน่ารักจังเลย ปริมนึกว่าคุณจะไม่สนใจปล่อยเป็นหน้าที่ของปริมซะอีก”
“ไม่ได้หรอกครับ” ลาภิณเว้นนิดนึง “กลัวแพง”
ปริมขำ “คุณต้นอ้ะ”
ลาภิณยิ้มๆ ก่อนจะลุกมายืนโอบปริมแล้วเปิดดูโบชัวร์ด้วยกัน “ผมชอบงานของทีมนี้นะ” ลาภิณเปิดโบชัวร์
ปริมเหลือบตามองลาภิณแล้วก็แอบยิ้มปลื้มใจ เธอซบหน้ากับแขนลาภิณพร้อมทั้งดูโบชัวร์ไปด้วย

ปริมเดินยิ้มอารมณ์ดีออกมาจากห้องทำงานของลาภิณ พอปิดประตูก็ได้ยินเสียงของพิสัยดังขึ้นที่ด้านหลัง
“อารมณ์ดีจังนะจ๊ะที่รัก”
ปริมรีบหันกลับไปตามเสียงก็เห็นพิสัยกำลังยืนยิ้มกวนๆ อยู่
ปริมจ้องพิสัยเขม็งด้วยความเกลียดชัง “อย่ามาพูดพล่อยๆ แถวนี้นะ ฉันไม่อยากเห็นหน้าแก จะไปไหนก็ไป” ปริมเดินหนี
พิสัยเดินตาม “ทำไมใจร้ายยังงี้ล่ะ ไม่ทันไร ก็ไล่ผัวซะแล้ว”
ปริมโกรธจัดจึงหันกลับมาตวัดมือตบหน้าพิสัย แต่พิสัยคว้ามือไว้ได้ทัน
“อย่าออกอาการมากนักสิจ๊ะที่รัก เดี๋ยวคนอื่นมาเห็นเข้าจะแก้ตัวลำบาก”
ปริมดึงมือหลุดออกมาแล้วจ้องหน้าพิสัยด้วยความเกลียดชัง
พิสัยยิ้มเยาะก่อนจะเดินไปเคาะประตูห้องลาภิณ แล้วหันมาทำหน้ากวนๆ ใส่ก่อนจะเปิดประตูห้องเข้าไป ปริมมองตามด้วยความแค้นแต่ตกเป็นเบี้ยล่างพิสัยเลยไม่กล้าทำอะไร

เจติยากำลังนอนหลับสนิทอยู่บนเตียงโดยมีมยุรีคอยเช็ดตัวให้ด้วยความห่วงใย นทีเดินเข้ามาในห้อง พร้อมซองยาลดไข้
นทียื่นซองยาลดไข้ให้แม่ “ยาได้แล้วครับแม่ ไข้ลดรึยังครับ”
“ดีขึ้นนิดหน่อยแล้วล่ะ” มยุรีตอบ
นทียืนมองพี่สาวห่างๆ ด้วยสายตาเป็นห่วง เจติยานอนกระสับกระส่ายไปมา
นทีถามด้วยความเป็นห่วง “ปลุกไปหาหมอดีมั้ยแม่ ดูกระสับกระส่ายแปลกๆ”
มยุรีมองไปที่เจติยาเห็นเจติยานอนกระสับกระส่ายเหมือนฝันร้าย
ทันใดนั้นเจติยาก็ได้ยินเสียงของปราณ ปีศาจที่เกิดจากกล่องรากบุญดังก้องขึ้นในหัว
“ขอพรสิเจติยา ถ้าเธออยากช่วยนิษฐาก็จงขอพรมากล่องรากบุญจะบันดาลให้เธอทุกอย่าง ขอพรมา”
เจติยาสะดุ้งตื่นพร้อมกับร้องสุดเสียง “ไม่”
มยุรีและนทีตกใจ
“ไม่ไปก็ไม่ไป พูดดีๆก็ได้” นทีเดินออกจากห้องไปอย่างเซ็งๆ
เจติยาน้องชายอย่างงงๆ ก่อนจะมองไปรอบๆ แล้วพยายามตั้งสติ “เจฝันร้ายค่ะแม่”
มยุรีถอนใจ “คงเป็นห่วงหนูฐามากล่ะสิ ปล่อยเป็นหน้าที่ตำรวจเค้าเถอะลูก เจทำดีที่สุดแล้วล่ะ”
เจติยาลุกขึ้นจะออกไปตามเรื่องนิษฐาต่อ
มยุรีเป็นห่วง “จะไปไหนเจ นอนพักต่อเถอะลูก”
เจติยาร้อนใจ “เจไม่เป็นไรแล้วค่ะแม่ เจห่วงฐา อยากไปตามเรื่องมากกว่าค่ะ”
“ตอนนี้เค้าได้ตัวผู้ต้องสงสัยแล้วนะ อีกเดี๋ยวก็คงช่วยหนูฐาได้แล้วล่ะ เราพักผ่อนรอฟังข่าวอยู่ที่บ้านนี่แหละ”
เจติยานึกไม่ถึง “ได้ตัวผู้ต้องสงสัยแล้วเหรอคะ ใครคะแม่” เจติยามีสีหน้าอยากรู้

นวัชกำลังสอบปากคำพีระเดชอยู่ในห้องสอบสวน
พีระเดชเครียดหนัก “ผมไม่เคยฆ่าใครจริงๆนะครับ ยิ่งคุณนิษฐายิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่เลย เราเพิ่งเจอกันได้ไม่กี่วัน ไม่มีความแค้นอะไรกัน แล้วผมจะไปทำร้ายเธอทำไม”
“นั่นก็เป็นสิ่งที่ผมอยากจะถามคุณเหมือนกันล่ะครับ ว่าคุณทำไปทำไม” นวัชถาม
นวัชหยิบเอกสารและรูปผู้หญิงที่ตายทุกคนมาวางลงต่อหน้าพีระเดช
“ผมเพิ่งได้ข้อมูลใหม่มา ผู้หญิงทุกคนที่ถูกฆ่า เคยไปงานสัมมนาของคุณมาแล้วทั้งนั้น หลังจากนั้นไม่กี่วันทุกคนก็กลายเป็นศพ” นวัชบอก
พีระเดชหยิบรูปมาดูแล้วก็เครียดหนัก “งานสัมมนาของผมแต่ละครั้ง มีคนฟังเป็นร้อยๆ ผมจำไม่ได้หรอกครับว่าใครเป็นใครบ้าง มันอาจจะบังเอิญก็ได้”
นวัชเสียงดัง “แต่มันไม่ใช่แค่ศพเดียว มีอย่างน้อยห้าศพ ไม่น่าจะบังเอิญแล้วล่ะครับ คุณใช้การตระเวนสัมมนาไปแต่ละจังหวัดบังหน้า เพื่อหาเหยื่อมาฆ่าใช่มั้ย สารภาพมาซะดีๆ”
พีระเดชพูดไม่ออกจึงหัวเราะออกมาแทน “นั่นมันฆาตกรโรคจิตแล้วครับหมวด” พีระเดชพูดจริงจัง “เอาจิตแพทย์มาตรวจผมก็ได้ ผมไม่ได้ทำจริงๆ” พีระเดชถอนใจส่ายหน้า
นวัชชักเครียดเพราะท่าทางพีระเดชจะไม่ยอมสารภาพง่ายๆ แน่นอน

เจติยาเดินขึ้นโรงพักมาในจังหวะเดียวกับที่นวัชเดินหน้าเครียดออกมาจากข้างใน
นวัชถามด้วยความเป็นห่วง “อ้าวเจ ค่อยยังชั่วแล้วเหรอ”
“ค่ะ” เจติยาห่วงนิษฐา “เค้ายอมสารภาพมั้ยคะ แล้วฐาปลอดภัยรึเปล่า”
นวัชหน้าเครียด “นายพีระเดชมันปากแข็ง ไม่ยอมรับง่ายๆ แต่ไม่ต้องห่วงนะ ยังไงพี่ต้องช่วยฐาให้ได้”ทันใดนั้นเอง พีระเดชก็เดินออกมาจากข้างในด้วยสีหน้าเคร่งเครียด โดยที่เขากำลังคุยกับตำรวจที่คุมตัวออกมา
“คนอย่างผมจะไปฆ่าใครได้ แล้วผมก็ไม่ใช่พวกคลั่งไสยศาสตร์ด้วย ถึงต้องฆ่าใครด้วยวิธีพิสดารแบบนั้น”
เจติยาได้ยินก็ฉุกคิด “เดี๋ยวค่ะ” เจติยาเดินเข้าไปหาพีระเดช “แล้วคุณรู้ได้ไงว่าคนฆ่าเป็นพวกคลั่งไสยศาสตร์”
“ก็ไอ้ตัวเลขไทยที่ใช้มีดเขียนบนศพนั่นไงครับ มันไม่ใช่ตัวเลขปกติ แต่เป็นสัญลักษณ์แทนดวงดาว อย่างเลขสี่ก็แทนดาวพุธ เลขหนึ่งก็แทนดวงอาทิตย์ ฆาตกรทำแบบนี้ก็เพื่อที่จะบูชายัญ ตามความเชื่อของมัน” พีระเดชบอก
นวัชยิ่งสงสัยหนัก “รู้ละเอียดดีนี่ เหมือนทำซะเองเลย”
พีระเดชอ่อนใจ “โธ่ หมวด ผมศึกษาเรื่องนี้มาตั้งกี่ปีแล้ว เรื่องแค่นี้ทำไมผมจะไม่รู้”
“ถ้าคุณยืนยันว่าไม่ได้ทำ งั้นก็แสดงว่าฆาตกรจับตัวเพื่อนฉันไปเพื่อบูชายัญเหรอคะ” เจติยาถาม
“ก็น่าจะใช่ล่ะครับ”
เจติยาจับต้นแขนพีระเดชด้วยความร้อนใจ “ฆาตกรจะทำพิธีเมื่อไหร่ คุณบอกได้มั้ยคะ แล้วตอนนี้ฐายังปลอดภัยอยู่รึเปล่า”
พีระเดชอึกๆอักๆ ไม่รู้จะตอบยังไงเพราะเขาก็ไม่รู้ละเอียดขนาดนั้น
ทันใดนั้นเอง เจติยาก็เห็นนิมิตภาพขึ้นมา

เจติยามองเห็นพระอาทิตย์ค่อยๆเคลื่อนไปสู่กลางท้องฟ้าบอกเวลาว่าใกล้เที่ยง
นิษฐาถูกมัดมือ มัดเท้า มัดปาก นอนอยู่บนพื้นที่เขียนอักขระยันต์ไว้ในโรงงานร้างแห่งหนึ่ง สีหน้าแววตาของนิษฐาหวาดกลัวสุดๆ แสงเดินย่างสามขุมเข้ามาหานิษฐาพร้อมกับกริชแหลมคม แสงชูกริชขึ้นก่อนจะแทงปักลงไป
ใบหน้าของนิษฐาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและหวาดกลัวสุดขีด

หลังจากเห็นภาพนิมิต เจติยาก็มีอาการช๊อคจนเซเหมือนจะล้ม แต่นวัชเข้ามาประคองไว้ได้ทัน
นวัชเป็นห่วง “นั่งพักตรงนี้ก่อนเจ”
เจติยาหน้าซีดเผือด “พี่หมวดช่วยพาเจกลับบ้านที”
“พี่ว่าไปหาหมอดีกว่ามั้ย” นวัชถาม
“ไม่ค่ะ พาเจกลับบ้าน เหลือเวลาไม่มากแล้ว เจต้องรีบช่วยฐา” เจติยามีสีหน้าขรึมลงด้วยความโมโห “ทุกอย่างต้องกลับไปแก้ที่ต้นเหตุของมัน”
นวัชมองเจติยาอย่างงงๆ
“รีบไปเถอะค่ะ เดี๋ยวจะสายเกินแก้” เจติยารีบเดินนำออกไป
“เดี๋ยวเจ รอพี่ก่อน”
นวัชรีบตามเจติยาออกไปติดๆ ด้วยความเป็นห่วง

เวลาผ่านไป เจติยาหยิบกล่องรากบุญจากในลิ้นชักโต๊ะทำงานขึ้นมาวางบนโต๊ะ ทันใดนั้นกล่องรากบุญบนโต๊ะก็เปล่งแสงเรืองรองออกมาเหมือนเร่งให้เจติยาขอพร
เจติยาเจ็บใจสุดๆ “ทุกอย่างเป็นฝีมือของแกเพื่อบีบให้ฉันขอพร” เจติยามีน้ำตาคลอขึ้นมา “แกชนะแล้ว บอกมาเดี๋ยวนี้เลยว่าฐาอยู่ที่ไหน”
ทันใดนั้นก็มีลมพัดแรงจนข้าวของล้มระเนระนาด เศษกระดาษปลิวว่อนไปหมด กล่องรากบุญเปิดออก พร้อมแสงสว่างจ้าจนเจติยาต้องเอามือบังสายตาจากแสงไว้
แล้วเจติยาก็เห็นภาพนิมิตขึ้นในหัว เธอเห็นตรอกซอกซอย ถนนหนทางต่างๆที่ไปสู่โรงงานร้าง และเห็นไปถึงโรงงานร้างที่ขังนิษฐาเอาไว้ เจติยาผงะออกมา เธอพยายามตั้งสติจากนั้นก็รีบวิ่งออกจากห้องไปทันที ไม่มีเหรียญติดอยู่ที่ฝากล่องทั้งสามด้านของกล่องรากบุญแล้ว แล้วฝากล่องก็ค่อยๆปิดลงมาเองพร้อมทำงานตามวงจรต่อไป

พระอาทิตย์ค่อยๆเคลื่อนไปสู่กลางท้องฟ้า แสงกำลังทำพิธีทางไสยศาสตร์อยู่ในโรงงานร้าง เขาตั้งโต๊ะทำพิธี บนโต๊ะมีกริชเล่มหนึ่งวางอยู่ พร้อมเครื่องเซ่นเป็นเนื้อสัตว์สดที่แดงฉานไปด้วยเลือดภายในห้องที่ค่อนข้างมืด มีเพียงแสงสว่างจากเปลวเทียนที่แสงจุดในการทำพิธีและแสงจากภายนอกที่ส่องลอดหน้าต่างเข้ามาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

นิษฐากำลังถูกมัดมือ มัดเท้า มัดปาก นอนอยู่บนพื้นด้วยความหวาดกลัว โดยบนพื้นที่นิษฐานอน มีการวาดอักขระยันต์เอาไว้ด้วย แสงทำปากขมุบขมิบร่ายมนต์ เปลวเทียนรอบห้องสั่นไหวไปมา แล้วแสงก็หยิบกริชขึ้นมาชูขึ้นเหนือหัวแล้วค่อยๆเดินเข้าหานิษฐา
นิษฐาหวาดกลัวสุดขีด เธอพยายามดิ้นแต่ก็ไม่สำเร็จจะร้องให้คนช่วยก็ร้องไม่ได้ สายตาที่มองแสงเต็ม
ไปด้วยความกลัวสุดขีด แสงหันปลายกริชลงบนตัวนิษฐาเตรียมจะปักกริชลงไป ทันใดนั้นประตูโรงงานก็ถูกกระแทกเปิดออกพร้อมกับนวัชและตำรวจอีกกลุ่มหนึ่งที่ถือปืนบุกเข้ามา
นวัชตะโกนลั่น “หยุดเดี๋ยวนี้นะ อย่าขยับ ไม่งั้นฉันยิงแกทิ้งแน่”
แสงจะปักกริชลงไปให้ได้ นวัชจำเป็นต้องยิงเข้าไปที่หัวไหล่ของแสง จนแสงผงะหงายออกไป แต่ก็ยังจะเข้ามาทำร้ายนิษฐาต่อ ตำรวจคนอื่นๆ ช่วยกันระดมยิงเข้าไปอีกหลายนัดจนแสงทรุดลงในสภาพบาดเจ็บสาหัส ขยับไม่ไหวอีก นวัชรีบเข้าไปช่วยนิษฐา เจติยา และพีระเดชค่อยตามเข้ามาหลังจากเหตุการณ์สงบแล้ว โดยมีตำรวจตามประกบพีระเดชตลอด
พอถูกแก้มัด นิษฐาก็โผเข้ากอดนวัชแล้วร้องไห้ทันที “พี่หมวด ฐากลัว”
นวัชอึ้งไป เขาเหล่เจติยาเพราะกลัวเจติยาเข้าใจผิดแต่นิษฐากำลังขวัญเสียเขาก็ไม่รู้จะทำยังไง พีระเดชรีบเข้าไปดูหน้าฆาตกรทันที พอเห็นหน้าชัดๆ พีระเดชก็ตกใจที่เป็นแสง คนขับรถของเขานั่นเอง
“แสง”
“คุณรู้จักมันเหรอคะ” เจติยาถาม
“เค้าเป็นคนขับรถของผมเอง ไม่น่าล่ะ เหยื่อที่ถูกฆ่าทุกคนถึงเคยมางานสัมมนาของผม”
แสงนอนหายใจรวยรินเพราะถูกยิงสาหัสอยู่กับพื้น โดยมีตำรวจคนอื่นคอยดูอาการ ทันใดนั้น แสงก็ตาแข็งค้างเหมือนคนถูกผีสิงก่อนจะผลักตำรวจที่อยู่ใกล้กระเด็นออกไป แล้วลุกขึ้นยืนตัวแข็งเหมือนผีดิบ ท่ามกลางความตกใจของทุกคน นวัชรีบชักปืนออกมาเตรียมพร้อมทันที
แสงหันไปชี้หน้าเจติยาแล้วตะคอก “แกมันโง่เง่า มีแต่คนอยากมีอำนาจบันดาลได้ทุกอย่าง แกได้มันแล้ว กลับจะทิ้งมัน”
เจติยาตกใจสุดๆ “แกคือใครกันแน่”
“ล้มเลิกความคิดซะเจติยา ไม่อย่างงั้นคนรอบข้างแกจะต้องเดือดร้อน ตัวแกเอง ก็จะไม่รอด”

รากบุญ ตอนที่ 6 (ต่อ)
พูดจบก็มีเงาดำทะมึนออกมาจากร่างของแสง ก่อนที่เงาดำนั้นจะรวมตัวกันเป็น “ปราณ” ชายหนุ่มรูปงามผิวขาว แต่สีหน้าแววตาเย็นชา แต่ก็ไม่มีใครเห็นปราณนอกจากเจติยา ปราณมองเจติยาด้วยสายตาเย็นชา
เจติยาจ้องมองปราณเขม็งด้วยใบหน้าสีหน้าซีดเผือดเหมือนถูกดูดพลังไป
“เห็นอะไรเหรอเจ” นวัชถาม
แล้วปราณก็เลือนหายไป ร่างของแสงล้มลงกับพื้นแล้วขาดใจตายทันที เจติยายืนช็อกอยู่ครู่นึง ก่อนจะเป็นลมล้มพับไปอีกคน
นวัชตกใจมาก “เจ”
นวัชทิ้งนิษฐาไปประคองเจติยาทันที นิษฐาแอบเบะปากเซ็งๆ ก่อนจะมีตำรวจอีกนายมาประคองเธอแล้วพาเดินออกไปแทน

เจติยานอนหลับสนิทอยู่บนเตียงคนไข้ ลาภิณเดินเข้ามาพร้อมกับแจกันดอกไม้เยี่ยมไข้ ลาภิณเห็นเจติยานอนหลับสนิทเลยเดินเข้ามาวางแจกันเงียบๆ ทันใดนั้นเจติยาก็มีอาการเกร็งใช้มือจิกผ้าห่มแน่น นอนกระสับกระส่ายละเมอแบบคนฝันร้าย เจติยาละเมออาละวาดเอามือปัดป่ายวุ่นไปหมดเหมือนเห็นสิ่งน่าหวาดกลัวสุดๆ
ลาภิณรีบเข้าไปเขย่าแขนเจติยาด้วยความตกใจ “เจ เป็นอะไร เจ”
เจติยามีอาการเหมือนหายใจไม่ทันแล้วจะชัก ลาภิณรีบเขย่าตัวแรงขึ้นอีก
ลาภิณเสียงดังขึ้น “เจ ตื่น...”
เจติยาสะดุ้งพรวดขึ้นมาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก เหงื่อแตกเต็มหน้า
“คุณลาภิณ” เจติยางง
“ตามคุณหมอมาดีมั้ย” ลาภิณเสนอ
“ไม่เป็นไรแล้วล่ะค่ะ ฉันแค่ฝันร้าย”
“แต่อาการเธอเหมือนจะขาดอากาศหายใจเลยนะ”
“เหรอคะ” เจติยางงๆ เธอพยายามย้อนนึกถึงฝันแต่ก็นึกไม่ออกจึงพูดตัดบท “นี่คุณมาได้ยังไงคะ”
“ลุงทวีบอก พอดีฉันต้องมาเยี่ยมลูกค้าที่ห้องหัวมุมอยู่แล้วเลยรวบยอดมาเลย ลูกๆ เค้าคิดว่าไม่น่าพ้นปลายเดือนนี้ เธอคงได้แต่งหน้าให้แน่”
เจติยาหน้าขรึมๆ พิงตัวลงนอนให้สบาย
“เธอพักผ่อนเถอะ ฉันไม่กวนแล้ว”
“ขอบคุณมากนะคะ อุตส่าห์เสียเวลามา”
ลาภิณยิ้มๆ ก่อนจะแกล้งกระเซ้า “แค่อยากมาดูว่าป่วยจริงป่าว บริษัทงานเยอะมาก”
เจติยาเผลอตัวเหยียดปากค้อนใส่ เพราะไม่มีแรงจะต่อปากต่อคำด้วย
“ค่าโรงพยาบาลทั้งหมด บริษัทจะรับผิดชอบให้นะ หายเร็วๆแล้วกัน ฉันไปล่ะ” ลาภิณยิ้มให้แล้วเดินออกไปจากห้อง
เจติยามองตามลาภิณไปด้วยสีหน้านิ่ง ก่อนจะเหลือบตามองไปที่แจกันดอกไม้เยี่ยมไข้ที่จัดมาอย่างสวยงาม เจติยายิ้มออกมาก่อนจะค่อยๆ หลับตานอนพัก

ปริมนั่งเล่นโทรศัพท์สมาร์ทโฟนแก้เซ็งระหว่างรอลาภิณกลับบ้านอยู่ในห้องนั่งเล่น ทันใดนั้นก็มีมือหนึ่งเอื้อมมาโอบบ่าปริมเอาไว้ ปริมตกใจรีบสะบัดตัวออกจนเห็นว่าคนที่โอบเธอคือพิสัยนั่นเอง
ปริมลุกหนี “อย่ามาทำรุ่มร่ามกับฉันนะ”
พิสัยทำหน้ากวนๆ “ไม่ต้องกลัวใครเห็นหรอกน่า ไอ้ต้นยังไม่กลับ พี่จิตก็หลับอยู่ข้างบน... ที่รักก้อ จับนิดจับหน่อย ทำหวงตัวไปได้”
ปริมโมโห “แกอย่ามาเรียกฉันอย่างงี้อีกนะ ฉันสะอิดสะเอียนเต็มทนแล้ว”
พิสัยเดินมานั่งไขว่ห้างอย่างอารมณ์ดี
ปริมโมโหมาก “แกคิดว่าถือไพ่เหนือกว่า แล้วจะข่มฉันได้ตลอดเหรอ ถ้าฉันต้องเป็นเครื่องมือทำร้ายคุณต้น ฉันไม่แต่งงานกับคุณต้นก็ได้แล้วคราวนี้แกก็จะไม่ได้อะไรเลย”
พิสัยขำๆ “อย่าโง่ไปหน่อยเลยน่า ถ้าเธอช่วยฉัน นอกจากจะได้คุณต้นแล้ว เธอยังจะได้หลักฐานทุกอย่าง” พิสัยพูดเน้นกวนๆ พร้อมกับยักคิ้วหลิ่วตาใส่ “ระหว่างเรา...คืนไปด้วย”
ปริมทำท่ารังเกียจ
พิสัยยักไหล่ไม่แคร์ “แต่ถึงเธอไม่ยอมช่วย ฉันก็มีปัญญาหาทางเอาหุ้นของนิราลัยมาเป็นของฉันได้อยู่ดี” พิสัยมีสีหน้ากวนๆ “แต่ภาพของเธอมีอะไรกับฉันได้ว่อนเน็ตแน่”
ปริมหน้าเสียเพราะได้ยินพิสัยพูดอย่างนี้ก็ลังเล เธอก็ไม่กล้าแตกหักกับพิสัยเหมือนกัน
พิสัยยิ้มแบบคนถือไพ่เหนือกว่า “เธอน่าจะรู้นะ ว่าอะไรที่เป็นประโยชน์กับเธอมากที่สุด จริงมั้ยจ๊ะ เมียจ๋า”
ปริมทนไม่ได้จึงเดินไปคว้ากระเป๋าถือแล้วเดินฉับๆ ออกไปจากบ้าน พิสัยหัวเราะชอบใจก่อนจะลุกเดินไปทางครัว ชูจิตแอบฟังอยู่ที่มุมบันไดตกใจจนหน้าซีดเผือดเพราะไม่คิดว่าน้องชายกับว่าที่ลูกสะใภ้จะทำอะไรแบบนี้

ผืนน้ำในคลองยามเช้า เจติยายืนถือกล่องรากบุญอยู่ริมฝั่ง ใกล้ๆตัวเธอมีถุงปุ๋ยกับก้อนอิฐวางอยู่
เจติยาจ้องกล่องรากบุญเขม็ง “ขู่ฉัน แล้วคิดว่าฉันจะกลัวต้องยอมแกเหรอคนอย่างฉันยอมตายซะดีกว่าต้องตกเป็นทาสแกไปตลอดชีวิต”
เจติยาเอากล่องรากบุญใส่ถุงปุ๋ยที่เตรียมมาแล้วเอาก้อนอิฐ ก้อนหินใส่ลงไปเพื่อถ่วงน้ำหนักเอาไว้ก่อนจะปิดปากถุงผูกเชือกรัดให้แน่น แล้วโยนลงคลองไป เจติยามองถุงจมลงคลองไปด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

เจติยาเปิดประตูกลับเข้ามาในห้องนอน พอเข้ามาก็ต้องตกใจสุดๆ เมื่อเห็นกล่องรากบุญวางอยู่ปลายเตียงเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งๆ ที่เธอเพิ่งเอาไปถ่วงน้ำ
เจติยารีบเข้าไปหยิบกล่องขึ้นมาด้วยความโกรธจัด “ไอ้กล่องบ้า” เจติยาปากล่องลงบนพื้น
เจติยาหันไปหยิบร่มแล้วเอาด้ามเอาทุบตีกล่องไม่ยั้งด้วยความโกรธจัด เจติยาหยิบกล่องขึ้นมาดู ก็เห็นว่ากล่องไม่บุบสลายแม้แต่น้อย เธอยิ่งเจ็บใจหนักกว่าเดิม “ให้มันรู้ไป จะทนได้ซักแค่ไหน”
เจติยาหยิบกล่องรากบุญเดินออกไปจากห้องทันที

กล่องรากบุญถูกโยนใส่ปี๊บสังกะสีที่สนามข้างบ้านโดยเจติยา แล้วเจติยาก็หยิบไม้ขีดออกมาจุดไฟแล้วโยนลงไปในถัง ครู่เดียวไฟก็ลุกโชนไหม้กล่องรากบุญที่อยู่ในถังไปด้วย เจติยายิ้มดีใจแต่ยังไม่ทันหุบยิ้ม เปลวไฟก็ค่อยๆมอดลงจนดับสนิททำให้เห็นว่ากล่องรากบุญยังมีสภาพเหมือนเดิมและไม่มีร่องรอยว่าถูกไฟไหม้เลยแม้แต่น้อย เจติยารีบหยิบกล่องขึ้นมาด้วยความโมโห แต่ก็แปลกใจที่กล่องเป็นปกติไม่ได้ร้อนเหมือนเพิ่งผ่านการเผามาเลย
เจติยาเจ็บใจสุดๆ “แก..” เจติยาจะปากล่องลงพื้น
ทันใดนั้นนทีก็เดินเข้ามาหา
นทีมีสีหน้างงปนสงสัย “ทำอะไรน่ะพี่เจ”
เจติยาตกใจ เธออึกๆอักๆ เพราะไม่รู้จะบอกน้องว่ายังไง
นทีเห็นกล่องรากบุญก็สงสัย “กล่องอะไรอ้ะ”
นทีเดินมาดึงกล่องรากบุญจากมือเจติยาไปดู
เจติยาตกใจ “เอาคืนมานะนที”
นทีฉีกตัวหลบพร้อมกับมองกล่องด้วยความชอบ “สวยดีนี่ กล่องอะไรเหรอพี่”
“ฉันบอกให้เอาคืนมาไงล่ะ” เจติยาแย่งกล่องกลับมาแล้วตะคอก “จำเอาไว้นะ แกห้ามแตะต้องมันเด็ดขาด”

นทีโมโห “เออ ไม่แตะก็ได้ ขี้งกเอ๊ย”
นทีจะเดินกลับด้วยความหงุดหงิด เขาเหลือบไปเห็นเคมีเพื่อนของตนกำลังยืนแอบอยู่ด้วยความกลัวและประหม่า
นทีหงุดหงิดจึงพาลใส่เพื่อน “เฮ้ย บอกให้เข้ามาไงล่ะ ยืนบื้ออะไรอยู่ได้” นทีเดินกลับเข้าบ้านไปอย่างหัวเสีย
เคมีเดินเหนียมๆออกมา ด้วยท่าทางประหม่า เคมียิ้มหวานมาให้เจติยาพร้อมยกมือไหว้ เจติยาปั้นยิ้มรับไหว้ตามมารยาทก่อนจะก้มมองกล่องรากบุญในมือแล้วถอนใจหนักๆออกมา เคมีเดินตามนทีเข้าไปในบ้าน แต่อดไม่ได้ที่จะหันไปมองเจติยาแล้วยิ้มปลื้มๆ จนแทบสะดุดจนหัวทิ่ม

เจติยาเอาน้ำกับขนมมาให้เคมีที่นั่งรอนทีอยู่
เคมีเห็นเจติยาแล้วก็เขินโดยไม่มีสาเหตุ “ขอบคุณครับ”
เจติยายิ้มก่อนจะนั่งลงแล้วชวนคุย “นี่เราเป็นเพื่อนนทีเหรอ พี่ไม่เคยเห็นหน้าเลย”
เคมีประหม่า “เอ่อ ผมก็ไม่ค่อยสนิทกับนทีเท่าไหร่หรอกครับ แต่พอดีนทีเค้ายืมสมุดเล็คเชอร์ผมมา ผมก็เลยตามมาเอาคืนน่ะครับ”
เจติยาพูดเบา “ก็ยังดี ที่สนใจเรื่องเรียนกะเค้าบ้าง”
เคมีได้ยินไม่ถนัด “พี่ว่าอะไรนะครับ”
เจติยาปั้นยิ้ม “ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ” เจติยาตัดบท “เราชื่อเคเหรอ ได้ยินนทีเรียกแว่วๆ”
เคมียิ้มเขิน “ครับ เอ่อ ผมชื่อจริงว่าเคมีน่ะครับ แต่เพื่อนๆเรียกไอ้เคบ้าง ไอ้มีบ้าง”
เจติยายิ้ม “เคมี ชื่อแปลกดีนะ พี่ชื่อเจติยา เรียกพี่เจก็ได้”
เคมียิ้มเขิน “ครับ”
ทันใดนั้น นทีก็เดินถือสมุดเล็คเชอร์มาให้เคมี
“อ้ะไอ้เค เอาคืนไป ยืมนิดยืมหน่อยทำมาทวง” นทีเหล่เจติยา “หมู่นี้ทำไมเจอแต่คนขี้งกวะ”
เคมีรับสมุดมา “งั้นผมไปเรียนพิเศษก่อนนะครับพี่เจ” เคมีหันไปพูดกับนที “นทีจะไปกับเรารึเปล่า”
นทีหงุดหงิด “ก็เรียนที่เดียวกันก็ต้องไปด้วยกันสิวะ ถามบื้อๆ”
นทีเดินไปใส่รองเท้าด้วยท่าทางเซ็งๆ
เจติยามองตามน้องแล้วส่ายหน้าอ่อนใจ ก่อนจะเหลือบไปเห็นปกเสื้อของเคมี “เดี๋ยวจ้ะ เคมี”
เจติยาจัดปกเสื้อเคมีให้เรียบร้อย เคมีตื่นเต้นสุดๆ ที่มีพี่สาวน่ารักมาจัดแต่งปกเสื้อให้จึงปลื้มใจมาก
เจติยายิ้ม “หล่อแล้ว ไปเรียนได้”
เคมีประหม่าสุดๆ “ขอบคุณครับ”
เคมีรีบหลบสายตาเจติยาด้วยความเขิน ประหม่าจนเดินหาทางออกไม่ถูก เขาไม่รู้ว่าจะเดินออกมาทางซ้ายหรือทางขวาดีจนเจติยาต้องหลบทางให้ เคมียิ้มเขินๆ ก้มหน้างุดๆ เดินตามนทีไป เจติยามองตามแล้วก็รู้สึกว่าเพื่อนของน้องชายคนนี้ตลกดี เธอมองด้วยความเอ็นดูไม่ได้คิดอะไร ก่อนจะมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมา

หลังจากฟังเรื่องราวจากเจติยา ทวีก็ถึงกับตกใจมาก “ถึงขั้นเผาเลยเหรอหนูเจ”
ทวีกำลังนั่งกินข้าวเที่ยงอยู่กับเจติยา
เจติยายิ่งคิดยิ่งแค้น “มันทำกับเจกับเพื่อนเจซะขนาดนั้น ยังจะให้เจเก็บไว้อีกเหรอคะลุง เสียดายที่ทำอะไรมันไม่ได้ ไอ้กล่องปีศาจ” เจติยามีสีหน้าชิงชัง
ทวีมีสีหน้าเคร่งเครียดเพราะไม่สบายใจขึ้นมา
เจติยาติดใจสงสัย “ลุงคะ เราจะไม่มีวิธีทำลายกล่องได้เลยจริงๆ เหรอคะ”
ทวีมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา “ลุงก็ไม่รู้เหมือนกัน ไม่เคยมีเจ้าของกล่องรากบุญคนไหนคิดทำลายมันเหมือนกับหนู ถ้าไม่อยากได้ก็ยกต่อให้คนอื่น เหมือนที่ลุงยกให้คุณสารัชไง”
เจติยาเครียด “แต่ถ้าเจยกให้คนอื่น มันก็เหมือนให้เค้ามารับกรรมแทนเจน่ะสิคะลุง”
“ถ้างั้นหนูก็ทำเหมือนคุณสารัชสิ หลังจากที่คุณสารัชขอให้ตัวเองหายป่วยแล้ว ก็ไม่เคยขอพรอะไรที่มันสำคัญอีกเลย พอได้ดาวครบทีไร คุณสารัชก็ขอแต่เรื่องสัพเพเหระ ถึงได้อยู่กับกล่องมาได้เป็นสิบๆปีโดยที่ไม่มีปัญหาอะไร”
เจติยาคิดหนัก “แต่เจว่าทำแบบนั้น มันก็เหมือนกับการประวิงเวลา มันไม่ใช่การแก้ปัญหานะคะลุง”
“มันก็จริง แต่ก็ไม่มีวิธีอื่นแล้วนี่ นอกจากหนูเจจะหาคนที่คิดเหมือนหนู แต่มีความสามารถมากกว่า แล้วก็ให้กล่องเค้าไป เผื่อเค้าจะหาวิธีเอาชนะมันได้”
เเจติยาคิดตามและเริ่มรู้สึกว่าวิธีนี้ก็น่าสนใจดีเหมือนกัน

ชูจิตกำลังนั่งคิดหนักกับเรื่องที่ตนได้ยินมากับหู ยิ่งคิดสิ่งที่ตนเห็นและได้ยินก็ยิ่งชัดเจนจนเสียงพิสัยที่คุยกับปริมย้อนกลับมา....
พิสัยขำ “อย่าโง่ไปหน่อยเลยน่า ถ้าเธอช่วยฉัน นอกจากจะได้คุณต้นแล้วเธอยังจะได้หลักฐานทุกอย่าง” พิสัยพูดเน้นกวนๆ พร้อมทั้งยักคิ้วหลิ่วตาใส่ “ระหว่างเรา..คืนไปด้วย”
ปริมทำท่ารังเกียจ
พิสัยยักไหล่ไม่แคร์ “แต่ถึงเธอไม่ยอมช่วย ฉันก็มีปัญญาหาทางเอาหุ้นของนิราลัยมาเป็นของฉันได้อยู่ดี” พิสัยทำสีหน้ากวน “แต่ภาพของเธอมีอะไรกับฉันได้ว่อนเน็ตแน่”
ปริมหน้าเสียพอได้ยินพิสัยพูดอย่างงี้ก็ลังเล
พิสัยยิ้มแบบคนถือไพ่เหนือกว่า “เธอน่าจะรู้นะ ว่าอะไรที่เป็นประโยชน์กับเธอมากที่สุด จริงมั้ยจ๊ะ เมียจ๋า”
...ชูจิตมีสีหน้าเคร่งเครียด และถอนหายใจยาวออกมา ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ก่อนที่พิสัยจะเปิดประตูเข้ามา
ชูจิตรีบปั้นหน้าปกติ “มีอะไรเหรอจ๊ะพิสัย”
พิสัยยิ้มแย้ม “ก็พี่จิตให้ผมมาพบ”
“เอ้อ ใช่จ้ะ พี่จะชวนไปพบท่านทินกรด้วยกัน พิสัยว่างมั้ย”
“ว่างครับ งั้นผมไปเก็บของก่อน”
“จ้ะ เดี๋ยวเจอกันที่ล็อบบี้ พี่สั่งงานเสร็จแล้วจะตามไป”
พิสัยยิ้มรับ “ครับ”
พิสัยเดินออกจากห้องไป ชูจิตรีบหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาโทรออกทันที
“คุณปุ่นคะ ฉันอยากจะได้นักสืบเก่งๆ มาช่วยงานซักหน่อย คุณพอจะหาให้ฉันได้มั้ยคะ” ชูจิตฟังปลายสายด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

เจติยากำลังแต่งศพพร้อมกับคุยกับโอ้เอ้ไปด้วย โอ้เอ้ยืนคอยช่วยหยิบจับโน่นนี่อยู่ห่างๆ โดยมือกำสร้อยพระไว้ตลอด
“ขอพรอะไรก็ได้เหรอพี่” โอ้เอ้งง “นึกไงถึงถามเนี่ย”
เจติยาพูดไปทำงานไป “ตอบมาเถอะน่า ถ้าขอพรได้ เราอยากขออะไร”
โอ้เอ้ยิ้มแย้ม “ก็ขอเงินสิพี่ ผมอยากรวยๆ มีเงินใช้เท่าไหร่ก็ไม่หมด ผมจะได้ไม่ต้องทำงาน” ยิ่งพูดโอ้เอ้ยิ่งเคลิ้ม “ผมอยากได้อะไรนะจะซื้อให้หมดเลย มีแฟนสวยๆ อยู่บ้านหลังใหญ่ๆ เปลี่ยนรถสปอร์ตเดือนละคัน เปลี่ยนตุ๊กตาหน้ารถพร้อมรถได้ด้วยยิ่งดีนะพี่” โอ้เอ้หัวเราะชอบใจ
เจติยาเหล่มองเพราะคิดว่าคนนี้ไม่เหมาะแล้ว

เจติยายืนรอลิฟท์โดยมีมีสีหน้าใช้ความคิด
เจติยาพึมพำ “รู้จักใครอีกหว่า” เจติยาพยายามใช้ความคิด
ลิฟท์เปิดออก ลาภิณเดินออกมาเห็นเจติยา เขายิ้มให้แล้วรีบเดินไป เจติยาฉุกคิดแล้วรีบเดินตาม
“คุณลาภิณคะ รอเดี๋ยวค่ะ”
ลาภิณหยุดเดินก่อนจะหันไปมองเจติยา
“ฉันรบกวนถามอะไรหน่อยสิคะ”
“ว่ามาสิ”
เจติยากล้าๆกลัวๆ “เอ่อ ถ้าคุณลาภิณขอพรอะไรก็ได้ คุณอยากจะขออะไรคะ”
ลาภิณขำๆ “เล่นอะไรของเธอเนี่ย”
“ไม่ได้เล่นค่ะ แต่ฉันอยากรู้จริงๆ” เจติยายิ้ม “คุณรวยอยู่แล้ว คงไม่ขอเงินเพิ่มแล้วใช่มั้ยคะ”
“แน่นอน” ลาภิณนึก “ที่จริงฉันก็ยังมีเรื่องอยากได้อีกตั้งหลายอย่าง”
“เช่นอะไรมั่งคะ” เจติยาทำสีหน้าอยากรู้
ลาภิณนึกก่อนตอบ “เช่น ฉันอยากมีอิสระ ทำอะไรก็ได้ตามที่ตัวเองต้องการ โดยที่ไม่มีใครมาบังคับ” ลาภิณยักไหล่แล้วเดินไป
เจติยารีบวิ่งไปขวางหน้า “แล้วถ้าคุณต้องทำอะไรบางอย่างเป็นข้อแลกเปลี่ยนกับพรล่ะคะ คุณจะทำมั้ย”
ลาภิณคิดอยู่ครู่นึง “คิดดูก่อน ถ้าวุ่นวายมากนักก็คงไม่ทำเพราะชีวิตฉันวุ่นพออยู่แล้ว”
เจติยาเงียบไปอย่างใช้ความคิด
ลาภิณยิ้มบางๆ “นี่ถ้าขอพรได้จริงๆ ฉันก็อยากขอให้วันนึงมีซักห้าสิบชั่วโมง จะได้ทำงานได้มากกว่านี้หน่อย” ลาภิณจ้องหน้าเจติยา “แล้วเธอถามไปทำไม”
เจติยาชะงักไปก่อนตอบ “ทำวิจัยก่อนจบค่ะ” เจติยายิ้มแหยๆ
“หมดคำถามแล้วใช่มั้ย”
“ค่ะ”
ลาภิณยิ้มๆ ก่อนจะส่ายหน้าไปมาแล้วเดินต่อไป
เจติยาบ่นพึมพำ “ไม่เหมาะ มีใครอีกเนี่ย” เจติยาถอนหายใจออกมาแรงๆ

นทีกับเพื่อนๆ เพิ่งเรียนพิเศษเสร็จจึงเดินคุยออกมาจากโรงเรียนสอนพิเศษด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส เคมีถือถุงใส่ข้าวต้มมัดดักรออยู่หน้าโรงเรียน พอเห็นนทีก็รีบเดินเข้าไปหาทันที
“อ้าวไอ้เค มีอะไรวะ” นทีถาม
เคมียื่นถุงข้าวต้มมัดให้นทีด้วยความเขิน
นทีงงๆ “ให้ข้าทำไม ข้าไม่กิน”
เคมีเขิน “เราไม่ได้ให้นาย ฝากไปให้พี่สาวนายหน่อย นี่เจ้าอร่อยที่สุดเลยนะ พอเรียนเสร็จ เราก็รีบนั่งรถเมล์ไปซื้อมาให้เลย”
เพื่อนนทีหัวเราะ “ฝากข้าวต้มมัดไปให้สาว โรแมนติกโคตรเลยว่ะ”
พวกเพื่อนๆ นทีพากันหัวเราะชอบใจ
นทีฉุกคิดขึ้นมา “เอ็งคิดจะข้ามรุ่น จีบพี่สาวข้าเหรอ”
เคมีอายสุดๆ “เปล่า ไม่ถึงขั้นนั้นหรอก เพิ่งเจอกันหนเดียวเอง แล้วเราก็ยังอยู่ในวัยเรียนด้วย”
“แอบปลื้มว่างั้น” นทีถามต่อ
เคมียิ้มเขินๆ “ประมาณนั้นล่ะ”
นทีสีหน้าเจ้าเล่ห์ขึ้นมาเล็กน้อยก่อนจะตบบ่าเคมี “ถ้าแกอยากจะจีบก็ได้เลยนะ พี่ข้าโสด บ้าอำนาจขนาดนั้นไม่มีใครสนอยู่แล้ว เค้าจะได้กระชุ่ม กระชวยขึ้นมามั่ง ไม่งั้นหน้าหงิกหน้างอได้ทั้งวัน”
เคมีตื่นเต้นสุดๆ “จริงเหรอ”
“จริงสิวะ เพื่อเพื่อน เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ ทำไมจะช่วยไม่ได้วะ”
เคมีซึ้งใจจนปากคอสั่น ก่อนจะจับมือนที “นที นายดีกับเราจริงๆเลย”
นทีจ้องหน้าเคมี “แต่ต้องมีข้อแลกเปลี่ยน” นทีอมยิ้มเจ้าเล่ห์

นทีกับเพื่อนๆ กำลังเดินกินข้าวต้มมัดของเคมีมาตามตรอกซอยพร้อมทั้งคุยเฮฮากันอย่างสนุกสนาน
นทียิ้มแย้ม “วันนี้ไม่ต้องรีบกลับบ้านไปทำรายงานแล้ว เดี๋ยวไปเล่นเกมส์กันต่อ”
เพื่อนนทียิ้ม “สบายแล้วสิเอ็ง หลอกไอ้เคมันทำรายงานแทนได้”
“ไม่ได้หลอกโว้ย เค้าเรียกว่าแลกเปลี่ยนกันอย่างยุติธรรม”
“ระวังจะโดนพี่เอ็งโดดเตะ ยิ่งดุๆอยู่ด้วย จับคู่ให้ใครไม่จับดันไปจับคู่ให้ไอ้ติ๊งต๊องเคมี” เพื่อนอีกคนขำ
นทีหัวเราะ “ไม่ดีเหรอวะ คนบ้าอำนาจ ปากจัดอย่างพี่เจก็น่าจะมีแฟนต๊องๆ เนิร์ดๆอย่างไอ้เคนี่แหละเหมาะสมแล้ว”
นทีกับเพื่อนๆหัวเราะชอบใจก่อนจะเดินเลี้ยวเข้าร้านอินเตอร์เน็ตไป

เคมีนั่งดีดกีตาร์ร้องเพลงอยู่ในห้องนอน
“พี่สาวครับ ผมเป็นหนุ่มแล้วครับ”
เคมียิ้มเคลิ้ม “เคเจ ขนาดชื่อยังคล้องจองกันเลย” เคมีขำถูกใจ
เคมีวางกีตาร์ลงแล้วลุกไปนั่งแต่งกลอนต่อที่โต๊ะทำงาน ที่หัวกระดาษเขียนตัวอักษรสีชมพูเอาไว้ว่า K&J
“รักรักรักรัก โดนศรปักเข้ากลางใจ ข่มตาหลับก็ไม่ได้ หายใจเข้าออก มีแต่ เจ เจ เจ เจ”
เคมีแต่งเองก็เขินจัดจนอายม้วน ถึงขั้นตบโต๊ะไปมาหน้าแดงก่ำ

เจติยานอนหลับกระสับกระส่ายอยู่บนเตียงเหมือนกำลังฝันร้ายอยู่ กล่องรากบุญวางอยู่บนโต๊ะในห้อง ปราณยืนมองเจติยานิ่งๆ อยู่ปลายเตียงแต่แววตาโกรธแค้นมาก เจติยาตกใจตื่นขึ้นมากลางดึกด้วยความหวาดกลัวสุดๆ เจติยาเด้งขึ้นนั่งก่อนจะเสยผมมองไปทางปลายเตียงแต่ก็ไม่มีใคร
เจติยาตกใจกลัว เธอมองไปรอบๆ “ฝันบ้าอะไรเนี่ย” เจติยาถอนใจแล้วลุกเดินไปเข้าห้องน้ำ
ปราณยืนหน้านิ่งอยู่ข้างๆ กล่องรากบุญพร้อมทั้งจับตามองตามเจติยาอย่างไม่ละสายตา

เช้าวันต่อมา คนงานกำลังใช้บันไดขนาดใหญ่ สูงๆ ปีนไปทำความสะอาดกระจก เคมีเงยหน้ามองขึ้นไปขณะกำลังยืนคอยเจติยาอยู่หน้าบริษัท เขาแต่งตัวหล่อชุดใหม่เอี่ยม หวีผมเรียบแปล้ เจติยาเดินสะพายเป้มาถึงบริษัทแล้วเห็นเข้า
“เคมี”
เคมีละสายตามามองเจติยา เขาดีใจรีบเดินเข้าไปหาทันที
เคมีฉีกยิ้มกว้างก่อนจะยกมือไหว้ “สวัสดีครับพี่เจ”
เจติยายิ้มรับ “มาทำอะไรเนี่ย แต่งตัวซะหล่อเชียว”
เคมีเขิน “ขอบคุณครับ เอ่อ ผมตั้งใจมาหาพี่เจน่ะครับ”
เจติยากังวล “นทีไปสร้างปัญหาอะไรอีกรึเปล่า”
“อ๋อเปล่าครับ” เคมีเขินอาย “คือผมได้ยินจากนที ว่าพี่เจทำงานแต่งศพที่นี่ ผมก็เลยอยากมาดูน่ะครับ”
เจติยายิ้มๆ “แล้วไม่กลัวเหรอ”
“พี่เจเป็นผู้หญิง ยังไม่เห็นกลัวเลยครับ”
เจติยายิ้มแย้มแล้วตบบ่าเคมี “งั้นตามมาเลย” เจติยาวางมือคาที่บ่าเคมีก่อนจะโอบบ่าพาเดินเข้าบริษัทไปด้วยกัน เคมีเหลือบตามองมือเจติยาที่โอบบ่าของเขาแล้วก็อมยิ้มเขินๆ เพราะปลาบปลื้มมาก

ศพผู้ชายคนหนึ่งที่กำลังเน่าได้ที่นอนอยู่บนเตียง เจติยาสวมถุงมือยางเพื่อใช้แต่งศพ โดยมีเคมียืนช็อกอยู่ใกล้ๆ
เจติยาพูดไปเตรียมงานไป “งานก็ไม่มีอะไรมากหรอก เราก็แค่อาบน้ำแล้วแต่งตัวให้ศพ เสร็จแล้วก็ฉีดฟอร์มาลีนกันศพเน่าแต่ถ้าเป็นศพที่ประสบอุบัติเหตุ ร่างกายมีบาดแผล เราก็อาจจะต้องเย็บอวัยวะกลับเข้าไป แล้วก็แต่งแผลให้ดูดีหน่อย”
เจติยาหันกลับไปก็เห็นเคมีกำลังยืนพิงผนังห้องตาเหลือกไปแล้ว เคมีค่อยๆ เอนเหมือนจะล้มทั้งยืน
เจติยาตกใจแล้วรีบเข้ารับตัวเอาไว้ “เคมี”

เจติยาให้เคมีนั่งดมยาดมอยู่หน้าห้องแต่งศพ จนเคมีรู้สึกค่อยยังชั่วขึ้น
“เป็นไงบ้างเคมี” เจติยาถาม
เคมีหมดแรง “ดีขึ้นแล้วครับ” เคมีหน้าจ๋อยลง “แต่เสียฟอร์มสุดๆเลย”
เจติยาขำ “ส่วนใหญ่ก็อย่างงี้แหละ”
“พี่เจทนได้ยังไงครับเนี่ย ทำงานแบบนี้ทุกวัน”
“ก็ไม่ได้ทนอะไรนี่ ศพก็แค่น่าเกลียดน่ากลัว แต่เค้าก็ทำร้ายอะไรเราไม่ได้หรอก คนเป็นๆยังน่ากลัวกว่า เห็นรูปร่างหน้าตาดีๆ ดูเป็นมิตร แต่ในใจคิดอะไรก็ไม่รู้”
เคมีพยักหน้ารับ “ก็จริงครับ”
เจติยายิ้มแย้ม “อ้ะ ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ขอถามอะไรหน่อยสิ”
“อะไรเหรอครับ”
“ถ้าเคมีสามารถขอพรอะไรก็ได้ เคมีจะขอพรอะไร”
เคมีรีบตอบแบบแอบเขิน “ผมก็จะขอให้ผู้หญิงที่ผมชอบ หันมาชอบผมน่ะสิครับ” เคมีก้มหน้างุด
เจติยาแอบกลอกตาด้วยความเซ็งเล็กน้อย ก่อนจะถามต่อ “แล้วถ้าการขอพรต้องแลกกับการทำงานอะไรบางอย่างล่ะ เป็นงานดีนะ ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร เพียงแต่ถ้าเราทำไม่ได้ตามที่กำหนด เค้าก็จะมาเอาชีวิตเราแทน”
เคมีหน้าเหยเก “อุ๊ย ผมยังไม่อยากตายครับ งั้นผมจะไม่ขอพรอะไรทั้งนั้น แล้วก็จะหนีไปให้ไกลๆเลยครับ”
เจติยาถอนใจเซ็งๆ “ก็มันหนีไม่ได้น่ะสิ แถมยกเลิกก็ไม่ได้ด้วย ต้องทำงานแลกกับการขอพรไปเรื่อยๆ”
“งั้นก็ขอพรให้เค้าไม่ต้องมายุ่งกับเราอีกได้มั้ยครับ”
เจติยาฉุกคิดตามขึ้นเล็กน้อย
“เราจะได้ไม่ต้องเสี่ยงตายไงครับ”
เจติยาปิ๊งไอเดีย “จริงสิ ขอพรให้กล่องถูกทำลายก็ได้นี่”
เคมีงง “อะไรนะครับ”
เจติยาจับบ่าทั้งสองข้างของเคมี “ขอบใจมากนะเคมี เส้นผมบังภูเขาแท้ๆ เลย” เจติยาดีใจมาก
เคมีงงแต่ก็ฝืนยิ้มแหยๆตอบกลับไป

มีลมพัดรุนแรงจนข้าวของล้มระเนระนาดในห้องนอนเจติยา ดวงตาของรูปสลักยักษ์บนกล่องรากบุญส่องแสงสีแดงฉานก่อนจะมีเงาดำพวยพุ่งออกมาจากกล่อง เงาดำค่อยๆชัดขึ้นจนกลายเป็น “ปราณ” ปราณมีสายตาแข็งกร้าวด้วยความโกรธสุดๆ ก่อนที่จะหันมองไปทางหน้าต่างห้องด้วยแววตามีแผนการร้าย แล้วก็เลือนหายไป

เจติยาเดินคุยกับเคมีออกมาจากบริษัท บันไดสูงใหญ่ยังพาดคาตึกเอาไว้ ส่วนช่างลงมาเตรียมอุปกรณ์อยู่กับพื้นข้างๆ บันได
เคมีจ๋อยๆ “เลยกลายเป็นว่าผมทำให้พี่เจเสียเวลาทำงานเลย ขอโทษด้วยนะครับ”
เจติยายิ้มแย้ม “ไม่เป็นไรหรอก ว่างๆก็มาอีกได้นะ เผื่อจะชอบงานนี้ พี่จะได้มีทายาท”
เคมีเขินสุดๆ แล้วก็คิดในใจ “ทายาทอะไรกันพี่เจ ผมยังเด็กอยู่เลย”
เจติยามองหน้าเคมี “ร้อนเหรอ หน้าแดงแป๊ดเลย”
เคมียิ้มแหยๆ “ครับ ร้อนมากเลยครับ”
เสียงลาภิณดังขึ้น “เจ”
เจติยาหันไปมองทางลาภิณ ลาภิณเดินเข้ามาหา เคมีจับตามองลาภิณที่ทั้งหล่อทั้งดูดีด้วยสายตาเขม่น
“ได้ทดลองใช้เครื่องทำความสะอาดศพรึยัง” ลาภิณถาม
“ลองแล้วค่ะ ไม่ค่อยถนัดนะคะ แล้วราคาก็แพงเกินไปหน่อยด้วย” เจติยาบอก
“แต่ฉันว่ามันน่าจะช่วยทุ่นแรงนะ เวลามีศพเข้ามาพร้อมกันจะได้เร็วขึ้น”
เคมีพูดกับเจติยา “ผมกลับก่อนนะครับพี่เจ”
เจติยาไม่ได้ยินเพราะมีสมาธิกับเรื่องที่คุยกับลาภิณ “ก็ไม่เท่าไหร่นะคะ แล้วคุณลาภิณคุยกับลุงทวีรึยังคะ ลุงว่ายังไงบ้าง”

รากบุญ ตอนที่ 6 (ต่อ)
เคมีเห็นเจติยาคุยกับลาภิณอย่างสนิทสนมและไม่สนใจตนเลยก็เลยงอนๆปนหึงเล็กๆ เขาเดินกระฟัด กระเฟียดกลับออกไป ทันใดนั้นบันไดที่พาดตึกอยู่ก็มีอาการเขย่าและสั่นได้เอง โดยไม่มีใครแตะต้องทำให้บันไดดีดตัวออกจากตึกแล้วล้มพาดลงมาทางเคมีอย่างเร็ว
ลาภิณเหลือบไปเห็นบันไดล้มลงมาก็ตกใจสุดๆ จึงรีบตะโกนเตือน “ระวัง”
เคมีหันกลับมาแต่ก็ไม่ทันเพราะบันไดล้มฟาดมากระแทกหัวเคมีจนล้มทั้งยืน เคมีล้มไปฟาดพื้นถนนซ้ำอย่างแรง เคมีนอนแน่นิ่งไปก่อนที่เลือดจะค่อยๆ ไหลซึมออกมา
เจติยาร้องลั่นด้วยความตกใจสุดขีด “เคมี”
เจติยา ลาภิณ ช่าง และพนักงานที่อยู่ละแวกนั้นรีบกรูกันมาช่วยกันยกบันไดที่ทับเคมี ขณะที่ปราณยืนมองดูอยู่ห่างออกไป ปราณยิ้มสะใจและมีสีหน้าแววตาอำมหิตด้วยความรู้สึกสะใจที่ได้ลงโทษเคมีที่บังอาจทำให้เจติยาฉุกคิดวิธีทำลายกล่องได้

พยาบาลเอาผลการตรวจของปริมมาให้หมอ โดยมีปริมที่สวมแว่นดำเพื่ออำพรางตัวนั่งลุ้นอยู่ใกล้ๆ ปริมลุ้นสุดๆ “ผลตรวจเป็นยังไงบ้างคะ”
หมอดูผลตรวจอย่างละเอียด “คุณยังไม่ได้ตั้งครรภ์นะคะ แต่ที่รอบเดือนยังไม่มา หมอคิดว่าน่าจะเป็นเพราะความเครียดมากกว่า”
ปริมถอนใจด้วยความโล่งอก เพราะอย่างน้อยก็โล่งใจไปได้เปราะนึงว่าพิสัยไม่ได้สร้างปัญหาให้ตนมากไปกว่านี้
ปริมอายแต่ก็ต้องถาม “แล้วพบโรคติดต่ออะไรมั้ยคะ” ปริมมีสีหน้ากังวล

เจติยายืนเครียดก่อนจะเดินไปเดินมาอยู่หน้าห้องผ่าตัดด้วยความเป็นห่วงเคมี สักพักลาภิณก็เดินเข้ามาหาเจติยา
“ฉันโทรบอกทางบ้านน้องเค้าไปแล้วนะ อีกเดี๋ยวก็คงมา” ลาภิณบอก
“ขอบคุณค่ะ”
“น้องปลอดภัยรึยัง”
เจติยาเครียด “คุณหมอยังไม่ออกมาเลยค่ะ...น้องเค้าไม่น่าโชคร้ายแบบนี้เลย”
ลาภิณหน้าเครียด “ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นหรอกเจ คิดซะว่ามันเป็นเรื่องของดวงชะตา จะได้สบายใจขึ้น” ลาภิณตบบ่าเจติยา
ทันใดนั้นโทรศัพท์มือถือของลาภิณดังขัดจังหวะขึ้นมา
ลาภิณดูเบอร์แล้วกดรับ “ครับ ปริม”
เจติยาผงะไปเล็กน้อยเพราะกลัวมีเรื่อง
ลาภิณฟังอีกฝ่ายก่อนตอบ “อยู่โรงพยาบาล พอดีเกิดอุบัติเหตุขึ้นที่บริษัท ผมเลยพาคนเจ็บมาส่ง” ลาภิณฟังอีกฝ่ายก่อนจะเหล่มองเจติยา “มาคนเดียว ปริมมีอะไรรึเปล่า”
เจติยาหน้าจ๋อยลงแล้วเดินเลี่ยงไปทางห้องน้ำเพราะเธอก็ไม่อยากสร้างปัญหาให้ลาภิณเหมือนกัน

ปริมยืนหลบคุยโทรศัพท์มือถืออยู่ที่มุมหนึ่งไม่ห่างกันนักเพราะเธอโทรมาเพื่อจับผิดลาภิณนั่นเอง
ปริมโมโหหึงแต่พยายามคุมอารมณ์ “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ คิดถึงก็เลยโทรมาหา” ปริมฟังอีกฝ่าย สีหน้าแววตาเจ็บช้ำ

เจติยาเดินออกมาจากห้องน้ำหญิง แล้วเธอก็เห็นว่าเคมียืนรอตนอยู่หน้าห้องน้ำ
เจติยาดีใจมาก “เคมี ปลอดภัยแล้วเหรอ พี่ตกใจแทบแย่” เจติยามองสำรวจเคมีด้วยความแปลกใจ “นี่ไม่มีแผลเลยเหรอ”
เคมียิ้มดีใจ “ผมดีใจจังเลยครับ ที่พี่เจเป็นห่วงผม”
“น้องเจ็บขนาดนี้พี่จะไม่เป็นห่วงได้ยังไง”
ทันใดนั้นลาภิณก็เดินหน้าเครียดเข้ามาหาเจติยา โดยเดินทะลุผ่านร่างเคมีเข้ามา เจติยาตกใจมาก
ลาภิณพูดด้วยความเครียด “เจ เสียใจด้วยนะ เคมีเสียแล้ว”
เจติยาแทบช็อค เธอพบว่าเคมีหายไปจากบริเวณนั้นแล้ว
ลาภิณมีสีหน้าเศร้าๆ “ถ้าเธอเจอญาติน้องเค้า ก็บอกด้วยนะ ว่าค่ารักษาพยาบาลแล้วก็ค่างานศพ นิราลัยจะออกให้ทั้งหมด เพราะน้องเค้าเสียชีวิตเพราะมาหาเธอที่บริษัทของเรา” ลาภิณมีสีหน้ารู้สึกผิด
เจติยาอึ้งเพราะพูดอะไรไม่ออก เธอเพิ่งเข้าใจว่าที่แท้เธอก็เจอกับวิญญาณของเคมีนั่นเอง
ลาภิณถอนใจออกมา ก่อนจะตบบ่าเจติยา “เสียใจด้วยนะ”
เจติยาเงียบกริบไปเพราะตั้งตัวไม่ทัน

เจติยาเปิดประตูกลับเข้าห้องนอนมาด้วยความเศร้า แล้วเธอก็ต้องตกใจจนสะดุ้งโหยง เมื่อเห็นเคมีกำลังนั่งอ่านตำราเรียนของเธออยู่ที่โต๊ะทำงานของเธอ
เจติยาตกใจ “เคมี”
เคมียิ้มแย้ม “นิติศาสตร์นี่เรียนยากจังเลยนะครับ หนังสือแต่ละเล่มหนาๆทั้งนั้นเลย”
เจติยามีสีหน้าสงสาร “เคมี ถ้าอยากให้พี่ช่วยอะไรก็บอกมา ไปหาพ่อแม่ก่อน ดีกว่ามั้ย”
เคมีหน้าจ๋อยๆ “พ่อแม่ผมเสียไปหมดแล้วล่ะครับ อาจจะไปเกิดแล้วก็ได้ ผมไม่รู้จะไปหาได้ยังไง”
เจติยาสงสาร “แล้วทุกวันนี้เคมีอยู่กับใครล่ะ”
“อยู่กับลุงกับป้าครับ ผมไปที่วัดมาแล้ว ป้าร้องไห้ใหญ่เลย แต่มีพวกพี่ๆอยู่ คงไม่เป็นไร แล้วก็ไม่มีใครเห็นผมด้วย ผมเลยไม่รู้จะคุยกับใคร นอกจากพี่เจครับ”
“แต่ยังไงเราก็อยู่ห้องนี้ไม่ได้ พี่เป็นผู้หญิง เข้าใจใช่มั้ย”
เคมีพยักหน้ารับ
“อยากให้พี่ช่วยอะไรล่ะ เราจะได้หมดห่วง”
เคมีคิดอยู่ครู่นึง “ผมก็ไม่รู้จะให้พี่เจช่วยอะไรเหมือนกัน”
เจติยาได้แต่ถอนหายใจออกมา

คนรับใช้กำลังตักข้าวให้ลาภิณซึ่งนั่งอยู่ในห้องรับประทานอาหารที่บ้าน
“พอแล้ว ฉันไม่ค่อยหิว”
พิสัยที่นั่งร่วมโต๊ะปั้นยิ้ม “เครียดเรื่องมีคนตายที่บริษัทเหรอครับคุณต้น”
ลาภิณตอบแบบไม่เต็มใจจะคุยด้วย “คงงั้นมั้งครับ”
“คุณต้นไม่ต้องกังวลไปหรอก ตำรวจเค้าสรุปแล้วว่าเป็นอุบัติเหตุ แล้วญาติคนตายก็ไม่ได้เอาเรื่องอะไร”
ลาภิณทำหน้าเซ็ง “ถึงไงก็มีคนตายเพราะผมสั่งทำความสะอาดตึกอยู่ดี จะให้ผมเจริญอาหารได้ยังไงไหว”
พิสัยยิ้มๆ โดยไม่ต่อล้อต่อเถียงอะไร
“เพื่อความสบายใจ ทำบุญบริษัทซะทีดีมั้ยต้น” ชูจิตเสนอ
ยังไม่ทันที่ลาภิณจะตอบอะไร ปริมก็เดินเข้ามาในห้องอาหาร
พิสัยปั้นยิ้ม “คุณปริมมาพอดีเลย มาทานข้าวด้วยกันสิครับ นานๆจะได้ ทานข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันซะที” พิสัยอมยิ้มกวนๆ เพราะเขาพูดแฝงนัยอื่น

ปริมหน้าเครียด “ปริมทานไม่ลงค่ะ” ปริมใช้หางตามองลาภิณ “ที่ปริมมาเพราะมีเรื่องอยากจะพูดต่อหน้าคุณแม่”
ชูจิตแปลกใจ “มีเรื่องอะไรเหรอหนูปริม หน้าตาบอกบุญไม่รับเลย”
ปริมหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาแล้วกดดูรูปที่ถ่ายไว้ซึ่งเป็นรูปแอบถ่ายลาภิณกับเจติยายืนคุยกันหน้าห้องน้ำโชว์ให้ดู ลาภิณอึ้งไปเล็กน้อย
“ขอแม่ดูใกล้ๆ สิ แม่มองไม่เห็นหรอก” ชูจิตบอก
ปริมส่งโทรศัพท์มือถือไปให้ชูจิตดู
ปริมจ้องหน้าลาภิณ “คุณต้นบอกว่าพาคนเจ็บไปส่งโรงพยาบาลคนเดียว แล้วนังนั่นไปอยู่กับคุณได้ยังไง”
ลาภิณถอนใจด้วยความเซ็ง เขารวบช้อนแล้วยักไหล่ด้วยความเบื่อหน่าย
ปริมวีน “คุณแม่เป็นพยานนะคะ คุณต้นหลอกปริม หลอกทุกคน รวมทั้งคุณแม่ด้วย” ปริมหันไปจ้องหน้าลาภิณ “คุณยังตัดนังเด็กนั่นไม่ขาด”
ลาภิณโมโห “แล้วปริมรู้มั้ย ทำไมผมถึงต้องโกหก ก็เพราะคุณไม่เคยยอมรับฟังเหตุผลอะไรเลย เด็กที่ตาย เป็นเพื่อนของน้องชายเจ ผมกับเค้าก็เลยพาไปส่งโรงพยาบาลพร้อมกัน เรื่องทั้งหมดก็มีอยู่แค่นี้ ถ้าคุณไม่เอาแต่จ้องจับผิดผม ผมคงไม่ต้องโกหกเพื่อตัดรำคาญหรอก”
“นี่คุณรำคาญปริมมากเลยใช่มั้ยคะ” ปริมโมโหมาก
ลาภิณถอนใจด้วยความเซ็ง
ปริมหันไปพูดกับชูจิต “คุณแม่ต้องให้ความเป็นธรรมกับปริมนะคะ คุณต้นโกหกปริม แล้วยังมาโยนความผิดให้ปริมอีก ปริมไม่ยอมจริงๆ นะคะคุณแม่”
ชูจิตหน้าเครียด “หนูไม่ยอม แม่ก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน เคลียร์กันเองก็แล้วกัน” ชูจิตลุกขึ้นวางโทรศัพท์ลงที่โต๊ะแล้วเดินขึ้นบ้านไปทันทีท่ามกลางความตกใจของพิสัย ปริม และลาภิณ เพราะปกติชูจิตต้องเข้าข้างปริมเสมอ ลาภิณรำคาญจึงลุกขึ้นเพื่อจะเดินเลี่ยงไปอีกคน
ปริมโมโห “คุณต้น ยังไปไหนไม่ได้นะคะ”
ลาภิณทำหูทวนลม เขาไม่สนใจแล้วเดินหนีไปเลย
ปริมหงุดหงิดมาก “คุณต้น”
พิสัยมีสีหน้าติดใจสงสัยอะไรบางอย่าง

ปริมเดินหงุดหงิดออกมาที่รถที่จอดอยู่หน้าบ้าน โดยมีพิสัยเดินตามหลังมา
พิสัยไม่พอใจ “ไม่มีใครเค้าเห็นลูกสะใภ้ดีกว่าลูกในไส้หรอกน่ะ วีนทุกวี่ทุกวัน ใครเค้าจะไปทนไหว”
ปริมโมโหจึงตวาดแว๊ด “หุบปากไปเลย ฉันไม่ได้ถามความเห็นคุณ ไม่ต้องมายุ่งเรื่องของฉัน”
พิสัยหงุดหงิด แต่พยายามคุมเสียงไม่ให้ดังจนเกินไป “ฉันก็ไม่ได้อยากยุ่งนักหรอก ถ้าไม่กลัวว่ามันจะกระเทือนถึงฉันด้วย ไม่เห็นเหรอ ว่าพี่จิตเค้าเอือมคุณแค่ไหนแล้ว ถ้าเค้าทนไม่ได้ขึ้นมาวันไหน คุณก็อย่าหวังเลยว่าจะได้แต่งงานกับไอ้ต้นมัน”
ปริมเจ็บใจมากแต่ก็เถียงพิสัยไม่ออก
พิสัยพยายามข่มอารมณ์ “ใจเย็นๆบ้างเถอะ มาถึงขั้นนี้แล้ว อย่าให้ทุกอย่างต้องมาเสียเพราะเรื่องไม่เป็นเรื่องเลย”
ปริมยิ้มเยาะ “ไม่ต้องมาทำเป็นหวังดีกับฉัน กลัวจะอดผลประโยชน์ต้องเป็นเด็กเก็บมาเลี้ยง ที่มีแต่ตัวไปตลอดชีวิตล่ะสิ”
พิสัยโกรธมากจึงล็อคตัวปริมมากอดแน่น “พูดจาอะไรให้เกียรติกันบ้าง ยังไงฉันก็ผัวเธอ”
ปริมรังเกียจ “ปล่อยฉันนะไอ้ทุเรศ ฉันเกลียดแก”
พิสัยกวนประสาท “คืนนั้นไม่เห็นพูดยังงี้เลย”
ปริมผละตัวออก ก่อนจะสะบัดมือตบหน้าพิสัยฉาดใหญ่
พิสัยโกรธจัดจึงใช้มือทั้งสองข้างจับหน้าปริมล็อคเข้ามาจะจูบปากแบบไม่ให้ตั้งตัว
ชูจิตมายืนแอบดูที่หน้าต่างชั้นบนตกใจมากกับภาพที่เห็น เธอรีบผลุบกลับเข้าไปในห้องทันที
ปริมน้ำตาท่วมก่อนจะตบหน้าพิสัยอีกฉาดใหญ่ ชูจิต โผล่หน้ามาดูอีกทีก็เห็นปริมกำลังขึ้นรถกลับออกไป พิสัยยืนหันหลังให้และกำลังยกมือบ๊ายบายให้ ชูจิตตกใจมากถึงขั้นยกมือขึ้นปิดปากแล้วก็น้ำตารื้นขึ้นมาด้วยความผิดหวังในตัวน้องชายและปริม
พิสัยลดมือที่บ๊ายบายลงพร้อมกับสะแหยะยิ้มกวนๆ ชูจิตคิดว่าทั้งสองคนลักลอบคบหากันลับหลังลูกชายของเธอ

เช้าวันใหม่ เจติยาแต่งตัวไปเที่ยวอยู่หน้ากระจกก่อนจะสะพายกระเป๋าสไตล์ลุยๆ แล้วเดินไปเปิดประตูห้อง เจติยาตกใจจนต้องยกมือขึ้นปิดปากเมื่อเห็นเคมียืนหน้าซีดๆรออยู่หน้าห้อง

เจติยาเดินหน้าหงิกงอมาที่หน้าปากซอย โดยมีเคมีเดินตามมาอธิบาย
“ผมขอโทษนะครับพี่เจ พี่ไม่ให้ผมอยู่ในห้อง ผมก็อยู่หน้าห้อง ผมไม่รู้จะไปอยู่ไหนดีนี่ครับ”
ทั้งคู่หยุดคุยกันตรงข้ามร้านขายส้มตำ ในขณะที่แม่ค้ากำลังสับมะละกอเพื่อเตรียมขาย
“เธอจะมาตามพี่เป็นเงาตามตัวตลอดเวลาแบบนี้ไม่ได้หรอกนะ”
เคมีเดินตามมาพูด “ก็ผมไม่อยากอยู่คนเดียวนี่ครับ”
เจติยาถอนใจพรวดออกมา
เสียงมอเตอร์ไซค์บีบแตรใส่ดังใกล้หู เจติยาหันไปหน้าหงิกตั้งใจจะด่าแต่เห็นว่าเป็นนวัช เธอจึงปรับสีหน้าปั้นยิ้ม
“ขึ้นมาเลยเจ พี่ไปส่ง”
เคมีมองนวัชด้วยสีหน้าไม่พอใจเพราะรู้สึกหึงหวง
“มาได้จังหวะพอดีเลยพี่หมวด” เจติยาหันไปมองเคมีแล้วพูดพึมพำ “ไม่ต้องตามมาอีกล่ะ”
เคมีคว้ามือเจติยาเอาไว้
เจติยาหันไปทำหน้าดุใส่ “ปล่อยพี่นะ”
นวัชเห็นเจติยาจะเดินมาขึ้นรถแต่กลับกางแขนไปด้านหลัง
นวัชงง “ขึ้นรถสิเจ รออะไรเหรอ”
เคมีหึงหวง “ทำไมพี่ต้องไปกับเค้าด้วย เค้าเป็นแฟนพี่เจเหรอ”
เจติยาหงุดหงิดจึงทำตาดุใส่ก่อนจะกระชากแขนออก แล้วเดินไปซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซต์ เคมีทั้งโกรธทั้งน้อยใจ ทันใดนั้นมีดของแม่ค้าส้มตำก็หลุดมือแล้วลอยพุ่งมายังเจติยา แม่ค้าตกใจที่มีดหลุดมือไปเอง มีดลอยพุ่งตรงมาใส่ทางเจติยา
เคมีตกใจมากจึงตะโกนออกไป “พี่เจระวัง”
เจติยางงๆ เธอหันมองไปทางที่มีดพุ่งมาแล้วก็ตกใจมากเพราะหลบไม่ทันจึงทำได้เพียงยกมือขึ้นปิดตาร้องลั่น จู่ๆ มีดก็ตกลงพื้นต่อหน้าเจติยาไปเฉยๆ นวัชตกใจรีบลงจากรถมาดู
“เป็นอะไรรึเปล่าเจ” นวัชถาม
เจติยาค่อยๆ ลดมือลง เธอหายใจแรงเพราะตื่นเต้นตกใจก่อนจะส่ายหน้าให้นวัช นวัชเก็บมีดขึ้นมาแล้วเดินไปหาแม่ค้าส้มตำที่เดินหน้าแหยๆ เข้ามาหา
นวัชต่อว่าแม่ค้า “ระวังหน่อยสิครับ เกือบโดนคนอื่นแล้วเห็นมั้ย ถึงไม่ได้ตั้งใจก็ผิดเพราะประมาทได้นะครับ”
แม่ค้าหน้าแหย “ขอโทษค่ะคุณตำรวจ”
เจติยาตั้งสติได้ก็เดินไปหาเคมี
เจติยามีสีหน้าโกรธจ้องหน้าเคมีเขม็ง “เธอทำกับพี่แบบนี้ได้ยังไง”
เคมีตกใจมาก รีบปฏิเสธ “ผมเปล่าทำนะครับ”

“ไม่ใช่ฝีมือเธอแล้วจะใคร” เจติยาชะงักเมื่อมองเลยไปแล้วเห็นปราณในชุดดำยืนอยู่ห่างไปไม่ไกลนัก
ปราณยืนจ้องมาทางเจติยาด้วยสีหน้าชิงชังเคียดแค้น
ปราณพูดกับเธอด้วยความเจ็บใจ “แล้วเราจะได้เห็นกัน”
ปราณค่อยๆ จางหายไป เจติยาหน้าซีดเผือด เธอกลืนน้ำลายแทบไม่ลงคอด้วยความหวาดกลัว

ชูจิตรับทรัมป์ไดร้ฟ์มาจากมือของเลขาของพิสัย
เลขากลัวๆ “ท่านจะเอาไปทำอะไรเหรอคะ”
ชูจิตหยิบเช็คใบหนึ่งยื่นให้ “เอานี่ไป แล้วไม่ต้องถามอะไรทั้งนั้น”
เลขาดูตัวเลขในเช็คแล้วก็ตาลุกวาว
“จำไว้ว่าฉันให้เธอได้มากกว่าน้องชายฉันแน่ คราวนี้คงรู้แล้วนะว่าจะต้องทำตัวยังไง”
เลขาดูเช็คแล้วก็ดีใจมาก “ค่ะท่าน หนูจะปิดเรื่องนี้เป็นความลับค่ะ ท่านมีอะไรจะใช้หนู สั่งมาได้ตลอดเวลาเลยนะคะ”
ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นก่อนที่พิสัยจะเปิดประตูเข้ามา
พิสัยชะงักเมื่อเห็นเลขาของตัวเองแล้วก็เริ่มระแวง “นี่เธอเข้ามาทำอะไร”
เลขาพิสัยหน้าซีดเผือดเพราะกลัวจนพูดอะไรไม่ออก
ชูจิตรีบแก้ตัวให้ “พอดีพี่ไปตรวจงานแล้วเกิดหน้ามืดขึ้นมา ดาลัดเค้าไปเจอเข้าก็เลยพาพี่มาส่ง” ชูจิตหันไปพูดกับเลขา “เธอกลับไปทำงานเถอะ ฉันไม่เป็นไรแล้ว ขอบใจมากนะที่ช่วยฉันไว้”
“ไม่เป็นไรค่ะท่าน” เลขาไหว้ลาชูจิต
เลขาพิสัยรีบเดินออกจากห้องไปทันที
พิสัยรีบปั้นหน้าเป็นห่วง “พักนี้พี่จิตเป็นลมบ่อยมากเลยนะครับ ผมว่าไปให้หมอตรวจให้ละเอียดซักทีดีมั้ยครับ”
“พี่ก็ว่าอย่างงั้นล่ะจ้ะ ปกติพี่ก็ไม่ใช่คนแข็งแรงอยู่แล้ว พักนี้มีเรื่องให้เครียดบ่อยๆ ยิ่งไปกันใหญ่ เออ แล้วเธอมีธุระอะไรกับพี่เหรอ”
พิสัยหยิบกระดาษแผ่นนึงยื่นให้ชูจิต “ผมได้ฤกษ์ดีที่สุดที่จะจัดงานหมั้นของคุณต้นมาแล้วนะครับ หลวงพ่อท่านผูกดวงคุณต้นกับหนูปริมแล้วก็เขียนเตือนมาหลายข้อเลย พี่จิตลองดูก่อนสิครับ”
ชูจิตรับกระดาษมาอ่านแล้วดูเฉพาะวันฤกษ์ดีก่อน “ทำไมกระชั้นชิดนักล่ะ พี่กลัวจะเตรียมงานไม่ทันเอานะ ไหนจะเรื่องสินสอดทองหมั้นอีก พี่ยังไม่ได้คุยกับทางนั้นเค้าเลย”
คำพูดของชูจิตเข้าทาง พิสัยจึงยิ้มเจ้าเล่ห์ “จะไปยากอะไรครับ เรื่องงานก็มีเวดดิ้งสตูดิโอ จัดการให้อยู่แล้ว ส่วนเรื่องสินสอด พี่จิตก็โอนหุ้นนิราลัยส่วนของพี่ ให้หนูปริมเป็นสินสอดไปสิครับ”
ชูจิตหน้าเครียดพอพิสัยพูดเรื่องหุ้นเธอก็ระแวงขึ้นมาทันที “ให้เป็นหุ้นมันจะดีเหรอพิสัย”
“ทำไมจะไม่ดีล่ะครับ ตีค่าเป็นเงินไม่ใช่น้อยๆ นะครับ ไม่มีใครกล้าบอกว่าไม่สมหน้าสมตาเจ้าสาวหรอกครับ”
ชูจิตลอบมองพิสัยที่หว่านล้อมตนด้วยสีหน้านิ่ง เพราะลึกๆ เธอก็รู้สึกช้ำใจ
“ให้เป็นเงินทองเกิดเอาไปใช้หมดก็เสียดายแย่ แต่ให้เป็นหุ้นยังไงก็วนกลับมาเป็นของเราอยู่ดี พี่จิตเองก็จะได้วางมือไปพักผ่อนด้วย ปล่อยให้คุณต้นกับหนูปริมดูแลนิราลัยแทนไงครับ” พิสัยหว่านล้อม
ชูจิตฝืนยิ้มให้พิสัย “แต่พี่ว่าให้เป็นเงินเป็นทองเป็นโฉนดที่ดินไปน่าจะเหมาะกว่านะ”
พิสัยยิ้มเจื่อนไป
“เอางี้ พี่จะเก็บไปคิดดูอีกทีแล้วกัน ขอบใจมากนะพิสัยที่เป็นธุระแทนพี่”
“เรื่องเล็กครับ งั้นผมไปทำงานต่อก่อนนะครับ” พิสัยปั้นยิ้มให้ก่อนจะเดินออกไปจากห้องแบบหน้าตาหงุดหงิด ชูจิตเครียดหนักทันทีเพราะยิ่งพิสัยพูดแบบนี้ ตนก็ยิ่งไม่ไว้ใจมากขึ้น

พิสัยคุยโทรศัพท์มือถือด้วยสีหน้าเคร่งเครียดอยู่ในห้องทำงาน
“พี่จิตลังเลเรื่องให้หุ้นเป็นสินสอด เธอต้องออกตัวว่าอยากได้เข้าใจมั้ย...”
พิสัยฟังปริมแล้วหัวเสียจึงเดินมากระแทกตัวนั่งที่เก้าอี้ทำงาน
พิสัยตอบอย่างหัวเสีย “จะอ้างพ่ออ้างแม่ก็พูดไปสิ แค่นี้ต้องให้สอนด้วยเหรอ” พิสัยกดตัดสายก่อนจะเดินไปทิ้งตัวนั่งที่เก้าอี้ทำงานด้วยสีหน้าหงุดหงิด “ดีแต่สวย” พิสัยส่ายหน้า

ที่ร้านกาแฟชื่อดังภายในห้างสรรพสินค้า ชูจิตกำลังยื่นทรัมป์ไดร้ฟ์ที่ตนได้รับมาจากเลขาของพิสัยให้ทนายปุ่นรับไป
“คุณปุ่นช่วยเอาไปให้ฝ่ายบัญชีของคุณดูด้วยนะคะ ว่ามีอะไรผิดปกติ มั้ย ตอนนี้ฉันเหลือคนที่ไว้ใจได้น้อยเต็มทนแล้วจะทำอะไร ก็กลัวแต่ว่าจะรู้ถึงหูพิสัย”
“ผมเข้าใจครับ ถ้าได้เรื่องอะไร ผมจะรีบเรียนให้คุณชูจิตทราบทันทีเลยครับ” ปุ่นรับคำ
“ขอบคุณมากค่ะ เอ่อ แล้วไม่ทราบว่าเรื่องที่ฉันขอให้คุณปุ่นไปสืบ ได้เรื่องไปถึงไหนแล้วคะ”
ปุ่นเครียด “ได้เยอะทีเดียวครับ เล่นเอาผมหนักใจเลย ไม่รู้จะเริ่มต้นเล่ายังไงดีเลย”
ชูจิตร้อนใจ “เล่ามาเถอะค่ะคุณปุ่น นาทีนี้แล้ว ฉันรับได้ทุกอย่าง”
ปุ่นมีสีหน้าเครียดหนัก

ย้อนกลับไปสองวันก่อน พิสัยกำลังใส่เสื้อสูทด้วยความหงุดหงิด โดยมีทนายปุ่นนั่งหน้าเครียดอยู่ใกล้ๆ
พิสัยหงุดหงิด “ผมเพิ่งกลับมาไม่ถึงสิบนาที คุณก็จะให้ผมออกไปอีกแล้วเหรอ”
“มันจำเป็นจริงๆ ครับคุณพิสัย ถ้าคุณไม่ไปด้วยตัวเอง ทางราชการเค้าก็ไม่ยอมอนุมัติให้”
พิสัยหงุดหงิด “เออๆ ทีหลังคุณต้องบอกผมล่วงหน้านะ เสร็จงานผมก็อยากพักผ่อน ไม่ใช่ต้องมาคอยตามงานให้คุณ”
“ขอโทษครับ ผมจะไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้อีกครับคุณพิสัย”
พิสัยเดินตามปุ่นออกจากห้องไปถึงลิฟท์ สักพักประตูห้องพิสัยก็เปิดออกพร้อมกับนักสืบของปุ่นที่ลอบเข้ามาในห้อง นักสืบลงมือตรวจค้นทั้งลิ้นชักโต๊ะทำงาน กองเอกสาร ฯลฯ ถูกเปิดดูจนหมดไปจนถึงลิ้นชักหัวเตียงของพิสัย
นักสืบสะดุดตากับซองเอกสารซองหนึ่งซึ่งวางอยู่ในลิ้นชักหัวเตียง พอหยิบออกมาดูก็พบภาพถ่ายของปริมที่พิสัยถ่ายเก็บไว้แบล็กเมล์เต็มไปหมด นักสืบรีบหยิบกล้องดิจิตอลออกมาถ่ายภาพลับเฉพาะเอาไว้เพื่อเป็นหลักฐาน

ชูจิตดูภาพที่นักสืบถ่ายมาด้วยมือสั่นเทา ทั้งโกรธน้อง โกรธปริมจนความดันขึ้น เธอคว่ำรูปทันทีเพราะทนดูไม่ได้
ชูจิตพยายามสะกดอารมณ์ “ต้นต้องรู้เรื่องนี้ ฉันไม่ยอมให้ลูกชายฉันโดนสวมเขาเด็ดขาด”
ปุ่นไม่สบายใจ “เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มากนะครับ คุณพิสัยก็คุมงานส่วนใหญ่ของบริษัทไว้ ถ้าจะแตกหักกัน ก็ต้องมีแผนรองรับให้พร้อม ไม่งั้นเราจะเดือดร้อนได้นะครับ”
ชูจิตหยิบยาดมขึ้นมาดม “แล้วคุณปุ่นจะให้ฉันทำยังไง”
“คุณชูจิตให้เวลาผมอีกซักหน่อยนะครับ ผมมั่นใจ ว่าจะหาหลักฐานการทุจริตของคุณพิสัยได้แน่ ถึงตอนนั้น เราจะได้บีบคุณพิสัยออกไป โดยที่เค้าแว้งกลับมาเล่นงานเราไม่ได้อีก”

กำลังโหลดความคิดเห็น