แผนรักแผนร้าย ตอนที่ 5
ที่ลานจอดรถของห้าง พเยียนั่งยิ้มอยู่ในรถ ก่อนจะสตาร์ทเครื่อง แล้วถอยออกจากที่จอด นพดลอยู่ที่รถมอเตอร์ไซค์ของตัวเอง แอบมองอยู่อย่างจับสังเกต
“ขับรถคันละเป็นล้าน เสื้อผ้าของใช้แบรนด์เนมทั้งตัว พเยียมันไปขุดทองที่ไหนมา”
รถพเยียแล่นออกไป นพดลมองตาม แววตาเป็นประกาย มีจุดมุ่งหมาย
ฝ่ายชิษณุพงษ์นั่งโหลดภาพถ่ายจากโทรศัพท์มือถือลงไอแพด แตงยกเครื่องดื่มมาให้ แล้วนั่งแปะลงข้างๆ ชะโงกหน้าดู
“ตกลงเจออะไรมั่งไหม คุณณุ”
ชิษณุพงษ์ตอบโดยไม่เงยหน้ามามอง “ยังเลย”
ชิษณุพงษ์ตั้งใจอ่านไปตามหน้าต่างๆ ไปจนถึงหน้าที่เป็นหน้าแรก
“วันที่ 6 กอหญ้าถูกส่งเข้ามาที่โรงพยาบาล อุบัติเหตุรถคว่ำ”
ชิษณุพงศ์อ่านตัวอักษรยิบๆ ในจอ แล้วเกิดปวดตา สายตาเริ่มพร่า
แตงเห็นชิษณุพงษ์กระพริบตาถี่ๆ “เป็นอะไร คุณณุ”
“เปล่า” ชิษณุพงษ์พยายามเพ่งมองจอ “แค่ตาพร่าๆ”
แตงตกใจ “ตายแล้ว แตงลืม” กระชากไอแพดมา “ลุงเติมบอกว่าไม่ให้คุณณุใช้สายตามากๆ นี่นา หยุดก่อนดีกว่า”
“เอาคืนมานี่ ฉันจะดู”
แตงส่ายหน้า “แตงดูให้”
ชิษณุพงษ์ถาม “ภาษาอังกฤษทั้งนั้น อ่านออกเหรอ”
แตงเชิดใส่ ยกไอแพดขึ้นมา ยื่นหน้าเข้าไปใกล้จอคอมพิวเตอร์ พยายามอ่าน
“ออกซี” แตงพยายามอ่าน “ที” แต่อ่านไม่ออก “ที อาร์ เอ ยู ...แมติก แล้วก็เบรน อินเจอรี่”
ในรายงานเขียนว่า Traumatic brain injury
ชิษณุพงษ์อ่านให้ แล้วถาม “โทรมาติก เบรน อินเจอรี่ อาการบาดเจ็บที่สมอง แล้วมีอะไรอีก”
“คำนี้แตงก็ไม่รู้จัก แอม .. แอมอะไรหว่า” แตงเลิกพยายาม หันมาสะกดคำให้ชิษณุพงษ์ฟัง “เอ เอ็ม เอ็น อี เอส ไอ เอ”
ชิษณุพงศ์ท่องตาม “เอ เอ็ม เอ็น อี เอส ไอ เอ” แล้วตกใจ “อะไรนะ ไหนฉันดูซิ”
ชิษณุพงษ์คว้าไอแพดคืนมา ก้มลงไปดูที่หน้าจอ เห็นคำว่า Amnesia Retroflexed ก็ตกตะลึง พึมพำกับตัวเอง
“มิน่าเล่า อย่างนี้นี่เอง”
แตงงง อยากรู้ “คุณณุ ตกลงมันแปลว่าอะไร บอกมั่งซี”
ชิษณุพงษ์อธิบาย “แอมนีเชีย แปลว่า ความจำเสื่อม...ที่กอหญ้าจำฉันไม่ได้ เพราะเค้าบาดเจ็บที่สมองจนความจำเสื่อมน่ะ แตง”
ไม่นานต่อมา ลุงเติมอยู่ที่ใต้ถุนบ้านที่เชียงใหม่ กำลังตรวจดูคุณภาพไข่ของตัวไหม คุยโทรศัพท์ไปด้วย
“ไหมล่ะ ลุงว่าแล้ว มันต้องมีอะไรแน่ๆ เพราะอย่างนี้นี่เองหนูกอหญ้าถึงจำคุณชิษณุไม่ได้”
“คนที่ชื่ออิศร เค้าตั้งใจจะปิดเรา เค้าไม่ยอมบอกใครว่ากอหญ้าความจำเสื่อม ผมว่าเค้าต้องมีเจตนาไม่ดีแน่ๆ” ชิษณุพงษ์มั่นใจ
“แล้วคุณจะเอายังไงต่อละครับ” ชายชราถาม
“ผมจะไปหากอหญ้า ผมจะไปพาเค้าออกมาจากบ้านนั้นให้ได้”
ชิษณุพงษ์หมายมั่นปั้นมือจะต้องเอาเรื่องอิศรให้ได้
ทางด้านพเยียเดินเข้ามาในห้องโถงของวัง เห็นศรีชะเง้อรออยู่ ศรีเห็นก็ดีใจ
“คุณหนูมาแล้ว”
“คุณแม่อยู่ไหน”
“อยู่บนห้องค่ะ คุณหนูรีบขึ้นไปเถอะค่ะ”
พเยียพยักหน้ารับแล้วเดินขึ้นไปอย่างใจเย็น แววตามุ่งมั่นว่าจะทำอะไรซักอย่าง
ด้านนภดารานอนหลับตานิ่ง หายใจรวยริน อยู่บนเตียง แม่ชื่นดูแลอยู่ข้างๆ พเยียเปิดประตูห้อง เดินเข้ามา นภดาราลืมตามองแม่ชื่น แววตามีคำถาม
แม่ชื่นบอกเบาๆ “คุณหนูพเยียมาค่ะ”
นภดาราท่าทางดีใจ พยายามยันกายลุกขึ้นนั่ง ชื่นประคอง พเยียหน้านิ่งๆ ลงมานั่งข้างเตียง พยักหน้าไล่ให้ชื่นถอยออกไป
“ฉันดูคุณแม่เอง”
แม่ชื่นค้อน แล้วลุกออกไปยืนเฝ้า ห่างออกไป สีหน้าระแวงระวัง
“พเยียหายไปไหนมาลูก แม่คิดว่าหนูจะไม่กลับมาแล้วเสียอีก”
พเยียตีหน้าเศร้า พูดประชด “ไปซะให้พ้นๆ ไม่ดีเหรอคะ คุณแม่ พเยียรู้ตัวว่าเป็นเด็กไม่ดี ใครๆ ก็ไม่รัก ใครๆ ก็รังเกียจ”
“ไม่...ไม่จริงนะลูก”
พเยียพูดเสียงนุ่มนวล “จริงค่ะ คุณแม่ พเยียรู้ตัวดี ว่าไม่เหมาะที่จะอยู่ที่นี่ พเยียอยากจะหนีไปให้พ้นๆ กลับไปอยู่ข้างถนนอย่างที่ตัวเองเคยอยู่ แต่ว่า...”
พเยียกุมมือนภดารา น้ำตาเอ่อ
“พเยียทิ้งคุณแม่ไปไม่ได้”
นภดาราใจชื้นตื้นตัน โผเข้ากอดพเยีย น้ำตาไหลพราก
“ลูกแม่”
“พเยียรักคุณแม่นะคะ ถึงแม้พเยียจะเลวยังไง พเยียก็รักคุณแม่”
“แม่ก็รักหนูจ้ะ ไม่ว่าหนูจะเป็นยังไง แม่ก็รักหนู หนูอย่าทิ้งแม่ไปอีกนะลูก แม่คงอยู่ต่อไปไม่ได้ ถ้าหนูทิ้งแม่ไป...”
“พเยียสัญญาค่ะ จะไม่ทิ้งคุณแม่ไปไหนอีก เพราะพเยียก็คงอยู่ไม่ได้เหมือนกัน ถ้าขาดคุณแม่”
พเยียพูดอย่างจริงใจ เพราะตัวเองก็ขาดนภดาราไม่ได้จริงๆ ส่วนนภดาราคิดไปว่าลูกรักตนมาก ปลิ้มปริ่มตื้นตันจนลืมอาการป่วย
“โถ ลูก”
นภดารากอดพเยียแน่น พเยียกอดตอบ ใบหน้ายิ้มลึกล้ำ แววตาสาสมใจ
แม่ชื่นยืนมองพเยียแน่วนิ่ง พเยียมองตอบยิ้มอย่างท้าทาย
พเยียเดินอารมณ์ดี เปิดประตูเข้าไปในห้องตัวเอง แล้วต้องชะงัก เมื่อเห็นนภาจรียืนรออยู่กลางห้อง
“กลับมาจนได้ นึกว่าจะได้ทำบุญบ้านล้างซวยอยู่ทีเดียว”
“พเยียไม่ไปง่ายๆ หรอกค่ะ” พเยียพูดท้าทาย “ยิ่งมีคนอยากให้ไป ยิ่งจะอยู่อยากจะรู้เหมือนกัน ว่ามันจะมีปัญญาทำอะไรได้”
นภาจรีพรวดเข้าไปถึงตัวพเยีย เอามือบีบคอพเยีย ดันไปชิดฝา
“แกท้าฉันเหรอ นังพเยีย”
“แกจะทำอะไรฉัน กล้าทำร้ายลูกสาวสุดที่รักของคุณแม่เหรอ”
นภาจรีกัดฟันกรอด คั่งแค้นพูดลอดไรฟัน “นังกาฝาก แกก็รู้ ว่าแกไม่ใช่!”
“ทำไมจะไม่ใช่ คุณแม่มีลูกสาวคนเดียวคือฉัน ถ้าหากฉันอยู่ที่นี่ไม่ได้ หรือเป็นอะไรไป แกก็รู้ใช่ไหม ว่าใคร...ใครจะขาดใจตายเป็นคนแรก”
พเยียขู่กลับ นภาจรีจำใจปล่อยอย่างเจ็บใจ พเยียตาวาววับ ยิ้มท้าทาย
“ฉันคือพเยีย ศิวาวงศ์ ฉันเป็นลูกของหม่อมหลวงนภดารา ศิวาวงศ์ ถ้าไม่อยากให้หลานของตัวเองช้ำใจตาย อย่าได้บังอาจมาแตะต้องฉันอีก! จำเอาไว้!”
นภาจรีโกรธมาเป็นริ้วๆ แทบจะระเบิดใส่ แต่ทำอะไรไม่ได้ สะบัดหน้า หันหลังออกไป ปิดประตูปัง
พเยียมองตามด้วยความสะใจ
“แค่คุณแม่รักฉัน ใครก็ทำอะไรฉันไม่ได้ จากนี้ไป ฉันไม่ต้องกลัวอะไรอีกแล้ว”
พเยียยิ้มอย่างเป็นต่อ
ส่วนนพดล ขี่มอเตอร์ไซค์ตามมาจากห้าง ยืนมองประตูวังศิวาลัยอันโอ่อ่า อ่านป้าย
“วังศิวาลัย...บ้านผู้ลากมากดีขนาดนี้ พเยียมันเข้าไปทำอะไรวะ น่าสนใจ”
นพดลนึกสงสัย ยิ้มกริ่ม คิดอยู่ในใจว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นประโยชน์กับตน
ส่วนทางด้าน หมอวิชาญตรวจอาการทั่วไปครั้งสุดท้ายให้กอหญ้า มีอิศรอยู่ด้วย
“ยังปวดหัวอยู่อีกไหม”
“ตอนนี้ไม่แล้วค่ะ”
“แล้วเห็นภาพวูบวาบอีกหรือเปล่า”
“ไม่มีค่ะ”
“ถ้าหากมีอาการปวดหัว หรือเห็นภาพอะไรอีก ให้รีบบอกหมอทันทีนะครับ” หันมาทางอิศร “อื่นๆ ก็เรียบร้อยดี” หมอวิชาญบอกกับกอหญ้า “ตกลงพรุ่งนี้ผมให้กลับบ้านได้ ดีใจไหม”
กอหญ้ายิ้ม “เฉยๆ ค่ะ”
“อ้าว ทำไมล่ะ คนไข้คนอื่นมีแต่อยากจะกลับบ้านเร็วๆ”
น้ำเสียงกอหญ้าพูดเล่น แต่แอบเศร้าลึกๆ “ไม่ใช่บ้านของฉันนี่คะ ไม่รู้จะดีใจไปทำไม”
อิศรรู้ว่ากอหญ้าเศร้า ปลอบใจ
“อย่าคิดมากน่ะ กอหญ้า ฉันเชื่อว่าอีกไม่นาน ความทรงจำของเธอต้องกลับมา”
กอหญ้ายิ้มแย้ม พยายามทำให้เป็นเรื่องตลก
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ คุณบอกฉันเองไม่ใช่เหรอคะ ว่าฉันไม่มีพ่อ ไม่มีแม่ ไม่มีใครทั้งนั้น ถึงความทรงจำจะกลับคืนมา มันก็อาจจะว่างเปล่า ไม่มีใครอยู่ดี”
หมอวิชาญและอิศรมองกอหญ้าอย่างเห็นใจ
วันต่อมาที่บ้านอดิศวร ตอนกลางวัน อิศรขับรถเข้ามาจอด แล้วพากอหญ้าลงจากรถ พรยืนรอรับอยู่ หน้าตาตื่นเต้น
“คุณกอหญ้ามาแล้ว”
กอหญ้าสงสัย “มีอะไรเหรอจ๊ะ พร”
“มีแขกมารอพบคุณค่ะ” พรว่า
กอหญ้ามองหน้าอิศรเป็นเชิงถาม อิศรนิ่วหน้า นึกระแวง
“ใครกัน?”
ชิษณุพงษ์เดินออกมาจากด้านในบ้านบอกเสียงเรียบ
“ผมเอง”
กอหญ้าชะงัก “คุณชิษณุพงษ์”
อิศรดึงกอหญ้าหลบหลัง ถามอย่างไม่เป็นมิตร
“คุณมาทำไมอีก ผมบอกแล้วไงว่าอย่ามายุ่งกับแฟนผม”
ชิษณุพงษ์เดินเข้ามาหาอิศร พูดเสียงเข้ม
“กอหญ้าไม่ใช่แฟนคุณ กอหญ้าประสบอุบัติเหตุความจำเสื่อม คุณเลยฉวยโอกาสหลอกเค้า หลอกทุกคน ว่าเค้าเป็นแฟนคุณ”
“ใครบอกแก”
อิศรตกใจ ที่ชิษณุพงษ์รู้ความจริง
“ผมรู้ก็แล้วกัน” ชิษณุพงษ์หันมาทางกอหญ้า “เขาหลอกเธออยู่นะ กอหญ้า เธอไม่ใช่แฟนเค้า เธอไม่เคยรู้จักเค้าเลยด้วยซ้ำ”
กอหญ้าสับสน “แล้วคุณล่ะ คุณเป็นใคร เราสองคนรู้จักกันมาตั้งแต่เมื่อไหร่”
“เธอกับฉันเป็นเพื่อนกัน ตอนที่เธออยู่ที่เชียงใหม่ เธอช่วยดูแลฉันตอนที่ตาฉันมองไม่เห็น” ชิษณุพงษ์ตัดสินใจพูดเกินความจริงเพื่อสกัดอิศร “เราสองคนรักกัน เธอสัญญาว่าถ้าฉันผ่าตัดตาเรียบร้อย เธอจะหมั้นกับฉัน”
พรได้ยินตกใจตาโต กอหญ้าว้าวุ่นใจ เคว้งคว้าง พูดหรือทำอะไรไม่ถูก อิศรโกรธจัด
“ไม่จริง กอหญ้าอย่าไปฟัง มันนั่นแหละฉวยโอกาส แก แกออกไปจากบ้านฉันเดี๋ยวนี้ ไป พร ไปตามคนมาลากมันออกไป”
พรวี่งไป ชิษณุพงษ์ปราดเข้าไปดึงมือกอหญ้าไว้
“ฉันไปก็ได้ แต่กอหญ้าต้องไปกับฉัน”
อิศรไม่ยอม “ปล่อยกอหญ้าเดี๋ยวนี้นะ”
ชิษณุพงษ์ก็ไม่ยอม “ไม่” พลางหันไปขอร้องกอหญ้า “กลับเชียงใหม่กับฉันนะ กอหญ้า ฉันจะพาเธอไปที่ที่เราเคยไปเที่ยวด้วยกัน ฉันจะพาเธอไปหาเพื่อนเก่าๆ ของเธอ ฉันจะทำให้เธอจำความหลังของเราให้ได้”
กอหญ้าเห็นแววตาจริงใจของชิษณุพงษ์ อึ้งไป เริ่มเชื่อ และหวั่นไหว
“จริงเหรอคะ คุณทำได้จริงๆ เหรอคะ”
“จริงสิ ถ้าเธอไปกับฉัน”
กอหญ้ามีแววลังเล
อิศรทนไม่ไหว กระชากกอหญ้าออกจากมือชิษณุพงษ์ ชกโครมเข้าไปที่หน้าชิษณุพงษ์
“ฝันไปเถอะ กอหญ้าต้องอยู่ที่นี่”
ชิษณุพงษ์ต่อยกลับ แล้วตามไปเค้นคออิศร
“กอหญ้าต้องไปกับผม”
“คุณอิศร พอเถอะค่ะ คุณชิษณุเค้าก็แค่อยากจะช่วย”
“มันจะแย่งเธอไปจากฉันต่างหาก”
อิศรไม่ฟัง ปล้ำต่อยกับชิษณุพงษ์พัลวัน ทั้งสองยื้อยุด กลิ้งไปที่สนามหญ้าหน้าบ้าน
อิศรกับชิษณุพงษ์ต่อยกันไปเถียงกันไป กอหญ้าตามไปห้าม แต่ยังหาจังหวะไม่ได้ ได้แต่รีรออยู่ด้านข้าง กลัวโดนลูกหลง
“คุณนั่นแหละที่หลอกกอหญ้า” ชิษณุพงษ์ด่า
“ฉันไม่ได้หลอก กอหญ้ารู้ความจริงทุกอย่าง”
“เป็นความจริงค่ะ คุณอิศรไม่ได้หลอกฉันเลย” กอหญ้าบอก
ชิษณุพงษ์ได้เปรียบ เหวี่ยงอิศรล้มไปจับเค้นคอ “แต่มันไม่ยอมให้ใครรู้ ว่าเธอความจำเสื่อม ทำแบบนี้มันไม่น่าไว้ใจ”
ระหว่างนั้นนันกับนุชเข้ามาเห็น ก็ตกใจ
“ว้าย ผู้ชายตีกัน” นันร้อง
ที่กลางสนามหญ้า อิศรกับชิษณุพงษ์ยังต่อยกันนัวเนีย
“แกต่างหากที่ไม่น่าไว้ใจ” อิศรเป็นฝ่ายกดชิษณุพงษ์กับพื้น “แกอาจจะเป็นคนที่ทำร้ายกอหญ้าก็ได้”
อิศรชกชิษณุพงษ์โครม แล้วจะซ้ำ กอหญ้าเข้ามายื้อแขนอิศรไว้
“คุณอิศร ฉันขอร้อง เลิกทะเลาะกันซะที”
อิศรเสียจังหวะ ชิษณุพงษ์ได้โอกาสชกอิศรกลับอย่างแรงเข้าที่หน้า อิศรล้มลง กอหญ้าผวาเข้าไปประคอง
“คุณอิศร” กอหญ้าหันมาทางชิษณุพงษ์ “คุณชิษณุพงษ์ หยุดก่อนค่ะ”
อรรถกับสกุณาเดินปรี่เข้ามา เสียงอรรถดังลั่น
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ”
อิศรกับชิษณุพงษ์ชะงัก พรพารปภ.เข้ามาพอดี
“คนนี้แหละ พี่ เอาตัวมันออกไป”
อรรถห้ามไว้ “เดี๋ยวก่อน” พรกับรปภ. ชะงัก “นี่มันอะไรกัน” อรรถมองหน้าชิษณุพงษ์ “แล้วแกเป็นใคร มันเรื่องอะไรมาต่อยกันในบ้านฉัน”
ชิษณุพงษ์บอกเสียงดัง “ผมเป็นแฟนกอหญ้า ผมจะมาพาเค้าออกไป”
สกุณาตาโต ตกใจ
อิศรโมโหไม่ยอมฟัง “ไม่มีทาง กอหญ้าเป็นของฉัน” พลางสั่งพร “เอามันออกไปแล้วอย่าให้เข้ามาในบ้านอีกเป็นอันขาด
“ไม่นะ ปล่อยฉัน...กอหญ้า เธอต้องเชื่อฉันนะ กอหญ้า”
รปภ. กับพรลากชิษณุงพงษ์ออกไป
อรรถหันมองอิศรที่เสื้อผ้ายับเยินและกอหญ้าที่ยืนหน้าเสียอยู่ ท่าทางไม่พอใจ
อิศรนั่งหน้าหงิกอยู่มุมหนึ่งในห้องนั่งเล่น กอหญ้านั่งตัวลีบที่โซฟา ตรงข้ามกับสกุณาและอรรถ สกุณาแหลมขึ้น
“ตกลงมันยังไงจ๊ะ แม่กอหญ้า ผู้ชายคนนั้นน่ะ แฟนเก่าเราใช่ไหม”
“เอ่อ คือ ฉัน” กอหญ้าตอบตามจริง “ฉันไม่ทราบค่ะ”
สกุณาเยาะเย้ยถากถาง “คงจะผ่านผู้ชายมาเยอะซีนะ ถึงขั้นจำไม่ได้ว่าใครเป็นใคร”
อิศรไม่พอใจ “นี่ ถ้าจะพูดแบบนี้ หุบปากไปเลยดีกว่า”
อรรถท้วงเสียงเข้ม
“สกุณาพูดถูก แกอย่าหลงผู้หญิงให้มันมากไปนัก เจ้าอิศร” อรรถหันมาทางกอหญ้า “ผู้ชายคนนั้นไม่ใช่นักเลงข้างถนน เค้าเป็นถึงลูกชายของเจ้าแสงโชติ ที่เชียงใหม่” หันมาทางอิศร “คนระดับนั้นเค้าคงไม่มาหาเรื่องต่อยกับแกเล่นๆ นอกเสียจากว่า แกจะไปแย่งผู้หญิงของเค้ามาจริงๆ”
อิศรมีสีหน้าไม่พอใจอย่างแรง แต่เถียงไม่ออก เพราะตัวเองก็รู้ว่ากอหญ้ากับชิษณุพงษ์เคยสนิทกันมาก่อน อรรถหันไปหากอหญ้า
“เรื่องมันมาขนาดนี้แล้ว แล้วเธอจะว่ายังไง”
กอหญ้ายิ่งงง สับสนหนัก “ฉัน... ฉันต้องยังไงเหรอคะ”
สกุณาแหวขึ้นมาทันที “เอ๊า ถามมาได้ แฟนเก่ามาตาม เธอก็ต้องกลับไปซี จะมาลอยหน้าเป็นแฟนคุณอิศรอยู่ต่อไปคงไม่ได้มั้ง”
อิศรลุกพรวดขึ้นค้านเสียงดัง
“ไม่ กอหญ้าจะไปไหนไม่ได้ กอหญ้าต้องอยู่กับผม” อิศรไม่ยอม
“แล้วให้ไอ้หมอนั่นมาด่าประจาน ว่าลูกชายฉันแย่งแฟนชาวบ้านงั้นหรือ” อรรถเยาะลูกชาย แล้วหันไปใส่กอหญ้า “หรือว่าตัวเธอเอง ที่เบื่อของเก่า จะมาเอาของใหม่
“ฉัน...ฉันไม่ได้คิดแบบนั้น”
กอหญ้าน้ำตาปริ่ม ทั้งอาย ทั้งสับสน ทั้งเสียใจ แต่ไม่รู้จะเถียงหรือแก้ตัวยังไง สกุณาเยาะเย้ยซ้ำเติม
“ความจริง ลูกชายเจ้าแสงโชติก็ไม่ใช่กระจอกนะ แต่สงสัย “อย่างอื่น” คงจะสู้คุณอิศรไม่ได้ เธอถึงไม่ยอมกลับไป”
อิศรด่า “สกปรก! กอหญ้าไม่ใช่ผู้หญิงอย่างเธอหรอกนะ สกุณา”
“คุณอิศรทราบได้ยังไงคะ แม่กอหญ้าเค้าก็ไม่ได้ปฏิเสธไม่ใช่หรือ ว่าเค้าไม่ได้มีอะไรกัน ไม่งั้น ผู้ชายเค้าจะติดใจ จนต้องตามมาถึงนี่หรือ”
สกุณาย้อน อิศรเหลืออดด่าแรง “สารเลว”
“ไอ้อิศร”
อรรถระงับอารมณ์ไม่อยู่ ตบหน้าอิศรไปหนึ่งฉาดใหญ่
อิศรทั้งโกรธทั้งเสียใจ มองหน้าอรรถ ขบกรามแน่นจนเป็นสัน อรรถอ่อนลง
“อิศร พ่อ...”
อิศรสะบัดหน้าหนี อรรถหันไปพาลใส่กอหญ้า
“เพราะเธอคนเดียว”
สกุณาผสมโรง “พาผู้ชายมาต่อยกันในบ้านยังไม่พอ ยังทำให้พ่อลูกเค้าทะเลาะกันอีก ตั้งแต่เธอมาอยู่ที่นี่ เรื่องเดือดร้อนก็ตามมาไม่เว้นแต่ละวัน”
“ถ้าทุกคนคิดอย่างนั้น ฉันก็ขอลาล่ะค่ะ”
กอหญ้ามองอรรถและสกุณาอย่างเจ็บปวด ยกมือไหว้ลา แล้วหันหลังเดินออกไป
อิศรเข้ามาขวาง “อย่านะ กอหญ้า อย่าไป ฉันไม่ให้เธอไป”
“ฉันต้องไปค่ะ ถ้าคุณหวังดีกับฉันจริง ปล่อยฉันไปดีกว่า อย่าห้ามฉันเลย”
กอหญ้าเดินไป ไม่เหลียวหลังกลับมา อิศรจะตาม อรรถล็อกตัวลูกชายไว้
“ปล่อยเค้าไป อิศร ให้เค้ากลับไปหาคนของเค้า”
กอหญ้าเดินลับไป อิศรดิ้นรน ตะโกนดังลั่น
“ปล่อยผมนะ พ่อ ปล่อยผม” อิศรตะโกนสั่ง “กอหญ้า กลับมาเดี๋ยวนี้นะกอหญ้า”
กอหญ้าเดินออกประตูรั้วไป น้ำตาไหลพราก
กอหญ้าเดินมาตามถนนในซอยอันร่มรื่น เดินไปเรื่อยๆ เหมือนคนไม่มีที่ไป
จนเวลาผ่านไป อีกมุมหนึ่งของถนน ห่างออกมาจากบ้านอดิศวรมากปล้ว แสงแดดแรงขึ้น กอหญ้าเริ่มหมดแรง หยุดพักที่ร่มต้นไม้ข้างทาง
“จะไปไหนดี” กอหญ้าคิดไปคิดมา “เชียงใหม่ เราคงต้องกลับไปที่เชียงใหม่”
กอหญ้าจะลุกขึ้น แล้วเกิดอาหารเวียนหัว ซวนเซไปพิงต้นไม้ กอหญ้าค่อยๆ ทรุดตัวลงกับพื้น หลับตานิ่ง รู้สึกเหมือนโลกหมุนติ้ว
รถหรูคันงามจอดลงที่ข้างถนน ใกล้ๆ กับที่กอหญ้านั่งอยู่ ประตูรถเปิดออก เจ้าของรองเท้าหนังสีดำมันขลับก้าวลงมา
กอหญ้ารู้สึกว่ามีคนเดินมาใกล้ พยายามลืมตามอง เห็นใบหน้าของคุณชายนภัสรพีมองมาอย่างห่วงใย
“หนู หนูกอหญ้าใช่ไหม”
กอหญ้าหน้ามืดเป็นลมหมดสติไป
แผนรักแผนร้าย ตอนที่ 5 (ต่อ)
ไม่นานต่อมา ที่ถนนหน้าบ้านอิศวร กำลังโกลาหล อิศรวิ่งกลับมาจากด้านหนึ่ง มาสมทบกับพรและรปภ. ที่เข้ามารายงาน
“ไม่เจอครับคุณอิศร”
อิศรหนึ้งบึ้งตึง โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง “เป็นไปได้ยังไง! คนตัวเบ้อเริ่ม หายังไงหาไม่เจอ”
“เราก็หากันจนทั่วแล้วค่ะ เอามอเตอร์ไซค์วิ่งออกไปดูถึงปากซอยแล้ว ไม่มีจริงๆ” พรบอก
“กอหญ้าเพิ่งออกจากโรงพยาบาลมา จะมีแรงวิ่งไปไหนได้ ยังไงก็ต้องอยู่แถวๆ นี้แหละ” อิศรมั่นใจ
“แต่เราหากันจนทั่วแล้วจริงๆ ค่ะ คุณอิศร” พรบอกอีก
อิศรเริ่มหงุดหงิดหนัก “ฉันไปหาเอง” บ่นว่าพรกับรปภ. “ไม่ได้เรื่องเลย”
ท่าทีอิศรอารมณ์เสีย เดินผลุนผลันกลับเข้าไปในบริเวณบ้าน
สกุณายืนอยู่ในบ้าน มองอิศรขับรถพุ่งออกไป ก่อนจะหันไปบอกอรรถ
“คุณอิศรท่าทางจะคลั่งยัยเด็กกอหญ้านั่นมาก”
อรรถยังอารมณ์ขุ่นมัวจากเรื่องที่เกิดขึ้น
“ฉันสังหรณ์ตั้งแต่แรกแล้ว ว่านังเด็กคนนี้ ต้องนำความเดือดร้อนมาให้เรา แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ”
สกุณาเข้ามากอดคลอเคลีย “แต่เราก็กำจัดมันออกไปได้แล้ว โดนขนาดนี้ คงไม่มีน้ำหน้ากลับมาอีกหรอกค่ะ”
ลึกลงไปในสีหน้ายิ้มละไมของสกุณา มีแต่ความสาสมใจ
ด้านกอหญ้าค่อยๆ ลืมตาขึ้น เห็นใบหน้าอ่อนหวานของนภดาราอยู่ตรงหน้า กอหญ้ากระพริบตาถี่ๆ รวบรวมสติ เสียงนภดาราร้องขึ้นมาอย่างดีใจ
“หนูกอหญ้า ฟื้นแล้ว”
กอหญ้าค่อยๆ ลุกขึ้น เห็นตัวเองนอนอยู่บนโซฟายาว กลางห้องโถงของวังศิวาลัย กอหญ้ามองไปรอบตัวอย่างงงๆ
“หนูมาที่นี่ได้ยังไงคะ”
“หนูเป็นลมอยู่ริมถนนน่ะจ๊ะ โชคดี ที่คุณพ่อท่านไปพบเข้า เลยพาหนูมาที่บ้านเรา”
ฟังที่นภดาราบอก กอหญ้ายิ้มบางๆ ดีใจ โล่งใจ
ครู่ต่อมากอหญ้านั่งอยู่กับพื้นข้างๆ นภดารา ก้มกราบนภัสรพีที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ นภาจรีนั่งอยู่ถัดไป
“หนู...เอ่อ ดิฉันกราบขอบพระคุณคุณชายมากค่ะ ที่กรุณา
นภัสรพีเอ็นดูและถูกชะตาเด็กสาวตรงหน้าอย่างประหลาด “เรียกตัวเองว่าหนูก็ได้ แล้วก็เรียกฉันว่าคุณตา...นึกเสียว่าเธอเป็นเหมือนลูกเหมือนหลานคนนึงของฉัน”
“ขอบคุณค่ะ” กอหญ้าไหว้อีก
นภดาราเข้ามาประคอง “ไปนั่งบนเก้าอี้เถอะจ้ะ กอหญ้า เดี๋ยวจะหน้ามืดเป็นลมไปอีก”
นภาจรีเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร แต่ยังไว้ตัว “เพิ่งออกมาจากโรงพยาบาลวันนี้เองไม่ใช่หรือ เราน่ะ แล้วนึกยังไงถึงออกมาเดินคนเดียว”
นภัสรพีนึกตาม เห็นด้วย “นั่นสิ เป็นเด็กผู้หญิง ไปล้มหมดสติอยู่ข้างถนน มันอันตรายมากนะ”
กอหญ้ายิ้มเจื่อนๆ ก้มหน้า นภดาราทำท่าเหมือนนึกบางอย่างขึ้นมาได้
“ตายจริง มัวแต่ตกใจ ฉันยังไม่ได้โทรบอกทางบ้านอดิศวรเขาเลย ว่าหนูอยู่ที่นี่ ป่านนี้คงจะตกอกตกใจกันแย่แล้ว ว่าหนูหายไปไหน”
นภดาราขยับจะลุก กอหญ้าตกใจ รีบห้าม
“อย่าค่ะ” นภดาราชะงัก “ไม่...ไม่ต้องโทร.หรอกค่ะ”
ทุกคนมองกอหญ้าอย่างแปลกใจ
“ทำไมล่ะจ๊ะ” นภดาราฉงน
“อย่าโทรเลยนะคะ” กอหญ้ายกมือไหว้ “หนูขอร้อง”
กอหญ้าหน้าเจื่อนๆ นภดาราพยายามเดา
“ทำไมทำหน้าอย่างนั้น อย่าบอกนะ ว่าหนูหนีเค้าออกมา”
กอหญ้าลำบากใจ สุดท้ายก็ตัดสินใจพูดออกมา
“เปล่าค่ะ หนูไม่ได้หนีออกมาค่ะ...แต่เค้า...เค้าไล่หนูออกมา”
ทุกคนอึ้งกับสิ่งที่ได้ยิน
พเยียเดินลงบันไดลงมาข้างล่าง ปากก็ร้องเรียกเสียงดัง
“คุณแม่ คุณแม่ขา”
เงียบกริบ พเยียมองไปรอบๆ เห็นบ้านเงียบ ไม่มีใครเลย พเยียแปลกใจนิดๆ
“ไปไหนกันหมดเนี่ย” พอดีเห็นศรีเดินเข้ามา “ศรี คุณแม่อยู่ไหน”
ศรียอบตัวลง “คุณหนูต้องการอะไรหรือเปล่าคะ”
“เปล่า แค่ถาม ว่าคุณแม่อยู่ไหน”
“คุณดาราอยู่ในห้องสมุดกับคุณชายและคุณหญิงค่ะ”
พเยียฉงนสงสัย “อยู่ในห้องสมุดหมดเลยเหรอ ไปทำอะไรกันในนั้น”
ศรีไม่ตอบพเยียครุ่นคิด แววตาเต็มไปด้วยสงสัย
ภายในห้องหนังสือวังศิวาลัย กอหญ้าเล่าให้ทุกคนฟัง
“คุณชิษณุพงษ์จะพาหนูกลับไปเชียงใหม่ค่ะ แต่คุณอิศรไม่ยอม เลยทะเลาะ ต่อยกันใหญ่”
นภดารานึกรู้ เล่าเสริม “คุณอรรถกับคุณสกุณาไม่ค่อยชอบหนูกอหญ้าอยู่แล้วค่ะคุณพ่อ พอมีเรื่องขึ้นมาแบบนี้ คงจะยิ่งไม่ชอบใจใหญ่”
“ท่านโกรธมากค่ะ ท่านหาว่าหนูเป็นต้นเหตุให้ทุกคนเดือดร้อนวุ่นวาย”
นภัสรพีเดาออก พูดอย่างเห็นใจ “หนูก็เลยต้องออกมาจากบ้านนั้น”
“ค่ะ ท่าน”
นภดาราถาม “แล้วนี่หนูกำลังจะไปไหนเหรอจ๊ะ กอหญ้า”
กอหญ้ายิ้มเจื่อนๆ ไม่รู้จะตอบว่ายังไง เพราะไม่รู้หนจริงๆ
ที่หน้าประตูห้องหนังสือ พเยียเอาหูแนบประตูอยู่แล้ว แอบฟัง สีหน้าตื่นเต้น ระแวง
“นังกอหญ้า”
ส่วนในห้องกอหญ้าตอบเสียงอ่อย
“หนูยังไม่ทราบเลยค่ะ”
นภาจรีถามขึ้นมาตรงๆ อย่างคนไม่เกรงใจใคร
“แล้วมันเป็นความจริงหรือเปล่า ที่ชิษณุเขาว่า เธอกับเขาเป็นแฟนกัน”
กอหญ้ายิ้มเจื่อนๆ บอกตามตรง “หนูไม่ทราบจริงๆ ค่ะ”
นภาจรีงวยงง “ไม่ทราบ! ยังไงกัน”
กอหญ้ามองทุกคนในห้องที่มองมาอย่างสงสัย กอหญ้าซึมซับรับรู้ได้ว่าบุคคลเหล่านี้ ล้วนดีกับตน จึงไม่อยากโกหกอีกต่อไป ตัดสินใจพูดความจริง
“คือเมื่อเดือนก่อน หนูประสบอุบัติเหตุ สมองกระทบกระเทือนมาก ทำให้ความจำเสื่อมค่ะ”
ทุกคนตกใจ
นภดาราตะลึง คาดไม่ถึง “ความจำเสื่อมเหรอ”
กอหญ้าเล่าต่อ “ค่ะ หนูจำอะไรเกี่ยวกับตัวเองไม่ได้เลย หนูเลยไม่ทราบว่าหนูเป็นใคร มาจากไหน แล้วเคยเป็นอะไรกับใครมาบ้าง”
ทุกคนอึ้งไปอีก มองกอหญ้าอย่างเห็นใจ
พเยียได้ยิน ลุ้นระทึกว่ากอหญ้าจะพูดอะไรอีก สีหน้าหวาดหวั่น วิตกกังวล และไม่สบายใจ
นภัสรพีถามอย่างเมตตา
“ในเมื่อจำอะไรไม่ได้ แล้วจะไปไหน ไปหาใคร”
กอหญ้าก้มหน้า “หนูแค่คิดว่าจะไปให้พ้นจากบ้านนั้นก่อน แล้วค่อยไปตายเอาดาบหน้าค่ะ”
นภาจรีเห็นใจ สงสารกอหญ้า แต่อดบ่นไม่ได้แบบคนปากร้าย
“อวดเก่ง ตัวเองไม่สบายอยู่แท้ๆ ถ้าพี่ชายฉันไม่ไปเจอเข้า เธอมีหวังได้ตายจริงๆ”
นภดาราบอกกับนภัสรพี “คุณพ่อขา ถ้าอย่างนั้น ลูกขออนุญาตให้กอหญ้าอยู่กับเราที่นี่ จนกว่าจะแข็งแรงดีนะคะ”
“ตอนแรกพ่อก็คิดเหมือนกัน ว่ากอหญ้าควรจะพักอยู่กับเราก่อน แต่ว่า...” ประมุขแห่งศิวาลัยมองนภดารา “ลูกอย่าลืมนะว่า ที่กอหญ้าต้องเจ็บตัวจนต้องเข้าโรงพยาบาลนี่เพราะใคร”
พเยียฟังอยู่ อย่างขัดใจ รู้ดีว่าคุณชายหมายถึงตน
“เชอะ”
ทันใดนั้นมีเสียงดังขึ้นด้านหลัง
“คุณหนูพเยีย”
พเยียหันขวับมา เห็นแม่ชื่นยืนมองตาเขียว เป็นเชิงตำหนิ
“มาแอบฟังอะไรคะ”
พเยียหน้าเสียที่โดนจับได้
นภดาราพยายามอธิบาย แก้ต่างแทน
“แต่ลูกพเยียแกสำนึกผิดแล้วจริงๆ ค่ะ คุณพ่อ แกรับปากว่าจะกลับตัวกลับใจ ไม่ก่อเรื่องอีก”
เสียงเคาะประตูขัดขึ้น ทุกคนหันไป ได้ยินเสียงแม่ชื่น
“ขออนุญาตค่ะ”
หัวหน้าแม่บ้านเดินเข้ามา มีพเยียยืนหน้าหงิกตามมาข้างหลัง
“ขอประทานโทษที่เข้ามารบกวนนะคะ บังเอิญดิฉันเห็นคุณหนูพเยียยืนแอบฟังคุณๆ คุยกันอยู่ที่หน้าประตู”
นภาจรีหัวเราะกิ๊กออกมาอย่างสะใจ นภดาราหน้าเสีย
“นี่น่ะเหรอ ดารา ที่ว่ากลับตัวแล้ว” นภาจรีลุกขึ้น เดินเข้าไปหาพเยีย “คงไม่มีใครสอนเธอสินะ ว่าแอบฟังคนอื่นคุยกัน มันไม่ใช่สมบัติผู้ดี”
นภดาราลุกขึ้นมาห้าม ท่าทีเสียใจ “คุณอาหญิงคะ ทำไมต้องว่ากันถึงขนาดนั้น”
นภัสรพีลุกขึ้นปราม
“พอๆ นี่ไม่ใช่เวลามาประชันฝีปากกัน พเยียมาก็ดีแล้ว...ตาจะให้กอหญ้าเค้าพักอยู่กับเราที่นี่ มีปัญหาอะไรไหม”
พเยียไม่กล้าขัด จำใจรับคำ “ไม่มีค่ะ”
“ดี” นภัสรพีพอใจหันมาทางกอหญ้า “งั้นหนูพักอยู่กับเราที่นี่”
กอหญ้าเหลือบมองพเยีย แล้วส่ายหน้า
“หนูขอบพระคุณท่านมากค่ะ แต่ว่า...”
นภัสรพีรู้ทันขัดขึ้นมาอย่างอ่อนโยน “ไม่ต้องกลัว ฉันรับรองความปลอดภัยของหนู” แล้วพูดด้วยเสียงอันดังและทรงอำนาจ “ถ้าหากมีอะไรเกิดขึ้นกับกอหญ้าอีก ในบ้านหลังนี้ ไม่ว่าอะไรก็ตาม ฉันจะไม่ถือว่าเป็นอุบัติเหตุ และจะไม่ฟังคำแก้ตัวใดๆ ทั้งสิ้น” ประมุขแห่งศิวาลัยหันไปมองหน้าพเยีย “ฉันจะถือว่าเป็นความผิดของเธอ เธอจะถูกลงโทษขั้นเด็ดขาด” เน้นคำตอนท้าย “ฉันจะไม่เห็นว่าเธอเป็นหลานของฉันอีกต่อไป เข้าใจไหม พเยีย”
พเยียนิ่งอั้น นึกไม่ถึงว่านภัสรพีจะเอาจริงขนาดนี้ นภดาราเข้ามายืนข้างพเยีย รับปากแทน
“จะไม่เกิดเรื่องแบบนั้นแน่นอนค่ะ คุณพ่อ ลูกรับรองได้”
นภาจรีมองหน้ากับแม่ชื่น ยิ้มเยาะ กอหญ้าเห็นบรรยากาศก็ไม่ค่อยสบายใจ
พเยียยังคงนิ่ง อ่านคำพูดและท่าทีจริงจังออกว่านภัสรพีมีนัยยะว่าจะไม่ยอมรับตนอีกต่อไป พเยียนึกหวาดกลัว
ส่วนทางด้านอิศรขับรถมาอย่างเร็วและแรง โดยมีสุบรรณนั่งเหวออยู่ข้างๆ รถจอดพรืดที่หน้าประตูรั้วเรือนไทย บ้านชิษณุพงษ์
สุบรรณถามงงๆ “เราจะมาหาคุณกอหญ้าที่นี่เหรอครับ”
อิศรไม่ตอบ กดแตรดังลั่น
สุบรรณตกใจ “โอ๊ย เบาๆ หน่อยครับ เดี๋ยวเจ้าของบ้านเค้าด่าเอาแล้วนี่มันบ้านใครกันครับ ทำไมคุณถึงคิดว่าคุณกอหญ้าจะมาที่นี่”
อิศรไม่ตอบ ยังคงหน้าบึ้งตึง กดแตรสนั่นไม่เกรงใจใคร
ครู่ค่อมาแตงวิ่งออกมาดูที่หน้าประตู
“มาแล้วจ้า มาแล้วจ้า” แล้วบ่นอุบ “จะกดแตรทำไมนักหนา ได้ยินแล้ว”
แตงวิ่งมาถึงหน้าประตู เห็นหน้าอิศร คุ้นๆ ชะงัก
“เอ๊ะ”
อิศรกดกระจกรถยื่นหน้าออกมาบอก
“เปิดประตูเดี๋ยวนี้ ฉันมีธุระ ฉันมาหากอหญ้า”
แตงจำได้ “คุณ!”
อิศรดุ “เปิดเดี๋ยวนี้นะ ไม่งั้นฉันชนประตูพังจริงๆ ด้วย”
“เปิดเดี๋ยวนี้จ้ะ”
แตงลนลานเปิดประตูรั้ว รถพุ่งทะยานเข้ามาจนเกือบจะชนแตง แตงกระโดดหลบเข้าข้างทาง ลงไปกลิ้งกับพื้นสนาม สุบรรณกดกระจกอีกข้างลงมา ตะโกนขอโทษแทน
“ขอโทษทีคร้าบ เจ้านายผมกำลังโมโห”
แตงมองตาม บ่นกระปอดกระแปด
“โมโหใครมาจากไหน ฉันจะไปรู้ไหมเนี่ย” นึกได้ เป็นห่วงนาย “ว้าย คุณณุ”
แตงรีบลุกจากพื้น วิ่งจู๊ดเข้าบ้านไป
อิศรจอดรถ เดินลงไปอย่างร้อนใจ สุบรรณรีบตาม อิศรเดินเข้าไปในบ้าน หน้าตาเอาเรื่อง
เจ้ามลุลีเดินออกมารับ
“ใครมากันน่ะ แตง” เจ้าชะงัก เมื่อเห็นหน้าตาเอาเรื่องของอิศร “มาหาใครคะ คุณ”
“สวัสดีครับ”
อิศรสงบลง ยกมือไหว้อย่างสุภาพ แต่หน้ายังเคร่งเครียด เจ้ามลุลีรับไหว้งงๆ เจ้าแสงโชติเดินตามออกมา
“เสียงรถใครเอะอะ” เห็นอิศร “อ้าว คุณ” เจ้าแสงโชติคุ้นๆ หน้าพยายามนึก
อิศรไหว้ แนะนำตัว “ผมอิศรครับ อิศร อดิศวร ผมเคยเจอเจ้าที่วังศิวาลัย”
สุบรรณเสนอหน้า “ผมสุบรรณครับ เป็นผู้ช่วยคุณอิศร”
เจ้าแสงโชติถาม “มีอะไรกันหรือ คุณ”
“ผมมีเรื่องสำคัญต้องพูดกับคุณชิษณุพงษ์ ลูกชายของเจ้าครับ”
แตงวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา เบรคเอี๊ยด
“อย่านะคุณ” แตงกางมือขวางหน้าอิศร “ถ้าจะมาหาเรื่องกันล่ะก็ กลับไปเลยดีกว่า”
“อะไรกันแตง เอะอะโวยวายอะไร” เสียงเจ้ามลุลีดังขึ้น
“ผมไม่ได้มาหาเรื่องใคร ผมมาที่นี่ เพื่อมาตามกอหญ้าแฟนผม! ผมสงสัยว่าเค้าจะมาหาลูกชายของเจ้าที่นี่” อิศรว่า
เจ้าแสงโชติกับเจ้ามลุลีมองหน้ากัน ยุ่งล่ะซี
ชิษณุพงษ์รู้เรื่องก็ตกใจ ถามเสียงดัง
“อะไรนะ! กอหญ้าหนีออกจากบ้าน!” ลุกพรวดขึ้นอย่างเอาเรื่อง “คุณทำอะไรกอหญ้า ทำไมเค้าถึงต้องหนีไป”
“ผมไม่ได้ทำอะไร เค้าแค่มีปัญหากับที่บ้านผมนิดหน่อย เค้าก็เลยออกจากบ้านไป” อิศรมองอย่างจับผิด “ผมคิดว่าเค้ามาหาคุณที่นี่เสียอีก”
ชิษณุพงษ์กวนกลับ “ถ้าเขามาจริง ผมไม่มีทางปล่อยเค้ากลับไปกับคุณแน่”
อิศรลุกพรวด เข้าไปหาชิษณุพงษ์
“กอหญ้าอยู่ที่นี่ใช่ไหม”
“เปล่า”
“ผมไม่เชื่อ” อิศรลืมตัว กระชากแขนชิษณุพงษ์คาดคั้น “คุณเอากอหญ้าไปซ่อนไว้ใช่ไหม”
ชิษณุพงษ์ชักโมโห “ผมบอกแล้วไงว่าเปล่า” ผลักอกอิศร “คุณทำให้กอหญ้าต้องหนีไป ยังจะมีหน้ามาโทษคนอื่นอีกเหรอ”
อิศรเถียงเสียงดัง “ผมไม่ได้ทำอะไร ผมรักเขา ผมถึงมาตามหาเค้าอยู่นี่ไง”
สุบรรณดึงไว้ ปราม “ใจเย็นครับ เจ้านาย ใจเย็น”
อิศรไม่เชื่อ “อย่ามาโกหกผมดีกว่า กอหญ้าไม่รู้จักใครทั้งนั้น ถ้าไม่มาหาคุณ เค้าจะไปไหนได้”
เจ้าแสงโชติพูดแทรกขึ้น
“ผมยืนยันได้ ว่าผู้หญิงที่ชื่อกอหญ้า ไม่ได้มาที่นี่จริงๆ”
อิศรมองเจ้าแสงโชติ ชั่งใจว่าจะเชื่อดีไหม
“คุณอิศรคงไม่คิดว่าผู้ใหญ่อย่างเจ้าแสงโชติจะโกหกใช่ไหมคะ”
อิศรสงบลง สุบรรณพูดกับอิศรเสียงอ่อย
“คุณกอหญ้าคงไม่ได้มาที่นี่หรอกครับ คุณอิศร เราคงเข้าใจผิดแล้วกลับกันเถอะ”
“ถ้าอย่างนั้น” อิศรยกมือไหว้ “ผมก็ต้องขอโทษด้วย ที่มารบกวนเวลาและความสงบของเจ้า” สีหน้าเครียด เพราะห่วงกอหญ้ามาก “แต่ผมก็ยังอดสงสัยไม่ได้ กอหญ้าไม่มีเพื่อนที่ไหนทั้งนั้น นอกจากเราสองคน กอหญ้าออกจากบ้านผม ถ้าเค้าไม่ได้มาที่นี่ เค้าจะไปที่ไหนได้”
ชิษณุพงษ์คิดๆ แล้วพูดขึ้นมา
“ผมว่าผมเดาได้” ทุกคนมองชิษณุพงษ์เป็นตาเดียว ชิษณุพงษ์เรียกเสียงดัง “แตง”
ไม่มีเสียงตอบ ชิษณุพงษ์พูดซ้ำ
“ออกมานี่ แตง ฉันรู้นะว่าเธอแอบฟังอยู่”
แตงค่อยๆ โผล่หัวออกมาจากหลังประตูห้อง ยิ้มแหยๆ แลดูน่ารักน่าขัน
ครู่ต่อมาลุงเติมอยู่เชียงใหม่ รับสายแตงที่โทร.มาจากบ้านชิษณุพงษ์ที่กรุงเทพฯ
“เออ ได้ ไม่ต้องห่วง ลุงจะออกตามหาให้ทั่วเมืองเลย”
แตงคุยโทรศัพท์กับลุงเติม มีเจ้าทั้งสองกับชิษณุพงษ์กำกับอยู่ข้างๆ
“เจ้าสั่งว่า ให้สั่งคนงานของเราทุกคนเลยนะลุง ถ้าใครได้เบาะแสของคุณกอหญ้า เจ้าจะมีรางวัลให้” แตงบอก
“เออน่า บอกแล้วว่าไม่ต้องห่วง ถ้าหนูกอหญ้ากลับมาที่เชียงใหม่จริงๆ ยังไงพวกเราต้องเจอ”
ลุงเติมบอกแล้ววางสาย แตงวางสายตาม
เจ้าแสงโชติหันไปบอกอิศร
“คนที่โรงไหมของผมมีร่วมห้าสิบคน ถ้ากอหญ้ากลับไปเชียงใหม่ ยังไงก็น่าจะได้เบาะแสเร็วๆ นี้”
ชิษณุพงษ์บอกเสียงเข้ม “การตามหากอหญ้าเป็นหน้าที่ของพวกผมเอง คุณกลับไปได้แล้ว”
อิศรมองชิษณุพงษ์ หมั่นไส้ แต่ทำอะไรไม่ได้
“เรากลับก่อนเถอะครับ คุณอิศร” สุบรรณบอก
อิศรยกมือไหว้ “ผมลาละครับ เจ้า ขอบคุณมากที่ช่วยเหลือ ผมจะรอฟังข่าวนะครับ”
อิศรกับสุบรรณออกไป ชิษณุพงษ์มองตาม
“ยุ่งไม่เข้าเรื่อง” หันมาทางเจ้าพ่อเจ้าแม่ “เจ้าพ่อกับแม่ก็ใจดีเกินไป เราทำอะไรมันก็เรื่องของเรา จะต้องไปรายงานมันทำไม”
“ลูกห่วงเพื่อนลูก เขาก็ห่วงเพื่อนเขาเหมือนกัน คิดถึงใจเขาใจเราบ้างนะ ชิษณุ แม่ดูท่าทางเขาก็รักหนูกอหญ้าไม่น้อยไปกว่าลูกหรอก”
ชิษณุพงษ์ฟังเจ้าแม่พูด ยิ่งร้อนใจ
อีกมุมหนึ่งของบ้าน ชิษณุพงษ์ลากแตงมาสั่ง น้ำเสียงและท่าทาง ดูเป็นความลับ
“เธอโทร.บอกลุงเติมนะ ถ้าเจอกอหญ้า ให้ลุงเติมโทร.หาฉันก่อน บอกฉันคนเดียวเท่านั้น อย่าเพิ่งบอกใคร แม้กระทั่งเจ้าพ่อเจ้าแม่”
“คุณณุจะขี้โกง ไม่บอกคุณอิศรใช่ไหม”
ชิษณุพงษ์ยักคิ้ว ยิ้มร้าย
รถของอิศรขับแล่นบนถนน เพิ่งออกจากบ้านชิษณุพงษ์ อิศรคิดๆ แล้วหันไปสั่งสุบรรณที่กำลังง่วนกับโทรศัพท์
“สุบรรณ”
สุบรรณบอกเสียงจริงจัง “รู้แล้วครับ”
อิศรงง “รู้อะไร”
“รู้ว่าผมต้องบินไปเชียงใหม่ ไปหาคุณกอหญ้าให้เจอ ก่อนคนของเจ้าแสงโชติ” เสียงโทรศัพท์ร้องเตือน สุบรรณเปิดดูแมสเสจแล้วบอก “ผมได้ตั๋วเครื่องบินแล้ว ออกเย็นนี้”
อิศรหันมามองสุบรรณ ยิ้มปลื้ม
“ดี เก่ง สุดยอด ฉันภูมิใจในตัวแกจริงๆ สุบรรณ”
“กรุณาจำความรู้สึกนี้ไว้ จนกว่าถึงวันแจกโบนัสสิ้นปีนะครับ คุณอิศร”
ด้านแม่ชื่นเดินนำกอหญ้าเข้ามาในห้องที่จัดเอาไว้แล้วเรียบร้อย แม่ชื่นบอกหน้าตายิ้มแย้ม
“ห้องนี้ปกติเอาไว้รับรองแขกค่ะ คุณพักที่นี่ตามสบาย ไม่ต้องเกรงใจ”
กอหญ้ามองไปที่เตียง เห็นเสื้อคลุมอาบน้ำ ผ้าขนหนู และชุดนอนสวยงามพับวางเอาไว้อย่างเรียบร้อย แม่ชื่นอธิบาย
“ของคุณดาราค่ะ คิดว่าคุณน่าจะพอใส่ได้ส่วนเสื้อคลุมกับผ้าเช็ดตัวนั่นของใหม่ ยังไม่มีใครใช้ แต่ถ้ามีอะไรขาดเหลือก็บอกดิฉันได้”
“ไม่มีอะไรขาดหรอกค่ะ ดีเกินไปเสียด้วยซ้ำ” กอหญ้าไหว้ขอบคุณ “ขอบคุณคุณป้ามานะคะ”
แม่ชื่นขำ “อุ๊ย ดิฉันเลี้ยงคุณดารามาตั้งแต่ยังเล็ก เรียกป้าไม่ได้หรอกค่ะเรียกย่าเรียกยายถึงจะถูก...หรือคุณจะเรียกดิฉันว่าแม่ชื่นเหมือนคุณๆ ท่านก็ได้”
“งั้นแม่ชื่นก็เรียกหนูว่ากอหญ้าเฉยๆ ก็พอนะคะ ให้นึกเสียว่าหนูเป็นลูกเป็นหลานคนนึง”
แม่ชื่นมองกอหญ้าอย่างเอื้อเอ็นดู
“จ้ะ หนูกอหญ้า หนูเองก็คิดเสียว่าฉันเป็นเหมือนญาติผู้ใหญ่” แม่ชื่นบอกจริงจัง “หนูบอกฉันได้ ถ้าหากมีใครทำอะไรหนู โดยเฉพาะอย่างยิ่ง...คุณหนูพเยีย...ตกลงไหม”
กอหญ้าพยักหน้า รู้สึกอบอุ่นในใจ
พเยียนั่งชันเข่ากอดหมอนใบใหญ่อยู่บนเตียง หน้าหงิกงอ มีนภดารานั่งปลอบอยู่ข้างๆ
“คุณตาพูดอย่างนี้ จะให้พเยียคิดยังไง”
“คุณตาท่านก็แค่ขู่ ไม่อยากให้พเยียทำผิดซ้ำสองเท่านั้นเอง”
พเยียเสียงดัง ใส่อารมณ์ด้วยความเครียด “แล้วทำไมต้องพูดว่าจะไม่นับเป็นหลาน ทำไมคะ ถ้าพเยียทำผิด คุณตาจะทำอะไร จะเฉดหัวพเยียออกจากบ้านงั้นเหรอคะ”
“พเยีย”
นภดาราแตะตัวพเยียจะกอดปลอบโยน พเยียสะบัดหนี ทิ้งตัวลงนอน หันหลังให้ เจ็บใจจนน้ำตาคลอ
“จะทำอะไรหรือไม่ทำ คุณตาก็ไม่เคยเห็นพเยียเป็นหลานอยู่แล้ว”
นภดาราลูบหัวพเยียอย่างปราณี
“คุณตาท่านก็พูดไปอย่างนั้น...ยังไงหลานก็คือหลาน คุณตาท่านจะคิดเป็นคนอื่นได้ยังไง อย่าคิดมากนะลูกนะ”
นภดาราปลอบ พเยียนอนซบหน้านิ่ง ไม่หันไปมามอง แววตาหวาดระแวงและเจ็บแค้นในใจ
คืนนั้นกาน้ำชากระเบื้องเคลือบงดงาม ดูสูงค่าถูกยกขึ้น น้ำร้อนจัดควันกรุ่นไหลจากพวยกา ลงในถ้วยกระเบื้องเคลือบสวยงามเข้าชุดกัน ชุดน้ำชานี้มีลวดลายเฉพาะตัว เป็นของใช้ประจำตัวของนภัสรพีคนเดียว นภัสรพีมีพฤติกรรมดื่มชาคาโมไมล์ก่อนนอน
นภัสรพียกถ้วยชาขึ้นจิบ ครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้
เมื่อเย็นที่ผ่านมา กอหญ้านั่งเรียบร้อยอยู่ตรงหน้านภัสรพี ขณะที่นภัสรพีถาม
“แล้วหนูรู้ไหม ว่าอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับหนู มันคืออะไร”
“รถคว่ำค่ะ”
นภัสรพีตาวาว รีบซัก “ที่ไหน เมื่อไหร่”
“หนูไม่ทราบค่ะ หนูมารู้ตัวที่โรงพยาบาล แต่พอตื่นมา ก็จำอะไรไม่ได้แล้ว คุณอิศรบอกว่าเจอหนูจมกองเลือดอยู่ที่ข้างทาง แต่เขาก็ไม่รู้อะไรมากไปกว่านั้น ท่านสงสัยอะไรเหรอคะ”
นภัสรพีนิ่ง เอนพิงพนักเก้าอี้ ไม่ตอบ
นภัสรพีดึงตัวเองกลับมา วางถ้วยชาลง รำพึง
“เด็กที่ชื่อกอหญ้าคนนี้ เป็นคนเดียวกัน กับกอหญ้าที่นั่งรถมากับปราบและพเยียแน่ๆ”
นภัสรพีลุกขึ้นยืน ถอนใจหนักหน่วง
“ทำไมพเยียต้องโกหกด้วย มีเหตุผลอะไร”
แผนรักแผนร้าย ตอนที่ 5 (ต่อ)
ทางด้านอิศรสวมเสื้อคลุมออกมาจากห้องน้ำ เพิ่งอาบน้ำเสร็จ โทรศัพท์ดัง อิศรกระโจนพรวดเดียวถึงรับทันที
“ฮัลโหล สุบรรณ ว่าไงได้เรื่องหรือยัง”
ที่ห้องในโรงแรมที่เชียงใหม่ สุบรรณไขกุญแจเข้าห้อง คุยไปด้วย
“ผมเพิ่งมาถึงเดี๋ยวนี้เองครับ ขอเวลาหายใจแป๊บ...นึง แล้วผมจะออกไปทำงานให้”
“เออ ได้เรื่องยังไงแกบอกฉันด่วนเลยนะ แล้วไม่ว่ายังไง ห้ามกลับมามือเปล่าเด็ดขาด
“คร้าบ...” สุบรรณรับคำ
อิศรวางสาย ถอนใจหนักหน่วง
“กอหญ้า เธอไปอยู่ที่ไหนนะ”
กอหญ้าอยู่ในชุดนอน นั่งพับเสื้อชุดที่ตัวเองใส่มา คิดถึงอิศร
กอหญ้าปาเสื้อใส่อิศรในวันที่เข้าบ้านใหม่ ทั้งสองหยอกล้อกัน อิศรขโมยหอมแก้มกอหญ้าฟอดหนึ่ง
กอหญ้าสีหน้าสุขปนเศร้า คิดถึงอิศร น้ำตาคลอ เสียงเคาะประตู กอหญ้ารีบเช็ดน้ำตา
เสียงนภดารา “ฉันเองจ้ะ หนูกอหญ้า”
นภดาราเปิดประตูเข้ามา ยิ้มแย้มแจ่มใส กอหญ้ายิ้มรับ
“ทุกอย่างเรียบร้อยดีไหมจ๊ะ” นภดาราเห็นกอหญ้าใส่ชุดนอนของตนก็ยิ้ม “หนูใส่ชุดนี้แล้วสวยจริง”
“พรุ่งนี้หนูคงต้องขอยืมชุดใหม่อีกซักชุดนะคะ ชุดนี้ซักแล้วคงแห้งไม่ทัน”
“ไม่ต้องห่วงจ้ะ พรุ่งนี้ฉันจะพาเธอเข้าไปเอาเสื้อผ้าของใช้ที่บ้านโน้นเองยังไง คุณสกุณาก็คงต้องเกรงใจฉันบ้าง”
“อย่าเลยค่ะ หนูพอมีเงินติดตัวมาบ้าง คุณอิศรให้ไว้ ซื้อเอาใหม่ดีกว่า หนูไม่อยากกลับไปที่บ้านนั้นอีก”
“กลัวคุณอรรถกับคุณสกุณาเหรอ”
กอหญ้าส่ายหน้า “กลัวคุณอิศรรู้ต่างหากค่ะ ถ้าหากรู้ว่าหนูมาอยู่ที่นี่ คงตามมาอาละวาดแน่ หนูเกรงใจ”
“แต่หายมาอย่างนี้ อิศรเค้าคงเป็นห่วงเธอมาก จะไม่โทร.บอกเค้าหน่อยเหรอจ๊ะ”
นภดาราพูดอย่างเห็นใจ กอหญ้ายิ้มเศร้าๆ
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เดี๋ยวเค้าก็ลืมไปเอง หนูไม่ได้เกี่ยวข้องเป็นอะไรกับเค้าซักหน่อย ไม่ได้เป็นอะไรกับใครทั้งนั้น”
กอหญ้าพูดแล้วน้ำตาก็รื้นขึ้นมาอีก นภดาราดึงมากอด ด้วยความสงสาร
เช้าวันต่อมาแตงกำลังรดน้ำต้นไม้ ร่าเริงแจ่มใส เห็นชิษณุพงษ์แต่งตัวแบบจะออกจากบ้าน หน้าตาสดใส วิ่งออกจากบ้าน
“คุณณุ จะไปไหนแต่เช้า”
“ฉันจะไปหากอหญ้า ฉันรู้แล้วว่าเค้าอยู่ที่ไหน”
“จริงเหรอคะ แล้วอยู่ไหนล่ะ”
ชิษณุพงษ์เดินแกมวิ่งไปที่รถที่จอดอยู่ในโรงรถ แตงวิ่งตาม คุยกันไปด้วย
“อยู่ที่วังศิวาลัย คุณยายหญิงนภาจรีแอบโทร.มาบอกฉัน”
ชิษณุพงษ์ไปถึงรถ แตงอาสา
“แตงไปด้วย แตงขับให้”
“ไม่ต้อง ฉันหากอหญ้าเจอแล้ว เธอหมดหน้าที่ ไปได้”
ชิษณุพงษ์ไล่เล่นไม่จริงจัง ท่าทีน่ารักๆ แล้วขึ้นรถ ขับออกไปอย่างร่าเริง แต่แตงแอบจ๋อย น้อยใจนิดๆ
ทั้งหมดนั่งรับประทานอาหารเช้าด้วยกันในห้องอาหารวังศิวาลัย กอหญ้าสวมเสื้อผ้าชุดใหม่ที่ยืมมาจากพเยีย
นภัสรพีกับนภดาราหน้าตาปกติ กอหญ้าก้มหน้าก้มตา เจียมตัว พเยียนั่งขรึม ส่วนนภาจรียิ้มพรายอย่างคนอารมณ์ดีเป็นพิเศษ
“เมื่อคืนหลับสบายไหมจ๊ะ กอหญ้า” นภดารายิ้มๆ
“สบายดีค่ะ”
“ไม่มีตัวอะไรมากวนหรือ” นภาจรีถาม จงใจพูดแขวะพเยีย
นภดารามองอย่างอ่อนใจ พเยียตวัดตามองค้อน นภัสรพีส่งเสียงปราม
“หญิงนภา”
นภาจรีแก้ตัวเลี่ยงไป “ก็ผีบ้านผีเรือนไง มาอยู่ใหม่ๆ บางทีอาจจะมีบ้าง”
นภดารารู้ทัน ดักคอ “บ้านเรามีเจ้าที่เจ้าทางคุ้มครองอยู่ คงไม่มีใครกวนใครหรอกค่ะ อาหญิง”
“อาก็แค่ถามดู” นภาจรีหันมาทางกอหญ้า “ถ้ามันมากวนก็บอกฉันนะ กอหญ้า ฉันจะไปปัดรังควานให้”
พเยียสุดทนวางช้อนดังกึก กอหญ้าหน้าเจื่อน พยายามก้มหน้าไม่อยากมีเรื่อง แม่ชื่นเข้ามาพอดี
“คุณหญิงคะ คุณชิษณุพงษ์มาแล้วค่ะ”
พเยียกับกอหญ้าแปลกใจพร้อมกัน
“บอกตาณุว่าเดี๋ยวฉันออกไป” นภาจรีบอก
นภดาราสงสัย “อาหญิงเรียกชิษณุมาหรือคะ เรียกมาทำไม”
นภัสรพีดื่มกาแฟ แล้วลุกขึ้นยืนพลางบอก
“มาพบพ่อ มาด้วยกันสิ ดารา เห็นหญิงนภาบอกว่าชิษณุพงษ์มีอะไรที่อยากให้พวกเราดู”
นภัสรพีเดินออกไป นภดาราลุกตาม นภาจรีกรายตัวตามไปเป็นคนสุดท้าย ปรายตามองพเยียและกอหญ้า สีหน้าเหมือนขบขันและสะใจอะไรบางอย่าง
กอหญ้ากับพเยียอดมองหน้ากันไม่ได้ ทั้งสองรู้สึกสังหรณ์ใจว่าน่าจะเกี่ยวกับตัวเอง
ทุกคนอยู่ภายในห้องโถง ชิษณุพงษ์เอารูปถ่ายที่ได้จากลุงเติมวางลงบนโต๊ะตรงหน้าทุกคน
“นี่เป็นรูปถ่ายจากงานคริสต์มาสปีก่อนของโบสถ์ครับ นั่นคือพเยีย แล้วที่เล่นเปียโนอยู่ตรงนี้ เห็นไหมครับว่าคือใคร”
นภดาราหยิบมาดู แล้วบอกนภัสรพี
“เห็นหน้าไม่ค่อยชัด แต่ดูแค่นี้ก็รู้ ว่าคือหนูกอหญ้าของเราแน่ๆ”
ชิษณุพงษ์บอกจริงจัง “ผมเอารูปนี้มายืนยัน ว่ากอหญ้าเป็นเพื่อนผมจริงๆ ครับ”
“ถ้ากอหญ้าเป็นเพื่อนพเยีย อุบัติเหตุที่ทำให้แกความจำเสื่อม ก็น่าจะเป็นอุบัติเหตุรถคว่ำในคืนนั้นนั่นเอง”
นภาจรีแขวะ “แม่พเยียโกหกคำโต อยากรู้นัก จะแก้ตัวว่ายังไง”
นภัสรพีถอนใจสีหน้าหนักใจ “ดารา ไปตามเด็กสองคนนั้นมาหาพ่อที”
ครู่ต่อมานภดาราเดินนำ พเยียกับกอหญ้าเดินตาม ทั้งสองต่างมีอาการตื่นเต้น ไม่รู้ว่าจะได้เจอกับอะไร โดยเฉพาะพเยียที่หน้าเครียดเคร่ง
นภัสรพีบอก “นั่งลงสิ ทั้งสองคน”
พเยียกับกอหญ้านั่งลงอย่างเรียบร้อย นภัสรพีวางรูปถ่ายลงบนโต๊ะ
นภัสรพีพูดกับกอหญ้า “ชิษณุพงษ์เค้าเอารูปมาให้ดู ...รูปของเธอสองคน”
พเยียกับกอหญ้าร้องขึ้นพร้อมกัน
พเยียตกใจ “อะไรนะ”
ขณะที่กอหญ้าดีใจ “รูปของหนูเหรอคะ”
ทั้งสองสาวเอื้อมมือคว้าพร้อมกันโดยไม่ตั้งใจ แต่กอหญ้าหยิบไปได้ก่อน ดูอย่างตื่นเต้น
“ต้องเป็นหนูแน่ๆ รูปหนูจริงๆ ด้วย” กอหญ้าหันมาถามชิษณุพงษ์ “ที่นี่ที่ไหนคะ”
“โบสถ์ที่เชียงใหม่ เธอกับคุณพเยียเคยอยู่ที่นั่นมาด้วยกัน” ชิษณุพงษ์ว่า
กอหญ้าหันไปมองหน้าพเยีย
“ฉันนึกอยู่แล้ว ว่าคุณต้องรู้จักฉันมาก่อน” กอหญ้าบอก
นภดาราถามทันที “แต่ทำไมพเยียต้องทำเป็นไม่รู้จักกอหญ้าด้วย”
พเยียนั่งนิ่ง สมองพยายามคิดหาทางเอาตัวรอด
นภาจรีเสริม “ไม่ใช่แค่ทำเป็นไม่รู้จัก แต่เธอยังโกหกตำรวจ ว่ากอหญ้าขอลงไปทำธุระข้างทาง ทั้งๆ ที่เขาอยู่ในรถกับเธอตลอดเวลา จนกระทั่งรถคว่ำ”
กอหญ้ามองหน้าพเยียอย่างแปลกใจ เพิ่งรู้เรื่องพเยียโกหกตำรวจ ชิษณุพงษ์มองเยาะ ยิ้มหยัน เพราะรู้อยู่แล้ว
นภดาราคาดคั้น “ทำไมต้องทำอย่างนั้นด้วยลูก”
นภัสรพีถามคาดคั้นเสียงดัง “เธอมีอะไรปกปิดพวกเราอยู่หรือเปล่า พเยีย บอกมา”
พเยียยังนิ่ง เครียดแทบหัวจะระเบิด คิดหาทางออกให้ตัวเอง
นภดาราต่อว่าอย่างผิดหวัง เสียใจ
“พเยีย ตอบแม่มา นี่มันไม่ใช่เรื่องเล็กๆ นะลูก หนูทิ้งกอหญ้าเอาไว้ที่นั่น ถ้าคุณอิศรไม่ไปเจอเข้า กอหญ้าคงตายไปแล้ว หรือถ้าหากคนที่ไปเจอไม่ใช่คุณอิศร แต่เป็นคนร้าย ป่านนี้กอหญ้าจะเป็นยังไง”
“เป็นเพื่อนกัน โตขึ้นมาด้วยกันแท้ๆ ทำไมเธอถึงทิ้งเพื่อนได้ลงคอ” นภัสรพีต่อว่า
นภดาราเสียใจมาก “แม่นึกไม่ถึง ว่าลูกของแม่จะเป็นคนใจร้ายอย่างนี้ ลูกมีเหตุผลอะไร พเยีย”
กอหญ้าฟังอยู่นาน ตัดสินใจถาม “ฉันเคยทำอะไรคุณเหรอคะ คุณพเยีย คุณถึงได้เกลียดฉันขนาดนั้น”
นภาจรีมองพเยียอย่างจับผิด “หรือว่าเธออยากให้กอหญ้าตาย ทำไม”
นภัสรพีเสียงดัง “พเยีย! ตอบมา!”
พเยียน้ำตาไหล แล้วค่อยๆ สะอื้นแรงขึ้นๆ แรงขึ้น จนน้ำตาไหลพรากๆ นภดาราตกใจ
“พเยีย ลูกเป็นอะไร”
พเยียพูดปนสะอื้น ดูน่าสงสารมาก
“หนู...หนูกลัว” ทุกคนฟัง แปลกใจ “หลังจากรถคว่ำ หนูฟื้นขึ้นมา มีแต่คนตายรอบตัวไปหมด หนูเห็นกอหญ้านอนจมกองเลือด หนูนึกว่ากอหญ้าตายไปแล้ว”
พเยียทำหน้าสยดสยอง กอหญ้าและทุกคนฟังอย่างตั้งใจ
“หนูไม่รู้จะทำยังไง หนูกลัว หนูเลยรีบมาหาคุณแม่”
นภัสรพีซักถามต่อ “แล้วทำไมตอนที่ตำรวจมาสอบสวน เธอไม่พูดความจริง”
“พอตำรวจเค้าบอกว่ากอหญ้าหายไป หนูไม่รู้ว่าเค้าหายไปได้ยังไง หนูกลัวตำรวจจะเอาผิดหนู หนูเลย...”
พเยียสะอื้นฮักๆ จนต้องหยุดเล่า นภดาราใจอ่อน ลงไปนั่งประคองปลอบพเยีย นภัสรพีมองดูนิ่งๆ นภาจรีมองอย่างไม่เชื่อใจ
ชิษณุพงษ์ถามขึ้น ยังไม่หมดความสงสัย
“แต่พอคุณรู้ว่ากอหญ้ายังไม่ตาย ทำไมคุณไม่ดีใจ แต่กลับทำเป็นไม่รู้จักเพื่อนของคุณเอง”
ทุกสายตาจับจ้องไปที่พเยีย พเยียตอบทั้งน้ำตา ท่าทางน่าสงสาร
“กอหญ้าก็ความจำเสื่อมไปแล้วนี่ ฉันจะไปรื้อฟื้นอีกทำไม...” พเยียขดตัวเข้าหากันท่าทีตื่นตระหนก ร้องไห้อย่างเจ็บปวด “เรื่องวันนั้นมันเหมือนฝันร้าย พเยียไม่อยากจำมันเอาไว้ ไม่อยากพูดถึงมันอีก พเยียอยากลืม อยากลืม”
พเยียร้องไห้สะอึกสะอื้น นภดารากอดพเยียที่ตัวสั่น ลูบหัวปลอบโยนด้วยความสงสาร เชื่อทุกอย่าง
นภาจรีเมินหน้า เบื่อหน่าย ชิษณุพงษ์กับกอหญ้าไม่แน่ใจ
นภัสรพีมองนิ่ง ชั่งใจ ใคร่ครวญครุ่นคริด
ไม่นานต่อมาชิษณุพงษ์ไหว้ลานภดาราที่เดินออกมาส่งหน้าบ้าน กอหญ้าเดินมาด้วย
“ไม่โกรธผมนะครับ คุณอาดารา ผมแค่ต้องการช่วยกอหญ้า ไม่ได้ต้องการจะทำร้ายจิตใจคุณพเยีย”
“ไม่หรอกจ้ะ อาเองก็อยากช่วยหนูกอหญ้าเหมือนกัน” นภดาราหันมาทางกอหญ้า “น่าเสียดาย ที่พเยียไม่รู้ว่าเธอลงมากรุงเทพฯ ทำไม มาหาใคร คนที่รู้ก็เสียชีวิตไปหมดแล้ว”
ชิษณุพงษ์บอกกับกอหญ้า “ฉันอยากพาเธอไปเชียงใหม่ มันอาจจะมีใครที่จำเธอได้ หรืออย่างน้อย การได้กลับไปที่นั่น อาจจะทำให้ความทรงจำของเธอกลับคืนมาก็ได้”
“คิดว่ายังไงจ๊ะ กอหญ้า” นภดาราถาม
“ขอเวลาหนูอีกซักหน่อยนะคะ ขอคิดอะไรให้รอบคอบก่อน” กอหญ้าหันมาทางชิษณุพงษ์ “แต่ยังไงก็ขอบคุณมาก ฉันเชื่อแล้วว่าคุณเป็นเพื่อนของฉันจริงๆ”
“ถ้าพร้อมเมื่อไหร่ก็บอกแล้วกัน ฉันจะมาเยี่ยมเธอบ่อยๆ ฉันจะทำทุกอย่างให้เธอจำอดีตของเราให้ได้เร็วๆ”
ชิษณุพงษ์พูดอย่างมีความหมาย กอหญ้ายิ้มอ่อนๆ ไม่รับรู้อะไร
ชิษณุพงษ์ไหว้ “ผมลาครับ คุณอา” พลางยิ้มให้กอหญ้า “แล้วจะมาเยี่ยมบ่อยๆ นะ”
ชิษณุพงษ์เดินออกไปที่รถ นภดาราโอบเอวกอหญ้าอย่างรักใคร่ กอหญ้ากอดตอบอย่างสนิทใจ
พเยียยืนมองเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นจากด้านหลังสามคน สีหน้ากังวลหนัก
อิศรอยู่ในห้องทำงาน นั่งอ่านแบบแปลนของโครงการรีสอร์ทที่จะสร้างใหม่ตรงที่ดินเชิงเขาที่เชียงใหม่ ใจหวนไปคิดถึงเหตุการณ์ที่กอหญ้าเคยมาวิงวอนตน
“คุณพ่อคุณร่ำรวย ท่านคงมีที่ดินเยอะแยะ แต่เด็กพวกนี้ เค้าไม่มีที่อยู่ที่ไหนอีกแล้ว .. ฉันไหว้ล่ะ คุณช่วยขอร้องคุณพ่อคุณ ให้สงสารพวกเค้าหน่อยได้ไหมคะ”
“คุณพ่อผมไม่เคยสงสารใครหรอกคุณ อีกอย่าง ลองท่านอยากจะทำอะไร ใครก็ห้ามท่านไม่ได้”
“พ่อคุณก็ไม่ต่างอะไรจากคุณ ฉันไม่น่าเสียเวลา อ้อนวอนคนเห็นแก่ตัวอย่างคุณเลย”
อิศรไม่มีสมาธิ ผลักพิมพ์เขียวตรงหน้ากระจายไป ทิ้งตัวลงนั่ง ท่าทีกลัดกลุ้ม
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น อิศรรับอย่างเซ็งๆ
“อิศรพูดครับ” อิศรลุกขึ้น น้ำเสียงแปลกใจและไม่พอใจ “คุณพเยีย”
พเยียอยู่ในห้องนอน ขณะพูดโทรศัพท์
“ฉันมีข่าวจะบอก ตอนนี้กอหญ้าอยู่ที่วังศิวาลัย คุณรีบมาเอาตัวเค้าออกไปซะ ก่อนที่จะโดนใครคาบเอาไปกิน”
พเยียพูดจบก็วางหู อิศรตะโกนลั่น
“คุณพเยีย เดี๋ยวก่อน” พเยียสายตัดไปแล้ว อิศรหงุดหงิด “โธ่เว้ย” อิศรครุ่นคิดตามคำพูดพเยีย “กอหญ้าอยู่ที่วังศิวาลัย มีคนจะมาคาบไป” นึกได้ ก็โมโหขึ้นมา “ไอ้ชิษณุพงษ์! ไอ้ขี้โกง”
อิศรพุ่งออกจากห้องทำงานไปด้วยอาการราวกับพายุสลาตัน
อิศรขับรถแทบจะบินมาจอดในวังศิวาลัย แล้วเดินปึงปังเข้ามาด้านในตรงโถงใหญ่ เจอแม่ชื่นที่กำลังคุมศรีและสาวใช้จัดห้องอยู่
“อ้าว คุณ”
อิศรถามสวนออกไปเร็วๆ ประสาคนร้อนใจ “ผมมาหากอหญ้า”
แม่ชื่นไม่ทันตั้งตัว “เอ่อ...คือ...”
อิศรเน้นเสียง “ผมรู้นะครับ ว่าเค้าอยู่ที่นี่ ตอนนี้เค้าอยู่ที่ไหน”
แม่ชื่นตั้งสติได้ ยืดตัวตรง ตอบนิ่งๆ
“อยู่ในสวนกับคุณดาราค่ะ ตอนนี้เธอเป็นแขกของคุณชายนภัสรพี ไม่ทราบว่าคุณต้องการพบเธอเรื่องอะไรคะ ดิฉันจะไปเรียนเธอให้”
แม่ชื่นสบตาอิศรแววตากร้าว เป็นเชิงบอกให้รู้ว่าอิศรจะมาวางอำนาจที่นี่ไม่ได้ อิศรเป็นฝ่ายสงบลง
“ผมมารับเค้ากลับบ้าน”
“รอซักครู่นะคะ”
อิศรนั่งรออยู่ในห้องโถงอย่างร้อนใจ ครู่หนึ่งนภดาราเดินออกมากับแม่ชื่น อิศรรีบลุกขึ้นยกมือไหว้
“คุณอาดารา สวัสดีครับ”
นภดารารับไหว้ “สวัสดีจ้ะ”
อิศรมองหา “กอหญ้าล่ะครับ”
“กอหญ้าให้ฉันมาบอกเธอว่า เค้าจะอยู่กับเราที่นี่” นภดาราบอกเสียงเรียบ
อิศรหน้าบึ้งขึ้นมาทันที ประสาคนเอาแต่ใจ
“ขอผมพูดกับเค้าเองดีกว่า”
“กอหญ้ามีปัญหากับคุณอรรถ กับคุณสกุณา เธอก็ทราบแล้วเธอจะให้กอหญ้ากลับไปที่บ้านนั้นอีกได้ยังไงจ๊ะ” นภดาราบอก
อิศรพูดอย่างถือดี “ผมจะพาเค้าไปอยู่ที่คอนโดของผม”
“ในฐานะอะไร” นภดาราย้อน อิศรอึ้ง “แล้วคนอื่นจะคิดยังไง”
อิศรเหวี่ยง วึดวือพาลตามนิสัยเอาแต่ใจ “คิดยังไงก็ช่าง ผมไม่สน”
แม่ชื่นทนไม่ไหว พูดแทรกขึ้นมา
“คุณเป็นผู้ชาย คุณไม่สนได้ แต่หนูกอหญ้าเป็นผู้หญิงนะคะ”
อิศรชะงักไป นภดาราพูดให้สติ
“กอหญ้าเป็นเด็กกำพร้า ใครๆ ก็ดูถูกแกอยู่แล้ว อิศรอย่าทำให้คุณอรรถดูถูกกอหญ้าไปมากกว่านี้เลยนะจ๊ะ เค้าคิดถูกแล้วล่ะ ที่จะอยู่กับอาที่นี่”
อิศรยอมรับ ไม่มีทางเถียง ในที่สุดก็ได้แต่พูดเสียงอ่อย
“งั้น ขอผมเจอเค้าหน่อยได้ไหมครับ ขอคุยนิดเดียว”
นภดาราพยักหน้ายินยอม
ไม่นานนักอิศรเดินเข้าไปที่ศาลาในสวน กอหญ้าที่นั่งอยู่รีบลุกขึ้นยืนต้อนรับ ทั้งสองต่างดีใจที่เห็นหน้ากัน
“กอหญ้า” อิศรเข้าไปจับมือบีบแน่น “เป็นยังไงบ้าง”
“สบายดีค่ะ”
“รู้ไหม ฉันตามหาเธอแทบไม่ได้หลับได้นอน เป็นห่วงแทบตาย”
กอหญ้าตื้นตัน ดีใจ “ขอโทษค่ะ”
ทั้งสองมองตากัน กอหญ้ายิ้ม ดึงมือออกอย่างสุภาพ อิศรถาม
“จะอยู่ที่นี่แน่หรือ”
กอหญ้าตัดบท “ไม่เอานะ ไม่เถียงกันเรื่องนี้แล้ว”
“ก็ได้ๆ แต่ฉันก็ยังเป็นห่วงเธออยู่ดี” ลดเสียงเบาลง “ไม่กลัวคุณพเยียจะแกล้งเอาอีกหรือไง”
“กลัวค่ะ แต่คุณอาดารารับปากว่าจะดูแลฉัน”
อิศรพาล พูดแขวะ “แล้วยังมีไอ้ชิษณุพงษ์มาช่วยดูแลด้วย”
กอหญ้าอมยิ้มขำ “คุณอย่าพาลไปหน่อยเลยน่ะ เค้าก็แค่หวังดีอยากจะช่วยฉัน”
“ไม่ต้องไปแก้แทนมัน”
“จริงๆ ค่ะ” หยิบรูปจากกระเป๋ามาอวด “เค้าเอาเอารูปตอนฉันอยู่ที่โบสถ์ที่เชียงใหม่มาให้ แล้วเค้ายังบอกว่าถ้าเค้าเจออะไรที่เกี่ยวกับตัวฉันอีก เค้าจะเอามาให้ เผื่อฉันจะได้จำความหลังได้ซะที”
กอหญ้าพูดด้วยย้ำเสียงสดใส และมีความหวัง อิศรฟังกอหญ้าพูดถึงชิษณุพงษ์อย่างอิจฉานิดๆ
ด้านพเยียแอบยืนมองจากหน้าต่างห้องนอน เห็นกอหญ้ากับอิศรเดินคุยกัน กอหญ้าเดินไปส่งอิศรขึ้นรถ อิศรขับรถออกไป พเยียเซ็งเดินกลับมาที่เตียง
“แกนี่มันกำจัดยากสมชื่อกอหญ้าจริงๆ ฉันจะทำยังไงกับแกดี”
พเยียทิ้งตัวลงนอนเอามือก่ายหน้าผากบนเตียง
“ขืนฉันเล่นงานแกอีก คุณตาเอาเรื่องฉันหนักแน่ แต่ถ้าปล่อยให้แกอยู่สบายๆ อย่างนี้ แกอาจจะหาย จำตัวเองได้ขึ้นมาซักวัน”
พเยียคิดเครียด เสียงเคาะประตู
“คุณหนูขา”
“อะไรอีก”
พเยียลุกเปิดประตูอย่างรำคาญ ศรีส่งโทรศัพท์ไร้สายให้
“โทรศัพท์ถึงคุณหนูค่ะ”
“ใครโทร.มา คุณอิศรเหรอ”
“ไม่ใช่ค่ะ เป็นผู้ชาย บอกว่าเป็นเพื่อนคุณหนู ชื่อคุณนภดล”
พเยียช็อก ตัวแข็งทื่อคว้าโทรศัพท์มาแล้วปิดประตูใส่หน้าศรีดังปัง!
พเยียใจสั่น ลนลานหนัก มองดูโทรศัพท์ในมือ แล้วตัดสินใจรับสาย
“ฮัลโหล พเยียพูด”
นพดลพูดโทรศัพท์
“โอ้โห กว่าจะรับได้” นพดลตัดพ้อ
“พี่โทร.มาทำไม แล้วรู้ได้ไงว่าฉันอยู่เบอร์นี้”
นภดลประชด “เบอร์โทร.วังศิวาลัยมันจะไปหายากตรงไหนคะ คุณหนูพเยีย...แหม ได้ดิบได้ดี ได้เป็นลูกหลานเศรษฐีไม่มีส่งข่าวกันเลยนะ”
พเยียตกใจ ตัวเย็นวาบ “นี่...นี่พี่รู้”
ที่แท้นพดลนั่งคุยโทรศัพท์อยู่บนมอเตอร์ไซค์ที่จอดอยู่หน้าวัง
“พี่อยู่หน้าวังนี่แหละ พเยียบอกให้อีพวกบ่าวไพร่มันมาเปิดประตูรับพี่หน่อย หิวน้ำจะแย่อยู่แล้ว”
พเยียยิ่งตกใจมากกว่าเดิม
“ไม่ ไม่ได้”
นภดลไม่พอใจ “อะไรนะ”
พเยียรีบตัดบท “พี่รออยู่ข้างนอกนั่นแหละ เดี๋ยวพเยียออกไป แค่นี้นะ”
พเยียกดวางสาย ใจเต้นโครมคราม
“เรื่องนังกอหญ้ายังไม่จบ อีพี่นพเสือกโผล่มาอีกคน แล้วจะทำยังไงดีวะนี่”
พเยียเดินแกมวิ่ง เหลียวหน้าเหลียวหลัง ท่าทางมีพิรุธออกจากห้อง ก่อนจะวิ่งลงบันได และสวนกับกอหญ้า ที่หยุดยืนมองอยู่อย่างสนใจ
“คุณพเยีย” พเยียชะงัก กอหญ้าเห็นพเยียสะพายกระเป๋า “จะไปข้างนอกเหรอคะ”
“มันเรื่องของฉัน แกไม่ต้องมายุ่ง”
พเยียวิ่งสวนลงไปอย่างรีบร้อน กอหญ้ามองตามอย่างสงสัย
โปรดติดตาม "แผนรักแผนร้าย" ตอนที่ 6