xs
xsm
sm
md
lg

แผนรักแผนร้าย ตอนที่ 2

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


แผนรักแผนร้าย ตอนที่ 2

กลางดึกคืนนั้น ในขณะที่อิศรกลับมาถึงบ้าน และเดินเข้าไปในห้องรับแขก เขาเห็นอรรถผู้เป็นบิดายืนหน้าบึ้งรออยู่

“พ่อ”
“นี่มันกี่โมงกี่ยามกันแล้ว”
อิศรเหลียวไปเห็นสกุณานั่งอยู่ที่โซฟา อดแขวะไม่ได้
“อย่าบอกนะพ่อ ว่าหน้ามืดตามัวถึงขั้นไม่รู้เวล่ำเวลา”
“นี่!” อรรถโมโห พยายามข่มใจ “ฉันพูดกับแกดีๆ นะ เจ้าอิศร”
สกุณาลุกขึ้นมายืนข้างอรรถ ทำท่าเป็นแม่เลี้ยงเต็มที่
“ที่ถาม เพราะเราเป็นห่วงคุณนะคะ คุณอิศร...วันนี้ฝนตกหนัก ตัวคุณก็ชอบขับรถเร็ว คุณพ่อคุณท่านก็เป็นห่วงว่า...”
อิศรสวนคำทันควัน “ผมจะรถคว่ำตาย” พลางหันมายิ้มเยาะให้สกุณา “ยังครับ ผมไม่ตายง่ายๆ หรอก ยังไงก็ต้องอยู่ผลาญมรดกก่อน คนอื่นอย่าหวัง” หันมาทางอรรถ “วันนี้พอแค่นี้ก่อนนะ พ่อ เหนื่อย...ง่วง”
อิศรเดินหนีขึ้นชั้นบนไป สกุณาหันไปเล่นงานอรรถ
“ดูลูกชายคุณพูดกับฉันสิคะ คุณอรรถ ไม่มีความเกรงใจเลย”
“ขนาดผมมันยังไม่เกรง” อรรถส่ายหัว อย่างระอา “วันหลัง คุณก็อย่าไปพูดกับมัน สกุณา ผมเองก็ไม่ไหวแล้ว ไอ้ลูกคนนี้”
อรรถเดินหนีไปอีกคน ทิ้งสกุณายืนโมโหอยู่คนเดียว
“คนยะโสโอหังอย่างคุณ มันต้องพลาดเข้าซักวัน ถึงทีของฉันเมื่อไหร่ ฉันจะเอาคืนให้สาสม คุณอิศร”

เช้าแล้ว แต่พเยียยังนอนอยู่ แสงสว่างที่ส่องเข้ามาทางหน้าต่าง ทำให้พเยียเริ่มรู้ตัว ลืมตาขึ้นมาบิดขี้เกียจ แล้วก็ต้องตกใจ เมื่อเห็นนภดารานั่งมองตาแป๋วอยู่ข้างเตียง เฝ้าดูอยู่อย่างแสนรัก
พเยียลุกพรวดอย่างตกใจ
“ว้าย”
นภดาราก็ตกใจ
พเยียตวัดเสียง ไม่พอใจนิดๆ “นี่เข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ มาทำไม”
“แม่เข้ามาปลุกหนู เห็นว่าสายแล้ว แม่ทำให้หนูตกใจใช่ไหมคะ” นภดาราหน้าสลดลง “แม่ขอโทษนะคะ แม่ไม่ได้ตั้งใจ แม่แค่คิดถึงหนู”
พเยียไม่ซึ้งสักนิด แอบถอนใจเบื่อ มาโหมดนี้อีกแล้ว นภดารารำพันซาบซึ้ง
“แม่เห็นหน้าหนูได้วันเดียว หนูก็หายไป สิบกว่าปีที่ผ่านมา แม่คิดมาตลอดว่าหนูจะหน้าตาเป็นยังไง”
นภดาราน้ำตาคลอ มองใบหน้าของพเยีย อย่างแสนรัก พเยียมองอาการของนภดาราอย่างอ่อนใจ คิดในใจ
“ยัยนี่ท่าทางจะคิดถึงลูกจนบ้า”
“ลูกสาวของแม่น่ารักเหลือเกิน”
นภดาราจะเข้ามากอดอีก พเยียหลบ เปลี่ยนเรื่อง
“พเยียหิวจังเลยค่ะ มีอะไรกินมั่งคะ”
แม่ชื่นเปิดประตูเข้ามาพอดี มีสาวใช้ยกถาดอาหารตามมา
“อาหารเช้าของคุณหนูค่ะ”
สาวใช้เอาถาดวางให้ถึงเตียง ในถาดเป็นอาหารเช้าแบบอเมริกันหรูหราน่ากินสุดๆ พเยียยิ้มชอบใจ
“โห เหมือนในหนังเลย พเยียกินเลยนะคะ คุณแม่”
พเยียลงมือกินอย่างตะกละตะกราม ไร้มารยาท นภดารามองเอ็นดู หันไปพูดขำๆ กับชื่น
“คุณหนูคงจะหิวมากน่ะจ้ะ แม่ชื่น”
ชื่นพยักเพยิดไป “ค่ะ คงจะหิวมาก”

ในตอนกลางวันสาวใช้เดินนำตำรวจ 2 นายเดินเข้ามาในบ้าน นภัสรพีเดินออกมาต้อนรับ
“สวัสดีครับ คุณชาย”
“สวัสดีครับ สารวัตร เชิญเข้าไปดื่มกาแฟข้างในก่อนดีกว่า” นภัสรพีหันไปบอกสาวใช้ “ไปตามคุณดารากับคุณหนูลงมา บอกว่าฉันเชิญ”
“ค่ะ คุณชาย” สาวใช้เดินออกไป

นภดาราเดินจูงพเยีย ซึ่งสวมใส่เสื้อผ้าชุดใหม่ แต่เป็นเสื้อผ้าราคาถูกที่พเยียเอาติดตัวมา ตรงไปที่ห้องรับแขก แม่ชื่นเดินตามมาด้วย
นภดาราถามชื่น “คุณพ่อมีธุระอะไรกับยัยหนูหรือจ๊ะ ชื่น”
“ชื่นก็ไม่ทราบค่ะ ยังไงคุณสองคนก็รีบไปดีกว่า อย่าให้คุณชายท่านรอ”
ไม่นานนักพเยียเดินตามหลังนภดาราเข้าไปในห้องรับแขก นภัสรพีเห็น ลุกขึ้นแนะนำ
“มาแล้ว ดาราพาหลานพเยียเข้ามานี่ซิ”
พเยียมองตาม แล้วต้องชะงัก เมื่อเห็นตำรวจ
“มีเรื่องอะไรกันคะ คุณพ่อ…” นภดารามองตำรวจ “ทำไม…”
“ทางตำรวจเค้าอยากจะสอบปากคำพเยีย เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน” นภัสรพีว่า
พเยียรีบปฏิเสธอย่างลืมตัว “หนูไม่รู้”
นภาจรีซึ่งอยู่ด้วยสงสัย “เอ๊ะ ตัวเองอยู่ในเหตุการณ์ จะไม่รู้ได้ยังไง มานั่งนี่ แล้วเค้าถามอะไรก็ตอบไป”
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ พเยีย ไม่ต้องตกใจ หนูก็แค่ให้การตามความจริงเท่านั้น ไปค่ะ”

นภดาราพาพเยียเข้าไปนั่ง พเยียเสียวหลังวาบ ท่าทางไม่สบายใจ

ครู่ต่อมาทุกคนนั่งฟังพเยียเล่าเรื่องที่เกิดขึ้น ท่าทางเหมือนยังเสียขวัญอยู่มาก

“อยู่ดีๆ ฟ้าก็ฟาดเปรี้ยงลงมา คุณปราบก็หักหลบอะไรซักอย่าง แล้วรถก็หมุนติ้วเลยค่ะ แล้วก็ไปกระแทกกับต้นไม้ข้างทาง…”
ตำรวจซัก “แล้วยังไงอีกครับ”
“พเยียกระเด็นออกมาจากรถ พอลุกขึ้นได้ ก็เห็นแต่...” พเยียทำท่าขนลุกขนพอง “โอ๊ย พเยียไม่เล่าได้ไหมคะ พเยียไม่อยากนึกถึงมันอีก”
ตำรวจมองพเยียอย่างเห็นใจ แล้วหันไปพูดกับนภัสรพีอย่างเกรงใจ
“ผมต้องขอโทษด้วยนะครับที่มารบกวน แต่คุณพเยียเป็นพยานคนเดียวที่อยู่ในที่เกิดเหตุ ผมก็ต้องมาสอบสวนตามหน้าที่”
นภัสรพีบอก “ไม่เป็นไร ตามสบายเถอะ ผมเข้าใจ”
ตำรวจถามต่ออย่างเกรงใจ “ยังมีอีกเรื่องนึงครับ คือ ทางโบสถ์ยืนยันว่ามีเด็กสาวชื่อ กอหญ้า เดินทางมากับคุณแม่ยุพาด้วย แต่ในที่เกิดเหตุไม่มีร่องรอยอะไรเลย คุณพเยียทราบมั้ยครับ ว่าเธอหายไปไหน”
พเยียตกใจหลุดปาก “อะไรนะ นังกอหญ้าหายไป จะหายไปได้ยังไง”
ตำรวจดีใจ “หมายความว่าคุณกอหญ้าอยู่ในรถด้วยจริงๆ ใช่ไหมครับ แล้วเกิดอะไรขึ้นกับเธอครับ เธออยู่ที่ไหน”
ถูกทุกคนจับตามอง พเยียพูดตะกุกตะกัก
“คือ...เค้า...เค้า” พเยียนึกได้ “พเยียไม่ทราบค่ะ เค้าขอแวะลงข้างทาง แต่ไม่ได้บอกว่าจะไปไหน”
ตำรวจซักอีก “ลงข้างทาง แถวไหนครับ”
พเยียหน้าตาอึกอัก
“พเยียไม่รู้ค่ะ นึกไม่ออก” แล้วแกล้งทำเป็นปวดหัว “โอ๊ย พเยียปวดหัวค่ะพเยียคิดอะไรไม่ออกแล้ว”
นภดารารีบกอดพเยียไว้อย่างปลอบโยน มองตำรวจเหมือนจะตำหนิ แต่พูดด้วยอย่างสุภาพ
“คุณตำรวจคะ ดิฉันว่าพอแค่นี้เถอะ ตอนนั้นพเยียแกคงขวัญเสียมากคงจะจำรายละเอียดอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้หรอกค่ะ”
ตำรวจพยักหน้าอย่างเกรงใจ นภาจรีกับนภัสรพีสบตากันโดยไม่ได้ตั้งใจ

เวลาเดียวกันที่ห้องพักฟื้นของกอหญ้าในโรงพยาบาล อิศรเดินไปเดินมาอยู่ข้างๆ เตียงกอหญ้า บางทีก็เดินมาชะโงกหน้าดูกอหญ้าที่เตียง เหมือนจะเร่งให้ตื่น เหมือนเด็กใจร้อนที่ไม่ชอบรออะไร อิศรเอานิ้วจิ้มๆ ที่แขนกอหญ้า เหมือนพยายามจะปลุก
“นี่ ยังไม่ยอมฟื้นอีกเหรอยัยตัวแสบ จะนอนไปถึงไหนห๊ะ”
อิศรมองกอหญ้า แต่กอหญ้านอนนิ่ง อิศรอมยิ้ม เอานิ้วเขี่ยแก้มกอหญ้าเล่นอย่างมันเขี้ยว
“ไงล่ะ หมดฤทธิ์เลยล่ะสิ”
อิศรมองกอหญ้าอย่างเผลอไผล ก่อนจะค่อยๆ ก้มลงเหมือนจะหอมแก้มกอหญ้า
จังหวะนั้นมืออีกข้างของกอหญ้ายกขึ้นมาอย่างไม่ตั้งใจ ชกโดนหน้าอิศร โครม!
อิศรร้อง “เฮ้ย”
กอหญ้าลืมตา จะลุก แต่ปวดแผล
ร้อง “โอย”
อิศรดีใจ “กอหญ้า เธอฟื้นแล้ว”
กอหญ้าเหมือนไม่ได้ยินอิศร มัวแต่อยู่กับอาการปวดของตัวเอง
“อูย ปวดหัว”
อิศรถามอย่างห่วงใย “ปวดมากมั้ย กอหญ้า ให้เรียกพยาบาลไหม”
กอหญ้ามองหน้าอิศร มึนๆ
“ว่าไง กอหญ้า”
กอหญ้ายังงงๆ “ฉันชื่อกอหญ้าเหรอ”
อิศรขำคิกคัก “อะไรเนี่ย หัวแตกแค่เนี้ย ติงต๊องไปเลย ชื่อตัวเองยังจำไม่ได้”
กอหญ้ามองไปรอบๆ ตัว อย่างงุนงง
“ฉันอยู่ที่ไหน” กอหญ้ายกมือคลำแผลที่ศีรษะ “นี่อะไรเนี่ย”
“เธอน่ะรถคว่ำ ฉันไปเจอเข้าพอดี ก็เลยพาเธอมาที่โรงพยาบาลนี่ไง”
กอหญ้าหันมามองหน้าอิศรอย่างสงสัย
“แล้วคุณล่ะเป็นใคร ฉันรู้จักคุณด้วยเหรอ”
คราวนี้อิศรถึงกับอึ้ง เห็นท่าทีกอหญ้าถามอย่างจริงใจ เหวอไปเลย

อิศรอยู่ที่ห้องพักหมอวิชาญ เห็นมีฟิลม์เอ็กซเรย์สมองของกอหญ้าโชว์อยู่บนแผงไฟ
“ศีรษะคนไข้ถูกกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ทำให้คนไข้เกิดอาการความจำเสื่อม”
อิศรเสริม “หมายความว่าตอนนี้เธอจำอดีตไม่ได้เลย”
หมอหนักใจ “ก็ทำนองนั้น สมองคนไข้ตอนนี้เหมือนกับกระดาษเปล่าๆ จะรับรู้ก็เฉพาะสิ่งที่มีคนพูดและทำกับเธอในวันนี้เท่านั้นแหละ”

อิศรมีท่าทางหนักใจ

ทางด้านพเยียเองก็มีท่าทางเป็นกังวลมา หล่อนเดินไปเดินมา ผุดลุกผุดนั่งอยู่ในห้อง

“นังกอหญ้าไม่ได้อยู่ที่เกิดเหตุ แล้วมันหายไปไหนของมัน แปลว่ามันยังไม่ตายเหรอ แต่ถ้ามันยังไม่ตาย แล้วทำไมมันไม่มาที่นี่ ทำไมมันไม่ไปแจ้งตำรวจ”
พเยียคิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก กลุ้มใจ
“ตกลงมันตายหรือไม่ตายกันแน่ ถ้ามันไม่ตาย เราจะทำยังไงดี”
พเยียเครียดหนัก มีเสียงเคาะประตูห้อง พเยียหันไปตวาดแว้ด
“ใคร” แต่ต้องชะงัก เมื่อเห็นนภดาราเปิดเข้ามา
“แม่เองจ้ะ” นภดาราเข้ามาในห้อง ปิดประตู “แม่มีเรื่องอยากพูดกับหนู”
พเยียมองนภดาราด้วยความหวาดระแวง
“เรื่องอะไรคะ”
“เรื่องอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นเมื่อวาน...” นภการาทอดเสียงอ่อนโยน แต่จริงจัง “พเยียมีอะไรอยากจะบอกแม่หรือเปล่าจ๊ะ”
พเยียอึ้ง เสียงสั่นแบบคนมีพิรุธ
“ม..ไม่มีอะไรนี่คะ”
“ไม่มีอะไรแล้วทำไมหนูจะต้องกลัวลนลานขนาดนั้น”
พเยียใจหล่นวูบ คิดว่าโดนจับได้ หลบตานภดาราไปอีกทาง สมองคิดหาทางเอาตัวรอด
นภดาราเดินเข้ามาทางด้านหลัง พูดด้วยน้ำเสียงปลอบโยน
“แม่ผ่านเรื่องร้ายๆ มาเยอะ แม่พอจะเดาได้ อย่าปิดแม่เลยจ้ะ”
พเยียที่ยืนอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง มองนภดาราผ่านกระจกอย่างชั่งใจ ขณะที่มือค่อยๆ เอื้อมไปหยิบตะไบเล็บมากำไว้แน่น เพื่อใช้เป็นอาวุธ นภดาราเดินเข้ามาหาพเยียจากทางด้านหลัง
พเยียถามเสียงเย็น “คุณแม่คิดว่ามันเกิดอะไรขึ้นเหรอคะ”
นภดาราจับพเยียหันมาเผชิญหน้า พเยียหันมา ซ่อนมือที่กำตะไบเล็บเอาไว้ด้านหลัง
“หนูเป็นคนเดียวที่รอด แต่คนอื่น คนที่หนูรักต้องตายไป โดยที่หนูไม่ได้ช่วยอะไรเขาเลย มันทำให้หนูรู้สึกผิด ใช่ไหม”
พเยียนิ่ง รู้สึกเหมือนเรื่องจะไม่เป็นอย่างที่กลัว
“มันเป็นอุบัตเหตุนะ ลูก แม่ไม่อยากให้หนูเก็บมันเอามาทรมานจิตใจตัวเอง เหมือนที่แม่เคยเป็น”
พเยียมองหน้านภดาราชัดๆ เห็นแต่ความรักท่วมท้น พเยียคลายความกังวลใจลงยิ้มออก
“ค่ะ คุณแม่”
“แม่ไม่อยากหนูจะไม่คิดถึงเรื่องคืนนั้นอีก อยากให้ลูกเลิกหวาดกลัวแล้วมีแต่ความสุข”
พเยียโล่งอกมากขึ้น “ค่ะ... พเยียจะลืมทุกอย่าง พเยียจะมีแต่ความสุข” ยิ้มประจบ “แต่คุณแม่ต้องรักพเยีย ตามใจพเยียมากๆ นะคะ”
“จ้ะ พเยียอยากได้อะไร แม่จะตามใจทุกอย่างทุกอย่างเลยจ้ะ”
พเยียกอดอ้อนนภดารา
“พเยียอยากได้เสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า นาฬิกา เครื่องเพชรด้วย คุณแม่ซื้อให้พเยียนะคะ”
นภดาราหัวเราะ สุขใจมาก “ได้เลยจ้ะ ทุกอย่างในโลกนี้ที่เงินซื้อได้ แม่จะซื้อให้พเยียทุกอย่างเลยจ้ะ”
สองแม่ลูกกอดกัน พเยียยิ้มร้ายออกมาบอกตัวเองในใจ
“นังกอหญ้า ทุกอย่างที่นี่ ต้องเป็นของฉัน ต่อให้แกไม่ตาย ก็อย่าหวัง ว่าฉันจะคืนให้แก”

ค่ำวันนั้นที่ศาลาวัดแห่งหนึ่ง มีการจัดงานศพปราบ มีคนเดินเข้าออกประปรายบนศาลา นภัสรพีนั่งอยู่ที่โซฟาด้านหน้า อร ภรรยาของปราบส่งถุงกำมะหยี่ที่ใส่ล้อกเก็ตให้ นภัสรพีอย่างนอบน้อม
“ตำรวจพบล็อกเก๊ตอันนี้อยู่ในกระเป๋าเอกสารของคุณปราบค่ะ ดิฉันจำได้ว่าเป็นตราประจำตระกูลของศิวาวงศ์ ก็เลยนำมาคืนให้คุณชาย”
นภัสรพีมองดูล็อกเก๊ต ครุ่นคิดในใจ

“ล้อกเก็ตที่ทำขึ้นใหม่ยังอยู่ที่ปราบ ก็เท่ากับว่า ล้อกเกตของพเยียเป็นของจริง”
เสียงของปราบแว่วเข้ามาในความคิด
“ผมเจอคุณหนูครับ คุณหนูตัวจริง ลูกสาวของคุณนภดาราครับ! คุณหนูมีทั้งล้อกเก็ต มีทั้งแหวนรูปดาว เธอเป็นลูกสาวของคุณนภดาราตัวจริงแน่นอนครับ”
นภัสรพีครุ่นคิด ในใจ
“ปราบเจอลูกสาวของนภดาราแล้วแน่ๆ เขากำลังพาตัวเธอกลับมา เด็กคนนั้นใช่พเยียหรือเปล่า ถ้าไม่ใช่ แล้วจะเป็นใคร”

กอหญ้านั่งอยู่บนเตียงคนไข้ปวดหัวจี๊ดขึ้นมา
“โอ้ย ปวดหัว”
อิศรเปิดประตูเข้ามาเจอพอดี รีบเข้ามาดู
“นี่ แอบคิดมากอีกแล้วใช่ไหม .. ฉันบอกแล้วไง ว่าให้หยุดคิดก่อน เธอยังไม่หายดี อย่าเพิ่งสงสัยอะไรนักเลย”
กอหญ้าดื้อดึง “แต่ฉันอยากรู้นี่ ว่าฉันเป็นใคร ทำอะไร อยู่ที่ไหน” ว่าแล้วเอามือทุบหัวตัวเอง“ทำไมฉันจำอะไรไม่ได้เลยล่ะ แล้วบ้านฉันล่ะคุณ บ้านฉันอยู่ที่ไหน”
“ก็คิดไม่ออก แล้วจะไปคิดทำไม เธอน่ะเพิ่งจะฟื้นนะ” อิศรแกล้งพูดขำๆ เหมือนเป็นเรื่องเล็ก “สมองมันอาจจะยังไม่เข้าที่ก็ได้ นอนพักก่อนเถอะน่า เดี๋ยวก็คิดออกเองแหละ...นะ”
อิศรประคองให้กอหญ้านอนลง กอหญ้าหลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน อิศรเปลี่ยนสีหน้าจากยิ้มๆ มาเป็นคิดหนัก จะทำอย่างไรต่อไปดี

วันต่อมา ที่โรงพยาบาลจักษุที่ทันสมัยที่สุด ภายในโรงพยาบาลดูโอ่โถง ธีมสีในโรงพยาบาลเป็นสีขาวทั้งหมด ตัดกับสีโครเมี่ยมของอุปกรณ์ตกแต่งภายอย่างลงตัว
ภายในห้องพักฟื้นคนไข้ ชิษณุพงศ์ที่ตาทั้งสองข้างปิดไว้เหมือนคนเพิ่งผ่าตัดตา ในห้องปิดม่านเกือบทั้งห้อง ให้แสงเข้ามาได้น้อยที่สุด หมอค่อยๆ แกะผ้าพันแผลออกจากตาชิษณุพงศ์ มีเจ้าแสงโชติ เจ้ามลุลี เจ้าพ่อกับเจ้าแม่ ลุ้นตื่นเต้นอยู่ข้างๆ หมอกำลังจะแกะผ้าปิดตาชิ้นสุดท้ายออก
“หลับตาไว้สักครู่นึงก่อน อย่าเพิ่งลืมตานะครับคุณชิษณุพงศ์”
ชิษณุพงศ์ตื่นเต้นสุดๆ แต่ยังไม่ลืมตา
“ครับ”
หมอแกะผ้าปิดตาเสร็จ
“เอาละครับ นับ 1-10 แล้วค่อยๆ ลืมตา ช้าๆ นะครับ”
ชิษณุพงศ์ค่อยๆลืมตาช้าๆ แรกๆ เห็นเป็นภาพพร่ามัว ที่ค่อยๆ เริ่มชัดขึ้นทีละน้อย ทีละน้อย เจ้าแสงโชติ กับเจ้ามลุลีมองหน้ากันแบบลุ้นๆ
“ชิษณุ เป็นไงบ้างลูก” ผู้เป็นพ่อถามในอาการตื่นเต้น
ชิษณุพงศ์เห็นหน้าพ่อแม่อย่างเต็มตาหลังจากที่ตาบอดมานาน ดีใจ ตื้นตันใจจนบอกไม่ถูก
“เจ้าพ่อ เจ้าแม่”
เจ้าแสงโชติ กับเจ้ามลุลีโผเข้ามากอดชิษณุพงศ์
“ชิษณุ เป็นไงบ้างลูก มองเห็นแล้วใช่มั้ย” เจ้ามลุลีถาม
ชิษณุพงศ์พยักหน้า
“เห็น แต่ยังไม่ชัดนักครับ”
“อีกนานไหมครับ หมอ กว่าลูกผมจะมองเห็นเป็นปกติ”
“ซักสองสัปดาห์ครับ ถ้าอยากหายเป็นปกติเร็วๆ ก็ต้องถนอมสายตามากๆ ห้ามดูทีวี ห้ามโดนแดดแรงๆ แล้วก็ระวังอย่าไปจ้องแสงจ้าๆ เด็ดขาด อ้อ แล้วพวกโทรศัพท์มือถือหรือคอมพิวเตอร์ ก็งดไปก่อนซักพักนะครับ”
ชิษณุพงศ์ถามอย่างร้อนใจ “แล้วเมื่อไหร่ผมถึงจะเดินทางได้ครับ คุณหมอ”
มลุลีแปลกใจ รีบถาม “ลูกจะไปไหนเหรอจ๊ะ”
“ผมจะไปเชียงใหม่ครับ ผมอยากไปหากอหญ้า”

หนุ่มผู้เคยพิการทางสายตา บอกบิดามารดาอย่างมุ่งมั่น

แผนรักแผนร้าย ตอนที่ 2 (ต่อ)

ด้านนภดาราเดินยิ้มแจ่มใสเข้ามาในห้องพเยีย ชื่นเดินตามหลังมาด้วย

“จะไปหรือยังจ๊ะลูก”
พเยียแต่งหน้าอยู่หน้ากระจกหันมายิ้มแย้ม
“ไปซีคะ พเยียอยากได้เสื้อผ้าใหม่ๆ จะแย่แล้ว” พเยียปาทิชชูลงบนโต๊ะ บอกชื่น “เก็บให้ด้วยนะ”
พเยียคล้องแขนนภดาราเดินเชิ่ดออกไป
แม่ชื่นมองไปที่โต๊ะเครื่องแป้งอย่างปลงๆ เห็นตล้บแป้งเปิดอ้า หวี ลิปสติกทิ้งเกลื่อนกลาด แล้วสายตาไปสะดุดที่สร้อยกับล็อกเก็ตของพเยียที่วางกองทิ้งๆ ไว้ที่โต๊ะแต่งตัว ชื่นหยิบขึ้นมาดู

นภาจรีถือสร้อยของพเยียอยู่ในมือ
“ไหนว่าใส่ติดตัวมาตั้งแต่เด็ก แล้วทำไมถอดทิ้งไว้”
“บอกตรงๆนะคะ ชื่นรู้สึกแปลกๆ ยังไงก็ไม่ทราบกับคุณพเยีย ท่าทาง การพูดการจา มันดู”หญิงชรานึกหาคำพูด “ไม่น่าจะเป็นลูกของคุณดารา เลยจริงๆ”
นภาจรีตัดสินใจอย่างรวดเร็ว
“ชื่น รีบไปบอกให้วินัยเอารถคันใหญ่ออก ฉันจะไปช้อปปิ้งกับดาราด้วย”

นภดารากับพเยียยืนรอรถอยู่ที่มุขหน้าตึก รถตู้คันใหญ่ของวังศิวาลัยวิ่งเข้ามาจอดเทียบหน้ามุข วินัยคนขับรถวิ่งลงมาเปิดประตูด้านหลัง
นภดาราขำๆ “เอารถคันใหญ่ออกเลยเหรอจ๊ะ” หันมาบอกพเยีย “สงสัยวินัยคงรู้ว่าลูกสาวแม่กะจะไปเหมาของทั้งห้าง”
จังหวะนั้นนภาจรีเดินกรีดกรายยิ้มออกมา พเยียหุบยิ้มทันที เพราะไม่ชอบนภาจรี
“อาจะไปด้วยน่ะจ้ะ ดารา”
นภดาราแปลกใจ ปนดีใจ “เราไม่ได้ไปไหนมาไหนด้วยกันนานแล้ว วันนี้อาหญิงนึกยังไงคะ”
นภาจรียิ้ม แต่ดวงตาที่มองพเยียเฉียบคม เหมือนมีแผนจะทำอะไรบางอย่าง
“ก็นึกสนุกขึ้นมาน่ะซี .. ไป ขึ้นรถเถอะ จะได้รีบไป”
นภาจรีก้าวขึ้นรถไปก่อน นภดารากับพเยียก้าวตามขึ้นไป รถเคลื่อนออกไปอย่างช้าๆ

ทุกคนอยู่ในรถ พเยียนั่งมองสองข้างทางไปเรื่อยๆ แต่นภดาราเอะใจ
“เอ๊ะ วินัย ทำไมไปทางนี้ล่ะ ฉันจะไปซื้อของนะ”
“อาสั่งเค้าเองแหละจ้ะ”
รถแล่นไปถึงป้ายโรงพยาบาล วินัยเลี้ยวรถเข้าไปในโรงพยาบาล นภดารากับพเยียแปลกใจ
“คุณอาหญิงจะมาโรงพยาบาลทำไมเหรอคะ”
นภาจรียิ้มๆ “อาอยากให้พเยียตรวจร่างกาย”
พเยียปฏิเสธ “ตรวจอะไรคะ พเยียไม่ได้เป็นอะไรซะหน่อย”
นภาจรีจ้องหน้าพเยีย “ฉันอยากให้เธอตรวจดีเอ็นเอ”
พเยียตกใจสุดขีด คาดไม่ถึงว่าจะเกิดเหตุการณ์นี้ นภดาราเองก็ตกใจ และไม่เห็นด้วย
“คุณอาหญิงคะ มันไม่จำเป็นเลย”
นภาจรีพูดตรงๆ กับนภดารา “ดารากับลูกน่ะจากกันไปตั้งสิบแปดปีนะ เธอเคยเห็นหน้าลูกครั้งเดียวก็ตอนแบเบาะ เธอจะแน่ใจได้ยังไง อาเลยอยากจะตรวจดีเอ็นเอเสียให้มันเรียบร้อยไป”
รถจอดหน้าตึกผู้ป่วยนอก ของโรงพยาบาล ประตูรถเปิดออก นภาจรีพยักเพยิดให้นภดาราลงไป สองแม่ลูกอึ้งๆ พเยียหน้าเสีย นภดารามองพเยียอย่างไม่สบายใจ เป็นห่วงความรู้สึกพเยีย

นภาจรีก้าวลงจากรถ
“ลงมาซีจ๊ะ”
นภดาราเดินลงมา พเยียจำใจต้องลงตาม นภาจรีจะเดินนำไป พเยียยื้อแขนนภดาราเอาไว้ บอกจริงจัง
“ไม่นะคะ คุณแม่ พเยียไม่ไป”
นภาจรีหันขวับมา
“อะไรนะ”
พเยียฮึดสู้ ปฏิเสธขาแข็ง “พเยียบอกว่าไม่ พเยียไม่ตรวจอะไรทั้งนั้น ไม่!”
นภาจรีฉุน “นี่ เธอ”
นภดาราส่งเสียงขึ้นอย่างนุ่มนวล แต่จริงจัง
“ตามใจพเยียเถอะค่ะ คุณอาหญิง เราไม่จำเป็นต้องตรวจอะไรทั้งนั้นหลานมั่นใจว่าพเยียเป็นลูกของหลาน หลานจะไม่บังคับให้แกตรวจดีเอ็นเอ ถ้าแกไม่ต้องการ”
นภาจรีไม่พอใจนัก “ก็แล้วทำไมจะต้องให้บังคับกัน ถ้าหากเธอสองคนมั่นใจ ว่าเป็นแม่เป็นลูกกัน” นภาจรีมองหน้าพเยีย “แล้วเธอจะกลัวอะไร”
นภดาราปราดเข้าขวาง ปกป้องพเยียเต็มที่
“หลานไม่ได้กลัวค่ะ แต่ที่ผ่านมา พเยียเจ็บช้ำมามาก ต้องกลายเป็นเด็กกำพร้า ถูกแม่ของตัวเองทอดทิ้ง แล้วเรายังจะมาตั้งแง่ สงสัยแกว่าไม่ใช่ลูกของหลานอีกเหรอคะ”
นภาจรีเห็นคนที่ผ่านไปมาเริ่มมอง ชักไม่พอใจ ลดเสียงลง ดุๆ
“อย่าทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ได้ไหม ดารา”
นภดาราย้ำคำหนักแน่น แต่เสียงสุภาพ “คุณอาหญิงต่างหากล่ะค่ะ ที่ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ ใครจะครหานินทาก็ช่างปะไร หลานมั่นใจ ว่าพเยียคือลูกของหลาน
“แต่พเยียก็เป็นทายาทของศิวาวงศ์ด้วย ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะตั้งคำถาม ว่าเธอเป็นใครมาจากไหน แทนที่จะคอยปกป้องลูก จากเสียงซุบซิบนินทา ทำไมเธอไม่พิสูจน์ให้มันชัดเจนไป เพื่อที่ลูกสาวของเธอจะได้เป็นพเยีย ศิวาวงศ์ ได้อย่างสง่างาม”
นภดาราอึ้งไป ได้คิดว่านภาจรีก็มีเหตุผล
นภาจรีสำทับ “กะอีแค่ตรวจเลือดเท่านั้น มันไม่ง่ายกว่าห้ามคนนินทาลูกสาวเธอหรือ นภดารา”
นภดารานิ่ง ท่าทางเห็นด้วย พเยียเห็นแล้ว ตกใจ โวยวายยทันที
“ไม่นะคะคุณแม่ พเยียไม่ตรวจ คุณยายเล็กทำแบบนี้ เท่ากับรังเกียจพเยีย หาเรื่องพเยีย”
“ไม่ใช่นะลูก คุณยายเล็กหวังดี”
พเยียสวนขึ้นมา “ไม่! พเยียไม่ตรวจ ไม่”
พเยียจะวิ่งหนี นภดาราคว้ามือไว้
“พเยียจะไปไหน ฟังแม่ก่อน”
“ไม่!”
พเยียสะบัดแขนอย่างแรง จนนภดาราเซล้ม พเยียวิ่งออกไปไม่เหลียวหลัง
“พเยีย ลูกจะไปไหน พเยีย”
นภดาราลุกขึ้น จะตาม แล้ววิงเวียนซวนเซไปอีก

นภาจรีเข้าไปประคองนภดาราอย่างเป็นห่วง และเหลียวมองไปยังพเยียทีวิ่งหนีลับตาไปอย่างสงสัยสุดๆ

ขณะเดียวกันที่ออฟฟิศของอิศร ซึ่งเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่

ตรงทางเดินในบริษัทเย็นนั้น สุบรรณ ชายหนุ่มท่าทางอารมณ์ดีขี้เล่น เดินนำพนักงานที่หอบถุงช้อปปิ้งขนาดใหญ่จากห้างหรู จำนวนเกือบ 50 ถุง เดินตามหลังมาเป็นขบวน ผู้คนมองตามกันใหญ่สายตาฉงน
จนมาถึงหน้าห้องทำงานอิศร สุบรรณเคาะประตู แล้วเปิดเข้าไป
“ของที่สั่งมาแล้วคร้าบบบบ คุณอิศร”
อิศรรีบออกมาดู เห็นของเรียงรายเต็มทางเดิน
“ครบทุกอย่างตามที่สั่งใช่ไหม สุบรรณ”
สุบรรณเอารายการขึ้นมาดู “เสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า ชุดชั้นใน สบู่ ยาสีฟัน เครื่องสำอาง น้ำหอม ต่างหู สร้อย นาฬิกา ชุดราตรี ชุดกีฬา ชุดนอน ครบตามที่สั่งครับ”
อิศรยิ้ม พอใจ “ดีมาก แกเอาไปไว้ที่บ้านฉัน เอาไปให้พรนะ ฉันสั่งเค้าไว้แล้ว ว่าจะต้องทำยังไงต่อ”
“ผมเดินซื้อของให้คุณอิศรจนขาลาก ใจคอจะไม่บอกผมซักคำเหรอครับว่าของพวกเนี้ย คุณอิศรจะเอาไปให้สาวที่ไหน”

ซึ่งพอสุบรรณฟังจบก็ตกใจมาก
“พระเจ้าช่วย กล้วยทอดด้วย เอางั้นเลยเหรอครับ แน่ใจนะครับคุณอิศร”
“แน่ใจสิวะ ทำไม แกมีปัญหาอะไร”
“ผมน่ะไม่มีหรอกครับ แต่คุณอิศรอ่ะ มีแน่ๆ ถ้าเกิดเค้ารู้ความจริงขึ้นมาโดนหลายข้อหาเลยนะครับ ทั้งหน่วงเหนี่ยวกักขังทำให้ขาดอิสรภาพ ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง”
อิศรเบรกทันที “นี่ หยุดเลย หยุดพล่ามได้แล้ว ทำเป็นรู้มาก จบกฎหมายมาหรือไง”
สุบรรณงอน “เตือนดีๆ ก็ว่า ถ้าเกิดเรื่องอะไร อย่ามาหาว่าสุบรรณไม่เตือนนะครับ”
“ฉันรู้น่าว่าทำอะไรอยู่ แกน่ะไปได้แล้ว เอาของไปเก็บที่บ้านฉันด้วย”
“แล้วถ้าใครต่อใครถาม ว่าเสื้อผ้าข้าวของพวกนี้มันของใคร คุณอิศรจะให้ผมตอบว่ายังไงครับ”
อิศรอึ้ง นิ่งคิดตาม

ตกคืนนั้น ในห้องพักฟื้นของกอหญ้า อิศรเดินเข้ามาตรงหน้ากอหญ้าบอกชัดคำ
“เราเป็นแฟนกัน”
เห็นกอหญ้านิ่งฟัง หน้าตาไม่เชื่อที่อิศรพูด
“จริ๊ง เรากำลังจะหมั้นกันด้วย”
หน้ากอหญ้ายิ่งไม่เชื่อมากขึ้น
“ฉันว่ามันไม่น่าจะใช่นะ ฉันรู้สึกว่า ฉันไม่มีทางเลือกคนอย่างคุณเป็นแฟนแน่ๆ ยิ่งกำลังจะหมั้นกันด้วยเนี่ย ไม่น่าเป็นไปได้อ่ะ”
“ตอนนี้เธอประสาทกลับอยู่ จะไปรู้อะไร จริงๆแล้ว เธอรักฉันมาก.....” อิศรลากเสียงเว่อร์ กอหญ้ามองหน้าอิศรเขม็ง “เธอเป็นคนจีบฉันก่อนด้วยซ้ำไป”
กอหญ้ามองหน้าอิศร สำรวจจิตใจตัวเอง แล้วส่ายหัว
“ไม่จริง เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด”
อิศรกวน “อ้ะ งั้นลองคิดซิว่าความจริงคืออะไร แล้วเธอเป็นใคร”
กอหญ้าคิดไปคิดมา แล้วส่ายหน้าอย่างหมดหวัง “เป็นไปได้ไงเนี่ย ทำไมสมองฉันมันถึงว่างเปล่าอย่างงี้” หันขวับไปใส่อิศรทันที “คุณเห็นฉันไม่สบายเลยฉวยโอกาสเอาอะไรต่ออะไรมายัดใส่สมองฉันใช่มั้ย คุณหลอกฉัน หาว่าฉันเป็นแฟนคุณ”
อิศรรีบโวยวายกลบเกลื่อน
“โห ตัวเองสวยตายแล้วนี่ ฉันถึงต้องมาแอบอ้างเอาเธอเป็นแฟน นี่! จะบอกให้นะ ถ้าฉันไม่ได้เป็นคนดีขนาดนี้ล่ะก็ ฉันทิ้งเธอไปแล้ว ถามหน่อย แฟนความจำเสื่อมน่ะ มันน่ารักตรงไหนไม่ทราบฮะ”
กอหญ้าหมดปัญญาจะเถียง ได้แต่ค้อนขวับ
“ไม่รักก็อย่ารัก ฉันไม่เห็นจะง้อ”
อิศรยิ้มหน้าทะเล้นใส่
“อย่างอนน่า ใครว่าฉันไม่รักเธอล่ะ อย่าคิดมากนะ ไอ้โรคสมองติงต๊องของเธอเนี่ย เดี๋ยวมันก็หายเองล่ะ นะ นะ นะ”
อิศรยิ้มให้ กอหญ้ามอง ท่าทางอิศรน่ารักจนกอหญ้าโมโหไม่ลง ได้แต่เมินหน้าไป อิศรมองกอหญ้ายิ้มๆ อย่างเอ็นดู

ส่วนพเยียเดินไปตามถนนอย่างไม่มีจุดหมาย ไปจนถึงป้ายรถเมล์แห่งหนึ่ง พเยียนั่งลงอย่างทุกข์ใจ
“อีนังคุณหญิงมันสงสัยเราแล้ว ถ้าเรากลับไป ต้องโดนจับตรวจดีเอ็นเอแน่ๆ”
พเยียกลุ้มใจมาก
“แต่ถ้าไม่กลับไป แล้วเราจะไปไหน ไปทำอะไรกิน”
พเยียมองไปข้างหน้า คิดหาทางออก สายตามองไปเห็นขอทานนอนอยู่ริมถนน ในมุมมืดของป้ายรถเมล์มีผู้หญิงขายบริการยืนเกาะกลุ่มเรียกคนมาใช้บริการ เห็นชีวิตคนยากจนน่าสมเพช
พเยียลุกขึ้นเหมือนตัดสินใจได้ ดวงตาเป็นประกายวาวโรจน์อย่าท้าทาย
“ไม่ มาถึงขนาดนี้แล้ว อีพเยียไม่ถอยง่ายๆ เอาวะ ลองแลกกันดูซักตั้ง เป็นไงเป็นกัน”

นภัสรพีนั่งเป็นประธานอยู่กลางห้อง หน้าเครียดเคร่ง นภาจรีนั่งอยู่ที่เก้าอี้ตรงมุมหน้าตาบอกบุญไม่รับ นภดาราเข้าไปพูดกับนภัสรพีอย่างจริงจัง
“เราทำอะไรซักอย่างได้ไหมคะ คุณพ่อ”
"พ่อก็ให้คนขับรถตระเวนหาตัวพเยียอยู่ เราคงทำอะไรไม่ได้มากกว่านั้น"
"ตำรวจล่ะคะ"
นภัสรพีปรามและปลอบ "ยังไม่ถึงขนาดนั้นหรอกลูก ทำใจเย็นๆ ไว้ก่อน พเยียคงไม่ถึงกับทิ้ง
แม่แท้ๆ ของตัวเองไป เพราะความโกรธชั่วแล่นหรอกมั้ง"
นภาจรีแทรกขึ้น "นอกจากว่าจะไม่ใช่" 
นภัสรพีดุ "หญิงนภา พี่ขอห้ามไม่ให้เธอแสดงความเห็นอะไรอีก เกี่ยวกับเรื่องนี้"
นภาจรีขัดใจ แต่เกรงใจนภัสรพี สะบัดหน้าเดินออกไปจากหัอง นภดาราพูดอย่างน้อยใจ
“เพราะอาหญิงบังคับให้พเยียตรวจดีเอ็นเอ พเยียถึงได้หนีไปแบบนี้”
“ไม่น่าเลย...ยิ่งทำแบบนี้ ก็ยิ่งน่าสงสัย” คุณชายว่า
นภดาราตัดพ้อ “พเยียคงไม่ทันคิดหรอกค่ะ คุณพ่อ แกก็เป็นแค่เด็กคนนึง แกคงทั้งเสียใจ ทั้งน้อยใจ ที่ตายายแท้ๆ ไม่เชื่อว่าแกเป็นหลาน ป่านนี้ ไม่ รู้ว่าเตลิดไปถึงไหนแล้ว”
นภดาราน้ำตาคลอ
“พลัดลูกพลัดแม่กันมาสิบกว่าปี ลูกไม่นึกเลยว่าจะต้องเสียแกไปอีก” น้ำตาไหลริน “ถ้าแกเป็นอะไรไป ลูกคงอยู่ต่อไปไม่ได้”
นภดาราร้องไห้ออกมา นภัสรพีสงสารลูก จังหวะนั้นชื่นวิ่งหน้าตื่นเข้ามา
“คุณชายขา คุณดารา คุณหนูพเยียกลับมาแล้วค่ะ”
“ไหน ลูกอยู่ไหนจ๊ะชื่น”
“มาถึงก็ไม่พูดไม่จา เดินตรงลิ่วขึ้นข้างบนเลยค่ะ”
นภดาราวิ่งเตลิดออกไป “พเยีย พเยียลูกแม่”

นภดาราวิ่งหนีขึ้นไปชั้นบน นภัสรพีเดินตามไป มองลูกสาวอย่างเวทนา

พอนภดาราเปิดประตูเข้าไป เห็นพเยียกำลังเก็บข้าวของใส่กระเป๋าเสื้อผ้าใบเล็กที่เอาติดตัวมาจากเชียงใหม่

“พเยีย หนูไปไหนมา” นภดาราชะงัก เห็นพยียหันมามองนิ่งๆ “แล้วนี่ทำอะไรจะเก็บของไปไหนจ๊ะ”
พเยียมองนภดาราพูดอย่างเยือกเย็น
“พเยียจะไปจากที่นี่ค่ะ ในเมื่อทุกคนไม่เชื่อว่าพเยียเป็นลูกของคุณแม่ พเยียก็ไม่อยากจะอยู่ ให้ใครมาสงสัย”
นภดาราใจหล่นวูบ “ไม่มีใครสงสัยพเยียหรอกจ้ะ แม่รับรอง”
“ไม่จริงหรอกค่ะ ยิ่งพเยียไม่ยอมตรวจเลือด ทุกคนก็ต้องยิ่งสงสัย ในเมื่อไม่มีใครต้องการพเยีย กลัวว่าพเยียจะมาหลอกลวง กลัวว่าพเยียจะมาทำให้ศิวาวงศ์ต้องแปดเปื้อน พเยียก็จะไป”
นภดาราใจจะขากไม่ยอมให้ไป “ไม่นะ ลูก ไม่”
“ลาก่อนค่ะ คุณแม่”
พเยียหิ้วกระเป๋า เดินออกไปจากห้อง นภดาราวิ่งตามออกไป

พเยียหิ้วกระเป๋าวิ่งลงบันไดมาถึงห้องโถงใหญ่ นภดาราวิ่งตามมา
“พเยีย เดี๋ยวลูก อย่าไปนะลูก อย่าทิ้งแม่ไป”
นภัสรพีเดินเข้ามาขวางหน้าพเยียไว้
“หยุดก่อน พเยีย”
พเยียหยุด เห็นนภาจรีกับชื่นเดินออกมาจากอีกทาง พเยียมองไปที่นภดาราอย่างชั่งน้ำหนัก ก่อนจะพูดขึ้น
“ถ้าที่นี่ไม่มีใครรักหนู ไม่มีใครต้องการหนู ก็ปล่อยหนูไปตามทางดีกว่าค่ะ”
นภดาราตัดสินใจเด็ดขาด เดินไปยืนตรงหน้าพเยีย เผชิญหน้ากับนภัสรพีและนภาจรีด้วยเสียงมั่นคงอย่างตัดสินใจแล้ว
“คุณพ่อคะ คุณอาหญิง พเยียเป็นลูกของดารา ลูกอยู่ที่ไหน แม่อยู่ที่นั่น เราสองคนแม่ลูก จะต้องอยู่ด้วยกัน”
นภัสรพีมองนภดารา เข้าใจว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร พยายามปลอบโยน
“ดารา ไม่มีใครขับไสไล่ส่งพเยียให้ไปจากที่นี่”
“แต่ทุกคนไม่เชื่อแก ทุกคนสงสัยแก ทำอย่างนี้แกจะอยู่ต่อไปได้ยังไงคะคุณพ่อ เป็นลูก ลูกก็คงจะทนอยู่ต่อไปไม่ได้เหมือนกัน” นภดาราสะอื้น “ในเมื่อพเยียอยู่ที่นี่ไม่ได้ ลูกก็อยู่ไม่ได้เหมือนกัน” หันมาหาพเยีย “ถ้าลูกไปที่ไหน แม่จะไปกับลูกจ้ะ” กุมมือพเยียไว้บอกอย่างจริงจัง “เราสองแม่ลูกจะไม่มีวันพรากจากกันอีกแล้ว ในชาตินี้”
พเยียไม่ได้ซาบซึ้งไปกับนภดารา ดวงตามองไปที่นภัสรพี หยั่งเชิง
“ค่ะ คุณแม่ เราสองคนจะไม่พรากจากกันอีก ไปเถอะ ค่ะ”
พเยียกับนภดาราขยับตัว นภัสรพีพูดขึ้นเสียงดัง
“หยุดได้แล้ว ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น” นภัสรพีหันมาทางนภดารา น้ำเสียงจริงจังทว่าฟังดูอ่อนโยนมาก “ดารา พ่อเคยทำลายชีวิตลูกมาแล้ว พ่อจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นอีก พ่อจะทำ ทุกอย่าง เพื่อความสุขของลูก”
นภัสรพีมองหน้าทุกคนเหมือนอย่างจะให้รับรู้โดยทั่วกัน และหยุดสายตาที่หน้านภาจรีแล้วบอกเสียงเข้ม
“ขอให้เรื่องนี้จบแต่เพียงเท่านี้” หันมาทางพเยีย “ตั้งแต่นี้ ฉันขอรับรองว่าเธอคือ พเยีย ศิวาวงศ์”
นภดารายิ้มทั้งน้ำตา ส่วนพเยียยิ้มในหน้า สาสมใจในชัยชนะอันยิ่งใหญ่

เวลาต่อมาสองคนอยู่ในห้องนอนนภาจรี วังศิวาลัย นภาจรีออกอาการหงุดหงิด ขณะบ่นให้ชื่นฟัง
“เด็กคนนี้ฉลาดมาก รู้จักใช้ความรักของนภดารามาเป็นเกราะป้องกันตัวเอง”
แม่ชื่นขัดใจ
“ชื่นสังหรณ์ใจยังไงก็ไม่รู้ค่ะ ว่าซักวันคุณพเยียจะต้องนำความเดือดร้อนมาให้คุณดารา แล้วเราจะทำยังไงต่อไปดีล่ะคะ คุณหญิง”
“ก็พี่ชายเค้าประกาศออกมาโต้งๆ แล้วว่าจบ ฉันจะไม่จบได้ยังไงล่ะ”
แม่ชื่นท่าทางผิดหวัง แต่แล้วนภาจรีก็พูดขึ้นลอยๆ
“แต่ถ้าแม่ชื่นไม่ไว้ใจ ก็จับตาดูเค้าต่อไปสิ”
แม่ชื่นชะงัก เข้าใจทันที นภาจรีทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้บอกต่อ
“ถ้ามีอะไร ค่อยมาบอกฉัน”

เช้านั้นอิศรกำลังจะลงจากรถพร้อมกับสุบรรณ สุบรรณดึงอิศรไว้
สุบรรณอิดออด “คุณอิศรครับ เอาจริงเหรอครับเนี่ย”
อิศรชักหงุดหงิด “อ้าว ก็จริงซีวะ แกจะมาถามอะไรตอนนี้”
“แต่มันเรื่องใหญ่นะครับ อยู่ดีๆ ก็ไปหลอกผู้หญิงที่ไหนก็ไม่รู้ ให้ไปอยู่ที่บ้าน แล้วถ้าญาติพี่น้องเค้าแจ้งความ...”
“วะ ก็ฉันบอกแล้วไงว่าเค้าเป็นเด็กกำพร้า ไม่มีญาติที่ไหนทั้งนั้น”
“ก็แล้วทำไมคุณอิศรไม่ส่งเธอกลับไปที่โบสถ์ล่ะครับ อย่างน้อย ได้กลับไปอยู่กับคนเดิมๆ ที่เคยอยู่ใกล้ตัว เผื่อเธอจะจำอะไรได้เร็วขึ้นนะครับ” สุบรรณบอก
อิศรนิ่งไป นึกถึงเรื่องที่คุยกับหมอวิชาญก่อนหน้านี้

ตอนนั้นหมอวิชาญถามอิศรตรงๆ
“แกแน่ใจเหรอ อิศร ว่าคุณกอหญ้าเค้าประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์”
“ใช่ ฉันขับรถไปเจอรถของเค้าชนต้นไม้ ตัวเค้ากระเด็นออกไปนอนเค้เก้อยู่ข้างถนน ทำไมเหรอ” เห็นหน้าหมอลังเลอิศรรีบถาม “หรือแกมีอะไร”
“คือ...แผลที่หัวคุณกอหญ้าน่ะ มันไม่ได้เกิดจากอุบัติเหตุแน่ๆ มันเหมือนมีโดนไม้แข็งๆ ฟาดมากกว่า” วิชาญบอก
อิศรอึ้ง “ถูกทำร้ายเหรอ ใครกัน” คิดไปคิดมา “โจรงั้นเหรอ”
“ไม่น่าใช่ เพราะของมีค่าก็อยู่ครบ บนตัวไม่มีบาดแผลการต่อสู้หรือโดนทำร้ายเลย ฉันว่า คงต้องเป็นคนรู้จัก คนที่ใกล้ๆ ตัวเค้านั่นแหละ เป็นคนทำ”

หมอวิชาญบอกอย่างมั่นใจ

แผนรักแผนร้าย ตอนที่ 2 (ต่อ)

ครู่ต่อมาสุบรรณกับอิศรเดินมาด้วยกันตรงทางเดินในโรงพยาบาล สุบรรณออกอาการตื่นเต้นเว่อร์

“ว้าว ที่แท้คุณอิศรของผมก็เป็นฮีโร่”
“จะทำยังไงได้ ตอนนี้กอหญ้าเค้าจำอะไรไม่ได้ซักอย่าง ใครดีใครร้ายก็ไม่รู้ ฉันจะปล่อยเค้ากลับไปอยู่คนเดียวได้ไงล่ะ”
“ก็เลยแอบอ้างเอาเค้ามาเป็นแฟนซะเลย ปลอดภัยตายล่ะนั่น”
อิศรตบกบาลสุบรรณ
“ไม่ใช่เรื่องของแก แล้วอย่าพูดมากไปล่ะ อย่าลืมนะ ว่าแกต้องเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ
“ไม่ลืมแน่นอนครับ เจ้านายบอกผมตั้งล้านหนแล้ว”
อิศรมองหน้าสุบรรณอย่างไม่ค่อยจะเชื่อมั่น

เช้าวันต่อมา สุบรรณยืนหน้าจ๋อยอยู่หน้าศาลพระภูมิของโรงพยาบาล อิศรยืนคุมอยู่ข้างๆ
“สาบานซะ” อิศรดุ “เร็ว มัวแต่โอ้เอ้อยู่นั่นละ”
“ก็ได้ครับ” สุบรรณทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ “ผม นายสุบรรณ จะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ ถ้าผมบอกเรื่องนี้ให้ใครรู้ ก็ขอให้ผม...” สุบรรณกลืนน้ำลายไม่อยากจะพูดต่อ แต่ต้องพูด “... มีอันเป็นไป”
อิศรตบไหล่สุบรรณ
“ดีมาก ทีนี้ แกจำได้แล้วใช่มั้ยว่าจะต้องพูดอะไรกับคุณกอหญ้าบ้าง”
“จำได้ครับ”
“ไหนลองพูดให้ฉันฟังซิ”

ไม่นานต่อมา ในห้องพักฟื้นของโรงพยาบาล สุบรรณกำลังพูดให้กอหญ้าฟัง ตามที่ท่องให้อิศรฟังเมื่อครู่
“คุณกอหญ้าเป็นแฟนของคุณอิศรจริงๆ ครับ คุณสองคนน่ะ รักกันหวานแหวว ใครๆ ก็อิจฉาคุณอิศรที่มีแฟนทั้งสวยทั้งน่ารักอย่างคุณ”
กอหญ้าตั้งใจฟังสุบรรณพูด เขม้นตามองพยายามจับพิรุธให้ได้
กอหญ้าถามซัก “แปลว่าเธอรู้จักฉันดี”
“ถูกต้องคร้าบ...” สุบรรณบอกขำๆ
“งั้น...บ้านฉันอยู่ที่ไหน”
เจอเข้าแบบไม่ได้เตี๊ยม สุบรรณเลยอึกอัก “เอ่อ...”
“ตอนที่คุณอิศรกับฉันรักกันหวานแหววน่ะ ฉันอยู่ที่ไหน ทำอะไรอยู่” กอหญ้าคาดคั้น
อิศรเปิดประตูเข้ามาช่วยทันเวลาพอดิบพอดี
“นั่นแน่...คุณอิศรมาแล้ว” สุบรรณชิ่งเลย “งั้น...ให้คุณอิศรตอบคำถามนี้แทนผมละกันนะครับ”
สุบรรณรีบเผ่นแนบออกไป กอหญ้าหันมามองหน้าอิศร
“ฉันไปคุยกับหมอมาแล้ว หมอบอกว่าพรุ่งนี้เธอก็กลับบ้านได้แล้ว”
“บ้านฉันอยู่ที่ไหนล่ะ” กอหญ้าถามทันที
“บ้านเธอน่ะ ไม่มีหรอก มีแต่บ้านของเรา” อิศรบอก เขินนิดๆ
“หมายความว่าไง ไม่มีบ้าน” กอหญ้าหงุดหงิดกับคำตอบของอิศร เลยโวยวายดังลั่น “คนอะไรไม่มีบ้าน นี่คุณหลอกฉันอีกแล้วใช่ไหม อีตาบ้า” จากแค่หงุดหงิดเปลี่ยนเป็นโมโห หญิงสาวหยิบเอาของมาขว้างปาใส่พัลวัน “คุณไปเลยนะ ไปบอกพ่อแม่ฉันให้มารับกลับบ้านเดี๋ยวนี้นะ” กอหญ้าร้องกรี๊ด “ฉันจะกลับบ้าน ได้ยินไหม ฉันจะกลับบ้าน”
อิศรจับมือกอหญ้าเอาไว้ให้หยุดอาละวาด มองหน้ากอหญ้าพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
“กอหญ้า หยุด! ฟังฉันนะ เธอไม่มีบ้าน ไม่มีพ่อแม่ เธอเป็นเด็กกำพร้า!”
กอหญ้าอึ้งไป มองดูแววตาอิศรที่มองมามีแต่ความเห็นใจ เธอรู้ว่าคราวนี้เขาพูดจริง
อิศรพูดเสียงนุ่มนวลท่าทีอ่อนโยน “เธอโตมาในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า พ่อแม่ของเธอตายไปหมดแล้ว เธอไม่มีใครอีกแล้วในโลกนี้...นอกจากฉันคนเดียว”
สีหน้ากอหญ้าสลดลง นิ่งไปอย่างไม่รู้จะทำยังไงต่อไปกับชีวิต น้ำตาค่อยๆ ไหลรินออกมา

อิศรโอบกอดกอหญ้าไว้ด้วยความสงสาร

คืนนั้น ทุกคนอยู่ในห้องนั่งเล่น นภัสรพีลุกขึ้นถามนภดาราด้วยความประหลาดใจ

“ลูกจะจัดงานเลี้ยงเปิดตัวพเยียงั้นเหรอ”
“ไม่ใช่งานใหญ่โตอะไรหรอกค่ะ คุณพ่อ แค่เชิญญาติผู้ใหญ่ พี่ๆ น้องๆ มาเลี้ยงน้ำชา จะได้แนะนำให้ลูกพเยียรู้จักเอาไว้ ในฐานะที่พเยียก็เป็นศิวาวงศ์คนนึงเหมือนกัน”
นภาจรีหันไปมองหน้าพเยีย ที่นั่งประจบอยู่ข้างนภดารา
“นี่คงเป็นความคิดของเธอสินะ”
พเยียแสร้งทำตัวลีบเล็ก เข้าไปกอดแขนนภดาราเหมือนเด็กหาที่พึ่ง แต่แววตาที่มองนภาจรีท้าทายมาก นภดารามองไม่เห็นสีหน้านั้น รีบพูดปกป้องพเยีย
“แต่หลานก็เห็นดีด้วยนะคะ เพราะอยากให้พเยียมั่นใจ ว่าทุกคนที่นี่ ยอมรับแกเป็นลูกเป็นหลานจริงๆ”
นภาจรีหันมองนภัสรพี ไม่เห็นด้วย นภัสรพีมองนภดาราที่มองนิ่งมายังตนด้วยสายตาวิงวอน ในที่สุดก็ตอบตกลง
“ถ้าลูกต้องการอย่างนั้น พ่อก็ตามใจ”
“ขอบคุณค่ะ คุณพ่อ”
พเยียยิ้มในสีหน้า มองนภาจรีอย่างผู้ชนะ

สองพี่น้องอยู่ในห้องทำงานนภัสรพี นภาจรีระเบิดออกมาอย่างไม่พอใจ
“น้องทนไม่ได้! เด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้า มาจากไหนไม่ทราบ จะมาแอบอ้างสวมรอย เป็นหลานสาวของเรา” นภาจรีเข้าไปเซ้าซี้พี่ชาย “ถ้าพเยียเป็นลูกของดาราจริง หนีการตรวจดีเอ็นเอทำไม ทำตัวมีพิรุธขนาดนี้ พี่ชายไม่สงสัยบ้างหรือคะ”
“พี่ก็สงสัย แต่ในเมื่อไม่มีใครมาอ้างตัวเป็นลูกของนภดารา นอกจากพเยีย แถมแกยังมีล็อกเก๊ตเป็นหลักฐาน เราจะปฏิเสธแกได้ยังไง”
นภาจรีพูดประชดด้วยความเสียใจ
“เราเลยต้องยอมรับ ทั้งๆ ที่รู้อยู่เต็มอก ว่าแกไม่ใช่สายเลือดของศิวาวงศ์ งั้นเหรอคะ”
นภัสรพีปลอบน้องสาว และย้ำให้เห็นแก่นภดารา “ก็นึกเสียว่าทำบุญนะ หญิงนภา ทีลูกนกลูกกา ลูกแมวลูกหมาหลงมา เรายังเลี้ยงได้ กะอีแค่เด็กผู้หญิงคนเดียว ถ้าแกทำให้ดารามีความสุขพี่ก็เต็มใจจะเลี้ยงแกต่อไป”

นภาจรีนึกถึงพเยีย พูดอย่างเกลียดชัง
“แต่น้องว่าท่าทางเด็กคนนี้มันเลี้ยงไม่เชื่อง ระวังเถอะค่ะ มันจะแว้งกัดใครเข้าซักวัน”
“เอาไว้ให้ถึงวันนั้นก่อน แล้วพี่จะตัดสินใจเอง ว่าจัดการยังไง”
นภัสรพีพูดอย่างมั่นใจในตัวเอง ว่า “เอาอยู่”

วันต่อมา อิศรขับรถเลี้ยวเข้ามาจอดหน้าประตูบ้าน โดยมีกอหญ้านั่งคู่ ใส่เสื้อผ้าชุดเดิมในวันที่เกิดอุบัติเหตุ
ประตูเปิดออก รถแล่นเข้าไปในคฤหาสน์โอ่อ่าและอาณาบริเวณกว้างขวางระดับบ้านอภิมหาเศรษฐี
กอหญ้าตะลึงค้างกับความโอฬารที่ได้เห็น ไม่ใช่เห่อ แต่เป็นรู้สึกเหลือเชื่อว่าบ้านอะไรจะใหญ่โตขนาดนี้ อิศรขับรถเข้าบ้านไป

อิศรขับรถมาจอดหน้าตึก แล้วลงจากรถแล้วมาเปิดประตูให้กอหญ้า แต่กอหญ้าไม่ลง 2 คน เถียงกันอีก
“ยินดีต้อนรับกลับบ้าน”
“ฉันเคยอยู่ที่นี่เหรอ ฉันไม่เห็นคุ้นเลย”
“ก็เธอความจำเสื่อมอยู่นี่ ลงมาสิ”
กอหญ้าส่ายหัว ไม่ยอมลง
“ลงมา...” กอหญ้ายังไม่ยอมลง “ไม่ลงเหรอ...ได้”
อิศรอุ้มกอหญ้าลงจากรถ
กอหญ้าดิ้น ร้องลั่น “ปล่อยฉันนะ ปล่อย”
“ก็อยากดื้อทำไมล่ะ”
อิศรอุ้มกอหญ้าเข้าไปในบ้าน

ที่มุมหนึ่ง เห็นนันกับนุชคนรับใช้ในบ้าน แอบดูอย่างสอดแนม
“ว้าย นังนุช แกเห็นไหม”
“เต็มตาเลยนังนัน”
“คุณอิศรไม่เคยพาผู้หญิงเข้าบ้านเลย แม่คนนี้เป็นใครกัน” นันสงสัย
“ลองอุ้มกันเข้าบ้านแบบนี้ คงไม่ใช่ธรรมดาแน่ .. แบบนี้มันต้อง...”
นันกับนุชมองหน้ากัน แล้วประสานเสียง “เป็นข่าว”

อีกฟากหนึ่งของกรุงเทพฯ สกุณาพูดโทรศัพท์อยู่ ถามอย่างสงสัย
“ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร เคยเห็นหน้าไหม”
นันคนใช้สายสืบรายงานสด “หนูไม่เคยเห็นมาก่อนเลยค่ะ แต่คงเป็นแฟนคุณอิศรมั้งคะ เพราะท่าทาง อื้อฮื้อ อย่าให้พูดดีกว่า”
สกุณาอยู่ในเสื้อคลุมตัวหลวมๆ อยู่ในห้องที่ตกแต่งคล้ายห้องนวดสุดหรูในสปา แต่จริงๆ แล้วเป็นบาร์โฮสต์ เมมเบอร์คลับสำหรับผู้หญิงโดยเฉพาะ ที่มีผู้ชายให้บริการ
“พูดมา” สกุณาซัก
“ก็คุณอิศรน่ะ ทั้งกอด ทั้งหอม แถมยังอุ้มเข้าบ้าน ทำอย่างกับเจ้าบ่าวอุ้มเจ้าสาวหยั่งงั้นเลยค่ะ คุณสกุณา”
สกุณาวางสาย ครุ่นคิด แววตาร้าย

“คุณอิศรพาแฟนเข้าบ้านอย่างงั้นเหรอ”

จังหวะนั้นวงแขนกำยำยื่นมาโอบรอบตัวสกุณา ที่แท้เป็นนภดลคู่ขาพเยียนั่นเอง ที่ใส่ชุดเสื้อคลุมเหมือนกัน เคล้าเคลียอย่างสนิทสนม

“ทางบ้านมีเรื่องอะไรเหรอครับ คุณพี่”
“ไม่มีใหญ่โตหรอกจ้ะ เรื่องเล็กๆ น้อยๆ พอให้รำคาญใจ”
นภดลโอบสกุณาไปที่เตียง “มา ผมนวดให้ คุณพี่จะได้หายเครียด”
สกุณามองนภดล แววตายั่วยวนเร่าร้อน
“สุดฝีมือเลยนะจ๊ะ นภ แล้วพี่จะตบรางวัลให้”
ขาดคำร่างของทั้งสองทรุดลงบนเตียง ดำดิ่งสู่แดนสุขาวดี

ด้านอิศรอุ้มกอหญ้าเข้าไปในห้องนอนใหญ่หรูหรา วางกอหญ้าลงในห้อง กอหญ้างง
“นี่ห้องฉันเหรอ”
อิศรยิ้มเจ้าเล่ห์ “ฮื่อ นี่แหละ ห้องของเรา”
“อะไรนะ คุณหมายความว่าฉันกับคุณ”
กอหญ้าเอามือชี้ตัวเองและอิศร แล้วชี้ไปที่เตียง สายตามีคำถาม อิศรยิ้มกริ่ม พยักหน้า
“ไม่มีทาง เป็นไปไม่ได้! ไหนคุณบอกว่าเราเป็นแฟนกันไง เป็นแค่แฟนแล้วจะไปอยู่ห้องเดียวกันได้ยังไง” กอหญ้าโวยวาย “นี่คิดจะหลอกฉันอีกใช่มั้ย”
อิศรหัวเราะขำที่กอหญ้าไม่หลงกล
“ไม่ช่ายยย ไม่ได้หลอกซะหน่อย ฉันก็แค่พาเธอมาดู “ห้องของเรา” ห้องที่เธอกับฉันจะอยู่ด้วยกันหลังแต่งงานเท่านั้นเอง” อิศรทำเป็นบ่นๆ “ทำเป็นโวยวายไปได้”
กอหญ้าค้อนขวับ “แล้วห้องฉันอยู่ไหนล่ะ”
ครู่ต่อมาอิศรเปิดประตูห้องอีกห้องให้กอหญ้า
“นี่ไงห้องเธอ”
กอหญ้าก้าวเข้าไปในห้อง เห็นห้องนอนตกแต่งสไตล์ห้องผู้หญิง ทั้งห้องเต็มไปด้วยกุหลาบสีชมพู มีข้าวของเครื่องใช้ครบครัน
กอหญ้าเดินเข้าไปในห้องสำรวจข้าวของเครื่องใช้ในห้องอย่างละเอียด เปิดดูตู้เสื้อผ้าเห็นมีเสื้อผ้าผู้หญิงจัดอย่างเป็นระเบียบเต็มตู้ ทุกอย่างดูใหม่หมด ยังมี tag ราคาติดอยู่
ในห้องน้ำ มีพวกอุปกรณ์อาบน้ำทุกอย่างใหม่เอี่ยม สบู่ก้อนใหม่ แชมพูเต็มขวด ทุกอย่างในห้องนอนเหมือนไม่เคยมีคนอยู่มาก่อนเลย กอหญ้าเดินออกมาจากห้องน้ำ เห็นอิศรยืนยิ้มภูมิใจอยู่ กอหญ้าหมั่นไส้
กอหญ้าแสร้งถามเสียงเรียบให้อิศรตายใจ “นี่เหรอห้องฉัน”
“อึมม์” อิศรพยักหน้า
กอหญ้าซัก “ก่อนเข้าโรงพยาบาลฉันอยู่ห้องนี้เหรอ”
อิศรยิ้มย่อง “ใช่ เริ่มจำได้แล้วใช่มั้ยล่ะ”
กอหญ้าวีนแตก “นี่ นึกว่าฉันปัญญาอ่อนหรือไง ถ้าฉันเคยอยู่ห้องนี้จริงๆ ทำไมของใช้มันถึงได้ใหม่เอี่ยมอย่างงี้ ห๊ะ”
กอหญ้าคว้าแป้งกระป๋องใหม่เอี่ยมที่หน้ากระจกปาใส่อิศร แล้วเปิดตู้เสื้อผ้า คว้าเสื้อออกมา
“เสื้อผ้านี่ก็เหมือนกัน ป้ายราคายังติดอยู่เลย” พลิกดูป้ายราคา “ตัวละหมื่นห้าบ้าไปแล้ว มันไม่ใช่เสื้อของฉันแน่ๆ”
กอหญ้าปาเสื้อราคา 5 หมื่นบาท ใส่หน้าอิศร แต่อิศรปัดป้อง แล้วทำเป็นโมโหกลบเกลื่อน
“ทำไมจะไม่ใช่” โวยเสียงดังกว่า “ของ-ของเธอทั้งนั้น เธอจำไม่ได้เอง”
กอหญ้าเถียงคอเป็นเอ็น “ไม่จริง ใครจะบ้าซื้อเสื้อผ้าแพงๆ แบบนี้”
“ก็เธอน่ะสิ เธอน่ะบ้าชอปปิ้ง ไม่รู้รึไง” อิศรเล่นใหญ่ จัดหนัก รัวเป็นชุด ออสการ์นำชายมาเอง “เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า อะไรออกใหม่เป็นต้องวิ่งไปซื้อ ซื้อมาจนใส่ไม่ทัน ซื้อมาจนไม่มีที่เก็บ พอฉันห้าม ก็หาว่าฉันงก นี่จะบอกให้นะ ตอนที่รู้ว่าเธอความจำเสื่อมน่ะ ฉันภาวนาเลย ขอให้นิสัยช้อปกระจายนี่มันหายไปด้วย ไม่งั้นฉันหมดตัวแน่ ฮึ่ย”
อิศรหยุดหอบพักเหนื่อย กอหญ้าโดนใส่ชุดใหญ่จนเหวอ มองอิศรอย่างไม่ค่อยเชื่อถือ แต่ก็เถียงไม่ออกเพราะจำอะไรไม่ได้
“ฉันเป็นคนแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ” กอหญ้าถามอย่างไม่แน่ใจ
“โอ๊ย ที่แย่กว่านี้ยังมีอีกเยอะ” กอหญ้าหน้าบึ้ง อิศรรีบยิ้มประจบ “แต่ไม่เป็นไร ฉันทนได้” รีบเปลี่ยนเรื่อง “ตอนนี้เธอพักผ่อนก่อนนะ ฉันต้องไปทำงานแล้ว จะเอาอะไรก็บอกพร เค้าเป็นคนรับใช้ของเธอ”
กอหญ้าพยักหน้ารับให้จบๆ เรื่องไป “ฮื่อ”
อิศรเดินมาใกล้ๆ ขโมยหอมแก้ม 1 ฟอด กอหญ้าตกใจ ร้องโวยวาย คว้าของใกล้มือขว้าง อิศรกระโจนออกนอกห้อง หลบทัน ของลอยไปกระทบประตูอิศรค่อยๆโผล่หน้าจากประตู ยิ้มยั่ว
“เย็นๆ เจอกันนะจ๊ะ ที่รัก”
อิศรหลบแว้บไป
“คนบ้า”
กอหญ้าอยู่คนเดียวมองไปรอบๆ ห้อง ก้มลงมองเสื้อผ้าเรียบๆ ชุดเดิมที่ใส่อยู่ แล้วรำพึงขึ้นมา
“ฉันเนี่ยนะ บ้าช้อปปิ้ง”

กอหญ้าไม่เชื่อ และไม่คุ้นเอาเลย

แผนรักแผนร้าย ตอนที่ 2 (ต่อ)

รถแล่นเข้ามาจอดที่บ้านเรือนไทยหลังใหญ่โต สวยงาม โอ่อ่า เจ้ามลุลีและเจ้าแสงโชติลงจากรถ พาชิษณุพงษ์ที่สวมแว่นกันแดด หน้าตาแจ่มใสเดินเข้าบ้าน

“ถึงบ้านเราแล้ว”
เจ้ามลุลีประคองชิษณุพงษ์มา “ค่อยๆ เดินนะลูก ระวัง”
ชิษณุพงษ์มองผู้เป็นมารดาขำๆ “ผมมองเห็นแล้วนะครับ แม่ ไม่ต้องจูงก็ได้”
ชิษณุพงษ์เดินเข้าบ้านมา ถอดแว่นออก หันมองไปรอบตัว ภาพที่มองเห็นยังเบลอๆ และมีแสงพร่าเล็กน้อย ก่อนจะปรับเป็นปกติ เมื่อเห็นใบหน้ายิ้มแย้มของลุงเติมโผล่เข้ามา ยิ้มกว้างทักทาย
“คุณชิษณุ”
ชิษณุพงษ์ดีใจมาก “ลุงเติม”
“ตาเป็นยังไงบ้างครับ” ชายชราถาม
“มองเห็นตีนกาลุงชัดแจ๋วเลยล่ะ แล้วนี่ลุงลงมาจากเชียงใหม่ทำไมเนี่ย”
“เจ้าสั่งน่ะครับ เจ้าให้ผมลงมาอยู่ดูแลคุณที่บ้านกรุงเทพฯ นี่ จนกว่าคุณจะหายดี”
ชิษณุพงษ์ยิ้ม อาการเหมือนเด็กเอาแต่ใจ
“ใครบอกว่าฉันจะอยู่กรุงเทพฯ ลุงเติมมาก็ดีแล้ว พาฉันกลับไปเชียงใหม่ที ฉันจะรีบไปหากอหญ้า”
ลุงเติมอึ้งไป หน้าเสีย เจ้าแสงโชติกับเจ้ามลุลีรีบคัดค้าน โดยทั้งสองท่านไม่สนิทสนมกับกอหญ้า และไม่รู้เรื่องอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น
“ยังไปไหนไม่ได้นะลูก คุณหมอบอกให้ลูกพักให้หายดีก่อน”
“งั้นก็ให้เค้ามาหาผม” ชิษณุพงษ์บอกกับลุงเติม “ลุงเติมไปรับกอหญ้ามา บอกว่าฉันต้องการคนดูแลคนเดิม”
“คงจะไม่ได้หรอกครับ” ลุงเติมบอก
ชิษณุพงษ์งง “ทำไม”
ลุงเติมอึกอัก ไม่อยากพูด ชิษณุพงษ์คาดคั้น
ชิษณุพงษ์ตื่นเต้น รู้ว่ามีเรื่องบางอย่าง “ทำไม ลุงเติม มีอะไร เกิดอะไรขึ้น ทำไมกอหญ้าถึงจะมาหาฉันไม่ได้”
ลุงเติมลำบากใจ

ครู่ต่อมาภายในห้องนั่งเล่น ชิษณุพงษ์นั่งฟังลุงเติมเล่า สีหน้าเคร่งขรึม เจ้าแสงโชติกับเจ้ามลุลีนั่งฟังอยู่ห่างออกไป
“หนูกอหญ้าลงมาทำธุระที่กรุงเทพฯ กับคุณแม่ยุพาครับ ระหว่างทางรถที่นั่งมาเกิดอุบัติเหตุ ทั้งคุณแม่ยุพาทั้งเจ้าของรถ เอ่อ เสียชีวิตทันที”
ชิษณุพงษ์ใจหล่นวูบ “แล้วกอหญ้าล่ะ”
“หนูกอหญ้าหายไปครับ จนถึงตอนนี้ ก็ยังไม่มีใครรู้ ว่าแกหายไปไหน เป็นตายร้ายดียังไง”
ชิษณุพงษ์อึ้ง พูดไม่ออก หน้าตาเสียใจมาก เจ้ามลุลีกับเจ้าแสงโชติมองลูกชายอย่างเป็นห่วง

เย็นวันเดียวกันกอหญ้าค้นลิ้นชักและตู้ต่างๆ ในห้อง พยายามหาสิ่งที่จะบอกถึงอดีตของตน แต่ไม่พบอะไร
“ไม่มีอะไรซักอย่าง กระเป๋าสตางค์ บัตรประชาชน รูปถ่ายซักใบก็ไม่มี นี่เราเป็นใครกันเนี่ย ทำไมมีแต่ตัวเปล่าๆ แบบนี้”
กอหญ้านั่งแหมะลงที่โต๊ะแต่งตัว หยิบบรรดาเครื่องสำอางที่วางเรียงอยู่บนโต๊ะมาดู กอหญ้าเปิดดมกลิ่น ย่นจมูก
“อีตาบ้านั่นหลอกเราแน่ๆ นี่มันห้องของใครก็ไม่รู้”
เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น กอหญ้าเดินไปที่ประตู
“ใครจ๊ะ”
“พรเองค่ะ”
กอหญ้าเปิดประตู ยิ้มให้พร
“มีอะไรจ๊ะ”
พรยิ้มแหยๆ มองกอหญ้าอย่างห่วงๆ
“คุณอรรถกับคุณสกุณาให้มาเชิญคุณกอหญ้าลงไปพบค่ะ”
กอหญ้างง “คุณอรรถกับคุณสกุณา ใครกันอีกล่ะ”
“คุณอรรถคือคุณพ่อของคุณอิศรค่ะ ส่วนคุณสกุณาคือ เอ่อ...คือภรรยาใหม่ของคุณพ่อคุณอิศรค่ะ”
กอหญ้าลำบากใจ

อรรถกับสกุณารออยู่ที่ห้องรับแขก กอหญ้าเดินสำรวมเข้าไป ทั้งสองหันมองกอหญ้าหัวจรดเท้า แววตาจ้องจับผิดเต็มที่ กอหญ้าพนมมือไหว้อรรถและสกุณาอย่างเรียบร้อย
“สวัสดีค่ะ”
“เธอเป็นใคร” อรรถถามเสียงแข็ง
“ฉันชื่อกอหญ้าค่ะ”
อรรถซักต่อ “ลูกเต้าเหล่าใคร มาจากไหน แล้วทำไมถึงมาอยู่ที่นี่”
กอหญ้างงๆ “ฉัน เป็น ...เอ่อ... เป็น...” หญิงสาวกระดากปากที่จะบอกว่าเป็นแฟนอิศร เพราะตัวเองก็ยังไม่แน่ใจ เลยย้อนถามกลับ “ท่านไม่รู้จักฉันหรอกเหรอคะ”
สกุณาแหว เสียงดุ “นี่ ถามก็ตอบดีๆ อย่ามายอกย้อน”
“ฉันไม่ได้ยอกย้อนค่ะ ฉันก็ไม่ทราบเหมือนกัน ว่าตัวเองเป็นใคร” กอหญ้าบอก
อรรถฉงน “อะไรนะ นี่เธอพูดอะไรของเธอ”
“ฉันประสบอุบัติเหตุ แล้วก็ความจำเสื่อมค่ะ คุณอิศรบอกว่าฉันชื่อกอหญ้า เป็นเด็กกำพร้า ไม่มีบ้าน...”
กอหญ้าพูดไม่ทันจบสกุณาพูดสวนขึ้นมา “ที่แท้ก็พวกเด็กมีปัญหา” หันมาแดกดันอรรถ “งามหน้าไหมล่ะคะ ลูกชายคุณ ไปคว้าเด็กข้างถนนเข้าให้”
“อายุไม่เท่าไหร่ ก็แล่นตามผู้ชายมาถึงบ้าน คิดจะจับลูกชายฉันหรือไง”
อิศรเดินเข้ามาทันได้ยินและโกรธจัด
“กอหญ้าไม่ได้ตามผม ผมเป็นคนพาเค้ามาเอง ในฐานะ แฟนของผม”
“ฉันไม่อนุญาติ แกจะเอาผู้หญิงไม่มีหัวนอนปลายเท้าแบบนี้ มาอยู่ที่ บ้านไม่ได้” อรรถเสียงขุ่นใส่
กอหญ้าหน้าเสีย อับอายมาก อิศรเห็นแล้วยิ่งโกรธ
“แล้วทำไมพ่อเอาผู้หญิงหน้าด้าน ไม่มียางอายมาอยู่ในบ้านได้ล่ะครับ”
สกุณาเต้นเร่าๆ กรี๊ด “คุณอรรถคะ”
อิศรชี้หน้าสกุณา “นี่เธอ อุตส่าห์ได้อัพเกรดขึ้นมาเป็นเมียหลวง ไอ้กริยากรี๊ดกร๊าดแบบเมียน้อยนี่เลิกไม่ได้หรือไง หรือว่ามันอยู่ในสันดาน”
อรรถทนไม่ไหว เงื้อมือจะตบอิศร
“ไอ้อิศร”
อิศรจ้องมองอย่างเอาเรื่อง “อย่านะ พ่อ อย่าแม้แต่จะคิด” อรรถลดมือลงจ๋อยๆ “แล้วจำเอาไว้ด้วย ที่นี่ เป็นบ้านของแม่ผม ผมจะพาใครเข้ามาอยู่ก็ได้ เพราะมันเป็นบ้านของแม่ผม!” พลางเข้าไปโอบปกป้องกอหญ้า “และนี่ แฟนผม เค้ามีสิทธิ์มากกว่าคนบางคนที่ยืนเสนอหน้าอยู่ตอนนี้ด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้น ไม่ว่าใคร ห้ามมาวุ่นวายกับกอหญ้าอีก ไม่งั้น อย่าหาว่าผมไม่เตือน”
อิศรจับแขนกอหญ้าพาเดินออกไป
อรรถถูกลูกชายตอกหน้าหงาย พูดไม่ออก สกุณาเจ็บใจที่ทำอะไรอิศรไม่ได้ หันมาระบายใส่อรรถ
“ไงล่ะคะ ลูกชายบังเกิดเกล้าของคุณ เมียเก่าคุณน่ะร้ายนัก ทำพินัยกรรมยกสมบัติให้ลูกชาย มันถึงได้จะเดินเหยียบหัวคุณอยู่เนี่ย”
อรรถโมโหเลยใส่คืนบ้าง

“ที่เป็นแบบนี้ ก็เพราะเค้าจับได้ ว่าฉันเป็นชู้กับเธอไง มาพูดซ้ำซากอยู่ได้ โธ่เว้ย”

ตกกลางคืนกอหญ้านั่งน้ำตาซึมอยู่ที่ระเบียงหน้าห้องนอน อิศรนั่งปลอบใจข้างๆ

“อย่าคิดมากนะ ที่พ่อฉันเค้าเป็นแบบนี้ เพราะมียัยปีศาจสกุณาคอยเป่าหูทุกวัน”
“ฉันไม่โกรธหรอกค่ะ เป็นใครก็คงรังเกียจฉันทั้งนั้น” กอหญ้ามองหน้าอิศรด้วยสายตาวิงวอน “คุณอิศรคะ พูดความจริงกับฉันได้มั้ย อย่าหลอกฉันอีกเลย”
อิศรนิ่ง รู้ว่ากอหญ้าสะเทือนใจมาก ไม่อาจพูดเล่นต่อไปได้
“ฉันไม่เคยอยู่ที่นี่ ข้าวของในห้องก็ไม่ใช่ของฉัน พ่อคุณไม่รู้จักฉัน จริงๆ แล้วฉันเป็นใคร มีเรื่องอะไรที่เป็นเรื่องจริงบ้าง”
อิศรกุมมือกอหญ้า “เรื่องจริงก็คือ เธอเป็นเด็กกำพร้า ชื่อกอหญ้า ก่อนที่จะเกิดอุบัติเหตุ เธอเคยอยู่กับแม่ชีที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่เชียงใหม่”
กอหญ้างง “แล้วทำไมคุณไม่พาฉันกลับไปที่นั่น”
“มันไม่ปลอดภัย” กอหญ้ามอง ไม่เข้าใจ “จริงๆ แล้วแผลที่หัวของเธอ ไม่ได้เกิดจากรถคว่ำ แต่เธอโดนทำร้าย” คราวนี้กอหญ้าตกใจ “มีคนต้องการฆ่าเธอ”
“ฆ่าฉัน” กอหญ้านึกสยอง “ใครคะ ใครกัน”
“ฉันไม่รู้ เธอเป็นคนเดียวที่รู้ แต่เธอกลับจำอะไรไม่ได้ ฉันเลยไม่กล้าเสี่ยงให้เธอไปอยู่ที่ไหน กับใครทั้งนั้น ฉันเป็นห่วงเธอนะ กอหญ้า”
กอหญ้าก้มหน้า เช็ดน้ำตา ยิ่งสลดใจในชะตากรรมของตัวเอง
“แล้วฉันจะต้องอยู่แบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน”
อิศรแอบมองกอหญ้าอย่างอ่อนโยน
“ฉันอยากให้เธออยู่กับฉันอย่างนี้ตลอดไป” กอหญ้าเงยหน้าขึ้นมามอง อิศรรีบซ่อนท่าทีอ่อนโยน “หรืออย่างน้อยๆ ก็จนกว่า เธอจะจำได้ ว่าคนที่ทำร้ายเธอเป็นใคร”

วันต่อมาพเยียหมุนตัวอยู่หน้ากระจกบานใหญ่ กำลังลองสวมชุดเดรสสั้นสำหรับกลางวัน แบบเรียบแต่หรู ดูสวยหวานแบบคุณหนู บริเวณรอบๆ มีเสื้อผ้าชุดอื่นที่พเยียลองแล้วไม่ชอบ เครื่องประดับ กระเป๋า รองเท้า วางเกลื่อนเรียงราย แม่ชื่นเก็บไปพลาง มองพเยียอย่างเซ็งๆ ไปพลาง
นภดาราเข้าไปจัดชุดให้พเยียอย่างรักใคร่
“ลูกสาวแม่สวยจัง” หันมาพูดกับชื่น “จริงมั้ยจ๊ะ แม่ชื่น”
“ค่ะ คุณหนูพเยียสวยคม เข้ม” แม่ชื่นเน้นคำ “ไม่เหมือนคุณดาราเลย”
พเยียจิกหางตามองแม่ชื่นแบบรู้ทัน นภดารามัวแต่ก้มหน้าก้มตาดูชุด ไม่ทันรู้สึกอะไร
“พเยียเค้าเข้มเหมือนกานต์ไงจ๊ะ” แม่ชื่นอ่อนใจ “ลูกสาวเหมือนพ่อน่ะ เค้าว่าวาสนาดีนะคะ แม่ชื่น” หันมาทางพเยีย “แม่ว่าเอาชุดนี้นะลูกนะ สวยแล้ว”
“สวยอะไรคะ เรียบจะตาย ใส่แล้วยังกับแม่ชี”
พเยียเดินไปหยิบแมกกาซีนแฟชั่นที่วางอยู่มาพลิกด้านในให้นภดาราดู เห็นรูปนางแบบเดินแฟชั่นชุดราตรีบนแคตวอล์ก เป็นชุดหรูหราอลังการ พเยียออดอ้อนเสียงหวาน
“พเยียอยากได้แบบนี้น่ะค่ะ คุณแม่” เอานิ้วชี้ๆ ไปตามรูป “หยั่งงี้ๆๆๆๆ เหมือนที่นางแบบเค้าใส่กัน มันต้องแบบเนี้ย ถึงจะสมกับเป็นงานเปิดตัวพเยียหน่อย นะคะ คุณแม่ นะคะ นะค้า”
นภดาราหน้าตาไม่เห็นด้วย แต่เกรงใจพเยียที่รุมเร้าอยู่ แม่ชื่นทนไม่ได้ ขัดขึ้นมา
“แต่นี่มันงานเลี้ยงน้ำชานะคะ คุณหนู งานกลางวัน”
พเยียหันขวับมา จิกตาใส่ “ก็ฉันจะใส่ มันหนักอะไรใครรึเปล่า”
แม่ชื่นผงะ นภดาราตกใจ
“พเยีย”
ชื่นย้อนเสียงเรียบ “ชุดกลางคืนเอาไปใส่กลางวัน...ถ้าจะหนัก ก็คงจะหนักที่คนใส่เองนั่นแหละค่ะ”
“นี่ แกด่าฉันเหรอ นังชื่น”
พเยียหันเข้าใส่แม่ชื่นอย่างลืมตัว นภาจรีที่เดินผ่านมาพอดี ปรี่เข้ามาขวาง
“หยุดนะ พเยีย เธอจะมาขึ้นเสียง ทำฤทธิ์ทำเดชใส่คนที่นี่ไม่ได้” จ้องหน้าพเยีย เน้นทีละคำ “ที่นี่ วังศิวาลัยนะ ไม่ใช่ข้างถนนถ้ารักจะอยู่ที่นี่ ก็ทำตัวซะใหม่”
พเยียมองนภาจรีเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ แต่ไม่กล้าทำอะไร ได้แต่ปาหนังสือลงพื้นดังโครม แล้วเดินกระทืบเท้าเปรี้ยงๆ ออกไป
“พเยีย ลูก”
นภาจรีคว้าแขนไว้
“ไม่ต้องตามไปง้อนะ ดารา เด็กอะไร ก้าวร้าว ไม่มีสัมมาคารวะ ไม่รู้จักมารยาท” นภาจรีเน้นคำตอนท้าย “เหมือนไม่ใช่ลูกชาติลูกตระกูล”
นภดาราย้อนนภาจรีอย่างตัดพ้อ
“ต่อให้เป็นลูกชาติลูกตระกูล ถ้าถูกทอดทิ้ง ปล่อยให้โตขึ้นมาตามยถากรรม ก็คงเป็นเหมือนพเยียทุกคนแหละค่ะ” เห็นนภาจรีชักสีหน้าโกรธ เลยเสียงอ่อนลง “พเยียแกมีปมด้อย น้อยใจว่าไม่มีใครรัก ก็อาจจะก้าวร้าว เจ้าอารมณ์ไปบ้าง ยังไงหลานก็ขอโทษอาหญิงกับแม่ชื่นแทนลูกด้วยก็แล้วกันค่ะ อย่าถือโทษโกรธพเยียเลยนะคะ”
นภาจรีกับชื่นเจอไม้นี้เข้าไป พูดไม่ออก ได้แต่มองหน้ากัน อย่างอ่อนใจ

นภาจรีเดินหน้าหงิกเข้าห้องมา เห็น ปุยฝ้าย - แมวเปอร์เซียสีขาวนอนอยู่บนโซฟา ชื่นเดินตามมาด้วย บ่นอย่างขัดใจ
“พ่อกานต์ก็เป็นคนดีแสนดี คุณดาราเองก็ดี พ่อดีแม่ดี แล้วทำไม๊...ลูกออกมาเป็นแบบนี้ได้ยังไง”
“ก็เพราะมันไม่ใช่น่ะซี แม่ชื่น”
“คุณหญิงก็คิดเหมือนอย่างที่ชื่นคิดใช่ไหมคะ”
นภาจรีพยักหน้า
“นังเด็กคนนี้มันไม่ใช่ลูกของนภดารา มันเป็นแค่กาฝาก มันคงนึกว่าใครแตะต้องมันไม่ได้” น้ำเสียงนภาจรีฟังออกว่าเกลียดพเยียมาก “คอยดูเถอะ แม่ชื่น ฉันนี่แหละ จะกำจัดมันไปให้พ้นจากที่นี่ ไม่ให้มันมาแปดเปื้อนศิวาวงศ์ของเรา”


ที่เรือนไทยของชิษณุพงษ์เวลาเดียวกัน ชายหนุ่มเดินเกือบจะวิ่ง ชนโน่นชนนี่วุ่นวายไปทั่วบ้าน ร้องตะโกนลั่น
“ลุงเติมครับ ลุงเติม ลุงเติมอยู่ไหน”
เติมวิ่งออกมา
“มีอะไรเหรอครับ คุณชิษณุ”
ชิษณุพงษ์เขย่าตัวชายชราอย่างดีใจ “ฉันนึกออกแล้ว ลุง ฉันนึกออกแล้วว่าต้องทำยังไง ฉันจะกลับเชียงใหม่ ไปหาคนที่รู้จักกอหญ้า มันต้องมีใครซักคนที่รู้ว่ากอหญ้าจะไปไหน ลงมาหาใครที่กรุงเทพฯ”
เติมรู้สึกเห็นใจ “ไม่มีหรอกครับ ตำรวจเค้าถามดูแล้ว แม่ยุพาบอกทุกคนแค่ว่าจะพากอหญ้าลงไปทำธุระ”
“แต่พวกนั้นต้องมีรูปกอหญ้า ถ้าฉันรู้ว่าเค้าหน้าตาเป็นยังไง ฉันต้องหาเค้าเจอ”
“คุณครับ ทั้งโบสถ์ ทั้งสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเค้าก็รื้อทิ้งไปแล้ว พวกแม่ชีที่เคยอยู่ที่นั่นก็แยกย้ายกันไปคนละทิศละทาง ไม่มีใครเหลืออยู่ที่นั่น ซักคนเดียว คุณจะไปหาจากใคร”
ชิษณุพงษ์อึ้ง ใจเสีย แต่ยังไม่หมดหวัง
“มันต้องมีสิ ลุงเติม ต่อให้ฉันต้องเดินถามคนทั้งเชียงใหม่ ฉันก็จะทำ ฉันต้องหากอหญ้าให้เจอให้ได้”

ที่โต๊ะกินข้าวมื้อค่ำ ชิษณุพงษ์คุยกับเจ้าแสงโชติและเจ้ามลุลี ทั้งสองพยายามทัดทาน
“เพื่อนของลูกที่ชื่อกอหญ้าหายตัวไป ถ้าเขาไม่ได้เป็นอะไรไป เขาก็อาจจะมีความจำเป็น มีเหตุผลส่วนตัว ที่ไม่อยากให้ใครรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน” เจ้าแสงโชติบอก
“หรือไม่เค้าอาจจะกำลังเดือดร้อน ตกอยู่ในอันตราย”
เจ้ามลุลีแย้ง “หรือไม่ เค้าก็อาจจะลืมลูกไปแล้ว อย่าลืมนะจ๊ะ กอหญ้ากับลูกก็เพิ่งรู้จักกันตอนที่ลูกไปพักฟื้นที่เชียงใหม่ เวลาแค่ไม่กี่เดือน”
ชิษณุพงษ์พูดสวนขึ้นมา “ผมกับกอหญ้าเป็นเพื่อนกัน เค้าไม่มีวันลืมผม เหมือนที่ผมไม่มีวันจะลืมเค้า”
เจ้าแสงโชติพูดเตือนสติ
“แต่เขาก็รู้ ว่าลูกไม่เคยเห็น ไม่รู้จักหน้าตาของเขา ถ้าเขายังไม่ลืมลูกเขาก็น่าจะเป็นฝ่ายติดต่อมา”
“ชิษณุ ตอนนั้นลูกเป็นคนตาบอดนะลูก เขาอาจจะไม่คิดว่าลูกจะหาย เขาอาจจะมีเพื่อนใหม่ไปแล้ว ผู้หญิงที่ไหนเขาจะ...”

ชิษณุพงษ์ลุกพรวดจากโต๊ะ
“ไม่! ไม่จริง! เขาต้องไม่ลืมผม! กอหญ้าต้องไม่ลืมผม”

ชิษณุพงษ์เดินผลุนผลันออกไป

ชิษณุพงษ์เข้ามาในห้องนอน ทิ้งตัวลงบนเตียงอย่างขัดใจ แล้วหันไปเห็นหนังสือเล่มหนึ่งที่หัวเตียง เป็นหนังสือที่ให้แง่คิดดีๆ ชิษณุพงษ์หยิบขึ้นมาเปิดดู ด้านในมีดอกหญ้าแห้งดอกหนึ่งทับเอาไว้

ชิษณุพงษ์หยิบขึ้นมาอย่างทะนุถนอม คิดถึงอดีต

ภาพในความคิดของชิษณุพงษ์ตอนที่ตาบอด จากจินตนาการของเขาเห็นบรรยากาศในทุ่งหญ้าที่มีดอกหญ้าสวยๆ ขึ้นประปราย ลมพัดเฉื่อยฉิว ชิษณุพงษ์กับกอหญ้านั่งบนเสื่อด้วยกัน มีตะกร้าขนมปิคนิคด้วย ชิษณุพงษ์แย่งหนังสือเล่มนั้นจากมือกอหญ้า ที่กำลังอ่านให้ฟัง
“เลิกอ่านเถอะ กอหญ้า” ชิษณุพงษ์โยนหนังสือไปอีกทาง “มาคุยกันดีกว่า” ชวนกอหญ้าคุยเล่นๆ “ชื่อเธอแปลกจัง ทำไมเธอถึงชื่อกอหญ้า”
กอหญ้าตอบด้วยเสียงแจ่มใส เป็นปกติ
“คุณแม่ยุพาบอกว่า วันที่พวกแม่ชีเจอฉัน ฉันโดนทิ้งเอาไว้บนกอหญ้าที่สนามข้างหน้าโบสถ์”
ชิษณุพงษ์รู้สึกผิดนิดๆ ที่ถาม “ขอโทษนะ ฉันไม่รู้”
“ไม่เป็นไร ฉันไม่คิดมากหรอก”
“เธอไม่คิดอยากรู้เลยเหรอ ว่าเธอมาจากไหน พ่อแม่เธอเป็นใคร”
“ไม่ ฉันโชคดีแล้วที่ได้มาเจอคุณแม่ยุพา ได้อยู่ที่นี่ มีชีวิตแบบนี้” กอหญ้ายิ้มชื่น “ฉันพอใจแล้วที่เกิดมาเป็นกอหญ้า”
ชิษณุพงษ์ฟังแล้ว รู้สึกประทับใจ พลอยยิ้มออกมาด้วย
“ฉันอยากเห็นหน้าเธอจัง อยากเห็นว่าคนที่ชื่อกอหญ้า หน้าตาเป็นยังไง”
“เป็นแบบนี้ไง”
กอหญ้าเอาดอกหญ้ายื่นไปแหย่ชิษณุพงษ์ ทั้งสองหัวเราะสดใส

ชิษณุพงษ์ดึงตัวเองกลับมา มองดอกหญ้าแห้งในมือ เศร้า
“ซักวัน เราต้องได้เจอกัน ฉันจะหาเธอให้เจอ กอหญ้า”
ชิษณุพงษ์ยกดอกหญ้าแห้งในมือขึ้นมาแตะริมฝีปากตัวเองเบาๆ

งานเลี้ยงต้อนรับพเยียจัดขึ้นในห้องโถง วังศิวาลัย ตอนกลางวันก่อนถึงเวลาช่วงบ่าย มีการเตรียมงานคึกคัก นักดนตรี 2-3 คนในวง Quartet กำลังลองเสียง เตรียมการแสดงอยู่มุมหนึ่ง พนักงานในเครื่องแบบ เข็นรถที่มีเครื่องแก้วหรูหราผ่านวงดนตรีไป เห็นบรรยากาศกว้างขวางของบริเวณจัดงาน เป็นงานปาร์ตี้เลี้ยงน้ำชาเล็กๆ มีโต๊ะน้ำชา 4-5 โต๊ะถูกจัดตกแต่งไว้อย่างสวยงาม มีรสนิยม สาวใช้ถือแจกันดอกไม้เดินเข้าไปหาแม่ชื่นที่คุมงานอยู่
“แจกันอันใหญ่นี่จะให้ตั้งที่ไหนคะ คุณแม่บ้าน”
“เอาไว้ที่รับแขกตรงด้านหน้าจ้ะ” วินัยคนขับรถเดินผ่านมา “วินัย ขนมปั้นสิบที่สั่งให้ไปรับ เรียบร้อยหรือยัง”
“ครับ คุณแม่บ้าน ผมให้เค้าเอาเข้าไปจัดในครัวแล้ว”
แม่ชื่นพยักหน้าพอใจ นภดาราในชุดสวยงามเป็นพิเศษ เป็นชุดงานเลี้ยงกลางวัน แต่ดูสวยงาม หรูหรา เดินเข้ามาหา
นภดารามองไปรอบๆ สีหน้ากังวลนิดๆ “ทุกอย่างเรียบร้อยดีไหมคะ แม่ชื่น”
“ค่ะ” ชื่นสังเกตเห็นนภดาราหน้าตาแฝงความกังวล “คุณไม่ต้องห่วงค่ะ ชื่นดูแลอย่างละเอียดทุกอย่าง รับรองไม่ทำให้คุณเสียหน้า”
“ฉันไม่ได้ห่วงเรื่องงานเลี้ยงหรอกจ้ะ เชื่อใจแม่ชื่น แต่ว่า...” นภดารานิ่งไป ชื่นมองอย่างสงสัย “คือ... เมื่อคืนฉันฝันถึงกานต์น่ะ”
ชื่นแปลกใจมาก “อุ๊ยตาย ฝันว่ายังไงคะ”
สีหน้าแววตานภดาราดูกังวลมาก “กานต์ย้ำแล้วย้ำอีก ฝากให้ฉันดูแลลูกให้ดี ให้ปกป้องคุ้มครองแก กานต์พูดอย่างกับว่า จะมีใครมาทำอะไรพเยียอย่างนั้นแหละ”
นภดาราพูดอย่างไม่สบายใจ แม่ชื่นฟังแล้วถอนใจอย่างระอา

ตกตอนบ่ายด้านพเยียมองตัวเองในกระจกอยู่ในเสื้อคลุมอย่างหรู แต่งหน้าเสร็จแล้ว ดูใสๆ เป็นธรรมชาติ ช่างผมกำลังทำผมให้พเยียไปได้ประมาณหนึ่งแล้ว
ช่างทำผมท่าทางหน่ายๆ เพราะลบหน้าแต่งใหม่ มาหลายรอบแล้ว ช่างแต่งหน้านั่งอยู่ใกล้ๆ หน้าตาประมาณพยายามข่มใจสุดๆ
พเยียหันซ้ายหันขวา พยายามมองสำรวจหน้าตัวเองในกระจกไปด้วย ช่างผมจับศีรษะให้นิ่ง
ช่างผมบอกเสียงหวาน “อยู่นิ่งๆ สักแป๊บบบบนะคะ คุณพเยีย”
พเยียเลยละความสนใจจากหน้า หันมาดูผมตัวเองจากในกระจก แล้วนิ่วหน้าอย่างไม่ถูกใจ

“ผมเนี่ย ทำแล้วเหรอ ทำไมมันดูหยั่งกับยังไม่ได้ทำ”
“ก็งานกลางวันนี่คะ ทำลอนคลายๆ ให้ดูสลวย เป็นธรรมชาติ” ช่างแนะ
พเยียเอียงไปเอียงมามองเงาตัวเอง มองที่ผมอย่างลังเล
“ไม่เอาอ่ะ ธรรมดาไป เกล้าผมดีกว่า”
ช่างผมหุบยิ้ม หน้าตาอดท๊นอดทน แต่แอบยกหวีแบบจะเอาหางหวีจิ้มศีรษะพเยีย หรือจะเอาหวีโขกให้ พยายามกลั้นใจ ตั้งใจเกล้าผมพเยียให้เสร็จๆ
พเยียดูสีลิปสติกที่ปาก แล้วชั่งใจว่าไม่ชอบ หันขวับไปหาช่างแต่งหน้า ผมหลุดอีก ช่างผมทำหน้าเจ็บใจ แต่ทำอะไรไม่ได้
พเยียบอกกับช่างแต่งหน้า “ลิปสติกสีนี้ก็เหมือนกัน ไม่ชอบอ่ะ หน้าก็จื๊ดจืด แต่งให้มันสวยๆ เด้งๆ เหมือนพวกไฮโซในหนังสือไม่ได้รึไง”
ช่างแต่งหน้าข่มใจสุดๆ “นี่ก็แต่งเยอะแล้วนะคะ”
ช่างแต่งหน้าหันไปทางกระเป๋าเมกอัพ ดึงสำลีหรือแผ่นทิชชูออกมาอย่างแรงแบบระบายอารมณ์ พึมพำ
“หน้ามันโลโซ จะแต่งให้มันไฮขึ้นมาได้ยังไง”
พเยียได้ยินไม่ถนัด แหวใส่ “อะไรนะ” ช่างชะงัก “ฉันได้ยินแว่วๆ แกว่าอะไรนะ แกว่าใครโลโซ”
“เปล่าค่ะ เปล่า”
“ก็ฉันได้ยิน” พเยียลุกพรวดอย่างเอาเรื่อง “แกว่าฉันใช่ไหม”
นภดาราเดินเข้ามาพอดี
“พเยีย อะไรกันลูก”
“ช่างพวกนี้น่ะค่ะ มันว่าพเยียโลโซ”
นภดารามองช่าง ช่างหน้าช่างผมหงอ หลบกันเป็นทาง นภดาราไกล่เกลี่ย
“เป็นไปไม่ได้หรอกจ้ะ หนูเป็นลูกสาวของแม่” ปรายตามองช่าง พูดยิ้มๆ “หนูคือพเยีย ศิวาวงศ์ ใครจะคิดว่าหนูเป็นอย่างนั้นได้ยังไง” นถดาราพูดกับช่างหน้าช่างผม “จริงไหมจ๊ะ”
ช่างหลบตากันวูบวาบ พเยียรู้สึกดี เชิดหน้าขึ้นมา ยิ้มอย่างภูมิใจ

ชิษณุพงษ์นอนหลับตาอยู่บนเตียง ท่าทางเกเรเอาแต่ใจสุดๆ
“ทำไมฉันจะต้องไปด้วย ฉันไม่อยากไป”
ลุงเติมตอบพลาง จัดเตรียมเสื้อผ้าให้ชิษณุพงษ์ไปพลาง
“เพราะเจ้าพ่อของคุณ เป็นญาติกับราชสกุลศิวาวงศ์ เจ้าก็เลยอยากให้คุณกับคุณหนูคนนั้น รู้จักมักจี่กันเอาไว้”
ชิษณุพงษ์หาข้ออ้าง “แต่ฉันยังไม่หายดี ปล่อยเจ้าพ่อไปกับเจ้าแม่สองคนก็พอแล้วนี่”
“แต่ถ้าคุณรู้ว่าคุณหนูคนนั้นเป็นใคร คุณอาจจะเปลี่ยนใจ”
ชิษณุพงษ์ลืมตา ลุกขึ้นนั่ง มองลุงเติม สงสัย สนใจ
“ทำไม”
“คุณหนูคนนั้นชื่อพเยียครับ ก่อนหน้านี้ เธอเคยอยู่ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าของโบสถ์แห่งนึง ที่เชียงใหม่”
ชิษณุพงษ์ตาเบิกกว้าง นึกออก
“พเยีย”

ชิษณุพงษ์นึกถึงเหตุการณ์ในอดีตตอนเจอพเยีย ซึ่งเขายังตาบอดอยู่ เวลาตอนกลางวันของวันนั้นเสียงประตูห้องเปิด ลุงเติมนำพเยียกับกอหญ้าเข้าไป ชิษณุพงษ์ที่นั่งหน้าบึ้งอยู่ที่เก้าอี้หันมาตามเสียง
พเยียเห็นเป็นชายหนุ่มหน้าตาดี รีบดันกอหญ้าออกไปนอกห้อง ส่วนตัวเองเดินตรงเข้าไปหาชิษณุพงษ์ ยิ้มอย่างใส่จริต
“คุณชิษณุพงษ์ใช่ไหมคะ ลุงเติมบอกว่าคุณไม่สบาย ต้องการคนดูแล” เข้าไปเกาะแขนหว่านเสน่ห์ “ตั้งแต่นี้ไป พเยียจะมาดูแลคุณทุกวันเลยนะคะ”
ชิษณุพงษ์สะบัดมือ “ไม่ต้อง ฉันดูแลตัวเองได้”
ชิษณุพงษ์ลุกขึ้นยืน ลุงเติมตกใจ พเยียคว้าแขนไว้
“เดี๋ยวซีคะ จะไปไหนล่ะ ให้พเยียดูแลคุณดีกว่านะคะ”
“ปล่อย อย่ามายุ่งกับฉัน”
ชิษณุพงษ์สะบัด แล้วเดินหนี แต่ไปชนเก้าอี้ ชิษณุพงษ์เซล้ม ข้าวของบนโต๊ะตกกระจาย
ลุงเติมกับกอหญ้าตกใจ “คุณชิษณุ” / “คุณ”
ลุงเติมเข้าไปประคอง ชิษณุพงษ์ยิ่งโกรธ ควานมือเปะปะ พยายามจะลุกเอง แต่มือกลับไปผลักโดนข้าวของล้มอีก พเยียมองอย่างตกตะลึง
“ยี้ หน้าตาดีๆ ตาบอดเหรอนี่”

ลุงเติมส่งการ์ดเชิญให้ดู ชิษณุพงษ์รับมาอ่าน
“พเยีย ศิวาวงศ์”

ชิษณุพงษ์มองหน้าลุงเติม ลุงเติมยักคิ้วให้ เริ่มมีความหวัง ชิษณุพงษ์ยิ้มออกมา

ติดตาม "แผนรักแผนร้าย" ตอนที่ 3
กำลังโหลดความคิดเห็น