เหนือเมฆ2 : มือปราบจอมขมังเวทย์ ตอนที่ 12
บริเวณสวนสนุก ขบวนรถคมศรกับอินทนนท์แล่นเข้ามาใกล้เครื่องเล่นขนาดใหญ่ชิ้นหนึ่ง
บนเครื่องเล่นชนิดนั้น จักร ดาหลา กับสมุน ที่ซ่อนอยู่ภายในนั้น กระหน่ำยิงเข้าใส่ขบวนรถคมศรอย่างบ้าคลั่ง แบบไม่นับ ปัง ๆๆ
“ฮ่าๆๆ” จักรหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
ขบวนรถที่โดนจักรยิงกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง แบบชนิดไม่มีทางมีใครรอด
แสงกล้ากับแพรไพลินขึ้นจากเจ็ทสกี รีบเดินไปทั่วบริเวณเจดีย์ริมแม่น้ำ
“เราต้องหาทางเข้าถ้ำใต้ภูผามหาคีรีให้เจอ ก่อนที่พวกมันจะหลอมศาสตราวุธ
สำเร็จ" แสงกล้าบอก
“แล้วเราจะหาเจอได้ยังไง”
“มันน่าจะมีสัญลักษณ์บางอย่าง... ลองแยกย้ายกันหา”
แสงกล้ากับแพรไพลินแยกกันออกไปเดินหาบริเวณรอบเจดีย์
ที่สวนสนุก จักรยิงกระหน่ำจนกระสุนหมด จักรหัวเราะชอบใจ
“มันก็แค่นี้...ยังสนุกไม่สาแก่ใจเลยโว๊ย”
เบื้องบน ยานบินติดกล้องขนาดเล็ก บินอยู่เหนือกลุ่มของจักรโดยที่พวกจักรไม่รู้ตัว ดาหลาตรงเข้าไปยังขบวนรถ หันมารายงานด้วยสีหน้างง
“ไม่มีใครอยู่บนรถเลยค่ะ !”
บนรถยนต์ไม่มีคนอยู่เลยแม้แต่คนเดียว จักรกับพวกยืนมองด้วยความตกใจ ในรถ... แมลงบังคับกระโดดออกมาจากภายในหลายตัว พุ่งตรงเข้าใส่พวกสมุนของจักรอย่างรวดเร็ว
“เฮ้ยๆๆ อะไรวะเนี่ย” ลูกน้องร้องขึ้น
แมลงบังคับแต่ละตัวระเบิดตูมๆ ๆ ๆ พวกจักรร่วงกันระนาว จักรกับดาหลาตกใจมากมองเหลียวซ้ายแลขวา
“การต่อสู้...มันต้องใช้สมอง มากกว่าใช้กำลัง !”
ยานบินติดกล้องโฉบลงมาทางด้านล่าง ปล่อยระเบิดขนาดเล็กเข้าใส่กลุ่มจักรอีกชุดหนึ่ง ตูมๆๆ จนกำลังพลของจักรเหลือน้อยเต็มที จนการยิงต่อสู้ไปในทิศทางที่สะเปะสะปะ คมศรโผล่ออกมาจากอีกด้านหนึ่ง ยิงต่อสู้กับดาหลา จนดาหลาต้องแยกออกมาจากจักร
แพรไพลินกับแสงกล้าพยายามหาสัญลักษณ์ที่เจดีย์แต่ไม่พบ เธอหันไปบอกเขา
“เราพลาด... พวกมันไม่ได้อยู่ที่นี่”
“ถ้าไม่อยู่ มันต้องเคยมาที่นี่ ที่บริเวณนี้ต้องบอกเราได้ว่าวิญญูจะหลอมรวมศาสตราวุธที่ไหน"
“ถึงตอนนี้...ปาฏิหาริย์เท่านั้นแหละที่จะช่วยเราได้”
แสงกล้านิ่งอย่างใช้สมอง สูดลมหายใจยาวเหมือนกำลังรวบรวมสมาธิทั้งหมด
“ผมนี่แหละ...ปาฏิหาริย์ !”
แสงกล้าก้าวไปหยุดยืนที่กลางลานหน้าเจดีย์ ส่งสายตาจ้องไปยังทั่วทั้งบริเวณเจดีย์กลางน้ำ รอบตัวเขา บังเกิดลมพัดแรงไปทั่วทั้งบริเวณ เขาเห็นเงาร่างของวิญญูที่เคยยืนจ้องดูแผนที่ทางไปถ้ำฯ นั้น
วิญญูยืนอยู่กลางศาสตราวุธ และแสงศาสตราวุธ ที่ระบุว่าถ้ำใต้ภูผาฯ อยู่ที่ไหน
แสงกล้าเคลื่อนตัวเองไปหยุดในตำแหน่งเดียวกับวิญญูที่เคยยืน มองจ้องไปในทิศทางเดียวกับที่วิญญูเคยจ้องมองอยู่
“ผมรู้แล้วว่าถ้ำใต้ภูผามหาคีรีอยู่ที่ไหน !”
แพรไพลินแววตาเบิกกว้างด้วยความตื่นเต้น
ผู้การอินทนนท์กับคมศรต่อสู้ จนสามารถเข้าประชิดตัวจักรกับดาหลาจนทั้งสองต้องจนมุมในที่สุด
คมศรตรงเข้าไปปลดอาวุธจักรกับดาหลา จักรยกมือยอมแพ้ อินทนนท์จ่อปืนทั้งคู่ไว้อย่างระแวดระวัง จักรจ้องหน้าอินทนนท์อย่างไม่เกรงกลัว
“เก่งสมเป็นผู้การอินทนนท์” จักรว่า
“หุบปาก... แกต้องชดใช้กรรมที่ก่อไว้ในคุก” คมศรบอก
“แน่ใจแค่ไหนว่าพวกแกจะล้มวิญญูได้”
คมศรชะงักไปทันที จักรยื่นเงื่อนไข
“ฉันมีข้อต่อรอง ถ้ากันฉันไว้เป็นพยาน ฉันมีวิธีเล่นงานพญามารให้แพ้อย่างไม่มีทางสู้"
คมศรกับอินทนนท์ชะงักไปทันที จักรมองทั้งคู่อย่างเหนือชั้น
ท้องฟ้าเหนืออาคารอะตอมมิค แสงกล้ากับแพรไพลินบินมาเหนือเมฆด้วยเครื่องร่อนพารามอเตอร์แบบสองที่นั่ง ทั้งคู่มองไปทางด้านล่าง เห็นอาคารอะตอมมิครูปร่างแปลกๆ
แสงกล้าหันมาคุยกับแพรไพลิน
“ปรอทกรอของจ่าสมิงไม่เคยพลาด วิญญูอยู่ที่นี่จริงๆ”
“แล้วทำไมเราไม่ได้รับการติดต่อจาก ผบ.นภา เลยล่ะคะ”
แสงกล้าชี้ไปทางด้านล่าง เห็นเหล่าร้ายกำลังเข้าไปใกล้ร่างของนภากับสมิงที่สลบไม่ได้สติอยู่ตรงนั้น เครื่องร่อนของแสงกล้าบินเข้าไปใกล้พวกเหล่าร้าย
แสงกล้ากำมือแน่นทาบไว้ที่อกตัวเองเพื่อทำสมาธิบางอย่าง แล้วเอามือแตะที่บริเวณเครื่องร่อนบังเกิดเงาบางๆ ทาทับเครื่องร่อนนั้นอย่างฉับพลัน เหล่าร้ายได้ยินเสียง ต่างเงยหน้าขึ้นมองด้านบนท้องฟ้า แต่มองไม่เห็นอะไรเลย เห็นแต่ท้องฟ้าเวิ้งว้างเบื้องบน
“อาคมกำบังกายใช้ได้ผล”
“ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าคุณเป็นหมอผีด้วย”
“ยังมีอีกหลายเรื่องที่คุณนึกไม่ถึง...ดอกเตอร์แพรไพลิน”
เครื่องร่อนของแสงกล้าบินลงจอดที่อีกด้านหนึ่งของอาคาร
บริเวณใกล้อาคารฯ แสงกล้าเดินมากับแพรไพลิน ทั้งสองเข้าไปใกล้เหล่าสมุนของวิญญู
“รีบเข้าไปสิคะ ใกล้จะถึงเวลาหลอมอาวุธแล้ว”
“คุณเสี่ยงอันตรายมากเกินไปแล้ว ผมไม่มีวันปล่อยให้คุณโดนผูกติดกับระเบิดอีกแน่”
แสงกล้าดึงร่างแพรไพลินมาจ้องหน้า ส่งสายตาบอกความรักและจริงใจ
“รอผมอยู่ที่นี่”
“ห้ามฉันไม่ได้หรอก ยังไงฉันก็จะไปกับคุณ”
“อย่าไป ! ผมขอร้อง”
แสงกล้ากอดร่างแพรไพลินไว้ดึงร่างเธอมาแนบด้วยความรัก เธออึ้งไปนิดหนึ่ง รู้สึกได้ถึงความรักและความผูกพันที่เขามีต่อเธอ เขาคลายอ้อมกอดออก แล้วใช้มือลูบร่ายเวทย์มนต์ไปทั่วบริเวณใบหน้าของเธอ
แพรไพลินตาแข็งชะงักไปทันที รู้สึกตัวแต่ขยับตัวไม่ได้เลย
“ขอโทษที่ต้องใช้วิธีกับคุณ ผมรักคุณนะ ดอกเตอร์แพรไพลิน”
แสงกล้าประคองแพรไพลินไปนั่งหลบที่ด้านหนึ่ง เสียงโทรศัพท์มือถือแสงกล้าดังขึ้น เขารับสาย
“ว่าไงคมศร...คุณมีวิธีเล่นงานไอ้วิญญู”
แสงกล้าเดินออกมาพร้อมๆ กับพูดโทรศัพท์กับคมศร
บริเวณด้านหลังอาคาร วิญญูวางกำลังสมุนระแวดระวัง ที่ถนนด้านหลังมีเต๊นท์ขนาดใหญ่ล้อมอยู่และมีป้าย “ห้ามเข้า เขตหวงห้าม” ชัดเจน
ภายในเต๊นท์นั้น ปรากฏเป็นรอยขุดเจาะสามารถลอดลงไปได้พร้อมข้าวของ รอบๆ เต๊นท์มีป้ายล้อมกั้นไว้อย่างแน่นหนา
แสงกล้าแอบมองอยู่ที่มุมหนึ่งของด้านหลัง เขายกนาฬิกาขึ้นดูเห็นปรากฏเวลา 23.30 น.
จู่ๆ แสงกล้าก็ก้าวออกมาทางด้านหน้าปรากฏตัวต่อหน้าเหล่าสมุนทั้งหมด
“หมวดแสงกล้า !”
แสงกล้ากำมือแน่น...เหยียดแขนขวาออกไปทางด้านหน้า จ้องตรงไปยังเหล่าร้ายทุกคน แล้วจึงคลายมือแบบมือออกอย่างรวดเร็ว บังเกิดเป็นแสงสว่าง พุ่งเวียนวนเข้าใส่เหล่าร้ายแต่ละคนอย่างรวดเร็ว
เหล่าร้ายแต่ละคนชะงักไปทันที เขาเดินผ่านเหล่าร้ายแต่ละคนไปอย่างเหนือชั้น ไม่ต้องออกแรงเลยแม้แต่น้อย แสงกล้าแอบเข้าไปภายในเต๊นท์แล้วทิ้งตัวลงไปในหลุมที่ขุดเจาะไว้อย่างรวดเร็ว
ภายในอุโมงค์ แสงกล้าเคลื่อนตัวเข้าไปใกล้บริเวณที่จะทำพิธีมากขึ้นเรื่อยๆ เขามาถึงตรงที่จักรแอบซ่อนกระเป๋าใส่ปืนที่บรรจุกระสุนยาพิษไว้ หยิบกระเป๋าขึ้นมาค้นจนพบ เขาหยิบปืนของจักรขึ้นมา มองด้วยแววตามุ่งมั่น
บริเวณที่หลอมศาสตราวุธ นาฬิกาขนาดใหญ่บอกเวลา 23.55 น. วิญญยืนนิ่งอยู่ที่ด้านหน้าศาสตราวุธทั้งสี่ รอเวลา
แสงกล้าลอบมองวิญญูอยู่ทางด้านหลังเพื่อหาทางบุกเข้าใส่
วิญญูพูดน้ำเสียงนิ่งเหมือนรู้ตัว
“คิดจะลอบกัดกันลับหลัง มันไม่ใช่วิสัยของลูกผู้ชายเลยนะหมวดแสงกล้า"
แสงกล้าตัดสินใจออกไปเผชิญหน้ากับวิญญูแบบซึ่งหน้า
“นึกแล้วว่าหมวดต้องมา กำลังรออยู่เลย หมวดจะทำให้อำนาจของฉันครบถ้วนสมบูรณ์”
แสงกล้าชี้หน้าด้วยความโกรธแค้น
“แกฆ่าพ่อฉัน ฆ่าดอกเตอร์เมฆา ฆ่าคนดีทุกคนที่ขวางทางชั่วของแก วันนี้แกต้องชดใช้กรรมที่ก่อไว้"
“แล้วไง”
แสงกล้าพุ่งเข้าใส่วิญญูทันที ทั้งสองต่อสู้กันไปพักหนึ่งโดยแสงกล้าไม่มีท่าทีที่จะสู้วิญญูได้เลย
แต่แล้วจังหวะหนึ่งที่เขาเล่นงานวิญญูได้จนล้มคว่ำไป
แสงกล้ากระชากปืนออกมา เหยียดแขนตรงยิงเข้าใส่วิญญู...เปรี้ยง ! กระสุนพุ่งตรงเข้าใส่ดวงตาของวิญญูแม่นราวจับวาง กระสุนยาพิษแทงทะลุเข้าไปในดวงตาวิญญู ส่งยาพิษรุนแรงใส่ร่างวิญญู
ยาพิษจากกระสุนปืนเข้าสู่ร่างของวิญญู สีผิวและใบหน้าของวิญญูเปลี่ยนไปทันที เส้นเลือดดำขึ้นเป็นสาย เป็นทาง ขึ้นเป็นริ้วๆ คล้ายได้รับสารพิษเข้าสู่ร่าง
วิญญูร้องลั่น ร่างนิ่งเหมือนกำลังถูกสะกดให้นิ่งอยู่ตรงนั้น
“อ๊าก”
แสงกล้าคว้ากริชขึ้นมาถือไว้ กำลังจะแทงเข้ากลางหัวใจวิญญู
“หมวดแสงกล้า...หมวดไม่มีทางฆ่าฉันได้หรอก”
แสงกล้าเงื้อกริชสุดแขนจะจ้วงแทงเข้าไปที่กลางหัวใจวิญญู แต่แล้วกริชที่ตัวเองถืออยู่กลับลอยกลับไปวางอยู่ที่พื้นดังเดิม เขาชะงักแปลกใจ คว้ากริชมาอีกครั้ง เงื้อจะแทงหัวใจวิญญู แต่กริชยังลอยกลับไปวางที่เดิม
วิญญูจ้องแสงกล้าสีหน้าเหี้ยม
“ด้วยฤทธาสายเลือดไสยศาสตร์ขาวในตัวหมวด ลูกไม่มีวันทำปิตุฆาต ฆ่าพ่อแท้ๆ ของตัวเองได้”
แสงกล้าชะงัก เสียงวิญญูยังคงกึกก้องในโสตประสาทของเขา “ด้วยฤทธาสายเลือดของไสยศาสตร์ขาวในตัวหมวด ลูกไม่มีวันทำปิตุฆาต ฆ่าพ่อแท้ๆ ของตัวเองได้” เสียงนี้ดังก้องไปทั่วทั้งบริเวณ
ทั้งคู่ต่างจ้องมองกัน ผ่านการถ่ายทอดอดีตให้รับรู้
ภาพความทรงจำในอดีต วิญญูกำลังอุ้มทารกแสงกล้าด้วยความยินดี โดยมีจอมแสงยิ้มยินดีอยู่ทางด้านข้าง, วิญญูเอาแสงกล้าขี่คอด้วยความรัก ยิ้มแย้มมีความสุข, วิญญูร้องเพลงกล่อมแสงกล้าให้หลับ โดยจอมแสงกำลังไกวเปลอยู่ทางด้านข้าง
วิญญูจ้องหน้าแสงกล้าอย่างจริงจัง
“ไอ้ลูกชาย ! ฉันคือโชติฌาณ... พ่อแท้ๆ ของแก”
แสงกล้าชะงัก เสียงของวิญญูก้องกังวาลในโสตประสาททั้งสองประโยค สลับกันไปมาท่ามกลางความสับสนในใจของแสงกล้า
“ลูกไม่มีวันทำปิตุฆาต...ฆ่าพ่อแท้ๆ ของตัวเองได้ / ฉันคือโชติฌาณ.. พ่อแท้ๆ ของแก”
แสงกล้าตะโกนลั่น
“ไม่... ไม่จริง ไม่จริง!”
วิญญูยิ้มเหี้ยมพอใจ รวบรวมพลังอีกครั้ง ร่างวิญญูกำลังขับยาพิษย้อนกลับออกมาทุกทิศทาง
“ไสยศาสตร์ดำไม่มีวันตาย... ยาพิษกระจอกทำได้แค่หยุดฉันในช่วงเวลาสั้นๆ”
ฉับพลันร่างวิญญูกลับกลายเป็นปกติ วิญญูลุกพรวดขึ้นมาซัดแสงกล้าจนล้มกองไปที่พื้น วิญญูหยิบกริชที่ตกอยู่บนพื้น
“ไสยศาสตร์ขาวฆ่าพ่อไม่ได้ แต่ไสยศาสตร์ดำทำทุกอย่างได้เพื่อความยิ่งใหญ่ ทำได้แม้กระทั่งฆ่าแก...ไอ้ลูกชาย”
“ไม่... ไม่แกไม่ใช่พ่อของฉัน”
“เลือดทายาทคนเดียวของไสยศาสตร์ขาวจะเพิ่มความเป็นอมตะให้กับฉัน เพื่อความยิ่งใหญ่ที่เป็นนิรันดร์”
วิญญูแทงกริชเข้าที่กลางอกแสงกล้า บังเกิดแสงตลบอบอวลไปทั่ว
“อ๊าก”
แสงกล้าร้องด้วยความเจ็บปวด เลือดไหลนองไปตามพื้น เขาจ้องหน้าวิญญูอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา
วิญญูหันไปมองที่นาฬิกาขนาดใหญ่ซึ่งตอนนี้บอกเวลาเที่ยงคืนพอดิบพอดี เขาหัวเราะลั่นด้วยความสะใจ
“ไม่มีอะไรหยุดยั้งได้อีกแล้ว ฉันจะมีอำนาจอมตะ... อยู่เหนือสรรพสิ่งทั้งหลายบนโลกใบนี้” วิญญูมองไปที่เทวาศาสตราวุธทั้งสี่ชิ้นที่เคลื่อนที่ลงไปหลอมรวมกันในบ่อที่ไฟลุกโชติช่วง
“จบสิ้นกันที...นี่คือบทพิสูจน์ที่แท้จริง ต่อไปนี้จะไม่มีอะไรยิ่งใหญ่เป็นนิรันดร์ไปกว่าอำนาจแห่งเทวาศาสตราวุธ นี่คือการสิ้นสลายของศรัทธาแห่งความดี ! ฮ่า ๆๆ”
“ไม่...ไม่จริง”
“มันเป็นความจริงที่แกปฏิเสธไม่ได้...ไอ้ลูกรัก !”
แสงกล้ามีสีหน้าผิดหวัง อาการเหมือนกำลังจะสิ้นลมหายใจ เลือดไหลนองไปเต็มพื้นในบริเวณนั้นเขาค่อยๆ หมดลมไปทั้งที่ดวงตายังเปิดอยู่
“ลาก่อน... แสงกล้า ตัวแทนของความดีที่ไร้ค่า ฮ่าๆ ๆ”
ทันทีที่ศาสตราวุธทั้งหมดหลอมละลายรวมกัน กลับบังเกิดระเบิดกึกก้อง ! เสียงระเบิดดังกัมปนาท... แสงสว่างเจิดจ้าไปทั่วทั้งอาณาบริเวณ
วิญญูที่ยืนอยู่กลางพิธีกรรม เบิกดวงตาลุกโพลง ยิ้มด้วยความสะใจมากที่สุดในชีวิต !
บังเกิดแสงเทามืดดำ อำนาจมืดไสยเวทย์ดำฤทธานุภาพ อาถรรพ์เวทย์อันเปรียบเหมือนเป็นตัวแทนความชั่วร้ายในตัววิญญู รวมตัวกันตรงหน้าพวยพุ่งลอยวนอบอวลไปทั่วบริเวณ
ลำแสงสีเทานั้น...ม้วนกลับเข้าปะทะเข้าที่กลางร่างวิญญู เขาร้องโหยหวนด้วยทรมานแสนสาหัส
วิญญูดวงตาเบิกกว้าง ภาพความทรงจำในอดีตเข้ามา วิญญูกำลังอุ้มทารกแสงกล้าด้วยความยินดี โดยมีจอมแสงยิ้มยินดีอยู่ทางด้านข้าง … วิญญูเอามือกุมหัวตัวเองคล้ายเจ็บปวด...
“อ๊าก”
วิญญูเอาแสงกล้าขี่คอด้วยความรัก ยิ้มแย้มมีความสุข , วิญญูร้องเพลงกล่อมแสงกล้าให้หลับ โดยจอมแสงกำลังไกวเปลอยู่ทางด้านข้าง... วิญญูเอามือกุมหัวเจ็บปวดมากขึ้นเรื่อยๆ
“อ๊าก”
ตัววิญญูเจ็บปวดราวกายกำลังจะแตกออกเป็นสองเสี่ยง พร้อมๆ กับเสียงของโชติฌาณที่สุขุม เปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยน ดังก้องไปทั่วโสตประสาท
“แกกำลังทำอะไรอยู่ แกกำลังทำผิด ทำผิดต่อทุกสรรพสิ่งในโลก”
วิญญูมองไปด้านหน้า เห็นภาพของตัวเองในชุดขาวอันเป็นตัวแทนความดีของโชติฌาณ
โชติฌาณกำลังยืนจ้องวิญญูอยู่
“แก... แกเป็นใคร”
โชติฌาณยืนมองวิญญูด้วยแววตาอ่อนโยนและมีเมตตา ต่างจากวิญญูที่แววตาก้าวร้าวและรุนแรง
“ฉันก็คือแก เราเคยเป็นมนุษย์คนเดียวกัน มนุษย์ที่มีทั้งด้านมืดและด้านสว่าง มีทั้งความดีและความชั่ว แต่ความรู้จักผิดชอบชั่วดี ละอายและเกรงกลัวต่อบาป ทำให้เรารู้จักใช้ชีวิต... ดำรงอยู่บนโลกใบนี้ได้อย่างถูกต้อง”
“ไม่จริง ไม่จริง”
“ถึงเวลากลับมาสู่เส้นทางที่ถูกต้องแล้ว เราฝืนสัจธรรมไปไม่ได้หรอก ไม่มีวันที่ความดีจะดับสลายไปจากโลกใบนี้ คุณค่าและผลของกรรมดีจะต้องคงอยู่ตลอดไป”
ร่างวิญญูทรุดลงกองแทบพื้น ลำแสงสีเทาลอยวกวนปะทะร่างวิญญูครั้งแล้วครั้งเล่า วิญญูร้องด้วยความเจ็บปวดทุกครั้ง
“ฤทธานุภาพแห่งความดีงาม ไม่มีวันหลอมรวมเพื่อความชั่วร้าย ! ความดีจะสถิตย์อยู่ ณ จุดที่ถูกต้อง”
โชติฌาณตรงเข้ามาที่ร่างวิญญู ทั้งสองปะทะสายตากัน ด้านหนึ่งดูเมตตาเต็มเปี่ยมไปด้วยคุณธรรม ส่วนอีกด้านหนึ่งยังคงแข็งกร้าว ดูเหี้ยมเกรียม
“ฉันกำลังจะยิ่งใหญ่ อำนาจกำลังจะอยู่ในมือฉันตลอดไป”
“ไม่มีอะไรคงอยู่ได้ ทุกอย่างมีเกิด...ต้องมีดับ”
“ฉันกำลังจะเป็นที่หนึ่ง”
“จะมีประโยชน์อะไร ถ้าการเป็นที่หนึ่งหมายถึงการต้องอยู่โดดเดี่ยว มันเป็นความยิ่งใหญ่ที่ไม่จีรัง... และไร้ค่าสิ้นดี สำนึกบ้างมั้ย ... กิเลสและความโลภทำลายคนที่แกรักไปแล้วกี่คน”
วิญญูนิ่งคิดตามคำพูดของโชติฌาณ - - การตายของไตรรัตน์ จอมแสง และรวิ
วิญญูอึ้ง แววตาเริ่มเปลี่ยนไปเรื่อยๆ
“กิเลสทำลายได้แม้กระทั่งคนที่รักและพร้อมสละทุกอย่างได้เพื่อแก”
วิญญูอึ้งมากขึ้น...
“การเป็นที่หนึ่ง... โดยปราศจากการเป็นที่รัก มันโดดเดี่ยวและไร้ค่าที่สุด !”
วิญญูอึ้งและดูเหมือนกำลังจะเปลี่ยนไปแล้ว... โชติฌาณชี้ไปที่ร่างแสงกล้าที่แน่นิ่งไม่ไหวติง
“คนๆ นี้เป็นลูกของแก แสงกล้าเป็นสัญญลักษณ์ของความดี คุณค่าของความดีที่จะต้องอยู่คงอยู่บนโลกใบนี้"
แววตาที่แข็งกร้าวของวิญญูกลับเปลี่ยนไป เขาจ้องไปที่ดวงตาของโชติฌาณ แววตาของวิญญูเปลี่ยนไปเป็นเมตตาเหมือนโชติฌาณ
“ถึงเวลาที่แกต้องทำสิ่งที่ถูกต้องแล้ว”
วิญญูค่อยๆ ลุกขึ้นยืนเหนือร่างของแสงกล้าที่เลือดไหลนองอยู่เวลานี้ เขารู้สึกเสียใจกับการกระทำของตัวเอง เขาทรุดลงนั่งข้างร่างของแสงกล้า
“แสงกล้า...พ่อทำอะไรลงไป พ่อฆ่าลูกของตัวเอง !”
โชติฌาณเริ่มบางเบามากขึ้นไปเรื่อยๆ
“ยังไม่สายเกินไปที่จะแก้ไข ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของแก”
เสียงสุดท้ายก่อนร่างของโชติฌาณบางเบาและสลายไปในที่สุดกล่าวว่า
“จงเลือกทำในสิ่งที่ถูกต้อง”
วิญญูน้ำตาคลอเบ้า รู้สึกผิดกับสิ่งที่ตัวเองทำ แววตาแข็งกร้าวหายไปกลายเป็นโชติฌาณคนเดิม
“แสงกล้า...พ่อเสียใจ พ่อขอโทษ”
วิญญูดึงกริชออกมาจากร่างแสงกล้าที่สิ้นลมไปแล้ว บังเกิดแสงสาดจ้าขึ้นเหนือร่างแสงกล้า
“ความดีจะสถิตย์อยู่ ณ จุดที่ถูกต้องตลอดไป !”
วิญญูเงื้อกริชขึ้นสุดแขน กระแทกกริชแทงทะลุเข้าที่กลางอกตัวเอง !
บริเวณบ่อหลอม แสงสีแผดจ้า ศาสตราวุธที่ถูกหลอมละลาย กลับผกผันหล่อรวมกลับสภาพเดิม
เทวาศาสตราวุธ ตรีศูลวัชระ อนันตคทา จักระนารายณ์ และ สังข์ไชยมงคล กลับคืนสภาพเดิมอีกครั้ง ! พร้อม ๆ กับพุ่งลอยหายวับไป
แสงเมลืองแผดจ้าพุ่งเข้าไปหาร่างของแสงกล้า เลือดที่ไหลนองทั่วพื้นไหลกลับเข้าสู่ร่างของแสงกล้าอย่างรวดเร็ว
ร่างของวิญญูที่มีกริชแทงกลางอก เรืองแสงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วหายวับไป
ฉับพลันสร้อยวัชระประจำตัวของแสงกล้ากลับปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง ตกอยู่ข้างตัวแสงกล้า ณ ตำแหน่งที่วิญญูกลายร่างหายไปนั้นเอง
แสงกล้าลุกขึ้นมาท่ามกลางบรรยากาศที่สดใส มองสภาพโดยรอบ ความเลวร้ายผ่านพ้นไปแล้ว
แสงกล้าหยิบสร้อยวัชระมาถือไว้ สร้อยที่เป็นเหมือนตัวแทนโชติฌาณ
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว … “1 เดือนต่อมา”
วันใหม่ เวลากลางวัน ภายในห้องพักฟื้นในโรงพยาบาล เพชรแท้ยังคงนอนหลับไหลไม่ได้สติอยู่บนเตียงห้องพัก แพรไพลินกำลังตรวจดูแม่อยู่ด้วยสีหน้าเป็นห่วง ในขณะที่กุ๊บกิ๊บยืนถือแฟ้มคนไข้
“อาการคุณเพชรแท้ดีขึ้นเรื่อยๆ นะคะ การตอบสนองดีขึ้น”
แพรไพลินฉีดยาเข้าสายน้ำเกลือ แล้วหันมาสั่งกุ๊บกิ๊บ
“คุณแม่น่าจะฟื้นเร็วๆ นี้ เย็นวันนี้จัดยาตามที่สั่ง กำชับให้มีคนเข้ามาดูแลทุกสองชั่วโมงด้วย"
“ค่ะหมอ”
กุ๊บกิ๊บเดินออกไป แพรไพลินหันมามองหน้าเพชรแท้ด้วยสีหน้าเป็นห่วง เธอจับมือแม่
“หายเร็วๆ นะคะ แพรสัญญาว่าต่อไปนี้จะเป็นลูกที่ดีของแม่ เราจะเป็นแม่ลูกที่เข้าใจกันมากที่สุดค่ะ"
แพรไพลินกอดแม่ไว้ด้วยความรักอย่างที่สุด
แพรไพลินเดินออกมาจากห้องพักคนไข้มาตามทางเดินแล้วหยุดเมื่อเห็นแสงกล้ายืนรออยู่ที่
มุมหนึ่งของทางเดิน
“เรามีเรื่องต้องคุยกัน”
“ฉันไม่มีอะไรจะคุยกับหมวดค่ะ”
“ทำไมต้องหลบหน้าผม ตั้งแต่จบเรื่องลง...คุณหลบหน้าผมตลอด โทรไปหาก็ไม่ยอมรับสาย ไปหาที่เนติเทคฯเค้าก็บอกว่าคุณทำงานตลอดเวลา"
“ไม่มีเหตุผลมากไปกว่านั้น ฉันขอตัวก่อนนะ...มีเคสต้องปิดอีกหลายคดี”
“เดี๋ยวก่อน...”
แพรไพลินไม่ฟังเดินหนีเขาออกไป เขาขยับจะเดินตาม
“เลิกตามฉันได้แล้วค่ะหมวด เรายังมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ เรื่องระหว่างเราปล่อยให้มันจบลงไปเถอะ"
แสงกล้าชะงักไปทันทีด้วยความเสียใจ เธอตัดใจเดินจากออกมาทันที เขามองตาม
แพรไพลินเดินเร็วเข้ามาที่อีกด้านหนึ่งของโรงพยาบาล เมื่อพ้นสายตาจากผู้คน เธอก็มาหยุดพิงที่ผนังด้านหนึ่ง สีหน้าเต็มไปด้วยความเศร้าแล้วรำพึงกับตัวเอง
“แสงกล้า... ฉันทำผิดเกินกว่าที่จะให้อภัยตัวเอง ฉันใช้ความรักและความหวังดีที่คุณมอบให้ ขโมยวัชระไปจากคุณ ฉันขอโทษ...”
แพรไพลินสีหน้าเศร้า
ภายในวัดที่ร่มรื่น นภากำลังกรวดน้ำหลังจากทำสังฆทานให้กับสามี มีรูปถ่ายดร. เมฆา ฐานรัฐวางอยู่ ผู้การอินทนนท์นั่งอยู่ด้านข้างนภา
ทางด้านหลัง แสงกล้านั่งกรวดน้ำอยู่เช่นกัน
“พ่อโชติฌาณ... ผมขออุทิศบุญกุศลทั้งหมดที่เคยทำ เพื่อให้พ่อมีโอกาสไปเกิดในชาติภพที่ดี พ้นกรรมที่ตัวเองก่อไว้ในชาตินี้โดยเร็วด้วยเถอะ”
นภากรวดน้ำเสร็จ หันไปมองภาพถ่ายของเมฆาด้วยความรู้สึกผูกพันเป็นที่สุด อินทนนท์เห็นแล้วเข้าใจความรู้สึกของนภา พระสวดให้พร...
ทั้งสองคนเดินลงจากศาลามายังด้านล่างที่บรรยากาศร่มรื่น อินทนนท์หันมามองนภาที่มีสีหน้าไม่ทุกข์นัก
“เมฆาไม่ได้จากไปไหน เค้ายังคงอยู่ในใจฉันเสมอค่ะผู้การ”
“พายุกับฟ้ารู้เรื่องนี้รึยัง” อินทนนท์ถาม
“ฉันเพิ่งส่งข่าวให้รู้เมื่อคืน ทั้งสองคนตกใจมากค่ะ...บอกว่าจะรีบกลับมาเมืองไทยทันทีที่จองตั๋วเครื่องบินได้"
“แล้วคุณจะทำอะไรต่อไป”
นภายิ้มแบบเข้าใจโลก
“ชีวิตต้องดำเนินต่อไป... ฉันยังมีเรื่องที่ต้องทำอีกหลายเรื่อง เมฆาเป็นตัวอย่างที่ทำให้ฉันรู้ว่า.. ชีวิตคนยังมีความสุขที่เกิดจากการให้อีกมากมาย จบจากเรื่องนี้คงต้องตั้งสติ คิดทำไปทีละเรื่องแหละค่ะ”
“ต้องการความช่วยเหลืออะไรก็บอกนะ ผมยินดีช่วยคุณเสมอ”
“ขอบคุณค่ะผู้การ... เราคงจะได้พบกันอีกแน่”
เหนือเมฆ2 : มือปราบจอมขมังเวทย์ ตอนที่ 12 (ต่อ)
ผู้การอินทนนท์ยิ้มๆ เดินมาแตะไหล่นภาแล้วเดินออกไป นภามองตามก่อนจะเดินออกไปอีกทางหนึ่ง
บริเวณบ่อน้ำใหญ่ภายในวัด จ่าสมิงกำลังยืนให้อาหารปลานับร้อยอยู่ตรงนั้น ท่าทางยิ้มแย้มอารมณ์ดี แสงกล้าเดินเข้ามาหาสมิงทางด้านหลัง ขยับอ้าปากจะถาม แต่สมิงชิงตอบก่อนเหมือนรู้ว่าแสงกล้ากำลังจะพูดอะไร
“ขี้เกียจ !”
“อะไร ! ยังไม่ได้ถาม”
สมิงหันไปชี้หน้าแสงกล้า
“หมวดจะถามว่าทำไมไม่ขึ้นไปทำบุญบนศาลา กำลังจะด่าหาว่าผมไม่รู้จักกาละเทศะ”
“เล่นของอีกแล้ว ไม่ตื่นเต้นแล้วจ่า... เล่นมาหลายเดือนแล้ว”
“ไม่อยากขึ้นไป กลัวน้ำมนต์ มันร้อน” สมิงพูดพลางยิ้มกลั้วหัวเราะ
สมิงพูดพลางโปรยอาหารลงไปในบ่อให้ปลากินอย่างเพลินใจ
“อย่ามาสนใจผมเลย หมวดสะสางเรื่องตัวเองให้เรียบร้อยซะก่อนเหอะ ความรักคับอก หนุ่มสาวไม่เข้าใจกัน ไม่ต้องส่องจิตก็รู้แล้วว่ามีเรื่องไม่สบายใจเกี่ยวกับแฟน"
“จะให้ทำยังไง ในเมื่อเค้าไม่ยอมพบไม่ยอมคุย”
“หมอแพรไพลินรู้สึกผิดที่หลอกขโมยวัชระไปจากหมวด”
“แต่ฉันไม่เคยโกรธเค้าเลยนะ”
สมิงชี้หน้าตัวเองแกล้งยั่ว
“บอกผม บอกทำไม ไม่อยากรู้ หรืออยากให้ไปกระซิบข้างหูดอกเตอร์แพรไพลิน"
แสงกล้าชักไม่พอใจจ้องหน้าสมิง สมิงหัวเราะร่า
“ไปปรับความเข้าใจกันซะ ของแบบนี้ต้องให้สอนด้วยเหรอ”
แสงกล้านิ่งคิดตามคำพูดของสมิง
นภาเดินมาตามทางเดินที่ร่มรื่นภายในวัด ทางด้านหลังมีชายคนหนึ่งเดินตามเธอมาทางด้านหลัง
นภารู้สึกได้ว่ามีคนตามมา จึงนิ่วหน้าหยุดเดินแล้วหันไปมองแต่ไม่เห็นใคร
นภาตัดสินใจเดินต่อไป ด้านหลังชายคนหนึ่งที่เดินตามเธออยู่มีลักษณะคล้ายเมฆา
บริเวณบ่อน้ำ แสงกล้าหันไปคุยกับสมิงและเปลี่ยนเรื่องพูด
“จ่าน่าจะขึ้นไปทำบุญให้ดอกเตอร์เมฆาสักนิด เพื่อระลึกถึงคนตาย”
“ใครตาย”
ที่มุมร่มรื่นด้านหนึ่งริมบ่อ นภาเดินเข้ามาได้ยินคำสนทนาระหว่างสมิงกับแสงกล้าพอดี
“โลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอนหรอกหมวด อะไรที่เห็นอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่คิด"
“ยิ่งพูดยิ่งงง... ยิ่งพูดยิ่งไม่รู้เรื่อง”
“ไสยศาสตร์ดำสร้างหุ่นพยนต์เลียนแบบมนุษย์ได้ ใครจะรู้...บางทีร่างของดอกเตอร์เมฆาที่เราเผาไปแล้ว อาจเป็นแค่หุ่นพยนต์"
“งั้นดอกเตอร์เมฆาอยู่ไหน”
สมิงไม่พูดให้จบโปรยอาหารให้ปลากินต่อไป นภานิ่งชะงักฟังสิ่งที่สมิงพูดอย่างตั้งใจ
วันเดียวกัน กุ๊บกิ๊บเดินเข้ามาหาแพรไพลินในบริเวณทางเดินในโรงพยาบาล
“คุณเพชรแท้เธอฟื้นมาตั้งแต่เมื่อวานแล้วค่ะ”
“อาการเป็นยังไงบ้าง”
“สดชื่นเป็นปกติดี เหมือนไม่เคยป่วย”
ทั้งสองคนเดินมาจนถึงที่หน้าห้องพักคนไข้ ภายในห้อง แพรไพลินเดินเข้ามามองหาเพชรแท้ แต่ไม่พบที่เตียงคนไข้
“แม่คะ...แม่”
เพชรแท้กำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะตัวหนึ่งข้างประตูทางเข้า เธอกำลังเปิดไอแพดทำงานอย่างตั้งใจ
“เพิ่งฟื้นแท้ๆ ยังทำงานอีกเหรอคะ”
เพชรแท้อาการดีขึ้นจนเกือบเป็นปกติ มีแต่เพียงอาการเพลีย ยิ้มให้แพรไพลิน
เพชรแท้หันหน้าจอไอแพดให้แพรไพลินดู
“ใครว่าแม่ทำงาน แม่สั่งขายหุ้นบริษัทในเครือทั้งหมดต่างหาก"
แพรไพลินตกใจถาม
“คุณแม่ทำแบบนี้ไปเพื่ออะไรคะ”
“พอกันทีกับธุรกิจไม่ถูกต้อง เบียดเบียนสังคม คนเราจะต้องการอะไรมากไปกว่าชีวิตที่มีความสุข"
แพรไพลินพูดอึ้งๆ
“ป่วยเจียนตายคราวนี้ทำให้แม่เรียนรู้แล้วว่าชีวิตควรจะเป็นยังไง แค่รู้จักพอ เราก็จะมีความสุขอยู่กับปัจจุบัน ความสุขมีอยู่มากมายรอบๆ ตัวเรา เงินที่ขายหุ้นได้มากพอที่แม่จะใช้ได้ไปชั่วชีวิต ส่วนหนึ่งแม่จะทำมูลนิธิเพื่อสังคม"
แพรไพลินเสียงแผ่วเรียก “แม่”
แพรไพลินยิ้มยินดีสวมกอดแม่ ดีใจที่แม่เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น
“ความสุขที่แท้จริงของแม่ไม่ใช่ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินเงินทอง แต่มันคือการได้อยู่กับลูกสาวคนเดียวของแม่คนนี้"
“หนูรักแม่ที่สุดค่ะ”
เพชรแท้ยิ้มๆบอก
“แม่อยากให้ลูกสาวของแม่มีความสุขมากที่สุด เลิกหนีตัวเองได้แล้วนะลูก”
แพรไพลินมองหน้าเพชรแท้ด้วยแววตาสงสัย
“ถึงจะป่วย แต่แม่ก็พอจะรู้นะว่าลูกกำลังมีปัญหาไม่เข้าใจกับหมวดคนนั้น”
“กุ๊บกิ๊บเล่าให้แม่ฟังใช่มั้ยคะ”
“ไม่สำคัญว่าใครเล่า แต่มันสำคัญที่หนูไม่ยอมปรับความเข้าใจกันกับเค้า”
“เอ้อ...”
“เมื่อก่อนแม่อาจจะตั้งแง่กับผู้ชายคนนี้ แต่มาวันนี้แม่เข้าใจทุกอย่าง หมวดแสงกล้ารักหนูไม่น้อยไปกว่าแม่เลย"
“แต่หนูทำผิดต่อเค้ามาก มากจนหนูให้อภัยตัวเองไม่ได้ค่ะ”
“เชื่อแม่เถอะ คนที่รักเราเค้าพร้อมที่จะเข้าใจเราเสมอ”
แพรไพลินนิ่งคิดตามคำพูดของเพชรแท้
วันใหม่ บริเวณห้องแถลงข่าวของพรรคไททิวัตถ์ มีตัวหนังสือระบุ “งานแถลงข่าว.. เลขาธิการพรรคไททิวัตถ์คนใหม่”
นักข่าวคนหนึ่งยกมือถาม
“รู้สึกยังไงบ้างคะกับตำแหน่งเลขาธิการพรรคคนใหม่”
คมศรยิ้มๆแล้วบอก
“ถ้าบอกว่าเฉยๆ ผมคงโกหกแล้วล่ะครับ”
นักข่าวต่างๆ พากันหัวเราะในความอารมณ์ดีของคมศร
นักข่าวอีกคนถาม
“มีคนบอกว่าเลขาคมศรเป็นเหมือนตัวแทนของดอกเตอร์เมฆา ท่านเลขาฯคิดว่าอนาคตจะได้เป็นนายกฯมั้ยครับ”
“คงไม่แปลกที่เราจะทำความดี...เลียนแบบคนดี ผมจะสานต่อปณิธานในการทำความดีของท่านดอกเตอร์ครับ"
นักข่าวคนเดิมถามอีก
“เหมือนที่เค้าบอกว่า ... ความดีไม่เคยดับสูญใช่มั้ยครับ”
คมศรไม่ตอบ แต่มีรอยยิ้มน้อยๆ บนใบหน้า
“ท้ายนี้ท่านเลขาฯมีอะไรจะฝากไว้กับประชาชนบ้างมั้ยคะ”
คมศรมีสีหน้าจริงจัง ท่ามกลางคนมาฟังการแถลงข่าว
“การเมืองของคนรุ่นใหม่... เป็นการเมืองเพื่อการเสียสละต่อบ้านเมือง ผมจะไม่สัญญากับประชาชนว่าจะให้อะไรบ้าง แต่ผมสัญญาว่าจะสร้างค่านิยมใหม่ให้กับสังคมไทย เราจะต้องทำทุกอย่างบนความถูกต้อง เที่ยงตรง หมดยุคการเมืองต่างตอบแทนแล้ว คุณธรรมต้องมาคู่กับความดี ผู้นำจะเป็นคนเก่งอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องเป็นทั้งคนเก่งและ คนดี”
ผู้คนที่มาฟังการแถลงข่าวต่างพากันปรบมือกันกึกก้อง
คมศรกำลังพูดด้วยสีหน้าและน้ำเสียงจริงจัง...
“เราทุกคนต้องตระหนักถึงคุณค่าของชีวิต"
เหมือนคำปราศัยที่ดร. เมฆา ฐานรัฐ เคยกล่าวไว้ในอดีต
“ชีวิตที่มีค่าไม่ได้อยู่ที่เกียรติยศ ชื่อเสียง หรือ เงินทอง ชีวิตที่มีค่า...คือชีวิตที่เสียสละ"
คมศรพูดย้อนประโยคสุดท้ายของเมฆา
“ชีวิตที่มีค่า...คือชีวิตที่เสียสละ พร้อมจะสร้างประโยชน์ให้กับสังคมและคนรอบข้าง !”
เสียงปรบมือกึกก้องอีกครั้ง มุมหนึ่งเห็นน้ำใสมาทำข่าวอยู่ด้วย ช่างภาพกำลังถ่ายทำอยู่ด้านหน้า
น้ำใสรายงานข่าว...
“ด้วยท่วงท่าและการแถลงข่าวอย่างตรงไปตรงมา ยอมหักไม่ยอมงอแบบนี้ ทำให้ดิฉันนึกถึง ดอกเตอร์เมฆา ฐานรัฐ อดีตนายกฯ ของเราผู้ล่วงลับไปแล้ว ดูเหมือน คมศร สุริยน กำลังเดินตามรอยเท้า..สืบสานทำการเมืองแบบใหม่ตามแบบดอกเตอร์เมฆา"
คมศรที่สีหน้าจริงจัง จ้องมองไปยังผู้คนที่กำลังฟังการแถลงข่าวของเขา
“ใครจะรู้... ผู้ชายหนุ่มคนนี้ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า อาจเป็นนายกฯ ใหม่ของคนไทย สกายนิวส์เน็ตเวิร์คช่วงเจาะข่าวการเมืองวันนี้...เราขอเรียก คมศร สุริยน ว่า นักการเมืองแห่งความหวัง ค่ะ”
คมศรที่มีท่วงท่ามุ่งมั่น และมั่นใจในตัวเองบนเวทีปราศรัย
บรรยากาศสวยเย็นใกล้ค่ำที่ดาดฟ้าคอนโดฯ คมศรยืนมองท้องฟ้าสวยนั้นพร้อมๆ กับพูด
โทรศัพท์มือถือผ่านบลูทูธที่ติดอยู่ข้างหู
“เตรียมทุกอย่างให้พร้อม... ปราศรัยครั้งต่อไปผมจะเปิดโปงทุจริตในกระทรวงฯ … ผมไม่สนหรอกว่าจะเป็นเจ้าพ่อผู้มีอิทธิพลมาจากไหน ถ้าทำผิด เราต้องตีแผ่ให้สังคมได้รับรู้ เตรียมข้อมูลให้พร้อม
พวกมันต้องไม่มีที่ยืนในบ้านเมืองนี้"
คมศรกดปุ่มปิดโทรศัพท์มือถือ พร้อมๆ กับมีเสียงปรบมือมาจากด้านข้าง
“ตรงไปตรงมา.. หนักแน่น.. มั่นคง ทั้งหน้าเวทีและหลังเวทีเลยนะคะ เลขาฯคมศร”
คมศรหันไปมองเห็นน้ำใสที่ยิ้มมองเขาด้วยสายตาชื่นชม
“มานานแล้วเหรอ”
“นานพอที่จะได้ยินสิ่งดีๆ จากปากนักการเมืองความหวังของคนไทยค่ะ”
คมศรพูดยิ้มๆ
“พูดแบบนี้ผมเขินแย่”
“ฉันพูดความจริง ทุกครั้งที่ปราศรัย ฉันเห็นเงาของดอกเตอร์เมฆาอยู่ในตัวคุณ”
“ท่านเป็นต้นแบบในการทำงานการเมืองของผม เมืองไทยต้องการคนเสียสละโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน"
น้ำใสเดินมาหยุดที่ริมดาดฟ้า มองบรรยากาศเบื้องหน้า
“ฟ้าตอนพระอาทิตย์ใกล้ตกแบบนี้สวยจัง”
“ผมชอบขึ้นมาดูบรรยากาศตอนพระอาทิตย์ใกล้ตก เมื่อมีวันที่ตะวันส่องแสงเจิดจ้า ก็มีวันที่แสงตะวันลาลับขอบฟ้า เป็นบทพิสูจน์สัจธรรมของชีวิตให้ไม่ยึดติดกับกิเลสทางโลก คุณชอบขึ้นมาที่ดาดฟ้านี้
เหมือนกันเหรอ"
“ฉันชอบขึ้นมาตอนเช้ามืด...พระอาทิตย์ขึ้น”
“มิน่า... เราถึงไม่เคยเจอกัน”
น้ำใสยิ้มและมองไปที่ท้องฟ้า
“ใช่ค่ะ... ทุกครั้งที่มองท้องฟ้าตอนพระอาทิตย์ขึ้น สร้างกำลังใจในการทำงานให้ฉันได้เสมอ ชีวิตคนก็เหมือนตะวัน อาจจะมีวันตกต่ำอับแสงลงไปบ้าง... แต่ไม่นานก็จะมีวันที่ตะวันทอแสงพ้นขอบฟ้ากลับขึ้นมาได้ใหม่อีกครั้ง ขอเพียงเรามีกำลังใจในการดำรงชีวิตอยู่"
น้ำใสพูดจบก็หันกลับมามองที่คมศร
“ดูเหมือนชีวิตเราเดินสวนกันโดยไม่ตั้งใจ”
คมศรมองน้ำใสแล้วยิ้มๆ
“ที่ผ่านมาคงยังไม่ถึงเวลาของเรามั้ง”
“ยังไม่ถึงเวลา?”
คมศรจ้องหน้าน้ำใส มองด้วยสายตาจริงจัง
“คุณเคยบอกว่าชีวิตของเราคล้ายกัน มีความสุขทุกครั้งที่เห็นคนรักมีความสุข ถึงจะไม่มีเราอยู่ด้วย"
“ฟังดูแล้วเหมือนพระเอกนางเอกผู้เสียสละ”
“แต่วันนี้โลกหมุน... เปิดโอกาสให้ผู้เสียสละมาเจอกัน”
“ฉันดีใจที่มีคุณเป็นเพื่อนสนิท”
“ผมเป็นคนตรง ชอบพูดอะไรตรงๆ ผมไม่คิดว่าคุณเป็นเพื่อนสนิท”
น้ำใสชะงักมองหน้าคมศรด้วยแววตาสงสัย
“ยังไงคะ”
คมศรชักเชินเสียเอง
“เอ้อ ผมงานเยอะ.. อยากได้เลขาฯส่วนตัวมาช่วยทำงานข้อมูล ดูแลบทสัมภาษณ์ คำปราศรัย"
น้ำใสพูดสวนขึ้นมา
“ไหนบอกว่าจะพูดตรงๆ”
คมศรชะงักนิดหนึ่ง แล้วยิ้มพูดจริงจัง
“ผมเบื่อเป็นแค่เพื่อนแล้ว ขอผมดูแลคุณมากกว่าเพื่อนได้มั้ย"
คมศรจ้องหน้าน้ำใสเหมือนกำลังรอคำตอบ น้ำใสไม่ตอบนิ่งๆ จ้องหน้าคมศรแบบเดาความรู้สึกไม่ได้
“ถ้าไม่พร้อมก็ไม่เป็นไร ...ผมชินกับความผิดหวังแล้ว”
คมศรขยับจะเดินออกไป
“ฉันยังไม่ได้ตอบอะไรสักคำเลยนะคะ”
น้ำใสเป็นคนดึงคมศรมาใกล้ตัว เขาถึงกับเกือบจะเสียหลัก ใบหน้าทั้งสองคนมาใกล้ชิดกัน
น้ำใสกับคมศรมองตากันด้วยความรู้สึกที่ดีต่อกัน
“ในเมื่อโลกหมุนให้ผู้เสียสละสองคนมาเจอกัน ฉันไม่เต็มใจจะเป็นแค่เพื่อน หรอกค่ะ ท่านนักการเมืองความหวังใหม่ของคนไทย"
ทั้งสองคนยิ้มให้กัน จับมือกันบนดาดฟ้าตึก เฝ้ามองพระอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้า
อินเตอร์ลูดไตเติ้ลรายการข่าวของสกายนิวส์เน็ทเวิร์ค “บันเทิงเสวนา” บนเวทีการสนทนาข่าว นภามีสีหน้าจริงจัง ต่อหน้านักข่าวบันเทิงสาวที่มีชื่อเสียงซึ่งกำลังนำการสนทนา เป็นการเปิดตัวหนังสือ “ความดี?” ของนภา มีรูปภาพหน้าปกเป็นแบคกราวน์อยู่ทางด้านหลัง
“บันเทิงเสวนาวันนี้.. เราอยู่กับคุณนภา ฐานรัฐ อดีตผู้บัญชาการสำนักงานสืบสวนพิเศษ ภรรยาของดอกเตอร์เมฆา นายกรัฐมนตรี ซึ่งตอนนี้ผันตัวเองมาเป็นนักเขียนวรรณกรรมสะท้อนค่านิยมเกี่ยวกับการทำความดีค่ะ"
หลังผู้สื่อพูดข่าวเปิดเรื่องแล้วก็หันไปคุยกับนภา
“ผบ.นภาคะ กรณีที่ท่านดอกเตอร์ต้องเสียชีวิตเพราะถูกฆาตกรรม เหมือนกับการตอกย้ำว่าทำดีไม่ได้ดีรึเปล่าคะ"
“ไม่หรอกค่ะ. ก็เหมือนกับที่ดิฉันเขียนไว้ในหนังสือ ความดี? เล่มนี้ ความตายของดอกเตอร์เมฆาสะท้อนสัจธรรมที่สำคัญ"
“ยังไงคะ... ช่วยอธิบายหน่อยค่ะ”
“ความดี กับ การเกิดแก่เจ็บตายมันเป็นคนละเรื่องกัน เราทุกคนไม่มีใครหนีความตายพ้นหรอกค่ะ"
“แต่มันก็ไม่ได้ตอบคำถามว่า ทำไมความดีต้องพ่ายแพ้”
“ทำไมคะ... คนดีตายไม่ได้เหรอคะ คนดีก็ตายได้นะคะ ประเด็นสำคัญอยู่ที่ความตายของเราหลงเหลืออะไรไว้ให้กับสังคมนี้บ้าง"
“หนังสือเล่มนี้ของ ผบ.นภา... เหมือนจะมีศรัทธาในเรื่องการทำความดีเป็นอย่างมาก"
“แน่นอนค่ะ สังคมจะอยู่ได้ยังไงถ้าเราไม่ปลูกฝังความเชื่อเรื่องนี้ให้กับคนรุ่นใหม่”
“ผบ.นภานิยามคำว่า ศรัทธาในความดี ว่ายังไงคะ”
“สำหรับดิฉัน ศรัทธาในความดี คือความเชื่อที่ว่า การทำความดีไม่มีวันดับสูญ คุณค่าของความดี ส่งผลต่อผู้กระทำเสมอ ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม ชาติของเราจะอยู่ได้ ไม่ใช่เพราะใครคนใดคนหนึ่ง แต่จะอยู่ได้เพราะศรัทธาในการไม่ยอมแพ้ต่อความเลว ของคนทุกคนในสังคมค่ะ"
“สุดท้ายนี้... ผบ.นภามีอะไรอยากจะฝากไว้กับท่านผู้ชมทางบ้านบ้างมั้ยคะ”
“อำนาจ บารมี ความยิ่งใหญ่ เป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนอยากได้ แต่เราเคยคิดกันบ้างมั้ยว่าไม่มีอะไรเที่ยงแท้จีรังยั่งยืน มันเป็นสัจธรรมที่ว่า..ทุกสรรพสิ่งไม่มีอะไรคงอยู่ได้ตลอดไป ทุกอย่างมี เกิดขึ้น.. ตั้งอยู่ และดับไป สลับหมุนเวียนกันไปไม่มีวันจบ ผู้เรียนรู้และตระหนักความจริงในข้อนี้ นั่นแหละ... คือผู้ยิ่งใหญ่ที่แท้จริงค่ะ"
ผู้คนในห้องส่งต่างปรบมือกันกึกก้อง นภายิ้มให้กับทุกคนอย่างจริงใจ
ผู้สื่อข่าวเดินมาส่งนภาที่โถงสถานีสกายนิวส์เน็ตเวิร์ค และยกมือไหว้แล้วเดินจากออกไป นภาเดินออกมาคนเดียว เธอเดินออกมาแล้วชะงักนิดหนึ่ง รู้สึกได้ว่ามีคนกำลังเฝ้าตามมา เธอหันหลังมามองแต่กลับไม่พบใคร เธอเดินตรงมายังประตูกระจกด้านหนึ่ง แล้วนิ่วหน้าเมื่อมองไปที่เงาสะท้อนในกระจก เมื่อปรากฏภาพเป็นคนๆ หนึ่งที่เหมือนเมฆายืนอยู่ทางด้านหลัง
นภาคิดถึงคำพูดของสมิงที่เคยพูดในวันทำบุญที่วัดให้กับเมฆา..
“ไสยศาสตร์ดำสร้างหุ่นพยนต์เลียนแบบมนุษย์ได้ ใครจะรู้ บางทีร่างของดอกเตอร์เมฆาที่เราเผาไปแล้ว อาจเป็นแค่หุ่นพยนต์ ไม่ใช่ร่างที่แท้จริงก็ได้”
“งั้นดอกเตอร์เมฆาอยู่ไหน” แสงกล้าถาม
นภายิ้มได้..หันขวับกลับมาทันที แต่ไม่เห็นใครยืนอยู่ทางด้านหลัง เธอนึกสงสัยแต่พยายามไม่คิดอะไรมาก เดินออกไปตามลานกว้างอย่างช้าๆ
อีกมุมหนึ่งทางด้านหลัง เมฆา? เดินออกมาจากด้านข้าง ยิ้มขรึมกำลังเดินตามเธออยู่
เหนือเมฆ2 : มือปราบจอมขมังเวทย์ ตอนที่ 12 (ต่อ)
วันใหม่ จ่าหวานกับดาบแหบเดินมาที่หน้าบ้านสมิงก่อนเคาะประตูเรียก
“ไอ้หมิง...ไอ้หมิง... เปิดประตูหน่อย” ดาบแหบเรียก
จ่าหวานบอก
“จ่าสมิง...มีงานด่วนให้ทำ”
ดาบแหบเปิดประตูเข้าไป ตุ๊กแกตัวเขื่องหล่นแหมะลงตรงที่ข้างหน้าทั้งสองคน ทั้งสองคนตกใจแตกกระเจิง ทั้งสองคนร้อง “เฮ้ย !”
ตุ๊กแกคลานหนีออกไปอย่างรวดเร็ว จ่าหวานถอนหายใจเฮือกใหญ่
“ไอ้ตุ๊กแกเวร... ตกใจหมดเลย”
ดาบแหบมองไปรอบๆ เรียก
“ไอ้หมิง... ไอ้หมิง...”
ดาบแหบหันไปพูดกับจ่าหวาน
“ท่าทางจะไม่อยู่บ้านว่ะ”
จ่าหวานมองไปที่ผนังด้านหนึ่งเห็นมีกระดาษลายมือโบราณของจ่าสมิงแปะอยู่
“ไม่อยู่บ้าน 7 วัน... ได้เวลาชำระล้างจิตใจใฝ่ธรรมะ ขอลาไปปฎิบัติธรรมเพื่อความจำเริญของชีวิต”
วันเดียวกัน ที่ตลาดนัดพระเครื่อง สมิงกำลังส่องพระอยู่อย่างตั้งใจ เจ้าของแผงชี้ชวน
“พระดินของแท้... เพิ่งเปิดกรุเจอเมื่ออาทิตย์ก่อน ได้มาจากกรมศิลป์เลย”
สมิงยังส่องอยู่
“งั้นเลย”
“ฉันปล่อยให้ถูกๆ ในฐานะที่จริตต้องกัน”
“จิงดิ เพิ่งรู้จักกันเนี่ยนะ ต้องกันแล้ว”
“พุทธคุณมีอยู่เต็มๆ อยู่ดีมีความสุข โชคลาภไหลมาเทมา”
“คนเราจะอยู่ดีมีความสุขได้เนี่ย มันน่าจะอยู่ที่ตัวเองนะ ทำดี พูดดี คิดดี ถ้างอมืองอเท้าไม่ทำงานทำการเนี่ย จะมีโชคลาภมั้ย ฉันอยากรู้”
เจ้าของแผงเหล่มองสมิงด้วยแววตาไม่สบอารมณ์ แต่ยังบรรยายสรรพคุณต่อ
“ได้องค์นี้ไปนะ คงกระพันชาตรี... แคล้วคลาดยิงฟันแทงไม่เข้า”
“อ้าว... งั้นถ้าฉันไส้ติ่งอักเสบ หมอจะผ่าตัดยังไงล่ะเฮีย”
เจ้าของหันขวับมามองสมิงด้วยสายตาไม่ค่อยพอใจนัก สมิงส่งพระให้
“แหะๆ ฉันล้อเล่น...สวยดีนะ”
“อ๊ะ.. ของแท้นี่ ก็ต้องสวยสิ”
“ทำได้เนี๊ยนเนียน เอาดินเก่ามาปั้นเหมือนของจริงเป๊ะๆ แต่ขอบมันคมไปหน่อย ท่าทางจะรีบแกะพิมพ์ แล้วรุ่นนี้น่ะ ของจริงโดนเผาไปพร้อมกับเจดีย์อยุธยาแล้ว”
“พูดจาแบบนี้...วอนแล้วไง”
“ไม่ได้วอน แค่พูดความจริง... เฮีย อย่าหากินกับศรัทธาของคนเลย ศาสนาพุทธสั่งสอนให้คนมีสติ เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานในชีวิตประจำวัน รู้จักเจริญสติ เจริญปัญญาเพื่อไปสู่นิพพาน ไม่ได้สั่งสอนให้กราบไหว้บูชาร้องขอจากเทพเจ้าฯ สนับสนุนให้คนเช่าพระเพื่อใช้เป็นตัวแทนความดี รู้จักภาวนาในชีวิตประจำวัน.. เพื่อจิตใจที่สงบดีกว่า”
เจ้าของหันไปหานักเลงด้านหลัง
“เฮ้ย... ช่วยให้ไอ้แก่นี่สงบหน่อยซิ”
นักเลงพระเครื่องหลายคนพุ่งเข้ามาเล่นงานสมิง แต่โดนสมิงถอยฉากออกมาก่อน
“เฮ้ยๆๆ ไม่ได้จะมาท้าตีท้าต่อย แค่จะมาบอกให้ทำพุทธพาณิชย์ให้ถูกต้องอย่ารุมกันสิโว๊ย”
สมิงต่อสู้ นักเลงราบกองกับพื้นสู้สมิงไม่ได้สักคน สมิงชี้หน้าเจ้าของ
“เลิกทำพระปลอมหลอกชาวบ้านได้แล้ว มันเสื่อม”
เจ้าของหงอยยกมือไหว้สมิง
“จ้ะๆ”
ปรอทกรอบนคอสมิง จู่ๆ ก็สั่นรัวเร็ว สมิงชะงักหยิบปรอทกรอขึ้นมาดูด้วยความตกใจ
“เฮ้ย ! สั่นได้ไงเนี่ย”
ปรอทกรอบนคอสมิงยังคงสั่นไม่หยุด สมิงจ้องมอง แล้วเอามือจับสั่นไปมา
“อ้อ..เพราะกูจับสั่นเองนี่หว่า ฮึๆ”
ปรอทกรอที่สมิงไม่ได้จับแล้ว ยังคงสั่นไหวรัวเป็นปริศนาอยู่อย่างนั้น
วันใหม่ แพรไพลินกำลังนั่งพูดโทรศัพท์อยู่ในรถตู้ด้วยสีหน้าไม่ค่อยสบายใจนัก กุ๊บกิ๊บนั่งข้างคนขับชำเลืองมองแพรไพลินอยู่ตลอด
“ระหว่างเราให้มันจบลงไปซะทีเถอะค่ะ ต่างคนต่างทำงานดีกว่า”
แสงกล้ากำลังพูดด้วยสีหน้าเหมือนกำลังคิดแผนทำอะไรบางอย่างอยู่
“จะให้ผมทำงานได้เต็มที่ยังไง...ถ้ายังไม่สบายใจ เราน่าจะคุยกันให้รู้เรื่องซะทีอย่าปล่อยให้คาราคาซังอยู่อย่างนี้เลย"
แพรไพลินพูดโทรศัพท์ด้วยสีหน้าไม่ค่อยสบายใจ
“วันนี้ขอทำงานก่อนนะคะ ฉันไม่ได้อยู่ที่กรุงเทพฯ กำลังจะเข้าไปที่เกิดเหตุฯ เสร็จงานเมื่อไหร่ ฉันสัญญาว่าจะโทรไปหาคุณทันที"
“คุณสัญญาแล้วนะ ถ้าคุณไม่ยอมทำตามสัญญาคราวนี้ผมไม่ยอมคุณแน่ๆ”
“ค่ะ..แล้วฉันจะโทรไป”
แพรไพลินวางหูโทรศัพท์ด้วยสีหน้าไม่ค่อยสบายใจนัก พยายามระงับอารมณ์หันไปถามกุ๊บกิ๊บ
“จวนถึงรึยัง”
“อีกไม่เกินสิบนาทีค่ะ นี่เป็นรายละเอียดของคดีนี้ทั้งหมด พวกเราล่วงหน้ามาเป็นชุดแรก"
กุ๊บกิ๊บส่งไอแพดให้แพรไพลิน
“รายละเอียดของคดีนี้อยู่ในโฟลเดอร์ที่สามค่ะ”
แพรไพลินรับไอแพดมาแล้วพยักหน้ารับรู้ เปิดแฟ้มอ่านอย่างเร็วๆ กุ๊บกิ๊บมองตามพลางยิ้ม สีหน้าเจ้าเล่ห์
รีสอร์ตริมภูเขาสวยงาม รถตู้เนติเทคฯ แล่นเข้ามาภายในรีสอร์ตอย่างรวดเร็ว พญ. แพรไพลิน นวิยากุลเดินเข้ามาตามทางเดินสวยงาม ในมือกำลังเปิดไอแพดอ่านอย่างตั้งใจ กุ๊บกิ๊บเดินตาม
“ผู้ตายเป็นโรคหัวใจอย่างรุนแรง”
“ถูกต้องค่ะ”
แพรไพลินอ่านต่อ
“เสียชีวิตเพราะรับรู้เรื่องกระทบกระเทือนจิตใจจนทนไม่ได้ หัวใจวายตายกะทันหัน"
“แน่นอนค่ะ”
“คดีนี้ไม่น่าจะต้องถึงเนติเทคฯ”
กุ๊บกิ๊บเริ่มอักอัก
“เอ้อ.. สำนักงานสืบฯ เชื่อว่าอาจจะมีอะไรซ่อนเร้นอยู่ค่ะ”
ทั้งสองคนเดินเข้ามาถึงที่หน้าบ้านพักริมเขาบรรยากาศสวยงาม ที่หน้าบ้านมีเทปเหลืองกั้นบริเวณอยู่
“เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานไปไหนกันหมด”
“คงอยู่ทางด้านโน้น เดี๋ยวกุ๊บกิ๊บไปตามให้ค่ะ”
กุ๊บกิ๊บรีบเดินออกไปทันที แพรไพลินมองตามด้วยสีหน้าที่รู้สึกผิดปกติ แพรไพลินตัดสินใจเปิดประตูเดินเข้าไปในบ้านพักรีสอร์ต
แพรไพลินเดินเข้ามาภายในบ้านพัก หยิบเครื่องบันทึกเสียงแบบพกพาขึ้นมาพูดใส่เหมือนกำลังเก็บหลักฐาน พร้อมๆ กับมองไปรอบๆ บ้านไม่มีร่องรอยของการต่อสู้
“ไม่มีร่องรอยการต่อสู้ บ้านพักอยู่ในสภาพปกติ”
แพรไพลินเปิดประตูไปทางหนึ่งเห็นร่างๆ หนึ่งนอนอยู่บนเตียงที่มีผ้าคลุมอยู่ แพรไพลินเปิดไอแพดอ่านข้อความไปด้วย
“ตามรายงาน ผู้ตายเป็นตำรวจ... มุ่งมั่นทำงานหนักเพื่อเอาชนะใจคนรัก แต่ไม่รู้ตัวว่าเป็นโรคหัวใจอย่างรุนแรง"
ขณะที่แพรไพลินกำลังอ่านอยู่ ร่างที่มีผ้าคลุมอยู่เปิดผ้าออกมา แสงกล้าอมยิ้ม แต่แพรไพลินไม่เห็น
“ในที่สุดต้องตายเพราะตรอมใจ... คนรักของผู้ตายเป็นดอกเตอร์ เก่งกล้าสารพัด แต่ไม่รู้ใจตัวเอง...วิ่งหนีความรักอยู่ร่ำไป จนวันหนึ่งเธอพบคนที่ใช่ แต่ก็ยังไม่วายวิ่งหนี"
แพรไพลินเอะใจ วางไอแพดและเครื่องบันทึกเสียงแบบพกพาลง หันหลังไปรูดผ้าม่านในห้อง
ที่ผนังที่ผ้าม่านปิดอยู่มีรูปถ่ายของเธอในอริยาบถต่างๆ ติดอยู่เต็มไปหมด ทั้งจากนิตยสาร, หนังสือพิมพ์ และรูปถ่ายประกอบบทสัมภาษณ์ ข้างๆ กันมีตัวอักษรเขียนเป็นลายมือเด่นชัด
“แสงกล้ารักดอกเตอร์แพรไพลิน”
แพรไพลินมองซ้ายมองขวา
“แสงกล้า.. นี่เป็นแผนคุณใช่มั้ย”
แพรไพลินเดินมาเปิดผ้าที่คลุมร่างบนเตียงออก ไม่พบร่างอยู่บนเตียงแล้ว เธอหันไปรอบๆ มองหาเขา
จู่ๆ โทรทัศน์ที่วางอยู่ภายในบ้านพักริมเขาก็เปิดขึ้น มีอินเตอร์ลูดเลิฟนิวส์เน็ทเวิร์คปรากฏขึ้น “ข่าวด่วน” แพรไพลินยืนกอดอกมองภาพในมอนิเตอร์นั้น
ในจอภาพ น้ำใสยืนอยู่ที่หน้าบ้านพักนี้ กำลังรายงานด้วยท่าทางไม่จริงจัง
“ขอตัดเข้าสู่รายงานด่วนจากเลิฟนิวส์ค่ะ... มีคนไข้เป็นโรคหัวใจอาการปางตายเพราะไม่ได้รับรักอยู่ในบ้านหลังนี้ ในเบื้องต้นได้รับรายงานว่าหัวใจใกล้หยุดเต้น ถ้าคนรักยังไม่ยอมให้โอกาส ต่อไปนี้คือเทปบันทึกความในใจของเค้าที่มีต่อผู้หญิงสาวคนนี้ค่ะ"
บนหน้าจอโทรทัศน์เปลี่ยนไปเป็นใบหน้าแสงกล้าสีหน้าจริงจัง ยืนอยู่ที่ริมระเบียงบ้านพักริมเขา
แสงกล้าถือกระดาษใบหนึ่งอยู่
“ความรักระหว่างผมกับเธอเริ่มต้นที่กระดาษใบนี้...ใบส่งตัวเพื่อตรวจสุขภาพจิต”
กระดาษใบนั้นปรากฏลายเซ็นแพรไพลินที่ให้ผ่านโดยมีเงื่อนไข
เธอชะงัก คิดถึงภาพเหตุการณ์ระหว่างเธอกับแสงกล้าที่เจอกันครั้งแรก เธออมยิ้มเมื่อนึกถึงครั้งแรกที่เจอกัน
“ที่ผมรู้สึกตอนนั้นก็คือ ผู้หญิงอะไรเก่งเกินเหตุ แหวกนิยาม สวยแต่โง่ที่ผมเชื่อมาโดยตลอด เชื่อมั้ยครับ.. ยิ่งคบกัน เธอยิ่งสร้างความแปลกใจและประทับใจให้กับผมมากขึ้นเรื่อยๆ ผู้หญิงคนหนึ่งที่มีทั้งความเข้มแข็งและอ่อนแอในคนๆ เดียวกัน น่ารัก น่าทะนุถนอม แต่ในขณะเดียวกันก็น่าหมั่นไส้”
เธอคิดถึงเหตุการณ์ต่างๆ ทั้งกินแฮมเบอร์เกอร์, เสี่ยงชีวิตด้วยกันและแสงกล้าช่วยเธอไว้
“ระหว่างผมกับเธอ...เกิดเหตุการณ์สำคัญมากมาย ทุกเรื่องราวสร้างความผูกพันระหว่างเรา ทั้งสุข ทั้งทุกข์ ทั้งสมหวังและผิดหวัง จนมาถึงวันนี้ ผมมั่นใจว่าเราสองคนคือส่วนเติมเต็มซึ่งกันและกัน"
เธอยิ้มประทับใจแสงกล้าอยู่ไม่น้อย เธอมองไปรอบๆ ห้องด้วยความสังเกต เห็นว่าด้านหลังของทีวีมีสายลากไปตามพื้น ออกไปทางระเบียงบ้านริมเขา
“แต่แล้วจู่ๆ เธอก็หายไปจากชีวิตผม หายไปโดยไม่มีสาเหตุ ถ้าเป็นคุณ คุณจะแก้ปัญหานี้ยังไง ช่วยแนะนำผมหน่อยได้มั้ย”
เธอเดินไปตามสายสัญญาณที่ลากออกไปที่ระเบียง
“แสงกล้า... คุณอยู่ที่นี่แน่ๆ”
เธอเดินไปถึงที่ริมระเบียง เห็นประตูทางออกปิดอยู่โดยมีสายสัญญาณลอดออกไป เธอตัดสินใจเปิดประตูระเบียงออกไปทันที
ที่ริมระเบียง แสงกล้ายืนอยู่ที่หน้ากล้องถ่ายวิดีโอ เขาชะงักไปทันทีเมื่อเห็นว่าเธอเดินออกมา
“เห็นมั้ย... บอกแล้วว่าผู้หญิงของผมทั้งเก่งทั้งฉลาด ลูกไม้ตื้นๆ หลอกเธอได้ไม่นานหรอก ในที่สุดดอกเตอร์แพรไพลินก็หาผมเจอ"
“คุณกำลังทำอะไร”
“ผมแค่กำลังบอกความรู้สึกของตัวเองกับคนรัก ขอร้องให้เธอยอมรับใจตัวเองซะที”
“ทั้งหมดเป็นแผนการของคุณใช่มั้ย ไม่มีคดี...ไม่มีกองพิสูจน์หลักฐาน นี่กุ๊บกิ๊บก็เป็นไปด้วยเหรอ”
“ถ้าไม่ใช้วิธีนี้... คุณจะยอมออกมาพบผมเหรอ”
“ฉันไม่ยอมเสียเวลากับเรื่องไร้สาระของคุณหรอกหมวด”
แพรไพลินขยับหันหลังจะเดินออกไป พร้อมๆ กับแสงกล้าที่เดินเข้าไปดึงเธอเข้ามาแล้วสวมกอดทางด้านหลังทันที ไม่ยอมปล่อยให้ไป
เธอพยายามดิ้น... แต่ยิ่งดิ้นแสงกล้าก็ยิ่งกอดเธอแน่นมากขึ้นเรื่อยๆ
“ปล่อยฉันเถอะแสงกล้า”
“ผมไม่ยอมให้คุณไปไหนทั้งนั้น จนกว่าเราจะคุยกันรู้เรื่อง”
“ฉันไม่มีอะไรจะคุย ที่ผ่านมาฉันทำผิดต่อคุณมากจนเกินให้อภัย ฉันใช้ประโยชน์จากคุณทั้งๆ ที่คุณรักฉันมากที่สุด ฉันหลอกขโมยวัชระมาจากคุณ...คุณลืมไปแล้วเหรอ”
“สำหรับคุณ... ความทรงจำของผมมีแต่ความสวยงาม มีแต่สิ่งดีๆ ที่คุณทำให้ผมและคนรอบข้าง”
แพรไพลินได้ยินแบบนี้ถึงกับชะงักไป เหลียวไปมองเห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความผูกพันของแสงกล้า
“ความรักคือการเติมเต็ม แต่บางครั้งความรักคือการเสียสละและการแบ่งปันที่ผ่านมาถ้าจะมีคนผิด คนๆ นั้นคงเป็นผม เพราะผมไม่สามารถปกป้องคุณได้”
“แสงกล้า...”
“เห็นมั้ยว่าเราผิดเท่าๆ กัน”
แสงกล้าคลายกอด ค่อยๆ ดันร่างของแพรไพลินมาจ้องหน้าเขา พลางยิ้มให้
“ลืมเรื่องราวเก่าๆ ทั้งหมด เปิดโอกาสให้กับชีวิต...ให้เราสองคนได้ปกป้องดูแลซึ่งกันและกันเถอะนะครับ ดอกเตอร์แพรไพลิน”
“มีคนเคยบอกว่า การชนะใจตัวเองอาจดีและมีค่าที่สุด แต่ในเรื่องความรัก...การชนะใจคนที่เรารักมีค่ากว่านั้น"
แพรไพลินยิ้มให้กับแสงกล้า เขาจ้องหน้าเธอพลางเอามือเชยที่คาง ไล้ไปที่แก้มแล้วจ้องดวงตา
“ทางจิตวิทยา แววตายิ้มและสีหน้าแจ่มใสแบบนี้ ถือว่าผมเอาชนะใจคุณได้แล้วใช่มั้ย"
แพรไพลินยิ้มขินบอก
“รู้มั้ยคะ ทางจิตวิทยาถือว่า การแกล้งไม่รู้แล้วย้อนถามของผู้ชายเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งที่ดึงดูดใจเพศตรงข้าม"
แสงกล้าสวมกอดแพรไพลินทันที
“ฉันคงไม่ต้องตอบคำถามเมื่อกี้แล้วใช่มั้ย”
แพรไพลินกอดตอบแสงกล้า ดึงตัวเองออกและจ้องหน้ามองเขาอย่างจริงจัง
“ฉันขอโทษที่สร้างเรื่องวุ่นวายทำให้คุณปวดหัวมาตลอด ดีใจนะคะที่คุณยังให้โอกาสผู้หญิงอย่างฉัน"
“พูดแบบนี้แสดงว่าต่อไปจะไม่เป็นแบบเดิมแล้วใช่มั้ย”
“จะพยายาม... แต่ไม่รับรอง ทำใจหน่อยนะคะ ถ้ารักดอกเตอร์แพรไพลินแล้วทุกอย่างจะมาเป็นแพคเกจค่ะ"
“คงเหมือนกับเมื่อรักแสงกล้า ต้องทำใจในความบ้าระห่ำ”
ทั้งสองคนหัวเราะยิ้มแย้มกันอย่างมีความสุข
แสงกล้าจูงมือพาแพรไพลินมาดูพระอาทิตย์ที่กำลังจะพ้นขอบฟ้าในเวลาเย็นใกล้ค่ำ
“ขอบคุณนะแพร... ขอบคุณที่รักกัน”
“ฉันก็ขอบคุณค่ะ...ที่รักฉัน ต่อไปนี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราทั้งคู่พร้อมจะฟันผ่าอุปสรรคทุกอย่างไปด้วยกัน"
“ครับ... เราจะก้าวไปด้วยกัน”
แสงกล้าหยิบสร้อยวัชระประจำตัวออกมา ชูขึ้นมาที่หน้าแพรไพลิน
“วัชระ...”
“วัชระติดตัวผมมาตั้งแต่เด็ก สายสร้อยวัชระเส้นนี้เปรียบเหมือนสัญลักษณ์ตัวแทนของความดีที่พ่อมีให้ผม"
แสงกล้าใส่สร้อยวัชระให้กับแพรไพลิน
“ผมให้คุณ... แพรไพลิน คุณคือความดีที่จะอยู่ในหัวใจของผมตลอดไป”
แสงกล้ากอดแพรไพลินด้วยความรัก แล้วจู่ๆ ก็อุ้มเธอขึ้นมาทันที
แพรไพลินตกใจร้อง
“ อุ๊ย”
“วันนี้ผมขออนุญาตไม่ให้คุณก้าวเดินเองสักวันนะครับแพร”
แสงกล้าอุ้มแพรไพลินมายืนมองพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปด้วยกัน เคลื่อนใบหน้าเข้าใกล้เธอทีละน้อยๆ จนเหมือนเกือบจะจุมพิตกัน ท่ามกลางบรรยากาศสวยงามของทิวเขายามพระอาทิตย์ใกล้ตกดิน
อำนาจ บารมี และความยิ่งใหญ่
ที่แท้ คือความสงบ ว่างเปล่า
การรู้จักตัวเอง ดำรงตนระลึกรู้สัจธรรม
ทุกสรรพสิ่ง..ไม่มีอะไรจริงแท้
มีเกิด..มีดับ..สลับกันไป
ผู้เรียนรู้และตระหนักความจริงในข้อนี้..
นั่นแหละ..คือผู้ยิ่งใหญ่ที่แท้จริง...
วันใหม่ หน้าอาคารฯ ออฟฟิศที่ทันสมัย นักข่าวที่มีชื่อเสียงมากกำลังรายงานข่าวอยู่ที่หน้าจอ
“เป็นที่แน่นอนแล้วว่า นายจักร อมตฤทธา อดีตนักการเมืองที่มีชื่อเสียงจะได้รับการปล่อยตัวจากคดีสำคัญ ทั้งนี้เนื่องจากสำนักงานสืบสวนพิเศษต้องการกันตัวไว้เพื่อเป็นพยานในคดีสำคัญอื่นๆ อีกหลายคดี”
ดาหลากับบอดี้การ์ดกันจักรออกมาจากวงล้อมนักข่าวที่กำลังพยายามเข้ามารุมสัมภาษณ์
“บอกแล้วไงว่าผมไม่ได้ทำความผิดอะไร เมื่อไม่ผิด...ก็ต้องถูกปล่อยตัวเป็นเรื่องธรรมดา"
“แล้วเรื่องการเมือง... ท่านจะทำยังไงต่อไป”
“ผมกำลังตัดสินใจ... จะให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินอีกครั้ง”
นักข่าวสาวถาม
“หมายความว่าท่านจะเล่นการเมืองต่อไป”
“ยังไม่ตัดสินใจ แค่อาจจะ ... เอาละ วันนี้พอแค่นี้ก่อน ผมเหนื่อยมามากแล้ว แหม...การเป็นคนดีที่ถูกกลั่นแกล้งเนี่ย มันน่าเหนื่อยใจจริงๆ นะครับน้องๆ”
ดาหลากันจักรออกมาที่รถด้านหนึ่ง และกำลังก้าวขึ้นรถไป
นักข่าวที่มีชื่อเสียงหันมากล่าวสรุปกับกล้อง
“สังคมคงต้องตั้งคำถามกันต่อไป ... เมื่อไหร่คนที่ทำร้ายสังคมจะได้รับการตัดสินรับกรรมในการกระทำของตัวเอง"
จักรสีหน้าหยิ่งยะโสมากนั่งอยู่ที่เบาะหลังรถ ขณะที่ดาหลาเป็นคนขับรถออกรถไป
ดาหลาบิดกุญแจสตาร์ทรถ ฉับพลัน … รถยนต์ของจักรก็เกิดระเบิดเสียงดังสนั่น เปลวเพลิงลุกโชติช่วง....
ผู้คนและนักข่าวที่อยู่ตรงนั้นต่างตกใจโกลาหลกันเป็นการใหญ่
จอภาพยักษ์เหนืออาคารสูงตรงนั้น ดับวูบลง...พร้อมๆ กับตัวหนังสือขึ้นเต็มจอ
“ตาต่อตา ฟันต่อฟัน นี่คือการลงทัณฑ์คนชั่ว
ด้วยศรัทธาแห่งความดี ! จาก.... จันทราปาฎิหาริย์”
จบบริบูรณ์