เหนือเมฆ 2 : มือปราบจอมขมังเวทย์ ตอนที่ 10
นภาในคราบหญิงนักเที่ยว ดาบแหบ จ่าหวานโดนจับกุมควบคุมตัวให้เดินมาตามทางเดินกลางโถงเนติเทคฯ ดาหลากำลังวิทยุบอกรวิ
“กำลังควบคุมตัวไปที่ชั้นบนค่ะ”
ฉับพลันไฟฟ้าภายในตึกก็ดับพรึ่บลง เกิดความโกลาหลทั่วไปทั้งบริเวณนั้น
มุมหนึ่งของโถง น้ำใสแอบอยู่ตรงนั้น สไลด์เลื่อนกระเป๋ากล้องพุ่งกระเป๋าใบนั้นเข้าไปที่กลุ่มของนภากับพวก
นภาในคราบหญิงนักเที่ยวสลัดตัวเองออกมาจากการถูกควบคุมตัวได้ เปิดกระเป๋ากล้อง เห็นว่ามีระเบิดและอาวุธอยู่เต็มไปหมด เธอหยิบระเบิดควันออกมาแล้วโยนระเบิดควัน...ตูม ! ควันพุ่งตลบอบอวล
เธอกระชากอูซี่ออกมากระเป๋า ยิงกราดเข้าใส่ดาหลากับพวกแตกกระเจิง
นภา จ่าหวาน และ ดาบแหบ ต่อสู้เหล่าเจ้าหน้าที่และดาหลา โดยกลุ่มของนภาไม่ทำร้ายเจ้าหน้าที่จนถึงชีวิต แค่ยิงเข้าใส่แขนขาให้ต่อสู้ไม่ได้เท่านั้น
ห้องคอมพิวเตอร์ในเนติเทคฯโดนตัดระบบไฟฟ้าเช่นเดียวกัน รวิกับจักรกำลังโกลาหล เจ้าหน้าที่คอมฯ กำลังพยายามแก้ไขระบบ
"เกิดอะไรขึ้นไ จักรถาม
"ระบบไฟฟ้าเนติเทคฯถูกตัด"
“เป็นไปได้ยังไง เปิดระบบสำรองเดี๋ยวนี้”
“ระบบสำรองไม่ทำงาน เมนเฟรมเนติเทคฯ โดนไวรัส” เจ้าหน้าที่ 2 พูดพลาง รัวคีย์บอร์ด
รวินิ่งคิดนิดหนึ่งแล้วโพล่งขึ้น
“แพรไพลิน”
จักรวิทยุบอกดาหลา
“อย่าให้พวกมันขึ้นไปที่ห้องผ่าตัดได้เป็นอันขาด มันกำลังจะชิงตัวดอกเตอร์เมฆาออกไป"
รวิเห็นการแก้ไขของเจ้าหน้าที่แล้วไม่ได้อย่างใจ
"เข้าไปที่ระบบคอมพิวเตอร์ส่วนกลาง มันโจมตีเราที่ตรงนั้น"
เจ้าหน้าที่รัวนิ้วลงบนคีย์บอร์ดอย่างรวดเร็ว รวิอ่านข้อมูลจากหน้าจอและสั่งเจ้าหน้าที่
“ไวรัสตัดกระแสไฟ มันปล่อยให้ระบบไฟฟ้าทำงานอยู่ที่เดียวคือห้องผ่าตัดดอกเตอร์เมฆา เราต้องบายพาสระบบไฟส่วนนั้นมา ใช้ระบบคอมพิวเตอร์สำรองของสำนักงานสืบฯ เชื่อมต่อเข้ามาใน
ระบบ"
"คุณทำได้" จักรถาม
“ไม่เกิน 10 นาทีค่ะ” รวิบอก
“ทำให้สำเร็จ... ผมจะลงไปจัดการพวกมันเอง”
จักร อมตฤทธากระชากปืนและลูกเลื่อนแล้วออกไปจากห้องทันทีเพื่อไปเล่นงานพวกบุกรุก
ภายในห้องควบคุมตัว คมศรกำลังพยายามต่อกระแสไฟตรงที่กล่องวงจรล็อกประตูห้อง หยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงปืน นึกรู้ว่ากำลังมีการบุกชิงตัวดอกเตอร์เมฆาเกิดขึ้น แผงวงจรช็อตพรึ่บ... ประตูเปิดออกทันที คมศรรีบออกไปจากห้องควบคุม
ภายในห้องควบคุมตัวอีกห้อง วินกำลังสอบสวนแสงกล้า ภายในห้องเปลี่ยนมาใช้ไฟฟ้าสำรอง
วินได้ยินเสียงปืนยิงต่อสู้กันทางด้านล่าง เขาหันขวับไปทางเสียง ก่อนชี้หน้าพูดกับแสงกล้า
“อย่าคิดว่าจะมีตัวช่วย งานนี้หมวดไม่รอดหรอก !”
วินหันไปเปิดล็อกประตูอัตโนมัติ แล้วหุนหันรีบเดินออกไปทันที
วินรีบเดินออกมาจากห้องอย่างรวดเร็ว เจ้าหน้าที่ที่เฝ้าอยู่ทำความเคารพ
"เฝ้าไว้ให้ดี.. อย่าให้มันหนีไปได้"
วินเดินจนลับเหลี่ยมผนังไป...ประตูห้องกำลังจะปิดลงไปแล้ว
คมศรถลาออกมาจากที่ซ่อน เปิดประตูออก พอเจ้าหน้าที่จะหันมาเล่นงานกลับโดนคมศรเตะเข้าที่ก้านคอโครมใหญ่จนสลบเหมือด คมศรเข้าไปหาแสงกล้า
นภาในคราบหญิงนักเที่ยวกำลังยิงต่อสู้กับดาหลาและจักร เพราะต้องการบุกขึ้นไปยังห้องผ่าตัดฯ
ดาหลาสู้ไปพลางหันไปบอกเจ้าหน้าที่หญิงคนหนึ่งที่ใส่หมวกแก็ป เพิ่งวิ่งเข้ามาสบทบด้านหลัง
"พวกมันจะขึ้นไปทางบันไดหนีไฟ ยิงสกัดไว้"
เจ้าหน้าที่หญิงกระชากปืนออกมาเปลี่ยนแมกกาซีนกระสุน เห็นว่าเป็นแมกกาซีนที่พันเทปสีเขียวไว้เป็นสัญลักษณ์ชัดเจน ดาหลาไม่ทันสังเกตเห็น วินตามลงมาสมทบกับดาหลาที่ด้านหนึ่ง ยิงต่อสู้กับกลุ่มนภา ดาหลาบอกกับเจ้าหน้าที่หญิง
“ไปดักพวกมันทางด้านหลัง ฉันจะล่อให้พวกมันออกมา”
เจ้าหน้าที่หญิงรีบออกไปดักตามคำสั่งของดาหลาทันที
ภายในห้องคอมพิวเตอร์ในเนติเทคฯ เจ้าหน้าที่กำลังรัวคีย์บอร์ดเพื่อพยายามเชื่อมต่อไฟฟ้าโดยมีระวิควบคุมการทำงานอยู่ เจ้าหน้าที่หันไปดูแผงระบบด้านหนึ่ง แล้วหันมารายงานกับรวิ
"ระบบไฟฟ้าสำรองกำลังจะเชื่อมต่อกับระบบหลักแล้วครับ"
รวิรำพึงบอก
“แพรไพลิน เธอไม่มีวันเหนือฉันไปได้หรอก"
รวิมีสีหน้าเครียดและจริงจัง
ภายในห้องทำงาน แพรไพลินกำลังมองภาพเหตุการณ์ภายในเนติเทคฯ ผ่านหน้าจอโน้ตบุ๊กของตัวเอง รวมทั้งเธอเห็นภาพของรวิที่กำลังพยายามเอาชนะเธออยู่ในห้องคอมพิวเตอร์ด้วย
“พี่รวิ... พี่ช้ากว่าที่ฉันคิด พี่ต้องพยายามให้มากกว่านี้อีกนิด”
แพรไพลินจ้องรวิในจอภาพแล้วหันไปทางคอมพิวเตอร์อีกเครื่องหนึ่ง เหมือนกำลังวางแผนทำอะไรบางอย่างอยู่
แสงกล้ากับคมศรเดินมาตามทางเดินบริเวณชั้นควบคุมตัว ก่อนหลบวูบไปที่มุมผนังด้านหนึ่งเมื่อเห็นมีเจ้าหน้าที่หลายคนเดินขวักไขว่ไปมา
แสงกล้าและคมศรมองไปที่รอบตัวเพื่อสำรวจจำนวนคน
“มีทั้งหมด 14 คน”
แสงกล้ากับคมศรพูดพร้อมกันและชะงักนิดหนึ่งเมื่อเห็นว่าต่างฝ่ายต่างเจ๋ง
“ผมจะจัดการทางฝั่งขวา” แสงกล้าบอก
“ส่วนทางซ้ายของผม” คมศรบอก
ทั้งสองคนแยกย้ายกันออกไป
แสงกล้ากับคมศรแอบเล่นงานเจ้าหน้าที่ทีละคนด้วยลีลาที่เหนือชั้นของตัวเอง แต่ละฝั่งเหลือเจ้าหน้าที่อีกฝ่ายละสองคน เพราะเจ้าหน้าที่ทั้งสี่ต่างเดินออกไปติดตามงานทางบันไดอีกทาง
นภาในคราบหญิงนักเที่ยวกำลังยิงต่อสู้กับจักรและดาหลาอย่างเร้าใจ ก่อนเคลื่อนตัวเข้าไปใกล้บริเวณบันไดหนีไฟมากขึ้น
จังหวะหนึ่งจักรถลาออกมาจะยิงเข้าใส่นภา แต่กลับโดนนภายิงสวนกลับมา กระสุนถากที่เข้าที่ท่อนขาล้มคว่ำไปกับพื้น ดาหลาปราดเข้ามาช่วย
"เป็นยังไงบ้างคะ"
จักรหันมองไปรอบๆตัว
“ไม่เป็นไร...กำลังคนของเราที่ชั้นล่างมีเท่าไหร่”
"เกือบห้าสิบคนค่ะ" ดาหลาบอก
“ล้อมพวกมันไว้ อย่าให้มันหนีไปได้”
ดาหลาพูดกับวิน
“ผู้กอง รีบพาท่านจักรไปที่หน่วยพยาบาลก่อน ไม่ต้องห่วงนะคะ ยังไงนังนภาก็หนีไปไหนไม่รอด”
จักรกุมที่ท่อนขา วินพาเจ้าหน้าที่อีกส่วนหนึ่งเข้ามาปฐมพยาบาลเบื้องต้น แล้วยิงสกัดพาจักรแยกออกไป
นภากับดาหลาต่อสู้กันที่มุมหนึ่งของโถงใกล้บันไดหนีไฟ ในจังหวะสุดท้าย นภาใกล้จะถึงบริเวณบันไดหนีไฟแล้ว ดาหลาถลาออกไปยิงต่อสู้กับนภาอย่างเร้าใจ
เจ้าหน้าที่หญิงคนหนึ่ง แอบเข้ามาทางด้านหลังของนภา เหยียดแขนตรงจ่อปืนไปที่ร่างนภาทางด้านหลัง จ่าหวานหันไปเห็นเหตุการณ์นี้ ตกใจรีบตะโกนบอกนภา
“ระวังข้างหลังครับ”
แต่ไม่ทันแล้ว เจ้าหน้าที่หญิงคนนั้นยิงใส่นภา...เปรี้ยง ! นภาโดนยิงเอามือกุมที่ลำตัว ร่างทรุดลงไปแทบพื้น... ดาหลายิ้มพอใจ ตรงเข้ามาจ่อปืนเหนือนภาอย่างรวดเร็ว
"นึกว่าจะแน่"
นภาเงยหน้าขึ้นมองด้วยสีหน้าแค้น เห็นดาหลายิ้มเยาะโดยมีปืนจ่ออยู่เหนือศีรษะของเธอ
ภายในห้องคอมพิวเตอร์ เจ้าหน้าที่คีย์บอร์ดโน้ตบุ๊กแล้วหันมาทางรวิ รวิยิ้มเหมือนทำงานสำเร็จ เอื้อมมือไปกดปุ่ม Enter ด้วยตัวเอง ฉับพลันระบบไฟฟ้าของเนติเทคก็กลับมาอีกครั้ง
"ระบบไฟฟ้าทำงานแล้วครับ"
รวิหันไปมองที่ระบบวงจรปิดที่ยังดับอยู่ทุกหน้าจอ
“แต่โทรทัศน์วงจรปิดยังไม่ทำงาน”
“กำลังสตาร์ทอัพครับ ใช้เวลาประมาณ 30 วินาที”
รวิพยักหน้าน้อยๆ ยิ้มพอใจ
แพรไพลินรัวเร็วที่คีย์บอร์ดตัวเอง กำลังอัพโหลดวิดีโอห้องควบคุมตัวที่บันทึกไว้ ขึ้นไปยังคอมพิวเตอร์ส่วนกลาง
“อยากเห็นภาพอะไร... ฉันจัดให้ค่ะพี่รวิ”
แพรไพลินกดปุ่ม Enter ส่งภาพเข้าไปในระบบวงจรปิด
ภายในห้องคอมพิวเตอร์ หน้าจอวงจรปิดค่อยๆ เปิดขึ้นมาทีละจอ มาถึงที่จอห้องควบคุมกลับเห็นเป็นคมศรยังคงอยู่ในห้องนั้น และเมื่อเป็นห้องแสงกล้า ก็เห็นแสงกล้ากำลังถูกสอบสวนโดยวิน รวิมองภาพที่จอทั้งสองแล้วยิ้มพอใจ
รวิหันไปมองจอวงจรปิดอีกจอหนึ่ง เห็นว่าที่บริเวณโถง นภาในคราบหญิงนักเที่ยว จ่าหวาน และ ดาบแหบ โดนดาหลากับเจ้าหน้าที่หญิงคนหนึ่งควบคุมตัวไว้ได้แล้ว โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจรายล้อมอยู่รอบเต็ม รวิยิ้มพอใจ วิทยุลงไปบอกดาหลา
“คุมตัวขึ้นมาที่ห้องสอบสวนชั้นบน ฉันจะสอบสวนมันเอง” รวิบอก
“แต่เธอถูกยิงได้รับบาดเจ็บ”
รวิยิ้มเหี้ยมบอก
“ยังไกลหัวใจ เอาตัวขึ้นมาเดี๋ยวนี้"
รวิลุกขึ้น เดินออกไปจากห้องคอมพิวเตอร์ทันที เจ้าหน้าที่คอมฯ คุมวงจรปิดต่อ
ดาหลากับเจ้าหน้าที่หญิงนำตัว นภาในคราบหญิงนักเที่ยว จ่าหวาน และ ดาบแหบ เข้ามาภายในลิฟท์ สีหน้าของนภาดูเคร่งเครียด แต่แววตาไม่วิตกกังวล
เจ้าหน้าที่หญิงที่ขึ้นมาในลิฟท์กับดาหลา เธอกดปิดประตูลิฟท์ และกำลังเคลื่อนขึ้นไปชั้นบน
ดาหลาหันไปจ้องหน้านภา เธอกลับยิ้มให้แบบเหี้ยมๆ
“เยือกเย็นสมเป็นอดีตผบ.สำนักงานสืบฯ ไม่น่าจะเชื่อว่าฝีมือระดับ ผบ.นภาจะถูกจับได้ง่ายๆ แบบนี้"
“ฉันถูกจับ... เพราะตั้งใจให้เป็นแบบนั้น !”
นภาละสายตามองไปที่กล้องวงจรปิดภายในลิฟท์นั้นเหมือนส่งสัญญาณ
จู่ๆ ลิฟท์ก็สะบัดเต็มแรง ! ค้างอยู่อย่างนั้น ดาหลาสีหน้าตื่นตกใจ พยายามกดชั้นให้ลิฟท์เคลื่อนที่ แต่ลิฟท์กลับค้างอยู่อย่างนั้น
"ไม่มีประโยชน์หรอกค่ะ... ลิฟท์จะไม่เคลื่อนไปไหน จนกว่าเราจะทำเรื่องสำคัญสำเร็จ"
ดาหลาหันขวับมามองเจ้าหน้าที่หญิงที่ค่อยๆ ถอดหมวกออก ดาหลานิ่วหน้าด้วยความตกใจ
"เธอ...”
“เจ้าหน้าที่สำนักงานสืบสวนพิเศษ และเลขาส่วนตัวของ อดีตผบ.นภา ค่ะ ขอไม่แนะนำตัว เพราะเรายังมีเรื่องต้องทำอีกเยอะ” ดวงตะวันบอก
ดวงตะวันตรงเข้าประชิดตัวดาหลาซึ่งตอนนี้ดาหลาโดนจ่าหวานกับดาบแหบประกบซ้ายขวาจนดิ้นไม่หลุด นภาค่อยๆ ยืดตัวขึ้น จึงเห็นว่าไม่ได้โดนยิงเลยแม้แต่น้อย เธอมีสีหน้าและแววตานิ่ง
วงจรปิดจอหนึ่งดับ ภาพเป็นเส้นริ้วๆ ไม่มีสัญญาณ เจ้าหน้าที่คนหนึ่งพยายามซ่อม
"กล้องวงจรปิดในลิฟท์ไม่ทำงาน" เจ้าหน้าที่คนหนึ่งบอก
“น่าจะเป็นเพราะไฟดับเมื่อกี้ เดี๋ยวก็รีบูตขึ้นมาเอง เชื่อสิ” เจ้าหน้าที่คนที่สองบอก
เจ้าหน้าที่คนแรกพยายามซ่อมแต่ยังไม่สำเร็จ คิดว่าเป็นแบบที่เพื่อนบอกเลยไม่สนใจ หันไปทำงานอื่นต่อ
พ.ต.ต. หญิง รวิ อิงคพัฒน์นั่งรออยู่ในห้องสอบสวนพลางเคาะคอมพิวเตอร์ สำรวจดูเหตุการณ์ในจอภาพอย่างระแวดระวัง ประตูห้องสอบสวนเปิดออก รวินึกว่าดาหลาพานภากับพวกเข้ามา จึงพูดขึ้นโดยไม่หันหน้าไปมอง
“มาแล้วเหรอ เอาตัวมาตรงนี้เลย”
“แต่ผู้หญิงคนนี้โดนยิง” เสียงนภาบอก
รวิยังคงจ้องอยู่ที่หน้าจอ ไม่หันมาแต่พูดต่อ
“ผู้หญิงเหล็กอย่างมันไม่ตายง่ายๆ หรอก"
“เหี้ยมผิดผู้ผิดคน ผู้หญิงอย่างเธอไม่เหมาะสมกับตำแหน่งผู้บัญชาการสำนักงานสืบสวนพิเศษเลย"
รวิเงยหน้ามามองด้วยสีหน้าแปลกใจ
"ผบ.นภา"
นภาโยนร่างดาหลาที่หมดสติแล้วเข้าใส่รวิ แล้วเอาปืนจ่อรวิไว้
“ตำแหน่ง ผบ.สำนักงานสืบฯ ฉันไม่ได้มาเพราะโชคช่วย ถ้าฉันคิดทำอะไร พวกแกไม่มีวันตามฉันทัน”
“ยังไงแกก็ไม่มีทางหนีออกไปได้ เมฆาจะต้องตายพร้อมกับกระสุนนัดนั้น”
“งั้นเรามาพิสูจน์กัน คนชั่วอย่างพวกแก... ไม่มีวันเอาชนะความถูกต้องไปได้ ศรัทธาของความดีจะยังคงอยู่ในสังคมไทยตลอดไป"
นภาถอยออกมาจากห้องปิดประตูโครม กดรหัสปิดประตูล็อกสัญญาณจากทางด้านนอก รวิพยายามทุบเท่าไรก็เปิดออกมาไม่ได้ นภายืนจ้องด้วยสีหน้าสะใจ
“เหนื่อยเปล่า... ห้องนี้ตัดสัญญาณสื่อสาร เธอไม่มีทางขอความช่วยเหลือจากใคร ยอมรับเถอะรวิ... เธอแพ้ฉันแล้ว !”
นภาจ้องรวินิดหนึ่ง ก่อนจะเดินออกมา รวิพยายามจะหนีออกมาแต่ก็ไร้ผล
นภาเดินมาตามทางเดินบนชั้นห้องสอบสวน ยกวิทยุสื่อสารกำลังจะติดต่อออกไป เจ้าหน้าที่ 2 คนปราดเข้ามาประจันหน้าพร้อมอาวุธครบมือล้อมรอบเธอไว้
นภาชะงักนิดหนึ่ง ปราดตามองทั้งสองคน
"สมัย... ดนู... จำฉันไม่ได้เหรอ"
"ผบ.นภา"
"อย่าขัดขวางเลย ปล่อยให้ฉันทำตามความถูกต้องเถอะ"
“ไม่ได้.. ผมต้องทำตามหน้าที่ ผบ.กำลังทำเรื่องผิดกฏหมาย”
“ถ้าเลือกอยู่ฝั่งตรงข้ามกับความดี ฉันจำเป็นต้องทำแบบนี้ !”
นภาพุ่งเข้าชาร์จทั้งสองคน ต่อสู้ด้วยมือเปล่าเล่นงานทั้งคู่จนหมอบล้มคว่ำจนหมดสติไปในที่สุด
แต่พอนภาเงยหน้าขึ้นมากลับโดนจ่อด้วยปืนอีกสองกระบอกจากข้างซ้ายและขวา เจ้าหน้าที่อีกสองคนออกมาคุมตัวนภาไว้ จากทั้งสองด้าน นภาชะงัก...หาทางออก
“ระยะแค่นี้ผมยิงไม่พลาดแน่... อย่าขยับ !”
ก่อนที่นภาจะถูกจับ แสงกล้าออกมาจากมุมหนึ่งตรงเข้าเล่นงานเจ้าหน้าที่คนหนึ่งด้วยมือเปล่าจนสลบไป อีกมุมหนึ่ง คมศรตรงออกมาเล่นงานเจ้าหน้าที่อีกคนหนึ่งจนสลบเช่นกัน
"ขอบใจมาก... พวกเธอมาทันเวลาพอดี"
นภาสีหน้าเครียดและจริงจังเดินนำทั้งสองคน โดยมีคมศรกับแสงกล้าขนาบทั้งสองข้าง
นภาพูดวิทยุ
“ควบคุมสถานการณ์ชั้นบนได้แล้ว ดำเนินการตามแผนต่อไป”
นภาเดินนำแสงกล้ากับคมศรออกไปแบบเหนือชั้น
ภายในห้องผ่าตัด แพรไพลินตอบรับวิทยุจากนภา เดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว กุ๊บกิ๊บกับพยาบาลปราดเข้ามาหา
“รับทราบค่ะ... กำลังดำเนินการตามแผนสอง”
แพรไพลินหันมาพูดกับกุ๊บกิ๊บ
“ฉันต้องการรู้ตำแหน่งกระสุนในร่างของท่านนายกฯเมฆา เราจะต้องเคลื่อนย้ายตัวดอกเตอร์ออกไปโดยเร็วที่สุด"
พยาบาลเลื่อนจอภาพที่ปรากฏภาพในร่างกายเมฆาเห็นกระสุนที่เคลื่อนที่ไปมา ไม่มีวี่แววว่าจะหยุด
“กระสุนยังเคลื่อนที่ไม่หยุดและที่สำคัญ... ตอนนี้อยู่ในตำแหน่งที่เสี่ยงเกินกว่าจะเคลื่อนย้ายท่านนายกฯค่ะ”
แพรไพลินมีสีหน้าวิตกครุ่นคิด
จักร อมตฤทธาได้รับการพยาบาลจากเจ้าหน้าที่ภาคสนามทางด้านล่างเรียบร้อยแล้ว วินยืนอยู่ด้านข้าง จักรกำลังพูดวิทยุอยู่กับห้องคอมพิวเตอร์ทางด้านบน เขาเข้าใจว่ากำลังคุยอยู่กับรวิ
“จับนังนภากับพวกได้แล้วใช่มั้ย”
“เรียบร้อยแล้วค่ะท่าน.. ตอนนี้ถูกควบคุมตัวอยู่ที่ห้องสอบสวน”
"ดีมาก.. แล้วคนอื่นๆ"
CUT /
ที่ห้องคอมพิวเตอร์ เจ้าหน้าที่คอมพิวเตอร์ทั้ง 2 คนถูกจับมัดเอาผ้าปิดปากอยู่ที่มุมหนึ่ง นภา แสงกล้า คมศร และ น้ำใสยืนคุมสถานการณ์ทั้งหมดไว้ได้แล้ว นภากำลังจ้องภาพวงจรปิดที่เห็นภาพเนติเทคฯทุกชั้น และ เห็นภาพจักรกำลังปฐมพยาบาลอยู่ด้วย
"แสงกล้ากับคมศรยังอยู่ในห้องควบคุมตัว" นภาบอก
จ่าหวานกับดาบแหบคุมเชิงอยู่ที่หน้าห้อง ป้องกันอีกชั้นหนึ่ง
จักรได้ยินเป็นเสียงรวิชัดเจน
“ตอนนี้เราควบคุมสถานการณ์ทั้งหมดไว้ได้แล้วค่ะ
"แล้วสื่อฯล่ะ.. ตอนนี้พวกสื่อเริ่มรู้ข่าวการบุกเนติเทคฯแล้ว กองทัพนักข่าวกำลังจะ
เข้ามาที่นี่"
“เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ ฉันแนะนำให้ท่านจัดแถลงข่าวอย่างเป็นทางการที่ด้านล่าง สกายนิวส์เน็ตเวิร์ค เพิ่งติดต่อเข้ามาเพื่อขอสัมภาษณ์ท่าน”
CUT /
ที่ห้องคอมพิวเตอร์ นภากำลังพูดติดต่อกับจักรผ่านโปรแกรมแปลงเสียง
“ฉันจะสอบสวน ผบ.นภา ด้วยตัวเอง และจะนำลงไปแถลงข่าวทันทีที่เราพร้อมค่ะ”
ในจอวงจรปิด นภาที่เห็นจักรกำลังพูดวิทยุและยิ้มพอใจ
“ดีมาก... นัดเวลาสกายนิวส์เน็ตเวิร์คได้เลย ฉันจะจัดแถลงข่าวที่ชั้นล่างนี้เอง”
นภาจ้องมองด้วยสายตาพอใจ แสงกล้าหันมาทางน้ำใสแล้วกระซิบ
"เรามีเรื่องต้องคุยกัน...”
แสงกล้าดึงน้ำใสออกไป น้ำใสจำต้องออกไป คมศรมองตาม
แสงกล้าเดินดึงน้ำใสออกมาด้านนอก น้ำใสสะบัดตัวเองออกจากมือแสงกล้า
"ปล่อยฉันนะ ทำแบบนี้กับฉันได้ไง"
"เธอมาที่นี่ทำไม"
"มาช่วย"
"แต่มันอันตรายมาก"
"ผบ.นภาโทรไปบอกฉันเรื่องนายถูกจับ ขอให้ฉันเป็นหนึ่งในแผนการครั้งนี้"
"เธอไม่เหมาะจะอยู่ที่นี่"
"แสงกล้า... นายห้ามฉันได้ทุกเรื่อง แต่ห้ามไม่ให้ฉันช่วยคนที่ฉันรักไม่ได้"
แสงกล้าชะงักไปทันที
“ถ้านายรู้ว่าคนรักกำลังตกอยู่ในอันตราย นายก็ต้องทำแบบฉัน”
“น้ำใส... เราคุยเรื่องนี้กันจบไปแล้วนะ”
"นอกเหนือจากเรื่องความรัก ฉันต้องทำแบบนี้เพื่อประเทศชาติ ดอกเตอร์เมฆาจะออกไปจากที่นี่ได้.. ต้องมีฉันอยู่ด้วย"
"ฉันไม่เข้าใจ"
“อีกไม่นานนายจะเข้าใจ”
เสียงโทรศัพท์มือถือน้ำใสดังขึ้น หน้าจอระบุสายเรียกเข้าจาก SKY NEWS NETWORK น้ำใสรับโทรศัพท์ น้ำใสเดินเลี่ยงไปทางหนึ่ง
“ค่ะบ.ก. ผบ.นภายืนยันว่าพร้อมจะให้สถานีของเราสัมภาษณ์เพียงแห่งเดียว ขอแค่เราทำตามเงื่อนไขเท่านั้น ค่ะ..ฉันยินดีรับผิดชอบ ถ้ามีอะไรผิดพลาดขึ้น ค่ะ.. ขอบคุณมากค่ะ บ.ก. ขอบคุณที่ให้ความร่วมมือค่ะ"
น้ำใสรีบเดินเข้าไปหานภาทันทีเมื่อได้รับข่าวจากสถานีฯ แสงกล้ามองตามด้วยสายตาไม่เข้าใจ
น้ำใสรีบเดินเข้ามาภายในห้องคอมพิวเตอร์บอกนภา
“ผบ.นภาคะ... สกายนิวส์เนตเวิร์คพร้อมมาถึงที่นี่ภายในหนึ่งชั่วโมงค่ะ”
“ดีมาก. ไปเตรียมตัวให้พร้อมเถอะ”
น้ำใสรับคำแล้วเดินออกไป นภาหันมาทางแสงกล้าที่เพิ่งเข้ามา และกับคมศรที่กำลังจ้องเธออยู่
“เรากำลังจะเอาตัวดอกเตอร์เมฆาออกไปจากที่นี่ ฉันขอความร่วมมือจากพวกเธอ
ทุกคน ทำตามคำสั่งของฉัน... โดยไม่มีข้อแม้ !”
ทั้งหมดมีสีหน้าจริงจังและมุ่งมั่น
ทางด้านบริเวณอุทยานประวัติศาสตร์ เหล่าร้ายสามารถแกะจักระนารายณ์ออกมาจากฐานได้
วิญญูยิ้มพอใจเดินเข้ามาใกล้
อีกมุมห่างออกมาตรงที่รถบรรทุกจอดอยู่ สมิงหยิบหมวกมาใส่หลุบหน้าแล้วยกกระเป๋าโลหะที่จะใช้บรรจุออกไป
วิญญูชูจักระนารายณ์ขึ้นมอง แสงแดดกระทบกับจักระนารายณ์สวยงามวิบวับสวยงาม
“ในที่สุดจักระนารายณ์ก็อยู่ในมือฉันแล้ว ฮึๆ ๆ”
ภายในโถงขมังเวทย์ บริเวณที่เก็บศาสตราวุธที่เหลืออีกสามชิ้นเกิดประกายแสงเจิดจ้าเกิดขึ้นเหนือศาสตราวุธทั้ง 3 ชิ้น แต่ละชิ้น เปล่งประกายแสงกันออกมาด้วยสีต่างๆ กันออกไป
แสงทั้งหมดมารวมกันเปรียบเหมือนเป็นสัญญลักษณ์การครบของเทวาศาสตราวุธ
จักระนารายณ์เปล่งประกาย สะท้อนเข้าไปที่ใบหน้าของวิญญู ฉับพลันใบหน้าวิญญูที่เคยปูดโปนด้วยเส้นเลือดจากการต่อสู้กับนภาครั้งที่แล้วกลับกลายหายไปช้าๆ กลายเป็นใบหน้าปกติ วิญญูหันไปสั่งลูกน้อง
"เตรียมขนย้ายจักระนารายณ์...”
ภายในห้องผ่าตัด ที่หน้าจอแสดงภาพกระสุนในตัวดร. เมฆา ฐานรัฐ จู่ๆ กระสุนก็หยุดเคลื่อนที่ พยาบาลชี้ที่จุดกระสุนแล้วหันมารายงานแพรไพลิน
"กระสุนหยุดเคลื่อนที่แล้วค่ะหมอ"
แพรไพลินชะงักมองด้วยความแปลกใจ
“แต่ยังอยู่ใกล้อวัยวะสำคัญ ถ้าขยับร่างท่านนายกฯตอนนี้...คงไม่เหมาะนะคะ” กุ๊บกิ๊บว่า
แพรไพลินจ้องที่จอ
“กระสุนหยุดเคลื่อนที่แล้ว... ถ้าเคลื่อนย้ายร่างท่านนายกฯไม่ได้ เราคงจำเป็นต้องเสี่ยงผ่าเอาออกมา"
แพรไพลินนิ่งคิดเหมือนกำลังตัดสินใจกับความเสี่ยง
ภายในห้องควบคุม นภานิ่งคิดตัดสินใจ เบื้องหน้านภามีภาพแพรไพลินกำลังรอการตัดสินใจนี้อยู่ในห้องผ่าตัด นภานิ่งคิด ภาพความทรงจำ รอยยิ้ม และความสุขระหว่างเธอกับเมฆากลับเข้ามาในความทรงจำอีกครั้งหนึ่ง
นภาสีหน้าเยือกเย็นและเด็ดขาด เพราะตัดสินใจได้แล้ว
“ฉันเชื่อในการตัดสินใจของเธอ... ทำในสิ่งที่เห็นว่าเหมาะสมที่สุดเถอะ แพรไพลิน”
ภายในห้องผ่าตัด แพรไพลินหันไปสั่งและเตรียมเครื่องมือทั้งหมด
“เตรียมผ่าตัดด่วน... เรามีเวลาเหลือไม่มาก การผ่าตัดต้องเสร็จสิ้นภายใน 1 ชั่วโมง”
ดร. เมฆายังสลบไสลไม่ได้สติอยู่ที่เตียง ท่ามกลางความโกลาหลภายในห้องผ่าตัด
เวลาเย็นใกล้ค่ำ จักระนารายณ์ถูกบรรจุลงในกระเป๋าโลหะ วิญญูยิ้มพอใจปิดกระเป๋านั้น... เหล่าร้ายใส่หมวกคนหนึ่งรับกระเป๋ามาแล้วเดินถือกระเป๋านั้นออกไป
วิญญูชะงักเหลียวมองไปที่เหล่าร้ายคนนั้น แล้วมองตามไปนิดหนึ่ง แต่พอดีกับบอดี้การ์ดคนหนึ่งเข้ามารายงาน
“ท่านจักรแจ้งเข้ามา... จับ ผบ.นภา กับพวกได้แล้วครับ”
“พวกมันอยู่ที่ไหน”
“เนติเทคฯ... ท่านจักรบอกให้ท่านตามไปสบทบด้วย”
วิญญูพยักหน้ารับรู้ก่อนเดินตรงออกไป
ขบวนรถวิญญูที่มาขุดจักระนารายณ์กำลังเคลื่อนที่ออกไปจากอุทยานฯ วิญญูนั่งอยู่บนรถ มองไปทางกระจกส่องหลัง เห็นมอเตอร์ไซค์สมิงขี่ตามมาทางด้านหลัง
จ่าสมิงมองไปเบื้องหน้าแล้วหัวเราะยิ้มร่า
“พญามารหน้าโง่... ทำไมมันกระบือขนาดนี้วะ”
สมิงหยิบพดด้วงออกมาพร้อมกับตะโกนลั่น
"สัพเพสัตตา.. อะเวราโหนตุ .. จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย”
สมิงดีดพดด้วงในมือเต็มแรง... พดด้วงพุ่งแหวกอากาศตรงเข้าไปยังถังน้ำมันของรถบรรทุกของวิญญู
จู่ๆ รถวิญญูที่กำลังวิ่งอยู่ ถังน้ำมันระเบิด ไฟลุกท่วม
สมิงขี่มอเตอร์ไซค์อยู่หัวเราะร่าชอบใจ คว้าพดด้วงที่เด้งแหวกอากาศกลับมาเก็บใส่กระเป๋าตัวเองไว้ตามเดิม
ที่ท้ายรถสมิงมีกระเป๋าโลหะบรรจุจักระนารายณ์ผูกอยู่ทางด้านหลัง
เหนือเมฆ 2 : มือปราบจอมขมังเวทย์ ตอนที่ 10 (ต่อ)
บนถนนเวลากลางคืน รถมอเตอร์ไซค์ของสมิงกำลังผ่านไปตามเส้นทางที่มืดสนิท สมิงกำลังขี่รถด้วยท่าทางอารมณ์ดี ฮัมเพลงไปมา จู่ๆก็มีแสงเงาบางอย่างพุ่งผ่านเหนือรถมอเตอร์ไซค์ไปทางด้านหน้าปรอทกรอที่ห้อยอยู่บนคอสมิงสั่นรัว สมิงตกใจหันไปมองด้านหน้า
"เฮ้ย...”
ด้านหน้าไกลออกไป วิญญูปรากฏร่างยืนขวางถนนอยู่ สีหน้าเหี้ยมดูน่ากลัว
“ทำไมไม่สู้กันต่อหน้าล่ะมงคล ลอบกัดกันลับหลัง...มันไม่สมศักดิ์ศรีเลยนะ !” วิญญูตะโกนลั่น
วิญญูพุ่งตรงเข้าเล่นงานสมิงทันที
บังเกิดลมพายุโหมกระหน่ำแรงเข้าปะทะมอเตอร์ไซค์ของสมิง สมิงพยายามบังคับมอเตอร์ไซค์ให้ไปตามทาง
ฉับพลันเกิดระเบิดไฟ ตูม ! ตูม ! ตูม ! รายรอบมอเตอร์ไซค์ แต่สมิงยังขี่รถรอดออกมาได้
วิญญูก้มลงที่พื้นถนนเบื้องหน้า ตวัดมือคล้ายกระชากพื้นถนนเบื้องหน้าเต็มแรง ถนนที่สมิงขี่รถอยู่ม้วนตามแรงกระชากของวิญญู สะบัดเอารถมอเตอร์ไซค์สมิงลอยเคว้ง
สมิงตาเหลือกด้วยความตกใจ
"อ๊าก"
ลูกไฟอีกลูกหนึ่งพุ่งกระทบเข้ากับมอเตอร์ไซค์ กระแทกทั้งร่างสมิงและมอเตอร์ไซค์ระเบิดตูม !
กระเป๋าโลหะที่เก็บจักระนารายณ์ตกลงมายังพื้นถนน วิญญูยิ้มเหี้ยมด้วยความสะใจ เปิดกระเป๋าโลหะหยิบจักระนารายณ์ออกมา
บริเวณโถงเนติเทคฯ ชั้นล่าง มีการจัดเตรียมแถงข่าว มีช่างกล้องและเจ้าหน้าที่โทรทัศน์มาเตรียมพร้อม จักรกำลังเตรียมตัวแถลงข่าวอยู่ที่มุมหนึ่ง น้ำใสในชุดนักข่าวเดินเข้ามาเพื่อซักซ้อมเตรียมพร้อม
“ท่านคะ... เราจะตัดเข้ารายงานสดในรายการข่าวภาคค่ำนะคะ”
"ยังมีเวลาอีกเท่าไหร่" จักรถาม
"ประมาณครึ่งชั่วโมงค่ะ"
จักรยิ้มพอใจ มองหน้าน้ำใสอย่างถูกใจตามประสาคนเจ้าชู้
“ฉันดูรายการวิเคราะห์ข่าวของหนูทุกวัน น่าสนใจมาก วิเคราะห์เจาะลึกได้แรงดี”
น้ำใสยิ้มใส่จริต
“ขอบพระคุณที่ติดตามค่ะ ดิฉันยินดีมากเช่นกันที่ได้สัมภาษณ์ท่านในวันนี้ ท่านเป็นนักการเมืองไอดอลของดิฉันเลยนะคะ”
จักรยิ้มหัวเราะแผ่วบอก
“จริงเหรอ งั้นหลังจากวันนี้ เราน่าจะหาโอกาสทำความรู้จักกันให้มากขึ้น"
“ยินดีค่ะ”
จักรเอื้อมมาจับมือน้ำใสหน้าตาเฉย เธอทำเป็นมีจริตอายๆ เขินๆ มองหน้าเขา
วินกำลังตรวจดูความเรียบร้อยทางโถงด้านหนึ่ง กำลังพยายามวิทยุติดต่อรวิ
"ผบ.รวิ... ท่านผบ.รวิ สถานการณ์ด้านบนเป็นยังไงบ้างครับ... ผบ.รวิ"
วินนิ่วหน้าด้วยความแปลกใจ หันไปบอกเจ้าหน้าที่คนหนึ่ง
"ดูแลข้างล่างนี้หน่อยนะ ฉันจะขึ้นไปชั้นบน"
"ครับผู้กอง"
วินเดินหลุดออกมาอีกทางหนึ่ง ขณะที่กำลังจะเดินลับมุมผนังด้านบันไดหนีไฟ กลับโดนกระชากตัวหวือเข้าไปทางด้านในที่ลับตาคน
"แสงกล้า...” วินร้องขึ้น
แสงกล้าพยักหน้าพลางยิ้มเหี้ยมเหนี่ยวตัววินเข้ามาหาพร้อม ๆ กับทุ่มถีบลำตัววินจนลอยคว้าง ร่างของวินกระทบผนังด้านหนึ่ง..โครม ! หมดสติไปทันที
แสงกล้าเดินออกมาพร้อมกับวิทยุ
"ขอเอาคืนนะผู้กอง เมื่อกี้เล่นผมซะหนักเลย โถงด้านล่างเคลียร์ !พร้อมนำตัวท่านนายกฯ ออกไปแล้ว”
แสงกล้าเดินผ่านตัววินออกไปอย่างเท่สุด
จักรยิ้มจับมือถือแขนน้ำใส เธอทำท่าเอียงอายตามจริตสาว
"ให้ช่างแต่งหน้าซับหน้าสักนิดนะคะ จะได้ดูดีตอนออกอากาศ"
“ขอบใจจ้ะ”
ช่างแต่งหน้าคนหนึ่งปราดเข้ามาใช้ผ้าซับหน้าจักร มีสารเคมีบางอย่างอยู่บนผ้าผืนนั้น จู่ๆ จักรก็เกิดอาการวิงเวียนตาลาย เขาสะบัดศีรษะ
"ท่านคะ.. ท่านเป็นอะไรคะ" จักรว่า
ร่างจักรล้มทั้งยืน ร่วงลงไปทันที น้ำใสทำเป็นตกใจตะโกนลั่น น้ำใสเหลียวหาคนช่วย“ท่านจักร ! ช่วยด้วย... ท่านจักรหมดสติไปแล้ว ช่วยด้วยค่ะ”
ดาบแหบทำเป็นปราดเข้ามาทันทีด้วยความตกใจ เอามือแตะที่ลำคอแล้วยิ่งตกใจมากขึ้นก่อนพูดเสียงดัง
“ชีพจรเต้นอ่อนมาก”
ดาบแหบหันขวับไปทางน้ำใส พูดด้วยน้ำเสียงดังเพราะต้องการให้ทุกคนได้ยิน
“เกิดอะไรขึ้น”
“ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ จู่ๆ ท่านรองก็ล้มลงไปเลย”
ดาบแหบตะโกนสั่งลั่น
“ตามหมอด่วน... เรียกรถพยาบาลมาด้วย ท่านจักรอาการแย่แล้ว”
น้ำใสจ้องมองอย่างมีแผน
รถพยาบาลเปิดไซเรนจอดอยู่ที่หน้าเนติเทคฯ ท่ามกลางความโกลาหล พยาบาลและเจ้าหน้าที่หลายคนอันประกอบด้วยนภา, แสงกล้า, ดาบแหบ, จ่าหวาน แต่งตัวรัดกุมไม่เห็นใบหน้าเข็นเตียงคนไข้ออกมาจากด้านในเนติเทค คนที่อยู่บนเตียงใส่หน้ากากออกซิเจนและมีผ้าคลุม ไม่เห็นเลยว่าแท้จริงแล้วไม่ใช่จักร
แสงกล้าที่เดินนำเตียงคนไข้ออกมาแหวกทางผู้คน
"ขอทางหน่อยครับ... เราต้องรีบนำตัวรองจักรไปส่งโรงพยาบาล ขอทางด้วย"
แต่ละคนที่อำพรางต่างรีบพากันขึ้นไปบนรถพยาบาลอย่างรีบเร่ง ทั้งหมดสามารถหลบขึ้นไปบนรถพยาบาลได้เรียบร้อย รถพยาบาลเปิดไซเรนขับออกไปอย่างรวดเร็ว
ภายในเนติเทค ที่มุมลับตาคน ร่างของจักรและวินที่หมดสติอยู่ทางด้านในยังไม่มีใครมาช่วยคนทั้งสองได้
ภายในรถพยาบาล นภานั่งอยู่ด้านข้างและมองหน้าสามี... ดร. เมฆา ฐานรัฐด้วยความรู้สึกห่วงใยอย่างที่สุด แสงกล้านั่งอยู่ที่นั่งด้านหน้าข้างคนขับ มองภาพเบื้องหน้าและโดยรอบ สีหน้าและแววตาดูเป็นกังวลไม่สบายใจเลย
ภายนอกฐานนภา รถพยาบาลแล่นเข้ามาอย่างรวดเร็ว ประตูรถพยาบาลเปิดออก ทั้งหมดลำเลียงเมฆาลงมาจากรถ ผู้การอินทนนท์ปราดเข้ามาหานภาที่สีหน้าเครียด
“คนของเราที่เนติเทคฯแจ้งเข้ามาเมื่อกี้ รองจักรกับผู้กองวินฟื้นแล้ว”
"แล้วรวิล่ะ" นภาถาม
“ออกมาจากห้องควบคุมได้แล้ว กำลังสอบสวนแพรไพลินกับคมศร แพรไพลินจะตามมาดูแลดอกเตอร์เมฆาที่นี่หลังจากสลัดออกจากรวิได้”
อินทนนท์เดินเข้ามาแตะที่ไหล่นภาเป็นเชิงให้กำลังใจ
“เราทำสำเร็จแล้ว... เหลือแค่รอเวลาให้ดอกเตอร์เมฆาฟื้นเท่านั้น”
นภาสีหน้าเครียดยังไม่ค่อยสบายใจนัก เดินตามกลุ่มเข้าไปทางด้านใน
แสงกล้าและเจ้าหน้าที่พยาบาลเข็นเตียงคนไข้เข้ามาภายในบริเวณฐาน ที่จัดเป็นที่พักฟื้นสำหรับเมฆา เมื่อมาถึงบริเวณนั้นเจ้าหน้าที่จึงเดินออกไป
นภาสีหน้าและแววตาเต็มไปด้วยความห่วงใย ตรงเข้าไปยังเมฆาและมองด้วยความรักและผูกพันที่สุด
"เมฆา... ฉันช่วยคุณสำเร็จแล้ว"
นภาเอื้อมมือไปจับเมฆาที่นอนยังไม่ได้สติ เธอยิ้มยินดี
"ฟื้นนะคะ... คุณต้องฟื้น"
อินทนนท์เดินเข้ามาหาแสงกล้า
แสงกล้ารายงานกับอินทนนท์
"ทุกอย่างเรียบร้อยดีครับท่าน"
"มีใครตามมามั้ย"
แสงกล้าสีหน้าไม่สบายใจ
“ไม่มีครับ”
"มีอะไรไม่สบายใจรึ"
ผู้การอินทนนท์หันไปมองนภากับเมฆาแล้วจึงหันบอกแสงกล้า
"เราไปคุยกันข้างนอกดีกว่า"
อินทนนท์เดินนำแสงกล้าออกไป นภาดึงเก้าอี้มานั่งเฝ้าจับมือเมฆาอยู่อย่างนั้น เฝ้ารอการฟื้นคืนสติของเขา
แสงกล้ากำลังยืนคุยกับอินทนนท์ท่ามกลางแสงและวิวสวย สีหน้าแสงกล้าไม่ค่อยสบายใจ
"ระหว่างการขนย้ายท่านนายกฯ ทุกอย่างมันง่ายเกินไป ไม่มีด่านตรวจ.. ไม่มีหน่วยไล่ล่าของสำนักงานสืบฯ.. ไอ้วิญญูไม่ติดตามมา ทุกอย่างราบรื่นผิดปกติ"
"เธอตรวจสอบดีแล้วไม่ใช่เหรอ"
"ทุกจุดครับ... ยกเว้นประเด็นเดียว"
"อะไร"
"ตัวท่านนายกฯ เอง"
ผู้การอินทนนท์ชะงักไปนิดหนึ่ง รับรู้ได้ถึงความไม่สบายใจของแสงกล้า
"เราก็เห็นแล้วว่าเป็นท่านนายกตัวจริง ไม่มีใครปลอมตัวมา"
"นั่นสิครับ... บางทีผมอาจจะคิดมากไปเองก็ได้"
"แพรไพลินเป็นยังไงบ้าง"
"ผบ.รวิ คงสงสัย... แต่ไม่มีหลักฐานที่ทำอะไรเธอได้ อีกไม่นานคงตามมาครับ"
แสงกล้าตอบด้วยสีหน้าแววตาที่ยังคงไม่สบายใจอยู่
ภายในบริเวณฐาน นภาจัดแจกันดอกไม้เสร็จเรียบร้อยแล้ว เธอเดินเข้าไปจัดวางตรงหัวเตียงผู้ป่วย ยิ้มๆ พูดคนเดียว
"สถานที่อาจจะไม่ค่อยเหมาะนัก.. แต่ฉันจัดเตรียมทุกอย่างเต็มที่เพื่อคุณค่ะ ฉันอยากให้คุณตื่นขึ้นมาในบรรยากาศสดใส เรายังมีเรื่องสำคัญที่ต้องช่วยกันทำอีกหลายเรื่อง ประเทศชาติกำลังรอการฟื้นของคุณนะคะเมฆา"
ใบหน้าเมฆาที่ยังคงหลับไหลไม่ได้สติ
นภายิ้มเดินมานั่งที่ข้างเตียง หยิบผลไม้ที่เตรียมไว้มาปอกใส่จานเตรียมไว้ให้เมฆาทาน
"แต่ถ้าเราสะสางความวุ่นวายงานนี้เสร็จแล้ว พอซะทีเถอะนะคะ คุณเหนื่อยกับงานผู้นำประเทศมากเกินไปแล้ว การเมืองน่าจะถึงเวลาของคนรุ่นใหม่ซะที ถ้าคุณไม่ยอมเลิกเสียสละเพื่อชาติ ฉันจะบังคับให้คุณเลิกให้ได้ คอยดูสิ"
ดร. เมฆา ฐานรัฐกระสับกระส่ายคล้ายกำลังจะรู้สึกตัว นภาชะงักไปทันทีเมื่อเห็นอาการนี้ เธอดีใจ
"เมฆา... คุณฟื้นแล้ว"
ภายในห้องผ่าตัดเวลากลางคืน พ.ต.ต. หญิง รวิ อิงคพัฒน์กำลังสอบสวนแพรไพลินที่ทำท่าทางเพลียและเหนื่อยอ่อน มีพยาบาลคอยดูแลอยู่ที่ด้านข้าง ไกลออกไป กุ๊บกิ๊บกำลังให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่อีกคนหนึ่ง
รวิพูดกับแพรไพลิน
“ฉันขอถามเธออีกครั้งหนึ่ง ดอกเตอร์เมฆาไปไหน”
“จะถามกี่ครั้ง ฉันก็มีคำตอบเดียวไม่ทราบ”
กุ๊บกิ๊บกำลังให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่คนหนึ่ง
“เรากำลังผ่าตัดท่านนายกฯ จู่ๆ พวกเค้ามาจากไหนไม่รู้ เล่นงานหมอแพรไพลินกับพวกเราจนสลบเหมือดแล้วชิงตัวท่านนายกออกไปเฉยเลย”
รวิชำเลืองมองไปทางกุ๊บกิ๊บอย่างไม่เชื่อ หันมาเผชิญหน้ากับแพรไพลินที่จ้องหน้ารวิตอบแบบไม่เกรงกลัว
วินเปิดประตูผลัวะเข้ามาพร้อมกับเจ้าหน้าที่ฯ ชะงักไปนิดหนึ่งที่เห็นคมศรนั่งสีหน้านิ่งเฉยอยู่ภายในห้องควบคุมตัว
“เกิดอะไรขึ้น ผมได้ยินเสียงปืน”
วินชี้หน้าอย่างไม่เชื่อ
“อย่าบอกนะว่าตลอดเวลาคุณนั่งอยู่ในนี้”
คมศรแกล้งยิ้มบอก
“แล้วจะให้ไปไหน ผู้กองขังผมไว้ในนี้เอง... ลืมไปแล้วเหรอ”
คมศรทำเนียนได้สนิทใจ กอดอกพิงพนักพิงเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
บริเวณโถงด้านล่างเนติเทคฯ จักร อมตฤทธามีท่าทางหงุดหงิด พยาบาลกำลังดูแลให้ฟื้นจากอาการสลบ ดาหลาเดินเข้ามารายงาน
“นังนักข่าวคนนั้นออกไปจากที่นี่ หลังจากพวกมันชิงตัวดอกเตอร์เมฆาออกไปค่ะ”
จักรคิดนิดหนึ่ง
“มันต้องเป็นพวกเดียวกันแน่ๆ”
“จะเอายังไงดีคะ ไปลากตัวมันมาจากสถานีเลยมั้ย”
“ฉันทำแน่ !แต่ขอตรวจให้มั่นใจก่อนว่าพวกมันกำลังคิดทำอะไร”
“หมายความว่ายังไงคะ”
“นังนภากำลังจะใช้สื่อเป็นเครื่องมือ เช็กกับสายข่าวของเราที่สกายนิวส์เน็ตเวิร์ค ฉันต้องการรู้ว่านังน้ำใสกำลังทำอะไร เออ.. แล้วติดต่อวิญญูได้มั้ย”
“ไม่ได้ข่าวตั้งแต่หัวค่ำแล้วค่ะ”
จักรสีหน้าครุ่นคิด
บริเวณโถงขมังเทย์ วิญญูนอนอยู่บนแท่นฯ รายรอบไปด้วยเทวศาสตราวุธทั้งสี่ บังเกิดแสงวิ่งวนไปรอบแท่น วิญญูยังคงนอนหลับตาทำสมาธิ เพื่อทำบางสิ่งบางอย่างอยู่
ภายในฐาน ดร. เมฆา ฐานรัฐค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ นภาเข้าไปสวมกอดด้วยความรักอย่างที่สุด
“คุณฟื้นแล้วจริงๆ ฉันไม่ได้ฝันไปใช่มั้ย คุณปลอดภัยแล้ว”
นภามองไปที่สามีด้วยสายตายินดี เมฆายังไม่มีทีท่าอะไคล้ายยังมึนงงอยู่
“น้ำ... ผมหิวน้ำ”
นภาเหลียวมองหา
“รอแป๊บนึงนะคะ”
นภาลุกเดินออกไป ทิ้งให้เมฆาที่ฟื้นแล้วอยู่บนเตียง เธอหันหลังกลับไปหยิบขวดน้ำขึ้นมารินน้ำใส่แก้ว เมฆาสีหน้านิ่งๆ มองนภาอย่างไม่ละสายตา
นภาส่งน้ำให้เมฆาจิบ เขาจิบน้ำด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ยังเจ็บอยู่มั้ยคะ”
“ไม่... ไม่เจ็บแล้ว”
นภายิ้มแย้มรับแก้วน้ำคืนมาจากเมฆาไปวางไว้ที่หัวเตียง ก่อนเอามือแตะที่เส้นผมซึ่งลงมาปรกที่หน้าเมฆา เธอจัดผมเขาให้เข้ารูป
“คุณรู้มั้ย... ฉันดีใจมากแค่ไหน คุณฟื้น คุณรอดตายแล้ว”
นภาสวมกอดเมฆาอีกครั้ง น้ำตาเธอคลอด้วยความดีใจ เมฆาพยักหน้าน้อยๆ เหมือนกำลังรับรู้ความรู้สึกนภา
“ฉันสัญญาค่ะ ต่อจากนี้ไปเราจะเริ่มต้นกันใหม่ เราจะมีชีวิตคู่ใหม่ที่ดีกว่าเดิม ฉันจะเลิกน้อยใจไม่เข้าท่าเวลาที่คุณเอาแต่ทำงาน จะเอาใจคุณให้มากขึ้นจะไปหัดทำอาหารที่คุณชอบ ฉันจะเป็นแม่บ้านแม่เรือนให้สมกับที่คุณรัก แต่คุณต้องสัญญากับฉันเหมือนกันนะคะ สะสางทุกอย่างเสร็จแล้ว คุณจะต้องเลิกทำงานการเมืองหันมาช่วยฉันเลี้ยงหลานอย่างเดียว”
“หลาน?”
“ก็ลูกของพายุกับฟ้ายังไงล่ะคะ ดูทำหน้าเข้า ทำเหมือนไม่รู้ว่าฟ้ากำลังตั้งท้อง”
เมฆาเงียบๆ ไม่ตอบนภา เขามองไปรอบๆ ห้องราวกับสำรวจอะไรบางอย่าง
“ผมไม่ทันคิด”
นภายิ้มๆ กุมมือเมฆาไว้ด้วยความรักและผูกพันอย่างที่สุด
“คนเรา... ยามเมื่ออยู่ด้วยกันนานๆ ทุกอย่างมักจะกลายเป็นความเคยชินจนลืมความรู้สึกผูกพันที่เคยมีให้กัน เรามักจะให้ความสำคัญกับคนอื่นโดยละเลยคนที่อยู่ใกล้ตัว และรักเรามากที่สุด”
ดร. เมฆา ฐานรัฐยังคงนิ่งๆ ขณะที่นภาสีหน้าเต็มไปด้วยความปิติดีใจ
“แต่คุณรู้มั้ย... วินาทีที่ฉันเห็นคุณถูกยิง วินาทีที่คุณบาดเจ็บอาการปางตาย ฉันต้องรู้สึกเจ็บปวดมากกว่าหลายเท่า ที่ไม่สามารถช่วยอะไรคุณได้เลย ฉันเฝ้าแต่รู้สึกผิด โกรธตัวเองที่ดูแลคุณไม่ดีพอ ฉันทนไม่ได้ที่จะสูญเสียคุณไป คุณเป็นทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับชีวิตฉันจริงๆ นะคะเมฆา”
“ผมเข้าใจ”
“ต่อจากนี้ไปเราจะเริ่มต้นกันใหม่ เราจะเข้าใจกันให้มากกว่าเดิมนะคะ ชีวิตแต่งงานของเราจะต้องเป็นที่อิจฉาของใครหลายๆ คน ฉันจะดูแลคุณให้ดีที่สุดเพื่อให้สมกับโชคดีที่คุณรอดตาย ทำให้เรามีโอกาสได้กลับมาใช้ชีวิตคู่ด้วยกันอีกครั้ง”
เมฆายิ้มแล้วพยักหน้าน้อยๆ
นภายิ้มบอก
“แต่วันครบรอบแต่งงานปีหน้า ไม่เอาแบบปีนี้นะ ไม่ลืมอีกแล้วนะคะ”
“ผมไม่เคยโกรธเลย ที่คุณลืมวันครบรอบแต่งงาน”
นภาชะงักไปนิดหนึ่ง แต่ยังยิ้มได้
“ใครลืมกันแน่ นี่โดนยิงจนความจำเสื่อมรึไงคะ คุณต่างหากที่ลืม”
ดร. เมฆา ฐานรัฐมีสีหน้าและแววตาเปลี่ยนไป สายตาแข็งกร้าวไม่เหมือนเมฆาคนเดิม กวาดสายตาไปทั่วห้อง สายตาเมฆาไปหยุดที่บนโต๊ะกลางห้องที่มีอาวุธปืน และแจ็กเก็ตอาวุธของนภาวางเรียงรายอยู่
“ฉันจะออกไปบอกผู้การอินทนนท์กับแสงกล้าว่าคุณฟื้นแล้ว พวกเค้าคงดีใจ”
นภาขยับจะเดินออกไป แต่เมฆาดึงตัวเธอไว้ก่อน
“เดี๋ยวก่อน...”
“ทำไมคะ... มีอะไรเหรอ”
“ขอผมกอดหน่อย”
นภายิ้มๆ ให้เมฆาสวมกอดโดยไม่ทันคิดถึงเรื่องผิดสังเกตอะไร ด้านหลังนภาที่กำลังกอดอยู่กับเมฆา จู่ๆ เมฆายกมือขึ้น เหยียดแขนตรงไปยังอาวุธปืนกระบอกหนึ่งบนโต๊ะ
ปืนกระบอกนั้นลอยหวือเข้ามาในมือ เมฆาจับปืนในมือกระชับ บิดปากกระบอกจ่อเข้าที่ด้านหลังนภา
เมฆาเสียงเข้ม
“ผบ.นภา.. ผมรู้แล้วว่าคุณรักดอกเตอร์เมฆามากแค่ไหน”
นภาชะงักไปทันทีเมื่อรู้สึกได้ว่าน้ำเสียงของเมฆาเปลี่ยนไป แต่ช้าไปแล้ว... เมฆากระแทกนิ้วลงบนไกปืน ยิงกระสุนเข้าใส่ร่างนภาทางด้านหลัง... เปรี้ยง !
นภาสะดุ้งสุดตัวจากการโดนยิง จ้องหน้าเมฆาเขม็งด้วยสายตาตกใจ เธอเห็นแววตาแข็งกร้าวของเมฆา
“แก... แกไม่ใช่เมฆา”
ที่ด้านนอก แสงกล้ากับอินทนนท์ชะงักไปด้วยความตกใจที่ได้ยินเสียงปืน
“เสียงปืน !” แสงกล้าโพล่งขึ้น
ทั้งสองคนรีบออกไปจากตรงนั้น ตรงไปยังฐานด้านในทันที
แสงกล้ากับอินทนนท์เข้ามาในห้องพักฟื้นเมฆาภายในฐาน ทั้งสองคนสีหน้าตกใจเมื่อเห็นเมฆากำลังจ่อปืนอยู่ที่ร่างนภาซึ่งนอนกองอยู่บนพื้น แล้วยิงเข้าใส่บริเวณลำตัวอีกสองนัดซ้อนๆ เปรี้ยง... เปรี้ยง...
นภาหันมาบอกแสงกล้ากับอินทนนท์
“หนีไป !คนๆ นี้ไม่ใช่เมฆา หนีไป!”
ภายในโถงขมังเวทย์ วิญญูนิ่วหน้าใช้จิตควบคุมร่างเมฆาอยู่
เมฆายกปืนขึ้น วาดแขนเหยียดตรงยิงเข้าใส่หน้ากล้องอีกหลายนัดรัวถี่ เปรี้ยง ๆ ๆ
แสงกล้ากับอินทนนท์ผงะหนีออกไปอีกทางหนึ่ง เมฆาเดินตามออกไปพร้อมๆ กับกระชากเสื้อบรรจุอาวุธครบมือบนโต๊ะกลาง ข้ามร่างนภาที่เบิกตาโพลงจ้องภาพเมฆาที่เดินออกไป
ภายในห้องปฏิบัติการฯ เมฆาเข้ามาพร้อมกับสาดกระสุนเข้าใส่ทุกคนที่นั่งอยู่ภายในนั้น
เจ้าหน้าที่พยาบาลชายล้มคว่ำ จ่าหวานกับดาบแหบหลบกระสุนแทบไม่ทัน จนต้องรีบวิ่งหนีออกไปจากห้อง
แสงกล้าขยับออกไปจากที่ซ่อนจะยิงเข้าใส่เมฆา แต่อินทนนท์ยั้งไว้
“อย่า...”
“มันไม่ใช่ดอกเตอร์เมฆา”
“ยังไงซะนั่นก็ยังเป็นร่างของดอกเตอร์เมฆา เราต่อสู้กับเค้าไม่ได้ ไม่งั้นเมฆาอาจจะเป็นอันตราย”
เมฆายิงกระหน่ำเข้าใส่ที่ซ่อนของแสงกล้าจนข้าวของอุปกรณ์ทั้งหมดเสียหายยับเยิน
เมฆายิ้มเหี้ยมหยิบระเบิดมือออกมาถอดสลัก โยนเข้าใส่แสงกล้ากับอินทนนท์ แล้วจึงเคลื่อนตัวออกไป
ลูกระเบิดกลิ้งไปกับฟื้นตรงเข้าหาแสงกล้ากับอินทนนท์ทันที แสงกล้ารีบกระชากร่างอินทนนท์โดดหนีออกไปทางหน้าต่าง
ระเบิดทำงาน ตูม ! ห้องปฏิบัติการทั้งห้องพังทะลาย
ทั้งหมดล่าถอยมาจนถึงพื้นที่เปลี่ยวริมน้ำ ร่างของเมฆาตามมาเล่นงานยิงกระสุนเข้าใส่เปรี้ยงๆๆ
แสงกล้าพยายามยิงสกัดไว้ โดยไม่กล้าที่จะเอาคืนเพราะกลัวว่าจะเป็นการทำร้ายเมฆา แสงกล้าพูดกับอินทนนท์
“เราทำอะไรมันไม่ได้เลยเหรอครับ”
“ต้องหนีไปให้เร็วที่สุด”
“แล้วดอกเตอร์เมฆา”
ขณะที่อินทนนท์หันมาพูดกับแสงกล้า แต่กลับโดนกระสุนเข้าที่หัวไหล่ เปรี้ยง ! แสงกล้าตกใจ
“ท่าน”
แสงกล้าตรงเข้าไปประคองอินทนนท์ที่ล้มคว่ำไปอีกทาง
อินทนนท์กุมหัวไหล่ด้านที่ถูกยิง
“ฉันไม่เป็นไร กระสุนแค่ถากหัวไหล่”
“ฮึๆ ๆ” เมฆาหัวเราะ
ทั้งสองคนเงยหน้าขึ้นมอง เห็นเมฆาถือปืนจ่อมาที่ทั้งคู่ แววตาแข็งกร้าวดูน่ากลัว
จ่าหวานกับดาบแหบขยับปืนจะยิงเข้าใส่ร่างเมฆา แต่กลับโดนเมฆาหันไปกระหน่ำกระสุนเข้าใส่ เปรี้ยง ๆ จนปืนหลุดจากมือ ทั้งคู่โดนยิงที่มือจนบาดเจ็บไปตามๆ กัน
เมฆาหันมาจ้องและเหยียดแขนจ่อปืนตรงไปทางอินทนนท์กับแสงกล้าอีกครั้ง
วิญญูนอนหลับตาอยู่บนแท่นชาร์จ นิ่วหน้าใช้อำนาจจิต
เมฆาพูดเน้นย้ำแบบเย้ยหยัน
“แสงกล้า น่าเสียดายที่หมวดเลือกเข้าข้างคนผิดความดีไม่มีวันตาย.. ฮึๆ ๆ แต่คนดีต้องตาย !”
เมฆากำลังจะกดไกลงไป แต่แล้วเสียงกระสุนก็ดังขึ้นมา เปรี้ยง ๆ ๆ
ร่างของเมฆาสั่นสะท้านไปตามแรงกระแทก และตกลงไปในน้ำพร้อมกับเสียงกระสุนนัดสุดท้าย.....เปรี้ยง ! ร่างของเมฆาจมลงไปในน้ำ
อีกด้านหนึ่ง สมิงโผล่ออกมาด้วยท่าทางอ่อนระโหยโรยแรง ปรอทกรอที่ห้อยอยู่สั่นระรัวเร็ว
อินทนนท์หันมองไปตามร่างเมฆาด้วยสีหน้าตกใจมาก
“จ่าสมิง...”
“มันไม่ใช่ท่านนายกฯ...แค่เป็นร่างที่ไร้วิญญาณ”
“แต่แพรไพลินเป็นคนผ่าตัดเอากระสุนออกจากร่างนี้เอง เราปฐมพยาบาลจนดอกเตอร์เมฆาฟื้นขึ้นมานะจ่า” อินทนนท์บอก
“ดอกเตอร์เมฆาตัวจริงตายไปแล้ว”
แสงกล้ากับอินทนนท์สีหน้าเหมือนไม่เชื่อที่สมิงพูด
เมื่อวิญญูถือจักระนารายณ์ชูขึ้นที่อุทยานประวัติศาสตร์ฯ
“ทันทีที่พญามารได้จักระนารายณ์.. มันก็สามารถทำให้ดอกเตอร์เมฆาจบชีวิต วิญญาณออกจากร่าง”
ในห้องผ่าตัด ร่างเมฆาสะบัดอย่างเต็มแรง ในขณะที่แพรไพลินกับกุ๊บกิ๊บกำลังมองภาพกระสุนในจอฯ
เหนือเมฆ 2 : มือปราบจอมขมังเวทย์ ตอนที่ 10 (ต่อ)
บริเวณริมน้ำ แสงกล้ามีสีหน้าแปลกใจ
“แล้วร่างเมื่อกี้เป็นใคร”
“พญามารมันใช้อำนาจจิต อวตารบังคับร่างที่ไร้วิญญาณของดอกเตอร์เมฆาให้ทำทุกอย่างตามต้องการ”
ภายในโถงขมังเวทย์ วิญญูนอนอยู่บนแท่น ที่รายล้อมร่างด้วยศาสตราวุธทั้งสี่ วิญญูกำลังทำการบังคับร่างที่ไร้วิญญาณของเมฆาอยู่ในระยะไกล
ร่างของเมฆาที่ตกลงไปในพื้นน้ำ ลืมตาลุกโพลงขึ้นมาอีกครั้ง แววตาเหี้ยมดูน่ากลัว
ทั้งหมดยังนั่งอยู่ที่ใต้ต้นไม้ริมน้ำ จ่าสมิงบิดตัวไปมาด้วยท่าทางเจ็บปวดอยู่ไม่น้อย จ่าหวานกับ
ดาบแหบช่วยกันพยาบาลผู้การอินทนนท์ ทั้งหมดกำลังคุยกันเรื่องราวเหตุการณ์ที่ผ่านมา
แสงกล้าเห็นอาการสมิงแล้วนึกสงสัย
“แล้วจ่าหายไปไหนมา... ทำไมเพิ่งโผล่”
“โฮ... ขอบคุณสักนิดก็ไม่มี เกือบจะเอาชีวิตไม่รอดอยู่แล้วนะ”
“ตอบมาสิ... ตอนที่เสี่ยงกันแทบตาย หายไปไหน !”
“ไปขัดขวางไม่ให้มันได้จักระนารายณ์”
“แล้วสำเร็จมั้ย”
“ไม่...” สมิงตอบอย่างอึดอัดใจ
เวลาที่ผ่านมา ในเหตุการณ์ต่อสู้ระหว่างสมิงกับวิญญู จนรถมอเตอร์ไซค์สมิงลอยเคว้งโดนลูกไฟชนระเบิด..ตูม !
“วิญญูมันรู้ทัน... เล่นงานซะเกือบแย่”
อีกมุมหนึ่งจ่าสมิงดีดตัวเองออกมาจากรถมอเตอร์ไซค์ได้ทัน โดยประกายแสงไฟที่ลุกโชนของลูกไฟทำให้วิญญูมองไม่เห็นร่างสมิงที่ตกลงมาที่พุ่มไม้ด้านหนึ่ง
สมิงสะโหลสะเหลลุกขึ้นมาแอบมองจากข้างพุ่มไม้ไปเห็นรถมอเตอร์ไซค์ลุกไหม้ วิญญูกำลังหยิบจักระนารายณ์ขึ้นมาจากกระเป๋าโลหะบนพื้นถนน
จ่าสมิงหันหลังให้ริมน้ำกำลังคุยกับแสงกล้ากับอินทนนท์
“ยังโชคดีที่ตามมาช่วยหมวดกับผู้การอินทนนท์ได้ทัน ร่างที่เราต่อสู้ด้วยมันก็แค่ซากศพของดอกเตอร์เมฆา ท่านนายกฯ ตายไปแล้ว”
ทันทีที่สมิงพูดจบ...ปรอทกรอที่ห้อยคออยู่ ฉับพลันสั่นรัวอีกครั้ง ! สมิงตกใจ
ร่างเมฆาทะยานขึ้นมาจากน้ำ เหยียดแขนตรงกำลังจะยิงเข้าใส่สมิง ...
ทุกคนหันไปมองด้วยสีหน้าตกใจมาก พร้อมๆ กับเสียงกระสุนดังสนั่น ... เปรี้ยง ! ทั้งหมดหันขวับไปมองร่างเมฆา กระสุนเจาะที่กลางหน้าผาก ร่างชะงักไปแล้วหงายหลังล้มลงทั้งยืน
ด้านตรงข้ามกัน นภาถือปืนเหยียดตรง เธอเป็นคนลั่นกระสุนเข้าใส่ร่างเมฆาด้วยตัวเอง ตัวสั่น แววตาเธอเครียดน้ำตาคลอเบ้า
“มันไม่ใช่เมฆา ! เมฆาตายไปแล้ว” นภาเสียงแผ่ว
นภาทรุดฮวบลงไปทันที อินทนนท์ตรงเข้าไปประคองร่างเธอไว้
ที่ลำตัวของนภาเห็นได้ชัดว่าใส่เสื้อเกราะไว้ ดังนั้น เมื่อเมฆาถูกวิญญุใช้อำนาจจิตบังคับให้ยิงเข้าใส่เธอจึงไม่เป็นไร เสื้อเกราะมีรอยกระสุนอยู่หลายนัด...
“นภา... คุณเป็นอะไรมากมั้ย”
อินทนนท์หันไปสั่งจ่าหวาน
“ดูแล ผบ.นภาด้วย...”
จ่าหวานกับดาบแหบรีบเข้ามาปฐมพยาบาลเบื้องต้น ปรอทกรอที่คอสมิงกลับมาสั่นรัวอีกครั้ง ร่างเมฆาที่โดนยิงเจาะกะโหลก ตาที่หลับอยู่... เบิกกว้างขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
“ฆ่ายังไงก็ไม่ตายเพราะมันไม่ใช่คน... นี่เป็นแค่ซากศพที่ไร้วิญญาณ”
จ่าสมิงตรงเข้าไปหาแสงกล้า กระชากสร้อยล็อกเก็ตของแสงกล้าออกมา แล้วเคลื่อนที่เร็ว..พุ่งตรงเข้าไปหาร่างเมฆา
“ทางเดียวที่จะตัดอำนาจจิตวิญญูต้องใช้สร้อยเส้นนี้”
สมิงดึงตวัดสายสร้อย รัดเอาล็อกเก็ตผูกไว้ที่คอเมฆา ดวงจิตของวิญญูโดนเหวี่ยงออกไป ร่างเมฆาล้มคว่ำลงไปทันที
วิญญูลุกพรวดขึ้นมาทันที...รับรู้ได้ว่า สร้อยเส้นนั้นของแสงกล้ามีอำนาจบางอย่างอยู่ เขาหันไปมองเทวาศาสตราวุธทั้งสี่ แล้วนิ่วหน้าเหมือนกำลังใช้สมองคิดอะไรบางอย่าง
เช้าวันใหม่ ภายใน ห้องส่งสกายนิวส์เน็ตเวิร์ค ภาพอินเตอร์ลูดไตเติ้ลข่าวภาคเช้า... น้ำใสยืนวิเคราะห์ข่าวอย่างเข้มข้น เบื้องหน้าเป็นภาพกราฟฟิคใบหน้าของดร.เมฆา ฐานรัฐในชุดสูท ขณะที่เป็นนายกฯ พร้อมตัวอักษร “ถล่มเนติเทค !ชิงร่างดร.เมฆา”
“ถึงแม้จะยังไม่มีการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการ แต่เราเชื่อได้แน่นอนแล้วว่า... เมื่อคืนนี้เกิดการแย่งชิงร่าง ดอกเตอร์เมฆา ฐานรัฐ ออกจากสถาบันเนติเทคโนโลยี โดยในเบื้องต้น แหล่งข่าวยืนยันว่าการผ่าตัดนำกระสุนออกจากร่างดอกเตอร์เมฆาสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี แต่ยังไม่มีใครรับรองได้ว่าท่านนายกฯ
ปลอดภัย และตอนนี้อยู่ที่ไหน”
น้ำใสรายงานด้วยสีหน้าจริงจัง
บริเวณโถงนิติเทคฯ คมศรก้าวออกมาจากลิฟท์เนื่องจากได้รับการปล่อยตัว กองทัพนักข่าวต่างกรูเข้าไปจะสัมภาษณ์คมศร แต่โดนเจ้าหน้าที่กันตัวออกไป
“ในขณะเดียวกันมีการปล่อยตัวนายคมศร สุริยน ... เลขาส่วนตัวของนายกฯเมฆา หลังจากก่อนหน้านี้ถูกควบคุมตัวเพื่อสอบสวนเรื่องวัตถุโบราณที่หายไป”
คมศรพยายามแหวกวงล้อมนักข่าวออกไป แม้จะไม่ค่อยสัมฤทธิ์ผลนัก
บริเวณระเบียง พ.ต.ต. หญิง รวิ อิงคพัฒน์ยืนมองเหตุการณ์ด้านล่างอยู่ เธอหันมามองจักร อมตฤทธาที่ยืนอยู่ข้างๆ กันโดยมีดาหลาอารักขาอยู่
“ปล่อยตัวนังแพรไพลินกับไอ้คมศรออกไป ท่านแน่ใจแล้วเหรอคะ” รวิถาม
“ยังไงเราก็เอาผิดมันไม่ได้ ปล่อยมันไปถือเป็นการสร้างโอกาส”
“สร้างโอกาส” ดาหลาว่า
“ไอ้คมศรต้องติดต่อนังนภากับพวก จะทำให้เรารู้ว่าพวกมันหลบอยู่ที่ไหน” จักรบอก
รวิคิดนิดหนึ่งแล้วบอก
“ตราบใดที่พวกมันยังมีชีวิตอยู่ มันต้องตามตอแยเราไม่เลิก ทางออกที่ดีที่สุดก็คือ...”
“ชิงลงมือกับพวกมันก่อน ในเวลาที่เราอยู่เหนือกว่าในทุกด้าน”
จักรสีหน้าเหี้ยมจ้องไปยังคมศรที่เดินออกไปจากห้องโถงด้านล่าง
กลุ่มนักข่าวกรูเข้ามาจะสัมภาษณ์
“ท่านเลขาครับ.. ท่านถูกจับกุมเพราะอะไรครับ” นักข่าวคนหนึ่งถาม
นักข่าวคนที่ 2 ถาม
“ที่ได้รับการปล่อยตัวแบบนี้แสดงว่าท่านไม่ผิดใช่มั้ยคะ”
คมศรหยุดเดินหันมาพูดกับนักข่าวด้วยมาดขรึมๆ
“ผมไม่ได้ถูกจับ ผมยังดำรงตำแหน่งเลขาท่านนายกฯเมฆาและรองจักร เรื่องที่พวกคุณรู้มาก็แค่ข่าวลือ”
“แล้วเรื่องที่ดอกเตอร์เมฆาหายไปล่ะครับ”
“ตอนนี้ผมแค่ยืนยันได้เพียงว่า ดอกเตอร์เมฆาปลอดภัยจากการผ่าตัดและยังมีชีวิตอยู่”
“หมายความว่าท่านเลขายังไม่รู้ใช่มั้ยครับว่าดอกเตอร์เมฆาอยู่ที่ไหน” นักข่าวคนที่ 2 ถามต่อ
“เราจะแถลงข่าวอีกครั้งเมื่อพร้อม... ขอบคุณสื่อทุกท่านครับ”
คมศรเดินออกไปทันที เจ้าหน้าที่ฯ กันนักข่าวออกไป คมศรเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
ศพเมฆานอนนิ่งอยู่ในบริเวณเก็บศพเก่าของวัดร้างแห่งหนึ่ง นภายืนเคียง สายตาจ้องมองไปยังร่างที่ไร้วิญญาณของเมฆาด้วยสายตาหม่นหมองและเศร้าสลด น้ำตาคลอเบ้า เพราะยังทำใจไม่ได้กับการจากไปของคนรัก
นภาเสียงแผ่วพึมพำ
“เมฆา... คุณตายไปจากฉันแล้วจริงๆ ใช่มั้ย”
นภาทรุดตัวลงกอดร่างไร้วิญญาณของเมฆาไว้ ร้องไห้ แม้จิตใจจะเข้มแข็งเพียงใด แต่เธอยังคงรับไม่ได้กับการจากไปเช่นนี้
“คุณคือตัวแทนของความดีงาม คือความหวังและศรัทธาในการสร้างความดี คุณต้องมาตายแบบนี้ ... มันยุติธรรมแล้วเหรอ”
มุมหนึ่งของวัด แสงกล้ามองภาพนี้ด้วยแววตาเห็นใจและเศร้ากับเรื่องที่เกิดขึ้น
“ไม่ยุติธรรม...โลกไม่ยุติธรรม !”
นภาน้ำตานองหน้าด้วยความเศร้าใจ เธอไม่ได้ร้องไห้ฟูมฟายจากการสูญเสียในครั้งนี้ หากแต่เศร้าและสะเทือนใจกับการจากลา และความผิดหวังกับความเชื่อเรื่องความดีมาโดยตลอด
มุมสวยในวัดร้าง จ่าหวานกับดาบแหบยืนเฝ้าระวังอยู่ทางด้านหนึ่งไกลออกไป สมิงถือล็อกเก็ตของแสงกล้าอยู่ในมือ เขากำลังค่อยๆ แกะวัสดุที่ครอบออก ปรากฏเป็น “วัชระ” ชัดเจน
“วัชระ อาวุธของพระศิวะ … นี่เป็นเครื่องรางเก่าที่แสงกล้าได้มาจากอาจารย์ไตรรัตน์ตั้งแต่แรกเกิด”
“ผมไม่รู้มาก่อนเลยว่ามีวัชระซ่อนอยู่ในล็อกเก็ต”
“ไม่เคยมีใครรู้”
“แล้ววัชระนี้เกี่ยวข้องอะไรกับเทวาศาสตราวุธ ตรีศูลวัชระ อนันตคทา จักระนารายณ์ และ สังข์ไชยมงคล ที่พวกมันกำลังตามล่าอยู่รึเปล่า” อินทนนท์ถาม
“เกี่ยวข้องโดยตรงเลยครับผู้การ”
แสงกล้าจ้องไปที่วัชระในมือสมิง เขารับวัชระนั้นมามองด้วยความสนใจ
“พญามารยังได้เทวาศาสตราวุธไปไม่ครบ” แสงกล้าบอก
อินทนนท์ครุ่นคิดนิดหนึ่งแล้วว่า
“ตรีศูลวัชระ พวกมันได้ไปแค่ตรีศูล แต่ยังขาดวัชระ ซึ่งอยู่ติดกับตัวแสงกล้าอยู่ตลอดเวลา”
“อำนาจครองใจคนและบารมีอันยิ่งใหญ่จะไม่มีทางเกิดขึ้นเลย ถ้าการหลอมศาสตราวุธทั้งสี่ขาดวัชระชิ้นนี้ไป”
แสงกล้าจ้องมองวัชระในมือด้วยแววตาเครียด
“วัชระนี่ใช่มั้ย ที่เป็นสาเหตุทำให้ไอ้วิญญูฆ่าพ่อ เพราะมันต้องการวัชระนี้ใช่มั้ย”
สมิงชะงักไปนิด พอให้คนดูรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ
“ไม่... ไม่มีใครรู้ว่าวัชระอยู่ติดตัวหมวด แม้แต่ไอ้วิญญู เราต้องรักษาวัชระเอาไว้ให้ดีที่สุด ตราบใดที่วัชระยังอยู่กับเรา แผนการชั่วของพวกมันจะไม่มีวันสัมฤทธิ์ผล”
วัชระในมือแสงกล้าส่องประกายวาววับ
มุมหนึ่งของโถงฯ วิญญูยืนอยู่ตรงกลางศาสตราวุธทั้งสี่ชิ้น บังเกิดแสงเชื่อมโยงวัตถุทั้งสี่ชิ้น
จักรมองด้วยสายตาพอใจ
“ตรีศูลวัชระ, อนันตคทา, จักระนารายณ์ สังข์ไชยมงคล เราได้มาครบแล้ว ถึงเวลาหลอมศาสตราวุธทั้งหมดเมื่อไหร่ อำนาจครองใจคน และบารมีที่ยิ่งใหญ่จะต้องเป็นของเรา”
แต่แล้วจู่ๆ แสงก็ขาดหายไป เหมือนไม่ครบจำนวนที่กำหนดไว้ วิญญูนิ่วหน้าไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น
“ไม่.. เป็นไปไม่ได้” วิญญูว่า
“เกิดอะไรขึ้น” จักรถาม
“เกิดสัญญะบางอย่าง”
“สัญญะอะไร”
“สัญญะที่บ่งบอกว่าเรายังได้ศาสตราวุธมาไม่ครบ”
“อะไรนะ”
“ถ้ามีของไม่ครบ การหลอมศาสตราวุธจะไม่บังเกิดผลใดๆ ทั้งสิ้น”
จักรเริ่มบันดาลโทสะ โฉ่งฉ่าง
“ขาดอะไร ! ยังขาดอะไรอีก”
วิญญูปรายตามองไปที่จักรเป็นเชิงไม่พอใจ จักรหยุดอาการโวยทันที
วิญญูเดินเข้าไปใกล้ศาสตราวุธทั้งสี่ แล้วไปหยุดที่ตรีศูล
“ตรีศูลวัชระ เรามีตรีศูล แต่ขาด.. วัชระ”
วิญญูนึกถึงล็อคเก็ตของแสงกล้า ซึ่งทำให้เขาต่อสู้กับวิญญูได้
วิญญูสีหน้าเข้มขึ้นบอก
“วัชระ...คือล็อกเก็ตที่อยู่บนคอหมวดแสงกล้า !”
วิญญูสีหน้าครุ่นคิดหาทางแย่งชิงวัชระมาจากแสงกล้า
วัชระห้อยอยู่บนคอของแสงกล้า เขากำลังช่วยสมิงวางท่อนไม้รองใต้ร่างเมฆาเพื่อเป็นเชิงตะกอนเผาศพ
สมิงพูดกับอินทนนท์
“เราต้องรีบเผาร่างดอกเตอร์เมฆาให้เร็วที่สุด เพื่อป้องกันไม่ให้วิญญูอวตารดวงจิตเข้ามาบังคับร่าง”
“ดอกเตอร์เมฆาเสียสละเพื่อประเทศมามาก น่าเศร้าใจจริงๆ ที่เราทำพิธีศพให้สมเกียรติกว่านี้ได้” อินทนนท์ว่า
“ก็แค่ร่างที่ไร้วิญญาณของคนดี ... จะเอาอะไรมาก คนเราเมื่อตายไปแล้ว ไม่เหลืออะไรให้น่าจดจำนักหรอก” นภาพูดขึ้น
ทั้งหมดหันขวับมามองเห็นนภาสีหน้าเครียด แววตาหม่นหมอง เศร้า และผิดหวัง
“เมฆาจะอยู่ในความทรงจำของคนได้สักกี่ปีกี่เดือน ดอกเตอร์เมฆาคือบทพิสูจน์ในชีวิตจริง บางครั้งคนเราก็เสียสละ มีคุณธรรมประจำตัวมากเกินไป คิดทำเพื่อคนอื่นจนลืมคิดถึงความสุขของตัวเอง แล้วในที่สุดอุดมการณ์นี้แหละที่หวนกลับมาฆ่าตัวเอง”
นภาเดินเข้ามาจุดไฟที่ปลายไม้อันหนึ่งจนลุกโชน แสงกล้าเดินเข้ามาบอก
“จ่าหวานกับดาบแหบกำลังไปตามพระมาทำพิธี คงใกล้จะมาแล้วครับ”
“รออะไร เผาๆ ไปซะเถอะ เรื่องราวมันจะได้จบๆ ไปซะที”
นภาโยนไม้ที่ปลายลุกโชนนั้นลงที่ใต้ร่างเมฆา กองไม้ที่วางอยู่ตรงนั้นไฟลุกขึ้น
“นภา.. ฉันรู้ว่าเธอเสียใจ แต่มีสติหน่อย” อินทนนท์บอก
“ฉันทำอะไรด้วยสติเสมอค่ะผู้การ”
นภาเดินเข้าไปจ้องที่หน้าศพของเมฆา เหมือนต้องการร่ำลาเป็นครั้งสุดท้าย
“เมฆา ... คุณคือตัวอย่างที่ทำให้ฉันรู้จักความจริงบนโลก ต่อไปนี้.. ฉันสัญญาว่าจะรักตัวเองให้มากกว่าที่เคยเป็น”
นภาน้ำตาคลอ เผาศพเมฆาโดยโยนไม้เติมลงไปที่ไฟที่กำลังลุกฮืออยู่ใต้ร่างเมฆา เธอมองร่างที่โดนไฟเผานั้นอย่างไม่ละสายตา น้ำตาไหลอาบแก้ม แต่ไม่มีวี่แววของการร้องไห้ฟูมฟายให้เห็นเลยแม้แต่น้อย
“พอกันทีกับอุดมการณ์แห่งความตาย !”
นภามีสีหน้าเศร้าโศกเสียใจกับกองไฟที่เผาร่างเมฆาตรงหน้า
เวลากลางคืน ที่เชิงตะกอนไฟยังคงลุกไหม้อยู่ แต่มอดไปเยอะมากแล้ว นภานั่งอยู่ที่มุมหนึ่งจ้องแสงไฟที่ยังคงลุกไหม้อยู่บ้างบนกองเถ้าถ่าน
“ลาก่อนค่ะเมฆา อีกไม่นานเราคงจะได้พบกัน”
อินทนนท์ยืนอยู่ทางด้านหลังนภา รับรู้ได้ถึงความเศร้าเสียใจของนภาที่มีใจครั้งนี้
ใต้ต้นไม้อีกมุมที่ไกลออกไป แสงกล้าจ้องมองอาการนภาด้วยความไม่สบายใจ สมิงเดินเข้ามา
“ผมเห็นอาการ ผบ.นภา แล้วไม่สบายใจเลย เหมือนผบ.นภากำลังสูญสิ้นศรัทธาในการทำความดี” แสงกล้าว่า
“ก็คงงั้น... ความจริงมันก็น่าสงสัยอยู่นะ ทำไมความดีต้องพ่ายแพ้ต่อความชั่ว” จ่าสมิงบอก
แสงกล้าหันไปจ้องหน้าสมิงเหมือนสงสัย สมิงจ้องตอบด้วยแววตานิ่ง
“รึไม่จริง...ผมว่าหมวดก็สงสัยไม่น้อยไปกว่ากันหรอก”
“แล้วจ่ามีคำตอบให้ผมมั้ย”
“ไม่มี... ผมก็เคยคิดแบบนี้เหมือนกัน ตอนที่อาจารย์ไตรรัตน์โดนไอ้วิญญูฆ่าตาย”
“รวมทั้งพ่อผมด้วย”
สมิงชะงักไปนิดหนึ่งให้พอสงสัย
“ก็ประมาณนั้น”
“ถ้าจ่าไม่มีคำตอบว่าทำไมความดีต้องพ่ายแพ้ต่อความชั่ว จ่ามีชีวิตอยู่ต่อมาได้ยังไงจนถึงทุกวันนี้” แสงกล้าถาม
“เรื่องบางเรื่องไม่จำเป็นต้องมีคำตอบ ของพรรค์นี้มันต้องรู้ได้ตัวเองหมวด แล้ววันนึงหมวดจะรู้”
สมิงพูดจบแล้วก็เดินหนีออกไป แสงกล้านิ่วหน้ามองตามสมิงด้วยความไม่เข้าใจ แสงกล้าหันกลับไปมองนภาด้วยแววตาเป็นห่วง
อินทนนท์มองนภาที่จ้องเชิงตะกอนซึ่งกลายเป็นเถ้าถ่านพร้อมกับศพของเมฆา เขาถอนหายใจยาวเมื่อเห็นอาการของนภา ตัดสินใจเดินเข้าไปแตะที่ไหล่นภา
“ฉันรู้ว่าเธอเสียใจ ฉันเองก็เสียใจไม่น้อยไปกว่าเธอ ดอกเตอร์เมฆามีคุณค่าต่อประเทศชาติ เค้าไม่ควรจากพวกเราไปรวดเร็วแบบนี้”
นภาไม่ตอบ น้ำตาคลอมองไปที่เถ้าถ่านที่ติดไฟวาบๆ อยู่อย่างนั้น
“เราทุกคนได้แต่หวังว่า ผบ.นภา คนเดิมจะกลับมาให้เร็วที่สุด แนวคิดศรัทธาในทำความดีของเมฆา ต้องการเธอเป็นผู้นำ มิเช่นนั้นเราคงเอาชนะความชั่วร้ายไม่ได้”
นภายังคงไม่ตอบ จ้องไปที่เชิงตะกอนอยู่อย่างนั้น
อินทนนท์น้ำเสียงนิ่งแต่จริงจัง
“เธอต้องไม่ทำให้พวกเราผิดหวังนะ”
“ฉันก็ยังคงเป็น ผบ.นภาคนเดิม ผู้การยังจะหวังอะไรกับผู้หญิงคนนี้อีกคะ”
อินทนนท์ชะงักไปทันที นภาหันมามองหน้าด้วยแววตาเสียใจ และหัวใจแหลกสลาย
“ท่านต้องการให้สานต่อเรื่องศรัทธาในความดี แต่ฉันจะทำได้ยังไง ในเมื่อในหัวใจฉันขณะนี้ ไม่หลงเหลือความเชื่อมั่นพวกนั้นอยู่เลย !”
“ทำไมเธอพูดแบบนั้น”
“เพราะหัวใจฉันเชื่อแบบนั้นไงคะ สิ่งที่เกิดขึ้นกับเมฆาเป็นเครื่องพิสูจน์ พอกันทีกับศรัทธาในความดี ความดีไม่มีวันตาย มันก็แค่เรื่องที่เราหลงคิดกันไปเอง !”
“นภา เธอพูดเหมือนไม่ใช่ ผบ.นภา ที่ฉันเคยรู้จัก”
“คนเราเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาค่ะผู้การ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่ได้พบสัจธรรมที่แท้จริงของชีวิตด้วยตัวเอง”
“หมายความว่า...”
“ป่วยการจะต่อสู้กับวิญญูค่ะ อำนาจความชั่วร้ายของมันยิ่งใหญ่เกินกว่าใครจะสู้ได้ จบจากวันนี้ เราต่างคนต่างไป ฉันขอล้มเลิกภารกิจศรัทธา พอกันทีกับการทำความดีลมๆ แล้งๆ ที่น้อยคนจะเข้าใจ”
“เธอจะปล่อยให้คนที่ฆ่าเมฆาลอยนวลอยู่อย่างนั้นน่ะเหรอ”
“ถ้าฉันหยุด เมฆาคงสบายใจ ถ้ารับรู้ได้ด้วยวิญญาณ เค้าน่าจะยินดีที่ต่อไปนี้ฉันจะทำอะไรเพื่อความสุขของตัวเองซะที”
นภาพูดจบก็หันหน้าไปมองเถ้าถ่านแดงๆ ในเชิงตะกอนอีกครั้ง น้ำตาคลอเบ้าด้วยความเครียดและเสียใจ อินทนนท์มองนภาด้วยสายตากังวลใจ
นภานัยน์ตาแดงก่ำหมดอาลัยกับการต่อสู้เพื่อความถูกต้องแล้ว
ภายในห้องบก. ข่าว ภายในสถานีโทรทัศน์ สกายนิวส์ เน็ตเวิร์ค คืนเดียวกัน เอกวีร์สีหน้าเครียดหันไปทางน้ำใส
“ไหนล่ะ สกู๊ปสัมภาษณ์สด ผบ.นภา ที่คุณบอกว่าได้มาแล้ว” เอกวีร์ถาม
“ได้มาแล้ว แต่ฉันมีข้อตกลงว่าจะนำออกอากาศในเวลาที่เหมาะสม”
“เมื่อไหร่”
“ผบ.นภาจะแจ้งเข้ามาอีกครั้ง”
“แสดงว่าเนื้อหาสกู๊ปนี้คงสำคัญน่าดู”
“สำคัญค่ะ สำคัญมากด้วย”
“ทุกอย่างเป็นดาบสองคมเสมอนะน้ำใส ยิ่งสกู๊ปนั้นสำคัญมากแค่ไหน คุณจะยิ่งเป็นอันตรายถ้าไม่รีบนำเสนอ”
“ทุกอย่างต้องเป็นไปตามข้อตกลงกับ ผบ.นภาค่ะ”
“ผมเข้าใจ ... ก็แค่เตือนด้วยความเป็นห่วง ผมไม่อยากเสียนักข่าวมือดีเพราะอำนาจมืดไปอีกคน”
เอกวีร์เดินเข้าไปแตะที่ไหล่น้ำใส
“ระวังตัวหน่อยนะ”
“ขอบคุณค่ะบอกอ”
เอกวีร์เดินออกไป น้ำใสสีหน้าครุ่นคิดตามคำพูดของเอกวีร์
น้ำใสลงลิฟท์มาจากชั้นบน กำลังจะกลับบ้าน เดินผ่านยามคนหนึ่งที่ยิ้มให้
“กลับดึกเชียวครับคุณน้ำใส”
“เคลียร์ตัดต่อเทปน่ะจ้ะ”
น้ำใสยิ้มทักทายกับยาม แล้วเดินออกไปทางด้านนอกสำนักงานฯ
น้ำใสเดินฝ่าความมืดไปตามอาคารในที่จอดรถที่มืดสนิท และไม่มีคน ที่มุมมืด เหล่าร้าย 2 คน กำลังรายล้อมน้ำใสไว้ โดยเธอไม่รู้ตัว
เสียงโทรศัพท์มือถือน้ำใสดังขึ้น เธอยกขึ้นมาดูเห็นเป็น Private Number ..
น้ำใสนิ่วหน้าอย่างสงสัยแล้วจึงรับ
“สวัสดีค่ะ น้ำใสพูด...”
จักรกำลังพูดโทรศัพท์ด้วยสีหน้าเหี้ยม
“เธอคงรู้ว่ากำลังพูดอยู่กับใคร”
น้ำใสชะงักนิดหนึ่งด้วยความตกใจ เหลียวมองรอบตัวด้วยความระแวดระวัง
“รองจักร”
“จำได้ ! งั้นเธอคงยังจำได้ว่าทำอะไรไว้กับฉันบ้าง”
“ฉันไม่ได้ทำอะไร จู่ๆ ท่านก็หมดสติไปเองก่อนที่ฉันจะสัมภาษณ์สด”
“ฉันไม่โง่ !”
น้ำใสระงับสติอารมณ์ให้ไม่หวาดกลัว ตอบโต้พูดด้วยน้ำเสียงกร้าว
“ท่านโทรมาต้องการอะไร”
“แค่อยากจะเตือนสติ ! เธอคิดผิดที่ตั้งตัวเป็นศัตรูกับฉัน ! จะเปลี่ยนใจก็ยังไม่สาย”
“ด้วยวิธีไหน”
“ฉันรู้มาว่าเธอมีสกู๊ปพิเศษสัมภาษณ์ ผบ.นภาก่อนที่มันจะหนีออกไปจากเนติเทคฯ”
“ข่าวเร็วจริงๆ นะคะ”
“เอาเทปนั้นมาให้ฉัน ถ้าเธอเปลี่ยนใจเลือกให้ถูกข้าง ฉันจะให้อภัยในทุกๆ เรื่อง และเธอยังจะได้ผลประโยชน์มากกว่าที่คิด”
“ขอบคุณ แต่ฉันไม่ต้องการ ฉันไม่คิดเปลี่ยนใจ เลือกอยู่ข้างคนชั่ว ศรัทธาในความดีของฉันยังเหลืออยู่ ฉันไม่เคยลืมคุณค่าของการเป็นมนุษย์”
“เก่งให้เหมือนปากนะ ! แล้วเธอจะรู้ว่า.. ศรัทธาผิดๆนำมาซึ่งความตาย”
จักรวางหูโทรศัพท์ไปทันที น้ำใสเริ่มใจไม่ค่อยดี มองซ้ายขวารอบๆ ตัว แล้วรีบก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เหล่าร้ายที่ก้าวตามน้ำใสไปติดๆ
น้ำใสรีบเดินเร็วๆ มาที่รถ ด้านหลัง ชายคนหนึ่งเข้าไปใกล้เธอมากขึ้นเรื่อยๆ น้ำใสชะงักเมื่อรู้สึกว่ามีคนกำลังตามมา เธอหยุดเดินเหลียวหลังกลับไปมองแต่ไม่พบใคร ที่ด้านหลังมีแต่ความมืดและแสงไฟส่องสว่างตามทางเดินเท่านั้น
น้ำใสถอนหายใจยาวด้วยความเครียด หันหลังกลับเดินต่อไป
ชายคนเดิมเดินเข้ามาใกล้เธอมากขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดชายคนนั้นเอื้อมมือมาดึงไหล่น้ำใส น้ำใสสะดุ้งสุดตัว
“ว๊าย”
“ขอโทษครับคุณน้ำใส”
“น้ามิ่ง”
“เอกสารจาก บก.โต๊ะข่าวการเมือง ผมลืมให้คุณครับ”
น้ามิ่ง ยามส่งซองเอกสารน้ำตาลให้ น้ำใสรับมา
“ขอบคุณน้ามิ่งมากค่ะ”
“ขับรถกลับระวังๆ นะครับ”
“ขอบคุณค่ะ”
น้ำใสยิ้มให้ยามแล้วจึงเดินออกไป เธอนึกว่าไม่มีอันตรายอะไรแล้ว
พอยามหันหลังจะเดินกลับไป ก็ต้องชะงักตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ เหล่าร้าย 2 คนยืนประจันหน้ากับยาม เหล่าร้ายคนหนึ่งตรงเข้าชาร์จตัวยาม กระหน่ำแทงจนร่างยามทรุดลงแทบพื้น เลือดไหลนอง
เหล่าร้ายเดินก้าวข้ามตัวยามออกไป ตรงเข้าไปยังน้ำใสที่กำลังจะถึงรถตัวเอง
น้ำใสเดินมาถึงที่รถ กดปุ่มรีโมทเปิดประตูรถ กำลังจะก้าวขึ้นไปบนรถ แต่กลับโดนกระชากตัวกลับมาทางด้านหลัง เธอนึกว่าเป็นยามคนเดิม น้ำใสยิ้มแย้มถาม
“ลืมอะไรอีกเหรอจ๊ะน้ามิ่ง”
น้ำใสชะงักไปทันทีเมื่อเห็นว่าเป็นเหล่าร้าย 2 คน คนหนึ่งตรงเข้าไปตบเธอจนหน้าหันล้มคว่ำไป
อีกคนตรงเข้าไปจะจับตัวเธอ ฉุดกระชากให้ออกไปด้วยกัน แต่โดนน้ำใสเหวี่ยงกระเป๋ากระแทกเต็มแรง
เหล่าร้ายล้มคว่ำไปอีกทางหนึ่ง
น้ำใสต่อสู้กับเหล่าร้ายทั้งสองเพราะได้ฝึกยูโดกับแสงกล้ามาก่อนหน้านี้ เธอมุ่งมั่นไม่ยอมแพ้กับเหล่าร้ายได้ง่ายๆ ต่อสู้ด้วยท่าทางทะมัดทะแมง
เธอนึกถึงคำพูดของแสงกล้า ขณะกำลังสอน
“คู่ต่อสู้ที่ตัวใหญ่จะมีปัญหาเรื่องการทรงตัว เธอต้องรู้จักโจมตีที่จุดอ่อนของคู่ต่อสู้ ไม่เข้าปะทะตรงๆ แต่ใช้แรงของคู่ต่อสู้ เป็นกำลังส่งให้ทำร้ายตัวมันเอง”
แสงกล้าสอนให้น้ำใสทุ่มจนน้ำใสสามารถทุ่มแสงกล้าลงไปได้หลายครั้ง
ที่บริเวณลานจอดรถ น้ำใสล้มตัวลงถีบเหล่าร้ายคนหนึ่งที่ลอยข้ามตัวเธอ ตรงเข้าไปปะทะกับเหล่าร้ายอีกคนจนล้มกลิ้งไปด้วยกัน น้ำใสรีบก้าวขึ้นรถตัวเอง แล้วขับออกไปอย่างรวดเร็ว
เหล่าร้ายพยายามวิ่งตามแต่ไม่ทันแล้ว เพราะน้ำใสเลี้ยวรถอย่างรวดเร็วออกไปจากอาคารจอดรถ
น้ำใสถอนหายใจยาวเหมือนโล่งอกที่หนีออกมาได้ รำพึงออกมากับตัวเองขณะขับรถอยู่ที่ถนน
“แสงกล้า วันนี้ฉันรอดเพราะสิ่งที่นายสอนอีกจนได้”
“แน่ใจแล้วเหรอว่ารอด !”
น้ำใสชำเลืองมองไปที่กระจกหลัง หน้าซีดเผือดเมื่อเห็นว่ามีเหล่าร้ายอีกคนหนึ่งผุดขึ้นมาจากเบาะหลัง ชะโงกเอาปืนพกมาจ่อเธอไว้ในระยะกระชั้นชิด
“ขับรถต่อไปเรื่อยๆ อย่าตุกติก ระยะแค่นี้ฉันยิงไม่พลาดแน่”
เหนือเมฆ 2 : มือปราบจอมขมังเวทย์ ตอนที่ 10 (ต่อ)
รถของคมศรแล่นมาบริเวณหน้าคอนโดฯ กำลังจะเลี้ยวไปหาที่จอดรถ คมศรมองไปที่บริเวณหน้าคอนโดแล้วนิ่วหน้าด้วยความสงสัย เขาเห็นน้ำใสเดินอยู่บริเวณโถงโปร่งของคอนโดฯ โดยมีคนร้ายคนหนึ่งเดินประกบอยู่ทางด้านหลัง แต่คมศรไม่เห็นว่า น้ำใสโดนเอาปืนจ่ออยู่
น้ำใสท่าทางกระอักกระอ่วน เมื่อยามที่นั่งบริเวณเคาน์เตอร์คอนโดฯยิ้มทัก คนร้ายสีหน้าเหี้ยมจ้องเขม็ง เขารู้สึกผิดสังเกตอะไรบางอย่าง
บริเวณชั้นล่าง โถงกลางคอนโดฯน้ำใสชำเลืองมองไปที่คนร้ายเพื่อหาทางออกให้กับตัวเอง เธอเห็นถังดับเพลิงอยู่ที่กำแพงถัดไกลออกไป
เสียงโทรศัพท์มือถือน้ำใสดังขึ้น น้ำใสหยิบโทรศัพท์ขึ้นมามอง
“รับโทรศัพท์... อย่ามีพิรุธ !”
น้ำใสรับโทรศัพท์
“น้ำใสพูดค่ะ”
ลับเหลี่ยมผนังด้านหนึ่ง คมศรกำลังพูดโทรศัพท์
“ผมคมศร... คุณคงจำผมได้”
น้ำใสชะงักไปนิดหนึ่ง จ้องมองคนร้ายด้วยความหวาดๆ
“คุณ... เอ้อ จำได้ค่ะ มีอะไรเหรอคะ โทรมาดึกๆ ดื่นๆ”
น้ำใสชำเลืองมองไปทางคนร้าย ขณะที่คนร้ายจ้องมองมาด้วยสายตาไม่ไว้ใจ
คมศรจ้องไปเบื้องหน้าพร้อมๆ กับพูดโทรศัพท์
“ผมอยู่ในโถงคอนโดฯ นี่แหละ รู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ”
“เอ้อ... เหรอคะ”
“คุณกำลังตกอยู่ในอันตรายใช่มั้ย ถ้าใช่... เบี่ยงตัวไปทางซ้าย ค่อยๆ ทำนะ... อย่าทำให้มันสงสัย”
น้ำใสสูดลมหายใจแรง ตัดสินใจทำเป็นเดินสะดุดเหมือนจะเสียหลัก แล้วแกล้งอุทาน
"อุ๊ย"
คนร้ายกระชากร่างน้ำใสขึ้นมา
"เดินให้มันดีๆ หน่อย"
น้ำใสชำเลืองมองไปที่คนร้ายที่ไม่ได้สงสัยอะไร
คมศรชะงัก รับรู้ได้ว่าน้ำใสกำลังตกอยู่ในอันตราย เขาหยิบปืนมากระชากลูกเลื่อน พร้อมๆ กับตัดสินใจหยิบวิทยุสื่อสารออกมา
“191 ... ผม คมศร เลขาท่านนายกฯ พบเหตุผิดปกติที่คอนโดฯ.....ถนน.....ส่งสายตรวจมาด่วน”
แล้วจู่ๆ คนร้ายก็หันขวับไปด้านผนังที่คมศรหลบอยู่ พอเห็นคมศร คนร้ายก็ยกปืนยิงออกไปยังคมศร เปรี้ยงๆ ๆ เขาหลบวูบ ยิงกระหน่ำต่อสู้กับคนร้าย เปรี้ยงๆ ๆ
คนร้ายกระชากร่างน้ำใสมาเป็นเกราะกำบังตัวเอง พยายามจะหนีออกไปจากตรงนั้น
น้ำใสชำเลืองมองคนร้ายที่กำลังต่อสู้อยู่ตลอดเวลา เมื่อคนร้ายกระชากร่างเธอมาถึงบริเวณกำแพงที่มีถังดับเพลิงอยู่ น้ำใสตัดสินใจสะบัดร่างออกจากคนร้ายเต็มแรง จนคนร้ายเสียหลัก
คนร้ายบันดาลโทสะ วาดปืนในมือจะยิงเข้าใส่น้ำใส แต่ไม่ทันแล้วเพราะน้ำใสกระชากถังดับเพลิงออกมาจากกำแพง กดปุ่มพ่นน้ำยาเข้าใส่หน้าคนร้ายแบบเต็มๆ
“อ๊าก”
คนร้ายที่มองอะไรไม่เห็น กระหน่ำยิงปืนในมือแบบไม่นับ เปรี้ยงๆๆ น้ำใสพุ่งตัวหลบแทบไม่ทัน
คมศรโดดออกมายิงเข้าใส่คนร้ายเพื่อป้องกันน้ำใส เปรี้ยง !
กระสุนเจาะเข้ากระโหลกคนร้าย ล้มคว่ำ ตายคาที่ไป
คมศรมองตามร่างคนร้ายอย่างเท่ๆ แล้วหันไปมองน้ำใสที่ตัวสั่นเทาด้วยความกลัว หลบอยู่ที่มุมด้านหนึ่ง
"เป็นยังไงบ้าง"
“คุณ... คุณมาที่นี่ได้ยังไง”
“อย่าเพิ่งสงสัยเลย ทฤษฎีความบังเอิญเกิดขึ้นได้ในชีวิตประจำวัน เจ็บที่ไหนบ้างมั้ย"
“เอ้อ... ไม่ค่ะ”
ตำรวจสองนายเข้ามาที่โถงพอดี คนหนึ่งตรงเข้าไปดูสภาพศพของเหล่าร้าย อีกคนหนึ่งตรงเข้ามายังคมศรและน้ำใส เธอชะงักรู้สึกได้ถึงความใกล้ชิดโดยไม่ได้ตั้งใจเมื่อถูกเขาประคอง
ดาหลานำเรื่องมารายงานให้จักรทราบ จักรมีสีหน้าไม่พอใจมาก
“แค่นักข่าวคนเดียวยังทำงานพลาด”
“มันแกร่งกว่าที่เราคิดเยอะ” ดาหลาบอก
“ส่งคนไปจัดการมันอีกครั้ง ยังไงฉันก็ต้องได้วิดีโอสัมภาษณ์นังนภา”
“ทำอะไรตอนนี้คงไม่เหมาะ ตอนนี้นังนักข่าวมันอยู่กับเลขาคมศร”
“ไอ้คมศร”
“เราคงต้องหยุดตามนังนักข่าวไปก่อน รอจนถึงเวลาที่เหมาะสม”
จักรไม่พอใจ
ผ่านเวลาเล็กน้อย บริเวณโถงคอนโดฯ ศพของคนร้ายถูกรูดซิปปิด เจ้าหน้าที่มูลนิธิแบกนำร่างออกไป ทางด้านข้าง น้ำใสได้รับการปฐมพยาบาลเบื้องต้นจากบุรุษพยาบาล ตำรวจกำลังสอบปากคำคมศรที่อยู่ด้านไกลออกไป คมศรให้ปากคำเสร็จก็เดินมาหาน้ำใส บุรุษพยาบาลบอกกับคมศร
“มีแค่รอยพกช้ำ แฟนท่านเลขาไม่เป็นอะไรมาก ไม่ต้องเป็นห่วงครับ”
"ขอบใจมาก"
น้ำใสรีบหันไปทางพยาบาลจะบอกว่าไม่ได้เป็นอะไรกับคมศร แต่บุรุษพยาบาลยิ้มๆ เดินออกไปแล้ว
“ทำไมไม่บอกเค้าว่าเราไม่ได้เป็นอะไรกัน” น้ำใสถาม
คมศรยิ้มๆบอก
“ผมคงชินกับการโดนเข้าใจผิด”
น้ำใสทำหน้าไม่ค่อยสบอารมณ์นักกำลังจะหันไปต่อว่าคมศรต่อ แต่ตำรวจเดินเข้ามาขัดจังหวะก่อน
“พรุ่งนี้เช้า คงต้องรบกวนท่านเลขาพาแฟนไปให้รายละเอียดที่ท้องที่อีกครั้ง วันนี้ไปพักผ่อนได้แล้วล่ะครับ”
น้ำใสหันขวับไปจะปฏิเสธ แต่เห็นรอยยิ้มของตำรวจที่จ้องมาแล้วพูดไม่ออก
“ดึกมากแล้ว ผมไปส่งคุณที่ห้องเอง” คมศรบอก
น้ำใสกำลังจะต่อว่าเขา แต่เขาคว้ามือเธอดึงมาจับไว้แล้วจูงออกไปจากตรงนั้น เธอมีท่าทางอึกอักเล็กน้อยแต่ทำอะไรไม่ได้ ต้องยอมเดินออกไปกับเขา
คมศรจูงมือพาน้ำใสเดินออกไป
คมศรเดินนำน้ำใสเข้ามาในลิฟท์อย่างอารมณ์ดี น้ำใสกดลิฟท์แล้วมองหน้าคมศร
“ปล่อยให้เข้าใจผิดแบบนั้นแหละดีแล้ว”
"ทำไมคะ"
“ตำแหน่งงานที่ผมทำอยู่ อาจจะทำให้คุณได้รับความสะดวกมากขึ้น รองจักรคงจองเวรคุณไม่เลิกแน่ๆ”
น้ำใสชะงักไปนิดหนึ่ง ก่อนคล้อยตามคำพูดของคมศร
“ฉันละเบื่อกับระบบอุปถัมภ์จริงๆ ประชาชนจะมีทางเลือกบ้างได้มั้ย คนที่มีเส้นสายมักจะได้รับความสะดวกมากกว่าคนธรรมดา”
“ผมก็เบื่อ แต่ต้องทำใจให้ยอมรับและอยู่กับมันให้ได้ คงต้องหวังกับคนรุ่นใหม่ที่จะพัฒนาบ้านเมืองให้หลุดพ้นจากระบบทุนนิยมแบบเก่าๆ”
"อีกนานเท่าไหร่ล่ะคะ"
"คงไม่นานหรอก ถ้าจะเริ่มตั้งแต่วันนี้ เลิกนับถือคนจากฐานะและตำแหน่งแต่ให้ความสำคัญกับ ความดี”
คมศรถอนหายใจเหมือนเป็นเรื่องที่ตอบยาก มองไปที่ชั้นที่น้ำใสกด
คมศรเปลี่ยนเรื่องพูด
“คุณอยู่ชั้น 17 เหรอ”
"ใช่ค่ะ...มีอะไรเหรอคะ"
น้ำใสพยักหน้ารับคำ คมศรยิ้มๆ ไม่ตอบ
ประตูลิฟท์เปิดออก น้ำใสเดินนำคมศรออกมาที่ห้องพักพร้อมๆ กับรื้อค้นหากุญแจห้องพักตัวเอง
“นี่เราอยู่คอนโดฯ เดียวกัน คุณอยู่มานานรึยัง”
"ตั้งแต่เปิด" คมศรบอก
“อ้าว... เหมือนกันเลย แล้วทำไมเราไม่เคยเจอกัน”
คมศรยิ้มๆบอก
“คงยังไม่ถึงเวลามั้ง"
น้ำใสยังคงรื้อหากุญแจห้องอยู่
“คุณอยู่ชั้นไหนคะ”
คมศรยิ้มๆ ยังไม่ทันจะไม่ตอบ น้ำใสเดินนำคมศรมาจนถึงหน้าห้องพักตัวเองด้วยท่าทางหงุดหงิดที่หากุญแจไม่เจอ
"ตายๆ ๆ โก๊ะอีกแล้วนังน้ำใส"
“เกิดอะไรขึ้น”
“เฮ้อ... วันนี้จะได้หลับได้นอนมั้ยเนี่ย ฉันลืมกุญแจห้องไว้ที่สถานีฯ คงต้องกลับไปเอา”
“ให้ส่วนกลางเอากุญแจสำรองมาไขให้ก็ได้”
"ได้ด้วยเหรอ ฉันไม่เคยรู้"
คมศรยิ้มบอก
“เชื่อแล้วว่าโก๊ะจริง เอาอย่างนี้...เดี๋ยวคุณไปนั่งรอในห้องผมก่อน ผมจะโทรตามส่วนกลางมาเปิดห้องให้คุณ"
“ขอบคุณค่ะ...”
น้ำใสจะเดินนำไปแล้วชะงัก ยิ้มเขินๆ
“แหะๆ ห้องคุณอยู่ชั้นไหนล่ะคะ”
คมศรยิ้มๆ ไม่ตอบ เขากลับเดินไปที่ห้องข้างๆ ติดกับห้องน้ำใส หยิบกุญแจมาเปิดออก
“คุณอยู่ข้างห้องฉัน”
"เชิญครับ...”
คมศรเปิดประตูห้องกว้างพร้อมกับโบกมือเชิญให้น้ำใสเดินเข้าไปในห้อง
น้ำใสเดินสำรวจดูไปทั่วๆ ภายในห้องคมศร เห็นรูปถ่ายของคมศรกับแพรไพลินวางอยู่หลายรูป แต่ละรูปบ่งบอกว่าทั้งคู่สนิทกันมากแค่ไหน คมศรวางโทรศัพท์แล้วหันมาบอกน้ำใส
“เดี๋ยวแม่บ้านจะมาเปิดประตูให้”
"ขอบคุณค่ะ"
น้ำใสหันมองดูไปทั่วๆ ห้องต่อไป
“สำรวจทั่วรึยัง... อยากสำรวจห้องไหนเพิ่มอีกมั้ย”
น้ำใสหัวเราะเขินๆ
“แหะๆ ไม่แล้วค่ะ คุณกับดอกเตอร์แพรไพลินสนิทกันมากจริงๆ นะคะ ทั้งห้องมีแต่รูปของหมอแพร”
คมศรชะงักอึ้งไปนิดหนึ่ง สะเทือนใจที่ต้องพูดถึงปมรักข้างเดียวของตัวเอง น้ำใสชี้ไปที่รูปๆ หนึ่ง "รูปนี้น่ารักดีนะคะ"
“ถ่ายตั้งแต่สมัยเรียนอยู่ที่อเมริกา ผมสนิทกับเธอตั้งแต่ยังเรียนหนังสือ”
น้ำใสนิ่งๆ คิดถึงตัวเอง
“คงเหมือนฉัน... ฉันกับแสงกล้าโตมาด้วยกันในมูลนิธิเด็กฯ เป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เล็ก ฮึๆ แล้วก็คงเป็นเพราะเป็นเพื่อนเล่นกันมานี่แหละ เค้าถึงไม่เคยคิดว่าฉันเป็นอย่างอื่นเลย นอกจาก...”
น้ำใสพูดไม่ออก
“เพื่อน”
น้ำใสฝืนยิ้มพยายามทำใจ
“การที่คนเราจะรักใครสักคนเนี่ย มันหาเหตุผลให้เข้าใจยากจริงๆ นะคะ"
“คงยากพอๆ กับที่จะทำใจให้ เลิกรักใครสักคน” คมศรบอก
“แสดงว่าเราสองคนเข้าใจซึ่งกันและกันนะคะ แอบรักเพื่อนสนิท... ฮึๆ”
“คุณเก่งที่ยังยิ้มได้ ทั้งที่พูดเรื่องน่าสะเทือนใจ”
“ทำไมต้องเศร้าด้วยล่ะคะ แค่เราสบายใจที่เห็นเค้ามีความสุข มันก็น่าจะเพียงพอแล้ว คุณเองก็เก่ง ไม่เห็นคุณจะเศร้าเลยสักนิดที่เห็นอดีตแฟนหันไปรักคนอื่น"
“ผมคงเป็นพวกเก็บความรู้สึก มีชีวิตอยู่ในปัจจุบันดีกว่า แค่มีความสุขที่วันนี้ยังมีเธออยู่เคียงข้าง ผมก็สบายใจมากแล้ว”
เสียงกดกริ่งหน้าห้องคมศรดังขึ้น
“แม่บ้านคงมาเปิดประตูห้องให้ฉันแล้ว” น้ำใสบอก
“ไปกันเถอะ... คุณจะได้พักผ่อน”
คมศรเดินนำน้ำใสออกไป
ทางเดินหน้าห้องพัก แม่บ้านส่วนกลางไขกุญแจเปิดห้องให้น้ำใส
"ขอบใจมาก" คมศรบอก
คมศรเอาเงินใส่มือให้แม่บ้าน แม่บ้านเดินออกไป น้ำใสกำลังจะเดินเข้าไปในห้องหันมาหาคมศร
“ขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะคะ ถ้าไม่ได้คุณ วันนี้ฉันจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้ ยินดีที่มีคุณเป็นเพื่อนตายอีกคนหนึ่งค่ะ”
น้ำใสส่งมือให้คมศรจับแบบแมนๆ ทั้งสองจับมือแล้วมองหน้ากัน
“เพื่อน? ผมชอบคำๆ นี้จัง ชักจะคุ้นเคยกับมันยังไงไม่รู้ ระวังตัวให้ดีด้วย ฝ่ายตรงข้ามรู้แล้วว่าคุณเลือกอยู่ข้าง ผบ.นภา”
"ขอบคุณที่เป็นห่วงค่ะ ท่านเลขาฯ ก็ระวังตัวไว้บ้างนะคะ"
ทั้งสองมองหน้ากันด้วยรอยยิ้ม น้ำใสปิดประตูห้อง คมศรมองตาม
น้ำใสปิดประตูเดินเข้ามาในห้อง ทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟา นิ่งคิดนิดหนึ่ง
"ท่านเลขาคมศร... มีเสน่ห์เหมือนกันนะเนี่ย"
น้ำใสยิ้มๆ แต่ไม่ได้คิดอะไรมาก
เวลาเช้ามืดใกล้สว่างที่วัดร้าง นภายังคงนั่งนิ่งอยู่ที่หน้าเชิงตะกอนที่ใช้เผาร่างของเมฆา แววตาเธอหม่นหมองเต็มไปด้วยความเศร้า
เชิงตะกอนยังมีเถ้าถ่านแดงๆ ให้เห็น ควันลอยจางๆ
บริเวณวัดร้าง แสงกล้ายังคงนอนไม่หลับตั้งแต่เมื่อคืน เขาเอามือจับวัชระที่ห้อยคออยู่ จ้องมองอย่างครุ่นคิด รอบๆ ข้างแสงกล้า สมิง จ่าหวาน และ ดาบแหบ ต่างหลับอยู่ตามมุมต่าง ๆ
แสงกล้าหันไปมองทางอินทนนท์ที่ยังไม่หลับเช่นกัน
“เราจะทำยังไงกันต่อไปครับท่าน”
“หาทางชิงของสำคัญทั้งสี่กลับมา” อินทนนท์บอก
"ด้วยวิธีไหนครับ"
“พวกมันคงรู้แล้วว่าได้ศาสตราวุธไปไม่ครบ บางทีเราอาจจะไม่ต้องทำอะไรเลย แค่รอเวลาให้พวกมันเป็นฝ่ายมาหาเราเอง”
บริเวณเชิงตะกอน ไฟมอดใกล้จะดับหมดแล้ว นภาที่นั่งอยู่ด้านหน้าผลอยหลับไป
นภาที่หลับอยู่นิ่วหน้าคล้ายกำลังฝัน ภาพเหตุการณ์ในอดีตเข้ามาในความทรงจำของเธออีกครั้ง
“อำนาจมืดจะครอบครองทุกชีวิตบนโลกนี้ ไม่มีใครขัดขวางเส้นทางของฉันได้ ที่ ๆ คนดีอย่างพวกแกจะไปอยู่รวมกันมีอยู่ที่เดียว.. คือ...นรก”
วิญญูยกร่างนภาขึ้นด้วยมือเดียวแล้วโยนไปกระแทกหน้าต่าง ร่างของเธอกระแทกกระจกหน้าต่างจนแตกละเอียด ร่างของนภากระแทกที่หลังคารถยนต์คันที่จอดอยู่ เสียงสัญญาณกันขโมยดังลั่น
นภาที่ยังคงหลับอยู่... เธอนิ่วหน้า ระลึกถึงความหลังตอนที่สามารถรอดชีวิตไปได้
ทางเดินใต้ดินของโรงพยาบาล เหตุการณ์หลังจากที่นภาตกลงมาจากตึกแล้ว ดวงตะวันกำลังเข็นเตียงนภาไปตามทางเดินที่เงียบไม่มีคน ผู้การอินทนนท์เดินตามมาอย่างรวดเร็ว นภาที่ไม่ได้สติ แต่นิ่วหน้าคล้ายกำลังเจ็บปวดสาหัส
“ยืนยันสถานที่แน่นอนแล้วใช่มั้ย”
“ผู้หญิงคนนั้นเพิ่งส่งสถานที่มาให้ค่ะ ย้ำว่าเราต้องรีบไปภายในคืนนี้ ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป"
นภาที่เจ็บปวดและยังไม่ฟื้น แต่รับรู้ได้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรอบๆ ตัว
ร่างนภานอนอยู่ในบ่อว่าน และยังคงไม่พื้นจากอาการบาดเจ็บ รอบๆ บ่อว่านมีแสงสว่างโดยรอบคล้ายมีเวทย์มนตร์บางอย่างล้อมรอบอยู่ อินทนนท์เดินเข้ามามองจอมนางที่กำลังดูอาการและรักษานภา
จอมนางรู้ว่าอินทนนท์กำลังจ้องอยู่ แต่ไม่หันหน้ามา
“เชื่อมั่นเถอะว่าคุณกำลังทำสิ่งที่ถูกต้อง" จอมนางบอก
“คุณตาบอด” อินทนนท์ว่า
“ใช่... แต่ไม่ใช่ปัญหาที่ฉันจะช่วยผู้หญิงคนนี้”
“คุณเป็นใครกันแน่”
“ผู้นำสาร...”
"ผู้นำสาร?” อินนนท์ทวนคำแต่นิ่วหน้าด้วยความสงสัย
จอมนาง ผู้เป็นน้องสาวของจอมแสง หยิบถุงผ้าออกมา เมื่อเปิดออกก็เห็นยาสมุนไพรเม็ดกลมใสราวกับเป็นลูกแก้ว เธอหยิบออกมา
“ก่อนอาจารย์ไตรรัตน์จะตาย ท่านเรียกฉันเข้าไปสั่งให้นำสิ่งนี้มาให้ผู้หญิงคนนี้”
อินทนนท์มองด้วยสายตาประหลาดใจ
“อาจารย์มองเห็นอนาคตบางอย่าง... อีก 20 ปีผู้หญิงคนนึงจะตายไม่ได้ เธอต้องรอดชีวิตด้วยมนตราแห่งไสยเวทย์ขาว เพื่อความถูกต้องและความดีงามที่จะคงอยู่ตลอดไป"
จอมนางหย่อนลูกแก้วสมุนไพรลงไปในบ่อน้ำว่านที่นภาแช่ตัวอยู่ บังเกิดแสงสีสวยงาม ร่างของนภาที่แน่นิ่งกลับสีน้ำมีนวลคล้ายกำลังจะกลับมามีชีวิต
“ผู้หญิงคนนี้ต้องรอดชีวิต เพื่อทำทุกอย่างให้ถูกต้องตามที่ควรจะเป็น”
จอมนางนิ่งคล้ายทำสมาธิที่บ่อว่านสักครู่ แล้วจึงลุกขึ้นเหมือนจะเดินออกไป
"คุณจะไปไหน"
"ภารกิจของฉันเสร็จสิ้นตามที่ได้รับมอบหมาย หมดหน้าที่ของฉันแล้ว"
"เดี๋ยวก่อน...”
จอมนางไม่ฟังอินทนนท์ เดินหายไปในความมืดทันที
อินทนนท์หันกลับไปมองที่ร่างนภา สีหน้านภาดีขึ้นเรื่อยๆ จนดูเหมือนปกติ นภาค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา มองไปรอบๆ งงๆ
"คุณปลอดภัยแล้วนภา"
นภานิ่งคิด มองไปรอบๆ แล้วถาม
“ท่านผู้การ... ฉันจำได้ว่าโดนโยนลงมาจากชั้นบนของโรงพยาบาล แล้วฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงคะ”
“มีผู้หญิงคนหนึ่งติดต่อไปที่เรา เธอต้องการช่วยชีวิตคุณ”
"ใคร"
“เรารู้แต่ว่าเธอเป็นความหวังเดียวที่จะทำให้คุณรอดชีวิต”
นภาจับเนื้อจับตัวตัวเองด้วยความแปลกใจ
“เรายังมีภารกิจมากมายที่ต้องทำด้วยกัน ผู้หญิงคนนั้นบอกว่า คุณต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อสร้างความถูกต้องและยุติธรรมให้กับโลกใบนี้”
นภา ฐานรัฐอึ้งไปนิดหนึ่ง อินทนนท์จ้องหน้านภาด้วยสายตาเชื่อมั่น
นภาผวารู้สึกตัว ตื่นขึ้นมาจากความฝัน มองไปรอบๆ ตัว ยังคงอยู่ในอารมณ์เศร้าจากการจากไปของเมฆา เธอลุกขึ้นเดินมายังเชิงตะกอนที่ใช้เผาศพ เห็นร่องรอยของขี้เถ้าที่อยู่บนเชิงตะกอนนั้น เธอยืนมองด้วยความสะเทือนใจ
“ลาภ ยศ ชื่อเสียง ตำแหน่ง คนเราจะแสวงหาไปทำไมให้มากมาย สุดท้ายก็เอาอะไรติดตัวไปไม่ได้สักอย่าง”
นภาชะงักไป หันมองไปตามเสียง เห็นเมฆายืนอยู่ในมุมมืดมุมหนึ่งไกลออกไป เธอมองที่เชิงตะกอนก่อนบอก
“เมฆา? แต่คุณตายไปแล้ว... ไอ้วิญญู”
นภาชะงักคิดว่าเป็นวิญญูที่ปลอมตัวมา เธอกระชากปืนพกออกมาเหนี่ยวไกยิงออกไป เปรี้ยงๆ ๆ แต่พอเหลียวไปมองอีกครั้งร่างของเมฆาหายไปแล้ว
นภาหันมาที่ข้างตัว ก็ชะงักไปทันทีเพราะเมฆากลับมาปรากฏตัวอยู่ที่ข้าง ๆ เมฆาเอามือแตะมือข้างที่ถือปืนของนภา กดให้นภาลดปืนลง ใบหน้าและแววตาเต็มไปด้วยความเมตตา
“อย่ากังวลใจไปเลย... ผมเป็นสามีของคุณ สามีที่รักภรรยาคนนี้มากที่สุด ผมไม่มีวันทำร้ายคุณหรอก”
นภามองหน้าเมฆา พอเห็นรอยยิ้มและแววตาผูกพัน เธอชะงักไปนิดหนึ่ง เอื้อมมือไปแตะที่ใบหน้า ระลึกได้ว่าเป็นเมฆาตัวจริงแน่นอน
นภาโผเข้ากอดเมฆาทันที น้ำตาแห่งความปิติเอ่อล้น เมฆายิ้มกอดตอบ
นภามองไปทั่วร่างเมฆา
“เมฆา... คุณรู้มั้ยคะว่าฉันเป็นห่วงคุณมากแค่ไหน คุณปลอดภัยใช่มั้ย คุณยังไม่ตาย”
เมฆายิ้มตอบนิ่งๆ
“ผมยังตายไม่ได้ ตราบใดที่คุณยังเป็นแบบนี้”
เมฆาเอานิ้วเช็ดน้ำตานภาที่ไหลออกมาด้วยความปิติ
“จำไม่ได้เหรอ เราเคยพูดกันเสมอ...ความดีไม่มีวันตาย ตราบใดที่เรายังมีศรัทธา ความดีจะคงอยู่บนโลกใบนี้ตลอดไป”
“เมฆา...คุณคือความหวัง เป็นแสงสว่างในชีวิตฉัน ถ้าคุณยังมีชีวิตอยู่ ฉันพร้อมจะสู้กับความชั่วร้ายทุกอย่าง เราจะไม่มีวันพ่ายแพ้ต่อความไม่ถูกต้อง ฉันจะพิสูจน์ให้พวกมันเห็น พวกมันไม่มีทางทำลายศรัทธาในการสร้างความดี”
นภากอดกับเมฆาด้วยความยินดีที่เขายังคงรอดชีวิต
นภากับเมฆานั่งคุยกันท่ามกลางบรรยากาศแสงสวยพระอาทิตย์ใกล้ขึ้น
“คุณไปอยู่ที่ไหนมาคะ แล้วทำไมถึงตามมาที่นี่ถูก”
เมฆายิ้มๆบอก
“ผมอยู่กับคุณเสมอนภา ไม่เคยหนีไปไหนจากคุณเลย”
นภามองหน้าเมฆาด้วยความรู้สึกรักและผูกพัน พลางเอื้อมไปจับมือเมฆาไว้
“ฉันนึกว่าจะสูญเสียคุณไปแล้ว ถ้าคุณตาย... ความเชื่อมั่นในการทำความดีของฉันคงหมดสิ้นไป”
“ผมเข้าใจ เหมือนกับที่คนสมัยนี้ชอบพูดกันใช่มั้ย...ทำดีไม่ได้ดี แต่คุณเคยคิดบ้างมั้ย ความดีของแต่ละคนไม่เหมือนกัน อะไรที่เรียกว่าดี และอะไรที่เรียกว่าทำความดี เมื่ออยู่ในชีวิตประจำวัน เรามักแยกไม่ออกในเรื่องของทางโลกและทางธรรม”
นภาชะงักหันมามองหน้าเมฆา รู้สึกได้ถึงความจริงจังในน้ำเสียงในครั้งนี้
เมฆาพูดเน้นย้ำ
“สำหรับผม... ความดีกับการ เกิด แก่ เจ็บ ตายมันเป็นคนละเรื่อง”
เมฆาพูดพลางลุกขึ้นยืน มองไปที่ท้องฟ้าเบื้องหน้าที่แสงอาทิตย์เริ่มส่องพ้นขอบฟ้า นภาลุกขึ้นมองตาม
“เมื่อหมดบุญ สิ้นอายุขัย คนดีก็ตายได้ แล้วการที่คนดีตายเนี่ย มันจะหมายถึงทำดีแล้วไม่ได้ดีงั้นเหรอ”
"แต่ความดีก็ไม่ควรจะพ่ายแพ้ต่อความชั่ว คนดีไม่ควรจะถูกคนชั่วทำลาย"
“ต่างกันตรงไหน... ในเมื่อสุดท้ายไม่ว่า ชั่ว หรือ ดี ก็ไม่มีใครหนีความตายพ้น”
นภาชะงักไป นิ่งฟังคำพูดของเมฆา แม้ว่าสายตายังคงไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไรนัก
“ทรัพย์สิน ฐานะ หรือหน้ากากทางสังคมที่มนุษย์สมมุติสร้างขึ้น ตัดสินความเป็นคนไม่ได้หรอกนะ ... คุณค่าของความเป็นคนไม่ได้สิ้นสุดลงที่ความตาย คุณงามความดีที่แต่ละคนสร้างไว้ให้กับสังคมต่างหาก ที่จะยังคงอยู่ในความทรงจำของคนตลอดไป”
เมฆาเดินเข้ามาหานภา เอามือแตะที่ไหล่ทั้งสองข้างของเธอไว้
“สังคมคงอยู่ไม่ได้ ถ้าคนไม่สร้างคุณค่าของตัวเองด้วยการสร้างความดี คุณต้องกลัวให้น้อยกว่าที่กล้า ศรัทธาให้มากกว่าที่เห็น ความดีไม่เคยพ่ายแพ้ต่อความชั่วร้าย !นี่คือสัจธรรมที่ไม่ต้องพิสูจน์”
“คุณตายแล้วใช่มั้ย” นภาเสียงแผ่ว
“ถึงตัวจะไม่ได้อยู่กับคุณ แต่ผมจะคงอยู่ในจิตใจของคุณตลอดไป”
เมฆาถอดสร้อยคอที่ร้อยแหวนเงินที่ใส่อยู่ภายในเสื้อ สวมให้กับนภา นภาจับสร้อยเส้นนั้น
“แหวนเงินวงแรกที่ฉันซื้อให้คุณ”
“นภา... คุณต้องเชื่อมั่นในคุณธรรม เชื่อมั่นในการทำความดี ศรัทธาของคุณเท่านั้นที่จะทำให้สังคมของเราดีขึ้น”
เมฆาเดินห่างออกมาจากนภา
“คุณจะไปไหน...”
“ผมไม่เคยตายไปจากจิตใจคุณเลย...นภา คุณต้องศรัทธา ความดีต้องชนะความชั่ว”
เมฆายิ้มแล้วค่อยๆ เดินจากออกไป นภามองตามด้วยแววตาอาวรณ์และร้องเรียก
"เมฆา... เมฆา...”
นภาพยายามร้องเรียก คว้าตัวเมฆาที่กำลังจะจากไป