เหนือเมฆ2 : มือปราบจอมขมังเวทย์ ตอนที่ 5
ทางเดินในเนติเทคฯ ดร. เมฆา ฐานรัฐหันมามอง พ.ต.ต. หญิง รวิ อิงคพัฒน์อย่างนึกไม่ถึง
“แน่ใจผลพิสูจน์แล้วเหรอ ผบ.รวิ ไปตรวจสอบมาใหม่” เมฆาว่า
“ดอกเตอร์แพรไพลินตรวจสอบหลายครั้งแล้วค่ะท่าน ผลเลือดและดีเอ็นเอ ยืนยันเหมือนเดิมทุกครั้ง”
“ไม่มีวันที่ครามจะทำสิ่งที่คุณบอกผม”
“ท่านนายกฯครับ”
ดร. เมฆาหันมามอง คมศร สุริยนมองผบ. รวิแล้วตัดสินใจพูดขึ้นเอง
“ดอกเตอร์แพรไพลินได้ภาพวงจรปิดห้องนิรภัยมาแล้วครับ เรียนเชิญท่านนายกฯ กับคุณนภาที่ห้องประชุม"
ร.ต.ต. แสงกล้า และ พญ. แพรไพลินยืนอยู่หน้าจอ LED ขนาดใหญ่หลายจอ จ่าหวานดาบแหบ อยู่อีกด้าน รวิ คมศร วิน กุ๊บกิ๊บยืนอยู่ห่างมา เมฆา กับนภาเดินเข้ามาในห้องประชุม
เจ้าหน้าที่เปิดภาพจากกล้องวงจรปิด ขึ้นบนทุกจอ ภาพจากวงจรปิดในหลายมุมเริ่มตั้งแต่ผู้กองครามเข้ามาในห้อง แตะมือสแกนให้เลเซอร์หายไป จากนั้นเดินมากดรหัสตู้กระจกนิรภัย ครามกำลังจะหยิบเพชรยอดสังข์ ทอรุ้งก้าวเข้ามา
ทุกคนมองภาพในกล้องวงจรปิดอย่างอึ้ง ๆ แทบไม่เชื่อกับสิ่งที่ผู้กองครามทำลงไป
ทอรุ้งยืนเผชิญหน้ากับคราม …
ผู้กองครามหันไปเห็นทอรุ้งก้าวเข้ามายืนในห้อง เขาตาแข็งกร้าว ชะงักไปทันทีเหมือนระลึกได้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับทอรุ้ง
ผู้กองครามอาการเหมือนคนไม่มีสติ ปวดและกุมหัว
“ทอรุ้ง...โอ๊ย...ตามฉันมาได้ยังไง”
“ฉันรู้น่ะสิว่าในชีวิตคุณ... เรื่องสำคัญนอกจากฉันก็มีแค่งาน คุณมาที่นี่ทำไม”
ทอรุ้งจ้องหน้าผู้กองครามอย่างค้นหา
ครามหยิบปืน กำปืนมือสั่น ทอรุ้งมองอย่างตกใจ
“วางปืนลงก่อน”
ผู้กองครามเหมือนพยายามสู้กับตัวเองไม่ให้จ่อปืนไปที่ทอรุ้ง
“ไม่ ไม่ ผม...”
ทอรุ้งนิ่วหน้าไม่เข้าใจ หันไปมองมงกุฎเพชรที่วางอยู่เบื้องหลัง แล้วหันไปจ้องหน้าคราม
“คุณจะมาขโมยมงกุฏเพชรเหรอ”
ทอรุ้งเดินเข้าหา ครามจ้องมอง
“อย่าเข้ามานะทอรุ้ง...อย่าเข้ามา”
“คุณไม่ใช่คนเลว ฉันไม่ยอมให้คุณเป็นคนเลว”
ครามตัวสั่นกำลังต่อสู้กับบางอย่างที่เหนือการควบคุม
“คุณเป็นคนดี คราม..คุณเป็นคนดีของทุกคน เป็นตำรวจที่ดี เป็นคนรักที่ดี คุณสละความสุขของตัวเองพื่อความถูกต้องของสังคมมาตลอด”
มือของผู้กองครามที่ถือปืนตกลง เสียงครามสั่นเครือ
“นี่ไม่ใช่สิ่งที่คุณเป็นหรอกคราม”
“ทอรุ้ง”
“คราม... คุณเป็นอะไร”
“ออกไป ทอรุ้ง ออกไป...”
“ไม่...ฉันจะไม่ทิ้งคุณ”
“ผมบอกให้ออกไป อย่ามาขวางผม”
ผู้กองครามบอกด้วยแววตาแข็งกร้าว
ทุกคนมองภาพเหตุการณ์ในจออย่างตึงเครียด กดดัน นภาสงสัยกับท่าทีแปลกๆของคราม
ภายในห้องนิรภัย ทอรุ้งพยายามเตือนสติผู้กองคราม
“คุณจะยอมเสียเกียรติตำรวจ เสียศักดิ์ศรี เสียเพื่อน เสียคนที่นับถือคุณเพราะเพชรเม็ดเดียวรึไง”
ครามมีท่าทางสับสนกับตัวเอง ปวดหัวอย่างรุนแรง
“โอ๊ย... ผมเป็นอะไร ผมเป็นอะไรก็ไม่รู้ทอรุ้ง โอ๊ย”
ทอรุ้งเข้ามาแตะตัวคราม
“นี่ไม่ใช่ตัวคุณ คุณแค่สับสนไปเท่านั้น กลับกันเถอะ เรากลับไปที่โรงพยาบาล”
ผู้กองครามปัดทอรุ้งอย่างแรง
“นี่แหละตัวผม ! ออกไป อย่ามายุ่ง”
ทอรุ้งชะงักนิดหนึ่ง จ้องไปที่ใบหน้าของผู้กองคราม เห็นแววตาแข็งกร้าวไม่เหมือนครามคนเดิม
“คุณทำทุกอย่าง. พื่อความภูมิใจในอาชีพตำรวจ คุณเคยบอกฉันแบบนั้น”
ครามตะโกนกร้าว
“ผม...ผม.... ออกไปเถอะทอรุ้ง ผมจะทนไม่ได้แล้ว !”
“คราม... คุณมีความภูมิใจในตัวเอง มือคุณไม่เคยแปดเปื้อนความเลว ไม่เคยโกงภาษีชาวบ้าน ฉันคือคนที่ฉันภูมิใจที่สุดนะคะ”
ครามชะงักไปนิดหนึ่งเหมือนกำลังต่อสู้กับตัวเอง
“ส่งปืนมาให้ฉัน คราม”
“ไม่”
ครามเริ่มสติแตกควบคุมตัวเองไม่ได้ ทอรุ้งพยายามกล่อม
“โอเค คราม โอเค ฉันเข้าใจคุณแล้ว มาค่ะ..มา คุณจะเอาเพชรก็หยิบมาเลย แล้วเราจะค่อยกลับไปคิดกันต่อว่าจะทำยังไง”
ทอรุ้งเดินเข้าหาครามที่กำปืนแน่น
“ใจเย็น ๆ นะคราม ฉันอยู่ตรงนี้”
ทอรุ้งเดินมาใกล้ เอื้อมมือไปแตะมือครามที่ถือปืนเพื่อหวังจะดึงปืนออกมา
ทุกคนมองลุ้นภาพเหตุการณ์ในจอ
ทอรุ้งแตะมือผู้กองครามที่ถือปืน แต่จู่ๆ ครามก็แววตากระด้าง กำปืนไว้แน่น ทอรุ้งมองอย่างตกใจ
“คุณบ้าไปแล้ว”
ครามยกปืนเหยียดตรงแล้วยิงออกไป เปรี้ยง !
ทอรุ้งโดนยิงเข้าที่กลางลำตัว สะดุ้งเฮือกมองเลือดที่ทะลักออกมา
ทุกคนยืนหน้าถอดสี กับภาพครามยิงทอรุ้ง
ทอรุ้งทรุดฮวบลง ผู้กองครามตะลึงวิ่งมาประคอง ครามตัวสั่นไปทั้งตัว
“ทอรุ้ง ผมขอโทษ ผมขอโทษ”
“ฉันไม่เคยโกรธคุณ”
“ผมจะพาคุณไปโรงพยาบาล ผมจะให้หมอรักษาคุณ แล้วเราจะแต่งงานกัน”
ผู้กองครามพูดเพ้อ ขณะที่ทอรุ้งเลือดทะลักออกจากอก แววตาที่มองครามมีแต่น้ำตา
“คราม.. อย่าเป็นคนเลว คุณต้องเป็นตำรวจที่ดี เสียสละ เสียสละเพื่อทุกคน”
ทอรุ้งพยายามพูดเตือนสติ ก่อนจะค่อย ๆ หมดลมหายใจ ครามมองภาพทอรุ้งหลับตา คอพับตายอยู่ในอ้อมกอด
ครามเขย่าอย่างแรง
“ทอรุ้ง ทอรุ้ง ทอรุ้ง”
ครามตัวสั่นร้องไห้ กอดศพทอรุ้ง เลือดเลอะไปทั้งหน้า ทั้งตัว
“ทอรุ้ง... ทอรุ้ง”
ครามกอดศพทอรุ้ง น้ำตาไหลไม่หยุด ตาเคว้งคว้างอย่างคนผิดหวังรุนแรง
ครามมองไปเห็นกล้องวงจรปิด
“ผมรักคุณนะ ทอรุ้ง ผมรักคุณมากกว่าชีวิตผม”
ผู้กองครามยกปืนขึ้นเล็งไปที่กล้อง ก่อนจะยิงไปที่กล้องทุกตัว เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง
ภาพของกล้องแต่ละตัวยังเห็นเพชรยอดสังข์ร่วมอยู่ด้วย ก่อนดับไปพร้อมๆกับที่ครามยิง จนกระทั่งเหลือเพียงกล้องตัวสุดท้ายเพียงตัวเดียวที่จับภาพครามไว้ได้
ทุกคนสีหน้าช็อก เครียด กดดัน เสียใจจนน้ำตาคลอเบ้า
กล้องตัวสุดท้ายที่เหลืออยู่
“ทอรุ้ง ผมรักคุณ ยกโทษให้ผมด้วย ยกโทษให้ผู้ชายที่รักคุณที่สุดคนนี้ด้วย”
เสียงหอบหายใจของครามดังถี่ ปนเสียงสะอื้น
“ชีวิตผมอยู่ไม่ได้ ถ้าไม่มีคุณ ทอรุ้ง”
ครามเงยหน้าขึ้นจ้องกล้องตัวสุดท้าย เหยียดแขนตรงจ่อปืนเข้าหากล้อง
เสียงปืนดัง... เปรี้ยง !
ทั้งห้องสะดุ้งสุดตัว ถัดมาอีกไม่นานจึงได้ยินเสียงปืนอีกนัดหนึ่ง...เปรี้ยง !
ทุกคนกลายเป็นผู้รับรู้ในเหตุการณ์ฆาตกรรมอันสลดใจที่สุด
ดร. เมฆา ฐานรัฐนิ่งเหมือนกำลังเครียดอยู่ที่มุมหนึ่งในนิติเทคฯ พ.ต.ต. หญิง รวิเข้ามารายงาน
“ดิฉันต้องขอโทษที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ดิฉันไม่คิดว่าผู้กองครามจะทรยศต่อวิชาชีพฯ วางแผนขโมยเพชรยอดสังข์”
เมฆาหันมามองรวิด้วยความไม่พอใจ
“รวิ... คุณเป็นผู้บัญชาการสำนักงานสืบสวนพิเศษ แต่สรุปคดีแค่ตาเห็นมันไม่ง่ายไปหน่อยเหรอ !”
“จากภาพวงจรปิด ท่านนายกฯก็เห็นชัด ๆ ว่า...”
“ผมเสียใจแทนผู้กองครามที่ผู้บังคับบัญชาไม่รู้จักลูกน้องของตัวเอง”
รวิเงียบไม่อยากโต้เถียงอีก เมฆาหันมาบอกรวิด้วยแววตาจริงจังและน้ำเสียงเข้ม
“หวังว่านี่คงเป็นครั้งสุดท้าย ที่ผมจะได้ยินคุณตำหนิผู้ใต้บังคับบัญชา”
ผู้กองครามและทอรุ้งเสียชีวิตเพื่อปกป้องเพชรยอดสังข์ ทั้งสองคนตายในหน้าที่
“ค่ะท่าน”
ดร. เมฆาเดินออกไปด้วยความไม่พอใจ นภาเดินเข้ามาหาผบ.รวิ
“หลักฐานปรากฏชัดว่าผู้กองครามเป็นคนผิด บุกเข้าไปในห้องนิรภัย !”
“ครามผิดแค่ยิงทอรุ้ง เราไม่เห็นภาพเค้าขโมยเพชรออกมาซะด้วยซ้ำ เรื่องนี้ซับซ้อนกว่าที่คุณคิด ถ้านำอดีตของผู้กองครามมาใช้ในการวินิจฉัย คุณจะไม่มีวันสรุปผลอย่างนี้”
รวิจ้องนภาด้วยแววตาไม่พอใจ แต่เมื่อเห็นแววตาที่จริงจังของนภาก็จำต้องหลบตา
“ดิฉันจะสืบหาความจริงให้เร็วที่สุดค่ะ”
นภา ฐานรัฐเดินออกไป รวิมองตามไม่พอใจที่ถูกนภาตำหนิ...
อีกมุมหนึ่งที่เนติเทคฯ พญ. แพรไพลิน นวิยากุลนิ่งคิดนิดหนึ่ง แล้วหันไปพูดกับร.ต.ต. แสงกล้า อภิไชยด้วยน้ำเสียงเชื่อมั่น
“ผู้กองครามไม่ได้ฆ่าตัวตาย”
“คุณพูดอะไร ก็เห็นอยู่ว่าในห้องนั้นมีอยู่แค่สองคน”
“จากภาพวงจรปิด เราไม่เห็นผู้กองครามยิงตัวเอง ฉันมั่นใจว่าในคืนเกิดเหตุ นอกจากผู้กองครามกับคุณทอรุ้งแล้ว ในห้องนิรภัยมีคนอื่นอยู่ด้วย”
“ผู้กองถูกคนขโมยเพชรฆ่า”
“ฉันจะรวบรวมหลักฐานทั้งหมด นำมาวิเคราะห์อีกครั้งว่าเกิดอะไรขึ้น”
“ผมจะช่วยสืบหาพยานบุคคลอีกแรงหนึ่ง เราจะร่วมมือกันค้นหาความจริงว่า ใครอยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมด”
ทั้งสองมุ่งมั่นที่จะสืบสวนหาความจริงในเรื่องนี้
ภายในห้องควบคุมโทรทัศน์วงจรปิด ร.ต.ต. แสงกล้าเพ่งมองยังภาพในกล้องวงจรปิดทั้งหมดภายในตึกนิรภัย แต่ไม่ปรากฎภาพผู้ต้องสงสัย
“ภาพในช่วงเวลาก่อนเกิดเหตุ และหลังเกิดเหตุถูกลบทิ้งไปแล้วครับ”
แสงกล้าคิดนิดหนึ่ง
“ถูกลบทิ้ง ใครรับผิดชอบควบคุมกล้องวงจรปิด”
“เจ้าหน้าที่สองคน ออกจากเวรกลับไปบ้านแล้วครับ”
แสงกล้าคิดจะไปสอบสวนเจ้าหน้าที่ที่ดูแลภาพจากกล้องวงจรปิด
ร.ต.ต.แสงกล้า อภิไชยกำลังเร่งฝีเท้าอยู่ในบริเวณทางเดินในตึกนิรภัยเพื่อไปหาเจ้าหน้าที่ที่ดูแลห้องควบคุมเมื่อคืนนี้
แสงกล้าเดินมาหยุดมองไปเบื้องหน้า เห็นจ่าสมิงยืนหันหลังกำลังแผ่เมตตา
“สมิง... ทำอะไร”
“แผ่เมตตาให้ผู้กองครามกับคุณทอรุ้ง”
“จ่ารู้เรื่องนี้”
“เป็นคู่หูหมวดคนเก่ง ก็ต้องหาข่าวให้ทันหมวดสิ”
“เมื่อคืนนี้รู้อะไร ถึงบอกให้ผมรีบมาช่วยผู้กองคราม”
สมิงรีบเปลี่ยนเรื่อง
“หมวดจะรีบไปหาเจ้าหน้าที่ไม่ใช่เหรอ ผมพาไปเอง”
สมิงเดินนำออกไป แสงกล้าแปลกใจที่สมิงล่วงรู้ความคิดและเรื่องราวทั้งหมด
บ้านพักเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เป็นเรือนแถวยาว ในเวลากลางวัน
จ่าสมิงเดินมาถึงหน้าห้องพัก จ่าสมิงผายมือเชื้อเชิญให้แสงกล้าเปิดประตู
“เปิดมือซ้ายทำลายล้างอัคคี เมฆาพยัพย์ดับแสงโลกีย์วินาศ”
แสงกล้าหงุดหงิดไม่เชื่อสมิง เปิดประตูด้วยมือขวาเข้าไป เจ้าหน้าที่คนที่หนึ่งพุ่งเข้าชนเต็มแรงจนแทบล้ม แสงกล้าตกใจคว้าปืนออกมา แต่สมิงห้ามไว้ ทั้งสองเพ่งมอง..
เจ้าหน้าที่คนหนึ่งทำท่าเสือ มือเกร็งเป็นกรงเล็บเสือพร้อมตะปบ
“เค้าเป็นอะไร”
“เสือ…”
ตามร่างของเจ้าหน้าที่คนนั้น เป็นรอยสักเสือเต็มตัว
“ฉันมาดี อยากรู้ว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น นายเห็นอะไรบ้าง”
เจ้าหน้าที่คนนั้นพุ่งมาตะปบ แสงกล้าหลบแล้วต่อสู้เพื่อจับตัว แต่สู้แรงของเจ้าหน้าที่ไม่ได้เจ้าหน้าที่คนหนึ่งเหวี่ยงแสงกล้ากระเด็นออกไป แล้วจะพุ่งเข้าไปตะปบหน้าแสงกล้าแต่ต้องหยุดกึก !
จ่าสมิงบริกรรมคาถา ใช้นิ้วมือวาดเขียนลายอักขระบนแผ่นหลังเจ้าหน้าที่คนนั้นจนทรุดตัวลงนอนนิ่ง แสงกล้าขยับตัวหนีออกมา
สมิงกับแสงกล้า
“ป่วยการสอบ โดนซะขนาดนี้ ฟื้นขึ้นมาก็จำอะไรไม่ได้”
สมิงเดินออกไป แสงกล้าแปลกใจและสงสัย
บริเวณทางเดินไปยังห้องพักอีกห้อง แสงกล้าเดินไล่ถามสมิง...
“เกิดอะไรขึ้น”
“พวกเล่นของ…โดนของเข้าตัว”
ทันใดนั้น เมียของเจ้าหน้าที่คนที่ 2 วิ่งเข้ามาหาสมิงและแสงกล้า
“ช่วยด้วย ช่วยผัวฉันด้วย”
แสงกล้าและสมิงตกใจว่าเกิดอะไรขึ้น
แสงกล้าและสมิงเดินเข้ามาในห้อง แต่ไม่เห็นใคร...
ทั้งสองแปลกใจ แต่แล้วเจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นหนุมาน กระโดดลงจากขื่อ ถีบสมิงเข้าที่กลางหลังจนล้มลง
“โอย… เล่นซะจุกเลย”
“เป็นอะไรอีกล่ะ ไม่ได้สักอะไรเลย ทำไมถึงคลั่ง”
“ตัวนี้ไม่ได้เล่นของ แต่โดนของ !” สมิงบอก
เจ้าหน้าที่ทำท่าหนุมาน...เพ่งมองมาที่สมิงและแสงกล้า
“หนุมานชาญสมรพ่อเอ๊ย อันตัวกูนี้พระรามงามแท้ จงมาช่วยกูแก้กลเกมของพ่อมึงด้วยเถิด” จ่าสมิงว่า
“อย่ามัวเล่นน่าจ่า” แสงกล้าบอกสมิงแล้วหันไปถามเจ้าหน้าที่
“ฉันอยากรู้ว่าเมื่อคืนนี้นายเห็นอะไร”
เจ้าหน้าที่ไม่ตอบ กลับตีลังกาท่าหนุมานกระโดดถีบแสงกล้า แสงกล้าพยายามต่อสู้อยู่พักหนึ่ง แต่สู้ไม่ได้ สมิงเข้าไปหา
“จำพ่อรามไม่ได้เหรอลูกหนุมาน ช่วยพ่อด้วยเถิดลูก”
“กูไม่ใช่ลูกน้องมึง กูมีนายคนเดียว”
เจ้าหน้าที่จะพุ่งเข้ามาทำร้ายสมิง แต่สมิงหลบได้ แล้วคว้าเอากล้วยน้ำว้าซึ่งวางอยู่ในถาดบูชาพระ ขึ้นมาบริกรรม ขณะที่เจ้าหน้าที่จะเข้ามาทำร้ายอีก สมิงต่อสู้ไปพร้อม ๆกับบริกรรมคาถาสักหนึ่ง
“หิวก็กินซะ!”
เจ้าหน้าที่จะพุ่งจะทำร้ายสมิง สมิงปอกกล้วยเอากล้วยยัดปาก เจ้าหน้าที่ล้มหงายตึงในทันที เมียเจ้าหน้าที่วิ่งเข้าไปดูแล
“พี่...พี่เป็นอะไร”
“พาผัวเข้าวัดบ้าง... ชีวิตจะได้ดีขึ้น”
สมิงเดินออกไป แสงกล้าแปลกใจและเดินตามออกไป
แสงกล้าเดินเข้ามาขวางจ่าสมิงที่กำลังเดินนำหน้าลิ่ว ๆ
“จะรีบไปไหน ทำไมไม่รอให้เค้าฟื้นแล้วสอบสวนเรื่องเมื่อคืนนี้”
“บอกแล้วไงว่าเสียเวลาเปล่า เรามาช้าเกินไป พวกมันไม่เหลือความทรงจำอีกแล้ว”
“พวกเค้าโดนอะไร”
“ไสยดำ !”
ขมังเวทย์ถือเพชรยอดสังข์เดินไปยังแท่นกลางห้องโถงพิธีกรรม เพื่อประดับลงบนแก้วคริสตัลรูปหอยสังข์ที่วางอยู่ บังเกิดแสงเพชรสว่างวาบเข้าไปในตัวเรือนหอยคริสตัล แล้วส่องประกายแสงย้อนกลับมาที่ยอดสังข์
ประกายแสงเพชรวาบพุ่งพลังอันยิ่งใหญ่เข้าใส่ร่างขมังเวทย์
“ฮึ ๆ ๆ”
ท้องฟ้าภายนอก เกิดเมฆครึ้มดำลุกลามไปทั่ว ฟ้าแลบแปลบปลาบน่ากลัว ลมพายุพัดกระหน่ำทั่วทั้งเมือง ป้ายโฆษณาพังปลิวว่อน สัญญาณไฟจราจรสลับเขียวเหลืองแดงต่อเนื่อง รถยนต์เบรกไม่ทัน ขับพุ่งชนกลางสี่แยกไฟแดง เกิดความวุ่นวาย..
ทุกคนออกจากรถมายืนมองท้องฟ้าที่ผิดปกติน่ากลัว เมฆดำแผ่ขยายบดกินเนื้อที่ท้องฟ้าที่สดใส เพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ
ท้องฟ้าเหนือวัดยังคงสดใสอยู่ รถของแสงกล้าแล่นเข้ามาจอดที่ลานหน้าวัดหัวลำโพง จ่าสมิงออกจากฝั่งคนขับ แสงกล้าเปิดประตูออกมามองด้วยความแปลกใจ
“มาวัดทำไม”
สมิงไม่ตอบเดินเข้าไปในบริเวณวัด
แสงกล้าเดินตามเข้ามา สมิงไหว้บูชา แล้วเอากระดาษไปแปะไว้ที่โลงศพ สวดแผ่เมตตาขอพร...แล้วเดินผ่านแสงกล้าไป...
สมิงหยอดเหรียญบริจาคลงในตู้ ไหว้อธิษฐานแล้วก็เดินไปหยอดตู้อื่น แสงกล้าเดินเข้ามาจับมือสมิงไว้
“ไม่ใช่เวลาทำบุญ เราต้องไปทำคดีสืบหาความจริง”
“นี่แหละชีวิตจริง... ถ้าคิดจะสู้กับมาร เราต้องรีบทำบุญเสริมสร้างความดี บุญไม่มีบารมีไม่เกิด”
จ่าสมิงเอามือแสงกล้าออกแล้วเดินไปหยอดเงินทำบุญในที่ตู้ต่อไป แสงกล้าเดินตามไป
“สู้กับโจรผู้ร้ายต้องใช้สมอง ไม่ได้ใช้บุญ”
“นับแต่วินาทีนี้เป็นต้นไปไม่มีอะไรแน่นอน เราอาจจะต้องตายในวันนี้หรือพรุ่งนี้ไม่มีใครรู้”
จ่าสมิงเอาเงินยัดมือแสงกล้า
“ทำบุญซะ...ตายไปจะได้มีบุญติดตัวไปฝากยมบาล”
แสงกล้าไม่อยากขัดจึงเอาเงินหยอดตู้ ทันทีที่เงินร่วงลงตู้ ใบหน้าแสงกล้ากระจ่างเหมือนมีพลังบางอย่างทำให้รู้สึกอิ่มบุญอิ่มใจ แสงกล้ายิ้มออกมาแล้วหันไป แต่สมิงหายไป
“สมิง”
แสงกล้ามองหาสมิง เห็นด้านหลังของสมิงกำลังยื่นเงินให้คน ก็คิดว่าสมิงทำทาน
“ทำบุญแล้วทำทานเหรอ”
สมิงหันมาพร้อมชูล็อตเตอรี่
“พรุ่งนี้รวย ?!”
แสงกล้ามีสีหน้าผิดหวังมากที่เห็นสมิงยังคงบ้าหวย
“เมื่อคืนฝันว่าได้คั่วโคโยตี้สองคน รวมผมเป็นสาม เตียงเดียวกันมีตั้งหกขา
สองสามหก แหม...ไม่น่าบอกหมวดเลย เลขเคลื่อน ตีเป็นเลขอื่นดีกว่า”
สมิงหันไปเปลี่ยนล็อตเตอรี่...แสงกล้ามองด้วยความผิดหวัง
“ไร้สาระ”
แสงกล้าเดินนำออกไปทันที สมิงหันมามองแสงกล้าแล้วอมยิ้มที่แกล้งยั่วได้ แต่เมื่อสมิงเงยมองฟ้าก็เห็นเมฆดำสนิทเคลื่อนมาปกคลุมฟ้าสดใส บังเกิดประกายสายฟ้าแปลบปลาบไปทั่ว
สมิงเปลี่ยนจากรอยยิ้มเป็นอาการสะพรึงกลัวกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น
สมิงเดินตามแสงกล้าด้วยสีหน้าและแววตาไม่ค่อยดีนัก
“ไสยดำกลับมาแบบเต็มรูปแบบแล้ว มันรอคอยเวลานี้มาทั้งชีวิต เมื่อไหร่ที่รวบรวมศาตราวุธได้ครบ ความชั่วที่ไม่เคยปรากฏจะครอบงำโลกใบนี้”
แสงกล้าหยุดเดินแล้วหันมาถาม
“รู้ใช่มั้ย... พวกมันเป็นใคร จ่าเคยรู้จักมัน. เคยปะทะกับมัน ก็น่าจะรู้ว่าทำลายพวกมันยังไง”
สมิงนิ่งมองแสงกล้า ก่อนจะตอบน้ำเสียงเรียบ ใบหน้ากวนตามแบบของจ่าสมิง
“ถ้ารู้มากขนาดนั้น ผมจะมายืนให้หมวดซักทำสากกะเบือทำไมครับ”
แสงกล้ามองสมิงที่เดินออกไปอย่างไม่เข้าใจเท่าใดนัก
ทางเดินกว้างที่ทอดยาวออกไป ลมพัดวูบแรงเศษใบไม้กระจาย สมิงที่เดินอยู่หยุดเดินกระทันหัน
แววตาเขม็งมองไปโดยรอบ
แสงกล้า เห็นสมิงหยุดเดินก็ไม่ได้สนใจกลับเดินผ่านสมิงไป
ขมังเวทย์เพ่งไปที่เพชรยอดสังข์เบื้องหน้าด้วยแววตาที่น่ากลัว
ร.ต.ต. แสงกล้า อภิไชยกำลังก้าวเดินไปเบื้องหน้า งูเห่าตัวเขื่องโผล่พรวดมาด้านหน้า แผ่แม่เบี้ยน่ากลัวกำลังจะฉกแสงกล้า แสงกล้าหยุดเท้าไม่ทัน
ภายในโถงพิธีกรรม แววตาขมังเวทย์ยังคงแข็งกร้าว
ร.ต.ต. แสงกล้าผงะ งูเห่ากำลังพุ่งเข้าหาที่ข้อเท้า แต่ทันใดนั้น รองเท้าเก่า ๆ เน่า ๆ ถูกปามาจากด้านหลัง และโดนเข้าที่หัวงูอย่างแม่นยำ งูถึงกับนอนนิ่งไม่ไหวติง
แสงกล้าหันขวับไป เห็นจ่าสมิงยืนเขย่งขาอีกข้างที่ไม่ได้ใส่รองเท้า เมื่อเขาหันกลับไปอีกที ไม่เห็นงู เห็นแต่รองเท้าสมิงอยู่บนกองเลือดดำ
“เฮ้ย...”
จ่าสมิงเดินมาเก็บรองเท้าของตัวเองไปใส่ แสงกล้ามองอย่างอึ้ง ๆ กองเลือดดำซึมหายลงไปกับพื้น ต่อหน้าแสงกล้ากับสมิง
“งู... งูหายไปไหน”
แสงกล้าแววตาเครียดหันไปมองสมิง
“นี่มันคือไสยดำ... ที่จ่าพูดถึงใช่มั้ย”
เหนือเมฆ2 : มือปราบจอมขมังเวทย์ ตอนที่ 5 (ต่อ)
ขมังเวทย์กระอักเลือดสีดำพุ่งออกมาจากปากเป็นสายลงบนพื้น มีซากงูเห่าบนกองเลือดนั้น
แววตาขมังเวทย์ลุกโชนยิ่งกว่ากองไฟ
“ไอ้มงคล โลกนี้ไม่มีที่ให้แกอยู่ร่วมกับฉัน !”
ภาพโชติฌาณต่อสู้กับมงคลอย่างเร้าใจผ่านเข้ามาในความทรงจำ
เทียนรอบห้องดับวูบ เหลือแต่ไฟในแววตาขมังเวทย์ที่ลุกโชน
“ถึงเวลาที่แกต้องชดใช้ด้วยชีวิต..ด้วยวิญญาณ ! ต้องไม่มีอำนาจความดีที่อยู่เหนือข้า ต่อจากนี้ไปจะไม่มีพลังใด ๆ มาขัดขวางความยิ่งใหญ่ของข้าอีกแล้ว”
ขมังเวทย์เคลื่อนมาอย่างเร็วมาหยุดตรงหน้าตรีศูลวัชระและสังข์ไชยมงคลที่ตั้งอยู่บนแท่น และยังมีอีก 2 แท่นที่ว่างเปล่ารอศาสตราวุธชิ้นต่อไป...
บริเวณหน้าทางเข้าโถงพิธีกรรมฯจักร อมตฤทธาจะเดินไปด้านใน แต่ปราบ บอดี้การ์ดของวิญญูมาขวางไว้
“เข้าไม่ได้ครับ ท่านวิญญูสั่งไว้”
“แกเป็นลูกน้องใคร”
ปราบก้มหน้า แต่ยังไม่ยอมหลบหลีกทางให้จักร ด้วยเพราะเกรงอำนาจของวิญญู
“มันคิดว่ามีเวทย์มนต์แล้วจะอยู่เหนือฉันได้เหรอ ฉันจะทำให้มันรู้ว่าใครเป็นลูกน้อง ใครเป็นนาย !”
จักรจะเดินเข้าไปแต่แล้วต้องหยุดชะงัก แววตาเบิกกว้างด้วยความตกใจที่เห็น ดร. เมฆา ฐานรัฐเดินออกมาจากโถงพิธีกรรม เมฆาจ้องหน้าจักรด้วยแววตาไม่พอใจ
“แล้วคุณเป็นลูกน้องใคร”
“ดอกเตอร์เมฆา... เอ้อ ท่านนายกฯ มาที่นี่ได้ยังไงครับ”
“ฮึ ๆ ๆ”
เมฆาหัวเราะแล้วกลับกลายร่างเป็นวิญญูในชั่วพริบตา
“วิญญ”
“มีของดีกับตัวต้องลองของกันบ้าง”
วิญญูพูดจบก็กลายร่างเป็นปราบ
จักร กับปราบเห็นก็ตกใจ !
“ท่าน...” ปราบโพล่งขึ้น
“เอาเส้นผมมาปลุกเสกอีกล่ะสิ” จักรว่า
วิญญูในร่างปราบบอก
“ต่อไปนี้...ไม่จำเป็นต้องปลุกเสกให้เสียเวลา”
วิญญูคืนร่างเดิมบอก
“อยากเป็นใครก็เปลี่ยนได้.. ด้วยจิตสั่ง !”
วิญญูพูดจบก็กลายร่างเป็นจักร
วิญญูในร่างจักรหัวเราะ
“ฮึ ๆ ๆ”
จักรไม่พอใจเดินเข้าไปยังห้องโถงพิธีกรรม
จักรเดินตรงมายังสังข์ไชยมงคล วิญญูเดินตามเข้ามา
“ต้องเป็นอำนาจคุณไสยจากสังข์ไชยมงคลแน่ ๆ”
จักรจะเข้ามาจับที่สังข์ แต่วิญญูเดินเข้ามายกมือขึ้น จักรร่างถลาออกไปคล้ายโดนกระแทกล้มคว่ำลงไปกองแทบพื้น
“อย่ายุ่งกับเทวาศาสตราวุธ !”
“ลืมไปแล้วเหรอว่าใครเป็นนายจ้าง”
“ไม่ลืม แต่ยังไม่ถึงเวลา”
วิญญูเดินมอง ตรีศูลวัชระ และ สังข์ไชยมงคลแล้วพูดขึ้น
“เหลือเพียง อนันตคทา และ จักระนารายณ์ เมื่อเทวาศาสตราวุธทั้งสี่มารวมกัน ทุกสรรพสิ่งจะตกอยู่ภายใต้อำนาจและจิต”
“ของฉัน !” จักรพูดสวนขึ้นมาทันที
วิญญูเหลือบมองข่มจักรแล้วบอก
“ใช่... ทุกอย่างจะตกอยู่ภายใต้อำนาจและจิตของนายจ้าง ฮึ ๆ ๆ”
วิญญูยิ้มเหี้ยมและหัวเราะอย่างมีเลศนัย
ในโรงยิมฯ เย็นวันเดียวกัน น้ำใสกับแสงกล้าในชุดยูโดกำลังกอดรัดต่อสู้กันอยู่ โดยแสงกล้าเป็นคนฝึกยูโดให้กับน้ำใส
แสงกล้ากำลังคิดถึงเรื่องที่เพิ่งเจอมากับสมิงที่ถูกงูเห่าโจมตี และสมิงเล่นงานยามที่โดนของจากขมังเวทย์ น้ำใสฝึกไปบ่นไป
“มาก็สาย... หนำซ้ำมาแล้วยังไม่พูดไม่จา ถามอะไรก็ไม่ตอบ”
น้ำใสขยับจะทุ่ม แต่ทุ่มไม่ได้เพราะแสงกล้าขืนตัวไว้
“อืม...” แสงกล้ารับคำแบบไม่สนใจ
“ตกลงบอกฉันได้รึยังว่าเกิดอะไรขึ้นกับหมวดคราม ทำไมเค้าถึงเป็นอย่างนั้น”
“อืม...”
“นิติเทคฯกับสำนักงานสืบฯ พบหลักฐานอะไรพิเศษบ้างมั้ย”
“อืม...”
“อะไรวะ เอาแต่อืมๆ ... ไม่รู้เรื่องโว๊ย”
น้ำใสทุ่มแสงกล้าเต็มแรงจนเสียหลักล้มลงไป น้ำใสโดดตัวลอยบอก
“ไชโย... เล่นงานแชมป์ยูโดได้อีกแล้ว”
“เก่งแล้วนะเดี๋ยวนี้...”
แสงกล้าลุกขึ้นแล้วขยับจะเดินออกไป
“เดี๋ยวก่อนสิ... จะรีบไปไหน”
“วันนี้เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ขอกลับเร็วหน่อยก็แล้วกัน แล้วอีกอย่างหนึ่ง...เธอก็เก่งมากแล้วด้วย"
แสงกล้าเดินออกไป น้ำใสร้องเสียงหลง
“เดี๋ยวก่อนสิ เดี๋ยวก่อน...”
น้ำใสรีบเดินตามแสงกล้าออกไป
ทั้งแสงกล้าและน้ำใสเปลี่ยนชุดแล้วสะพายเป้เดินออกมายังบริเวณทางเดินหน้ายิมฯ
“แสงกล้ารอฉันด้วย”
“ทำไมต้องรอ”
“อ้าว... ก็จะได้กลับด้วยกันไง”
“ฉันจะกลับไปเคลียร์งานที่สำนักงานสืบฯ”
“งั้นดีเลย... ไปด้วย จะไปหาข่าว”
“อย่าเลย ผบ.รวิเห็นนักข่าวคงไม่ชอบใจนักหรอก”
“แต่ว่า”
“ไม่มีคำว่าแต่ กลับบ้านไปซะ”
น้ำใสยิ้มเอาใจบอก
“ไปส่งหน่อยสิ ฉันเป็นผู้หญิงบอบบางนะ”
แสงกล้ายิ้มๆบอก
“น้ำใส...เธอเรียกร้องจากฉันมากเกินไปมั้ย เราต่างคนต่างไปเหอะ”
แสงกล้าแกล้งผลักน้ำใสออกไป แล้วเดินไปอีกทาง
“โธ่... อ่อนหวานกับฉันบ้างก็ได้ไอ้เพื่อนบ้า”
น้ำใสมองตามแสงกล้าที่เดินจากออกไป พักหนึ่งสีหน้าก็ซึมลง ถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วเดินออกไป
ภายในห้องของจ่าสมิงเวลากลางคืน เขานอนหลับตาอยู่ในแท่นที่คล้ายกับแคปซูลของขมังเวทย์
แต่ไม่ทันสมัยและดูเหมือนจะเก่ากว่ามาก สมิงคล้ายกำลังครุ่นคิดประมวลเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด
ตอนที่เขายื่นมือให้แพรไพลินจับ เธอจับมือเพื่อรักษามารยาท เขานิ่งและรู้สึกว่ามีสิ่งผิดปกติ...มีลูกสะกดในร่างกายของแพรไพลิน
สมิงลืมตาขึ้น แววตาแข็งกร้าวไม่มีแววขี้เล่นเหมือนอย่างที่เคยเป็น
ภาพแพรไพลินโดนบังคับให้ต่อสู้กับแสงกล้า และ สมิงพบลูกสะกดในตัวนักเลงและทำพิธีทำลายลูกสะกด
สมิงนิ่งคิดแล้วพูดกับตัวเอง
“ของที่แกทิ้งไว้ในตัวหมอแพรไพลินจะล่อให้แกออกมา.. ไอ้พญามาร !”
จ่าสมิงสีหน้ามุ่งมั่น
วันใหม่ … ภายในห้องนิรภัยที่เกิดเหตุพญ. แพรไพลิน นวิยากุลร่วมกับเจ้าหน้าที่เนติเทคฯหลายราย กำลังเก็บหลักฐานหลายอย่างภายในห้องนิรภัย
แพรไพลินกำลังนั่งดูคราบเลือดที่ปรากฏอยู่บนพื้นห้อง เพื่อค้นหาความจริงของแพรไพลิน
ที่มุมกำแพงด้านหนึ่ง สายตาใครคนหนึ่งกำลังแอบมองอย่างไม่เป็นมิตร
ผ่านเวลามา อีกมุมหนึ่งภายในห้อง แพรไพลินกำลังสั่งเจ้าหน้าที่คนหนึ่ง
“เก็บปลอกกระสุนทั้งหมด ส่งไปให้ฉันที่เนติเทคฯ ฉันต้องการวิเคราะห์หลักฐานทุกชิ้น"
มุมหนึ่ง พ.ต.ต. หญิง รวิ อิงคพัฒน์เป็นเจ้าของสายตาที่แอบมองแพรไพลินอยู่ สายตาที่มีเลศนัยนั้นมองไปที่ปลอกกระสุนที่เจ้าหน้าที่เนติเทคฯกำลังเก็บไว้เป็นหลักฐาน
เสียงโทรศัพท์มือถือแพรไพลินดังขึ้น
“แพรไพลินพูดค่ะ...”
บริเวณทางเดินในสำนักงานสืบสวนพิเศษ ร.ต.ต. แสงกล้า อภิไชยกำลังเดินพูดโทรศัพท์กับแพรไพลิน
“ทางคุณมีอะไรคืบหน้าบ้างมั้ย”
แพรไพลินเดินเลี่ยงออกมาคุยโทรศัพท์กับแสงกล้าที่มุมหนึ่งในตึก นอกห้องนิรภัย
“ฉันกำลังเก็บหลักฐานอยู่ จะเก็บเอาไปวิเคราะห์ที่เนติเทคฯ แล้วทางคุณล่ะ”
“ไม่ค่อยดี... เจ้าหน้าที่ในห้องควบคุมภาพวงจรปิด เป็นบ้าพร้อมกันทั้งสองคน ให้การอะไรไม่ได้สักอย่าง"
“ไม่มีพยานบุคคลก็ต้องใช้พยานวัตถุ ฉันจะลองสรุปหลักฐานที่หามาได้ทั้งหมด มันน่าจะมีเบาะแสอะไรบ้าง"
“ทางออกของคดีนี้ขึ้นอยู่กับคุณคนเดียวนะ...แพรไพลิน”
“กรุณาเรียกให้ครบด้วยค่ะ”
“อะไรนะ”
“เรียกชื่อฉันให้ครบ”
“โอเคครับ... ดอกเตอร์แพรไพลิน แหม... นิด ๆ หน่อย ๆ ไม่ได้เลยนะ”
“ไม่ได้สิ ฉันไม่ใช่เพื่อนเล่นคุณนะ ถ้าไม่มีอะไรแล้วก็แค่นี้นะ ยังมีเรื่องต้องทำอีกเยอะ”
แพรไพลินพูดจบก็กดปิดมือถือ เดินเข้าไปในห้องนิรภัยเพื่อหาหลักฐานต่อ
แสงกล้าทำหน้าเบื่อหน่ายยกโทรศัพท์มาพูดเหมือนหมั่นไส้เต็มที่
“ยายป้าเอ๊ย คิดว่าผมสนใจนักเรอะ เจ๊ไพลิน!”
แสงกล้ามีสีหน้าหมั่นไส้เสียเต็มประดา ทั้งที่ความจริงก็แอบชอบแพรไพลินอยู่โดยไม่รู้ตัว
ในเวลาต่อมา ภายในห้องคอมพิวเตอร์ของสำนักงานสืบฯ แสงกล้ากำลังเปิดคอมฯเช็กประวัติของแพรไพลินทางอินเตอร์เน็ต
จอคอมฯ ปรากฏภาพของแพรไพลินในอริยาบถต่าง ๆ ที่ลงในนิตยสาร
แสงกล้าอ่านข้อความหน้าจอ
“บทสัมภาษณ์คุณหมอนักสืบแห่งเนติเทค ดอกเตอร์แพรไพลินนวิยากุล”
แสงกล้าอ่านประวัติแพรไพลินด้วยความสนใจ พออ่านไปได้สักครู่ก็พึมพำกับตัวเอง
“ปมเกลียดแม่แรงจริง ๆ เจ๊ไพลิน”
แสงกล้าคลิกเปิดนิตยสารที่มีรูปถ่ายคู่ระหว่างแพรไพลินกับเพชรแท้หลาย ๆ รูป เขาเปิดอ่านไปเรื่อย ๆ ด้วยความสนใจ และมาหยุดตรงภาพของแพรไพลินภาพหนึ่งก่อนพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ชีวิตคุณก็มีแต่แม่ ทำไมไม่ทำความเข้าใจกัน”
แสงกล้านิ่งคิดเหมือนกำลังตัดสินจะทำอะไรบางอย่าง
ในเวลากลางคืน พญ.แพรไพลินกำลังใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์วิเคราะห์อยู่ที่ห้องแลปของเนติเทคฯ เธอนำภาพที่ได้จากการถ่ายศพผู้กองคราม ทอรุ้ง และ ภาพรอยเลือดในห้องนิรภัยมาตรวจสอบ อีกทั้งเธอยังนำภาพการฆาตกรรมอื่น ๆ มาใช้ประกอบการวิเคราะห์และศึกษาผล
แพรไพลินหันไปกดวิดีโอวงจรปิดดูอีกครั้งหนึ่ง ด้วยแววตาที่พยายามค้นหาความจริงทั้งหมด
เท้าของใครคนหนึ่งเดินมาตามทางเดินบริเวณเนติเทคฯและตรงไปยังห้องแลปของเนติเทคฯ
CUT /
ภายในห้องแลปเนติเทคฯ แพรไพลินเพ่งมองภาพวิเคราะห์ของศพผู้กองคราม เข้าคำนวณในโปรแกรมคอมพิวเตอร์กราฟิก ภาพ 3D จำลองร่างของครามปรากฏบนจอ และมีภาพแสดงทิศทางของกระสุน
แพรไพลินเพ่งมองไปยังหน้าจอคอมฯ คล้ายกำลังค้นพบความจริงบางอย่าง เธอชะงักนิดหนึ่งในทันที เพราะเห็นเงาสะท้อนในจอคอมฯ
แพรไพลินหันขวับเข้ามากระชากล็อกตัวไว้...
“คุณ ผมเอง!”
“รู้แล้ว”
“เอ๊า...รู้แล้วยังมาล็อกตัวอีก ดูสิ สร้อยผมเกือบขาดเลย”
แสงกล้าดึงสายสร้อยออกมาดู แพรไพลินมองเห็นเป็นสร้อยพระ
“รู้ว่าเป็นพี่ยังจะมาทำร้าย ใจร้ายใจดำจริงจริ๊งน้องแพร”
“ทะลึ่งอีกแล้ว ถ้าจะทะลึ่งแบบนี้มาทางไหนออกไปทางนั้นเลย”
“โอเค คุณคือ ดอกเตอร์แพรไพลิน”
“นี่มันเขตหวงห้าม เข้ามาได้ยังไง”
“หวงห้ามซะที่ไหน กุ๊บกิ๊บเป็นคนเปิดประตูให้ผม”
“อ๋อ...แฟนช่วย”
“ผมน่ะเป็นแฟนกุ๊บกิ๊บ แต่กุ๊บกิ๊บไม่ใช่แฟนผม”
แสงกล้าแกล้งหน้านิ่งสีหน้าจริงจังถามต่อ
“แล้วคุณอยากรู้มั้ยว่าใครเป็นแฟนผม”
แพรไพลินเห็นแววตาของแสงกล้าแล้วชะงัก รีบเปลี่ยนเรื่องพูดทันที
“ฉันจะทำงาน”
แพรไพลินเดินกลับไปที่โต๊ะคอมฯ แสงกล้าเดินตามเข้ามามอง
“พบสิ่งผิดปกติในคดีนี้แล้วใช่มั้ย”
แพรไพลินเปิดภาพให้แสงกล้าดู...
“ตามทฤษฎีคราบเลือด ฉันพบความผิดปกติในการกระจายของคราบเลือด คราบเลือดที่ติดเสื้อผ้า บนพื้น และที่มือของผู้กองคราม ผิดธรรมชาติ”
แสงกล้ามองภาพในจอคอมพิวเตอร์ประกอบการเล่าของแพรไพลิน ในจอปรากฏเป็นภาพกราฟิกทันสมัยมาก ตามคำบรรยายของแพรไพลิน
“ทิศทางการกระจายของเลือด หมือนผู้กองครามไม่ได้เป็นคนถือปืนยิงหัวตัวเอง”
ร.ต.ต.แสงกล้า อภิไชยชะงักนิดหนึ่ง สีหน้าครุ่นคิดตามคำพูดของแพรไพลิน
“ผลการตรวจเขม่าดินปืนเป็นยังไงบ้าง”
แพรไพลินพรมนิ้วรัวบนคีย์บอร์ด หน้าจอคอมพิวเตอร์แสดงผลต่อหน้าแสงกล้า
“เขม่าดินปืนยิ่งยืนยันความผิดปกติ เขม่าดินปืนบนหลังมือของผู้กองครามน้อยกว่าที่ฝ่ามือ ซึ่งแสดงว่าผู้กองไม่ได้กำปืนกระบอกนั้นเพื่อยิงตัวเอง"
แพรไพลินกดปุ่มเปลี่ยนภาพบนหน้าจอ ปรากฏภาพถ่ายศพผู้กองครามในที่เกิดเหตุ
“รูปนี้ถ่ายจากที่เกิดเหตุ ผู้กองครามกำปืนอยู่ในมือตลอดเวลา”
แพรไพลินรัวนิ้วลงบนคีย์บอร์ดอีกครั้ง ปรากฏผลวิจัยต่าง ๆ มากมาย
“จากผลวิจัย และประวัติการตรวจสอบศพในคดีฆาตกรรมใกล้เคียงกัน ถ้าผู้ตายยิงขมับตัวเอง กระสุนจะเจาะทำลายแกนสมอง ปืนจะต้องร่วงตกพื้นไม่ใช่อยู่ในมือผู้ตาย"
“สรุปว่าผู้กองครามถูกฆาตกรรม”
“ยังสรุปไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ฉันต้องหาหลักฐานแวดล้อมอื่น ๆ ประกอบ”
แสงกล้ายิ้มๆบอก
“เก่งสมเป็นดอกเตอร์แพรไพลิน เก่งแบบนี้ต้องให้รางวัล”
“รางวัล?”
แสงกล้ายื่นถุงกระดาษแมคโดนัลด์ใบเขื่องมาที่หน้าแพรไพลิน เธอมองถุงแล้วเงยหน้ามองแสงกล้าแบบงง ๆ
เวลากลางคืน ภายในโรงอาหารของเนติเทคฯ ที่ไม่มีคนอยู่แล้ว แสงกล้ายืนอยู่กับแพรไพลินที่โต๊ะยาวด้านหนึ่ง เขายกเก้าอี้ลงมาวางสองตัวแล้วผายมือให้แพรไพลินนั่ง
“กองทัพต้องเดินด้วยท้อง เชิญนั่ง...”
แพรไพลินนั่งลงมองแสงกล้าด้วยแววตาเป็นมิตรมากขึ้น เธอยิ้ม ๆ เริ่มถูกชะตาผู้ชายคนนี้โดยไม่รู้ตัว แสงกล้าเปิดถุงแมคโดนัลด์ เอาแฮมเบอร์เกอร์ในถุงออกมาวาง
“แฮมเบอร์เกอร์ปลาพิเศษใส่ปลาสองชิ้น พร้อมผักกาดแก้วเพื่อสุขภาพ อาหารจานโปรดของดอกเตอร์แพรไพลิน เพิ่มโอเมก้าสามมีประโยชน์ต่อสมอง”
“มั่ว”
แสงกล้ายิ้ม ๆ หยิบแก้วกาแฟออกมาวางที่หน้าแพรไพลิน
“กาแฟผสมนมถั่วเหลืองต่อต้านอนุมูลอิสระ เครื่องดื่มประจำของดอกเตอร์สาวที่มีเลือกกรุ๊ปโอ ซึ่งมีระบบการย่อยไม่ถูกกับนมสด”
“มั่วได้อีก”
“รึผมพูดผิด ไม่น่า... ไม่ผิดหรอก อันนี้เป็นข้อมูลล่าสุดจากนิตยสาร “ผู้หญิงแถวหน้า” ฉบับสัมภาษณ์ผู้อำนวยการสถาบันเนติเทคโนโลยี ดอกเตอร์แพรไพลิน นวิยากุล"
“คุณเช็กประวัติฉัน”
“เปล่าเช็ก... แค่คิดว่าเราต้องทำงานร่วมกันอีกนาน อย่างน้อยก็ช่วงที่คุณยังไม่ยอมเซ็นต์ใบรับรองสภาพจิตให้ผม"
“เลยอยากจะเอาใจฉันเพื่อลายเซ็นต์”
“ก็เปล่าอีกนั่นแหละ แค่อยากเป็นเพื่อนกันมากขึ้น”
“เพื่อน”
“คิดมาก... ซีเรียสจังชีวิตคุณเนี่ย ทำชีวิตให้มันง่าย ๆ บ้างไม่ได้เหรอ”
“ฉันไม่ใช่คนมักง่าย”
แสงกล้ายิ้ม ๆ มองแพรไพลินแบบต้องการเอาชนะใจผู้หญิงคนนี้ พลางหยิบแฮมเบอร์เกอร์ตรงหน้าแพรไพลินขึ้นมา
“คุณรู้เคล็ดลับวิธีการกินเบอร์เกอร์ปลาให้อร่อยมั้ย” แสงกล้าถาม
“ไม่ใส่ซอสมะเขือเทศ เพราะเบอร์เกอร์ยี่ห้อนี้มีซอสใส่อยู่แล้ว”
“เอ่ย... นั่นมันเบสิกใคร ๆ ก็รู้”
“ถ้างั้นอะไร”
“บริโภคแบบโนแฮนด์”
แสงกล้าแกะห่อแฮมเบอร์เกอร์ปลาออก แพรไพลินจ้องแสงกล้าเหมือนกำลังดูว่าจะมาไม้ไหน
แสงกล้าเอาเบอร์เกอร์ไปไปใกล้ ๆ จมูกของแพรไพลิน
“ก่อนอื่น.. ต้องให้จมูกได้กลิ่นหอมหวล ชวนกินของเนื้อปลาที่คลุกเคล้าซอส ปล่อยให้สมองสัมผัสกลิ่นหอม 10 วินาที เอ้านับ สิบ... เก้า... แปด...”
แพรไพลินมองแสงกล้า แต่ไม่ยอมนับตาม
“เอ๊า... เชื่อผมบ้างสิ นับเร็ว”
แพรไพลินยังคงนิ่งเฉย
“ตามใจ... ถ้าไม่นับ ผมนับให้ก็ได้ เจ็ด.. หก.. ห้า.. สี่.. สาม.. สอง.. หนึ่ง จากนั้นอ้าปาก”
“ทำไมฉันต้องทำตาม”
“เอางี้ ถ้าคุณยอมให้ผมป้อน ผมจะเล่าให้ฟังเรื่องพยานบุคคลที่ผมสืบรู้มา”
“คุณเคยบอกว่าไม่ได้หลักฐานอะไรเลย”
“รายละเอียดไง... มีรายละเอียดปลีกย่อยที่น่าสนใจอีกตั้งเยอะ เร็วสิ อ้ำคำนึง”
แสงกล้าพูดพลางส่งแฮมเบอร์เกอร์ไปชิดปาก แพรไพลินยอมกินแฮมเบอร์เกอร์ในมือแสงกล้า
“อ้ำ !คำโต ๆ อย่างนั้น อ๊ะ ๆ อย่าเคี้ยวเร็วนัก คุณต้องเคี้ยวแบบละเลียดกวาดลิ้นไปให้ทั่วชิ้นของเนื้อปลา”
“เล่า !”
“วันก่อนผมไปสืบหาเจ้าหน้าที่ควบคุมกล้องวงจรปิดของห้องนิรภัย … บ้านเค้าสองคนอยู่แถวบางรักเลยร้านเป็ดย่างเจ้าอร่อยไปนิดหนึ่ง เป็ดร้านนี้นะสุดยอด หนังกรอบ เนื้อนุ่ม”
แพรไพลินจ้องแสงกล้าแบบดุ ๆ แสงกล้าชะงักจำต้องเล่าต่อแบบดี ๆ
“พอจะเปิดประตูห้องพักของเจ้าหน้าที่ฯ คุณรู้มั้ยว่าผมเจออะไร”
แพรไพลินชะงักไปนิดหนึ่งทำสีหน้าสนใจ แสงกล้าแกล้งหยุดเล่าซะอย่างนั้น
“ถ้าอยากรู้ ต้องกินอีกคำหนึ่ง”
แพรไพลินจ้องหน้าแสงกล้า ยอมงับไปอีกคำหนึ่ง
“อ้ำ ! นั่น... รู้สึกมั้ยว่าคำที่สองอร่อยกว่าคำแรก ทุกอย่างเป็นเพราะอิทธิพลของคนป้อน”
แพรไพลินจ้องหน้าดุ แสงกล้าเล่าต่อ
“พอเปิดประตูเข้าไป ช่างที่ควบกล้องวงจรปิดกลับเหมือนโดนเสือเข้า ตะปบผมกับสมิงจนแทบแย่"
จู่ ๆ แสงกล้าก็หยุดเล่า เอาแฮมเบอร์เกอร์ไปล่ออยู่ตรงหน้าแพรไพลินต่อ
“อะ... อ้ำต่อ”
แพรไพลินเริ่มออกอาการรำคาญ แต่ยอมกินต่ออีกนิดหนึ่ง
“คำที่สามเนี่ยจะอร่อยที่สุดเลย เพราะเอนไซม์อะไมเลสจากน้ำลายจะเริ่มทำปฏิกริยากับเนื้อขนมปัง”
แพรไพลินคว้าแฮมเบอร์เกอร์มาจากมือแสงกล้าทันที มือทั้งสองคนสัมผัสกัน แพรไพลินชะงักไปทันที แล้วรีบกลบเกลื่อนเอาแฮมเบอร์เกอร์เข้าปาก กินเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“แหม.. .ไม่อยากกินเบอร์เกอร์ปลาให้อร่อยแล้วเหรอ”
“เล่าเรื่องทั้งหมดเร็ว อย่าลีลา”
แพรไพลินมองหน้าแสงกล้าแบบเอาเรื่อง แสงกล้ายิ้ม ๆ เลิกเล่น
“โอเค ขอผมกินไปเล่าไปก็แล้วกันนะ”
แสงกล้าเอื้อมมือไปจับมือแพรไพลินแล้วป้อนแฮมเบอร์เกอร์ให้ตัวเองซะงั้น
“อ้ำ!อร่อย”
แพรไพลินมองอึ้ง เพราะโดนแสงกล้าจับมือ
แพรไพลินเดินนำแสงกล้ามาตามทางเดินภายในเนติเทคฯ แพรไพลินถือแก้วกาแฟ กำลังจิบกาแฟที่แสงกล้าซื้อมา
“ท่าที่คุณเล่ามาทั้งหมด เป็นไปได้ว่าเจ้าหน้าที่ห้องนิรภัยทั้งสองคนโดนยากล่อมประสาทในตระกูล ไตรคลอโรเอทิลีน”
“โดยใคร”
“นั่นเป็นเรื่องที่คุณจะต้องสืบหาหลักฐานมาให้ฉัน”
“โอ้ว... ได้ทีใช้เลยเหรอ แต่ผมก็น้อมรับบัญชานะ”
แพรไพลินเดินนำแสงกล้าออกไปแล้วชะงัก เมื่อเห็นห้องประชุมแผนของเนติเทคฯ ห้องหนึ่งเปิดอยู่ มีแสงไฟลอดออกมา แพรไพลินนิ่วหน้าเดินนำแสงกล้าไปยังห้องประชุมห้องนั้น
แสงกล้าหยุดมองตาม แววตาอมยิ้มคล้ายวางแผนอะไรบางอย่างอยู่!!
เหนือเมฆ2 : มือปราบจอมขมังเวทย์ ตอนที่ 5 (ต่อ)
แพรไพลินเดินเข้ามาในห้องประชุม นิ่วหน้าที่เห็นจอภาพแอลซีดีในห้องเปิดอยู่ เป็นรูปโลโก้ของเนติเทคฯ เต็มหน้าจอ
“แหม... ใครกันหนอใช้ห้องประชุมแล้วไม่ยอมปิด เดี๋ยวก็โดนท่านผ.อ.ตัดเบี้ยเลี้ยง”
แสงกล้าหยิบรีโมทจอแอลซีดีบนโต๊ะประชุมขึ้น
“ผมปิดเครื่องให้เอง”
พอแสงกล้ากดรีโมท ภาพบนจอแอลซีดีก็เปลี่ยนไป จากโลโก้เนติเทคฯกลายเป็นภาพที่สแกนมาจากนิตยสาร เป็นวิดีโอภาพคู่ระหว่างแพรไพลินกับเพชรแท้ หลาย ๆ ภาพ ในอริยาบถต่าง ๆ
แพรไพลินชะงักไปทันทีที่เห็นภาพตัวเองกับเพชรแท้ เพลง “รักแท้” ของบอย โกสิยพงษ์ ดังขึ้นมาทันที - - “วันที่ใจเธอเจ็บช้ำ วันที่เธอเสียใจ วันที่เธอท้อแท้ทุกอย่าง และอาจมองไม่มีแม้ใคร วันที่ใจเธอโหยหา อยู่ลำพังกับคราบน้ำตา บอกให้เธอรู้ว่า ฉันมองอยู่ไม่ไกล"
แพรไพลินชะงักมองภาพของตัวเองกับแม่ด้วยความรู้สึกสะเทือนใจ เพลงยังคลอต่อไป
“แต่หากไม่ปล่อยให้เธอเรียนรู้ เธอคงวนอยู่ ไม่ไปถึงไหน รักแท้ ที่ไม่ต้องการสักข้อแม้ เมื่อไรที่เธอต้องพ่ายแพ้ ฉันจะเตรียมรักให้ และวันใด ที่เธอนั้นเจ็บจนอดทนไม่ไหวจะมีฉันยืนข้างๆเธอเสมอไป”
แพรไพลินหันมามองหน้าแสงกล้าทันที แววตาของเธอขณะนี้เต็มไปด้วยการครุ่นคิด น้ำตาคลอด้วยความสะเทือนใจ
“คุณเชื่อในเรื่องสายใยของความผูกพันมั้ย ความผูกพันทางสายเลือด มีความสำคัญสำหรับชีวิตคน ๆ หนึ่งมากนะ" แสงกล้าบอก
แพรไพลินหันไปมองรูปบนหน้าจอแอลซีดีในห้องประชุม เห็นความผูกพันระหว่างเธอกับแม่ก็เริ่มน้ำตาคลอ... ร้องไห้
“ไม่ว่าแม่จะเป็นยังไง ท่านก็เป็นผู้ให้กำเนิด แม่รักและห่วงใยลูกเสมอโดยไม่มีข้อแม้ ทำไมคุณถึงปล่อยเวลา ปล่อยโอกาสที่จะได้อยู่กับท่าน โดยไม่คิดจะปรับความเข้าใจกันล่ะครับ"
แพรไพลินมองภาพตัวเองกับเพชรแท้ คลอไปพร้อมกับเพลงของบอย.. รู้สึกสะเทือนใจ แต่ไม่พอใจกับการกระทำครั้งนี้ของแสงกล้า เพราะเหมือนกับเป็นการก้าวล้ำเข้ามาในพื้นที่ส่วนตัวของตัวเองมากเกินไป
“เลิกหนีความจริงด้วยการใช้ชีวิตอยู่กับงาน เลิกจมอยู่กับความขัดแย้งในอดีต กลับไปปรับความเข้าใจกับคุณแม่ในขณะที่คุณยังมีโอกาสเถอะครับ"
แพรไพลินโกรธมาก บันดาลโทสะเดินเข้ามาตบหน้าแสงกล้าเต็มแรง แสงกล้าเอามือกุมแก้มตัวเอง
“คุณไม่มีสิทธิยุ่งกับเรื่องส่วนตัวฉัน !”
“ผมหวังดี”
“ฉันไม่ต้องการความหวังดีจากคุณ มันเป็นเรื่องของครอบครัวฉัน คุณจะมายุ่งทำไม”
แสงกล้าจ้องแพรไพลินด้วยสีหน้าและแววตาจริงจัง
“เพราะผมเป็นคนไม่มีครอบครัว ไม่เคยสัมผัสกับความอบอุ่นและความผูกพันในครอบครัว ผมไม่อยากให้คุณสูญเสียสิ่งดีงามเหล่านี้ไป โดยไม่เห็นค่าของมัน ทิฐิไม่ช่วยให้ชีวิตดีขึ้นหรอกครับ”
แพรไพลินชะงักเมื่อได้ยินคำพูดประโยคนี้ของแสงกล้า แต่ยังคงไม่พอใจที่ถูกรุกล้ำพื้นที่ส่วนตัวอยู่ดี
“คุณมันก็แค่ตำรวจที่พยายามอวดฉลาด คิดว่าตัวเองแน่นักเหรอที่ตัดสินคนอื่นจากบทความในนิตยสาร เรื่องราวในชีวิตฉันมีมากว่าที่คุณเข้าใจ คุณไม่มีสิทธิตัดสินฉัน !”
“ทำไมต้องโกรธถึงขนาดนี้ ดอกเตอร์แพรไพลินผู้เชี่ยวชาญทางจิตเวช พอโดนวิเคราะห์จิตเข้าหน่อย ถึงกับทนไม่ได้เลยเหรอ"
“มันเป็นเรื่องส่วนตัว !ถ้ายังอยากทำงานร่วมกันต่อไปนี้อย่ายุ่งกับชีวิตส่วนตัวของฉัน !” แพรไพลินย้ำ
แพรไพลินโกรธจัด น้ำตาคลอหันหลังเดินออกไปทันที แสงกล้าร้องเรียก
“เดี๋ยวก่อน กลับมาก่อน กลับมาคุยกันให้รู้เรื่องก่อน”
แสงกล้ามองตามนิดหนึ่งแล้วตัดสินใจเดินตามแพรไพลินออกไป
แพรไพลินเดินน้ำตาคลอไปตามทางเดิน เธอพยายามระงับความอัดอั้นภายในจิตใจ เช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาอาบแก้ม แล้วเดินเข้าประตูไปในห้องแลปและปิดประตูลงอย่างเต็มแรง
แสงกล้าเดินตามมา พยายามจะเปิดประตูตามเข้าไป แต่แพรไพลินปิดประตูล็อกจากด้านใน
“เปิดประตู เรายังคุยกันไม่จบ”
แสงกล้าพยายามจะเปิดประตูเข้าไป แต่เข้าไปไม่ได้ สีหน้าของเขาไม่ค่อยสบายใจนักกับเรื่องที่เกิดขึ้น
บริเวณริมกำแพงท้ายห้องแลปฯ แพรไพลินพิงกำแพงแล้วค่อยๆ ทรุดตัวลงนั่งแทบพื้นอย่างอ่อนแรง สีหน้านิ่งพยายามระงับอารมณ์
“กลับไปซะ ! เราไม่มีอะไรจะคุยกันแล้ว”
แสงกล้ายังคงเคาะประตูจะให้แพรไพลินเปิด
“ฉันบอกให้คุณกลับไป ฉันจะทำงาน เลิกยุ่งกับชีวิตฉันซะที กลับไป ! กลับไป !”
แพรไพลินระเบิดอารมณ์
แพรไพลินระงับอารมณ์แทบไม่อยู่ สะอื้นไห้ด้วยความสะเทือนใจที่ถูกตอกย้ำเรื่องความขัดแย้งหว่างเธอกับแม่
ทางเดินหน้าห้องแลปฯ แสงกล้าได้ยินเสียงสะอื้นอย่างกดดันของแพรไพลิน ในใจรู้สึกสงสารและรู้สึกผิดที่กดดันเธอจนต้องระเบิดออกมาแบบนี้เขาถอนหายใจยาวด้วยความอึดอัด และเสียใจกับการกระทำของตัวเอง
คืนวันเดียวกัน ในเวลาต่อมา บรรยากาศในห้องจ่าสมิงอึมครึมน่าสะพึงกลัว กลางห้องมีพานใส่กระสุนปืนสามนัด หัวกระสุนแต่ละนัดถูกลงอักขระขอมโบราณ พานใส่กระสุนนี้ถูกรายล้อมไปด้วยเทียนที่จุดสว่าง สมิงหลับตาพึมพำประกอบพิธีกรรมบางอย่าง
เช้าวันใหม่ ร.ต.ต. แสงกล้า อภิไชยนอนมองเพดานอยู่บนเตียง นอนไม่หลับตั้งแต่เมื่อคืน คิดถึงเรื่องราวที่ทะเลาะกับแพรไพลินเมื่อคืนที่ผ่านมา เขาถอนหายใจยาวอย่างกลัดกลุ้มกับสิ่งที่เกิดขึ้น หันไปหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา กดพิมพ์ข้อความ
เช้าวันเดียวกัน พญ. แพรไพลิน นวิยากุลนั่งอยู่กลางห้องประชุมเนติเทคฯ มองวิดีโอความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับเพชรแท้ประกอบเพลงที่แสงกล้าฉายในดูเมื่อคืนนี้ เธอสีหน้านิ่งมองภาพแม่ที่อยู่เต็มจอ ที่เธอกด Pause ไว้ สีหน้าของเพชรแท้ยิ้มแย้มอยู่เต็มจอ เธอถอนใจนิดหนึ่งและกำลังตัดสินใจว่าจะคืนดีกับแม่ดีหรือไม่ เสียงแมสเซทมือถือดัง เป็นข้อความที่ส่งมาจากแสงกล้า “ขอโทษ”
แพรไพลินอ่านข้อความเสร็จแล้ววางมือถือลงด้วยสีหน้าและท่าทางที่เศร้าสลดลดลง
ท้องฟ้าสีหม่นหมอง ร.ต.ต.แสงกล้า อภิไชยยืนอยู่ที่มุมหนึ่งของบริเวณเมรุในวัด เขามองหาแพรไพลินแต่ไม่พบ ดาบแหบเห็นอาการก็นึกรู้
“หมอแพรไม่มา โทรมาแจ้งว่าอยากเคลียร์งานให้เสร็จ ฝากให้หมวดเคารพศพแทนด้วยครับ"
แสงกล้ามองไปยังโลงศพของผู้กองครามที่วางคู่กับทอรุ้ง
“ทำไมโลงศพของทอรุ้งถึงได้คลุมธงชาติล่ะครับ” จ่าหวานถาม
“เป็นความต้องการของท่านนายกฯ ท่านอยากให้เกียรติคนรักผู้กองคราม ทอรุ้งถือเป็นผู้เสียสละ อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของผู้กองครามมาตลอด”
“ข้าราชการผู้น้อยอย่างพวกเรามีกำลังใจสู้ ก็เพราะมีคนเข้าใจ เห็นคุณค่าของการทำความดีนี่แหละ" ดาบแหบว่า
“เห็นภาพผู้กองครามกับแฟนแล้ว..ใจมันหาย” จ่าหวานบอก
แสงกล้ามองไปยัง ดร. เมฆาและนภา ฐานรัฐที่เดินไปยังเมรุ แล้วบอก
“ดอกเตอร์เมฆากับผบ.นภาคงเสียใจในการสูญเสียครั้งนี้ ไม่น้อยไปกว่าพวกเราหรอก"
ดร. เมฆาและนภาเดินตรงมายังภาพถ่ายของครามและทอรุ้ง คมศร สุริยนถือพานใส่พวงมาลัยมามอบให้ เมฆารับพวงมาลัยมาคล้องที่ภาพถ่ายครามเสมือนการคล้องให้คู่บ่าวสาว
“ผู้กองคราม... ผมภาคภูมิใจในความกล้าและเสียสละของคุณ หลังจากนี้ไปคุณจะได้ใช้ชีวิตอยู่กับคนที่คุณรักตลอดไป ผมให้สัญญาว่า พวกคุณจะต้องไม่ตายเปล่า หลับให้สบายเถอะนะ...ผู้กล้าหาญของคนไทย”
นภาเดินเข้ามาคล้องมาลัยให้กับภาพของทอรุ้ง
“ทอรุ้ง เธอเป็นตัวอย่างของผู้หญิงที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของผู้ชาย เธอทำหน้าที่ดีที่สุดสำหรับคนรักแล้ว หมดห่วง หมดกังวลกับปัญหาทั้งหมดเถอะนะ"
นภาและเมฆายืนมองภาพถ่ายของผู้กองครามและทอรุ้งที่ยิ้มอย่างสุขใจด้วยความรู้สึกผูกพัน สะเทือนใจเป็นอย่างยิ่ง
แขกในงานต่างทยอยเดินขึ้นไปวางดอกไม้จันที่โลงศพ แสงกล้าเดินตรงไปยังเมรุ ถือกล่องใส่ของไว้ เขามองลงไปยังกล่องใบนั้น รำลึกเรื่องราวในอดีต
ในอดีต เวลากลางวัน ภายในห้องประชุมที่สำนักงานสืบสวนพิเศษ มี ร.ต.ต. แสงกล้า ดาบแหบ จ่าหวานและเจ้าหน้าที่ของสำนักงานสืบฯ
ผู้กองครามยืนที่หน้าห้อง หลังจากประชุมแผนอารักขาเพชรยอดสังข์ในงานเดินแบบแล้ว
“ขอให้ทุกคนศึกษาแผนการทำงานให้ละเอียดอีกครั้ง แล้วพบกันวันงานแสดงมงกุฏเพชร”
ทุกคนต่างแยกย้ายกันออกจากห้องประชุม
“แสงกล้า”
“มีอะไรเหรอผู้กอง” แสงกล้าถาม
“งานแต่งงานของผม คุณต้องเป็นบอดี้การ์ดอารักขาสิ่งที่มีค่าที่สุดของผม”
แสงกล้าแปลกใจว่า ผู้กองครามจะให้เขาอารักขาอะไร ครามยิ้ม ๆ อย่างมีความสุข
ร.ต.ต. แสงกล้าเดินมาหยุดที่หน้าโลงศพ
“ผู้กองครับ... ผมทำหน้าที่ของผมแล้ว”
แสงกล้าหยิบเอามงกุฏดอกไม้สวยงามออกจากกล่อง แล้ววางลงหน้าโลงศพของคราม
“ต่อไปเป็นหน้าที่ของผู้กอง สวมมงกุฏที่มีค่าที่สุดให้เจ้าสาวเถอะครับ”
แสงกล้ามองภาพของผู้กองครามที่หน้าโลงศพ
ก่อนแต่งงาน ผู้กองครามเคยสัญญาว่าจะสวมมงกุฏดอกไม้ให้ทอรุ้ง
“มงกุฏไหนก็ไม่มีค่าเท่ากับมงกุฏที่ได้รับจากคนที่ฉันรักหรอกค่ะ”
“ผมสัญญา... วันแต่งงานผมจะนำมงกุฏดอกไม้ที่สวยที่สุดมาสวมให้คุณ”
ทอรุ้งยิ้มทั้งน้ำตา แล้วโผเข้ากอดผู้กองคราม ทั้งคู่ยืนกอดกันท่ามกลางแสงดาวที่ส่องแสงระยิบระยับ..
ร.ต.ต. แสงกล้า อภิไชยยืนมองหน้าโลงศพ และส่งความปรารถนาดีให้กับคู่รักที่จากไป
เพลงบรรเลงการทำพิธีเผาดังขึ้น เจ้าหน้าที่นำโลงศพเข้าเตาเผา ทุกคนในงานต่างยืนมองเปลวไฟที่เผาโลงศพของครามและทอรุ้ง
ในห้องแลปของเนติเทคฯ ในเวลากลางวัน วันเดียวกัน พณ. แพรไพลิน นวิยากุลกำลังเคาะคอมพิวเตอร์วิเคราะห์คดีการตายของครามและทอรุ้งอยู่ เธอสีหน้านิ่ง คิด...
“ปลอกกระสุนในห้องนิรภัยเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่จะระบุได้ว่า มีใครอยู่ในคืนวันเกิดเหตุบ้าง"
แพรไพลินยกโทรศัพท์ภายในขึ้นมา แล้วโทรออก
“ฉันต้องการวิเคราะห์ปลอกกระสุนทั้งหมด ส่งมาที่แลปด้วย …”
ชั่วครู แพรไพลินก็มีสีหน้าไม่พอใจถาม
“อะไรนะ ถูกสำนักงานสืบฯ ยึดไปแล้ว คำสั่งของ ผ.บ.รวิ”
แพรไพลินวางหูโทรศัพท์ด้วยสีหน้าไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง
บนโต๊ะทำงาน วันเดียวกันของ พ.ต.ต. หญิง รวิ อิงคพัฒน์ ผบ. สำนักงานสืบสวนพิเศษเงยหน้าขึ้นมองแพรไพลินที่บุกเข้ามาหาถึงที่ห้องทำงาน
“ใช่ ฉันเป็นคนสั่งให้เก็บหลักฐานชิ้นนั้น”
“เพื่ออะไร” แพรไพลินถาม
“ฉันต้องการให้หน่วยงานอื่นสืบหาความจริงพร้อม ๆ กับเนติเทค”
“ทำไม”
“เพื่อความสมบูรณ์และถูกต้อง”
“แต่ท่านนายกฯ มอบหมายให้เนติเทครับผิดชอบเรื่องนี้โดยตรง ทำแบบนี้ก็เท่ากับขัดแข้งขัดขา ไม่ยอมให้ฉันทำงานได้สะดวก”
รวิตบโต๊ะเปรี้ยง ลุกขึ้นชี้หน้าแพรไพลิน แววตาแข็งเสียงกร้าว
“หยุดนะ ดอกเตอร์แพรไพลิน ! อย่าคิดว่าท่านนายกเมตตาแล้วจะมาข่มฉันได้ ถึงยังไงเธอก็เป็นลูกน้อง อยู่ภายใต้การควบคุมของฉัน ลูกน้องไม่มีสิทธิออกคำสั่งหัวหน้า !”
“ฉันต้องการหลักฐานชิ้นนั้น เพื่อพิสูจน์ว่าผู้กองครามไม่ผิด”
“จะผิดหรือถูก ครามก็ตายไปแล้ว อย่าสร้างเรื่อง..ทำให้คนที่มีลมหายใจต้องลำบากเพราะซากคนตายเลย”
“แต่ว่า...”
“ไม่อนุมัติ ! มันเป็นเรื่องของเธอที่ต้องสืบเสาะด้วยวิธีอื่น ถ้าทำไม่สำเร็จฉันก็ช่วยอะไรไม่ได้"
ผบ. รวิเดินออกไปจากห้องทันที แพรไพลินไม่พอใจเดินตามออกไป
รวิเดินออกไปยังบริเวณทางเดินในสำนักงานสืบฯ เพื่อจะกลับไปบ้าน
“เกลียดชังอะไรฉันนักหนา ทั้ง ๆ ที่เราก็เป็นพี่น้องกัน” แพรไพลินบอก
รวิหันขวับมายืนยัน
“เธอไม่ใช่น้องฉัน”
“แต่เรามีพ่อคนเดียวกัน”
“ผู้ชายที่เห็นแก่ตัว...ทิ้งแม่ฉันไปแต่งงานใหม่ ฉันไม่เคยนับถือเป็นพ่อ” รวิบอก
แพรไพลินถึงกับอึ้งไป พูดอะไรไม่ออกเพิ่งตระหนักว่า รวิผูกใจเจ็บเรื่องนี้อย่างรุนแรง
“ในงานศพของเค้า ฉันไม่เคยรู้สึกเสียใจหรือต้องไว้อาลัยด้วยน้ำตา มีแต่จะ ดีใจ สุขใจ ที่คนที่ฉันเกลียดตายไปซะได้"
“ถึงยังไงท่านก็เป็นพ่อ...ฉันขอเถอะค่ะ เราควรให้อภัยแล้วเริ่มต้นใหม่ พี่ต้องก้าวผ่านอดีตที่ปวดร้าวไปให้ได้ พี่จะได้อยู่ในโลกแห่งความจริงอย่างมีความสุข"
“อย่ามาสั่งสอน แม่เธอทำลายความสุขของครอบครัวฉัน”
แพรไพลินชะงักไปทันทีเมื่อรวิพูดถึงเพชรแท้
“ฟังนะแพรไพลิน กรรมมันตามสนองเธอแล้ว พวกเธอพรากความรักไปจากครอบครัวฉัน เหมือนวันนี้ที่เธอไม่เคยได้รับความรักจากแม่ของเธอ”
รวิเดินเข้ามาประจันหน้ากับแพรไพลิน จ้องมองด้วยแววตาเกลียดชัง
“คนที่ทำลายความรักของฉัน มันต้องได้รับกรรมอย่างสาสม”
รวิพูดจบก็ก้าวเดินออกไปเลย แพรไพลินเสียใจที่รวิไม่ยอมให้อภัยครอบครัวของเธอ
ผ่านเวลาสู่เวลากลางคืน ที่บริเวณเมรุ ในบรรยากาศมืดมิด วังเวงดูน่ากลัว สัปเหร่อกำลังทำการเรียงกระดูก แต่ได้เพียงกองเดียว อีกกองหนึ่งมีแต่ผ้าขาวว่างเปล่า
แสงกล้าเดินเข้ามาหาด้วยสีหน้าแปลกใจ
“ทำไมกระดูกมีแค่คนเดียว”
“ศพผู้กองครามหายไป เราเผาแค่โลงเปล่า”
ร.ต.ต. แสงกล้าตกใจ แล้วหันไปเห็นชายชุดดำที่มุมหนึ่ง ทันทีที่แสงกล้าหันไป ชายชุดดำก็วิ่งหนีไปทันที
แสงกล้าวิ่งไล่ชายชุดดำที่วิ่งหายไปตามมุมต่าง ๆ ภายในวัด แต่ไม่พบชายชุดดำ
อีกมุมหนึ่งของวัด ชายชุดดำยืนศพผู้กองคราม แสงกล้าเดินเข้ามาด้านหลัง ถือปืนเล็งไปที่ชายชุดดำทันที
“หยุดนะ !”
ชายชุดดำหันมา แสงกล้าตกใจ!!
“สมิง...”
“เรียกทำไม คิดถึงผมเหรอ”
“เอาศพมาทำอะไร”
“หมวดอยากได้คำตอบไม่ใช่เหรอว่าทำไมผู้กองครามฆ่าคุณทอรุ้ง”
สีหน้าจ่าสมิงนิ่งดูน่ากลัว
วิญญู อัคนียืนอยู่ริมหน้าต่างห้องนอนในคอนโดฯของ ผบ. รวิ เขามองวิวด้านนอกจากคอนโดสูงลิบ..เห็นแสงไฟระยิบระยับ ภาพสะท้อนในกระจก เขาเห็นรวิเดินเข้ามา
“ศพถูกเผาไปแล้ว หลักฐานชิ้นสำคัญถูกยึด ฉันปิดช่องทางในการสืบหาความจริงหมดแล้ว"
“เธอไม่เคยทำให้ผิดหวัง”
วิญญูยิ้มอย่างมีเลศนัย เดินตรงมาหารวิด้วยแววตาเสน่หา ตรงเข้าถอดเสื้อคลุมของรวิออก เผยให้เห็นรอยสักสวยงามทางด้านหลังรวิ
“ฉันคงต้องให้รางวัล”
วิญูญูเอามือไล้ไปตามเนื้อตัวรวิ ไล่ไปตามรอยสัก อารมณ์ต็มไปด้วยความเสน่หา รวิยิ้มยั่วยวน “ฉันพร้อมจะรับรางวัลแล้วค่ะ”
ทั้งสองคนสวมกอดกันราวกับเป็นคนรักที่สนิทชิดเชื้อกันมานาน วิญญูซุกไซ้ไปทั่วเรือนร่างของรวิ
แสงกล้าแปลกใจที่สมิงเอาศพของครามออกมา สายตาจ้องตรงไปยังร่างนั้น
“ผมไม่เข้าใจเลย ทำไมคนดีต้องพ่ายแพ้ต่ออำนาจมืด ทำไมความดีไม่ปกป้องให้รอดพ้นจากอันตราย"
“คนดีก็ตายเป็นนะหมวด”
“หมายความว่าไง”
“เกิด แก่ เจ็บ ตาย ต่อให้เป็นคนดีแค่ไหน ถ้าหมดอายุขัย อะไรก็ฉุดไม่อยู่”
“กำลังจะบอกว่าผู้กองครามหมดอายุขัย ไม่ได้พ่ายแพ้ต่ออำนาจมืด”
“คิดเองเป็นมะ... ต้องให้บอกทุกเรื่องเลยเหรอหมวด”
แสงกล้าจ้องสมิงอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นักที่จู่ ๆ ก็กวนขึ้นมาซะอย่างงั้น
“จะทำอะไร อย่าบอกนะเอาศพมาปลุกเสกคาถาอาคม”
“ผมไม่ใช่พวกไสยดำ แค่จะหาความจริง”
สมิงเริ่มบริกรรมคาถา แสงกล้ามองด้วยความแปลกใจ
วิญูญนอนกอดรัดฟัดเหวี่ยงกับรวิบนเตียงนอนในบรรยากาศเร่าร้อน ท่ามกลางแสงเทียนและควันจากกำยานที่จุดไว้
ควันสีขาวลอยออกจากร่างของคราม ขณะที่จ่าสมิงกำลังหลับตาบริกรรมคาถาจนเหงื่อท่วมใบหน้า แสงกล้ามองจ้องด้วยความอยากรู้ จนเมื่อสมิงเป่ามนตร์ใส่ศพคราม ฉับพลัน กระสุนลูกสะกดก็ผุดขึ้นจากร่างของคราม ลอยขึ้นมาทันที แสงกล้าตกใจกับภาพดังกล่าว
ภายในคอนโดฯ น้ำใสสีหน้าเหงานั่งมองท้องฟ้ายามราตรีเบื้องหน้า ในมือถือมีรูปถ่ายของแสงกล้า รูปเดียวกับที่วางไว้ที่โต๊ะทำงาน เธอมองรูปถ่ายแล้วพึมพำ
“แสงกล้า... ฉันคิดถึงนาย”
น้ำใสหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา และกดจะโทรหาแสงกล้า แต่ก็ชะงัก
“โทรหานายตอนนี้ นายก็ต้องรำคาญ หาว่าฉันเซ้าซี้กวนใจอีก”
น้ำใสปิดและมือถือ พลางยกรูปแสงกล้าขึ้น และมองตรงไปยังท้องฟ้าเบื้องหน้า
“ฟ้าตอนนี้สวยมั้ยแสงกล้า ฉันอยากให้นายมาอยู่ด้วยกับฉันตอนนี้จัง”
น้ำใสยิ้มเหงาๆ น่าสงสาร
ฝ่ายวิญญู อัคนีที่กำลังนัวเนียอยู่กับรวิ ฉับพลัน...แววตาเบิกกว้างทันที รับรู้ว่า สมิงค้นพบกระสุนลูกสะกดภายในศพของผู้กองคราม
รวิถลาเข้ามากอดจูบวิญญูอย่างนัวเนียต่อเนื่องด้วยอารมณ์พิศวาส แต่วิญญูกลับผลักรวิออกจนแทบคว่ำ... เขาลุกขึ้นใส่เสื้อคลุมออกไปจากห้องไปทันที
รวิ อิงคพัฒน์มองตามด้วยสีหน้าและแววตาไม่พอใจ
สมิงชูกระสุนลูกสะกดในมือให้แสงกล้าดู
“กระสุนอาคม สะกดวิญญาณของผู้กองครามให้ทำทุกอย่างตามที่มันต้องการ ผู้กองครามควบคุมตัวเองไม่ได้"
“หมายความว่าผู้กองไม่ได้ฆ่าคุณทอรุ้ง... ถ้างั้นใครเป็นคนทำ”
“ไสยดำ !”
สมิงหยิบกระสุนปืนลูกสะกดเก็บไว้
“แล้วจ่าเป็นไสยอะไร”
สมิงจริงจัง แล้วบอก “ไส...หัวไปซะ” ก่อนหัวเราะ
“ฮึ ๆ ๆ จริงมั้ยหมวด ใคร ๆ ก็ไม่รักผม ชอบไล่ผมอยู่เรื่อย"
“เลิกเล่นซะที...แล้วเอาศพผู้กองไปทำพิธีได้แล้ว”
แสงกล้าจะเดินไป แต่จ่าสมิงเรียกไว้
“เดี๋ยวก่อนหมวด”
สมิงหยิบกระสุนปืนสามนัดที่ลงอาคมไว้ส่งให้แสงกล้า
“เก็บไว้ใช้”
“ผมมีกระสุนปืนแล้ว” แสงกล้าบอก
“เอาไว้เถอะน่า ที่มีอยู่มันไม่เหมือนกัน”
จ่าสมิงเอากระสุนปืนทั้งสามนัดยัดใส่มือแสงกล้าที่ทำหน้าไม่เชื่อ
วิญญูกำลังจะเดินออกไป รวิเข้ามาหา
“ท่านจะไปไหน”
“เธอมันไม่ได้เรื่อง... ไอ้สมิงพบกระสุนในศพไอ้คราม มันต้องกำลังวางแผนทำอะไรอยู่แน่ ๆ"
วิญญูเดินออกไป รวิไม่พอใจ
วันใหม่ เวลากลางวัน พญ. แพรไพลิน นวิยากุลเดินเข้ามามองไปยังตึกนิรภัย ที่เบื้องหน้าที่ยังมีเจ้าหน้าที่ตำรวจปิดกั้นสถานที่เกิดเหตุอยู่ เธอเดินตรงเข้าไปยังทางเข้า เจ้าหน้าที่ตำรวจทำความเคารพ เปิดทางให้เธอเดินเข้าไปในห้องนิรภัย ถึงกับอึ้งมองไปรอบ ๆ ตัว เธอเห็นเจ้าหน้าที่สำนักงานสืบฯ กำลังเคลียร์หลักฐานทั้งหมด ไม่หลงเหลือหลักฐานหรือคราบเลือดต่าง ๆ อยู่เลย ห้องถูกเก็บกวาดจนเรียบร้อย
กุ๊บกิ๊บกำลังเก็บอุปกรณ์บางอย่างอยู่กับเจ้าหน้าที่อีกคนหนึ่งของเนติเทค แพรไพลินเดินตรงเข้าไปหา
“ใครสั่งให้เคลียร์ห้อง”
“คนที่หมอก็รู้ว่าใคร”
แพรไพลินไม่พอใจ
“กุ๊บกิ๊บ...ใครเป็นคนสั่งให้เคลียร์ห้องนี้”
“ผ.บ.รวิ ค่ะ ท่านผ.บ.ต้องการให้ตึกนี้เปิดดำเนินการโดยปกติให้เร็วที่สุดเพื่อตอกย้ำกับสื่อว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง”
“แต่ฉันต้องการหลักฐานเพิ่มเติม”
“หมอเก็บไปหมดแล้วนี่คะ ไม่มีอะไรเหลือแล้วล่ะค่ะ”
แพรไพลินไม่พอใจเป็นอย่างมากมองไปรอบๆที่ไม่หลงเหลือหลักฐานสักชิ้น เธอรู้แก่ใจว่า รวิต้องการขัดขวางการทำงานของเธอ
เหนือเมฆ2 : มือปราบจอมขมังเวทย์ ตอนที่ 5 (ต่อ)
แพรไพลินเดินไปตามทางเดินในเนติเทคฯด้วยความเครียดที่ยังหาหลักฐานเพิ่มเติมไม่ได้ แต่แล้วเธอต้องชะงักเมื่อเห็นคมศร สุริยนยืนพิงผนังตึกด้านหนึ่งด้วยมาดเท่ ๆ ยิ้ม ๆ อารมณ์ดีตามบุคลิกส่วนตัว
“คมศร คุณมาที่นี่ทำไม”
คมศรยิ้มขรึมจริงจังมากขึ้น
“มาหาคุณ”
“มาหาฉัน”
“ผมรู้ว่าคุณกำลังมีปัญหายุ่งยากใจเลยอยากมาช่วย”
“คุณรู้”
“ด้วยตำแหน่งเลขานายกฯ ผมเป็นตัวช่วยสำคัญให้คุณได้”
คมศรพูดจบก็ชูถุงพลาสติกที่ใส่หลักฐานปลอกกระสุนทั้งหมด พลางยิ้ม ๆ แพรไพลินอึ้งและแปลกใจ
คมศรยืนคุยกับแพรไพลินที่มุมสวยบรรยากาศดีไม่มีคนผ่านไปมา คมศรพูดคุยเป็นกันเองและอารมณ์ดี มองโลกในแง่ดี ขณะที่แพรไพลินพยายามรักษาระยะห่างระหว่างเธอกับเขาไว้
แพรไพลินดูหลักฐานในมือ
“คุณได้หลักฐานพวกนี้มาได้ยังไง”
“ตามระเบียบ... สำนักงานสืบฯ ต้องแจ้งหลักฐานทุกชิ้นกับหน่วยงานเลขาฯ ผมรู้สึกแปลก ๆ เลยเอามาให้คุณ"
“พี่รวิตั้งใจไม่ให้ฉันตรวจสอบ”
“ทำไม”
“เค้าคงไม่สบายใจนักหรอกถ้าฉันมีผลงาน”
คมศรมองแพรไพลินด้วยแววตาเข้าใจ
“ปัญหาความรู้สึกส่วนตัวเดิม ๆ อีกแล้ว ทำไมเค้าไม่เลิกอาฆาตพยาบาทครอบครัวคุณซะทีนะ"
“คุณรู้”
คมศรยิ้มจริงใจ
“เราไม่ได้เพิ่งรู้จักกันนะ ผมยังจำเรื่องราวของคุณ และเรื่องราวระหว่างเราได้เสมอ"
แพรไพลินเห็นแววตาจริงใจของเขา รับรู้ได้ว่า ผู้ชายคนนี้ยังคงมีใจให้เธอไม่เสื่อมคลาย
“แพร... มีอะไรระบายออกมาได้ ผมพร้อมจะฟัง”
แพรไพลินเปลี่ยนเรื่องพูดทันที
“ไม่มีอะไรหรอก คมศร คุณเลิกเรียกฉันว่า “แพร” ซะทีเถอะ ปล่อยให้เรื่องราวระหว่างเราเป็นอดีตไปซะ"
คมศรยิ้มแล้วบอก
“ตราบใดที่คุณยังไม่มีใคร คุณไม่ใช่อดีต ผมไม่เคยบอกเลิกคุณสักคำ”
“เราคุยเรื่องนี้กันรู้เรื่องตั้งแต่สองปีที่แล้วนะคะ”
“การตายของผู้กองครามทำให้ผมได้คิด ชีวิตของคนเราไม่แน่นอน จะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่รู้ ผมอยากใช้ชีวิตที่เหลืออยู่กับคนที่ผมรัก"
คมศรเข้ามาจับมือแพรไพลิน
“เรากลับมาเหมือนเดิมได้มั้ย”
แพรไพลินดึงมือออก
“เพราะปัญหาในครอบครัวแพรใช่มั้ย ทำให้แพรกลัวที่จะมีใครสักคน รึว่าแพรมีใคร”
แพรไพลินอึ้ง คมศรมองคาดคั้นจากแพรไพลิน
“ฉันมีความสุขกับงาน ไม่พร้อมจะแบ่งเวลาให้ใคร ขอบใจคมศรมากนะที่อยู่เป็น
เพื่อนฉันมาตลอด คุณเป็นเพื่อนที่แสนดีของฉันจริง ๆ”
แพรไพลินเอื้อมมือไปแตะไหล่คมศรและมองด้วยสายตาขอบคุณแบบเพื่อน
คมศรผิดหวังที่เธอยังไม่เปิดใจให้เขา แต่คมศรไม่เศร้า ยิ้มสนุกสนานตามบุคลิกแบบเดิม
“ผมไม่ยอมแพ้หรอก วันหนึ่งเพื่อนคนนี้จะเปลี่ยนสถานะให้ได้ แล้วคุณคอยดู”
คมศรจับมือแพรไพลินที่แตะไหล่เขาเอามากุมไว้พร้อมกับรอยยิ้ม
แสงกล้าเดินเข้ามาบริเวณนั้นพอดี เห็นภาพความสนิทสนมของทั้งคู่ก็อึ้งไป เพราะคิดว่าเป็นคนรักกัน แสงกล้าหันหลังกลับ เดินออกไปอย่างเหงา ๆ และเข้าใจผิด
ร.ต.ต. แสงกล้า อภิไชยเดินหน้าจ๋อยอยและหงอยเปิดประตูห้องพักแบบไม่ค่อยเข้าใจตัวเองเหมือนกัน เขาบ่นกับตัวเอง
“จะจ๋อยไปทำไมวะ ไม่ได้รักซะหน่อย”
แสงกล้าทิ้งตัวลงนั่งกับพื้นห้องเหมือนต้องการระบายความอัดอั้นภายในใจ เหลียวไปหยิบนิตยสารที่วางอยู่กับเก้าอี้เล็ก ๆ ด้านหนึ่ง เอามาเปิด ๆ
นิตยสารในมือแสงกล้าเล่มนั้น มีคอลัมน์สัมภาษณ์แพรไพลิน “เคล็ดลับการทำงาน ดอกเตอร์หญิงเหล็ก” ที่คอลัมน์นั้นปรากฏรูปแพรไพลินยิ้มแย้มชัดเจน
เขาลดนิตยสารในมือลงทันที พลางถอนหายใจออกมาเบา ๆ
เหนือเมฆ2 : มือปราบจอมขมังเวทย์ ตอนที่ 5
วันใหม่ ภายในห้องแลปที่ทาวน์โฮมแพรไพลิน เธอเปิดถุงพลาสติกเทปลอกกระสุนออกมาบนถาด เธอใช้ปากคีบเกลี่ยปลอกกระสุนแต่ละชิ้นเพื่อสังเกตหาความผิดปกติ
แพรไพลินหันไปเปิดโน้ตบุ๊กเพื่อตรวจสอบหาหลักฐานบางอย่างเกี่ยวกับกระสุนเหล่านี้
ลูกสะกดของขมังเวทย์ยังคงฝังอยู่ที่ท้ายทอยของเธอ ปรากฏแสงเรืองรองเล็ก ๆ ที่ลูกกลมนั้น
ในเวลาเดียวกัน ขมังเวทย์นอนอยู่ในแคปซูลชาร์จพลัง ท่ามกลางบรรยากาศลึกลับน่ากลัว เขาลืมตาขึ้นทันที คล้ายรับรู้อะไรบางอย่าง
ร.ต.ต.แสงกล้า อภิไชยเดินมาตามทางเดินบริเวณเรือนพักตำรวจด้วยอารมณ์สับสนในความรู้สึกตัวเอง ก่อนมาหยุดที่รถมอเตอร์ไซค์ของตัวเองในบริเวณลานจิดรถ แล้วตัดสินใจโทรศัพท์ออกไป … ที่โทรศัพท์มือถือของเขาระบุชื่อคนที่โทรไปหา “เจ๊ไพลิน..”
โทรศัพท์ของแพรไพลินมีสายเรียกเข้า แต่เธอปิดเสียงไว้เพราะง่วนกับการทดสอบ
เขากดวางสายแบบไม่ค่อยสบอารมณ์ ยืนละล้าละลังอยู่ตรงรถมอเตอร์ไซค์ของตัวเอง
“หยิ่ง ชอบให้ไปเซอร์ไพรส์”
แสงกล้าก้าวขึ้นไปบนรถมอเตอร์ไซค์จะสตาร์ทรถแต่เครื่องไม่ติด แสงกล้าพยายามอีกแต่ไม่ติดอีกตามเคย
“ให้มันได้งี้สิ รึว่าเราก้าวเท้าผิด เฮ้ย...ไร้สาระ”
เขาลงจากรถแล้ววิ่งไปโบกเรียกแท็กซี่
ที่มุมหนึ่ง จ่าสมิงยืนมองเหตุการณ์ทั้งหมดด้วยแววตาจริงจัง
ภายในห้องแลปทาวน์โฮม แพรไพลินตรวจสอบปลอกกระสุนปืนชิ้นหนึ่ง แล้วนำเอาภาพที่ได้มาเปิดขยายในโน้ตบุ๊ก เธอเคาะนิ้วรัวที่คีย์บอร์ดและคอมพิวเตอร์แสดงผลของกระสุนปืนทั้งหมดที่แพรไพลินนำมาวิเคราะห์
แพรไพลินพอใจมากกับผลที่ได้รับคล้ายเธอพบเงื่อนงำอะไรบางอย่าง
“ผลวิเคราะห์เป็นไงบ้างครับ”
เธอสะดุ้งตกใจที่หันไปเจอแสงกล้า
“มาไม่ให้สุ้มให้เสียง”
“ผมเห็นประตูหน้าเปิดอยู่”
แพรไพลินมองเขาแบบไม่ค่อยสนิทใจ เพราะก่อนหน้านี้เพิ่งมีเรื่องกันที่เนติเทคฯ เพราะเขาเข้ายุ่งในเรื่องส่วนตัวของเธอกับแม่
“กำลังตรวจสอบหลักฐานอยู่เหรอครับ”
“เอ้อ... ค่ะ”
แพรไพลินรู้สึกแปลก ๆ ที่แสงกล้าทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เธอยังจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นในคืนนั้นได้
“เปิดประตู เรายังคุยกันไม่จบ”
“กลับไปซะ !เราไม่มีอะไรจะคุยกันแล้ว”
แสงกล้ายังคงเคาะประตูจะให้แพรไพลินเปิด
“ฉันบอกให้คุณกลับไป ฉันจะทำงาน เลิกยุ่งกับชีวิตฉันซะที กลับไป กลับไป !”
เขายิ้มแย้มตรงหน้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เธอเลยตัดสินใจไม่พูดถึงเรื่องที่เคยทะเลาะกัน
“ผลการตรวจสอบเป็นยังไงบ้างครับ”
“วิเคราะห์จากปลอกกระสุน มาจากกระสุนจุดสามแปดทั้งหมด แต่มีเรื่องผิดปกติอยู่ข้อหนึ่ง”
“อะไรครับ”
แพรไพลินเคาะโน้ตบุ๊ก ปรากฏภาพปลอกกระสุนและเห็นยี่ห้อหนึ่งชัดเจน
“ปลอกกระสุนทุกนัด ยี่ห้อ ...”
แพรไพลินเคาะคีย์บอร์ดต่อ ภาพบนจอปรากฏภาพปลอกกระสุนอีกอันหนึ่งเพื่อเปรียบเทียบกับของเดิม
“แต่มีอยู่นัดหนึ่งไม่ใช่ ปลอกกระสุนนัดนี้ ยี่ห้อ ...”
“หมายความว่ายังไง”
“เป็นไปได้ว่ากระสุนนัดนี้ถูกยิงมาจากปืนกระบอกอื่น”
“แสดงว่ามีบุคคลที่สามฆ่าผู้กองคราม”
“หลักฐานชี้ไปทางนั้น”
“แล้วเราจะสืบหาตัวได้ไง ในเมื่อไม่มีหลักฐานอื่น”
“เรื่องนั้นไม่ใช่ปัญหา ฉันกำลังตรวจสอบลายนิ้วมือที่ติดอยู่บนปลอกกระสุนนัดนี้ว่าเป็นของใคร”
“ตรวจสอบลายนิ้วมือ?”
ภาพกราฟิกบนจอเห็นมือ ๆ หนึ่งกำลังบรรจุกระสุนอต่ละนัดปืนลงในแมกกาซีนปืน
“คนที่บรรจุกระสุนลงในแมกกาซีนต้องทิ้งลายนิ้วมือไว้ที่ปลอกกระสุนฉันกำลังจะเอาลายนิ้วมือนั้นมาตรวจสอบ”
ภาพกราฟฟิคกำลังทำการประมวลผลลายนิ้วมือ กับบุคคลต่าง ๆ เปลี่ยนใบหน้าไปเรื่อยๆ
“คุณกำลังตรวจกับใคร”
“เริ่มจากฐานข้อมูลใกล้ตัวที่สุด ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับเพชรยอดสังข์"
แสงกล้าหันไปมองหน้าจออย่างทึ่ง ๆ แล้วจึงหันไปทางแพรไพลิน
“แขกมาถึงบ้าน ไม่มีกาแฟบริการเหรอครับ”
“เข้าออกได้จนเหมือนบ้านคุณ ต่อไปก็บริการตัวเองแล้วกัน”
“กาแฟสองน้ำตาลหนึ่ง ครีมไม่ต้องครับ”
แพรไพลินมองแสงกล้าอย่างระอาเล็ก ๆ ลุกขึ้น เดินออกไปชงกาแฟให้ แสงกล้ามองตามแล้วยิ้มให้
บนถนนสายหนึ่ง รถคันหนึ่งพุ่งเข้ามาชนรถแท็กซี่อย่างจัง แสงกล้าลงจากรถแท็กซี่ด้วยท่าทางหงุดหงิด !
“ให้มันได้งี้สิ ยิ่งรีบยิ่งช้า”
แสงกล้าตัวจริงอยู่ตรงนี้ ! ไม่ใช่คนที่อยู่กับแพรไพลิน
ขมังเวทย์ที่จำแลงเป็นแสงกล้ามองไปยังคอมพิวเตอร์ที่วิเคราะห์ลายนิ้วมือ แล้วจึงลุกขึ้นเดินออกไปมองหาแพรไพลินก่อนเดินตรงมาจับเม้าท์ที่โน้ตบุ๊ก
แพรไพลินเข้ามาพอดีถาม
“ทำอะไร”
“ผมอยากรู้ผลวิเคราะห์”
“อย่ามายุ่งเครื่องมือฉัน โน่น...ฉันเอากาแฟมาให้แล้ว”
แสงกล้าลุกถอยหนีไปที่โต๊ะ แพรไพลินเข้ามานั่งหน้าคอมเพื่อจะตรวจหาผล แสงกล้าสายตาเจ้าเล่ห์คิดอะไรบางอย่าง
บนถนน แท็กซี่กำลังทะเลาะกันอย่างรุนแรงกับคนขับรถอีกคันหนึ่ง แสงกล้ายืนเท้าเอวมองแล้วไม่ค่อยสบอารมณ์ ยกวิทยุและวอออกไป
“เกิดอุบัติเหตุที่ถนน...”
พญ. แพรไพลิน นวิยากุลกำลังประมวลผลที่จอ วิเคราะห์ผลเป็นภาพผู้ต้องสงสัยทีละคน ๆ
แล้วคอมพิวเตอร์ที่ประมวลผล...ปรากฎเป็นภาพของ จักร อมตฤทธา พร้อมตัวหนังสือปรากฏกระพริบถี่ ๆ
Matching... 98%”
“จักร…”
แพรไพลินรีบเอาแฟลชไดร์ฟอันหนึ่งเสียบเข้าไปที่โน้ตบุ๊ก กดปุ่มถ่ายข้อมูลทั้งหมดสำรองไว้ทันที
ทันใดนั้นภาพในจอก็ดับลงทันที เธอหันไปเห็นแสงกล้าคัทเอาท์ระบบไฟในห้องแลป
“ทำบ้าอะไร”
“จำเลยของคุณเป็นถึงรองนายก ผมไม่อยากให้คุณทำคดีนี้ มันอันตรายเกินไป"
“หน้าที่ของเราคือสืบหาความจริง ถ้ามัวแต่กลัวแล้วใครจะปกป้องผู้บริสุทธิ์ การหยุดหรือยอมแพ้ก็เท่ากับเราสมรู้ร่วมคิดกับคนชั่ว"
“ผมไม่อยากให้คุณต้องเสียชีวิตอย่างผู้กองคราม มันไม่คุ้มกันหรอก ผมเป็นห่วงคุณมากนะ"
แสงกล้าเข้ามากอดแพรไพลิน แพรไพลินตกใจ
“ผมรักคุณ”
แพรไพลินหันมามองแสงกล้าแล้วค่อย ๆ เอามือจับที่ต้นคอของเขา เธอแปลกใจสังเกตเห็นว่าไม่มีสร้อยคอ เธอนึกถึงอดีตที่แสงกล้าเข้ามาหาแพรไพลินที่เนติเทค
“เอ๊า..รู้แล้วยังมาล็อคตัวอีก ดูสิ..สร้อยผมเกือบขาดเลย”
แสงกล้าดึงสายสร้อยออกมาดู แพรไพลินมองเห็นเป็นสร้อยพระ
วินาทีนั้น แพรไพลินรู้ได้ทันทีว่าคน ๆ นี้ไม่ใช่แสงกล้า เธอถอยออกห่างออกมาทันที
“จริงสิ...ฉันจะเสี่ยงชีวิตเพื่ออะไร มันไม่มีประโยชน์เลย”
แสงกล้ายิ้มพอใจ
“เดี๋ยวฉันไปหาของให้คุณทานดีกว่า”
แพรไพลินเดินออกไปโดยผ่านโน้ตบุ๊ก และรีบดึงเอาแฟลชไดร์ฟที่เสียบไว้ออกมา
“ขอบคุณครับ”
แสงกล้ามองตามแพรไพลินออกไปด้วยสายตาไม่ไว้ใจ และหันกลับมามองที่โน้ตบุ๊กบนโต๊ะเหมือนรู้ว่าแพรไพลินคิดจะทำอะไร
พญ. แพรไพลิน นวิยากุลเดินเข้ามาอีกห้องหนึ่งด้วยความรู้สึกกลัวและตกใจ เพราะไม่รู้ว่าใครปลอมตัวเป็นแสงกล้า!!
เธอมองแฟลชไดร์ฟที่เธอแอบนำออกมาแล้วรีบเดินหนีเพื่อออกไปจากบ้านให้เร็วที่สุด แต่เจอแสงกล้าขวางไว้
“จะไปไหน”
“เอ้อ...อาหารในตู้เย็นหมด ฉันจะออกไปซื้อ คุณรอฉันก่อนนะ”
“ไม่ต้อง ผมยังไม่หิว”
แสงกล้าเดินเข้ามากอดแพรไพลิน แล้วดึงเอาแฟลชไดร์ฟมาจากมือแพรไพลิน
“ผมอยากได้ข้อมูลนี่มากกว่า”
“คุณ !”
“คิดจะเอาข้อมูลหนีไป ไม่ง่ายไปหน่อยเหรอครับดอกเตอร์”
“แกเป็นใคร”
“แสงกล้า”
“แสงกล้าไม่ใช่คนสุภาพ ไม่ดื่มกาแฟ สวมสร้อยพระติดตัว”
แสงกล้ายิ้มเหี้ยมเยือกเย็น
“เยี่ยมมากสมกับเป็น ผอ.เนติเทค แต่น่าเสียดาย...คดีนี้ปิดแล้ว”
แสงกล้าบีบแฟลชไดร์ฟในมือแหลกเป็นผุยผง
“แกเป็นใครกันแน่”
“ฮึ ๆ ๆ”
เธอหันไปมองในกระจกเงา เห็นร่างขมังเวทย์สะท้อนอยู่...แล้วจู่ ๆ กระจกก็แตกละเอียด
แพรไพลินหันกลับมาเจอขมังเวทย์ยืนอยู่ตรงหน้า
“ฮึ ๆ ๆ”
เธอรีบวิ่งหนีออกไปจากห้องทันที
แพรไพลินพยายามจะวิ่งออกไปจากบ้าน แต่แล้วเธอก็ถูกสะกดให้หยุดนิ่งไว้ ไม่สามารถเคลื่อนไหวใดๆได้ เธอหันกลับมาเจอขมังเวทย์ยืนยิ้มเหี้ยมมองอยู่
“ฉันชอบผู้หญิงเก่ง”
ขมังเวทย์มองยิ้มแล้วเริ่มสะกดแพรไพลินที่เริ่มรู้สึกกลัว
บนท้องถนน ตำรวจจราจรกำลังเจรจากับแท็กซี่และคนขับที่ยังไม่ยอมลงให้กัน แสงกล้ายังคงละล้าละลังหาแท็กซี่ แต่ยังไม่มีสักคันที่จะผ่านมา ตำรวจหันมาพูดกับแสงกล้า
“ช่วงนี้หาแท็กซี่ยากครับหมวด”
แสงกล้าท่าทางหงุดหงิด จนในที่สุดมีแท็กซี่คันหนึ่งก็แล่นเข้ามาจอด แสงกล้ารีบขึ้นรถแท็กซี่คันนั้นออกไปทันที
ภายในทาวน์โฮม ขมังเวทย์มองตรงไปยังแพรไพลินที่ยืนอยู่เบื้องหน้าด้วยแววตาหวาดกลัว
“หมอเก่งกว่าที่คิดเยอะ ฉันมีวิธีทำให้เราเป็นมิตรกันมากกว่านี้”
ขมังเวทย์จ้องเขม็งตรงไปยังแพรไพลิน... ลูกสะกดที่บริเวณท้ายทอยกำลังเปล่งรังสีควบคุมบังคับ
เธอมีสติแต่ควบคุมตัวเองไม่ได้ เธอมือสั่นค่อย ๆ เคลื่อนเอามือปลดกระดุมเสื้อออกทีละเม็ด ๆ แม้ว่าเธอจะพยายามฝืน แต่ไม่อาจขัดจิตของขมังเวทย์ที่บงการอยู่ได้
ขมังเวทย์ยิ้มเหี้ยมด้วยความพอใจ
ในเวลาต่อมา รถแท็กซี่แล่นมาจอดที่ถนนหน้าทาวน์โฮม แสงกล้าลงมาจากรถ แล้วเดินไปยังทาวน์โฮมโดยไม่เร่งรีบ เพราะยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับแพรไพลิน
แสงกล้ากำลังจะเข้าไปในบ้านก็มองเห็นแพรไพลินจากด้านหลัง เธอกำลังถอดเสื้อออก แสงกล้าเห็นแล้วตกใจแทบหันหน้าหนี
“เฮ้ย..มาผิดเวลา”
เขาหันหลังหนีจะเดินออกไป แต่ก็หยุดคิดโดยพลัน บอกกับตัวเองตามสัญชาติญาณ “ไม่ใช่..ไม่ใช่นิสัย”
แสงกล้าหันกลับไปมองเห็นด้านหลังของแพรไพลิน และเห็นขมังเวทย์กำลังเดินตรงเข้ามาหาเธอ
แสงกล้ารีบพุ่งเข้าไปภายในทาวน์โฮมทันที
แพรไพลินรู้สึกกลัวแต่ขยับตัวไม่ได้ ขมังเวทย์เดินตรงมาหา ไล้มือไปตามใบหน้า...
ดวงตา.. จมูก.. และริมฝีปากของเธอ
“อีกไม่นาน เราจะเป็นพวกเดียวกัน ทั้งจิตและวิญญาณ ฮึ ๆ”
ขมังเวทย์จับไหล่ทั้งสองข้างเธอ และกำลังจะดึงร่างเธอเข้ามากอดไว้
ที่มุมหนึ่ง แสงกล้าพุ่งเข้ามาพร้อมกับปืนในมือ ยิงกระสุนเข้าใส่ขมังเวทย์ เปรี้ยง!
กระสุนปืนนัดหนึ่งพุ่งตรงเข้ามายังร่างขมังเวทย์ ขมังเวทย์หันไปมอง ฉับพลันลูกกระสุนหยุดกลางอากาศทันที ขมังเวทย์ยิ้มแล้วสะบัดหลังมือ กระสุนกลับไปยังแสงกล้า เขาหลบกระสุนได้หวุดหวิด !
“รู้มั้ย โทษของพวกมารคอหอยเป็นยังไง”
ขมังเวทย์หันมาจ้องมองแสงกล้าอย่างไม่เกรงกลัว
“แกก็รู้ใช่มั้ยว่าโทษของพวกขืนใจเป็นยังไง”
แสงกล้ารัวปืนยิ่งใส่ขมังเวทย์เปรี้ยง ๆ ๆ แต่กระสุนก็ยังคงหยุดเป็นกลุ่ม หนำซ้ำยังกระเด็นกลับออกไปยังร่างของแสงกล้าจนเขาต้องหลบพัลวัน
“น่าเบื่อพวกแมงหวี่แมลงวัน !”
ทั้งคู่เดินเร็วผ่านหน้าแพรไพลินซึ่งยังบังคับตัวเองไม่ได้ แววตาเธอรู้สึกเป็นห่วงแสงกล้า
ในบริเวณห้องแลปทาวน์โฮม ขมังเวทย์เดินเข้ามาในห้องมองหาแสงกล้า เขาซ่อนตัวอยู่ที่มุมหนึ่งด้านหลังโต๊ะ ขมังเวทย์แววตาแข็งกร้าวมองหา
ทันใดนั้นโต๊ะที่เขาหลบอยู่ก็ลอยขึ้น ขมังเวทย์บังคับให้โต๊ะลอยหวือเข้าใส่แสงกล้า ข้าวของกระจาย
แสงกล้าล้มคว่ำไม่เป็นท่า ตัดสินใจยิงสวนป้องกันตัว เปรี้ยง ๆ จนกระทั่งกระสุนหมดแล้วโดดหนีไป กระสุนลอยอยู่รอบ ๆ ตัวขมังเวทย์ ขมังเวทย์ปาดมือรวบหัวกระสุนทั้งหมดไว้ในกำมือเดียว
แล้วตามแสงกล้าออกไป
แสงกล้าเข้ามาหลบที่มุมพุ่มไม้ด้านหนึ่ง แกะแมกกาซีนออกมาดูเห็นว่ากระสุนหมด สีหน้าของเขาไม่ค่อยดี แสงกล้าหยิบกระสุนอาคมที่สมิงเคยให้มา เขายกขึ้นมาดูเห็นอักขระชัดเจน
"เอาวะ...”
แสงกล้าเอากระสุนอาคมทั้งสามนัดใส่ในแมกกาซีน แล้วกระแทกกลับเข้าไปในกระบอกปืนอย่างเดิม ขมังเวทย์เดินออกมามองหาแสงกล้า แล้วจึงโปรยเหวี่ยงหัวกระสุนในมือออกเต็มแรง
หัวกระสุนพุ่งเข้าใส่บริเวณที่แสงกล้าหลบอยู่ จนเขาต้องกระโดดหลบออกมาแทบไม่ทัน
กระสุนเหล่านั้นโดนพื้น โดนต้นไม้ โดนพุ่มไม้ บังเกิดแสงแปลบปลาบดูน่ากลัว..
แสงกล้าลุกขึ้นมา วาดปืนในมือยิงกระสุนอาคมเข้าใส่ขมังเวทย์...เปรี้ยง !
กระสุนพุ่งเข้าหาขมังเวทย์อย่างรวดเร็ว แล้วค่อย ๆ ลดความเร็วลง ขมังเวทย์เอามือคว้ากระสุนไว้ได้อีกครั้งโดยไม่ได้รับบาดเจ็บ
“อ้าว.. ไหนบอกว่าของดีของแรง ไม่ได้เรื่อง”
แสงกล้าชะงักเมื่อเห็นว่ากระสุนอาคมไม่สัมฤทธิ์ผล ขมังเวทย์ยิ้มเหี้ยมสะใจ
บริเวณกำแพงของทาวน์โฮม จ่าสมิงเหวี่ยงตัวปีนกำแพงโดดข้ามลงมาบริเวณด้านใน ด้วยท่าทางเหนื่อยหอบ
“จะใช้ของไม่บอกกันสักคำ!”
ขมังเวทย์หัวเราะที่แสงกล้าทำอะไรไม่ได้ ชูหัวกระสุนอาคมในมือให้แสงกล้าเป็นเชิงเย้ย ๆ
"ฮึ ๆ"
ขมังเวทย์ขว้างหัวกระสุนในมือใส่แสงกล้า เขาตัดสินใจยิงปืนสวนออกไปทันที... เปรี้ยง !
สมิงจ้องไปยังการต่อสู้ระหว่างขมังเวทย์กับแสงกล้า และจ้องไปยังกระสุนปืน
หัวกระสุนอาคมของแสงกล้าพุ่งเข้าไปหาขมังเวทย์อย่างรวดเร็ว กระทบกับกระสุนที่
ขมังเวทย์ขว้างออกมา เกิดแสงวาบที่ปลายกระสุน…แล้วพุ่งทะลวงผ่านกระสุนของขมังเวทย์
กระสุนพุ่งเข้าเจาะฝ่ามือขมังเวทย์จนเลือดพุ่งกระฉูด
“เฮ้ย... ได้ผลแล้ว”
ขมังเวทย์ตกใจไม่คิดว่ากระสุนของแสงกล้าจะทำร้ายตัวเองได้ ขมังเวทย์โดนมนต์สะกดของสมิง ทรุดร่างลงคุกเข่าด้วยความเจ็บปวดมาก ร้องเสียงดังออกมา
“อ๊าก”
สีหน้าของขมังเวทย์ดูอ่อนพลังและได้รับความเจ็บปวดอย่างรุนแรง
แพรไพลินที่นิ่งเหมือนกำลังถูกมนต์สะกด บริเวณท้ายทอยที่มีลูกสะกดฝังอยู่อ่อนแสงลง เหมือนคลายมนต์ขลังไปตามพลังของขมังเวทย์ ลำตัวของเธอถูกกระชากอย่างรุนแรงจนหลุดจากมนต์สะกด ทรุดลงแทบพื้น เธอเหลียวซ้ายแลขวา รีบคว้าเอาเสื้อมาใส่แล้วก้าวออกไปทันที
ขมังเวทย์ทรุดตัวลงแทบพื้น แสงกล้าก้าวเข้าไปใกล้พร้อมกับวาดปืนในมือเหยียดตรง
“หมดเวลาทำชั่วแล้ว”
แสงกล้ากำลังจะยิงขมังเวทย์ แพรไพลินวิ่งเข้ามาที่ด้านหนึ่ง
“แสงกล้าเป็นยังไงบ้าง”
แสงกล้าหันไปเห็นแพรไพลินปลอดภัยก็ดีใจ
"ผมไม่เป็นอะไร"
แสงกล้าหันกลับจะมายิงปืนใส่ขมังเวทย์ แต่ขมังเวทย์หายไปแล้ว แสงกล้ารีบวิ่งออกไปหมายจะตามล่าขมังเวทย์ แพรไพลินรีบตามออกไป
แสงกล้าตามขมังเวทย์มาอีกมุมหนึ่ง แต่ก็ไม่พบ
“อย่าตามไปเลยค่ะ มันอันตราย”
แพรไพลินจับแสงกล้าไว้ แสงกล้าหันกลับมามอง
“มันกำลังพลาดเป็นโอกาสเดียวที่จะเล่นงานมันได้”
"แต่ฉันเป็นห่วงคุณไม่อยากให้คุณต้องเสี่ยงอีก"
แสงกล้าหยุด แต่เห็นรอยเลือดที่ไหลออกจากแขนของแพรไพลินหยดลงพื้น เขารู้ได้ทันทีว่าเป็นขมังเวทย์ แสงกล้าจับแขนแพรไพลินแล้วเหวี่ยงออกไปอีกทางหนึ่ง แพรไพลินตัวปลอมกลายร่างเป็นขมังเวทย์ทันที
“แกหลอกฉันไม่ได้หรอก"
“แน่ใจเหรอ”
ขมังเวทย์ต่อสู้กับแสงกล้าด้วยมือเปล่าพักหนึ่ง เขาเสียท่าล้มลงไปอีกทางหนึ่ง หน้าคว่ำลงแทบพื้น
“ระวังนะคะ”
พอแสงกล้าเงยหันไปมอง เขาถึงกับต้องผงะ เพราะตรงหน้าเขาตอนนี้มีแพรไพลินสองคน ทั้งสองคนไม่มีรอยเลือดที่แขนอีกต่างหาก
“มันปลอมตัวเป็นฉัน!” แพรไพลินตัวจริงบอก
“คุณอย่าไปเชื่อมันนะ !”
แพรไพลินตัวปลอมวิ่งมาหาแพรไพลิน จนทำให้แสงกล้าสับสน สาดปืนไปมาแต่ไม่กล้ายิง
“ฉันเอง”
“ฉันเอง” แพรไพลินตัวปลอมบอกแล้วผลักแพรไพลินตัวจริงออกไป
“แกออกไป”