โดมทอง ตอนที่ 15
พันธุ์สูรย์เดินกลับเข้ามาในออฟฟิศอย่างเร็วรี่ สีหน้ากลัดกลุ้ม ดูกังวลหนัก 2 พี่น้องตามเข้ามาด้วยสีหน้าร้อนใจเช่นกัน
“พันธุ์สูรย์! มีอะไรทำไมไม่พูดออกมา”
พันธุ์สูรย์หันกลับมาด้วยสีหน้ายุ่งยากใจ
“พูดออกมาซิคะ พี่พันธุ์สูรย์” ลานนาคาดคั้น
“เพราะผม...”
“อะไร” ภูไทซัก
ลานนาซักอีก “อะไรคะ”
“เราต้องไปพบหลวงพ่อ” พันธุ์สูรย์บอกออกมาในที่สุด
บรรยากาศของวัดป่าแห่งนั้น เงียบสงบ และร่มเย็น ฝูงนกต่างเกาะและส่งเสียงร้องอยู่บนกิ่งไม้ พันธุ์สูรย์เดินนำภูไทและลานมาเรื่อยๆ แล้วสอดส่ายสายตามองหา
จนเจอพระรูปหนึ่งท่วงท่าดูสงบและสำรวมเหมือนพระนักปฏิบัติ กำลังนั่งภาวนาอยู่บนกุฏิไม้เก่าๆ พันธุ์สูรย์เข้าไปก้มกราบ เช่นเดียวกับเจ้าพี่ภูและเจ้าน้อง
พระรูปนั้นลืมตาขึ้น ถามด้วยท่าทีค่อนข้างคุ้นเคย “มาหาหลวงพ่อล่ะซี”
“ครับ...แต่หลวงพ่อไม่ได้อยู่ที่กุฏิ ผมก็เลยมาถามหลวงพ่อ” พันธุ์สูรย์บอก
“หลวงพ่อท่านอาพาธ ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาล...อาตมาจะส่งข่าวไปบอกโยม แต่ท่านห้ามไว้ ไม่อยากให้โยมต้องกังวล”
“ท่านเป็นอะไรหรือครับ” ภูไทเป็นฝ่ายซัก
3 คนพากันมาอยู่ที่โรงพยาบาลเด็กๆ เป็นโรงพยาบาลประจำตำบล ภูไทและลานนานั่งรอ และคุยปรึกษากันเงียบๆ อยู่ภายนอกอาคาร โดยมีชาวบ้านนั่งรอญาติ
สักครู่พันธุ์สูรย์จึงเดินออกมา สีหน้าค่อนข้างกังวล
“หลวงพ่อท่านเป็นยังไงบ้างคะ” ลานนาถามขึ้น
“ยังอยู่ในไอซียู หมอห้ามเยี่ยม ต้องดูอาการสัก 2-3 วันก่อน”
ลานนาถอนใจกลุ้มๆ
“งั้นกลับกันก่อนเถอะ” ภูไทว่า
พันธุ์สูรย์พยักหน้า นัยน์ตายังคงหนักใจ ด้วยความเป็นห่วงหลวงพ่อพันธุ์ผู้เป็นบิดา
“ท่านไม่เป็นอะไรหรอกน่า” ภูไทตบไหล่พันธุ์สูรย์เบาๆ เป็นเชิงปลอบ
สามคนเดินปลอบกันออกไป
เวลาผ่านไปอีกครู่หนึ่ง อุไรเดินนำภูไทและลานนาเข้าไปในห้องรับแขก แสงแขเดินเข้ามาในบริเวณนั้นทันที
“เจ้าลานนา...เจ้าภูไท”
“เรามาถามเรื่องวิรงรองน่ะครับ”
“เจ้าเลยต้องกังวลไปด้วย...นี่ทุกคนก็พยายามกันเต็มที่แล้ว แต่ก็ยังหาไม่พบ! ทีแรกยังนึกว่าอยู่ที่บ้านเจ้าเลย” แสงแขว่า
“เรายังไม่ทราบว่า วิกลับมาที่นี่ ... ดิฉันโทร.เข้ามือถือก็ไม่มีใครรับ” ลานนาบอก
“ที่บ้านเขาล่ะคะ เขาอาจจะกลับไปบ้านก็ได้” แสงแขถาม
“โทร.แล้วค่ะ...วิไม่ได้อยู่ที่บ้าน”
จู่ๆ ภูไทนึกได้ “ทำไมเราไม่ลองโทร.เช็คตามโรงแรม”
“จริงด้วย งั้นเรากลับไปที่บ้านดีกว่า ได้ความยังไงแล้วค่อยติดต่อมาที่นี่” ลานนาว่า
ภูไทพยักหน้า แล้วหันมาทางแสงแข
“ถ้าอย่างนั้น เรากลับกันก่อนนะครับ”
“ค่ะ...ขอบคุณมากค่ะ”
สองพี่น้องเดินย้อนไป
แสงแขหันมาทางอุไร “ทีหน้าทีหลังไม่ต้องเสนอหน้าเชิญใครเข้ามาอีก ได้ยินมั้ย”
“ได้ยินค่ะ”
แสงแขเดินออกไป
อุไรมองตามงงๆ “ไหนทีแรกเห็นเป็นห่วงแทบตายไง”
อุษานั่งซึมอยู่มุมหนึ่ง ก่อนอุไรจะเดินเข้ามา และตกใจเมื่อเห็นสีหน้าท่าทางอุษา
“คุณอุษาเป็นอะไรหรือคะ”
อุษาน้ำตาร่วงทันที “ฉันกลุ้มใจ ถ้าเราหาตัววิรงรองไม่พบ...”อุษาใจหาย พูดต่อไม่ได้
“นั่นซีคะ...อุไรก็กลุ้มๆ อยู่เหมือนกัน เอ๊ะ หรือว่าผีลักซ่อน”
อุษาสะดุ้ง “ฮื้อ อุไรนี่”
“อ้าว เป็นไปได้นะคะ คุณวิเธอยิ่งชอบสืบโน่นสืบนี่อยู่ด้วย”
อุษาลุกขึ้นทันที
“อุไรไปด้วยค่ะ”
ครู่ต่อมาอุษาและอุไรเดินเข้ามาในห้องเก็บภาพบรรพบุรุษ โดยที่อุไรถือธูป เทียน และไม้ขีดไฟมาด้วย
2 คนทรุดตัวลงคุก เข่า จัดการจุดธูป 1 ดอก อุษารับธูปจากอุไรแล้วไหว้ขอให้ช่วย ไม่ต้องพูดออกมา 2 คนขอกันอยู่ในใจ
แสงแขเดินผ่านมาแล้วหยุดมอง เพราะไม่ได้ปิดประตู
อุษาดูแน่วแน่ เช่นเดียวกับอุไรซึ่งพนมมือ ก้มหน้าเช่นกัน
แสงแขยิ้มเยาะ แล้วเดินหนีไป
ขณะเดียวกันโอบอ้อมกำลังนวดขาให้ท่านผู้หญิงอยู่ในห้อง
แสงแขเดินเข้ามา แล้วปิดประตูเบาๆ
“พี่อุษาจุดธูปบนบานดวงวิญญาณบรรพบุรุษแล้วค่ะ”
ท่านผู้หญิงเยาะเย้ย “ถ้าเป็นบรรพบุรุษนังพลับพลึงกับท่านเจ้าคุณละก็ ตัวเองยังช่วยไม่ได้เลย ส่วนบรรพบุรุษอื่นๆ ก็คงไปเกิดใหม่กันหมดแล้ว...ตาลบมาหรือยัง”
“ยังเลยค่ะ”
“เดี๋ยวมาก็คงวุ่นวายใหญ่ไปอีกสักพักนึง โอบ...ไปบอกอุษาซิว่า กลางวันนี้ฉันอยากกินข้าวต้มกับปลาสลิดทอดกรอบ”
“ท่านผู้หญิงยังเคี้ยวไหวหรือเจ้าคะ” โอบอ้อมปากดี
ท่านผู้หญิงจ้องหน้าเขม็ง
โอบอ้อมหน้าเจื่อนจืด แล้วก้มกราบ “ขอประทานโทษเจ้าค่ะ” ก่อนจะคลานออกไป
“นังโอบมันขาดๆ เกินๆ แกต้องคอยคุมมันไว้ให้ดี ! พวกพี่ชายมันก็เหมือนกัน”
“ได้ค่ะ คุณย่า...เอ้อ...แล้วเรื่องคุณลบกับแขล่ะคะ”
“งานนี้แกช่วยฉันได้มาก! เอาเป็นว่าฉันจะไม่ขัดขวางแกก็แล้วกัน เชิญแกจับตาลบได้ตามสบาย”
“ขอบคุณมากค่ะ คุณย่า”
ท่านผู้หญิงรู้คำตอบอยู่แล้วว่าอดิศวร์ต้องปฏิเสธ มีสีหน้าแววตาเย้ยหยันแสงแขเต็มที่
ที่ห้องใต้โดม วิรงรองค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นอีกครั้ง จากที่ร้องไห้เสียจนอ่อนเพลียหลับไป
วิรงรองค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง ตั้งสติทบทวนความทรงจำ ภาพตอนแสงมาตามว่าท่านผู้หญิงไม่สบายผุดขึ้นมาในห้วงคิด
อารมตกใจวิรงรองรีบตามแสงแขลงไป ขณะบันไดจะตรงไปห้องท่านผู้หญิง แต่แล้วทุกอย่างก็ดับวูบลง
วิรงรองดึงตัวเองกลับมา ยกมือลูบศีรษะตรงที่ถูกอ๊อดตี แล้วนิ่วหน้าร้องเบาๆ ด้วยยังรู้สึกเจ็บไม่หาย
ที่บริเวณนั้น มีเลือดแห้งเกรอะกรังวิรงรองสะท้อนใจพึมพำออกมา
“คุณแสงแข...ความหึงหวงทำให้คนบางคนทำร้ายคนอื่นอย่างอำมหิตได้ขนาดนี้เชียวหรือ” วิรงรองนิ่งคิดแล้วมองไปในความมืดสลัวโดยรอบอย่างพิจารณา “แล้วนี่ฉันอยู่ที่ไหนกัน”
วิรงรองค่อยๆ ลุกขึ้นเดินสำรวจภายในนั้น หยากไย่ใยแมงมุม และฝุ่นหนาเตอะ ขณะเดินๆ อยู่วิรงรองสะดุดอะไรอย่างหนึ่ง จนหน้าคะมำ วิรงรองก้มลงหยิบขึ้นมาดู
จากแสงสว่างที่ลอดเข้ามารำไร แต่ก็ทำให้เห็นได้ค่อนข้างชัดเจนว่าเป็นกระดูกแขนของมนุษย์
วิรงรองกรีดร้องแล้วขว้างทิ้งด้วยความตกใจกลัว พร้อมกับถดถอยไปนั่งมุมห้อง ปิดหน้าร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วยความหวาดกลัวจนตัวสั่นสะท้าน
เวลาผ่านไปอีกระยะหนึ่งแล้ว อดิศวร์เรียกประชุม ทุกคนที่อาศัยในเขตโดมทองมากันพร้อมหน้าในห้องนั่งเล่น
“ถ้าวิรงรองออกไปจากบ้าน มันก็ต้องมีคนเห็นบ้างซิ”
ทุกคนก้มหน้านิ่งกันไปหมด
ท่านผู้หญิงซึ่งนั่งรถเข็นมองออกไปจากหน้าต่างห้องนั่งเล่นยิ้มนิดๆ สีหน้าเหมือนเริ่มทบทวนเหตุการณ์ในอดีตแบบเดียวกันนี้ที่เคยเกิดขึ้นที่นี่ ตอนที่เจ้าพระยาสรรักษ์ไกรณรงค์ รู้ว่าพลับพลึงหายตัวไป
ภาพของอดิศวร์กับหมู่มวลคนงาน คนรับใช้ หายไป กลายเป็นท่านเจ้าคุณกับหมู่มวลบ่าวไพร่แทนที่ รวมทั้งนายพันธุ์ ปู่ของพันธุ์สูรย์ที่ยังหนุ่มแน่น
“แล้วอย่างนี้ข้าจะไว้ใจใครได้” ท่านเจ้าคุณเอ่ยขึ้นเสียงดัง
บ่าวไพร่แต่ละคนก้มหน้า ตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว
“ไอ้พันธุ์”
“ขอรับ...ท่านเจ้าคุณ”
“ข้าอุตส่าห์ไว้ใจให้เอ็งดูแล โดมทอง ขณะที่ข้าไม่อยู่ ... แต่เอ็งก็ปล่อยให้คุณพลับพลึงหายไปได้”
พันธุ์เงยหน้าขึ้น ทำท่าจะพูด แต่ที่ม่านหน้าต่าง ตรงห้องนั่งเล่นไหวๆ เหมือนมีคนแอบมองอยู่
“เอ็งจะแก้ตัวว่ายังไงฮึ! ไอ้พันธุ์”
ภาพเหตุการณ์นั้นซ้อนทับเหตุการณ์ในยามนี้ ที่อดิศวร์กำลังมองกราดไปทั่วทุกคน ก่อนจะมาหยุดที่นายสม
“ว่าไง สม”
“ผมไม่เห็นจริงๆ ครับว่า คุณหนูออกไปจากโดมทอง ตอนไหน” สมบอก ?
“พวกเราทุกคนไม่มีใครคิดจริงๆ ค่ะว่า วิรงรองจะหนีไป เพราะก่อนหน้านั้นเขาก็ดูเป็นปกติดี .... ไม่ได้มีเรื่องกระทบกระทั่งกับใครเลย” แสงแขบอก
อดิศวร์เดินกลับเข้าบ้านอย่างหัวเสีย
ครู่ต่อมาอดิศวร์เดินเข้ามาในห้องทำงานด้วยความหงุดหงิดพลุ่งพล่าน เสียงโทรศัพท์บ้านบนโต๊ะดังขึ้น อดิศวร์รีบเดินไปรับด้วยสีหน้ามีความหวังขึ้นมา
“วิรงรอง”
“นี่ผมเอง ภูไท” เสียงเจ้าภูไทดังลอดออกมา
“ผมยังไม่ว่าง...”
ภูไทซึ่งอยู่ที่ออฟฟิศในคุ้ม ขัดขึ้นทันที
“ผมจะโทร.มาบอกว่า ผมให้คนเช็คตามโรงแรม...รีสอร์ท...สายการบินหมดแล้ว แต่ก็ไม่มีวี่แววน้องวิ”
อดิศวร์เริ่มพาล “แล้วผมจะแน่ใจได้ยังไงว่าวิรงรองไม่ได้อยู่กับคุณ”
“คุณก็มาค้นดูได้”
“คุณไม่โง่พอที่จะให้วิรงรองพักที่นั่นหรอก”
“คุณจะคิดยังไงก็ตามใจ แต่ขอบอกว่า ทุกคนที่บ้านผมก็กำลังช่วยกันตามหาน้องวิเหมือนกัน”
ภูไทวางสายโทรศัพท์ไป ลานนาที่อยู่ด้วยถสมทันที
“เขาว่ายังไงหรือคะ !
“เขาก็หาว่าเรานั่นแหละที่ซ่อนวิรงรองไว้”
“บ้า! นี่ถ้าวิไม่ใช่เพื่อนรักของน้อง...น้องจะไม่ช่วยตามหาแล้วละค่ะ”
ฟากอดิศวร์เดินกลับไปกลับมาหงุดหงิด จนสักครู่หนึ่ง มีเสียงเคาะประตูเบาๆ ดังขึ้น
“ฉันยังไม่อยากพบใคร”
“คุณย่าให้มาตามคุณลบไปพบค่ะ” เสียงแสงแขดังเข้ามา
อดิศวร์ถอนใจเฮือก
ท่านผู้หญิงเอ่ยขึ้นทันทีที่อดิศวร์มาถึง “ย่าเสียใจจริงๆ นะตาลบ ที่ย่าเป็นต้นเหตุให้ เอ้อ...วิรงรองหนีไป” หญิงชรามารยา ทำเสียงสั่นเหมือนจะร้องไห้ “ย่าเสียใจ”
อดิศวร์ปลอบแบบแกนๆ เพราะมัวกลุ้มใจ “ไม่ใช่หรอกครับ...เพราะระยะหลังๆ มานี่ คุณย่าดีกับเขามาก”
“แต่ย่าก็เคยร้ายมาก...เขาคงไม่ไว้ใจย่า”
แสงแขรับมุกทันที “คุณย่าขา...ไม่มีใครโทษคุณย่าเลยค่ะ”
“ถึงไม่มีใครโทษ...แต่ฉันก็โทษตัวเอง...”
“คุณย่าอยู่กับแสงแขก่อนนะครับ...ผมจะไปตามหาเขาต่อ”
“ไปเถอะ .... รีบไปเลยลูก”
อดิศวร์รีบลุกออกไป ประตูปิดลง ท่านผู้หญิงพูดต่อ
“แต่ขออย่าให้มาพบเลย”
ท่านผู้หญิงหัวเราะลั่นอย่างสะใจ
แสงแขมองท่าทีหัวเราะอันน่ากลัวนั้นอย่างวาดๆ
ด้านวิรงรองเช็ดน้ำหูน้ำตา แล้วลุกขึ้นเพ่งมองอย่างตั้งสติ สายตาที่เริ่มคุ้นชินกับความมืด ทำให้มองเห็นกระดูก และกระโหลกผุๆ ด้วยกาลเวลา กระจัดกระจาย ซึ่งเป็นของพวกนักดนตรี
ตรงบริเวณนั้นยังมีเครื่องดนตรีที่เก่าจนผุพังตามกาลเวลา เกลื่อนอยู่
วิรงรองทรุดตัวลง เอามือลูบไปตามระนาดอย่างแผ่วเบาแล้วหลับตาลง
ภาพเหตุการณ์ตอนมาถึงที่โดมทองใหม่ๆ วิรงรองได้ยินเสียงดนตรีไทยแว่วมา ผุดขึ้นในหัว
“หมายความว่า เสียงดนตรีมาจากที่นี่ เป็นไปไม่ได้เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด”
ตกตอนกลางคืนท้องฟ้าคืนเดือนแรม เต็มไปด้วยดวงดาวส่องแสงระยิบระยับ
แสงแขเปิดประตูเข้ามาภายในห้องท่านผู้หญิง ด้วยดวงตาสดใสเต็มไปด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่องของผู้มีชัยชนะ
“นังโอบล่ะ!…นี่แกคงไม่ได้คิดจะมานอนเป็นเพื่อนฉันหรอกนะ” ท่านผู้หญิงถาม
“แน่นอนค่ะ เพราะเดี๋ยวนี้ แขไม่ใช่ทาสคุณย่าแล้ว” แสงแขพูดเสียงกร้าว
ท่านผู้หญิงมองจ้องแสงแขนัยน์ตาขุ่น
“แขมายื่นข้อเสนอ”
“ข้อเสนออะไรของแก”
“คุณย่าต้องทำให้คุณลบแต่งงานกับแขให้ได้ แขให้เวลา 7 วัน อ๊ะ 10 วันดีกว่า นังวิรงรองจะได้กลายเป็นศพไปแล้ว ...ให้การอะไรไม่ได้” แสงแขบอกอย่างลำพอง
ท่านผู้หญิงนัยน์ตาวาววับ “มันจะมากไปแล้วนังหิ่งห้อย! อย่างแกน่ะชื่อแสงแขมันสว่างไป...มันดีเกินไป! ต้องเปลี่ยนเป็นนังหิ่งห้อยนั่นแหละถึงจะเหมาะ”
“งั้นคุณย่าก็ต้องเปลี่ยนเหมือนกัน! ชื่อมณฑาน่ะ เขาถือเป็นดอกไม้สวรรค์...ทั้งสวยทั้งหอมและสูงส่ง ไม่เหมาะกับนังแม่มดร้ายอย่างคุณย่า”
“อีแสงแข” ท่านผู้หญิงตวาดลั่น
แสงแขไม่ยี่หระ “ตกลงว่าภายใน 7 วัน คุณย่าต้องทำให้แสงแขคนนี้หรือจะเรียกว่านังหิ่งห้อยก็ตามใจ แต่งงานกับคุณลบและกลายเป็นคุณผู้หญิงของโดมทองให้ได้ ...ไม่อย่างนั้น คุณลบจะได้รับรู้ว่า คุณย่าน้อยพลับพลึงกับนังวิรงรองหายไปไหน”
ท่านผู้หญิงท้า “บอกเลย บอกไปเลย เพราะแกเองก็คือผู้สมรู้ร่วมคิด”
“แล้วคุณย่าคิดว่าแขจะโง่ยอมให้คุณย่าใส่ร้ายได้ฝ่ายเดียวหรือคะ แล้วที่สำคัญที่สุด คุณย่าเป็นคนจับคุณย่าน้อย...”
“ใครที่ไหนเขาจะเชื่อแก”
“นอกจากซากนังวิรงรองแล้ว...คุณย่ากล้ายืนยันไหมล่ะคะว่า จะไม่มีซากของคนอื่นอีก ส่วนแขก็จะเป็นแค่เหยื่อที่ถูกบังคับ ถูกกดหัวมานาน จนกลัวคุณย่าลนลานเหมือนคนอื่นๆ ในบ้านนี้ เป็นยังไงล่ะคะ!…เหนือฟ้ายังมีฟ้า...เหนือคุณย่ายังมีแสงแข”
ท่านผู้หญิงทำท่าเหมือนจะกระอักเป็นเลือด ขณะที่แสงหัวเราะชอบอกชอบใจ
ฝ่ายวิรงรองกำลังกวาดสายตาที่ชินกับความมืดมากขึ้น กอปรกับเริ่มตั้งสติได้ มองไปอีกอย่างสำรวจตรวจตรา
สายตาไปหยุดที่มุมหนึ่งของห้อง ที่มีเตียงเก่าๆ ตั้งอยู่
วิรงรองค่อยๆ เดินไปที่เตียงนั้น บนเตียงมีฝุ่นหนาเตอะจนแทบมองไม่เห็นที่นอน มองสำรวจตรวจตรา จนเห็นเป็นผ้าห่มอยู่ใต้ฝุ่น และหยากไย่พวกนั้น
วิรงรองเลื่อนผ้าห่มผืนนั้นออกเบาๆ เพื่อไม่ให้ฝุ่นกระจาย แต่แล้วถึงกับผงะ เบิกตากว้าง เมื่อเห็นโครงกระดูก ที่มีเศษผ้าเก่าๆ ขาดติดอยู่บางส่วนนอนอยู่
วิรงรองมองเรื่อยไปที่ขาแล้วสะดุ้ง เมื่อพบว่าข้อเท้านั้นถูกล่ามไว้ด้วยโซ่ซึ่งคล้องไว้กับขาเตียงอีกที วิรงรองหลับตาลง ภาพเหตการณ์ตอนที่ได้ยินเสียงลากโซ่กลางดึกในบางค่ำคืนผุดขึ้นมาทันที
วิรงรองลืมตาขึ้น น้ำตาไหลออกมาโดยไม่รู้สึกตัว ด้วยเกิดความเวทนาสูงสุด จากนั้นจึงค่อยๆ ทรุดตัวลง คุกเข่าแล้วก้มกราบ
“คุณพลับพลึง...คุณพลับพลึงไม่ได้หนีไปไหนอย่างที่ใครๆ สันนิษฐาน หรือที่ท่านผู้หญิงพยายามบอก...ในขณะที่ท่านเจ้าคุณตามหาแทบพลิกแผ่นดิน ท่านไม่ได้สังหรณ์เลยสักนิดว่าคุณพลับพลึงถูกล่ามโซ่อยู่ในห้องนี้ และต้องเสียชีวิตอย่างทุกข์ทรมาน”
ภาพอีกเหตุการณ์ผุดขึ้นมาแทน ในขณะที่วิรงรองอยู่ในห้องพัก แล้วลุกขึ้นมาดูเจ้าคุณนั่งรถม้ามาหยุดใต้หน้าต่าง แล้วเงยหน้ามองขึ้นไปที่หน้าต่างโดม
“ผู้ชายคนนั้นคือท่านเจ้าคุณจริงๆ ที่ขับรถม้ามารอคุณพลับพลึงอยู่ใต้หน้าต่างโดม”
วิรงรองซึ่งยามนี้ความกลัวจับใจ จนสลายกลายเป็นความเวทนาจับจิต ค่อยๆ ยื่นมือไปปัดหยากไย่ออกจากบริเวณ
กระโหลกพลับพลึง
“ใครกันที่ใจดำอำมหิตกับคุณพลับพลึงได้ถึงเพียงนี้”
ภาพเหตุการณ์ตอนเจอกับท่านผู้หญิงสรรักษ์ครั้งแรก แล้วท่านร้องกรี๊ดไล่ตะเพิดเธอออกไป เข้ามาในห้วงความคิด
เมื่อภาพเลือนหาย วิรงรองรู้ทันที
“ท่านผู้หญิง” วิรงรองนิ่งคิดอย่างขมขื่น “...ทำไมถึงได้อำมหิตนัก...อำมหิตขนาดทำกับน้องแท้ๆ ได้ลงคอ”
วิรงรอเดินกลับมานั่งลงที่เดิม แล้วทอดสายตามองไปที่เตียง ถอนใจยาว น้ำตาซึมออกมาอีก
“อีกไม่นาน เราก็จะมีสภาพเหมือนคุณพลับพลึงแล้วก็โครงกระดูกเหล่านี้”
วิรงรองเศร้าสะเทือนใจเป็นที่สุด
เวลาดึกสงัด ภายนอกโดมทองดูเวิ้งว้างวังเวง และน่ากลัว แสงแขในชุดนอนเดินถือเชิงเทียนมาตามทางเดิน ตรงมาที่ห้องทำงานอดิศวร์
แสงแขค่อยๆ หมุนลูกบิดเปิดประตูเข้าไปอย่างแผ่วเบา
แสงแขค่อยๆ ปิดประตูลงเบาๆ แล้วเดินมาที่โต๊ะทำงานซึ่งจากแสงเทียน เห็นอดิศวร์นั่งฟุบหน้าอยู่กับโต๊ะในชุดเดิม และผล็อยหลับด้วยความอ่อนเพลียจากการพยายามตามหาวิรงรอง
แสงแขวางเชิงเทียนลงบนโต๊ะ แล้วอ้อมมาคุกเข่าลง โอบแขนไปรอบเอวอดิศวร์อย่างชื่นอกชื่นใจ
“คุณลบขา...”
อดิศวร์ขยับตัวนิดๆ
“แขรักคุณลบ...รักมากเหลือเกิน”
อดิศวร์ตื่น เงยหน้าขึ้นงงๆ
“แสงแข...”
แสงแขเคลิ้มเผยอหน้าขึ้นไปจูบบริเวณแก้มเพ้อพร่ำ “แขรักคุณลบ...”
พร้อมกันนั้นแสงแขเลื่อนริมฝีปากจะมาที่ปากอดิศวร์อยู่แล้ว
อดิศวร์ผุดลุกขึ้นทันที เหมือนรู้สึกตัวเต็มที่แล้ว บอกเสียงขุ่น
“กลับไปห้องเดี๋ยวนี้”
แสงแขลุกขึ้น “คุณลบอย่าไล่แขเลยค่ะ แขรักคุณลบ”
อดิศวร์พยายามตั้งสติใหม่ “ฟังนะ...เธอเป็นน้องสาวของพี่เหมือนอุษา...พี่จะคิดเป็นอื่นไม่ได้...เราเป็นพี่น้องกัน”
แสงแขเปลี่ยนท่าที “ไม่ต้องมาอ้างพี่อ้างน้อง! เพราะอีนังวิรงรองใช่ไหมคะ มันหนีตามใครไปแล้วก็ไม่รู้ คุณลบอย่าเสียเวลารอมันอยู่เลย” สีหน้าแววตากร้าวขณะบอก “แต่แขสิคะ...แขยังอยู่”
“เธอเป็นอะไรไปน่ะ” อดิศวร์เสียงขุ่น
แสงแขไม่สนสีหน้าท่าทางอีกฝ่าย “แขมีเลือดมีเนื้อ...มีหัวใจที่มอบให้คุณลบมานานแล้ว...แขพร้อมที่จะแทนที่วิรงรองให้คุณลบ”
“แต่เธอไม่ใช่วิรงรอง...เธอเป็นน้องของพี่”
อดิศวร์เสียงดังขึ้น พร้อมกับเดินไปที่ประตู แล้วเปิดออก พูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียดจริงจัง
“กลับไปห้องเธอเดี๋ยวนี้”
แสงแขสะอื้นฮักๆ เสียใจเหลือแสน ออกมาทันที “คุณลบ”
“กลับไปคิดทบทวนให้ดี แล้วเธอจะเข้าใจ”
แสงแขสะอึกสะอื้นมาที่ประตู แล้วโผกอดอดิศวร์ ร้องไห้ราวกับคนหัวใจสลาย
“คุณลบขา...คุณลบอย่าใจร้ายไล่แขไปเลยนะคะ...คุณลบไม่ต้องยกย่องแขเป็นเมียออกหน้าออกตาก็ได้”
อดิศวร์จับไหล่แสงแขดึงออกห่าง
“เหลวไหลใหญ่แล้ว! จำไว้ให้ขึ้นใจว่า เธอเป็นน้องพี่!”
แสงแขยกมือปิดหน้าสะอึกสะอื้น
“ไป...กลับไปห้อง...แล้วคิดให้ดี”
อดิศวร์จูงแสงแขออกไป แล้วปิดประตูลง ถอนใจยาว
แสงแขเดินเข้ามาในห้องตัวเอง แล้วปิดประตู ยังคงร้องไห้อย่างหนัก
“คุณลบใจร้าย! ใจร้ายที่สุด! ขับไล่ไสส่งแขได้ลงคอ”
แสงเดินมาทรุดตัวลงนั่งบนเตียง นัยน์ตาเป็นประกายกร้าวขึ้น
“เชิญรอนังวิรงรองไปเถอะ รอจนตายไปทั้งสองคนเหมือนคุณปู่กับคุณย่าน้อย ฉันจะคอยสมน้ำหน้าพวกแกเหมือนนังแม่มดนั่น”
แสงแขเปลี่ยนมาเป็นหัวเราะอย่างสะใจเหมือนคนบ้า
อดิศวร์เดินเข้ามาในห้องนอนท่ามกลางความมืด ตรงไปเปิดโคมไฟหัวเตียงอย่างคุ้นชิน แล้วจึงเดินไปที่หน้าต่าง ทอดสายตามองออกไป แลเห็นอาณาเขตโดมทองดูอ้างว้าง วังเวง ก็ยิ่งคิดถึงคู่หมั้นผู้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
“วิรงรอง...เธออยู่ที่ไหน...จะไปทำไมไม่บอกไม่กล่าว...ทิ้งให้ฉันต้องทุกข์ทรมาน”
ภาพหวานชื่นของสองคน ตั้งแต่พบกันครั้งแรกๆ ทะเลาะกัน ดีกัน ผุดเข้ามาในห้วงความคิดอดิศวร์เป็นระลอก
ครั้นพอภาพจำเหล่านั้นเลือนหาย อดิศวร์ก็มีสีหน้าเคร่งขรึม สะเทือนใจใหญ่หลวง
ดวงจันทร์ข้างขึ้นส่องแสงอ่อนๆ ดูซีดเซียว ท่ามกลางท้องฟ้าที่ร้องคำรามเสียงครืนครันเหมือนฝนจะตก
วิรงรองยังติดอยู่ในห้องๆ หนึ่ง พยายามร้องให้ช่วยและหาทางออกด้วยสีหน้าหวาดกลัวตื่นตระหนก
“ช่วยด้วย ช่วยด้วย ช่วยด้วยค่ะ ใครก็ได้ช่วยด้วย”
ฟ้าฟาดเปรี้ยง ฝ่าลงมาดังสนั่น
วิรงรองสะดุ้งเฮือก ตกใจตื่น เสียงฟ้าครืนครัน และฝนตกหนัก อดิศวร์ลุกขึ้นเดินไปที่หน้าต่าง สายฝนกระหน่ำ ตกอย่างหนัก ไม่ลืมหูลืมตา
อดิศวร์นิ่วหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด
โดมทอง ตอนที่ 15 (ต่อ)
ขณะเดียวกันที่บนยอดโดมท่ามกลางฝนฟ้าตกกระหน่ำ ไม่ลืมหูลืมตา วิรงรองขดตัวนอนหลับอยู่ โดยภายในห้องสว่างไสวไปด้วยแสงเทียน พร้อมๆ กับที่มีเสียงดนตรีดังขึ้น วิรงรองได้ยินขยับตัวเล็กน้อย
จู่ๆ เหมือนมีใครคนหนึ่ง เดินมาหยุดตรงหน้า แล้วมองมาอย่างเศร้าสร้อย โดยด้านหลังไป เป็นวงมโหรีกำลังเล่นเพลง “นางครวญ”
วิรงรองพึมพำในอาการกึ่งหลับกึ่งตื่น “ใครคะ...ใคร...”
ที่แท้เป็นพลับพลึงดูเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างออกมา ขณะยื่นมือมาจับแขน วิรงรองสะดุ้งลืมตาตื่น มองไปที่แขนแล้วร้องลั่น สะบัดเต็มแรงจนหนูตัวที่มาไต่บนแขนกระเด็นไป
หนูตัวนั้นมุดร่องรูหนีไป วิรงรองลูบแขนด้วยความขยะแขยง และคลื่นไส้ ปากร้องตะโกนท่ามกลางความมืดมิด
“ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยด้วย”
เช้ามืดวันต่อมา แสงเงินแสงทองเริ่มจับขอบฟ้า นกนางนวลบินโฉบจับปลาอยู่เหนือน้ำทะเลสงบ
ส่วนในห้องครัวที่โดมทอง อุษาและอุไรช่วยกันเตรียมทำอาหารตามเคย
แสงแขเดินเข้ามา นัยน์ตายังบวมแดง ใบหน้าซีดเซียว จากการร้องไห้อย่างหนักเมื่อคืน
“คุณลบไปไหน”
อุษามองหน้าแสงแขด้วยความแปลกใจแว่บหนึ่ง “ไปทำอะไรมา”
“ฉันถามว่า คุณลบไปไหน” แสงแขถามเสียงดังขึ้น
“อยู่ห้องทำงานมั้ง” อุษาว่า
“ไม่อยู่...แขไปดูแล้ว”
“เอ้อ...อุไรเห็นขับรถออกไปเมื่อสักครู่ใหญ่ๆ แล้วค่ะ” อุไรบอกแทน
“ไปไหน” แสงแขซักเสียงขุ่น
“ไม่ทราบค่ะ...ไม่กล้าถาม” อุไรบอกอีก
แสงแขหงุดหงิด มีสีหน้าเข่นเขี้ยวขึ้นมา
“แล้วมันเรื่องอะไรที่มาตามหาคุณลบแต่เช้า” อุษาถาม
“เพราะเขากำลังจะแต่งงานกับฉันน่ะซิ” แสงแขว่า
อุษากับอุไรสะดุ้ง อ้าปากค้าง มองตามแสงแขซึ่งเดินเชิดออกไป
โอบอ้อมกำลังพับเก็บที่นอน ขณะที่ท่านผู้หญิงนั่งอยู่ใกล้หน้าต่าง
ประตูเปิดออก เห็นแสงแขเดินเข้ามา
“คุณย่าคะ...คุณย่าต้องพูดกับคุณลบแล้วละค่ะ”
“แกก็รู้คำตอบอยู่แล้ว”
โอบอ้อมเหลือบตามองทั้ง 2 คนสลับกันไปมา
“งั้นคุณย่าก็รู้ว่า ผลจากความดื้อดึงของคุณย่าจะเป็นยังไง” แสงแขขู่อีก
“แกต้องให้เวลาฉันบ้าง”
“ก็เหลืออีก 7 วันไงคะ”
พูดจบแสงแขก็สะบัดตัวเดินกลับออกไป ขณะที่ท่านผู้หญิงนั่งคอแข็ง
แสงแขปิดประตู สีหน้าเครียดเคร่งบ่นงึมงำ “คุณลบหนีไปไหน! อย่านึกนะว่าจะหนีพ้น”
มองจากเทอเรซ แลเห็นบรรยากาศอันสวยงามของอาณาบริเวณคุ้มภูไท อดิศวร์มาหาภูไทแต่เช้า นั่งนิ่งอยู่ตรงหน้าภูไทตรงบริเวณเทอเรซ ขณะที่ลานนายกถาดน้ำมาเสิร์ฟ
“เดี๋ยวทานข้าวเช้าด้วยกันนะคะ แม่ครัวกำลังทำอยู่” ลานนาบอก
“ขอบคุณ...แต่ผมไม่หิว” อดิศวร์บอก
ลานนาสบตาภูไท แล้วทรุดตัวลงนั่ง
“เจ้าน่าจะรู้บ้างว่าเขาไปไหน...อย่างน้อยเขาก็ไว้ใจเจ้ามากกว่าผม” อดิศวร์เอ่ยขึ้น
“ผมก็ขอยืนยันว่าผมไม่ทราบจริงๆ” ภูไทบอก
ลานนาเอ่ยขึ้น “บางทีวิอาจจะยังไม่อยากเจอใคร เราน่าจะปล่อยให้เขาอยู่กับตัวเองสักพัก”
“ถ้าอย่างนั้นเขาก็ควรจะส่งข่าวไปให้คุณแม่ของเขารู้บ้าง...นี่คุณแม่ ก็ไม่รู้เหมือนกัน” ภูไทว่า
อดิศวร์มองหน้าภูไท
“ผมไม่ได้บอกหรอกนะว่า เขาหายไปเฉยๆ แต่ทำเป็นนึกว่าน้องวิอยู่บ้าน เลยโทร.ไปหา” ภูไทบอกต่อ
“วิรงรองเขาโทร.ถึงแม่ทุกวัน...อีกไม่นานก็คงจะรู้สึกผิดปกติ” อดิศวร์กังวลขึ้นมา
“ผมก็พยายามตามหาน้องวิเหมือนกัน ... แล้วก็เป็นห่วงเขามากด้วย”
อดิศวร์ขยับตัว “ถ้าได้ข่าวอะไรก็ช่วยบอกผมด้วยก็แล้วกัน” แล้วลุกเดินออกไปเงียบๆ
ลานนามองตาม “ท่าทางเหมือนไม่ได้นอนทั้งคืนนะคะ พี่ชาย”
ภูไทพยักหน้าเห็นด้วย “พี่ว่ามันผิดปกติจริงๆ นะ ยัยน้อง”
“นั่นน่ะซีคะ...ไม่เคยหายไปเฉยๆ แบบนี้เลย”
ภูไทเดินตรงมาหน้าออฟฟิศ ขณะที่พันธุ์สูรย์เดินออกมาพอดี
“จะไปไหนล่ะ”
“ไปเยี่ยมหลวงพ่อครับ...เจ้าไปด้วยไหม”
“ไปซิ”
สองหนุ่มเดินออกไปด้วยกัน
ด้านอดิศว์เดินเข้ามาในบ้านด้วยสีหน้าหมองๆ โอบอ้อมรออยู่รีบเข้ามาเสนอหน้า
“ท่านผู้หญิงให้มาตามคุณลบค่ะ”
โอบอ้อมหันไปยิ้มกับแสงแข ซึ่งเดินออกมาจากมุมที่หลบอยู่
ครู่ต่อมาอดิศวร์เดินเข้ามาในห้องท่านผู้หญิงสรรักษ์ด้วยสีหน้าท่าทางหมองๆ เช่นเดิม
ท่านผู้หญิงเรียกด้วยกระตือรือร้น “มานั่งกับย่ามา”
อดิศวร์ปรายตามองไปรอบห้องแว่บหนึ่ง “นี่ไม่มีใครอยู่กับคุณย่าหรอกหรือครับ”
“ย่าไล่ออกไปเอง! ย่ามีเรื่องสำคัญจะคุยกับลบ”
อดิศวร์ยังดูเนือยๆ “เรื่องอะไรครับ”
ท่านผู้หญิงยกมือขึ้นลูบหน้าหลานอย่างรักใคร่ “ปีนี้อายุเท่าไหร่แล้วล่ะ”
อดิศวร์มองย่าอย่างประหลาดใจ
“ย่าเองก็อายุมากแล้ว...อีกหน่อย...ถ้าไม่มีย่า...ใครจะดูแลร่วมทุกข์ร่วมสุขกับลบ”
อดิศวร์ชักจะรู้ตัวว่าผู้เป็นย่าจะพูดเรื่องอะไร “ผมชินกับการอยู่คนเดียว”
“ไม่ได้...ไม่ได้...ย่าต้องจัดการให้ลบมีลูกมีเมียก่อน” ท่านผู้หญิงบอกจริงจัง
“คุณย่า” อดิศวร์ตกใจ
“ย่าจะจัดงานแต่งงานให้ ไม่ต้องใหญ่โตอะไร เอาแค่ถูกต้องตามประเพณีก็พอ! แสงแขมันก็ยอมทุกอย่าง”
“ไม่ครับ ผมเรียนคุณย่าตั้งหลายครั้งแล้วว่าไม่ และผมก็ขอยืนยันคำนั้น” อดิศวร์ยืนกราน
ท่านผู้หญิงบอกเสียงแข็งขึ้นมาทันที “แกต้องแต่ง”
อดิศวร์แปลกใจ “คุณย่า”
“อยากให้ย่าเดือดร้อนรึไง” ท่านผู้หญิงหลุดปาก
“เดือดร้อน! ทำไมคุณย่าถึงจะต้องเดือดร้อน!”
ท่านผู้หญิงรู้สึกตัว “เอ้อ...เพราะย่าคงนอนตายตาไม่หลับ ถ้าลบยังไม่เป็นฝั่งเป็นฝา”
อดิศวร์ขยับตัว ชิงตัดบท “ผมไม่ค่อยสบาย...ขอตัวก่อนนะครับ” แล้วเดินออกไป
“ลบ! อย่าเพิ่งไป! ลบ!”
ประตูปิดตามไป สีหน้าแววตาของท่านผู้หญิงเต็มไปด้วยความร้อนอกร้อนใจ
ระหว่างนั้นแสงแขทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราวเดินมาที่หน้าห้อง
“แสงแขมาพอดี เข้าไปอยู่เป็นเพื่อนคุณย่าหน่อย”
“ค่ะ”
พออดิศวร์เดินลับตัวไป แสงแขมองตาม แล้วรีบเข้าไปในห้องท่านผู้หญิงทันที
แสงแขรีบเดินมาที่ถามทันที
“สำเร็จมั้ยคะ คุณย่า”
“ยัง”
“คุณย่า...” แสงแขตั้งท่าจะโวย
ท่านผู้หญิงขัดขึ้นทันที “แกต้องให้เวลาฉันบ้าง! ยังเหลืออีก 7 วันไม่ใช่เรอะ”
“ใช่! แต่คุณย่าก็ควรจะเร่งมือได้แล้วนะคะ” แสงแขขู่
“นี่! ถ้าแกไม่พอใจก็ไปจัดการเองซิ ไม่ได้ดั่งใจก็ปล้ำเอาซะเลย” หญิงชราแดกดัน
แสงแขเม้มปากเป็นเส้นตรง
ท่านผู้หญิงรู้ทันที พูดเยาะหยัน “อ้อ! คงทำมาแล้วละซี แต่ไม่สำเร็จ! ลงทุนขนาดนั้นยังไม่สำเร็จ” หญิงชราหัวเราะร่า “น่าทุเรศ” แล้วหัวเราะต่ออย่างสะใจ
“แขทำไม่สำเร็จ แต่คุณย่าต้องทำให้สำเร็จ ไม่งั้นคุณย่าที่น่ารักของคุณลบจะเปลี่ยนเป็นนังปีศาจทันที”
แสงแขนัยน์ตาลุกเป็นไฟ ขณะพูดใส่หน้า
แต่ท่านผู้หญิงยังคงหัวเราะเยาะใส่หน้าแสงแขอย่างสะใจอยู่อย่างนั้น
บรรยากาศวัดป่าอันแสนสงบ สงัด ร่มเย็นด้วยธรรมชาติโดยรอบ หลวงลุงก้าวออกมาจากกุฏิ ขณะที่ 3 คนเดินตรงมา ภูไท พันธุ์สูรย์ และคนงานไหว้หลวงลุง
“เจริญสุข” หลวงลุงทัก
“ผมไปเยี่ยมหลวงพ่อที่โรงพยาบาล แต่คุณหมอบอกว่า ท่านกลับมาแล้ว” พันธุ์สูรย์เอ่ยขึ้น
“กลับมาเมื่อเช้า...ใครจะทัดทานยังไงก็ไม่ยอม”
“ผมจะมารับท่านไปพักที่บ้านให้หายดีก่อน แล้วค่อยกลับมา” พันธุ์สูรย์ว่า
หลวงลุงส่ายหน้า “ท่านไม่ยอมหรอก...โรงพยาบาลท่านยังไม่อยากอยู่เลย ขนาดเจ็บอย่างนี้ ! เข้าไปดูซิ”
ทุกคนไหว้ขอบคุณหลวงลุงแล้วเข้าไป
หลวงพ่ออาพาธนอนหลับสนิทด้วยอาการอ่อนเพลียจากพิษไข้ พันธุ์สูรย์ กับภูไท เดินเข้ามาในห้องนอนพร้อมรังนกของเยี่ยม แล้วคุกเข่าลงกราบ คนงานจากไร่ชื่อ ทองดำ ตามมาด้วยหนึ่งคน
“จะเอายังไงดี” ภูไทหารือ
“ให้ทองดำอยู่เฝ้าท่านที่นี่ พอท่านตื่นขึ้นมา ค่อยโทร.ไปบอกเรา ดีไหมครับ” พันธุ์สูรย์บอก
“ก็ดีเหมือนกัน หรือนายจะอยู่เฝ้าด้วยก็ได้”
“ไม่เป็นไร ผมนัดลูกค้าไว้...คุยเสร็จเรียบร้อย ผมอาจจะแว่บมาดูอีกที” พันธุ์สูรย์หันมาทางคนงาน “ถ้ามีอะไรรีบโทร.บอกฉันทันทีนะ”
ทองดำรับคำ “ครับ”
ภูไทและพันธุ์สูรย์กราบลาหลวงพ่อแล้วออกไป ร่างหลวงพ่อยังหายใจสม่ำเสมอ
อดิศวร์กำลังเดินไปโดยรอบอาณาเขตโดมทองอย่างใช้ความคิด สักครู่สมเดินตามมา แล้วช่วยมองสำรวจไปโดยรอบเช่นกัน สองคนทำอย่างนั้นอยู่พักหนึ่ง แล้วเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น
สีหน้าอดิศวร์เปลี่ยนเป็นกังวลทันทีที่เห็นเบอร์ “สวัสดีครับ คุณน้า”
ปรางอยู่ที่บ้านในกรุงเทพฯ ขณะโทร.มา มีสีหน้าร้อนอกร้อนใจ
“คุณอดิศวร์ แม่หนูเป็นอะไรหรือเปล่า...ทำไมดิฉันถึงติดต่อไม่ได้เลย”
อดิศวร์ตัดสินใจบอกไป “คือ...มีปัญหาบางอย่างครับ”
ปรางยกมือทาบอก น้ำเสียงที่ถามตื่นตระหนก “ปัญหาอะไรคะ! บอกมาเดี๋ยวนี้เลยปัญหาอะไร!”
“วิรงรองหายไป...”
ปรางตกตะลึง โทรศัพท์ตกจากมือทันที
โดมทอง ตอนที่ 15 (ต่อ)
อุษาและแสงแขยืนทะเลาะกันอยู่มุมหนึ่ง
“เธอหมายความยังไง แสงแข”
แสงแขเหยียดยิ้ม “ก็หมายความตามที่พูดนั่นแหละ”
แสงแขหันหลังเดินไป
อุษารีบตามมาดึงแขนไว้ “เธอรู้หรือว่า วิรงรองอยู่ที่ไหน”
“ไม่ได้พูดอย่างนั้นสักหน่อย”
เสียงอดิศวร์เรียกดังขึ้น “อุษา”
อุษาและแสงแขหันมามอง อดิศวร์เดินตรงมา
แสงแขรีบชิงพูดก่อน “มีอะไรหรือคะ คุณลบ”
“คุณแม่ของวิรงรองกำลังจะเดินทางมา”
“ตายจริง” อุษาตกใจ
แสงแขเหยียดมุมปากเยาะๆ นิดหนึ่ง
“พี่จัดการติดต่อเรื่องตั๋วเครื่องบินให้เรียบร้อยแล้ว คงจะมาถึงตอนเย็นๆ พี่จะให้สมไปรอที่สนามบิน...เธอช่วยติดรถไปคอยดูแลด้วย”
“ได้ค่ะ”
แสงแขทำกระตือรือร้น “แล้วแขล่ะคะ...คุณลบจะให้แขทำอะไร”
“เธอก็อยู่ดูแลคุณย่าไป” อดิศวร์บอก
แสงแขหน้างอ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีก อดิศวร์หยิบมาดู แล้วกดรับ
“ครับ...เจ้าภูไท...ได้...ผมจะไปเดี๋ยวนี้”
อดิศวร์หันหลังเดินไป
“คุณลบจะไปไหนคะ”
อดิศวร์ไม่ตอบ อุษาเดินแยกไป ปล่อยให้แสงแขหงุดหงิดพลุ่งพล่านอยู่คนเดียว
แสงแขเดินเข้ามาในห้อง ขณะที่ท่านผู้หญิงสรรักษ์สั่นกระดิ่งเสียงดัง
“โอ๊ย! หนวกหู!” แสงแขร้องลั่น โดยไม่เกรงใจแล้ว
“ก็อยากหายหัวกันไปหมดทำไม”
“คุณย่าหงุดหงิดเจ้าอารมณ์แบบนี้ ใครที่ไหนเขาจะอยากอยู่ด้วย” แสงแขย้อน
“หน็อยแน่! นังแสงแข...” หญิงชราเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน
“อย่าด่านะคะ...ถ้าด่าแขจะออกไปเดี๋ยวนี้ คนอื่นเขาก็ยุ่งกันหมด พี่อุษาต้องไปคอยรับเสด็จแม่นังวิรงรอง”
ท่านผู้หญิงสะดุ้ง “อะไรนะ”
“คุณลบส่งพี่อุษาไปคอยรับ...คอยอำนวยความสะดวกให้แม่นังวิรงรอง! ส่วนตัวคุณลบเขาก็ต้องตระเวนตามหานังนั่น!”
“ตาลบนะตาลบ...นังนั่นมันมีดีอะไร” ท่านผู้หญิงหงุดหงิด
“ก็คงมีดีเหมือนที่คุณย่าน้อยมีนั่นแหล่ะค่า” อุษาเยาะเย้ยท่านผู้หญิง
“อีแสงแข”
แสงแขหัวเราะขบขันท่าทีของท่านผู้หญิง ไม่มีความหวาดหวั่นแม้สักน้อย
ขณะที่อดิศวร์กำลังจะเดินออกไป อุษารีบตามมา
“คุณลบคะ”
อดิศวร์หยุด แล้วหันมามอง
“คุณลบจะให้อุษาจัดห้องไหนให้คุณแม่วิรงรองคะ”
“เกือบลืม!… เมื่อกี้เจ้าภูไทบอกว่าให้ท่านไปค้างที่บ้านเขา...ซึ่งพี่ก็เห็นด้วย ...อุษาพาท่านไปส่งที่นั่นก็แล้วกัน”
“ได้ค่ะ”
อดิศวร์เดินออกไป ส่วนอุษาเดินย้อนกลับเข้าไปเช่นกัน
ไม่นานต่อมา ภูไทเดินนำอดิศวร์เข้ามาในห้องรับแขกของบ้าน ลานนาและพันธุ์สูรย์ซึ่งกำลังนั่งคุยกันอยู่หันมามอง ช้าๆ อดิศวร์ชะงักกึก ในขณะที่พันธุ์สูรย์เองก็ลุกขึ้นยืน มองมาที่คู่ปรับแห่งโดมทองเขม็ง อดิศวร์มองตอบสู้สายตา
ทั้งคู่มองกันนิ่งๆ ครู่หนึ่ง ในที่สุดพันธุ์สูรย์ก็หันหลังกลับขยับจะเดินออกไป
ลานนาเรียกไว้ “อ้าว! พี่พันธุ์สูรย์จะไปไหนคะ”
“ไปที่ ที่หายใจสะดวกหน่อยน่ะครับ”
อดิศวร์ขบกรามแน่น มองตามพันธุ์สูรย์ตาขวางๆ
“เชิญนั่งครับ...คุณอดิศวร์” ภูไทเชื้อชวน
“ขอบคุณ” อดิศวร์ลงนั่ง
จังหวะนี้บัวคำออกมาเมียงๆมองๆ แล้วจะกลับเข้าไป
ลานนาเห็นรีบตาม “บัว! ไม่ต้อง! ฉันจัดการเอง!”
“ขอบคุณที่ให้คุณแม่วิรงรองมาค้างที่นี่” อดิศวร์เอ่ยขึ้น
“ไม่เป็นไร...” ภูไทเว้นไปนิด “เมื่อตอนกลางวัน ผมไปพบหลวงพ่อของพันธุ์สูรย์มา”
อดิศวร์ขยับตัวเปลี่ยนอิริยาบถนิดหนึ่ง ลานยกแก้วน้ำเดินเข้ามาวางให้ โดยมีบัวคำจอมเฟอะแอบลับๆ ล่อๆ มองแขกอยู่
“เพราะท่านเป็นคนเดียวที่เชื่อมต่อระหว่างอดีตกับปัจจุบันและที่สำคัญ ท่านใช้ชีวิตอยู่ในโดมทองระหว่างช่วงเวลาที่คุณพลับพลึงหายไป” ภูไทบอก
นัยน์ตาอดิศวร์เป็นประกายขึ้นมา “จริงซิ”
“แต่น่าเสียดายที่ท่านยังจำวัดด้วยความอ่อนเพลียจากพิษไข้...พวกเราก็เลยไม่กล้าปลุก” ภูไทบอกต่อ
สีหน้าอดิศวร์ดูผิดหวังไป
“แต่คนงานที่เฝ้าอยู่บอกว่า ถ้าท่านตื่นเมื่อไหร่จะรีบโทร.มาบอกทันที ....ผมจะเอารถไปรับท่านมาพักที่นี่ เพราะพันธุ์สูรย์เองเขาก็เป็นห่วงหลวงพ่อ”
“แล้วเจ้าให้ผมมาที่นี่ทำไม” อดิศวร์ตัดสินใจถามในที่สุด
“เพราะพันธุ์สูรย์สั่งให้บอกคุณว่า...ลองคิดดูดีๆ...วิรงรองอาจจะไม่ได้ไปไหนไกลกว่าโดมทองเลย”
อดิศวร์ชะงัก แล้วมองจ้องหน้าภูไท
“และ...บางที...คุณย่าคุณอดิศวร์อาจจะทราบ”
คราวนี้อดิศวร์มองหน้าภูไทนัยน์ตาคมเข้มอย่างไม่พอใจ
พันธุ์สูรย์ยืนทอดสายตามองดูคนงานกำลังทำหน้าที่กันไป อยู่หน้าออฟฟิศ สักครู่หนึ่งภูไท และลานนาเดินเข้ามาหา พันธุ์สูรย์หันมามองแว่บหนึ่ง
“เขาคงอยากจะชกหน้าผมละซีท่า”
“คงงั้นมั้ง”
“เขาไม่พูดเลยสักคำค่ะ แล้วก็กลับไป”
“คุณลบเขาเป็นอย่างนั้นมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว”
พันธุ์สูรย์พูดเหมือนคนรู้จักกับอดิศวร์เป็นอย่างดี
ด้านแสงแขเดินกลับไปกลับมารออดิศวร์อยู่หน้าบันไดทางขึ้น
สักพักหนึ่งอดิศวร์เดินเข้ามา แสงแขรีบตรงมาหา
“คุณลบขา คุณลบไปไหนมาคะ”
อดิศวร์ไม่ตอบ รีบขึ้นบันไดเดินตรงไปห้องท่านผู้หญิงทันที
แสงแขเดินแกมวิ่งตาม “คุณลบ”
อดิศวร์หยุดเดินแล้วหันกลับมาเผชิญหน้ากับแสงแขด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“แสงแข ! เลิกวุ่นวายกับพี่เสียที”
แสงแขนิ่งอึ้ง ตะลึงไป
“ท่องจำให้ขึ้นใจเอาไว้ว่า พี่เป็นพี่ชายของเธอ”
อดิศวร์เดินไป แสงแขมองตาม น้ำตาค่อยๆ เอ่อออกมาด้วยความน้อยใจสุดๆ
มือใครคนหนึ่ง วางลงบนไหล่อย่างปลอบโยน แสงแขรู้ได้ด้วยสัมผัสว่าเป็นใคร สะบัดตัวหันขวับมาทันที
“ไม่ต้องมาทำเป็นสงสารฉัน”
“ถ้าเธอไม่พยายามหักใจ เธอก็จะต้องทุกข์ทรมานใจไปจนตลอดชีวิต เหมือน...เหมือนคุณย่า”
“ฉันทรมานคนเดียวเสียเมื่อไหร่ คนอื่นก็ต้องทรมานด้วย อาจจะทรมานยิ่งกว่าฉันเสียอีก”
อุษาถึงกับผงะไปเล็กน้อยด้วยรังสีแห่งความอำมหิตในสีหน้าแสงแข
เวลานั้นท่านผู้หญิงหยิบยาดม แล้วพลิกตัวนอนหันหลังให้ อดิศวร์พยายามอดทนถึงที่สุด
“คุณย่าครับ”
“ย่าใจหวิวๆ เหมือนกับจะเป็นลม ... ลบอย่าเพิ่งกวนย่าได้ไหม”
“แต่ที่ผมจะถามนี่เป็นเรื่องสำคัญมาก” อดิศวร์อ้อมมาอยู่หน้าย่า
ท่านผู้หญิงน้ำตาคลอ “สำคัญกว่าชีวิตย่าอีกหรือลบ”
“ชีวิตคุณย่าสำคัญที่สุดสำหรับผม...ชีวิตวิรงรองก็เหมือนกัน”
“ลบให้ความสำคัญกับมันกว่าย่า”
“มันไม่เหมือนกันครับ...ผมรักเคารพคุณย่าในฐานะที่เป็นผู้มีพระคุณสูงสุด แต่ผมก็รัก...”
ท่านผู้หญิงขัดขึ้นทันที “พอที”
อดิศวร์นิ่งไป
“อย่ามาพร่ำรำพันความรักเพ้อเจ้อของลบให้ย่าฟัง ! มันจะทำให้ย่าอายุสั้น”
ท่านผู้หญิงหลับตาลง ทำเป็นอ่อนระโหยโรยแรง อดิศวร์มองอย่างอ่อนใจ
อดิศวร์อยู่ในห้องทำงาน เดินกลับไปกลับมาอย่างใคร่ครวญครุ่นคิด จากกลางวัน เวลาเคลื่อนไปจนถึงยามค่ำเข้ามาแทน อดิศวร์ยังคิดหนักเช่นเดิม
ส่วนวิรงรองนั่งพิงผนังห้องอย่างอ่อนระโหย ใบหน้าหมองเศร้า นัยน์ตาเริ่มหมดอาลัยตายอยาก ทอดสายตาไปที่โครงกระดูกพลับพลึง
“ชะตากรรมของเราก็คงไม่ต่างกับคุณพลับพลึงที่ต้องขาดน้ำขาดอาหารจนตาย”
วิรงรองกดท้องไว้ด้วยอาการปวดท้องเพราะความหิวและกระหายน้ำ ก่อนจะค่อยๆ เลื่อนตัวลงนอนขดตัวงออย่างน่าสงสาร
ดวงจันทร์ข้างขึ้นส่องแสงอ่อนๆ บริเวณทั่วหน้าปราสาทโดมทองดูอ้างว้าง หมอกสีขาวโรยตัวจางๆ ยิ่งทำให้ดูบรรยากาศลึกลับ
อดิศวร์เดินออกมาจากบ้านช้าๆ ท่าทางใช้ความคิดหนัก มีความเคลื่อนไหวคล้ายร่างคนอยู่ตรงหน้า
“นั่นใคร”
สมก้าวออกมา
“ผมเองครับ...ผมนอนไม่หลับ เลยออกมาตรวจดู”
อดิศวร์มีสีหน้าใคร่ครวญตรึกตรอง “ทำไมไอ้พันธุ์สูรย์ถึงบอกว่าคุณย่าน่าจะรู้ดีที่สุดว่าวิรงรองอยู่ที่ไหน”
“ถ้าถามผมนะครับ...คงเพราะท่านเป็นเจ้าของโดมทอง ท่านต้องรู้จักทุกตารางนิ้วของที่นี่”
อดิศวร์พยักหน้าช้าๆ “ระยะหลังๆ มานี่ วิรงรองถูกปองร้ายหลายครั้ง...เขาเล่าให้ฉันฟัง...แต่ฉันก็ไม่เชื่อ”
ประโยคสุดท้ายกลืนหายไปในลำคอด้วยความเศร้าสะเทือนใจ
“คุณลบคิดว่า...คนร้ายมันซ่อนคุณวิรงรองไว้ที่นี่”
อดิศวร์เศร้าลงไปอีก “มันอาจจะแย่ยิ่งกว่านั้นอีก”
“หมายความว่า...” สมกลืนน้ำลาย
“ฉันกลัวว่า...เขาอาจจะถูก”
อดิศวร์อึ้งไป สักครู่หนึ่งจึงเงยหน้าขึ้นมองไปยังยอดโมทอง แต่แล้วกลับชะงัก เมื่อมีแสงเทียนสว่างวับแวมออกมา
“สม! ดูนั่น”
“ขึ้นไปดูกันดีกว่าครับ...คุณลบ”
สักครู่ต่อมา อดิศวร์ฉายไฟนำมา ติดตามด้วยสม ซึ่งถือคีมอันใหญ่มาด้วย อดิศวร์ฉายไฟไปที่โซ่คล้องกุญแจ
หน้าทางขึ้นบันไดเวียน สมจัดการตัดทันที เครื่องพันธนาการทั้งหมดหลุดออกอย่างง่ายดาย สมรีบตาม
ทั้งสองขึ้นไปตามบันไดเวียนอย่างรีบร้อน แต่ก็ระมัดระวัง
ในที่สุดอดิศวร์และสมขึ้นมาถึงบริเวณห้องใต้โดมนั้น
“แปลกจริง ไม่เห็นมีไฟหรือเทียนอะไรเลย แล้วแสงเมื่อกี้มาจากไหน”
อดิศวร์ไม่ตอบ แต่ฉายไฟไปจนถึงหน้าห้องซึ่งมีไม้ตอกตะปูทับไว้อย่างแน่นหนา
“สม! ไปเอาเครื่องมือมา”
“ครับ”
สมรีบลงบันไดไป อดิศวร์มองดูประตูนั้นอย่างครุ่นคิด
ภาพทุกเหตุการณ์ที่ถูกย่าห้ามไม่ให้ขึ้นมาบนนี้ผุดขึ้นมาในห้วงคิด
จนภาพเลือนหาย อดิศวร์ยังคงครุ่นคิดอยู่ตามเดิม
ฟากท่านผู้หญิงนอนหลับสนิท จู่ๆ มีสายหมอกควันจางๆ ลอยเข้ามาตามซอกประตู
ตามด้วยเสียงพลับพลึงร้องเรียกแผ่วๆ และเยือกเย็น “คุณพี่.....คุณพี่....”
ท่านผู้หญิงขยับตัว เหมือนจะเริ่มรู้สึกตัว
เสียงพลับพลึงดังใกล้เข้ามาทุกที “คุณพี่....คุณพี่....”
ท่านผู้หญิงพึมพำทั้งที่ยังหลับตา “ใคร”
“คุณพี่...ลืมตาซิ ...คุณพี่.....ลืมตา.....คุณพี่”
เปลือกตาท่านผู้หญิงขยับไปมา แล้วสะดุ้งเฮือกทำท่าลุกเหมือนมีของหนักตกลงมาบนตัว ด้วยว่าผีพลับพลึงนั่งอยู่บนตัว
“อีนังพลับพลึง ! ไปให้พ้น”
ร่างพลับพลึงที่เห็น เหมือนจะค่อยๆ ขึ้นอืด ตัวพองหนักมากขึ้นๆ
ท่านผู้หญิงทำท่าหนักเหมือนหายใจไม่ออก
“หนักรึคุณพี่...กรรมของคุณพี่หนักกว่านี้หลายเท่านัก”
“อีพลับพลึง...ออกไป” หญิงชราใจโฉดพยายามจะดิ้นเพราะหายใจไม่ออก
ใบหน้าพลับพลึงบวมเขียว ท่านผู้หญิงกรีดร้องลั่น แล้วตกใจตื่นจากความฝัน
อุษาคุกเข่าอยู่ตรงหน้า สีหน้าร้อนอกร้อนใจ
“คุณย่าคะ...คุณย่าเป็นอะไร”
ท่านผู้หญิงกระพริบตา มองหน้าอุษาเหมือนยังงงๆ “อุษาเรอะ”
“ค่ะ...เมื่อกี้คุณย่านอนดิ้นเหมือนหายใจไม่ออก”
ท่านผู้หญิงค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง มีอุษาช่วยพยุง
“เปิดไฟซิ”
“เปิดแล้วคุณย่าจะนอนหลับหรือคะ” อุษาท้วง
ท่านผู้หญิงตวาด “บอกให้เปิดไฟ”
อุษาเปิดไฟโคม
“ไฟกลางห้อง ไม่ใช่ไฟโคม เปิดให้สว่าง นังพลับพลึงจะได้ไม่กล้าเข้ามา”
อุษาปิดไฟโคม แล้วเดินไปเปิดไฟกลางห้อง
ท่านผู้หญิงเอนตัวลงนอน นัยน์ตาที่เหลือบแลไปรอบๆ บ่งบอกถึงความหวาดกลัว
สมหิ้วกล่องเครื่องมือข้างหนึ่ง มืออีกข้างถือไฟฉายเข้ามา
อดิศวร์ฉายไฟให้ดู เห็นตะปูเกลื่อน “ดูนี่แน่ะ”
สมมองตามอย่างพิศวง “ตะปูพวกนี้มาจากไหนครับ”
อดิศวร์ฉายไฟไปที่ไม้ที่ตอกปิดประตูอีกครั้ง สมตามเข้าไปดูใกล้ๆ เห็นมีรอยตะปูถูกดึงออกมา และตอกทับใหม่ไม่ตรงกับรอยเดิม สมหันมามองอดิศวร์พลางบอก
“เคยมีคนขึ้นมาก่อนหน้าเรา”
สมส่องตะปูใหม่จนเห็นชัด “ตะปูยังใหม่อยู่เลยครับ”
“รีบเอาออกเถอะ” อดิศวร์บอก
2 คนช่วยกันงัดตะปูออกอย่างแข็งขัน
วิรงรองนอนเหมือนใกล้จะหมดสติด้วยขาดน้ำ ขาดอาหาร
มีเสียงอดิศวร์และสม ช่วยกันงัดประตูดังลอดเข้ามา วิรงรองพยายามจะลืมตา แต่สิ้นแรงจนลืมไม่ขึ้นแล้ว
ทั้ง 2 คนช่วยกันงัดไม้ออก ภาพไม้หลุดออกจนหมด อดิศวร์หยิบคีมมางัดกุญแจออก แล้วเปิดประตู
อดิศวร์และสมรีบก้าวเข้ามาในห้องแล้วส่องไฟกราดดูไปทั่ว ไล่เรื่อยจนถึงร่างวิรงรองที่นอนนิ่งอยู่ ไฟฉายแทบตกจากมืออดิศวร์
“วิรงรอง”
อดิศวร์เข้ามาช้อนตัววิรงรองขึ้น วิรงรองลืมตาขึ้น แล้วพยายามจะพูด
“ยังไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ไป สม”
ทั้งสามรีบออกไปทันที
ครู่ต่อมาสมขับรถทะยานไปตามทางอย่างเร็ว ส่วนภายในรถ อดิศวร์นั่งโอบกอดวิรงรองไว้แน่นด้วยความรัก และเป็นห่วง พึมพำข้างหู
“วิรงรอง...อย่าเป็นอะไรนะ”
สมขับรถเข้ามาจอดในโรงพยาบาล เจ้าหน้าที่กำลังช่วยกันเข็นเตียงวิ โดยมีอดิศวร์และสมตามไป
ทั้งหมดเข้าไปในแผนกฉุกเฉิน โดยมีสมยืนรออยู่ข้างนอก
เช้าแล้ว ภายในห้องพักพิเศษของวิรงรองที่โรงพยาบาล มีดอกกล้วยไม้จัดอยู่ตามมุมต่างๆ อย่างเหมาะเจาะ สวยงาม ทำให้ห้องนั้นดูสดชื่น !
วิรงรองซึ่งมีสายน้ำเกลือ และยาระโยงระยาง ค่อยๆ ลืมตาขึ้น ปรางมองอยู่ด้วยความดีใจและตื้นตันใจ
“แม่หนู”
วิรงรองน้ำตาไหลพราก “คุณคะ”
ปรางโอบลูกไว้ แล้วลูบผมอย่างปราณี
“หมดทุกข์หมดโศกเสียทีนะลูก”
เสียงเคาะประตูเบาๆ แล้วลานนาเดินนำเข้ามาติดตามด้วยภูไทและพันธุ์สูรย์
“วิ ฟื้นแล้วเหรอ” ลานนายิ้มแย้ม
วิรงรองพยักหน้า แล้วไหว้ภูไท และพันธุ์สูรย์
“ขอบคุณทุกคนมากค่ะ”
“พี่ชายมาจัดดอกไม้ให้แต่เช้าเลยนะ” ลานนายิ้มกริ่ม
ภูไทกระแอมเบาๆ ก่อนจะถามขึ้น
“เป็นยังไงบ้าง”
“เหมือนตายแล้วเกิดใหม่ค่ะ”
พันธุ์สูรย์ยิ้มอ่อนโยนขณะบอก “คุณเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ ...แต่บางคนกำลังจะตาย”
สีหน้าแววตาพันธุ์สูรย์เหมือนมีแววสะใจ
ที่โดมทองคนงานช่วยกันเปิดหน้าต่างทุกบาน ให้แสงแดดส่องเข้ามา
ภาพทุกอย่างในห้องใต้โดมกระจ่างชัด จากกองกระดูกพวกวงมโหรี และเครื่องดนตรี มาจนถึงโครงกระดูก
พลับพลึงที่ถูกล่ามกับขาเตียง
อดิศวร์ทรุดตัวลงก้มกราบ อุษาก้มกราบตาม เช่นเดียวกับคนอื่น ๆ
“คุณปู่พยายามตามหาคุณย่าพลับพลึงจนตรอมใจตาย...โดยที่ท่านไม่รู้เลยว่า คุณย่าถูกล่ามโซ่ขังอยู่บนนี้อย่างทุกข์ทรมาน...”
อุษาเบือนหน้าไปทางกองกระดูกพวกวงมโหรี “แล้วโครงกระดูกนี่ล่ะคะ...น่าจะมีหลายคนด้วย”
“น่าจะเป็นคนที่เล่นดนตรีพวกนี้ อาจจะเป็นเพื่อนๆ ของคุณย่าพลับพลึง”
สมพึมพำ “มาหมู่เลยนะนี่”
“เรายังหาโครงกระดูกของคุณปู่ไม่พบ” อุษาบอก
อดิศวร์นิ่งคิด แล้วลุกขึ้นโดยเร็ว นัยน์ตาเป็นประกายเหมือนนึกขึ้นได้
“ยังมีอีกแห่งนึง”
ฝ่ายท่านผู้หญิงสรรักษ์และแสงแขนั่งเครียดอยู่ในห้อง
“จะทำยังไงดีคะ...คุณย่า”
“แล้วแกทำอะไรได้บ้างล่ะ” ท่านผู้หญิงบอกด้วยเสียงเยือกเย็น และเลือดเย็น
แสงแขนิ่วหน้า โอบอ้อมเปิดประตูพรวดพราดเข้ามา
“เขาย้ายไปที่โรงเก็บรถม้ากันแล้วค่ะ ท่าน”
แสงแขหันมามองท่านผู้หญิงอย่างคลางแคลงใจ
“ที่นั่นมีอะไรหรือคะ คุณย่า”
ท่านผู้หญิงเหยียดยิ้มนิดๆ อย่างใจเย็น และเลือดเย็นเช่นเดิม
โปรดติดตามตอนที่ 16