ข้าวนอกนา ตอนที่ 5
พรพัฒน์กระหืดกระหอบเข้ามาห้องคุมระบบไฟของผับด้วยท่าทางตื่นตระหนก เสียงโห่ดังลั่น เสียงไม่ชอบใจดังอื้ออึง
“เฮ้ย...ปิดไฟก่อน ค่อยๆ ดิมไฟให้มืดลง เร็วเข้า”
พนักงานพยักหน้ารับ แล้วเอื้อมมือไปหรี่ไฟ...ไฟบนเวทีค่อยๆ สลัวลงจนกลายเป็นความมืด ดำสูดหายใจเข้าเต็มปอด ตะเบ็งเสียงออกมาอย่างเต็มที่ เสียงโห่และเสียงอื้ออึงเมื่อครู่ค่อยๆ เงียบลง ทุกคนมองไปบนเวทีอย่างทึ่ง แม้ว่าจะมองเห็นแต่ความมืดก็ตาม คราวนี้ไฟสว่างจ้าขึ้นอีกครั้ง ดำร้องอย่างซาบซึ้งไปกับเพลง ทุกคนจ้องมองดำเหมือนต้องมนต์สะกด ใจหวานถอนใจโล่งอก ยกนิ้วโป้งทั้งสองข้างให้...พรพัฒน์ปาดเหงื่ออย่างโล่งใจเช่นกัน แววตาที่มองดำเริ่มมีความมั่นใจ
“ไม่นึกว่านังดำตับเป็ดนี่เสียงมันกระแทกใจคนฟังได้ขนาดนี้”
เพลงของดำดังคลอ ดนตรีเพลงช้าเปลี่ยนเป็นเพลงเร็ว ดังขึ้น ดำแผดเสียงอย่างรุ่มร้อน ร้องไปเต้นไปอย่างบ้าคลั่ง ผู้คนตบมือชอบใจ หลายคนลุกขึ้นเต้นไปด้วยอย่างเมามัน ใจหวานมองดำอย่างภาคภูมิใจ
หลังจากร้องเพลงจบลงดำเข้ามาในห้องแต่งตัวอย่างโล่งใจและดีใจ แต่ยังไม่หายตื่นเต้น ใจหวานเข้ามาตบหลังเผียะใหญ่ ดำตกใจหันไป
“แกเก่งว่ะดำ ใครๆ เขาเชื่อกันทั้งนั้นว่าแกเป็นนักร้องนิโกรอเมริกัน”
“อ้าว...ก็หนูเป็นนิโกรอเมริกันจริงๆนี่”
“ไม่ช่าย...หมายถึงว่าบางคนเขาเชื่อว่าแกเป็นนักร้องนิโกรสั่งมาจาก อเมริกาจริงๆ”
“ก็ไปหลอกเขาว่าหนูชื่อมิสดอลลี่อะไรนี่ แล้วถ้าเขารู้ว่าหนูเป็นแค่อีดำของพี่หวาน จะทำยังไงกัน”
“เฮ่ย...ช่างเถอะน่ะ จะว่าหลอกได้ยังไง เสี่ยเขาไม่ได้บอกนี่ว่าแกเป็นใครมาจากไหน เขาบอกแต่ว่าแกชื่อมิสดอลลี่เท่านั้นเอง”
“นั่นแหละ มันก็ตั้งใจจะหลอกเขาละ”
“เรื่องของธุรกิจก็ต้องทำกันอย่างนี้แหละ อย่าเพิ่งพูดอะไรกับใครนะดำ อยู่ในนี้แหละ เดี๋ยวค่อยออกไปร้องเพลงอีก”
ใจหวานออกไป ดำมองตามไม่เห็นด้วย แต่ยังอยู่ในอารมณ์ดีใจ
วันใหม่...ไวภพเดินเข้ามาที่โต๊ะใต้ตึกเรียน เขามองหาเดือน โจ้เดินมาเห็นเข้าก็มองอย่างเกลียดขี้หน้า
“มาทำอะไรแถวนี้”
“มาหาเดือนครับ”
“ทำไมต้องมาหาอีก กิจกรรมก็จบไปแล้วไม่ใช่เหรอ”
ไวภพชักไม่พอใจ แต่ยังมีความเกรงใจที่โจ้เป็นรุ่นพี่
“ผมมีธุระต้องคุยกับเดือนครับ พี่โจ้มีอะไรกับผมหรือเปล่า”
“มี อยากจะเตือนไว้ว่าระวังให้ดีก็แล้วกัน”
“ระวังอะไรครับพี่โจ้”
โจ้แกล้งทำกระซิบกึ่งเย้ยหยัน
“พ่อเขาคงไม่ยอมปล่อยลูกสาวง่ายๆ หรอก หวงยังกับไข่ในหิน”
“อ๋อ...เรื่องนั้นผมรู้ดี”
“ยังไม่เคยเจอซะแล้ว หึๆ”
“เป็นเรื่องธรรมดาครับ หวงลูกสาวสิดี แสดงว่าพ่อแม่เอาใจใส่ดูแล ยิ่งเป็นลูกสาวอย่างเดือนก็ยิ่งน่าหวงอยู่แล้ว”
โจ้ยิ้มเยาะหยัน ทำเสียงเหมือนกระซิบ
“แกไม่รู้อะไรเหรอวะ ว่าพ่อแม่ของเดือนไม่ใช่พ่อแม่แท้ๆ เขารับเด็กจากสลัมมาเลี้ยง”
ไวภพอึ้งไปนิดหนึ่ง แต่ก็ยิ้มกลับไปเหมือนไม่สนใจ
“ผมไม่สนหรอกครับ ผมสนใจที่ตัวเดือนมากกว่า เดือนเป็นผู้หญิงที่ดี เป็นคนน่ารักมีน้ำใจ ที่บ้านก็สอนเขามาดี จะใช่หรือไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไข ก็ไม่ใช่เรื่องที่ผมจะต้องใส่ใจ แต่ท่าทางพี่โจ้จะแคร์เรื่องนี้มากสินะครับ ถึงได้อุตส่าห์มาบอกผม”
“ฉันเตือนแกด้วยความหวังดี”
“ขอบคุณนะครับที่ หวังดี กับผม แต่อยากให้พี่โจ้หวังดีกับเดือนดีกว่า คิดว่าเรื่องนี้เดือนคงไม่อยากให้คนอื่นรู้ พี่โจ้ไม่ควรเอาเรื่องส่วนตัวของเดือนไปพูดกับใครอีก มันเสียมารยาทนะครับ”
ไวภพเดินออกไป โจ้มองตามหยันๆ
“ฮึ่ย...ทำเป็นอุดมคติ เดี๋ยวก็รู้...”
เย็นนั้น ขจิตเดินเล่นออกกำลังอยู่ในสวนสาธารณะของหมู่บ้าน แต่แล้วก็ชะงัก สายตาเขม้นมองอะไรบางอย่างตรงหน้าอย่างไม่แน่ใจ แล้วก็ต้องถึงกับตาโต
“แม่เดือน”
เดือนเดินจูงมือกับไวภพ ขจิตหน้าเครียด
“ถ้าตานัยมาเห็นเข้าเป็นเรื่องแน่”
ขจิตทำท่าจะปราดเข้าไปทัก แต่แล้วก็ยั้งไว้ ตัดสินใจเดินเลี่ยงไปอีกทาง
ไวภพจูงมือเดือนมาเรื่อยๆ เดือนมองฟ้าที่เริ่มมืด
“เดือนต้องกลับแล้วค่ะ ออกมานานแล้ว”
“ผมไปส่งที่บ้านนะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ในหมู่บ้านนี่ค่อนข้างปลอดภัย เราแยกกันตรงนี้ดีกว่า”
“แต่ผมอยากเดินไปกับเดือนอีกหน่อย”
“ไว้วันหลังดีกว่าค่ะ”
“ทำไมเดือนไม่ให้ผมไปส่งบ้านสักที”
“อย่าเพิ่งเลยนะคะไว คุณพ่อเดือนท่านไม่ค่อยอยากให้เดือน...เอ่อ...คบกับใคร ก่อนจะเรียนจบ”
“แต่เราคบกันอย่างบริสุทธิ์ใจนะ”
“เราคบกันอย่างนี้ไปก่อนดีกว่าค่ะ แล้วพอใกล้จบ คุณพ่อก็คงไม่ค่อยเข้มงวดกับเดือนแล้ว ไวรอเดือนไหวใช่ไหมคะ”
ไวภพจับมือหญิงสาว
“ครับ ผมรอเดือนได้เสมอ”
เดือนอิงแอบแนบชิดกับเขารู้สึกโลกเป็นสีชมพู
ค่ำนั้น เดือนกลับมาบ้านอย่างอารมณ์ดี ทันใดนั้นเสียง ดนัยธรดังขึ้น
“ไปไหนมายัยเดือน”
เดือนเกือบสะดุ้ง แต่ก็เก็บสีหน้าไว้
“ทำไมกลับซะค่ำ”
“เอ้อ...” เธอหลบตาพ่อ “เดือนอยู่ทำรายงานกับเพื่อนค่ะ”
“เพื่อนคนไหน”
“เพื่อน...เพื่อนที่มหาวิทยาลัยค่ะ”
“ผู้หญิงหรือผู้ชาย”
“มีทั้งผู้หญิงผู้ชายค่ะ”
ดนัยธรขึ้นเสียงดังไม่รู้ตัว
“มีผู้ชายด้วยเหรอ”
เดือนตกใจ นึกไม่ถึง
“คือ...เป็นการจับกลุ่มกันตาม...เอ่อ...ตามเลขรหัสน่ะค่ะ ไม่ได้จับกลุ่มกันเอง นะคะคุณพ่อ”
“ผู้ชายกี่คน”
“คนเดียวค่ะ”
“หวังว่าลูกคงไม่ไปกอดกับผู้ชายให้ประเจิดประเจ้ออีกนะ”
“ไม่หรอกค่ะคุณพ่อ แค่ทำรายงานไม่ต้องกอดกันหรอกค่ะ”
“ก็ทีร้องเพลงยังกอดกันได้เลย ถ้านั่งกอดกันทำรายงานมันแปลกตรงไหน”
“คุณพ่อพูดเหมือนไม่ไว้ใจเดือน”
“พ่อถามเพราะเป็นห่วง ทำไม เดี๋ยวนี้พ่อถามลูกไม่ได้แล้วเหรอ”
เดือนเห็นดนัยธรยิ่งเครียดจึงเปลี่ยนท่าทีเป็นอ่อนลง
“ได้ค่ะคุณพ่อ ขอบคุณที่เป็นห่วงเดือนค่ะ ถ้าคุณพ่อไม่ชอบอะไรเดือนก็จะไม่ทำอยู่แล้วค่ะ เดือนอยากให้คุณพ่อสบายใจได้” เธอเข้าไปกอดพ่อ “คุณพ่ออย่าเครียดเลยนะคะ คุณพ่อขา”
ดนัยธรโอบลูกสาวสีหน้าดีขึ้น
“ไม่เครียดก็ได้ แต่พ่อสงสัยว่าเดี๋ยวนี้ทำไมลูกขับรถไปเรียนเอง ไม่ต้องให้นายต๋องขับให้แล้วเหรอ”
เดือนหลบตาเล็กน้อย
“เดือนกลับบ้านไม่ค่อยเป็นเวลาค่ะ บางทีพี่ต๋องต้องไปรับคุณพ่อด้วย เลยไม่อยากให้เสียเวลารอเดือนนาน เดือนขับไปกลับเองสะดวกกว่าค่ะ”
“งั้นพ่อเชื่อลูก หวังว่าจะไม่ทำให้พ่อผิดหวังนะ”
“ไม่หรอกค่ะ คุณพ่อเชื่อใจเดือนได้”
ดนัยธรโอบเดือนเข้าไปในบ้าน เดือนแอบโล่งใจ ขจิตแอบฟังพลางส่ายหน้า
เดือนนั่งทำรายงานอยู่อย่างขะมักเขม้น เสียงมือถือดังขึ้น เธอเห็นเบอร์ก็มองซ้ายมองขวา แล้วรีบหลบมุมไปคุย
“ฮัลโหล...ไวเหรอคะ...”
ขจิตเดินมา เห็นอะไรแว้บๆ จึงหยุดมอง เห็นเดือนคุยมือถือท่าทางลับๆ ล่อๆ แต่ใบหน้ายิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างมีความสุข เดือนหันมาเห็นขจิตก็ตกใจ
“เดี๋ยวแค่นี้ก่อนนะคะ สวัสดีค่ะ”
เดือนรีบวางสาย
“คุณยาย”
“ยิ้มอะไรอยู่ยัยเดือน”
“อ๋อ...เอ่อ...ยิ้มกับเพื่อนน่ะค่ะ”
“ท่าทางจะรักเพื่อนคนนี้มากนะ”
เดือนอึ้งๆ กลัวเรื่องถึงหูดนัยธร จึงเข้าไปกอดแขนขจิตไว้
“โธ่...คุณยายคะ ในโลกนี้หนูไม่เคยรักใครเท่ากับคุณพ่อคุณแม่ แล้วก็...คุณยายหรอกค่ะ”
ขจิตกึ่งหมั่นไส้กึ่งเอ็นดู
“ปากหวานจริ๊ง”
เดือนเข้าไปกอดเอวยาย ขจิตค้อนขวับ
“จริงๆค่ะคุณยาย”
“พ่อแม่ของแกเขารักแกมากนะ ยัยเดือน ต้องหมั่นจำเอาไว้ แล้วก็ต้องรู้จักนึกถึงบุญคุณของเขามากๆ ต่อไปข้างหน้าเผื่อมีอะไรจะทำให้แกต้องประพฤติไม่ถูกใจพ่อแม่ละก็ ให้จำคำของยายเอาไว้”
เดือนรับฟังอย่างเด็กว่าง่ายแล้วหัวเราะก่อนตอบ
“ใครๆ ก็ต้องนึกถึงบุญคุณพ่อแม่ด้วยกันทั้งนั้นแหละค่ะคุณยาย หนูสัญญาว่าจะไม่ทำอะไรที่ไม่ถูกคุณพ่อคุณแม่เลยเป็นอันขาด”
“ใครจะรู้”
เดือนนิ่วหน้าสงสัยนิดหนึ่ง ขจิตพูดต่อ
“แต่ก็...เอาเถอะ ถึงยังไงสัญญาเอาไว้ก่อนก็ยังดี แล้วอย่าลืมสัญญาเสียล่ะ”
“ไม่ลืมหรอกค่ะคุณยาย”
ขจิตลอบมองหน้าเดือนอย่างไม่แน่ใจนัก
จอร์จกำลังจะเดินมาถึงหน้าห้องเรียน ดำถลาเข้ามาในห้องอย่างตื่นเต้น
“ครูจอร์จขา ครู...”
จอร์จชะงัก หันไปยิ้มเมื่อเห็นดำ
“อ้าว...ดำ เมื่อคืนเป็นยังไงบ้าง”
“หนูทำได้แล้วค่ะครู หนูทำได้แล้ว ทุกคนชอบหนูร้องเพลงมาก”
“ดีใจด้วยนะดำ เธอเยี่ยมมาก”
“ต้องขอบคุณครูด้วยที่ช่วยหนูฝึกภาษาอังกฤษจนคล่อง จนทุกคนนึกว่าหนูเป็นคนนิโกรอเมริกันจริงๆ”
“เพราะดำมีพรสวรรค์ด้วย ยังไงก็ต้องพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นเรื่อยๆ”
“หนูไม่หยุดอยู่แค่นี้แน่ หนูจะต้องพิสูจน์ให้โลกรู้ว่าความสามารถไม่ได้ขึ้นอยู่กับหน้าตาแค่อย่างเดียว พวกคนสวยๆ มันจะต้องอิจฉาหนู”
ดำมุ่งมั่น จอร์จตบบ่าเบาๆ
“ครูให้กำลังใจเธอนะ แต่อย่าไปคิดว่าคนอื่นสวยแล้วตัวเองไม่สวยสิ ที่จริงเธอก็เป็นคนสวยคนนึงเหมือนกันนะดำ”
ดำมองหน้าจอร์จอย่างนึกไม่ถึง เพราะเกิดมาไม่เคยมีใครชมมาก่อน
“แหม...ครูไม่ต้องมายอหนูหรอก หนูรู้ตัวเองดี ตั้งแต่เกิดมาก็มีแต่คนว่าหนูดำ ขี้เหร่ น่าเกลียด ไม่เคยมีใครเห็นหนูสวยสักคน”
“ไม่ได้ยอ แต่ครูอยากให้เธอมั่นใจในตัวเอง ทุกคนเป็นคนสวยได้ ถ้าสวยมาจากข้างใน บางคนสวยแต่ทำตัวน่าเกลียดก็กลายเป็นไม่สวยแล้ว แต่ถ้าเธอเป็นคนดี ความสวยมันก็เปล่งประกายจากข้างในออกมา”
ดำทำปากยื่นปากยาว ไม่ค่อยเห็นด้วย
“คนดีสมัยนี้อยู่ได้เหรอครู โดนคนอื่นเอาเปรียบตาย”
“ก็เป็นคนดีที่ฉลาดสิดำ ต้องรู้ทันคนด้วย ใครที่คิดจะเอาเปรียบเราก็อยู่ห่างๆเขาซะ”
“บางทีหนูก็ห่างไม่ได้นะครู ต้องอยู่กันแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน หนูไม่มีวันเป็น คนสวยอย่างที่ครูว่าได้หรอก”
จอร์จถอนใจนิดๆกับความดื้อของดำ แต่ก็พูดต่ออย่างใจเย็น
“แค่เริ่มต้นทำดีกับคนที่เธอรักก่อน รับรองเธอจะต้องสวยขึ้นแน่ๆ ไม่เชื่อลองดูสิ
“หนูจะลองเป็นคนสวยแบบที่ครูว่าดูก็ได้ แต่ไม่รู้ว่าหนูจะทำไปได้สักกี่น้ำ”
จอร์จยิ้มดีใจ ขณะที่ดำคิดถึงใครบางคน
ดำเข้ามาในบ้านลุงหวัดอย่างร่าเริง
“พี่พัน พี่พันจ๋า...”
แต่แล้วดำก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นออยกำลังออเซาะป้อนข้าวให้สมพันธุ์ ดำเลือดขึ้นหน้าทันที
“นังออย อีนังสำออย”
ออยกับสัมพันธุ์หันมาก็ตกใจ ออยหนีไม่ทัน ดำปราดเข้ามากระชากตัวไป ทำให้จานข้าวหล่นแตกกระจาย
“แกมายุ่งกับพี่พันอีกทำไม”
“ทำไมจะยุ่งไม่ได้ แกเป็นเจ้าของพี่พันหรือไง”
“ก็เพราะแกทำให้พี่พันเจ็บหนักขนาดนี้ นังหน้าด้าน นังหลายใจ”
“ฉันเลิกกับไอ้บอลแล้ว”
“ฉันไม่เชื่อน้ำหน้ากะหรี่อย่างแกหรอก”
“แกล่ะอีดำ แม่แกมันก็กะหรี่เหมือนกันนั่นแหละ”
ดำโมโห ตบเพี๊ยะ ออยไม่ยอมจะตบกลับ แต่ดำสู้ และแรงเยอะกว่า จึงตบตีออย จนสู้ไม่ได้ ได้แต่ปัดป้อง สมพันธุ์เข้าห้าม
“ดำ หยุดนะดำ พี่บอกให้หยุด”
“โอ๊ย...พี่พันช่วยด้วย”
สมพันธุ์เข้ามากระชากตัวดำออกมาอย่างแรง
“บอกว่าหยุดไงล่ะ ออกไปได้แล้วดำ ออกไปจากบ้านพี่เดี๋ยวนี้”
สมพันธุ์กอดออยไว้ เธอรีบเข้าไปซบเขา
“พี่พัน ออยเจ็บ”
“ไม่เป็นไรนะออย พี่จะไม่ให้ดำมันมาทำร้ายออยอีก”
ดำมองทั้งสองด้วยความเสียใจและเจ็บปวด แต่ไม่ร้องไห้
“พี่พันทำไมถึงเชื่อมัน ครั้งที่แล้วยังไม่เข็ดอีกเหรอ อย่าไปยุ่งกับมันเลยพี่พัน”
“พี่รักออย ใครจะว่ายังไงพี่ก็ยังรักออย ดำทำร้ายออยก็เท่ากับทำร้ายพี่ ต่อไปนี้อย่ามายุ่งกับพี่อีก ออกไป”
ดำตะลึง
“พี่พัน...”
สมพันธุ์ไล่อย่างไม่มีเยื่อใย
“บอกให้ออกไปไงล่ะ”
ดำกล้ำกลืนความขมขื่นและเจ็บปวดไว้ ก่อนจะสะบัดหน้าออกไป
ดำเดินออกมาตามทางเดินในซอยอย่างเจ็บปวด
“พี่พันนะพี่พัน แล้วสักวันพี่จะรู้ว่าใครจริงใจกับพี่มากที่สุด”
ดำมองไปข้างหน้า แม้จะเจ็บปวดแต่ก็ไม่ยอมแพ้
ค่ำนั้น ดำร้องเพลงอยู่บนเวที ด้วยสีหน้าเจ็บปวดรวดร้าว เธอนึกถึงตอนที่สมพันธุ์ตะโกนใส่หน้า
“พี่รักออย ใครจะว่ายังไงพี่ก็ยังรักออย ดำทำร้ายออยก็เท่ากับทำร้ายพี่ ต่อไปนี้อย่ามายุ่งกับพี่อีก ออกไป”
ดำน้ำตาคลอ แต่เหมือนอินไปกับเพลงมากกว่า แขกผู้ชายคนหนึ่งชื่นชม
“สุดยอดเลย มิสดอลลี่ ร้องเพราะมาก”
แขกอีกคนพูดขึ้นลอยๆ
“ถ้าไม่เห็นหน้านะ จะหลงรักทันทีเลย”
“เสียงยังกับนางฟ้า แต่หน้าเหมือนปีศาจว่ะ ฮ่าๆๆ”
แขกแต่ละคนเมาท์กันไปอย่างสนุกสนาน พรพัฒน์กับใจหวานแอบฟังอยู่มุมหนึ่งอย่างพอใจ
ดำร้องเพลงเสร็จเข้ามาในห้องแต่งตัว เธอนั่งมองหน้าตัวเองอยู่ในกระจก มองอย่างแค้นใจ ใจหวานเข้ามาหาอย่างตื่นเต้น
“โห...เมื่อกี้แกร้องซะซึ้ง จนเกือบทำฉันร้องไห้เลยนะดำ สุดยอดจริงๆ”
“หนูร้องไห้จริงๆนี่พี่หวาน”
ใจหวานตบไหล่เบาๆ
“กะอีแค่ผู้ชายธรรมดาๆคนนึง แกจะไปเสียใจอะไรนักหนาวะ อีกหน่อยแกก็จะดังจะรวย หาผู้ชายดีๆ กว่านี้มีเยอะแยะไป”
“ใครเขาจะมาจริงใจกับหนูล่ะพี่หวาน พี่เป็นคนบอกหนูเองว่าคนอย่างพวกเรา ไม่มีใครมารักจริง เขาคิดแต่จะหลอกเราทั้งนั้น”
ใจหวานอึ้งไป แต่ก็พยายามปลอบ
“แกก็อย่าไปหลงคนหล่อสิ เอาคนที่รวยและดีกับแกจริงๆ”
“หนูรักใครรักที่ใจต่างหาก ไม่ได้รักที่ความรวย”
“กินอุดมคติไปเถอะ อีกหน่อยแกก็จะรู้ ว่าอะไรที่กินได้ อะไรกินไม่ได้”
ใจหวานทิ้งท้ายก่อนออกไป ดำมองตามไม่เชื่อ ส่องกระจกแล้วเอาลิปสติกมาปาดกระจกที่หน้าตัวเองอย่างแค้นใจ
“เพราะฉันไม่สวยใช่มั้ยพี่พัน ใช่มั้ย ใช่มั้ย”
วันใหม่...เดือนนั่งคุยมือถือกับไวภพอยู่ใต้ต้นไม้ใกล้ๆตึกเรียน
“เดือนรออยู่ที่สวนหลังตึกสองนะคะไว แล้วเจอกันค่ะ”
เดือนวางสาย โจ้เดินเข้ามา
“น้องเดือนอยู่นี่เอง เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยเห็นหน้าเลยนะครับ หายไปไหนมา”
“ช่วงนี้ใกล้สอบแล้วเลยเรียนหนักค่ะ”
“แต่พี่ว่าหนักอย่างอื่นมากกว่ามั้ง เห็นไปไหนมาไหนกับหนุ่มต่างคณะบ่อยๆนี่”
“ไม่มีหรอกค่ะ”
“อย่าปิดพี่เลยเดือน พี่รู้ว่าเดือนกำลังคบกับใคร แล้วนี่คุณพ่อเดือนรู้หรือยัง”
“คุณพ่อไม่รู้อะไรทั้งนั้นล่ะค่ะ” เดือนรู้สึกอึดอัด “เดือนขอตัวก่อนนะคะ”
เดือนลุกเดินหนีไป โจ้ไม่พอใจรีบเดินตามมาขวางหน้า
“เดี๋ยวสิเดือน จะหนีไปไหน”
“ไม่ได้หนีค่ะ เดือนต้องกลับบ้านแล้ว”
“กลับบ้านหรือนัดใครไว้กันแน่”
เดือนหันขวับกลับมา รำคาญแต่พยายามสุภาพ
“มันเรื่องส่วนตัวของเดือนนี่คะ พี่โจ้ไม่จำเป็นต้องรู้”
โจ้จับข้อมือเดือนไว้
“ทำไม ไอ้ไวมันดีกว่าพี่ตรงไหนเหรอ”
“ปล่อยนะคะพี่โจ้ เดือนเจ็บ”
“เดือนทำแบบนี้ พี่ก็เจ็บเหมือนกัน เหมือนไม่ให้เกียรติพี่เลย”
“พี่โจ้ก็ให้เกียรติเดือนบ้างสิคะ”
“พี่ให้เกียรติเดือนมาตลอด แต่ทำไมเดือนไม่เห็นพี่อยู่ในสายตาสักนิด”
“เดือนก็เคารพพี่โจ้ในฐานะรุ่นพี่มาตลอดนี่คะ”
“เดือนไม่รู้หรือไงว่าพี่คิดยังไงกับเดือน”
“ไม่ทราบค่ะ ทราบแต่ว่าเดือนเคารพพี่โจ้แบบรุ่นพี่ ไม่เคยคิดเป็นอย่างอื่น”
“อ๋อ...คิดอย่างอื่นกับไอ้ไวงั้นสิ คิดไปถึงไหนแล้วล่ะ”
เดือนสะบัดหน้าหนี
“เราเลิกพูดกันเถอะค่ะ”
โจ้เข้าไปจับไหล่ของเดือนไว้
“จะหนีไปไหน จะหนีความจริงไปตลอดชีวิตหรือยังไง”
“พี่โจ้ปล่อยเดือน บอกให้ปล่อย เดือนไม่อยากคุยด้วยแล้ว
“อย่ามาทำเป็นหยิ่งหน่อยเลย พี่รู้นะเบื้องหลังของเดือนเป็นยังไง ตอนเด็กเดือนเป็นใครก่อนจะมาเป็นคุณหนูแบบทุกวันนี้...”
ข้าวนอกนา ตอนที่ 5 (ต่อ)
เดือนตบหน้าโจ้ฉาดใหญ่ก่อนเขาจะพูดจบ โจ้โมโหพยายามจะกอดจูบเดือน แต่เดือนปัดป้อง
“ปล่อยนะพี่โจ้ บอกให้ปล่อยไงล่ะ อย่ามาทำอะไรทุเรศแถวนี้นะ ช่วยด้วย”
โจ้ปิดปากเดือน
“อย่าร้องนะ”
เดือนร้องเสียงอู้อี้
“ช่วยด้วย”
เดือนดิ้นพราด แต่สู้กำลังโจ้ไม่ได้ โจ้กำลังจะจูบ แต่ไวภพเข้ามาคว้าตัวไว้ แล้วต่อยโจ้ลงไปกองกับพื้น เสียงเดือนกรี๊ด เสียงโจ้ร้องตกใจ โจ้เงยหน้าขึ้น เห็นเป็นไวภพก็ลุกขึ้นชี้หน้าอย่างเจ็บแค้น
“แก...ไอ้ไว ฉันเอาเรื่องแกถึงขั้นไล่ออกแน่”
“ก็เอาซี่ ผมก็จะฟ้องว่าเห็นพี่ทำอะไรกับเดือนเหมือนกัน”
“แกกล้าเหรอ”
เดือนรีบบอกโจ้
“ถ้าพี่โจ้ไม่เอาเรื่องไว เดือนก็จะไม่เอาเรื่องพี่โจ้นะคะ ขอให้จบกัน แค่นี้เถอะค่ะ”
โจ้มองหน้าเดือนกับไวภพ เช็ดเลือดที่มุมปากอย่างเจ็บใจ แล้วเดินออกไป เดือนเกาะแขนไวภพอย่างหวาดกลัว เขาโอบเธอไว้อย่างปลอบโยน
“ไม่ต้องกลัวนะเดือน ไม่เป็นไรแล้ว”
ไวภพจูงมือเดือนออกมาเกือบจะถึงรถ
“ส่งแค่นี้ก็พอค่ะ”
“ให้ผมไปส่งเดือนที่บ้านนะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ เสียเวลาเปล่าๆ”
“สำหรับเดือนไม่ใช่เรื่องเสียเวลาเลย ผมเป็นห่วงเดือน กลัวเดือนเจอพี่โจ้อีก”
“พี่โจ้คงไม่กล้าแล้วค่ะ เดี๋ยวเดือนขึ้นรถแล้วจะล็อครถทันที”
“ให้ผมขับตามไปห่างๆก็ได้”
“อย่าเลยค่ะ เดือนไม่อยากให้คุณพ่อดุอีก ถ้าอยากคบกันนานๆ เราต้องค่อยเป็นค่อยไปนะคะ”
“งั้นตามใจ กลับบ้านดีๆนะครับ”
ไวภพส่งเดือนขึ้นรถ เดือนล็อครถ แล้วสตาร์ทรถ ก่อนจะหันมาโบกมือให้ ไวภพมองตามเป็นห่วง
ดำนั่งซึมอยู่ในบ้าน นั่งฟังเพลงจังหวะแดนซ์คึกคัก แต่เธอกลับหม่นเศร้า เสียงกริ่งหน้าบ้านดังขึ้นแทรกเสียงเพลง ดำสะดุ้งมองสงสัย
“ใครนะมาตอนนี้”
ดำลุกไปอย่างเบื่อหน่าย...ดำเดินมาถึงหน้าประตู ก็ต้องแปลกใจนึกไม่ถึง รีบยกมือไหว้ก่อน
“ครูจอร์จ...”
จอร์จรับไหว้ เขายืนอยู่ด้านนอกประตู ดำรีบเปิดประตูรั้วให้
“ทำไมมาถึงนี่ได้คะ”
“ครูไม่เห็นดำกับหวานไปเรียนหลายวัน โทรหาก็ไม่รับสาย เลยเป็นห่วงว่าเกิดอะไรขึ้น”
ดำเจ็บปวด
จอร์ดนั่งอยู่ในห้องรับแขกบ้านใจหวาน ดำยกแก้วน้ำมาให้ แล้วทิ้งตัวลงนั่งอย่างหมดแรง
“พี่หวานไปเที่ยวกับ...แฟนเขา ส่วนหนูก็ไม่มีแก่ใจจะไปไหน”
“ไม่สบายหรือเปล่า”
“ครูไม่ต้องห่วงหนูหรอกค่ะ หนูไม่เป็นไรมาก”
“แต่สีหน้าเธอไม่ดีเลย มีอะไรเล่าให้ครูฟังได้นะ”
“หนูคงเป็นคนสวยอย่างที่ครูสอนไม่ได้แล้ว”
“ทำไมล่ะดำ”
“เพราะยังไงหนูก็แพ้คนรูปสวยอยู่วันยังค่ำ ผู้ชายทุกคนไม่มีใครมองทะลุตัวดำๆ ของหนูเข้าไปเห็นข้างในหรอก”
“นี่เหรอสาเหตุที่ทำให้เธอไม่ยอมไปเรียนหนังสือ”
“หนูไม่มีแก่ใจไปนี่คะ หนูเบื่อชีวิตตัวเอง เบื่อที่ใครๆก็รักคนสวยกว่า หนูไม่อยากเรียนอะไรอีกแล้ว เรียนไปก็เท่านั้น”
“โง่จริงๆเลยดำ ถ้าแม้แต่ตัวเธอยังดูถูกตัวเอง เธอก็ไม่มีวันจะดีขึ้นได้หรอก”
“หนูถูกคนอื่นดูถูกมาตลอดชีวิตแล้วนี่ จะดูถูกตัวเองอีกคนจะเป็นไรไป ครูเลิกยุ่งกับชีวิตหนูซะที”
“ก็ได้”
จอร์จลุกเดินออกไป ดำชะงัก มองตามอย่างรู้สึกเสียใจนิดๆ
ดำวิ่งออกมา แต่ไม่ทันจอร์จที่เปิดประตูออกไปแล้ว ดำอ้าปากจะเรียก แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ
“ช่างเถอะ ที่เรียนก็เพราะพี่พันแนะนำ แต่หลังจากนี้ เราคงไม่กลับไปเรียนอีกแล้ว”
ดำกัดริมฝีปากตัวเองอย่างรู้สึกเจ็บปวด
ค่ำนั้น...ดำนั่งแต่งหน้าอยู่ในห้องแต่งตัว ใจหวานเข้ามาอย่างตื่นเต้น
“ดำ นังดำ”
ดำหันไปมองใจหวานอย่างงุนงง
“อะไรน่ะพี่หวาน”
“มีคนเห็นแววแก จ้างแกไปร้องเพลงในงานอีเวนท์ด้วย”
ดำงงๆ
“งานอีเวนท์เป็นยังไงเหรอ”
“ก็พวกงานเปิดตัวสินค้าตามห้าง หรืองานฉลองโอกาสพิเศษทั้งหลายน่ะ ปกติเขาจะเชิญแต่พวกดาราหรือศิลปินดังๆไป แต่นี่มีคนเห็นแวว เชิญแกไปร้องเพลงในงานด้วย”
ดำเริ่มตื่นเต้นไปด้วย
“จริงเหรอพี่หวาน งั้นขอหนูร้องเพลงไทยบ้างได้ไหม หนูอยากเพลงไทยช้าๆ ซึ้งๆ แต่เสี่ยเขาไม่ยอมให้หนูร้อง”
“อย่าเลยดำ เพลงไทยไม่เข้ากับหน้าแกหรอก”
ดำหน้าห่อเหี่ยวลง
“ทำไมจะไม่เข้า เมื่อก่อนป้าหนอมก็ชอบเปิดลูกทุ่งให้หนูฟัง แล้วหนูก็ชอบร้องลูกทุ่งด้วย”
“เดี๋ยวนี้แกกลายเป็นมิสดอลลี่แล้วนะไอ้ดำ ต้องทำท่าเป็นมิสดอลลี่ให้ดี อย่าให้ใครเขารู้ว่าแกเป็นใคร”
“อีกหน่อยเขาก็ต้องรู้ หนูจะเป็นมิสดอลลี่อยู่ตลอดเวลาได้ยังไง”
“คนรู้จักแกไม่กี่คนหรอกน่ะ แล้วแกก็เปลี่ยนลุคจนคนที่เคยรู้จักอาจจะจำไม่ได้แถวนี้ก็เพิ่งย้ายเข้ามา แกยังไม่ได้ออกไปโชว์โฉมกับเขาเท่าไหร่ไม่ใช่เหรอ ไม่เป็นไรหรอก”
ดำอึดอัดไม่สบายใจ
วันใหม่...ดำมาที่งานอีเวนท์ในห้างสรรพสินค้า เธอร้องเพลงอยู่บนเวทีอย่างตั้งใจมาก โจ้เดินมากับบาธเพื่อนของเขา บาธมองดำบนเวที
“โคตรดำเลยว่ะ ดำยิ่งกว่าถ่าน แต่นิโกรพวกนี้เสียงมันเพราะจริงๆ”
โจ้หันไปมองตาม เขม้นมองแล้วก็ต้องตกใจ
“เฮ้ย...นั่นมันนังดำนี่หว่า”
“แกรู้จักมิสดอลลี่ด้วยเหรอ”
“รู้จักดีด้วย เมื่อกี้แกเรียกว่าอะไรนะ มิสดอลลี่เหรอ”
“ใช่ พวกที่เคยไปฟังมิสดอลลี่ร้องเพลงในผับ เขาเอามาโพสต์ในเน็ต ชมกันว่าเสียงดียังกับบียอนเซ่หรือรีฮานน่าเลยนะ แล้วแกรู้จักมิสดอลลี่ได้ไง”
“มันเคยเป็นคนใช้ที่บ้าน”
“เฮ้ย คนใช้บ้านแกเนี่ยนะ ไม่ใช่นักร้องจากอเมริกาเหรอ”
โจ้เหยียดปาก
“ไม่ใช่โว้ย แม่มันขายตัวอยู่พัทยา เลยได้ลูกครึ่งฝรั่งคนนึงกับนิโกรคนนึงมาแบบไม่ได้ตั้งใจ โธ่เอ๊ย จะอัพเกรดตัวเองเป็นบียอนเซ่ กำพืด มันก็เป็นแค่คนใช้แหละวะ”
บาธมองโจ้กับดำอย่างนึกไม่ถึง
“จริงอ่ะ อำเล่นเปล่าวะ”
โจ้พิสูจน์โดยการเดินเข้าไปตะโกนเรียก
“นังดำ”
ดำมองมาเห็นโจ้ก็ตกใจ ร้องจบก็รีบหนีเข้าไปหลังเวที โจ้ตะโกนประจาน
“นังดำจริงๆ ด้วย มิสดอลลี่ดอลเล่อที่ไหนวะ มันเป็นลูกครึ่งไทยนิโกรนี่แหละ แม่มันหากินอยู่พัทยา ทำมาหลอกคนอื่นว่าเป็นมิสดอลลี่”
คนอื่นส่งเสียงฮือฮา
ดำเข้ามาหลังเวที แต่ก็ชะงักเมื่อเจอโจ้ตามมา
“ไอ้โจ้ แกจะตามจองล้างจองผลาญฉันไปถึงไหนวะ”
“แกหนีออกจากบ้านฉันมา เนรคุณแม่ฉันที่เลี้ยงดูแกตั้งแต่เด็ก แล้วยังมาหลอกคนอื่นว่าเป็นมิสดอลลี่อีก”
“แม่แกใช้งานฉันอย่างกับทาส ใครจะไปทนไหววะ แล้วฉันก็รับใช้พวกเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่ออย่างแกมาพอแล้ว ฉันทดแทนบุญคุณไปหมดแล้วโว้ย”
โจ้มายืนขวางทางดำ
“ยังไม่หมด แม่อยากเจอแก แกกลับไปเคลียร์กับแม่ก่อน”
“ไม่ไปโว้ย”
โจ้คว้าแขน
“แกต้องไป แกยังติดหนี้แม่ฉันอยู่”
“ยังไงกูก็ไม่ไป ปล่อยนะไอ้โจ้”
“ปล่อยให้โง่”
ดำสะบัดออก แล้วถีบหว่างขาโจ้จนทรุดลงไปนอนกุมเป้า ก่อนจะรีบวิ่งหนีไป โจ้หน้าเขียว
“แก นังดำ อย่าหนีสิวะ อีดำ”
คนอื่นมองขำๆ โจ้ค่อยๆลุกขึ้นอย่างรู้สึกอับอาย
ดำกลับมาบ้าน หน้าซีดเผือด ใจหวานเข้ามาต่อว่า
“ดำ แกหายไปไหนมา ออร์กาไนซ์ที่จัดงานบอกว่าแกร้องยังไม่ทันจบ ก็หนีออกมาแล้ว ทำไมแกถึงไม่รับผิดชอบเลย”
“ไอ้โจ้มันตามไปเจอหนู แล้วแฉว่าหนูไม่ใช่มิสดอลลี่จากอเมริกา”
ใจหวานอึ้งไป
“ไอ้โจ้ลูกคุณนายที่แกเคยเป็นคนใช้เขาน่ะเหรอ”
“ใช่ มันประกาศกลางห้างเลย พี่จะให้หนูทำไง”
“แล้วแกพูดตอบโต้กับมันหรือเปล่า”
“ตอนหน้าเวทีหนูหนีเข้าไปข้างหลังเลย ยังไม่ได้พูดอะไร แต่หลังเวทีมันยังตามไป หนูก็เลยด่ามัน”
“นังดำนะนังดำ ถ้าแกเงียบไว้น่าจะดีกว่านะ แต่ยังดีไม่ตอบโต้มันตอนอยู่หน้าเวที คนอาจจะยังรู้ไม่เยอะ งั้นแกต้องทำเนียนๆไว้ ให้เหมือนกับว่าไอ้โจ้มันเข้าใจผิดไปเอง”
“แสดงว่าหนูต้องเป็นมิสดอลลี่ ใครด่าอะไรก็ต้องทำเป็นฟังภาษาไทยไม่รู้เรื่องต่อไปเหรอ”
“ใช่ ไม่งั้นแกก็ต้องตกงาน เลือกเอาว่าจะเป็นแบบไหน”
ดำถอนใจอย่างยอมรับ
ค่ำนั้น ดำเดินมาตามถนน เพื่อจะเข้าไปร้องเพลงในผับ ชายคนหนึ่งเข้ามาทัก
“Hi. Miss Dolly. How are you?” (สวัสดีครับ คุณดอลลี่ สบายดีหรือ)
ดำหันไปยิ้มให้อย่างเป็นมิตร
“Hello. I’m fine. Thank you.” (สวัสดีค่ะ ฉันสบายดี ขอบคุณ)
ชายคนนั้นพูดอย่างเร็วๆ
“ I heard that you’re not Miss Dolly. In fact you’re Thai, not Amercan.” (ผมได้ยินว่าคุณไม่ใช่มิสดอลลี่ ที่จริงคุณเป็นคนไทย)
ดำอึ้ง ตอบไม่ถูก เลยรีบเดินหนี
“No… Sorry. I have to go.” (ไม่ใช่ ขอโทษค่ะ ฉันต้องรีบไปแล้ว)
“เดี๋ยวสิ มิสดอลลี่ ฟังภาษาอังกฤษไม่ออก ฟังออกแต่ภาษาไทยน่ะสิ”
เสียงดนตรีบรรเลงเข้าเพลง ดำขึ้นมาบนเวที กำลังจะร้องเพลง แต่เสียงคนโห่ร้องอื้ออึง
“ไป...ไม่เอา”
ดำตกใจ แต่ก็ทำใจแข็งร้องเพลงออกไป เสียงชายคนหนึ่งตะโกนขึ้นมา
“แกไม่ใช่มิสดอลลี่ แกชื่อดำ”
“พวกโกหกหลอกลวง แหกตาชาวบ้าน”
เสียงแขกอื้ออึง
“ไป...ไม่เอา...โห่...ไม่อยากฟัง...”
ดำเริ่มร้องอย่างไม่ค่อยมีสมาธิ เสียงตะกุกตะกัก
ใจหวานกับพรพัฒน์มองขึ้นไปบนเวทีอย่างตกใจ
“แย่แล้วเสี่ย ให้ดำมันลงจากเวทีก่อนดีกว่า”
“หมดกัน หมดกันแน่คราวนี้”
พรพัฒน์รีบเดินไปทางเวที
คนดูโห่ใส่ดำเสียงดังลั่นกว่าเดิม
“ไม่เอาดำ ไม่เอาดำ ไปๆ วู้ๆ โห่...”
“เห็นหน้าดำๆ แล้วกินไม่ลงว่ะ”
“ไป นังดำลูกนิโกร ลูกผู้หญิงขายตัว...”
ในที่สุดดำทนไม่ไหว โพล่งออกมา
“พอแล้ว พอซะที ทนไม่ไหวแล้วโว้ย”
เสียงคนโห่ร้องดังขึ้น ทำให้ดำยิ่งโกรธ
“ทำไม ฉันเป็นคนไทย ฉันชื่อดำแล้วผิดตรงไหน ฉันผิดด้วยเหรอ”
“ผิดสิวะ นี่มันเข้าข่ายหลอกลวงคนอื่นชัดๆ”
เสียงแขกดังอื้ออึงขึ้นมาอีก
“โกหกหลอกลวง แหกตาชาวบ้าน...”
ดำเถียง
“ไม่ได้แหกตาใคร พวกคุณคิดไปเองต่างหาก ไหนพวกคุณชอบไม่ใช่เหรอ ยิ่งเป็นฝรั่งก็ยิ่งชอบ ที่คุณชอบฟังฉันเพราะนึกว่าฉันเป็นฝรั่งใช่มั้ยล่ะ...”
คนดูยิ่งโกรธ ส่งเสียงโห่ แล้วขว้างของใส่ดำ มีแก้วใบหนึ่งลอยลิ่วขึ้นมา ดำหลบวูบ เสียงแก้วกระทบพื้นดังเพล้ง ดำหันกลับมาจะเถียงต่อ
“เฮ้ย...ใครวะไอ้หน้าตัวเมีย เก่งจริงขึ้นมาเจอกันตัวตัวสิวะ ม้า...”
พรพัฒน์เข้ามาดึงดำออกไป
“พอแล้วดำ พอแล้ว”
พรพัฒน์ดึงดำเข้ามาในห้อง ใจหวานตามเข้ามา
“แกจะไปเถียงคนดูทำไมน่ะดำ สู้ลงมาก่อนดีกว่า จะได้ไม่เกิดเรื่องวุ่นวาย”
“หนูอยากอธิบายให้คนเข้าใจนี่พี่หวาน”
“อธิบายตอนนี้มันไม่มีประโยชน์หรอก ไม่มีใครเขาอยากฟัง แกน่าจะเงียบๆไว้ก่อน”
“ให้หนูเงียบ แล้วโดนคนด่าฟรีน่ะเหรอ หนูไม่ยอมหรอก”
พรพัฒน์ถอนใจ
“แกหยุดร้องเพลงชั่วคราวก่อนก็แล้วกัน”
“อะไรนะเสี่ย ทำไมมาทิ้งกันง่ายๆ แบบนี้ล่ะ”
“ก็ตอนนี้คนรู้แล้วว่าแกไม่ใช่นักร้องจากอเมริกา”
“หนูเคยบอกแล้ว ว่าอย่าไปหลอกเขา ก็ไม่มีใครเชื่อ หนูอยากร้องเพลงก็จริงแต่ไม่ได้อยากเป็นมิสดอลลี่ กลัวว่าคนอื่นจะจับได้ แล้วเขาก็จับได้จริงๆ แต่พอความลับแตกเสี่ยกลับมาโทษหนูอีก”
“แกดันปากโป้งไปเถียงลูกค้าเอง ใครจะอยากมาฟังแกวะ”
ใจหวานหันมาบอกดำ
“ถ้าแกเงียบๆ ซะ เดี๋ยวคนก็จะลืม แต่นี่แกดันประกาศตัวออกไปอีก เป็นนักร้องมันต้องอ่อนน้อม ไม่ใช่ด่ากราดเถียงคำไม่ตกฟากอย่างแก”
“พี่หวานไม่ได้ยินเหรอ ว่าคนพวกนั้นมันพูดยังไงกันบ้าง มันว่าถึงแม่หนูด้วยนะ”
“แกจะไปเอาอะไรกับคนเมาวะ”
“เมาไม่เมาถ้ามันพูดแบบนั้น หนูจะลงไปเตะปากมันด้วยซ้ำ”
“พอแล้วดำ” พรพัฒน์ควักกระเป๋าดึงแบงก์พันส่งให้ “กลับบ้านไปนอนซะ”
“แล้วเสี่ยจะให้หนูมาร้องเพลงอีกหรือเปล่า”
“มันยากแล้ว เพราะหน้าตาแกอย่างนี้ ตัวก็ดำขนาดนี้ แถมประวัติจริงของแกยิ่งทำให้คนรังเกียจ ออกไปคนก็ร้องยี้แล้ว”
“มันไม่ใช่ความผิดของหนูเลย...”
พรพัฒน์เดินออกไปอย่างหงุดหงิด ไม่ฟังดำอธิบายต่อ ใจหวานตัดบท
“แกกลับไปสงบสติอารมณ์ก่อนดำ เดี๋ยวเสี่ยต้องกลับไปแก้ปัญหาลูกค้าก่อน”
ใจหวานรีบตามพรพัฒน์ไป ทิ้งให้ดำนั่งเศร้าอยู่คนเดียว
ดำลับกลับมาที่บ้าน เข้าไปในห้องนอน ถอดเครื่องประดับทุกอย่างโยนทิ้งกระจัดกระจาย แล้วทรุดตัวลงนั่งพิงผนังด้วยหัวใจห่อเหี่ยวหมดแรง
วันใหม่ จอร์จเดินถือหนังสือเข้ามาในห้องเรียนของมูลนิธิ พอจะวางหนังสือก็แปลกใจ เมื่อเห็นดำนั่งก้มหน้าซึมอยู่หลังห้อง จอร์จเดินเข้าไปหา ดำเงยหน้าขึ้น ขอบตาแดงเหมือนอดนอนมาอย่างหนัก แต่ยังไม่มีน้ำตา เสียงของเธอเต็มไปด้วยความเจ็บปวด
“หนูขอกลับมาเรียนด้วยนะคะครู”
จอร์จยิ้มรับ
“เธอจะกลับมาเรียนเมื่อไรก็ได้นะดำ ครูยินดีต้อนรับเธอเสมอ”
“ครูไม่สงสัยเหรอว่าทำไมหนูถึงกลับมา”
“เธอกลับมาครูก็ดีใจแล้ว จะสงสัยไปทำไม”
ดำโผเข้าหาร้องไห้ จอร์จลูบหลังอย่างเมตตา แล้วประคองไหล่ดันตัวเธอออก
“เกิดอะไรขึ้น ไหนเล่าให้ครูฟังซิ”
ข้าวนอกนา ตอนที่ 6
พรพัฒน์ให้สัมภาษณ์กับสื่อที่เอาไมค์มาจ่อ
“ผมไม่เคยบอกว่าเธอเป็นใครมาจากไหน บอกแต่เพียงว่าชื่อมิสดอลลี่ เป็นชื่อที่ผมตั้งให้เองตอนเอาตัวมาร้องเพลง ผมไม่ได้ตั้งใจหลอกใคร”
“แต่ดูเจตนาคุณแล้ว ถึงจะไม่ได้หลอกลวง แต่ก็ดูเหมือนจงใจให้ทุกคนเข้าใจไขว้เขว ว่ามิสดอลลี่เป็นนักร้องสั่งจากนอกอยู่ดี”
“ผมไม่มีเจตนาที่จะปิดบังเลย ที่จริงประวัติของดำน่าสงสารมากด้วยซ้ำ แต่ผมไม่เอามาเป็นจุดขาย เพราะอยากให้ทุกคนฟังแต่เสียงร้องของดำจริงๆ ดำก็ไม่อยากให้เปิดเผย ผมต้องเคารพสิทธิส่วนบุคคลของเขาด้วย...”
สีหน้านักข่าวเริ่มอ่อนลง
วันใหม่...จอร์จพาดำมาที่หน้าตึก รายการประกวด ดำเงยหน้ามองอย่างแปลกใจ
“ครูพาหนูมาที่นี่ทำไม”
“เธอชอบร้องเพลง อยากร้องเพลงให้คนอื่นฟังไม่ใช่เหรอ ครูรับรองว่าที่นี่มีแต่คนอยากฟังเธอร้องเพลงแน่ๆ”
ดำเขม้นมองอย่างงุนงง
ในห้องอัดรายการประกวด...ดำยืนอยู่หลังเวทีที่มีม่านกั้น เสียงดนตรีดังขึ้น ดำตั้งใจมาก กรรมการ 3 คนที่นั่งอยู่ด้านหน้าม่าน กำลังรอฟังอย่างใจจดจ่อ พอเสียงของดำขึ้นประโยคแรก เสียงตบมือดังลั่น กรรมการทั้งสามคนมองหน้ากันอย่างรู้สึกทึ่ง ดำเริ่มร้องเพลงอย่างมีความสุข...จอร์จนั่งฟังดำอย่างปลาบปลื้ม ตบมือให้กำลังใจดำ
“เก่งมาก ทำดีมากดำ”
เสียงเพลงของดำดังคลอมาจนถึงท่อนสุดท้าย จอร์จฟังไปลุ้นไปด้วย ยกนิ้วให้อย่างภาคภูมิใจ
ในห้องอัดรายการประกวด...ดำร้องเพลงอยู่หลังม่านจนจบ ได้รับเสียงตบมือกึกก้อง กรรมการยกป้ายให้ผ่านทั้งสามคน เสียงกรี๊ดดังขึ้น ม่านเปิดออก ทุกคนมองดำอย่างตะลึง เสียงฮือฮาดังขึ้น กรรมการคนหนึ่งพูดขึ้น
“ช่วยแนะนำตัวด้วยครับ”
“หนูชื่อจริง ดลิน ชื่อเล่นชื่อดำค่ะ”
กรรมการอีกคนถาม
“เอ๊ะ...คุณดลินนี่ใช่มิสดอลลี่ที่เป็นข่าวอยู่หรือเปล่า”
เสียงคนฮือฮาขึ้นมาอีกครั้ง ดำตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“ใช่ค่ะ”
เสียงคนโห่อย่างไม่พอใจ กรรมการทั้งสามมองหน้ากัน
กรรมการคนที่สามถามขึ้นบ้าง
“คนมองว่าคุณลวงโลก หลอกคนดูว่าเป็นอเมริกันนิโกร เป็นความจริงหรือเปล่าคะ”
“หนูไม่ได้หลอกลวงใครค่ะ มีคนเขาให้โอกาสหนูร้องเพลง แล้วตั้งฉายาให้หนูว่ามิสดอลลี่ ทุกคนเลยเข้าใจว่าหนูเป็นอเมริกันนิโกรจริงๆ ขอให้เห็นใจหนูเถอะค่ะ ที่หนูเกิดมาอย่างนี้รูปร่างหน้าตาอย่างนี้ มันไม่ใช่ความผิดของหนู ไม่ใช่เหรอคะ”
กรรมการถามอีก
“คุณเป็นลูกครึ่งไทย-อเมริกันเหรอครับ”
ดำตอบอย่างฉะฉาน
“หนูเป็นคนไทยแท้ๆค่ะ เพราะหนูเกิดเมืองไทย แม่เป็นคนไทย พ่อเป็นอเมริกันนิโกรก็จริง แต่หนูไม่เคยเห็นหน้าพ่อเลย แม่มีลูกสองคน คนนึงเป็นลูกนิโกรคือหนู อีกคนพี่สาวหนู เขาเป็นลูกฝรั่งผิวขาว...”
กรรมการทั้งสามฟังดำอย่างเริ่มเห็นใจ
ดำออกมาพบกับจอร์จด้านนอกห้องอัดรายการ หน้าตาของเธอเหยเกเหมือนจะร้องไห้ ทั้งตื่นเต้นและดีใจปนกัน
“หนู...หนูทำสำเร็จแล้วค่ะครู”
จอร์จยิ้มให้และยกนิ้ว
“เยี่ยมมาก”
ดำถลาเข้ามาไหว้จอร์จ
“ขอบคุณที่ครูช่วยหนู ขอบคุณจริงๆ ค่ะ”
“ครูแค่แนะแนวทางให้เธอ แต่เธอเป็นคนมีพรสวรรค์อยู่แล้ว จากนี้ไปขึ้นอยู่กับตัวเธอแล้วนะดำ”
ดำยิ้มมั่นใจ หน้าตามุ่งมั่น
วันใหม่...ใจหวานนั่งดูทีวีอยู่ รายการในทีวีเป็นภาพดำกำลังตอบคำถามกรรมการ
“คนที่มาขอพี่เดือนเขาเอาไปเลี้ยงเป็นลูก...แต่ที่มาขอหนูเขาเอาไปเป็นคนใช้ หนูลำบากมากค่ะ จนมาอยู่กับพี่หวาน แล้วพี่หวานเขาหัดให้ร้องเพลง”
ใจหวานนั่งดูอย่างพอใจ
“แกตอบได้ดีมากเลยดำ”
“หนูตอบความจริงนี่พี่หวาน มันคล่องกว่าตอนเป็นมิสดอลลี่เยอะเลย ไม่ต้อง มาปิดบังโน่นนี่ ไม่ต้องมานั่งจำว่าโกหกอะไรไปบ้าง”
“ต่อไปเวลานักข่าวมาสัมภาษณ์ แกบอกเขาไปตรงๆ เลยว่าแกเป็นใครเล่าประวัติให้เขาฟังให้หมด แต่ต้องเล่าให้น่าสงสารหน่อยนะ จำไว้เรื่องของแกที่จริงมันมีภาษีจะให้คนอื่นเขาเห็นใจอยู่แล้ว”
“หนูพอจะจับทางได้แล้ว ว่านักข่าวเขาชอบแบบไหน”
ดำยิ้มกริ่มด้วยความมั่นใจ
เขมวรรณนั่งดูทีวี เป็นรายการข่าวบันเทิง เป็นภาพข่าวตอนที่ที่ดำประกวดร้องเพลง ดำตอบคำถามนักข่าวและกรรมการ พิธีกรกำลังกำลังรายงานข่าว
“ไม่ว่ามิสดอลลี่หรือดำจะเป็นใครมาจากไหนก็ตาม แต่เท่าที่ฟังเสียงร้อง เธอร้องได้ดีจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นเพลงประเภทไหน ถ้าประวัติของเธอเป็นลูกครึ่งไทยอเมริกันผิวดำจริงๆ เราจะไปรังเกียจเธอทำไม ไม่ใช่เราจะนิยมนักร้องหรือดาราต่างประเทศมากกว่าคนไทย เราไม่ได้แอนตี้มิสดอลลี่ หรือผู้หญิงคนนั้น แต่หลายๆ คนรวมทั้งเราไม่อยากถูกนักธุรกิจอย่างนายพรพัฒน์หลอกเอา เหมือนเราเป็นคนโง่หรือเด็กอมมือ ที่จะหลอกยังไงก็ได้ เหมือนอย่างสินค้า ถ้าบอกมาเลยว่าเป็นสินค้าไทยเราจะสนับสนุน แต่อย่าปลอมแปลงอย่าหลอกลวง ใครรู้ว่าหลงใช้ของปลอมเราก็ต้องโกรธเป็นธรรมดา”
ภาพดำตอนให้สัมภาษณ์กับกรรมการปรากฏขึ้น
“คนที่มาขอพี่เดือนเขาเอาไปเลี้ยงเป็นลูก...แต่ที่มาขอหนูเขาเอาไปเป็นคนใช้ หนูลำบากมากค่ะ...”
เขมวรรณนั่งดูทีวีที่ดำให้สัมภาษณ์แล้วตกใจ เอามือทาบอก นึกทบทวนความทรงจำ
“ดำ...เดือน...”
เขมวรรณนึกถึงอดีต...สมรมาหาเธอพร้อมดำกับเดือน เมื่อเห็นดำก็รู้สึกขำๆ แต่พอเห็นเดือนกลับกลายเป็นตื่นเต้นและพอใจ ปรี่เข้ามาจับตัวเดือนทันที
“ยายหนูนี่ยิ่งโตยิ่งน่ารัก เจ็ดขวบแล้วใช่มั้ยจ๊ะ”
“ใช่ค่ะ เขาเป็นคนพี่ชื่อเดือน นั่นเป็นน้องชื่อดำ”
เขมวรรณพาเดือนไปนั่งตักบนเก้าอี้ ลูบหน้าลูบหลังลูบแก้มเดือนอย่างเอ็นดู แต่พอปรายตามองดำก็หัวเราะ
“นี่น่ะเหรอที่ว่าแม่เดียวกัน เออแน่ะ เลือดพ่อแรงทั้งคู่ นี่เขาเอามาฝากเลี้ยงไว้ตั้งแต่เมื่อไรล่ะ”
“ตั้งแต่ยังแบเบาะแน่ะค่ะคุณ นังแม่หายสาบสูญไม่ส่งเงินส่งทองมาปีกว่าแล้ว คุณเลี้ยงเป็นลูกเสียทั้งคู่เลยสิคะ นึกว่าเอ็นดูเด็กตาดำๆ”
ดนัยธรนั่งดูแท็บเล็ตอยู่ เขมวรรณเดินเข้ามาไม่สบายใจเหมือนจะร้องไห้
“นัยคะ นัย...”
ดนัยธรเงยหน้าขึ้นมองอย่างแปลกใจ
“มีอะไรเหรอเข็ม”
“คุณเห็นข่าวในทีวีหรือยังคะ”
ดนัยธรก้มลงกดดูแท็บเล็ตต่อ
“ข่าวมีตั้งเยอะแยะ คุณพูดถึงข่าวอะไร”
“เรื่องยัยเดือนน่ะค่ะ”
ดนัยธรถึงกับวางแท็บเล็ตลงทันที
“เกิดอะไรขึ้นกับยัยเดือน”
“คุณจำได้ไหมคะ ที่ฉันเคยเล่าให้ฟังว่าเดือนมีน้องสาวอีกคน เป็นลูกครึ่งนิโกรชื่อดำ”
ดนัยธรนิ่วหน้าคิด
“คุ้นๆ นะ แต่ผมจำรายละเอียดไม่ค่อยได้ มีอะไรเหรอ”
“เมื่อกี้ฉันเห็นเด็กคนนี้ออกทีวีค่ะ แล้วพูดถึงพี่สาวอีกคนชื่อเดือน”
ดนัยนิ่วหน้าเครียดขึ้นมาทันที
6.1.2
ไวภพนั่งดูคลิปในมือถือที่มุมหนึ่งในมหาวิทยาลัย ภาพข่าวคลิปพิธีกรกำลังดำเนินรายการข่าว
“นักร้องเสียงทรงพลัง ดลิน หรือมิสดอลลี่ กุหลาบดำผู้มีชีวิตที่น่าสงสาร เธอบอกว่าตลอดชีวิตไม่เคยได้รับความอบอุ่นจากพ่อแม่หรือจากใครเลย ค่าตัวของเธอเมื่อถูกขายให้คนที่ต้องการเอาไปเลี้ยงดูตอนที่อายุห้าขวบนั้น ราคาเพียงแค่ห้าร้อยบาท”
ภาพในทีวีเป็นภาพที่ดำให้สัมภาษณ์กับสื่อที่หน้าห้องอัดรายการ
“โชคส่งให้หนูได้เป็นนักร้องโดยบังเอิญในนามของมิสดอลลี่ซึ่งเป็นนามแฝงแต่ใครๆ พากันเข้าใจไปเองว่าหนูไม่ใช่คนไทย ที่จริงหนูเป็นคนไทยร้อยเปอร์เซ็นต์ค่ะ แม่หนูเป็นคนไทย หนูเกิดมาไม่รู้จักพ่อ แม่เอาหนูกับพี่สาวชื่อเดือนไปฝากให้ป้าหนอมเลี้ยงตั้งแต่อายุแค่สองสามขวบ” ดำน้ำตาเริ่มคลอ “เพราะแม่ต้องไปทำงานหาเงินมาเลี้ยงดูพวกหนู...”
ไวภพดูคลิปหน้าเคร่งเครียด
“พี่สาวชื่อเดือน...”
ไวภพนึกถึงเดือน
ดนัยธรกับเขมวรรณคุยกันอยู่ในสวนของบ้าน ดนัยธรส่ายหน้าคัดค้านเต็มที่
“ผมไม่เห็นด้วย ทำไมเราต้องให้ยัยเดือนหนีความจริงไปไกลขนาดนั้น”
“ตั้งแต่ยัยเดือนยังเด็ก เราทำทุกอย่างเพื่อให้แกลืมเรื่องในอดีตไม่ใช่เหรอคะ เพราะเราไม่อยากให้ลูกรู้สึกมีปมด้อย จำได้ไหมคะ ตอนที่เพื่อนแกล้อเรื่องมีสีผมแดงไม่เหมือนคนอื่น เรายังต้องหาทางแก้ปัญหาไม่ให้แกรู้สึกแปลกแยก ไม่ให้ลูกรู้สึกว่าแกไม่ใช่ลูกของเรา”
“ผมจำได้ ตอนนั้นเราต้องหาเหตุผลว่าบางทีแกอาจจะผมแดงเหมือนคุณปู่คุณย่าหรือคุณตาคุณยาย ลูกก็ไม่ได้ติดใจสงสัยอะไรอีกเลยนี่”
“ใช่คะ หลังจากนั้นดูเหมือนลูกจะลืมเรื่องในอดีตไปหมดแล้ว เดือนไม่เคยถามอะไรเกี่ยวกับตัวแกกับเราอีกเลย แต่ถ้าเกิดลูกมาได้ยินนักร้องชื่อดำคนนั้นพูด มันก็เหมือนถูกขุดคุ้ยอดีตขึ้นมาอีก มันจะไปกระตุ้นความทรงจำของยัยเดือนว่าแก...แกไม่ใช่...ไม่ใช่...”
ดนัยธรจับมือเขมวรรณไว้ บีบเบาๆ
“อย่าคิดมากสิเข็ม ยัยเดือนอาจจะไม่คิดอะไรเลยก็ได้”
“ฉันว่าลูกต้องคิดค่ะ แกคงจำน้องสาวตัวเองได้ แม้แต่พวกนักข่าวยังอยากรู้ว่าพี่สาวของดำที่ชื่อเดือนเป็นใคร สักวันพวกเขาอาจจะตามสืบมาจนเจอว่าเป็นยัยเดือนของเราก็ได้”
“มันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอกเข็ม ผมจะไม่ยอมให้ใครมายุ่งกับลูกเราเด็ดขาด”
“แต่ถ้ายัยเดือนได้ยิ นแล้วแกอยากจะกลับไปหาครอบครัวเดิมของตัวเองละคะ”
“ไม่มีทาง ยัยเดือนอยู่กับเรามีความสุขดีแล้ว ไม่มีทางจะกลับไปอยู่กับครอบครัวเดิมหรอก แล้วคุณคิดเหรอว่าส่งลูกไปเมืองนอกแล้วแกจะไม่รู้ไม่เห็น เดี๋ยวนี้สื่อมันไปถึงทั่วโลกแล้วนะ ถึงยัยเดือนจะไม่ได้ดูทีวีในเมืองไทยก็ดูทางอินเตอร์เน็ตได้เหมือนกัน”
“อย่างน้อยแกก็จะได้ห่างจากสังคมบ้านเราไปบ้าง ดีกว่าอยู่ที่นี่แล้วมีคนคอยสะกิดคอยตอกย้ำตลอดเวลา”
“ผมไม่อยากเห็นลูกไปไกลหูไกลตาเรา แค่นี้ก็มีเรื่องผู้ชายไม่ซ้ำหน้าแล้ว ถ้าไปอยู่เมืองนอก แถมเป็นวัฒนธรรมฝรั่งด้วย ทุกอย่างคงฟรีหมด”
“ทำไมคิดไปไกลขนาดนั้นคะนัย”
“ผมไม่ได้คิดไกลเลย มันอาจจะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เพราะลูกเราโตขึ้นทุกวัน แกอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ จะทำอะไรก็ต้องคิดให้รอบคอบ”
“เราส่งแกไปซัมเมอร์ก่อนก็ได้นี่คะ”
“งั้นคุณต้องตามไปคุมด้วย”
“ได้ค่ะ ฉันจะไปกับแก”
อ่านตอนที่ 6(ต่อ) พรุ่งนี้เวลา 09.00 น.
ข้าวนอกนา ตอนที่ 6 (ต่อ)
แทนที่ดนัยธรจะพอใจ กลับหงุดหงิด ทำเสียงจิ๊กจั๊กไม่พอใจ เพราะไม่คิดว่าเขมวรรณจะตกลงง่ายๆ
“ผมกลัวว่าคุณจะไม่ทันเด็ก ยัยเดือนอาจจะแอบหนีไปทำอะไรไม่ให้คุณรู้ก็ได้”
“คุณอคติกับลูกมากเกินไปหรือเปล่าคะ ฉันไม่คิดว่ายัยเดือนจะเป็นคนแบบนั้นหรอกค่ะ”
“ทีคุณยังคิดเลยว่ายัยเดือน จะกลับไปอยู่กับครอบครัวเดิม”
“มันไม่เหมือนกันนะคะ ที่ฉันคิดเพราะมันมีสาเหตุ น้องสาวมาประกาศตัวอยู่ทนโท่ขนาดนั้น”
“ผมว่าคุณกังวลมากเกินไป จนแก้ปัญหาไม่ถูกจุด ผมไม่เห็นด้วยที่จะส่งลูกหนีไปเมืองนอกเพราะเรื่องแค่นี้”
เขมวรรณไม่ค่อยพอใจ
“แสดงว่าคุณไม่เดือดเนื้อร้อนใจอะไรเลยเหรอคะ”
“ผมเป็นห่วงลูก แต่ไม่เห็นด้วยกับวิธีของคุณ ขอผมคิดดูก่อนก็แล้วกันว่าจะทำยังไงต่อไป”
ดนัยธรเดินหนีไป เขมวรรณได้แต่มองตามเครียดๆ
โจ้กับจรูญศรีนั่งดูข่าวในทีวี
“มีสดอลลี่ดังเปรี้ยงปร้างขึ้นมาพร้อมกับข่าวฉาวลวงโลก ที่พลิกผันมาเป็นละครชีวิตเรื่องเศร้าเคล้าน้ำตา น้ำเน่ายิ่งกว่าละครเรื่องไหนๆ ลูกครึ่ง ไทย-อเมริกันนิโกร ที่ถูกพ่อแม่ทอดทิ้งตั้งแต่เด็ก ต้องไปเป็นคนรับใช้ในบ้าน เศรษฐี ก่อนจะมาเป็นนักร้องดังที่ผ่านเข้ารอบรายการ The Song ตอนนี้สิ่งที่นักข่าวเริ่มสนใจก็คือ ใครคือแม่ที่แท้จริง และใครคือพี่สาวของดำที่ชื่อเดือนกันนะ...”
โจ้ดีดนิ้วเปาะ หันไปพูดกับจรูญศรีที่นั่งดูอย่างนึกไม่ถึง
“ต้องเป็นเดือนเดียวกันแน่ๆ เลยแม่”
“แม่ก็ว่าใช่ มันไม่บังเอิญชื่อเดือนเหมือนกันหรอก แกลองไปสืบดูซิโจ้ ว่าใช่แน่หรือเปล่า”
“แม่ช่วยโจ้สืบด้วยสิ ทางน้าเข็มน่ะถ้าได้ยินเรื่องนี้ต้องอยู่นิ่งไม่ได้แน่”
“เรื่องนั้นไม่ยากหรอก”
จรูญศรียิ้มมั่นใจ
วันใหม่...ดำซ้อมร้องเพลงลูกทุ่งจังหวะมันๆและเต้นกับคาราโอเกะอย่างสนุกสนาน โดยมีจอร์จและใจหวานนั่งดูอยู่ จนถึงท่าจบที่ดำดีไซน์ออกมาแบบเซ็กซี่และเท่ ใจหวานกับจอร์จตบมือให้
“หนูร้องเป็นไงมั่งพี่หวาน”
“หมั่นไส้”
ดำหน้าเหวอ
“อ้าวๆ ทำไมมาหมั่นไส้กันล่ะ หนูให้พี่วิจารณ์การร้องเพลงของหนูนะ”
“ก็หมั่นไส้ที่แกดันร้องดีไม่มีที่ติดน่ะสิ ยกเว้นหน้าตาแก”
ดำค้อนใจหวานขวับใหญ่
“โอเค หนูจะคิดว่าเป็นคำชมก็แล้วกัน...แล้วครูจอร์จละคะว่าไง”
“เธอเต้นได้สนุกมาก ร้องเพลงเร็วก็เสียงไม่มีตกเลย อย่างนี้ชนะใสๆ”
“โว้ว...” ดำยกมือไหว้ “ขอบคุณมากค่ะครู...แบบนี้สิพี่หวานถึงจะชมแบบไม่ต้องตีความ”
ใจหวานหันไปหาจอร์จ
“ครูอย่าไปยอนังดำมากนักนะคะ เดี๋ยวมันจะเหลิง”
“ผมไม่ได้ยอ ผมชมจากใจจริง ถ้าติผมก็จะติตรงๆ ชมก็ชมตรงๆ เลย...ตอนนี้เธอดังกว่าผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆ แล้วนะดำ ต่อไปเธอต้องเป็นตัวของตัวเองแบบธรรมชาตินี่แหละ อย่าเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เหมือนใคร”
“ค่ะ ถึงให้เปลี่ยนหนูก็เปลี่ยนไม่ได้หรอกค่ะครู หนูมันแปลกไม่เหมือนใครอยู่แล้ว”
ดำหน้าตามั่นใจมาก จอร์จยิ้มภูมิใจ
“งั้นลองซ้อมอีกรอบนึง ครูว่าตรงท่อนฮุกเธอใส่ความเป็นลูกทุ่งเข้าไปได้อีกนะ”
ดำเริ่มร้องเพลงอีก ใจหวานมองดำกับจอร์จสลับกันไปมา เห็นสายตาชื่นชมของจอร์จก็รู้สึกหมั่นไส้ดำขึ้นมา
ดำกับใจหวานออกมาส่งจอร์จที่หน้าบ้าน
“หวานขับรถไปส่งนะคะครู”
“ไม่เป็นไร หวานอยู่ดูดำซ้อมต่อดีกว่า พรุ่งนี้ก็ต้องแข่งรอบสองแล้ว”
“ดำมันอยู่ตัวแล้วค่ะ ไม่ต้องซ้อมมากหรอก”
“อย่าประมาทดีกว่าหวาน เราคิดว่าเราทำดีแล้ว คนอื่นอาจจะดีกว่าก็ได้”
“ให้พี่หวานไปส่งครูก่อนก็ได้นี่คะ หนูซ้อมของหนูเองได้”
“ไม่ได้หรอก หวานต้องช่วยดูช่วยวิจารณ์ด้วย ครูต้องรีบไปคลินิก ไม่อย่างนั้นก็จะอยู่ต่อ ครูไปก่อนนะ แล้วพรุ่งนี้เจอกัน”
“ขอบคุณค่ะ”
“ขอบคุณค่ะครูจอร์จ”
ดำกับใจหวานยกมือไหว้ จอร์จรับไหว้แล้วเดินออกไป ใจหวานมองตามอย่างชื่นชม
ดำกับใจหวานเข้ามาในบ้าน ใจหวานผลักหัวดำเบาๆ
“ฮึ...หมั่นไส้”
ดำหันไปมองหวานงงๆ
“อ้าว...พี่หวาน หนูก็อยู่ของหนูเฉยๆนะ จะมาหมั่นไส้อะไรอีก”
“ก็ดูท่าทางครูจอร์จจะปลื้มแกจนออกนอกหน้าน่ะสิ สงสัยจะชอบของแปลกของดำ ฝรั่งก็ยังงี้แหละ”
“ครูจอร์จชอบหนูร้องเพลงมากกว่ามั้งพี่หวาน”
“แต่สายตาที่เขามองแกมันไม่ใช่แค่ชอบแกร้องเพลง มันมากกว่านั้น”
“ใคร้...จะมาชอบหนู มีแต่คนว่าหนูตัวดำน่าเกลียด ครูจอร์จคงสงสารหนูมากกว่า”
“แล้วแกชอบครูจอร์จบ้างหรือเปล่า”
“หนูนับถือเขานะ แต่ชอบแบบพี่หวานคิดน่ะไม่เคยแน่ หนูไม่มีทางชอบเขาหรอก”
“ทำเป็นมั่นใจ แกยังไม่รู้จักครูจอร์จดีพอ เขาเป็นคนดีมาก มีน้ำใจสุดๆ แถมยังหล่อเพอร์เฟ็คท์ทุกอย่าง แกต้องโง่หรือบ้าไปแล้วถึงจะไม่ชอบเขา”
ดำหันไปมองหวาน
“หนูคุยกับเขาไม่รู้เรื่อง หนูกลัว...”
“เขาก็พูดไทยได้นี่ กลัวอะไรของแก”
“ครูจอร์จฉลาดเกินไป แล้วเขาก็เป็นฝรั่งเหมือน...เหมือนกับพ่อหนู”
“เหมือนที่ไหน เขาเป็นฝรั่งผิวขาว ไม่ใช่นิโกรซะหน่อย”
“จะนิโกรหรือไม่ใช่นิโกรมันไม่สำคัญหรอกพี่หวาน แต่เขาไม่ใช่คนไทยเขาเป็นฝรั่ง เป็นต่างชาติ”
“ก็เหมือนกับแกไง แกเป็นลูกครึ่ง แกก็ไม่ใช่คนไทยร้อยเปอร์เซ็นต์”
“แต่หนูเกิดเมืองไทย แถมไม่เคยเจอพ่อเลย นอกจากสายเลือดแล้วหนูไม่มีอะไรที่เป็นลูกครึ่งเลยสักนิดเดียว พี่หวานไม่เป็นหนูพี่ไม่เข้าใจหรอก ตั้งแต่เกิดมาหนูถูกมองว่าเป็นคนแปลกไม่เหมือนใคร เป็นลูกไม่มีพ่อไม่มีแม่หน้าตาก็ขี้เหร่น่าเกลียด สารพัดที่เขาจะด่าว่า คนหล่อรวยเพอร์เฟคท์อย่างครูจอร์จจะมาชอบหนูได้ยังไง”
“เขาอาจจะเห็นอะไรดีๆ ในตัวแกที่คนอื่นมองไม่เห็นก็ได้”
“หนูมีอะไรดีที่เขามองเห็นล่ะ นอกจากเสียงร้องของหนู หนูไม่มีอะไรที่เขาจะมาชอบได้เลย ที่จริงเขาคงสงสารหนูมากกว่า แต่หนูอยากได้ความรัก ไม่ใช่แค่ความสงสาร”
“แกมันโง่ ทั้งโง่ทั้งบ้า เฮ้อ...ถ้าครูจอร์จสนใจฉันสักนิดนะ จะไม่เล่นตัวแบบแกหรอก”
ใจหวานส่ายหน้าอย่างไม่เข้าใจ ดำมองตามใจหวาน ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรดี
เดือนเดินอยู่ในมหาวิทยาลัย เธอมองไปรอบๆอย่างรู้สึกผิดปกติ เพราะมีแต่คนจ้องมองเธอแล้วหันไปซุบซิบกัน เดือนแปลกใจ...เดือนเดินมาที่โต๊ะใต้ตึกเรียนเห็นโจ้กำลังเมาท์กับฝ้ายและเอ๋อย่างออกรส
“มันมีหลายอย่างที่ตรงกันนะ ยัยดำนั่นให้สัมภาษณ์ว่าพี่สาวเป็นลูกครึ่งฝรั่งผิวขาวชื่อเดือน”
ฝ้ายแย้ง
“แต่ชื่อเดือนมีเหมือนกันเยอะแยะนะพี่โจ้ มันอาจจะบังเอิญตรงกันก็ได้”
เอ๋ไม่เชื่อ
“นั่นสิ คนสวยน่ารักอย่างเดือนจะไปเป็นพี่น้องกับยัยดำนั่นได้ไง”
ฝ้ายพูดต่อ
“ก็เขาว่าเป็นพี่น้องคนละพ่อกันไง พ่อเดือนเป็นฝรั่ง ไม่ใช่นิโกรอย่างมิสดอลลี่”
เดือนอึ้งไป จะเดินหนี พอเพื่อนหันมาเห็นเดือนก็แปลกใจ ฝ้ายหันไปหา
“อ้าว...เดือน มาตั้งแต่เมื่อไร”
เดือนหาทางเลี่ยง
“สักพักนี่เอง เดี๋ยวต้องไปเรียนต่อแล้ว”
เอ๋รีบขัด
“เพิ่งมาทำไมจะรีบไปล่ะ นั่งคุยกันก่อนสิ กำลังมันเลย”
โจ้หันไปถามเดือน
“เดือนได้ดูรายการประกวดร้องเพลงหรือเปล่า”
เดือนส่ายหน้า
“ร้องเพลงอะไรเหรอคะ”
“ก็รายการ The Song ไง” เอ๋บอก
“ไม่ทันได้ดูจ้ะ พอดีอ่านหนังสือสอบอยู่ แต่เห็นคนพูดถึงเยอะเหมือนกันนะ”
ฝ้ายหันมาบอก
“แกน่าจะดูนะเดือน มีคนพูดถึงคนชื่อเหมือนแกด้วย”
เอ๋พูดต่อ
“เรากำลังคุยกันอยู่เลยว่าพี่สาวของมิสดอลลี่นั่นน่ะเป็นใครกันแน่”
โจ้เลียบๆเคียงๆ
“คงไม่เกี่ยวกับน้องเดือนหรอกมั้ง”
เดือนสบตา โจ้ยิ้มกริ่มอย่างมีเลศนัย
“มิสดอลลี่ไหน งงไปหมดแล้ว ก็บอกแล้วว่าไม่ได้ดู”
ฝ้ายส่ายหน้า
“โธ่...เดือน แกเอ๊าท์มากเลยนะ ไม่รู้จักมิสดอลลี่เนี่ย นักร้องคนนี้เคยใช้ชื่อ มิสดอลลี่ ทำให้คนเข้าใจผิดว่าเป็นนักร้องอเมริกันนิโกร แล้วต่อมาก็เข้าประกวดรายการ The Song เขาให้สัมภาษณ์ว่าชื่อเล่นชื่อดำ มีพี่สาวอีกคนเป็นลูกครึ่งฝรั่งผิวขาวชื่อเดือนเหมือนแกเลย”
เดือนพูดเรียบนิ่ง
“บังเอิญชื่อเหมือนกันน่ะ”
“นั่นสิ” โจ้แกล้งมองหน้าเดือนให้รู้ตัว “ถึงแม้น้องเดือนจะหน้าออกแนวลูกครึ่ง แต่น้องเดือนไม่ใช่ลูกครึ่งนี่นา พ่อแม่เป็นไทยแท้ทั้งคู่...คงไม่เกี่ยวกันใช่ไหมครับน้องเดือน”
เดือนดูนาฬิกา
“ค่ะ...เดือนต้องไปเรียนแล้ว ขอตัวนะคะ”
เดือนรีบเลี่ยงไป
“อ้าว...เดือน” เอ๋หันไปบ่นกับฝ้าย “เรียนวิชาอะไร ทำไมเราไม่เห็นรู้เลย”
ฝ้ายนึกได้
“นัดกับนายไวละมั้ง”
โจ้มองตามพลางยิ้มหยัน
ไวภพจับมือเดือนไว้พลางปลอบ
“ใจเย็นๆ นะเดือน ถ้ามันไม่ใช่ความจริง เราก็ไม่เห็นต้องไปแคร์อะไรเลยนี่”
เดือนได้แต่ถอนใจ ไวภพมองสงสัย
“หรือว่ามันเป็นความจริง”
เดือนหลบตาเบือนหน้าหนี
“ไวอย่ามาคาดคั้นเดือนตอนนี้เลยนะคะ”
“โอเคครับ ผมขอโทษ”
ไวภพจับบ่าเดือนให้หันมา
“มีอะไรเดือนเล่าให้ผมฟังได้ทุกอย่างนะ ผมยินดีรับฟังเสมอ”
“เดือน...เดือนไม่มีอะไรจะเล่านี่คะ”
“ไม่เป็นไรครับ ถ้าอยากเล่าเมื่อไรค่อยเล่าก็ได้”
“ค่ะ เดือนกลับบ้านก่อนนะคะ”
เดือนเดินออกไป ไวภพมองตามเป็นห่วง