อาญารัก ตอนที่ 6
ยายอ่อนเองก็ทำอะไรไม่ถูก นั่งนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง พยายามคิดหาหนทางทำให้เรียมยอมรับความจริงว่าลูกสาวตายแล้ว
“คุณเรียมเจ้าขา คุณเรียมให้ อิชั้นมาบอกเรื่องลูกของเนียนใช่ไหมเจ้าคะ”
เรียมจึงมีสตินึกได้ “ลูกของเนียน เป็นอย่างไรบ้างยาย”
“เป็นฝาแฝดเจ้าค่ะ”
เรียมตกใจแทบช็อค! สะท้อนใจในวาสนานัก
“เป็นฝาแฝด ฝาแฝด เป็นฝาแฝด ลูกเนียนเป็นฝาแฝด เนียนมีลูกทีเดียวสองคน ทำไมโชคชะตาถึงโหดร้ายกับชั้นนักยายจ๋า ท่านขุนกลับมาเจอว่ายายหนูมีอันเป็นไปเช่นนี้ ชั้นกับท่านขุนจบสิ้นกันทันที”
เรียมร้องไห้ ยายอ่อนปลอบ
“ถ้าเช่นนั้น ใครจะมารู้เรื่องนี้ไม่ได้ดอกเจ้าค่ะ อิชั้นกำลังคิดหาทางออกเรื่องนี้อยู่เจ้าค่ะ แต่คุณนายเรียมต้องไว้ใจอิชั้นนะเจ้าคะ”
“จ้ะ ขอบใจยายมาก เอ้อ..ยายจ๋า ชั้นอยากเห็นหน้าลูกของเนียน ชั้นจะไปดูลูกเนียน”
“ออกไปตอนนี้ไม่ดีแน่เจ้าค่ะ เอาอย่างนี้นะเจ้าคะ คุณนายรอที่นี่ ยายจะไปบอกเนียนว่าคุณนายอยากเห็นหน้าลูกของเนียนเจ้าค่ะ”
“เอาลูกเนียนมาให้ชั้นดูให้ได้นะยาย บอกเนียนว่าชั้นดีใจด้วย”
ยายอ่อนพยักหน้า หันมาสำทับเรียม
“พออิชั้นออกไป ปิดห้องลงกลอนให้เรียบร้อย อย่าเปิดให้ใครเข้ามานะเจ้าคะ ถ้าไม่ใช่อิชั้น อย่าให้ใครรู้เรื่องคุณหนูเด็ดขาดเจ้าคะ”
“จ้ะยาย”
เรียมเดินมาเปิดประตูให้ยายอ่อนออกไปแล้วลงกลอน อุ้มลูกไว้ในอ้อมอก น้ำตาไหลพรากต่อไป
“ทำไม ทำไม หนูถึงไม่ยอมอยู่กับแม่ ทำไมหนูถึงไม่รักแม่คนนี้ ทั้งที่แม่เฝ้ารอคอยหนูมาร่วมกว่าสิบปี”
เรียมคร่ำครวญไม่เลิกรา
ส่วนเนียนเอาลูกสองคนหอบซ้ายขวาในอ้อมอก มีแต่ความรักความสุขต่างจากเรียมลิบลับ
“ลูกรักของแม่ แม้เราจะยากจะจนเราจะอาภัพอัปภาคย์ แต่แม่สาบานว่าลูกของแม่จะไม่จนความรักและความสุขจ้ะ แม่จะทำงานหนักแลกข้าวแลกน้ำมาให้ลูกทั้งสองกินอิ่มนอนหลับ รอสักวันความจริงจะปรากฏ”
เนียนก้มลงจูบลูกน้อยทีละคน
ขณะเดียวกันที่หน้าห้อง เอกตะลึง
“ยายเอาอะไรมาบอกข้า ยายจ๋าไม่ใช่เวลามาพูดตลก”
“ข้าไม่ได้พูดเท็จ ข้าพูดความจริง ข้าจึงรีบมาปรึกษาพ่อเอก ให้หาทางช่วยคุณนายเรียม ท่านหัวใจแตกสลาย เอาแต่คร่ำครวญร้องไห้ ไม่ยอมปล่อยลูกให้ใคร ลองคิดดูสิว่าถ้าพรุ่งนี้ท่านขุนกลับมาเจอคุณเรียมสภาพนี้ จะเกิดอะไรขึ้น”
“ก้อ บ้านแตกสาแหรกขาดน่ะสิ”
“ถ้าเช่นนั้นพ่อเอก ช่วยข้าคิดหน่อยสิ ว่าจะแก้ปัญหานี้อย่างไร”
“เมื่อสักครู่ยายบอกใช่ไหมว่า คุณนายเรียมเธออยากเห็นลูกของเนียน”
“ใช่จ้ะ”
เอกนั่งนิ่งคิดทบทวนไปมา
เนียนเหลียวไปมองยายอ่อนกับเอกที่เข้ามาในห้องพร้อมกัน และมานั่งอ้ำอึ้งกันอยู่ตรงหน้าเนียน
“ยายอ่อน ไปบอกเรื่องลูกของเนียนกับคุณนายเรียมแล้วหรือจ๊ะ”
สองคนมองหน้ากัน
“บอกแล้วจ้ะ”
“คุณนายเรียม ท่านช่างแสนดีกับเนียน ท่านยังคงห่วงใยเนียนเสมอ แอบให้กบกับแมวเอาของมาแบ่งให้เนียนใช้เนียนกินบ่อยครั้ง”
“นั่นสิจ้ะเนียน ท่านรักเนียนมาก ไม่ว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้น ไม่ว่าใครจะว่าเนียนเช่นไร ท่านก็ยังเห็นว่าเนียนคือน้องสาวของท่านเสมอ” เอกว่า
“เนียนทราบค่ะ เนียนระลึกพระคุณท่านเสมอ เนียนต้องตอบแทนพระคุณท่านให้ได้ แต่ตอนนี้เนียนจนปัญญา”
“ไม่จนปัญญาดอกจ้ะเนียน ยายอ่อนแกมีอะไรจะบอก เนียน” เอกว่า
เนียนอยากรู้ “บอกมาสิจ้ะยาย”
“ลูกสาวของคุณนายเรียมตายแล้ว”
เนียนตะลึงนิ่งงันไปชั่วขณะ
“เป็นไปได้อย่างไรกัน โธ่...”
“ยายแกบอกว่าคุณนายเสียใจจนแทบจะเป็นจะตาย ท่านทำใจไม่ได้ เอาแต่กอดลูกร้องไห้” เอกว่า
“โธ่...เนียนเสียใจเนียนสงสารท่านเหลือเกิน”
“แม้ท่านจะเอาแต่ร้องไห้เสียใจ แต่ท่านยังไม่วายห่วงใยเนียน ท่านถามถึงลูกของเนียนด้วยจ้ะ” ยายอ่อนเอ่ยขึ้น
“ท่านดีใจที่เนียนได้ลูกแฝด แล้วท่านก็อเน็จอนาถชะตาชีวิตตัวเองที่ต้องเสียลูกไป ทั้งที่ได้เจอลูกเพียงสองสามชั่วโมงเท่านั้น” เอกบอก
“ท่านบอกว่าถ้าท่านขุนกลับมารู้ว่าเกิดอะไรกับลูกท่าน ท่านตัดขาดคุณนายเรียมแน่นอน”
“ข้อนี้เนียนทราบมาแล้วจ้ะ ใครจะช่วยท่านได้เล่าจ้ะ พี่เอก ยาย” เนียนมีสีหน้าฉงน
เอกกะยายอ่อนประสานเสียง “เนียนนั่นแหละ”
“เนียนรึ”
สองคนพยักหน้า
“ท่านอยากเห็นลูกของเนียน ท่านจะมาหาเนียนด้วยตัวเอง แต่ยายห้ามไว้”
“เนียนเต็มใจให้ท่านเห็นลูกจ้ะ แต่เนียนเองไม่อาจไปทางเรือนหน้าได้”
“ก็ให้พี่อุ้มไปหาท่านแทนสิจ้ะ เอาไปคนเดียวก็พอ”
เนียนยังไม่เข้าใจ “ทำไมเอาไปคนเดียวจ๊ะพี่เอก”
เอกกับยายอ่อนมองหน้ากันอีก เนียนมองสองคนให้สงสัยหนักหนา
“เมื่อสักครู่เนียนเอ่ยว่าใครจะช่วยท่านได้ พี่กับยายบอกว่าเนียนนั่นแหละก็หมายความว่า”
เอกกับยายอ่อนมองเด็กในมือเนียนเป็นเชิงบอก เนียนมองตามสองคนใจหายวับ
ด้านเรียมยังนั่งเหม่อลอยน้ำตาไหล
“ทำไม ทำไมหนูทิ้งแม่ไปทั้งที่แม่ต้องการหนูมากมายเหลือเกิน”
เอกเกลี้ยกล่อมเนียนต่อ
“ถ้าเนียนต้องการทดแทนพระคุณท่าน ได้แน่นอนถ้าท่านได้รับการชดเชย”
“ยกยายหนูให้ท่านไปคนหนึ่ง เพื่อชดเชยกับลูกท่านที่เสียไป”
“เพื่อให้ท่านขุนไม่โกรธแค้นและตัดขาดกับท่าน” เอกเสริม
เนียนมองลูกทั้งสองกระชับอ้อมแขนเอาลูกมาแนบอกไว้ นิ่งงันเงียบไปน้ำตาไหลรินทั้งสองแก้ม
เนียนก้มลงหอมลูกน้อยทั้งสอง เพ่งพิศมองลูก
“พี่เอก ยายอ่อน ออกไปนั่งรอเนียนสักครู่ เนียนขอให้นมลูก ขออยู่กับลูกตามลำพัง ขอให้เนียนได้ส่งถ่ายความรู้สึกความรักของเนียนไปสู่ลูกให้เต็มที่สักครู่”
สองคนมองหน้า พยักหน้าให้กัน
“ลูกจ๋า แม่รักลูกที่สุดในโลก แม่หวังดีกับลูกที่สุดในโลก แม่อยากเลี้ยงลูกด้วยตัวของแม่เองที่สุดในโลก แต่.. บุญคุณต้องทดแทนนะ คือสิ่งที่เราคนไทยสั่งสอนลูกหลานให้ปฎิบัติสืบเนื่องต่อกันมาช้านานนะจ๊ะลูก”
เนียนน้ำตาหยดเผาะๆ
ค่อนรุ่งแล้ว สนนอนกระสับกระส่าย มีเทิดศักดิ์นอนหลับอยู่ใกล้ๆ
“ทำไมเอ็งต้องหน้าเหมือนอีเนียนด้วย เด็กบ้า หน้าตาแม่ก็แสนจะดีจะสวยงาม ทำไมเอ็งต้องไปเลือกหน้าเหมือนมัน”
ช้อยโผล่มา
“ชะรอยว่าจะนิสัยเหมือนมันเข้าไปอีกด้วยนะเจ้าคะ แย่เลยนะเจ้าคะ”
“เด็กอะไรไม่เอาแม่สักอย่าง ไม่ได้ ข้าไม่ยอมให้ลูกข้านิสัยเซ่อซ่าโง่เง่า ใจอ่อนเหมือนอีเนียนแน่”
“แต่พ่อ เอ้อ...หมายถึงไอ้หนักน่ะเจ้าค่ะ มันเหี้ยมนะเจ้าคะ”
“พอที เอ็งเอาเด็กนี่ไปนอนห่างๆ ข้าได้ไหม ข้าเห็นหน้าแล้วหลับไม่ลง เหมือนเห็นหน้าอีเนียนมานอนข้างๆ จะกอดจะหอมก็สะกิดใจเหมือนไปกอดไปจูบอีเนียน”
“งั้นคิดว่ากอดจูบพ่อมันสิเจ้าคะ” ช้อยว่า
“เอ๊ะ อีช้อยบอกให้เอาเด็กไปนอนด้วย”
“เจ้าค่ะ มามะคุณหนูเทิดศักดิ์คนดีของอีช้อย โตขึ้นอย่านิสัยเหมือนอีเนียนนะเจ้าคะ”
สนเดินไปมองที่หน้าต่างเรือนหลังใหญ่
“ไฟเรือนอีเรียมมันยังเปิดอยู่ มันทำอะไรของมันป่านนี้ยังไม่ยอมหลับยอมนอน”
“มันเห่อลูกน่ะสิเจ้าคะ เห่อลูกจนไม่ยอมหลับยอมนอน มันกำลังคิดว่า ทำอย่างไร ท่านขุนจะรักลูกมันมากกว่าลูกคุณสนเจ้าค่ะ” ช้อยสาระแน
สนกริ้ว ขัดรูหู “หยุดนะ ช้อย อีแก่มันเพิ่งพูดกับข้าอย่างนี้ ว่าพี่ขุนจะหลงรักลูกอีเรียม”
“จบเห่สิเจ้าคะ”
“ไม่จบแน่ ข้านึกออกแล้ว”
“อะไรเจ้าคะ”
“ข้าจะช่วยมันเลี้ยงลูก จะสอนให้ลูกมันนิสัยเลวมากๆ”
“เลวเหมือนใครกันเจ้าคะ”
“เหมือนเอ็ง” สนพูดใส่หน้าบ่าวผู้ภักดี
ช้อยครวญ “คุณสนเจ้าขา”
ส่วนเนียนน้ำตาไหลพราก ส่งลูกให้ยายอ่อน
“เรียนท่านว่า เนียนเต็มใจยกให้ท่าน เนียนขอตอบแทนพระคุณที่ท่านให้ชีวิตใหม่กับเนียนเมตตาเนียนเสมอมาจ้ะ”
เอกกะยายอ่อนตื้นตัน “เนียน”
“ไปดีนะลูกรัก ไปเพื่อชีวิตที่ดีกว่าของหนู พี่เอก ยายอ่อน เนียนสัญญาว่าจะไม่แพร่งพรายให้ใครรู้เรื่องนี้เด็ดขาดจ้ะ”
ยายอ่อนรับเด็กไปจากเนียน
“ยายนึกแล้วว่าเนียนต้องทำเช่นนี้ ขอบใจแทนท่านด้วยนะจ๊ะ”
“พี่ก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน เชื่อพี่สิว่าการทดแทนพระคุณของเนียนในครั้งนี้ พระคุณนั้นจะย้อนกลับมาเผื่อแผ่ถึงยายหนูคนที่อยู่กับเนียนแน่นอน”
“รีบไปเถิดจ้ะยาย พี่เอก ใกล้เช้าแล้ว ใครจะตื่นมาเจอเอาจ้ะ”
ยายอ่อนอุ้มเด็กออกไปพร้อมกับเอก กอดปิดๆบังๆเอาไว้ พอสองคนพ้นสายตา เนียนน้ำตาร่วงพรูอาลัยลูก
“ไปดีนะทูนหัวของแม่”
เนียนน้ำตาไหลพราก กอดลูกคนที่เหลือแนบอกไว้
ยายอ่อนหิ้วตะกร้าใบใหญ่พอสมควร มีฝาปิด เดินไปกับเอกท่าทางรีบร้อน
สนกำลังหลับ ช้อยวิ่งมาเขย่าเรียก
“คุณสนเจ้าขา มาดูอะไรนั่นสิเจ้าคะ”
ช้อยเขย่าสนงัวเงียขึ้นมา
“ดูบ้าดูบออะไรของเอ็ง ข้ากำลังหลับฝันว่าได้ใส่ร้ายให้พี่ขุนเฆี่ยน อีเนียนกับลูกมัน”
“ช้อยเห็นยายอ่อนกับไอ้พี่เอก มันกำลังหิ้วตะกร้าเดินลัดเลาะไปทางเรือนคุณนายเรียมเจ้าค่ะ”
สนไม่ใสนใจ “มันก็เดินพล่านไปพล่านมาเพราะบ้าเห่อลูกสาวอีเรียมนั่นแหละ ช่างมันเถิด ข้าจะนอนจะฝันต่อกำลังสาแก่ใจ”
“แน่ใจนะเจ้าคะ ว่าจะไม่ให้ช้อยลงไปแอบดูแอบฟังพวกมัน”
“ตามใจเอ็ง”
ขณะที่ช้อยกำลังจะออกไปจากห้อง เสียงเทิดศักดิ์ร้องจ้า ช้อยชะงัก
ไม่นานนัก เอกนั่งอยู่หน้าเรือนใหญ่ เหมือนคอยระวังภัเต็มที่ ส่วนในห้องนอนเรียม ยายอ่อนยิ้มย่องเข้ามาพร้อมด้วยลูกของเนียนที่ยกออกมาจากตะกร้า ส่งให้เรียมดู เรียมมองแล้วตื่นเต้นมาก
“น่ารักน่าชังแท้ๆ”
“ก็ลองอุ้มดูสิเจ้าคะ”
เรียมละล้าละลังมองลูกตัวเองในอ้อมกอด
“แล้ว ยายหนูของชั้น”
“ส่งมาให้อิชั้นสิเจ้าคะ”
เรียมยอมส่งลูกให้ยายอ่อนที่เอาอีกมือรับไป พร้อมกันนั้นยายอ่อนวางลูกเนียนลงบนอกเรียม ที่นอนเอนนิ่งอยู่บนเตียง
ลูกเนียนนอนบนอกของเรียม เรียมเอื้อมแขนมากอดเด็กไว้ ก้มหน้ามามอง เด็กหลับตาพริ้มให้อ้อมแขนเรียม
“โถ น่าเอ็นดูแท้ๆ น่าเหมือนเนียนไม่มีผิด”
“เจ้าค่ะ เหมือนคุณหนูเทิดศักดิ์ด้วยเจ้าค่ะ” ยายอ่อนว่า
“น่าทะนุถนอมเหลือเกิน เนียนเขายอมให้ชั้นดูลูกเขานานแค่ไหนจ้ะยาย”
“คุณนายเรียมอยากดูนานแค่ไหนเจ้าคะ”
จูๆ ทารกน้อยเบะหน้าหิวนมร้องไห้จ้า
“ร้องไห้ดังซะด้วย หิวนมหรือจ้ะยายหนู”
“ให้นมแกรับประทานสิเจ้าคะ” ยายอ่อนบอก
“มามะมากินนม กันนะยายหนู”
เรียมทำท่าจะให้นมเด็ก ยายอ่อนวางเด็กลูกเรียมลงในตะกร้าขณะที่เด็กลูกเนียนกินนมเรียม เงียบไปแล้ว
เอกนั่งรอยายอ่อนอยู่ เห็นช้อยเดินย่องๆมา
“พี่เอก กลายเป็นยามประจำทุกเรือนในบ้านนี้ไปแล้วรึ”
“แล้วเอ็งเล่า นางช้อย กลายเป็นสัมภเวสีไม่มีที่ไปแล้วรึ ร่อนไปร่อนมาไปมันทุกเรือน เอ็งมาสอดแนมอะไร”
“เปล๊า นอนไม่หลับลงมาเดินเล่น ได้ยินเสียงเด็กร้อง ก็แค่หยุดฟัง”
“ฟังแล้วก็ก้มลงกราบงามๆ ด้วยสิ” เอกแขวะ
“ไอ้พี่เอก”
“ไม่แวะไปฟังเสียงเด็กร้องที่กระท่อมเนียนบ้างรึ จะได้นึกอยากหาผัว แล้วมีลูกร้องให้ฟังสักคน จะไปไหนก็ไป ถ้าคุณนายเรียมรู้ว่าเอ็งมาสอดรู้เธอเคืองแน่ อ้อ แล้วไอ้ที่ทำทีเป็นช่วยคิดว่าเขาจะหัวฟาดคอหักตายน่ะ ผีบ้านผีเรือนเขาเห็นเขาเป็นพยาน วันที่เอ็งคลอดลูกเขาจะตามไปทำเอ็งบ้าง”
ช้อยปฏิเสธเสียงดังลั่น “ชั้นเปล่านะ”
เอกหันมองไปบนเรือนกังวลว่าจะเป็นอย่างไรบ้าง
ขณะเดียวกันเห็นเรือลำหนึ่งแล่นฝ่าความมืดมาตามลำคลอง ที่แท้ในเรือเป็นขุนภักดี ที่นั่งมีสีหน้ากระวนกระวาย เดี๋ยวยิ้มเดี๋ยวบึ้ง
“ไอ้แทน ทำไมเอ็งไม่ให้ไอ้คนขับเรือมันแล่นให้ไวกว่านี้เล่า”
“เขาว่าไวที่สุดแล้วขอรับ” แทนบอก
“บ้าจริงๆ กลับไปนี่จะต้องสั่งซื้อเรือใหม่ที่มันวิ่งได้ไวกว่านี้มาใช้สักที”
ขุนภักดีชะเง้อแล้วชะเง้ออีก
“ตอนที่คุณนายเรียมเริ่มเจ็บท้อง ใครสั่งให้เอ็งไปตามข้าทันทีหรือเปล่าหรือว่ามัวแต่ชักช้า”
“พี่เอกมาสั่งให้กระผมไปบางกอกไปเรียนท่าน แต่ไม่ทราบว่าทันทีหรือเปล่าขอรับ เพราะตอนนั้นทุกคนวิ่งกันวุ่นวายมากขอรับ”
“ทำไมต้องวิ่งกันวุ่นวาย เกิดอะไรขึ้นรึ”
“เกิดมีคนเจ็บท้องคลอดลูกสองคนพอดีขอรับ” แทนว่า
“เอ็งพูดอะไร เมียเอ็งรึว่าเมียใครจะคลอดลูกอีกคน นอกจากคุณนายเรียมรึ”
“เอ้อ คุณ...เอ้อ...แม่เนียนขอรับ”
ขุนภักดีโกรธขึ้นมาทันควัน
“แล้วมึงมาบอกกูทำไม ทีหลังมึงอย่าเอาเรื่องของอีนางคนนี้มาบอกกู มึงไปนั่งให้ห่างกูที่สุด ไม่เตะมึงตกน้ำก็บุญโขแล้ว”
แทนหงอทันที ท่านขุนหน้าตึงเลิกพูดจาไต่ถามแทน นับแต่นั้น
ทางด้านเนียนกำลังให้นมลูกเช่นเดียวกันกับเรียม ช้อยพรวดเข้ามา
“ไหนขอดูหน้าลูกหน่อยสิเนียน”
“นี่มันจะเช้าแล้ว ช้อยยังไม่ยอมหลับนอนอีกรึ”
“ก็ห่วงเนียนน่ะสิ คุณสนเธอจะให้เอาของคุณหนูเทิดศักดิ์มาให้ด้วยนะ”
“ขอบพระคุณ แต่ไม่เป็นไรดอก ลูกชั้น ใช้ของอะไรก็ได้ ช้อยจ้ะ ชั้นอ่อนเพลียมากอยากพักผ่อนเต็มทนแล้ว”
“ข้านั่งเป็นเพื่อนก็ได้”
กบกะแมวพากันเข้ามาพูดพร้อมเพรียง
“ไม่ได้ดอกจ้ะ”
“อยากเฝ้ามาก ก็กลับไปเฝ้าคุณหนูเทิดศักดิ์สิยะ”
“ห้องนี้มันเล็กมาก บางทีข้าสองคนอาจเหยียดแข้งเหยียดขาไปโดน เอาหน้าเอาตาของช้อยได้ง่ายๆ นะจ๊ะ”
“พวกเอ็ง ข้าจะไปฟ้อง...” ช้อยชี้หน้า
“คุณสนรึ เชิญจ้ะ” กบไม่สนใจ ท้าทายกลับ
“ข้าก็จะไปฟ้องคุณนายเรียมว่าเอ็งแกล้งทำเชือกขาด อยากจะให้เนียน หัวฟาดพื้นตายจ้ะ” แมวผสมโรง
นั่นแหละช้อยจึงยอมถอยออกไป กบกับแมวพากันมาดูลูกเนียน
“ขอบใจมากจ้ะ” เนียนขอบใจสองสาว บ่าวน้ำใจงาม
ส่วนเรียมให้เด็กดื่มนมแล้วเกิดความซาบซึ้งในความเป็นแม่มาก กอดเด็กไว้แนบอก หลงรักเด็ก น้ำตาคลอ
“ลูกชั้นยังไม่มีโอกาสแม้แต่จะดื่มนมจากชั้นแม้เพียงหยดเดียว”
“ก็มีลูกสาวอีกคนมาดื่มแทนแล้วนี่เจ้าคะ” ยายอ่อนบอก
“ยายพูดอะไร นี่ลูกของเนียน เดี๋ยวชั้นก็ต้องส่งคืนไปให้เนียนแล้ว” เรียมว่า
“คุณนายเรียมอยากส่งคืนไหมเจ้าคะ”
เรียมส่ายหน้า
“ไม่อยากดอกจ้ะ แต่ทำอย่างไรได้ ในเมื่อยายหนูคือลูกของเนียนไม่ใช่ลูกชั้น”
“เนียนเขามีความฝากมาเรียนคุณนายเรียมเจ้าค่ะ”
“ฝากว่าอย่างไรรึ”
ยายอ่อนทำท่าเล่า จนเรียมนึกภาพออก เป็นภาพเนียนบอกกับยายอ่อนและเอก เรื่องเต็มใจยกลูกให้เรียมเพื่อทดแทนพระคุณ
เรียมตะลึงอึ้ง น้ำตาไหลออกมาด้วยความยินดี โอบกอดเด็กน้อยในอ้อมกอดระล่ำระลักพูด
“ยายหนูจ๋า ยายหนูจะมาเป็นลูกแม่จริงๆหรือจ้ะ ยายอ่อนจ๋า เนียนพูดจริงๆ นะยาย”
“จริงสิเจ้าค่ะ นอกซะจากว่าคุณนายเรียมอยากจะส่งคืนเนียน”
เรียมรีบเอาเด็กหันหนี
“ไม่จ้ะ แต่ชั้นเพียงคิดว่าตัวเองกำลังฉกชิงของรักของหวงที่สุดในชีวิต ฉกชิงดวงตาดวงใจของคนอื่น”
“เนียนทราบข้อนี้ดีเจ้าค่ะ เนียนทราบดีว่ายายหนูจะมีแต่ความสุข มีชีวิตที่ดีงามเจ้าค่ะ จะมีสิ่งใดที่ผู้เป็นแม่ต้องการมากไปกว่านี้เจ้าคะ”
“กลับไปบอกเนียนว่าชั้นขอบใจมาก ขอบใจที่สุด ชั้นจะไม่ให้ชีวิตที่ดีกว่าจำเพาะยายหนูผู้นี้เพียงคนเดียว ชั้นจะให้ชีวิตที่ดีกว่าเผื่อแผ่ไปถึงลูกของเนียนด้วยจ้ะ บอกเนียนด้วยว่าตอนนี้เนียนกลายเป็นผู้มีพระคุณของชั้นไปแล้ว เนียนทำให้ชีวิตชั้นผ่านพ้นวิบัติจากพี่เทพด้วยอีกต่างหาก”
“เจ้าค่ะ อิชั้นจะไปบอกเนียน”
เรียมใจหาย “แล้ว ลูกของชั้นเล่าจ้ะ ชั้น ไม่อยากจากแกเหมือนกัน”
“อิชั้นจะเอาแกไปฝังเจ้าค่ะ เอาไปฝังในที่ที่ดีที่สวยงาม ให้แกหลับสบายที่สุดเจ้าค่ะ แกอยู่กับคุณนายไม่ได้อีกแล้วเจ้าค่ะ”
“ขอบใจยายมากนะจ้ะ ชั้นจะตอบแทนยายให้สาสมเช่นเดียวกันจ้ะ ขอเพียงยายอย่าบอกใครเรื่องนี้เด็ดขาด”
“สาบานให้ผีหักคอ ให้ฟ้าผ่าตายเจ้าค่ะ ให้…”
“พอแล้วจ้ะยาย แล้วชั้นจะให้นายเอกเอารางวัลตามไปให้ยายร้อยชั่ง”
ยายอ่อนตะลึงคาดไม่ถึง “ร้อยชั่ง”
“แล้วไปให้ไกลที่สุดจากที่นี่”
“เจ้าค่ะ”
ยายอ่อนยังไม่วายตะลึง ส่งเด็กให้เรียมร่ำลาครั้งสุดท้าย
“ร่ำลาครั้งสุดท้าย ส่งให้แกไปสงบไปดีเจ้าค่ะ”
เรียมน้ำตาคลอ
ฟ้ายังมืดอยู่ แทนโยงเรือผูกกับท่าเรียบร้อย ขุนภักดีก้าวพรวดมาบนท่าน้ำ พลางจ้ำอ้าวเดินลิ่วออกไปอย่างรวดเร็ว แทนมองตาม
“จ้ำอ้าวราวกับพายุพัด เกือบไปแล้วไหมล่ะเรา เฮ้อ”
เอกกำลังสัปหงก ขุนภักดีเอามือมาเคาะหัว
“ไอ้เอก”
เอกตกใจและตะลึงที่เจอท่านขุนตรงหน้า
“ท่านขุน”
“แล้วเอ็งนึกว่าผีเร๊อะ มานั่งขวางทางขึ้นเรือนทำไม หลีก ข้าจะไปดูลูก”
“เอ้อ” เอกมองไปด้านบนยายอ่อนยังไม่เอาเด็กที่ตายลงมา “เอ้อ กระผมว่าอาจจะยังไม่เรียบร้อย”
“เอ็งอย่าบอกนะว่า คุณนายเรียมเจ็บท้องตั้งแต่ข้าเริ่มออกจากบ้านจนกระทั่งข้ากลับมา ยังไม่ยอมคลอด”
มีเสียงเด็กร้องออกมา ขุนผลักเอกโครม กระโจนขึ้นเรือนไปทันที
“ท่านขุนขอรับ คือ ยายอ่อน ยายอ่อน”
“เสียงลูกข้า เสียงเพราะๆ ของลูกข้า”
เอกปวดหัวหนึบ พึมพำ
“ตายละวา ยายอ่อนก็ยังไม่ออกมา พายุจะลงฟ้าจะผ่ากลางเรือน”
เอกรีบก้าวพรวดๆ ตามไปติดๆ
ขุนภักดีปราดมาหน้าห้องมาเคาะประตู
“ยายอ่อน ยายอ่อน เปิดประตู ชั้นจะเข้าไปดูลูก”
เอกยืนด้านหลังเอามือปิดตาไว้ เสียงประตูเปิดออก ยายอ่อนยืนหน้าประตู ในมือหิ้วตะกร้าไว้ยิ้มแย้มให้ท่านขุน
“เชิญท่านขุนเจ้าค่ะ คุณหนูสุขภาพแข็งแรงน่ารักน่าชังที่สุดเจ้าค่ะ”
ขุนภักดีพรวดหายไปในห้อง ยายอ่อนพรวดออกมาแทน เอามือมาสะกิดเอก
“ลืมตาได้แล้วพ่อเอก”
เอกลืมตา เบิกโพลงใจหายใจคว่ำ
“ยาย ยาย”
“ปลอดภัยทุกประการแล้ว ข้าจะรีบเดินทางไปวัด”
“ไปวัด”
ยายอ่อนขยับตะกร้าให้ดู
“ไปก่อนนะ ข้าต้องทำตามที่สาบานกับคุณนายเรียมไว้”
เอกถึงบางอ้อ “เข้าใจละ”
“ยังมีอีก ตอนสายข้าจะคอยที่ป่าช้า คุณนายท่านจะฝากบางอย่างกับพ่อเอกไปให้ข้า แล้วข้าจะไม่กลับมาที่นี่อีกเลย”
ยายอ่อนกับเอกรีบพากันลงเรือนไปอย่างรีบเร่ง
ฟากเรียมน้ำตาไหลไม่หยุด เพราะยังไม่หายสะเทือนใจ ส่วนขุนภักดีไม่สนใจใดๆ นอกจากจะมองหน้าลูก
“พี่มีลูกชายแล้วพี่ก็ได้ลูกสาว เทวดาใจดีแท้ๆ เรียมจ๋าพี่ขอบใจมากที่มีลูกสาวน่ารักแข็งแรงให้พี่”
“ค่ะ พี่เทพ”
“น้อยใจพี่ใช่ไหม ที่พี่ขู่เรียมตลอดเวลาเรื่องลูก ว่าถ้าลูกมีอันเป็นไปเราขาดกัน”
“ค่ะ พี่เทพ”
“พี่ขอโทษสักพันครั้ง อภัยให้พี่นะ เรียมคนดี”
“ค่ะ พี่เทพ”
“ไฮ้ นี่เรียมไม่อภัยให้พี่ดอก เรียมพูดน้อยก็จริง แต่ไม่ถึงกับค่ะ ค่ะอย่างนี้”
“เรียมอ่อนเพลียน่ะค่ะ พี่เทพ”
“พี่ช่วยอุ้มลูกให้จ้ะ ส่งมาให้พี่สิจ้ะเรียม”
เรียมส่งเด็กให้ ลอบมองกิริยาสามี ขุนภักดีทะนุถนอมเด็กน้อย มองแล้วมองอีก
“เอ๊ะ ยายหนูของพ่อ ช่างหน้าตา…”
ภาพใบหน้าเนียนยามที่โดนขุนภักดีโอบกอด ผุดขึ้นมาในห้วงความคิด
แต่ขุนภักดีกลับเอ่ยขึ้น
“เหมือนลูกเทิดศักดิ์แท้ๆ ยายหนูของพ่อ ฟังนะคะ ลูกรัก นี่พ่อของหนู พ่อรักหนู หนูคือแก้วตาดวงใจของพ่อ พ่อกลัวหนูจะเป็นอะไรแทบแย่ ที่แท้หนูกลับแข็งแรง จนพ่อปลาบปลื้มที่สุดจ้ะ”
ขุนภักดีหันไปโอบกอดเรียมอีกคน ยิ้มอย่างมีความสุข เช็ดน้ำตาให้เรียม
“ไม่เอาน่าทูนหัวของพี่ มีลูกสาวสมใจ รอมานานสิบปี ยังจะมาร้องไห้ทำไม ยิ้มสิจ้ะ เดี๋ยวลูกสาวเราเสียใจร้องไห้ตามแม่นะจ้ะ ยายหนูจ๋า ดูหน้าคุณแม่ บอกคุณแม่ยิ้มให้หนูนะจ้ะ นั่นไงยายหนูลืมตาแล้ว”
“ไฮ้ พี่เทพ ลูกยังพูดไม่เป็นสักหน่อยค่ะ”
“พี่รู้ แต่พี่อยากเย้าให้เรียมยิ้มนี่จ้ะ”
เรียมยิ้มให้เด็กน้อย โดยมีขุนภักดีกอดไว้ เรียมรู้สึกดีเหลือแสน กับภาพครอบครัว พ่อแม่ลูกที่ฝันถึงมานาน พึมพำได้ยินคนเดียว
“ขอบใจมาก ขอบใจที่สุดจ้ะ เนียน
เช้าวันใหม่ ทองจันทร์ชะเง้ออยู่บนเรือนมองมาเบื้องล่าง
“นั่น นางกบนางแมวมันจะหอบฟูกหอบของเด็กไปไหนกัน”
แมวกับกบหอบหิ้วฟูกและของใช้เด็กกำลังหลบๆ ซ่อนๆ ไปทางหลังเรือน
“คุณนายเรียมท่านสั่งว่า อย่าให้ใครมาชิงเอาไปทิ้งซะกลางทางทีเดียว” กบว่า
“ใคร้จะไปใจจืดใจดำทำเช่นนั้นได้ ถ้าไม่ใช่” แมวบอก
สองคนประสานเสียง “นายบ่าวอเวจีคู่นั้น”
ขาดคำช้อยก็ปรากฏตัวออกมาทันที ถามอย่างเอาเรื่อง
“เอ็งสองคนขโมยฟูกขโมยของใช้ใครมา”
กบกะแมวมองหน้ากัน
“พายกระซิบที่ไหนบอกเอ็งว่าเราขโมยมา” แมวพูดกวนๆ
“เห็นทีท่าลับๆล่อๆของพวกเอ็งก็รู้แล้ว จะเอาไปไหน” ช้อยคาดคั้น
“ทำไมข้าต้องบอกเอ็ง เอ็งก็รู้ต่อไปสิ ว่าจะเอาไปไหน” แมวบอกไม่กลัวเกรง
“คุณสนให้มาหาฟูกให้หมาใต้ถุนเรือนคุณสน มันเพิ่งออกลูกมาห้าตัวพอดี” ช้อยบอกอีก
“เอ็งก็ฉีกผ้าถุงเอ็งทำฟูกมันสิ” กบบอก
“แต่คุณสนให้ข้ามาเอาที่พวกเอ็งถืออยู่นี่ ส่งมาซะดีๆ หาไม่เช่นนั้นเรื่องนี้ถึงท่านขุนแน่ พวกเอ็งก็รู้ว่าท่านขุนรังเกียจลูกชู้แค่ไหน” ช้อยเอาขุนภักดีมาขู่
“ข้ามศพอีแมวไปก่อนดีไหมนางช้อย เออแน่ะจะแนะนำให้ ไปหาผ้าห่อศพผีไม่มีญาติที่ป่าช้ามาสิ มีถมไป”
“กูจะไปบอกนายกูว่าพวกมึง จะเอาของดีๆ ของคุณหนูคนใหม่ไปให้ลูกอีเนียน”
เสียงทองจันทร์แหลมเข้ามา “นางช้อย วางก้ามเบ่งเป็นนักเลงโตอะไรแถวเรือนข้ารึ”
ช้อยสะดุ้งโหยง กบกับแมวมองไป ตกใจเช่นกัน
สามคนประสานเสียง “คุณท่าน”
ทองจันทร์พูดสำทับซ้ำ
“ข้าถามเอ็งว่ามาเบ่งกล้ามเป็นนักเลงโตอะไรแถวเรือนข้านางช้อย”
ช้อยอึกอัก ส่วนแมวกับกบรีบเผ่นแน่บหายวับไป
“คือ คือว่าช้อยสงสัยว่า นางสองคนนั่นมันขโมยของดีๆ ของคุณหนูคนใหม่ไปให้ลูกของเนียนเจ้าค่ะ”
“เอ็งอยากรู้ เอ็งก็ไปถามคุณนายเรียมเองดีไหม เอ็งต้องหยุดวอนได้แล้วนางช้อย บ้านนี้ต้องการความสงบ จำไว้ว่าอย่ามาเบ่งแถวนี้อีก”
ทองจันทร์เอาจริง ช้อยจ๋อยรีบหลบไป
อ่านต่อหน้า 2
อาญารัก ตอนที่ 6 (ต่อ)
ที่กระท่อมน้อยข้างเล้าหมูของเนียน ฟูกถูกวางลงมีหมอนใบน้อย และมุ้งเล็กกางกันยุงและแมลง แล้วยังมีผ้าอ้อมผ้าห่มพร้อมที่เรียมให้กบกับแมวนำมาให้ เนียนอุ้มลูกน้ำตาซึม
“ฝากกราบคุณนายเรียมด้วย ช่วยเรียนท่านว่า ขอบพระคุณมาก
สองคนมองดูหน้าลูกเนียน
“ต๊าย หน้าตาเหมือน คุณหนูเทิดศักดิ์ ยังกับคลานตามกันออกมา” กบว่า
“แปลกแท้ๆ เห็นเนียนมีลูกแล้ว ข้าอยากมีลูกบ้างแท้ๆ” แมวระรื่น
“อยากมีแน่ๆ เอ็งไปหาผัวให้ได้ก่อนเหอะ นางแมว”
เนียนเยื้อนยิ้มไม่รู้จะพูดอะไร
“มีอาหารด้วยนะ คุณนายเรียมท่านให้เอามาให้เนียนกินชูกำลังจ้ะ” แมวว่า
“ท่านฝากบอกว่า ตอนนี้เนียนต้องพักฟื้นก่อน อย่าเพิ่งไปโหมงานหนัก” กบบอก
“เรื่องมันพูดยากจ้ะ ชั้นมีหน้าที่เลี้ยงหมูเป็นสำคัญ ถ้าชั้นไม่เลี้ยงหมูจะอดตายจ้ะ” เรียมบอก
กบกะแมวมองหน้ากัน
“เราเลี้ยงเองจ้ะ”
เนียนซึ้งใจนัก “กบ แมว”
สองคนยิ้มให้เนียน
ยายอ่อน กำลังเอาดอกไม้มาปลูกทับที่หลุมฝังศพลูกสาวของเรียมตรงท้ายวัดใกล้บ้านภักดีภูบาล ตกแต่งจนดูไม่รู้ว่านี่คือหลุมฝังศพ เอกเดินมาส่งถุงเงินให้
“100 ชั่ง ตามสัญญาจะยายอ่อน”
ยายอ่อนยกมือท่วมหัว “ช่างเมตตาคนยากคนจน คนสิ้นหนทางแท้ๆ”
“ตรงนี้เรียบร้อยแล้วใช่ไหมยาย” เอกถาม
“ดูสิดอกไม้สวยงาม ไม่มีใครรู้ดอกว่านี่คืออะไร วานฝากพ่อเอกมาคอยดูดอกไม้บ้าง อย่าให้มันจางหายไป เดี๋ยวคุณหนูเธอจะไม่ได้อยู่กับสิ่งสวยงาม” ยายอ่อนบอก
“จ้ะยาย รีบไปเถิด ปิดปากให้สนิท ทีเดียว”
ยายอ่อนพยักหน้า เอกยิ้มพลอยสบายใจไปด้วย
ส่วนขุนภักดีมาหยุดยืนมองไปทางเรือนพักของเนียน พยายามมองไปแต่ไม่เห็นสิ่งใดเพราะห่างไกล
ขุนภักดีได้แต่รำพัน “ทำไม ทำไม”
ช้อยมาฟ้องดังเคย
“ทำไมพี่ขุนไม่เฉดหัวมันไปซะตั้งแต่วันที่จับได้ว่ามันมีชู้นะ”
“ถึงว่าละสิเจ้าคะ ทำไมไม่เฉดหัวมันไป ทั้งที่ใครมีเมียแบบนี้ ไม่ฆ่าให้ตาย ก็ไม่เอาไว้ประจานตนเองคาบ้านอย่างนี้ดอกเจ้าค่ะ”
“เป็นเพราะพี่ขุนไม่อยากลืมมัน พี่ขุนลืมมันไม่ลง พี่ขุนไม่ต้องการลืมมัน” สนเริ่มคลั่งกรี๊ดแตก “นี่พี่ขุนรักมันมากมาย เกินกว่าที่ข้าคิด ข้าจะทำอย่างไรดีช้อย”
ช้อยเสี้ยมทันที “ใส่ร้ายมันอีกเจ้าค่ะ”
“เรื่องอะไรล่ะ”
“พยายามไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็ได้เรื่องจนได้เจ้าค่ะ เอ้อ คุณสนเจ้าขาช้อยแนะนำว่า ช่วงนี้ท่านขุนต้องเห่อลูกสาวมากๆ คงไม่มาเรือนนี้บ่อยๆเหมือนเคยดอกเจ้าค่ะ”
“จะให้ข้าทำอย่างไรรึ”
“พาคุณหนูเทิดศักดิ์ไปประชันกับคุณหนูบ้านโน้นเจ้าค่ะ”
สนพยักหน้า
ขุนภักดีกำลังเชยชมลูกสาวอยู่กับเรียมที่ชานเรือน
“เรียมจ๊ะ ดูลูกสาวเราสิ แข็งแรง ยิ้มเก่งด้วยจ้ะ”
“ค่ะ ยิ้มเก่งมากๆ เลยค่ะ”
ทองจันทร์มากับกบและแมว
“ไหนมาให้ย่าชื่นใจหน่อยสิหนูคนสวยจ๋า”
เรียมส่งเด็กให้ทองจันทร์มองแล้วทำท่าสงสัย นึกถึงหน้าเด็กที่ตนดูครั้งแรกตอนยังไม่เปลี่ยนตัว ทองจันทร์มองหน้าเด็กในมือยามนี้แล้วร้องขึ้น
“เอ๊ะ”
“มีอะไรครับคุณแม่”
“เมื่อวานยายหนูยังปากเหมือนพ่อเทพเหมือนแม่อยู่เลยจ้ะ”
เรียมรีบแก้ “แหม คุณแม่ขา เด็กก็หน้าตาคล้ายกันทุกคนแหละค่ะ”
“คุณแม่ตาฝาด ลำเอียงอยากให้ยายหนูหน้าเหมือนคุณแม่กับผม”
ทองจันทร์ชักเขว “อาจเป็นได้ เอ วันนี้ดูไปดูมาหน้าตาไปละม้ายคล้าย คล้ายเอ้อ...”
จู่ๆ ใบหน้าของเนียนก็ผุดขึ้นมาในมโนภาพ
ระหว่างนั้นสนเดินมากับช้อย โดยอุ้มเทิดศักดิ์มาด้วย และได้ยินพอดี
“ลูกเทิดศักดิ์เหมือนจะรู้ว่าคุณพ่อกลับมาแล้ว ร้องไห้จ้าอยากหาคุณพ่อค่ะ”
พลางสนยื่นเทิดศักดิ์ให้ดู
ทองจันทร์ตบอกผาง “ใช่แล้ว ยายหนูหน้าตาเหมือนพี่ชายเขา”
“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เหมือนพ่อเหมือนแม่เลยสิคะ” เรียมว่า
“จริงด้วย ยังกับพี่น้องท้องเดียวกัน นี่ถ้าลืมตาขึ้นมามี แววตาเดียวกันอีกละก้อ ประหลาดแท้ทีเดียว”
ขุนภักดีหน้าตึงทันควัน ไม่พอใจเอามาก
“ลูกผมก็ต้องหน้าเหมือนผมทุกคน จะไปเหมือนใครได้ครับคุณแม่ ผมจะไปทำงาน”
ขุนภักดีหันกลับ ทุกคนเงียบหมด
“นั่นสิคะเปลี่ยนเรื่องพูดกันดีกว่า ใครรู้บ้างว่า ยายอ่อนล่องหนไปไหน” สนเอ่ยขึ้น
ทุกคนทำหน้าไม่รู้ มีแต่เรียมทำเฉยๆ
“ไฮ้ มันจะหายไปไหน แม่เรียมต้องอยู่ไฟนะ”
“ช่างเถิดค่ะ คุณแม่”
สนกับช้อยสะกิดกัน แปลกใจเรียม
“แปลกนะคะ” สนเอ่ยขึ้น
“ตอนที่แม่สนคลอด แกก็หายไปแบบนี้เหมือนกัน แม่สนก็ไม่ได้อยู่ไฟกับยายอ่อนไม่ใช่รึ” เรียมว่า
เนียนนั่งอุ้มลูกอยู่หน้ากระท่อมเก่า เห่กล่อมลูก พลางคิดถึงแดงน้อยและพี่ชาย
“แดงน้อย พี่หนัก ทุกคนไปอยู่ที่ไหนกันนะ ลูกแม่จะเป็นตายร้ายดีอย่างไรบ้างหนอ”
เนียนทอดถอนใจ มีแต่ความเศร้าท่วมอก แล้วเนียนก็รู้สึกว่าถูกมอง จึงเงยหน้าขึ้น
ในคลองหน้าบ้าน เรือแล่นช้าๆ ผ่านมา ขุนภักดีนั่งอยู่กำลังมองมา เอกนั่งด้านหลังจึงเห็นว่าท่านขุนมองเนียน
ฝ่ายเนียนตกใจมาก ก้มหน้างุดด้วยสัญชาติญาณ รีบกอดลูกแนบอกเหมือนปกป้องคุ้มภัย
ขุนภักดีรู้ตัวว่าเผลอไปมองเนียน แล้วนึกหงุดหงิดตัวเอง
“โธ่เว๊ย”
เอกแกล้งเซ่อ “ท่านขุนต้องการอะไรหรือขอรับ”
“เออ ...ข้าต้องการให้ปลูกต้นไม้ใหญ่สักหน่อยริมตลิ่งด้านหน้าให้เป็นแถวเป็นแนวยาวๆ”
“แต่เมื่อก่อนท่านขุนสั่งห้ามใครปลูกต้นไม้แถวนี้ เพราะกลัวมีโจรมาลอบขึ้นเรือนนะขอรับ” เอกย้อนขำๆ
“ตอนเมื่อก่อนกับตอนนี้มันต่างกัน ข้าไม่ต้องการเห็น เอ้อ เห็น...”
“เห็นอะไรขอรับ”
“เห็นกระ เอ๊ย เล้าหมู น่ะ”
“ท่านรังเกียจหมูซะแล้ว” เอกแซว
“ไอ้เอกเอ็งหยุดพูดนะ”
“หยุดขอรับ”
เอกแอบยิ้มขัน ขุนภักดีพาลตบโน่นเตะนี่แถวนั้นวุ่นวาย
เนียนอุ้มลูกหน้าตาซีดเซียว ถดตัวหลบถอยไปน้ำตาไหลร่วงพรู
“ลูกจ๋า แม้แต่พ่อของหนูยังรังเกียจหนู แม่เสียใจแม่ขอโทษ แต่แม่พูดความจริงไม่ได้ จนกลายเป็นสาเหตุให้ลูกต้องตกระกำเช่นนี้”
เนียนอุ้มลูกยืนร้องไห้น้ำตาไหลพราก
วันเวลาหมุนเวียนผ่านไปอีก เช้าวันนี้ เด็กชายแดงน้อย ดูแข็งแรงร่าเริง กำลังเดินเตาะแตะไปมาอยู่ใน “ร้านกาแฟไทยเจริญ” ของแพรและโพล้ง ที่หนักปล้นเอาเงินมาเป็นทุนเปิดร้านให้ ในบางกอก
ร้านกาแฟไทยเจริญ เป็นร้านเล็กๆ ขายอาหารข้าวแกง กับน้ำโอเลี้ยง โอยัวะ โพล้งเป็นพ่อครัวโพกผ้าที่หัว ตักอาหารให้ลูกค้า แพรเป็นคนเสิร์ฟ มีโต๊ะให้คนนั่งกินไม่เกินสี่โต๊ะ
“แดงน้อยมาช่วยป้าส่งอาหารให้แขกเร้ว”
แดงน้อยเดินตามต้อยๆ มายืนยิ้มน่ารัก
“สวัสดีครับก่อนแดงน้อย” โพล้งยิ้มบอก
“ซาหวัด ดี กั๊บ”
ลูกค้ายิ้มชม “น่ารักจริง หลานหรือจ้ะ”
แพรยิ้มภูมิใจ “จ้ะ”
ลูกค้าซักต่อ “พ่อแม่ไปทำงานรึ”
แพรหันไปมองหน้าโพล้งแว้บหนึ่ง
“พ่อตาย เอ้อ...แม่ก็...ตายแล้วครับ” โพล้งเป็นคนตอบ
“โถ น่าสงสารแท้ๆ ชั้นน่ะเป็นหมอดู จ้ะ ไหนให้น้าดูฝ่ามือสิลูก”
แพรจับมือแดงน้อยให้ลูกค้าดู
“ไฮ้ เส้นกำพร้าไม่ได้บ่งบอกนี่นาว่าแม่ตาย แค่บอกว่าพลัดพรากจากกันแต่บั้นปลายจะได้พบกันอีก เรียนเก่งมาก โตขึ้นจะเป็นใหญ่เป็นโตจะมั่งมีเงินทอง แต่อาภัพรัก พบแม่เมื่อไหร่ชีวิตจะมีแต่สุขสมหวัง” ลูกค้าหมอดูว่า
จู่ๆ เด็กชายแดงน้อยก็ดึงมือกลับจากลูกค้า ตะโกนออกมาด้วยความดีใจมากๆ
“ยุง ยุงมาแย้ว”
ทุกคนหันไปดูคนที่แดงน้อยเรียกลุง เห็นหน้าไม่ถนัด เพราะหนัก หรือชายคนนั้นใส่หมวกหรุบหน้าลงมา แถมใส่แว่นตาดำ แต่งตัวสะอาดสุภาพเรียบร้อย หนักก้มลงอุ้มแดงน้อยมากอดรัดจูบหอมแล้วพากันหายไปทางหลังร้าน
ลูกค้าคนเดิมถามแพรกับโพล้ง “ลุงแท้ๆ รึนั่น”
“จ้ะ”
“ท่าทางจะรักกันมาก ทำมาหากินอะไรรึ”
แพรกับโพล้งมองหน้ากัน
“ถ้าอยากรู้ลองถามเขาเองเถิดจ้ะ” โพล้งปัด
เจอไม้นี้เข้า ลูกค้าช่างซักจึงเงียบไป
หนักเดินมาถึงหลังร้าน ได้ยินลูกค้าถามว่าหนักทำงานอะไร ก็อึ้งไปหน้าสลดลง แดงน้อยดึงหมวกหนักออกจากหัว
“ดูหน้ายุง ดูหน้ายุงหน่อย” แดงน้อยว่า
หนักมีสีหน้าเคร่งขรึมไม่สบายใจ
“หน้าลุงไม่สวยเหมือนหน้าหนูดอกครับ หนูนี่แหละ ยิ่งโตยิ่งสวยเหมือนแม่” หนักทอดถอนใจ
แพรกับโพล้งตามเข้ามาหลังร้าน
“ลูกค้าปากมากนั่นไปแล้ว ข้าละเอือม คนบางกอกนี่ช่างพูดกันแท้ๆ” โพล้งบอกท่าทีระอา
“ก็ต้องทน เรามีหน้าที่บริการเขา กิจการดีไหมไอ้โพล้ง ยายแพร” หนักว่าพลางถาม
“แรกๆ ก็ แทบขายไม่ได้ มาตอนนี้ดีขึ้นมาบ้าง” แพรบอก
หนักส่งห่อของให้
“ช่างปะไร พวกเอ็งก็แค่ขายของบังหน้าเท่านั้นเอง อย่าเผลอไปทำตัวมีเงินเข้าล่ะ”
“รู้แล้วน่า ว่าต้องทำปอนๆ” แพรว่าพลางแกะของมามอง “โอ้โห แยะกว่าทุกครั้ง เลยนา”
“ชั้นย้ายที่ปล้นน่ะ ปล้นคนเลวที่มันคดโกง มันจึงไม่ค่อยกล้าไปแจ้งความดอก กลัวทางการจะรู้ว่าเงินมันไม่บริสุทธิ์”
โพล้งเอ่ยขึ้น “ฉลาดปล้นเนาะ ปล้นคนเลวมาให้คนจน”
“จะเอาไปเซงลี้ที่ไหนให้ระวังกันหน่อย เงินทองที่ได้มา เอาไว้เป็นค่ารักแดงน้อย กับค่าเล่าเรียนให้หลานข้า เรียนที่ที่ดีที่สุด แพงเท่าไหร่ไม่ว่ากัน” หนักบอก
“ยายหมอดูตะกี้บอกว่าแดงน้อยเรียนเก่ง จะร่ำรวย จะเป็นใหญ่เป็นโต จะได้พบแม่แล้วจะมีแต่ความสุขสมหวัง” แพรนึกได้
“ขอให้เป็นจริงดังว่าเถิด ทุกวันนี้ ห่วงก็แต่เนียน จะเป็นจะตายอย่างไรบ้างหนอ”
“เนียนคงอธิบายให้ท่านเข้าใจได้ดอก ท่านรักเนียนจะตายไป” แพรว่า
“ที่บ้านนั้นมันมีบ่างช่างยุ คนอย่างท่านขุน รักแรงเกลียดแรง ข้าน่ะอยากจะไปสืบดู ก็เข้าเมืองสุพรรณไม่ได้ ใจห่วงน้องเหลือเกิน คืนนั้นที่ข้าโดนยิง ถ้าไม่ได้คนของท่านขุนเองแสร้งไล่ไอ้พวกที่ตามจับตัวข้าไปทางทางอื่น แล้วเขาก็แอบปล่อยข้าหนีรอดมาได้หาไม่ข้าตายคาคุกแน่”
สองคนตื่นเต้น “ใครกัน”
“ข้าไม่รู้ รู้แต่ว่าเขาน่าจะเป็นพวกคนที่ตามจับข้า กลัวเหลือเกินว่าจะลงอาญาเนียนอย่างหนัก ข้าทำร้ายน้องตัวเองแท้ๆ” หนักหน้าสลดลง
“นัดหมายกันรู้กันเพียงลำพังเนียนกับพี่หนัก แล้วทำไมท่านขุนมาลอบจับผิด” โพล้งตั้งข้อสังเกต
“อีสนแน่ อีสนมันต้องรู้ว่ากูจะไปคืนนั้น กูไม่ควรละเว้นอีสนให้มันย้อนกลับไปก่อกรรมทำเข็ญน้องกูเลย”
หนักแค้นขึ้นมา ถอนใจหนักหน่วง อุ้มแดงน้อยไว้แน่น หนักน้ำตาซึมเพราะห่วงน้อง
อีกวันต่อมาเนียนที่สามคนเป็นห่วงเหลือแสน อยู่ในสภาพดูมอมแมมลงไปมาก โทรมหนัก ด้วยเนียนเอาลูกผูกไว้กับอกกำลังหั่นหยวกกล้วย ปากก็เห่กล่อมลูกไปด้วย
“เอ่ เอ๊ โอละเห่...”
เอกเดินหิ้วถังน้ำข้าว กับเศษอาหารมาให้เนียน
“เนียน นี่จ้ะ น้ำข้าวจากเรือนครัวกับเศษอาหาร”
“เอาอีกแล้วพี่เอกจ๋า เนียนไปเอาเองที่โรงครัวได้จ้ะ”
“เนียนไปเอาเองก็ต้องเสียเวลา ต้องเหนื่อยต้องหนัก แถมเจอนางช้อยไปวางอำนาจถ่วงให้มันยุ่งยากอีก พี่สงสารหนูติ๋วจ้ะ นี่ยังมีอีกจ้ะน้ำข้าวอุ่นๆ คุณนายเรียมเธอแอบแบ่งของคุณหนูอี๊ดมาให้หนูติ๋วจ้ะ”
เอกพูดถึงลูกสาวเนียนชื่อติ๋ว ส่วนลูกสาวเนียนที่ยกให้เรียมชื่ออี๊ด
เนียนฟังแล้วน้ำตาซึม
“ช่างเมตตาต่อลูกบ่าวลูกชู้เหลือเกิน”
เอกเหลืออด “เนียน ด่าว่าตัวเองทำไม คำก็ลูกชู้ สองคำก็ลูกบ่าว พี่มั่นใจพอๆ กับที่คุณนายเรียมเธอมั่นใจ ว่าหนูติ๋วไม่ใช่ลูกชู้ แต่เป็นลูกของท่านขุน เนียนน่ะใจแข็ง ใจเด็ดไม่ปริปากออกมาต่างหาก แล้วคุณหนูอี๊ดน่ะที่แท้ก็ลูกเนียน”
เนียนตกใจ “จุ๊ๆ พี่เอก อย่าได้เอ่ยคำนี้ออกมาอีก ฉวยแม่ช้อยมาได้ยินเอาไปโพนทะนาคุณเรียมกับคุณหนูอี๊ดจะโดนอาญาไปด้วย อ้อ ฝากกราบขอบพระคุณคุณเรียมด้วยจ้ะ ฝากเรียนด้วยว่า ไม่ต้องเอามาให้อีกดอกจ้ะ”
“ยังมีอีกจ้ะ ท่านให้ปลาตะเพียนให้หนูติ๋วมอง เวลาที่เนียนต้องทิ้งแกไว้ในเปลคนเดียวเพื่อไปทำงาน”
“พี่เอก โธ่” เนียนตื้นตันใจ
“ไม่ต้องมาโธ่มาถังพี่ดอก คุณนายเรียมท่านอยากให้หนูติ๋วได้ทุกอย่างมีทุกอย่างเหมือนคุณหนูอี้ด”
เนียนน้ำตาไหลซาบซึ้ง ใจมาก
“แต่มันจะกลายเป็นบ่าวตีตนเสมอนาย เนียนดีใจก็จริงแต่เนียนไม่สบายใจเลยจ้ะ”
เอกขยับมายัดเงินใส่มือเนียน “เงินจ้ะ สองตำลึงท่านให้ไว้เผื่อขัดสนเรื่องหนูติ๋ว”
เนียนสะอื้นร้องไห้ซาบซึ้งน้ำใจเรียม
ช้อยแอบมองห่างออกมา แม้ไม่ได้ยินสองคนพูดกัน แต่มั่นใจว่าของนั้นมาจากเรียมแน่
ปลาตะเพียนห้อยแกว่งไกวอยู่เหนือเปล เด็กชายเทิดศักดิ์นอนมองปลาตะเพียนส่งเสียงเอิ๊กอ๊าก สนนั่งแต่งหน้าทาแก้ม ช้อยพรวดมาหาสน
“คุณสนเจ้าขางามหน้าปลาตะเพียนแท้ๆ เจ้าค่ะ”
“งามหน้าปลาตะเพียนอะไรของเอ็ง พูดเพ้อเจ้อใหญ่แล้ว” สนแต่งหน้าต่อไม่มองมา
“ก็ปลาตะเพียนที่คุณหนูเทิดศักดิ์กำลังมองเพลินอยู่นี่แหละเจ้าค่ะ”
“ก็แค่ปลาตะเพียน ที่อีนางคุณนายเรียมมันส่งมาให้ลูกเทิดศักดิ์ดูเพลินๆ”
“แต่มันไม่ใช่แค่คุณหนูเทิดศักดิ์ดูเพลินๆ เท่านั้นดอกเจ้าค่ะเรื่องมันเลยเถิดมากกว่านั้นเจ้าค่ะ” ช้อยสำบัดสำนวนตามเคย
“เอ็งอย่ามัวเล่นสำนวนชวนให้ตบปากฉีก พูดมาว่าเอ็งจะฟ้องอะไรข้า”
“อีเด็กติ๋วลูกอีเนียนก็มีเหมือนกันเปี๊ยบ มันเป็นบ่าวมาตีเสมอนาย ไม่ได้นะเจ้าคะ มันลูกบ่าวลูกชู้ลูกนางคนเลี้ยงหมู จะมีของเล่นเหมือนลูกนายคุณสนทนได้รึ ใครรู้เข้าเอาหน้าไว้ที่ไหนอายเขาตาย” ช้อยเสี้ยมตามสันดานขี้อิจฉา
ได้ฟังดังนั้นสนปราดไปจะไปดึงปลาตะเพียนออก
“ถ้าอย่างนั้นเทิดศักดิ์ไม่ต้องมีของที่ลูกบ่าวลูกชู้มันมี”
เทิดศักดิ์ตกใจในท่าทางสน ร้องไห้จ้า ช้อยดึงแขนสนไว้
“อีเด็กติ๋วต่างหาก ที่ไม่ต้องมีของเล่นเหมือนที่คุณหนูเทิดศักดิ์มีเจ้าค่ะ”
“เราจะไปทำอะไรมันได้ ในเมื่อคนให้คืออีเรียม”
“เชื่อหัวอีช้อยสิเจ้าคะ”
ช้อยกระซิบ สนพอใจ สองคนใจบาปยิ้มให้กัน
สนรีบแจ้นมารายงานทองจันทร์ที่เรือนใหญ่ทันควัน
“แม่สน นั่นไปหิ้วปลาตะเพียนเด็กมาจากไหน”
“คุณนายเรียมฝากมาให้ลูกเทิดศักดิ์ค่ะ คุณแม่ แต่...”
“แต่อะไรรึ ไม่ชอบรึ”
“ชอบสิคะ ชอบมากด้วย แต่สนให้นึกสงสารเด็กติ๋วลูกชู้ กลัวมันจะไม่มีอะไรนอนดูเล่น สนก็เลยให้ช้อยเอาไปให้มันค่ะ”
“เหลวไหลแท้ๆ แม่สนจะเอาของแม่เรียมที่ให้ไปให้ลูกบ่าวเล่นได้ยังไง”
“ก็แหม..สนคิดว่าครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นสุดที่รักของพี่ขุนนี่คะ”
“แม่สนอย่าได้พูดคำนี้อีกทีเดียว ตอนนี้มันเป็นสุดที่ชังสุดที่เกลียดของพ่อเทพ ให้มันแล้วหิ้วมานี่ทำไม”
“มันไม่เอาค่ะ”
“จองหองรึ” ทองจันทร์ถาม
“มันมีปลาตะเพียนแล้วค่ะ สวยกว่าของลูกเทิดศักดิ์กับหลานอี๊ดด้วยค่ะ” สนใส่ไฟ
“แม่เรียมให้มันด้วยรึ แม่เรียมนี่ทำเหมือนมีผีบ่าวสิง กระไรมาติดอกติดใจให้ของเด็กนั่นเหมือนกับให้ลูกให้หลานตัวเองไปซะทุกสิ่งอย่าง”
“คุณเรียมพยายามยกย่องลูกบ่าวลูกชู้เสมอลูกนายคะคุณแม่ สนน่ะกลัวว่าพี่ขุนรู้เข้าจะเคืองคุณเรียม คุณแม่ต้องคอยเตือนบ้างนะคะ หาไม่ละก็เกิดเรื่องวุ่นวายอีก พี่ขุนจะพาลไปเคืองเนียนแล้วทุบตีเอา สนสงสารเขา”
ทองจันทร์พยักหน้ารับคำ
ด้านเนียนผูกเปลโดยใช้ผ้าห่อผูกเชือกโยงอยู่ใต้ต้นไม้ มีปลาตะเพียนห้อยอยู่ ส่วนเนียนกำลังหั่นหยวกกล้วยให้หมูไปด้วย
“หนูติ๋วดูปลาตะเพียนไปนะลูก สีแดงตัวใหญ่ตัวเล็กเต็มไปหมดเลยจ้ะลูก ดูปลาแล้วอย่ากวนแม่นะลูก ให้แม่ทำงานนะจ้ะลูกรัก”
ช้อยปราดมาถึง มาดึงปลาตะเพียนออกทันที
“ไม่รู้รึว่าเป็นลูกบ่าวจะตีตัวเสมอลูกนายไม่ได้”
“ไม่ได้ตีเสมอดอกจ้ะแม่ช้อย ปลาตะเพียนนี่คุณนายเรียมท่านฝากมาให้หนูติ๋วเองจ้ะ ข้าไม่มีปัญญาไปหาซื้อมาดอก”
“คุณท่านรู้เรื่องแล้ว ท่านไม่พอใจเนียนมาก ไม่รู้ตัวบ้างรึ ว่าคุณท่านเกลียดเนียนเข้าไส้เข้าพุง ท่านว่าเนียนทำให้วงศ์ตระกูลท่านเสื่อมเสียจะแนะนำให้เอาบุญนะเนียน อยู่ให้มันเงียบๆ เหมือนไม่มีตัวมีตนในบ้านนี้ เป็นดีที่สุด คุณเรียมให้อะไรมาอย่ารับ แล้วบ้านจะสงบ”
เนียนอึ้งไปเสียดายปลาตะเพียนที่ลูกกำลังดูเพลินๆ มองลูกแล้วสุดสงสาร
“เด็กอย่างลูกเนียน น่ะ เขาใช้วิธีปั้นวัวปั้นควายปั้นไส้เดือนกิ้งกือให้เล่นก็ดีถมเถ”
ช้อยพูดจาถากถางตามสันดานชั่วใจหยาบช้า
ระหว่างนั้นกบกับแมวหอบรำข้าวมาหาเนียน ร้องทักทายเสียงหวานพร้อมๆ กัน
“เนียนจ๋า...”
สองคนชะงักกึก เห็นช้อยถือปลาตะเพียนอยู่ มองหน้ากัน
“พวกเอ็งเอารำข้าวมาทำไม”
“แล้วเอ็งเล่าเอาปลาตะเพียนของหนูติ๋วไปทำไมรึ” กบย้อนถาม
แมวเสริมอย่างรู้ทัน “อย่าทำตัวเป็นบัวเต่าถุยสิช้อย เอาคืนหนูติ๋วไปนะ”
“พวกเอ็งเป็นใครใหญ่โตมาจากไหน มาบังคับอีช้อย” ช้อยไม่สน
เนียนรีบห้าม “กบ แมว ไม่เป็นไรดอกจ้ะ หนูติ๋วเป็นลูกบ่าว ไม่ควรมีของเทียบเท่าลูกนายจ้ะ”
“เออแน่ะ เนียน ถ้าลองคิดกันแบบนี้ นายกับบ่าวก็คงต้องแบ่งอากาศกันหายใจแล้วกระมัง” แมวว่า
กบบอก “ก็หายใจอากาศเดียวกันแท้ๆ ตอนตายก็กลายเป็นปุ๋ยเหมือนกันด้วย”
แมวกะกบประสานเสียง “วางปลาตะเพียนนะช้อย”
“ไม่วาง”
กบกะแมวสบตากัน กบแสร้งชนช้อย จนเซล้มลงไป
กบแสร้งตกใจร้อง “วุ๊ย”
แมวแสร้งทำสะดุดช้อย จนถังรำข้าวหกรดช้อย กบฉวยโอกาสรีบดึงปลาตะเพียนออกมาก่อนที่จะเสียหาย
ช้อยร้องลั่น “ว๊าย อีหมาหมู่”
“ว๊าย อีปลาหมอตายเพราะปาก”
จากนั้นสองฝ่ายลุกขึ้นมาตบตีกันเป็นที่ชุลมุน
“แย่แล้ว หนูติ๋ว เกิดเรื่องจนได้”
เนียนตกใจรีบอุ้มหนูติ๋วหนีเข้ากระท่อม
ไม่นานต่อมา ปลาตะเพียนยังอยู่ในมือกบ มีแมวนั่งข้างๆ และมีช้อยกำลังนั่งร้องไห้หัวหูเลอะเทอะไปหมดทั้งตัว ทุกคนอยู่บนเรือนหลังใหญ่
“อยู่บ้านผู้ดีแท้ๆ ลุกขึ้นมาตบตีกับเหมือนกุ๊ยข้างถนน” ขุนภักดีด่า
“ก็ช้อยทนเห็นลูกบ่าวมาตีตนเสมอลูกนายไม่ได้นี่เจ้าคะ”
ทองจันทร์ก้าวขึ้นเรือนมาพร้อมกับสน
“นี่แม่ก็ตั้งใจจะมาเตือนแม่เรียมด้วยความหวังดี ไม่ใช่ว่าจะมาถือยศถือศักดิ์กันดอก แต่การที่แม่เรียม ส่งบรรดาสารพัดข้าวของไปให้ลูกเนียนมัน แม่ว่าทำเกินไปจ้ะ”
“สนเองก็ผิดเหมือนกัน สนคิดจะเอาปลาตะเพียนไปให้เด็กติ๋ว แต่มันก็มีของที่คุณเรียมให้ไว้แล้ว” สนทำเป็นแสนดี
ขุนภักดีหันขวับมาที่เรียม
“ทำไมเรียมต้องทำเช่นนั้น ทำราวกับว่าเด็กติ๋วมันคือพี่น้องคลานตามกันออกมากับหนูอี๊ดลูกของเรา บอกพี่ได้ไหมว่าทำไม”
เรียมนิ่งไป เอกได้ยินเสียงเอะอะ โผล่มาดูอีกคน
“เรียม เอ้อ...”
เอกเอ่ยขึ้น “กระผมบอกได้ขอรับท่านขุน คุณท่าน”
ทุกคนหันไปมองเอก เอกรีบสบตาเรียมพลางส่ายหน้าว่าอย่าพูด
“บอกมา” ขุนภักดีถาม
“คือเรื่องปลาตะเพียนนั่น กระผมได้ฟรีมาจากญาติกระผมที่เป็นคนขาย ตอนที่ไปซื้อมาให้คุณหนูเทิดศักดิ์กับคุณหนูอี๊ดขอรับ”
ช้อยกับสนมองหน้ากัน ผิดคาด
เรียมแอบถอนใจปรายตามองเอกเป็นเชิงขอบใจ
เอกบอกต่อ “แต่กระผมไม่มีลูก กระผมก็เลยเอาไปยกให้หนูติ๋ว ขอรับ”
“ทีหลังเอ็งจะยกอะไรให้เด็กนั่น เอ็งก็เอาสมองตรองดูสักนิด ว่ามันจะกลายเป็นมันตีตนเสมอหลานข้าหรือเปล่า” ทองจันทร์ไม่พอใจอยู่ดี
“แล้วพวกฟูกนอนหมอนผ้าห่มสวยๆ เหมือนของหนูอี๊ดนั่นเล่า ญาติฝ่ายไหนของนายเอกท่านให้ รึว่าไปรับมาจากงานเทกระจาดวัดไหน” สนยังไม่ยอม
เอกสบตากับเรียมอีกครั้ง
“คือท่านพระครูท่านว่า คุณหนูอี๊ดควรใช้ฟูกนอนหมอนผ้าห่มให้ถูกโฉลกกัน คล้องจองกับวันเกิด เช่นวันอาทิตย์สีแดง วันจันทร์สีเหลือง”
กบผสมโรง “วันอังคารสีชมพู”
แมวต่อให้ “วันพุทธสีเขียว”
ทองจันทร์เอ็ด “เอ็งสองคนหยุด”
เรียมรีบเอ่ยขึ้น “เรียมก็เลย เปลี่ยนใหม่ตามคำพระครูท่านว่า ค่ะ”
เอกรับเป็นปี่เป็นขลุ่ย “กระผมเห็นคุณเรียมท่านทิ้ง กระผมก็เลย...”
“เอามาให้แมวเอาไปทิ้งเจ้าค่ะ” แมวต่อ
กบตาม “แมวก็เลยปรึกษากับนางกบ ว่าบ้านภักดีภูบาลเหมือนไม้ใหญ่มีนกกามาอาศัย ก็เลย…”
คราวนี้ทองจันทร์เป็นคนพูดเอง “เอาไปยกให้เด็กติ๋ว เลิกแล้วต่อกันเถิด พ่อเทพ นึกว่าทำทาน”
ขุนภักดีลุกพรวด ประกาศก้อง
“ต่อไปนี้อย่าให้รู้ว่าใครใช้อุบายเล่ห์กลเอาของไปให้พวกกระท่อมเล้าหมูนั่นอีก หาไม่เช่นนั้น ข้าเอาเรื่องแน่”
เอก กบ และแมวรับอ่อยๆ “ขอรับ” / “เจ้าค่ะ”
ทุกคนเงียบไป ขุนภักดีเดินมา ตบหน้าเอกฉาดใหญ่
“เอ็ง ไอ้มะกอกสามตะกร้าปาไม่ถูก สักวันจะเจอแส้ม้า”
เอกทำไม่รู้ไม่ชี้ ไม่เดือดร้อน สนกะช้อยสะใจ เรียมสงสารเอกมากเบือนหน้าหนี
ที่บางกอก ในวันต่อมาร้านกาแฟไทยเจริญเห็นหน้าร้านยังไม่เปิดขายของ โพล้งกับแพรกำลังเตรียมของเปิดร้านขายตามปกติ แต่ยังไม่มีคนเพราะเช้าอยู่มาก
“แดงน้อยยังไม่ตื่นรึ” โพล้งเอ่ยขึ้น
“ตื่นแล้ว”
โพล้งนึกสงสัย ยังไม่เห็นหน้าหลาน “สายแล้วมันไม่กินข้าวรึ”
“มันกำลังกินความสุข” แพรตีฝีปากใส่
“นางแพร ตั้งกะแกมาอยู่บางกอก สำบัดสำนวนชวนเขกหัวแท้ๆ” โพล้งหมั่นไส้
แพรกระซิบบอก “ลุงมันมาหา เอาเพชรนิลจินดามาให้เป็นค่าเลี้ยงดูมันอีกแล้ว มันรักลุงมันยังกับพ่อก็ไม่ปาน นอนกอดกันกลมดิกทั้งลุงทั้งหลาน แล้วจะไม่ให้บอกว่าแดงน้อยมันกำลังกินความสุขได้ยังไง”
โพล้งยิ้มพอใจ ระหว่างนั้นยายอ่อนเดินหน้าชื่น แต่งตัวสวยเป็นคุณนายบ้านนา มีทองหยองเต็มไปหมดเข้ามา
“สวัสดีจ้า คนบางกอก ขอข้าวราดแกงไก่หนึ่ง กาแฟเย็นแก้ว”
สองคนหันไปมองท่าทีตื่นเต้น เพราะจำได้
“ยายอ่อน”
ยายอ่อนนั่งแปะลงที่เก้าอี้ตัวหนึ่งมุมร้่าน
อาญารัก ตอนที่ 6 (ต่อ)
หนักนอนกอดแดงน้อยเอาไว้อย่างมีความสุข ได้ยินเสียงเรียกยายอ่อน เหมือนแพรกับโพล้งรู้จักดี จึงอาจรู้จักตนด้วย หนักเอามือล้วงในกระเป๋ากางเกงเตรียมพร้อม เห็นด้ามปืนโผล่ไวๆ
“แต่งตัวโก้ทองหยองเต็มตัวไปหมด ไปถูกหวยรวยสมบัติที่ไหนมารึ” เสียงแพรดังเข้ามาในห้องหนัก
ตามด้วยเสียงโพล้ง “รึว่าหมอตำแยสมัยนี้เขาทำคลอดกันได้เงินแพงๆ”
“ไม่รู้ว่าจะบอกเล่าเก้าสิบให้เข้าใจยังไง คือว่าที่ผ่านมา ข้าไปทำคลอด ที่บ้านเศรษฐีใหญ่เมืองสุพรรณ ท่านขุนภักดีภูบาล”
หนักหูผึ่ง ตื่นเต้นมาก ลูกพรวดมานั่งอุ้มแดงน้อยไว้กับอก เงี่ยหูฟังเต็มที่
ยายอ่อนไม่พูดพล่ามทำเพลง
โพล้งกะแพรอุทานพร้อมเพรียง “ไปทำคลอดให้ใครรึ”
“คุณนายเรียมกับแม่เนียน”
สองคนร้อง “ฮ้า”
ยายอ่อนพูดอย่างภาคภูมิใจ “คุณนายเรียมท่านตกรางวัลค่าทำคลอดมาร้อยชั่ง”
สองคนร้อง “โอ้โฮ”
ยายอ่อนเอ่ยขึ้น “ฉันจะเปลี่ยนอาชีพดีกว่า เอาเป็นว่า ฉันต้องการซื้อที่นาของตาน้อมอย่างที่เคยบอกนั่นแหละ”
โพล้งกับแพรมองหน้ากัน
“เรื่องที่นาเอาไว้ก่อน เล่าเรื่องไปทำคลอดบ้านท่านขุนภักดีก่อน” แพรซัก
“เรื่องมันยาว เรื่องราวยอกย้อนซ้อนซับสลับเงื่อนเหมือนยี่เก”
“งั้นรีบสาธยายมาถ้าอยากซื้อที่นา บอกมาให้หมดไส้หมดพุง” โพล้งตื่นเต้น
ยายอ่อนพยักหน้า
“ถ้าฉันสาธยายฉันก็ทวนสาบานสิ คุณนายเรียมท่านแช่งเอาไว้ ให้ชั้นโดนฟ้าผ่าตาย”
แพรคะยั้นคะยอ “ก็ถ้ามันเป็นเรื่องดีๆ ไม่ใช่เรื่องชั่วๆ ฟ้าก็ไปผ่าคนชั่วเองนั่นแหละ เล่ามายายอ่อน รึว่าแกอยากโดนฆ่าหมกคูหลังร้านชั้น แถวนี้เปลี่ยว”
ยายอ่อนเล่นแง่ พยักหน้าพนมมือสาบานอีกครั้ง
“ลูกช้างขออนุญาตทวนสาบานเพื่อเปิดเผยความจริงที่ถูกต้อง หาไม่วันใดถ้าลูกช้างตายไป ใครจะมารู้ความจริง ที่ไม่สมควรปกปิดนี่”
สองคนหมั่นไส้ “เล่าได้แล้ว”
“เริ่มเรื่องโหมโรงตั้งกะเนียนโดนท่านขุนโบยด้วยแส้ม้าปางตายว่ามีลูกแล้วมาหลอกลวงท่าน และลูกในท้องก็เป็นลูกชู้ ที่ชื่อไอ้เสือหนัก ที่มันแอบนัดไปหากันท่าน้ำให้แหวนให้สร้อยกันต่อหน้าต่อท่านขุน”
โพล้งกับแพรตกใจมาก
“ว่ากระไรนะ”
หนักฟังอยู่หลังบ้าน เสียใจแสนสาหัส น้ำตาซึม
“เนียน โธ่ เนียน เนียนเอ๊ย พี่ทำร้ายเนียนแสนสาหัสแท้ๆ”
หนักฟังต่อไป
ยายอ่อนทำหน้าเศร้าขณะเล่า
“แม่เนียนผู้น่าสงสาร ช่างมีกรรรม ฉันเห็นตอนโดนโบยด้วยแส้ม้าฉันงี้น้ำตาตก หลายคนในบ้านไม่อยากเชื่อว่าเนียนเป็นชู้กับเสือหนัก”
แพรและโพล้งพูดขึ้นมาพร้อมกัน
“ฉันก็ไม่เชื่อ”
“แต่ มิใยที่ท่านขุนจะถามเนียนอย่างไร มิใยจะโดนโบยจนเนื้อแตกยับ เนียนก็ไม่ปริปากเอ่ยว่ากระไร”
สองคนครวญ “โธ่เอ๊ยเนียน”
“เนียนจึงโดนอาญาไล่มาอยู่กระท่อมเล้าหมู จากคุณเนียนกลายเป็นนางคนเลี้ยงหมู โดนคุณนายสนกับนางช้อยบ่าวมันเย้ยหยันย่ำยี จนกระทั่งวันคลอดลูก เนียนกับคุณนายเรียมเจ็บท้องพร้อมกัน ฉันก็วิ่งจนหัวหมุนเป็นลูกข่าง”
ภาพเหตุการณ์ในวันนั้นผุดขึ้นมาอีกครั้ง ตอนนั้นลูกของเรียมตาย แล้วยายอ่อนรับปากจะหาทางออกให้
จนถึงตอนที่เนียนคลอดลูกมาแล้วหนึ่งคน แล้วออกมาอีกหนึ่งคน และจบลงที่เอกกับยายอ่อนอ้อนวอนขอลูกเนียนให้ เพื่อตบตาท่านขุนและชดเชยที่เรียมเสียลูกจนแทบคลั่ง
สองคนนั่งฟังหน้าศร้า สงสารเนียนจับจิต
“พุทโธ่พุธถัง เนียนเอ๊ย”
“เนียนก็เลยตอบแทนพระคุณ คุณนายเรียมด้วยการยกแฝดคนโตให้ไป ส่วนชั้นกับนายเอกก็ต้องปิดความลับนี้ไปจนตาย คุณนายตกรางวัลมาให้ร้อยชั่ง ที่จะเอามาขอซื้อที่นานี่แหละ” ยายอ่อนสรุปเข้าธุระตัวเอง
ฝ่ายหนักทั้งตื่นเต้นตกใจ และเสียใจ สงสารน้องมาก จนหนักอดร้องไห้ไม่ได้
“เนียน เนียนน้องรักของพี่”
“ยุง อย่าร้องไห้นะ ยุงอย่าร้องไห้”
แดงน้อยปลอบ แต่หนักก็หยุดไม่ได้
เวลาเดียวกัน เนียนอุ้มลูกก้มหน้าก้มตาเลี้ยงหมู มีเสียงดนตรีไทยประกอบคลอดังแว่วมาจากเรือนใหญ่
ช้อยเดินเข้ามา
“กระตู้วู้”
ร้องข้างหูหนูติ๋ว จนเด็กตกใจร้องไห้จ้า
เนียนฉุนนิดๆ “มาตะโกนใส่หูหนูติ๋วดังๆทำไม ไม่สงสารกลัวแกแก้วหูแตกรึช้อย”
“อ้าว! รึ ไม่รู้นี่ นึกว่าเป็นลูกบ่าวแล้วทนทาน” นางบ่าวใจบาปว่า
“ไม่มีธุระใช่ไหม ฉันจะทำงานต่อ”
“จะว่ามีธุระก็มี จะว่าไม่มีก็ไม่มี แต่มีก็ได้ ไม่ใช่ธุระดอก แค่จะมาบอกให้ใจหายเล่น ว่าวันนี้ คือวันโกนผมไฟคุณหนูอี๊ด น่าสงสารลูกเนียนนะเกิดวันเดียวกันแท้ๆ แต่ไม่มีใครแล ใครเหลียวพาไปโกนผมไฟ ทำใจเถิดนะยะเนียน อยู่ดีๆ ไม่ว่าดีริอ่านมีชู้ ริอ่านมาหลอกลวงว่าไม่เคยต้องมือชาย ที่ไหนผ่านมาจนเปรอะ มันก็สาสม ดีนะที่ท่านขุนไม่ยักเฉดหัวออกจากบ้าน”
เนียนเมินหน้า พลางเดินหนีไป ช้อยดึงแขนไว้ให้หันกลับมา
“ทำไมต้องหลบลี้หนีความจริง ฟังแล้วแสลงหัวใจรึ”
ระหว่างนั้นกบกับแมวมาแต่ไหนไม่รู้ มาร้องใส่หูช้อยดังลั่น
“กระตู้วู้ๆๆๆๆ”
ช้อยเอามือปิดหูแทบไม่ทัน
“ว๊าย นางกบ นางแมว พวกเอ็งมาตะโกนใส่หูข้าทำไม เดี๋ยวเถิดแก้วหูข้าแตก”
“แล้วทำไม่กลัวแก้วหูหนูติ๋วแตกบ้าง ให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัว” กบเยาะ
ช้อยทำท่าจะต่อยตี สองคนตั้งท่ารุม
“คุณท่านให้มาตามเอ็งไปกวนกาละแม ย่ะ” แมวบอก
ช้อยอยากจะหันมาเล่นงานสองคน แต่นึกกลัวและขยาด
“ฝากไว้ก่อนย่ะ”
กบกะแมวร้องตามพร้อมเพรียงกัน “อย่าลืมมาเอาคืนนะย่ะ นางหน้ากะละแมไหม้”
เนียนมองสองคนที่หัวเราะสนุกสนานส่ายหน้า แล้วอยากรู้เรื่องลูกสาวคนโต
“ท่านพระครูมาทำพิธีโกนผมไฟให้คุณหนูอี๊ดหรือจ๊ะ”
“ใช่นะสิ เฮ้อ อยากให้เนียนไปเห็นคุณหนูอี๊ดจัง” กบบอก
“น่ารักน่าชังหน้าตาเหมือนหนูติ๋ว ยังกับฝาแฝด เฮ้อ...” แมวพูดพาซื่อ
เนียนสะดุ้ง “อย่าพูดอย่างนี้สิ”
“ก็มันจริงนี่นา”
สองคนประสานเสียง แถมไม่พูดเปล่า ยื่นหน้ามาดูหน้าหนูติ๋วจังๆ
ระหว่างนั้นกบกับแมวมาแต่ไหนไม่รู้ มาร้องใส่หูช้อยดังลั่น
“กระตู้วู้ๆๆๆๆ”
ช้อยเอามือปิดหูแทบไม่ทัน
“ว๊าย นางกบ นางแมว พวกเอ็งมาตะโกนใส่หูข้าทำไม เดี๋ยวเถิดแก้วหูข้าแตก”
“แล้วทำไม่กลัวแก้วหูหนูติ๋วแตกบ้าง ให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัว” กบเยาะ
ช้อยทำท่าจะต่อยตี สองคนตั้งท่ารุม
“คุณท่านให้มาตามเอ็งไปกวนกาละแม ย่ะ” แมวบอก
ช้อยอยากจะหันมาเล่นงานสองคน แต่นึกกลัวและขยาด
“ฝากไว้ก่อนย่ะ”
กบกะแมวร้องตามพร้อมเพรียงกัน “ อย่าลืมมาเอาคืนนะย่ะ นางหน้ากะละแมไหม้”
เนียนมองสองคนที่หัวเราะสนุกสนานส่ายหน้า แล้วอยากรู้เรื่องลูกสาวคนโต
“ท่านพระครูมาทำพิธีโกนผมไฟให้คุณหนูอี๊ดหรือจ๊ะ”
“ใช่นะสิ เฮ้อ อยากให้เนียนไปเห็นคุณหนูอี๊ดจัง” กบบอก
“น่ารักน่าชังหน้าตาเหมือนหนูติ๋ว ยังกับฝาแฝด เฮ้อ...” แมวพูดพาซื่อ
เนียนสะดุ้ง “อย่าพูดอย่างนี้สิ”
“ก็มันจริงนี่นา” สองคนประสานเสียง
สองคนไม่พูดเปล่า ยื่นหน้ามาดูหน้าหนูติ๋ว
เด็กหญิงอี๊ดต่างกันแค่การแต่งตัว แต่หน้าตาคือหนูติ๋วชัดๆ เรียมกำลังอุ้มอี๊ดอยู่รำพึงออกมา
“หนูอี๊ดจ๋า แม่สงสารน้องสาวกับแม่ของหนูเหลือเกิน แม่จะพยายามทำทุกอย่าง เพื่อให้เขาทั้งสองมีชีวิตที่ดีมีความสุขนะจ้ะ แม่สัญญา”
เอกโผล่มาตาม
“คุณนายเรียมขอรับ ท่านพระครูให้มาเรียนว่าได้ฤกษ์โกนผมไฟแล้วขอรับ”
“จ้ะ จ้ะ นายเอก ไปกันจ้ะ หนูอี๊ด”
“เฮ้อ...คุณนายเรียมขอรับ ขณะที่ชีวิตหนึ่งราวกับนางฟ้า แต่อีกชีวิตหนึ่งราวกับเศษขยะเศษอาหารที่ให้หมูกินก็ไม่ปานนะขอรับ”
เรียมชะงักกึก ใจฝ่อ
“ใช่ว่าฉันจะละเลยหนูติ๋วกับเนียน แต่ว่า ยามนี้ทั้งพี่เทพ ทั้งคุณแม่กับสนจับตามองตลอดเวลา จนชั้นไม่กล้ากระดิกตัว เรื่องปลาตะเพียนยังไม่ทันจางหาย จะก่อเรื่องใหม่อีกจะพาลย่อยยับกันไปทั้งหมดรวมทั้งเนียนกับหนูติ๋ว”
“กระผมทราบขอรับ ถึงได้สลดใจอยู่ทุกวันนี้ ว่าไฉนทำดีถึงได้แต่ร้าย ทำไมทำร้ายจึงได้แต่ดี” เอกบ่นบ้าไปเรื่อย
เรียมนิ่งใคร่ครวญ
“นายเอก วันนี้ฉันขอเสี่ยงอีกสักครั้ง เพราะมันคือวันสำคัญวันมงคลของชีวิตเด็กสองคนนี้ มันคือวันแห่งความภาคภูมิใจของคนเป็นแม่ ฟังชั้นนะ”
เอกตั้งใจฟัง
ส่วนที่ร้านกาแฟในบางกอก สามคน แพร โพล้งและยายอ่อน คุยกันต่อ
“ลูกแคนแรกของเนียนก็ลูกผัวเก่าที่ตายไปแล้ว” โพล้งบอก
“ลูกคนใหม่ก็ลูกท่านขุนนั่นแหละไม่ใช่ลูกชู้ที่ไหนหรอก” แพรว่า
“ถ้าอย่างนั้น ไอ้เสือหนักมันไปหาเนียนทำไม ถ้าไม่ใช่ชู้”
ยายอ่อนตั้งข้อสงสัย สองคนนิ่งไปสบตากัน
“มีใครเห็นหน้ารึ ว่าเป็นเสือหนัก” โพล้งเอ่ยขึ้น
“ไม่มีดอกเพราะเดือนมืดสิบห้าค่ำ แค่มือตัวเองยังมองแทบไม่เห็น” ยายอ่อนว่า
“รึว่ามีใครไปใส่ความเจาะจงเป่าหู ว่าต้องเป็นเสือหนัก เพื่อให้ท่านขุนขุ่นเคืองอับอาย” แพรเอ่ยขึ้น
หนักฟังอยู่ในห้องหลังร้าน มั่นใจมากว่าต้องเป็นสน
“อีสน สักวันเถิด”
สามคนพุดกันต่อ
“ถึงว่าละสิ ฉันละก็สลดใจแทนเนียนเหลือเกิน อันความริษยาของมนุษย์นี่มันรุนแรงถึงขนาดฟาดฟันกันให้ถึงตาย อีนางคุณนายสนตะหากที่มีชู้ ลูกมันน่ะไม่ใช่ลูกท่านขุนดอก แต่เป็นลูกชู้ มันอาศัยใจกล้าหน้าหมดยางหลอกล่อให้ทุกคนเข้าใจว่ามันท้องหนักท้องสิบสองเดือน ไม่คลอดสักที เพราะหลังจากแม่เนียนเข้าบ้านท่านขุน ท่านไม่เคยเยี่ยมกรายมาหาแม่สน เกือบสามเดือน มันจึงแอบไปเล่นชู้จนท้องแล้วยัดลูกใส่ให้ท่านขุน”
สองคนนั่งฟังอ้าปากค้างหวอ
หนักคำรามในคอ
“ลูกกู กูมีลูกกับนางคนชั่ว ลูกเอ๋ย ขออย่าได้จิตใจชั่วดังเช่นแม่ของเจ้าเลย”
หนักยิ่งฟังยิ่งเศร้าสะเทือนใจ
ด้านเนียนกำลังพยายามชะเง้อ เพราะรู้ว่า หนูอี๊ดกำลังจะโกนผมไฟ เอกเดินยิ้มเข้ามาหา
“มามะหนูติ๋ว มากับลุงเอกนะจ้ะ”
“พี่เอกจะพาหนูติ๋วไปไหนรึ”
“ไปโกนผมไฟจ้ะ” เอกบอก
เนียนตะลึง
“พี่เอก อย่ามาเย้ากันสิ”
“พี่ไม่ได้เย้า พี่เล่าความจริง คุณนายเรียมให้พี่มารับหนูติ๋วไปโกนผมไฟ” เอกย้ำคำ
เนียนทั้งดีใจทั้งกลัว “แต่ หนูติ๋วไม่ใช่ลูกคุณนายเรียม”
“คุณหนูอี๊ดก็ใช่ซะที่ไหนกัน เนียนอย่าร่ำไร จะเสียงานเสียการ เกิดมาต้องได้โกนผมไฟในวันที่อายุครบหนึ่งเดือน มงคลของหนูติ๋วนะเนียน อีกอย่าง หนูติ๋วยังไม่มีชื่อจริง”
“คุณหนูอี๊ด เธอมีชื่อว่ากระไรรึ พี่เอก”
“ป่านนี้พระท่านคงตั้งกันไปแล้วแหละ”
เอกพูดพร้อมกับคว้าตัวหนูติ๋วมาจากเนียน เดินลิ่วออกไป เนียนมองตามใจคอไม่ดีเอาเลย
บนเรือนใหญ่ ขุนภักดีกับเรียมอยู่ในพิธีโกนผมไฟให้หนูอี๊ด โดยท่านพระครูกำลังประกอบพิธี
“โยมทองจันทร์ นั่นน้ำมนต์ของอาตมา เอาล้างผมไฟออกให้โยมหลานสิ”
ทุกคนปลาบปลื้มมากทองจันทร์รับน้ำมนต์มาล้างเช็ดหัวให้หนูอี๊ด
“เป็นเด็กดีเป็นเด็กแข็งแรง นะหลานนะ”
“ท่านพระครูขอรับ หนูอี๊ดยังไม่มีชื่อขอรับ” ขุนภักดีเอ่ยขึ้น
“เตรียมมาให้แล้ว ให้ชื่อว่า...ทานตะวัน” ท่านพระครูบอก
“ทานตะวัน เพราะเหลือเกินเจ้าค่ะ ท่านพระครู มีความหมายดีนะคะพี่เทพ” เรียมยิ้มแย้ม
“ดอกทานตะวัน แข็งแรงมาก สู้ได้แม้ดวงอาทิตย์” ขุนภักดียิ้มย่อง พอใจมาก
“แต่การสู้นั้น มันต้องประกอบสติ สติคือรั้วของชีวิต สติพังชีวิตก็พินาศ” ท่านพระครูเสริม
ทุกคนปลาบปลื้ม ก้มลงกราบท่านพระครูตามๆ กัน
“คุณแม่ ครับ เรียมจ๊ะ เสร็จธุระสำคัญแล้วขอเวลาไปต้อนรับท่านนายอำเภอก่อน”
ขุนภักดี เดินออกไป ทองจันทร์ก็ขอตัว
“แม่ก็จะกลับไปเอนหลังที่เรือน นั่งพับเพียบมาก มันไม่ไหวไขข้อไม่สู้จะดี”
ทองจันทร์ตามออกไปอีกคน
เรียมเดินตามแผนทันที “ท่านพระครู เจ้าขา ดิฉันขอปันน้ำมันของท่านพระครูสักขวดหนึ่งนะเจ้าคะ”
“ตามสบายโยม นี่เอาไปเลย”
เรียมหันมามองทางกบ กับแมว พยักหน้าให้ สองคนคลานมาหยิบเอาไปโดยไว
ฝ่ายช้อยกำลังกวนกาละแม กวนไปสอดส่ายสายตาหาเรื่องไป
“เอ๊ะ...นั่น...”
ช้อยได้เรื่องจนได้ เมื่อเห็นเอกอุ้มหนูติ๋วผ่านไปแว้บๆ ดูออกว่าเอกรีบเร่งมาก
“ไปนะจ้ะหนูติ๋วไปทำพิธีมงคลให้กับตัวหนูเองนะจ๊ะ”
ช้อยนึกสงสัย
“ไอ้เอกมันไปอุ้มเด็กที่ไหนมา แล้วมันจะอุ้มไปไหน รึว่า...แย่แล้ว”
ช้อยโยนไม้กวนกาละเมทิ้ง วิ่งอ้าวออกไปทันที
ส่วนแมวกับกบมองซ้ายมองขวารับหนูติ๋วมาจากเอกอย่างรวดเร็ว
“รีบเอาไปให้คุณนายเรียมไวๆ เข้า”
“มีใครเห็นหรือเปล่า” กบถาม
“ถ้านางช้อยเห็นละก็ ไปยาวเป็นคุ้งเป็นแควปิงวังยมน่านแน่ๆ เจ้าข้าเอ๋ย” แมวกังวล
เอกพยักหน้าให้รีบไป สองคนรีบไปทันที พอสองคนคล้อยหลังไป เอกหันกลับ
“โฮ้ย ทำความดีนี่มันยากแท้ๆ”
“ไอ้พี่เอก” ช้อยพยายามชะโงกหา
เอกรู้ในทันที “หาอะไรรึ นางช้อยจอมสอดรู้สู่เห็น”
“เอาเด็กไปซ่อนไว้ที่ไหน”
“เด็กอะไรรึ”
“ก็เด็กที่เอ็งอุ้มมาเมื่อตะกี้ ใช่เด็กติ๋วหรือเปล่า”
“ข้าไม่ได้อุ้มเด็กอะไรทั้งนั้น ข้ากำลังจะไปหาข้าวกิน ไปให้พ้น อย่ามาใส่ความกัน”
ช้อยมองหน้าเอกเย้ยๆ
“ดีละ อยากหาเรื่องใส่ตัว ใช่ไหม อีกประเดี๋ยวเป็นได้เรื่องแน่ๆ”
ช้อยเดินสะบัดกลับไป เอกเริ่มใจคอไม่ดี
ภาพในกระจกหนูติ๋วกับหนูอี๊ดถูกเรียมอุ้มในอ้อมกอดซ้ายขวาหน้าตาเหมือนกัน แต่งตัวเหมือนกัน เรียมยิ้ม
“หนูจ๋า น่ารักน่าเอ็นดูแท้ๆ”
“หน้าเหมือนกันราวกับขนมมาจากพิมพ์เดียวกันนะเจ้าคะ” กบว่า
“เหมือนกันกับเนียนราวกับเป็นลูก...” แมวจะบอกว่าลูกเนียนทั้งสองคน
เรียมหน้าเสียไป กบกับแมวแค่พูดตามประสา ไม่ได้รู้ความจริง
“พูดจาเหลวไหลเพ้อเจ้อใหญ่ทั้งสองคน เด็กตัวเล็กก็น่ารักเหมือนกันทั้งนั้น เอาละ ชั้นจะโกนหัวหนูติ๋ว กบไปเอามีดโกนมา แมว ไปเอาน้ำมนต์มา”
สองคนทำตามสั่ง เรียมเริ่มทำการโกนผมไฟให้หนูติ๋ว
สนกำลังทำท่าใหญ่โต ควบคุมการจัดดอกไม้
“พวกเอ็ง มันมือห่างตีนห่าง มือหยาบตีนหยาบ ทำของสวยๆ งามๆ กันไม่เป็น ตั้งอกตั้งใจหน่อยสิยะ”
ช้อยวิ่งกระหืดกระหอบมา
“คุณสนเจ้าขา งามหน้างามเนตรอีกแล้วเจ้าค่ะ คราวนี้ใหญ่โตหนักหนาสาหัสสากรรจ์แน่แน่ เจ้าค่ะ”
“อะไรอีก วันนี้วันมงคล เอ็งยังมาบอกว่ามีเรี่องไม่ดีบัดสีอะไรกันอีก”
“ไอ้พี่เอกมันอุ้มลูกอีเนียน หายแว๊บล่องหนไปทางเรือนคุณนายใหญ่โน่นเจ้าค่ะ”
สนตื่นเต้น “ฮ้า เอ็งอย่าพูดพล่อยๆ นะ”
“ขืนชักช้าไม่ทันการนะเจ้าคะ มันต้องสมคบกับอีเนียนคิดการใหญ่อะไรสักอย่างแน่ๆ เจ้าค่ะ” ช้อยมั่นใจนัก
“คิดการอะไรน้อ” สนคิดไปคิดมา “นึกออกแล้ว ลูกมันเกิดวันเดียวกันกับหนูอี๊ด”
“มันกำลังเอาลูกชู้ไปเสนอหน้าโกนผมไฟให้ท่านพระครูตั้งชื่อให้” ช้อยบอก
สนโยนดอกไม้ ใส่พวกคนรับใช้อื่นกระจัดกระจาย
“ไม่ได้เด็ดขาด จะให้มันเกิดขึ้นไม่ได้เด็ดขาด คุณเรียมช่างวอนหาเรื่องใส่ตัวแท้ๆ ช่วยไม่ได้”
สนหันพรวดไปทางเรือนทองจันทร์ ช้อยหันมาชี้หน้าคนอื่นๆ
“พวกเอ็งรีบทำงานให้แล้วเสร็จ อย่าอืดเป็นเรือเกลือเด็ดขาด”
แล้วช้อยก็หันกลับตามสนไป พวกที่เหลือมองตาม แสยะหน้าไล่หลังอย่างเกลียดชัง
“นางคางคกขึ้นวอ”
เรียมโกนหัวหนูติ๋วเรียบร้อย
“ทีนี้หัวก็สะอาดแล้วหนูติ๋ว นี่สร้อยคอ” เรียมใส่ให้ “นี่สร้อยข้อมือข้างละเส้น”
“แล้วนั่นตะปิ้งเงิน ผูกด้วยสายสร้อยเงิน” กบบอก
แมวยิ้มดีใจ “หนูติ๋ว ช่างมีบุญมีวาสนาที่คุณนายเรียมเมตตาราวกับเป็นลูก”
“ชื่นใจแทนเนียน” สองคนยิ้มปลื้ม
“เอ็งสองคน อย่าได้ปากสว่างเอาเรื่องนี้ไปโพธนาที่ไหนทีเดียวล่ะ”
มีเสียงเคาะห้องดังขึ้น
“แม่เรียมจ๊ะ แม่เรียม เปิดประตู แม่มีอะไรจะถาม”
เรียมตกใจ หันมามองกบกับแมวที่กำลังตกใจเช่นกัน
“ทำอย่างไรกันดีล่ะ กบเอาคุณหนูอี๊ดไปหลังตู้โน่น”
กบรีบฉวยหนูอี๊ดไปหลังตู้
“ขอบใจมากกบ เอาละทีนี้แมว รีบ เปิดประตูสิ”
แมวตกใจชี้ไปที่หนูติ๋ว “คุณนายเรียมเจ้าขา ก็นี่ไม่ใช่คุณหนูอี๊ด”
“ข้ารู้ รึว่าเอ็งจะปล่อยให้คุณแม่สงสัย”
แมวรีบเดินไปเปิดประตู เรียมก้าวออกไปทันทีโดยมีหนูติ๋วในอ้อมกอด แมวใจหายใจคว่ำเอามือทาบอก
“อกอีแป้นจะแตก”
อาญารัก ตอนที่ 6 (ต่อ)
ทองจันทร์เพ่งมองเรียมที่อุ้มหนูติ๋วมา แต่จับไม่ได้ว่าเป็นหนูติ๋ว
“คุณแม่มีอะไรหรือคะ”
“มีสิ เอ๊ะ เอ้อ...นี่นี่ หนูอี๊ดนี่นา”
“ค่ะ หนูอี๊ด”
“ก็แล้วไหนแม่สนมันว่า...”
“ว่าอะไรหรือคะ คุณแม่”
“ว่าแม่เรียมสมคบกับไอ้เอกทำงามหน้าเอาลูกชู้มาแอบโกนผมไฟ แล้วหมายจะให้ท่านพระครู ตั้งชื่อ”
“แม่สนบอกคุณแม่อย่างนั้นหรือคะ แม่สนไปเอามาจากไหนหรือคะ”
“แม่สนคงสับสนไปเองน่ะ นางช้อยมันเพ้อเจ้อ อีนางนี่ต้องจับมาอบรมเรื่องปากยาวยิ่งกว่าปากกาซะแล้ว”
“ถ้าคุณแม่ไม่มีอะไร เรียมขอตัวพาหนูอี๊ดไปกราบขอพรจากท่านพระครู ตอนตั้งชื่อ เรียมลืมขอพรจากท่านค่ะ” เรียมแข็งใจพูด “เชิญ ไปด้วยกัน ไหมคะคุณแม่”
ทองจันทร์พยักหน้าอ้าแขนอุ้มหนูติ๋ว คิดว่าเป็นหนูอี๊ด
“ก็ดี มาให้ย่าอุ้มนะจ้ะ หนูอี๊ด”
เรียมใจหายวับ
“เอ้อ เรียมอุ้มเองก็ได้ค่ะ เดี๋ยวหนูต..เอ้อ..หนูอี๊ดจะทำเลอะเทอะใส่คุณแม่”
“จะเป็นไร หลานอึใส่ฉี่ใส่หมายความว่า แม่เป็นย่าเต็มตัวแล้วจ้ะ มามะคนดีทูนหัวของย่ามาให้ย่าอุ้มนะลูกนะ”
เรียมแอบถอนใจแต่ก็จำยอม
ฟากกบกะแมวอุ้มหนูอี๊ดแอบดูอยู่ในห้อง กบเอ่ยขึ้น
“ดูดู๋ นางแมวเอ็งดูคุณนายเรียมบทท่านจะใจกล้าขึ้นมาท่านก็กล้าจนน่ากลัว”
“คงเป็นเพราะมั่นใจว่าหนูติ๋วหน้าตาเหมือนคุณหนูอี๊ดมาก ท่านเลยพาลหลงรัก ดูของขวัญที่ท่านให้นั่นสิ มะลังมะเลืองทีเดียว” แมวว่า
“แล้วทำไมคุณหนูอี๊ดกับหนูติ๋วหน้าตาเหมือนกันอย่างนี้” กบเริ่มสงสัยอีก
“เหมือนกันเองแล้วยังไปเหมือนกับเนียนเข้าให้อีก” แมวก็ด้วย
สองคน แปลกใจ
ฝ่ายขุนภักดีพูดคุยเฮฮาอยู่กับนายอำเภอ จิบชากับอาหารว่างไปด้วย
“ขอบพระคุณคุณเหลือเกินครับ นายอำเภอ ที่ให้เกียรติมางานโกนผมไฟลูกสาวผม”
“แล้วกัน ท่านขุนภักดีภูบาลเศรษฐีใหญ่เมืองสุพรรณผู้มีที่นามหึมามหาศาล ผมไม่มาก็ผิดไปแล้วสิท่านขุน”
“ลือกันไปเองต่างๆ นานา น่ะครับ นายอำเภอ ไอ้ที่นามากๆ นั่น ของท่านเจ้าพระยาท่านให้ผมดูแลให้ต่างหาก ของผมแค่เล็กๆ น้อยๆ” ขุนภักดีถ่อมตน
“ไฮ้ เล็กน้อยแบบไหนกัน ผมไปปราบโจรที่ไหน ก็เจอที่นาท่านขุน ยั้วเยี้ยไปหมด” นายอำเภอว่า
“ตรงโน้นนิด ตรงนี้หน่อย มรดกตกทอด มาจากคุณพ่อ กับของคุณแม่ผสมกัน รวมกับของเรียมเขาด้วย ก็เลยดูมากครับ”
“แม่เรียม ภรรยาคนแรกละสิ ท่านขุนมีลูกกี่คนครับ”
“สาม เอ๊ย สองเท่านั้นครับ” ขุนภักดีหน้าไม่ค่อยจะดี
“ผมก็ถามไปตามเรื่องตามราวน่ะครับไม่มีเจตนาละลาบละล้วง”
สนนวยนาดเข้ามาไหว้นายอำเภอ
“พี่ขุนขา คุณแม่ให้เชิญไปหาท่านว่ามีอะไรจะถาม แค่ประเดี๋ยวเดียวเท่านั้นค่ะ”
ขุนภักดีกำลังคุยติดพัน ไม่อยากจะไป
“ไฮ้ มีอะไรจะถามสนรู้ไหม”
“ทราบสิคะ”
“สนถามมาตรงนี่ก็ได้ กันเองทั้งนั้น”
สนแอบยิ้มฉวยโอกาสทันที
“จะไม่สู้ดีกระมังคะ ถ้าจะให้สนถามแทนคุณแม่”
“ถามมาเถิดน่าสน”
“คุณแม่ท่านจะถามว่า ทำไมคุณนายเรียมจึงกล้าสมคบกับนายเอก เอาลูกชู้มาโกนผมไฟ แถมจะให้พระครูตั้งชื่อด้วยค่ะ นี่สนไม่ได้ว่านะคะคุณแม่ท่านว่านะคะ”
นายอำเภอวางหน้าไม่ถูก ขุนภักดีตะบะแตกลุกพรวด
“อุเหม่ ไอ้เอกอยู่ไหน เรียมอยู่ไหน พี่จะไปจัดการทั้งสองคนให้หลาบจำ”
แต่แล้วขุนภักดีก็นึกได้ว่านายอำเภอนั่งอ้าปากหวออยู่ด้วย
นายอำเภอรีบยกมือลา “เชิญตามสบาย ผมลากลับก่อนละครับ”
โดยไม่รอให้ท่านขุนพูดต่อ นายอำเภอหันกลับโกยอ้าว สนแอบยิ้มสะใจ
“ที่นี้ละ งามหน้าไปเจ็ดคุ้งน้ำแน่ๆ” สนพึมพำ
ขุนภักดีวิ่งหายไปแล้ว สนนวยนาดตามไป
“สะใจอีเนียนกับอีเรียมแท้ๆ ตกกระป๋องแน่อีเรียมเอ๋ย”
ฝ่ายท่านพระครูกำลังเอาน้ำมนต์สลัดใส่หัวหนูติ๋ว ทองจันทร์อุ้มไว้ และมีเรียมนั่งกระอักกระอ่วนใกล้ๆ แต่ก็สมหวังดังใจที่ต้องการ
“โชคดีมีชัยนะจ้ะหนู ชื่ออะไรดีน้อ เนื้อทองดีไหม” ท่านพระครูดูออกว่าเป็นคนละคนกัน
เรียมเสียววาบ ใจหล่นวูบทองจันทร์แปลกใจ
“อ้าว ท่านพระครูเจ้าขา เมื่อสักครู่ท่านตั้งชื่อหนูอี๊ดไปแล้วว่า ทานตะวันนะเจ้าคะ”
“อ้าว ก็แล้วนี่หนูอะไรล่ะ” ท่านพระครูสงสัย
“ก็หนูอี๊ด นั่นแหละเจ้าค่ะ”
ท่านพระครูทำหน้างงๆ
“ท่านพระครู แปลกใจอะไรหรือเจ้าคะ” ทองจันทร์แปลกใจ
ท่านพระครู ยังไม่ทันเอ่ย มีเสียงขุนภักดีอาละวาดใส่เอกดังลอดมา
“ไอ้เอก กูจะฆ่ามึง ไอ้คนบังอาจ ไอ้คนไม่รู้ที่ต่ำที่สูง”
ทองจันทร์กับเรียมตกใจ ท่านพระครูนั่งนิ่ง
“พี่เทพอาละวาดอะไรกันคะนั่น” เรียมตกใจ แต่พยายามคุมอารมณ์ไว้
“แย่แล้ว แม่เอง แม่ให้แม่สนไปตามพ่อเทพ แม่เข้าใจว่าไอ้เอกกับแม่เรียมสมคบกันเอาลูกชู้มาโกนผมไฟมาให้ท่านพระครูรดน้ำมนต์ตั้งชื่อ”
“รีบไปห้ามสิโยม วันนี้วันมงคลนะ” พระครูร้องบอกทองจันทร์
“ส่งหนูต.. เอ้อ...ส่งหนูอี๊ดให้เรียมเถิดค่ะ”
เรียมรีบเอาหนูติ๋วมาจากทองจันทร์ ขณะที่ทองรีบตรงไปที่หน้าเรือน
ท่านพระครูมองหน้าเรียม ถามยิ้มๆ
“ตกลงนี่หนูอี๊ดหรือหนูติ๋ว กันแน่โยม”
“อิชั้นไม่กล้ามุสาท่านพระครูดอกเจ้าค่ะ”
“โยมมีใจเมตตาเป็นธรรม เป็นสิ่งประเสริฐ หนูติ๋วคนนี้ได้โกนผมไฟได้รับน้ำมนต์ได้พร ได้ชื่อไปแล้วเขาโชคดีแน่” ท่านพระครูพูดอย่างเมตตา
“ขอบพระคุณเจ้าค่ะ ท่านพระครู เอ้อ... เด็กหน้าตาคล้ายกันแต่งตัวเหมือนกัน ทำไมท่านดูออกว่าคนละคนเจ้าคะ” เรียมอดสังสัยไม่ได้
“อาตมาดูลักษณะนิสัยน่ะ คนนี้หนักแน่นอดทน ใจเย็น เหมือนแม่เขา ละมัง แต่อีกคนใจร้อนหูเบา เชื่อคนง่าย น่าจะคล้ายพ่อ”
เรียมฟังแล้วใจไม่ดี
“แล้วโตขึ้นจะเป็นอย่างไรคะ”
“ขึ้นอยู่กับการอบรม โยมรีบพาเด็กไปเถิดก่อนที่จะมีเรื่องใหญ่”
เรียมกราบลาแล้วรีบพาหนูติ๋วไป
เอกโดนชกโดนเตะ โดนต่อย สภาพย่ำแย่ไปทั้งตัว เอกไม่ปัดป้อง
“ทำไมมึงช่างสาระแนดีนักไอ้เอก รึว่ามึงอยากเป็นชู้กับมันอีกคน”
เอกได้แต่ยกมือไหว้
“กระผมไม่บังอาจขอรับ”
“กูอยากฆ่ามึงให้ตายนัก”
“ได้ขอรับกระผม”
“มึงท้าทายกู”
ช้อยกับสน สะใจนัก
“สะใจ อีกประเดี๋ยวถึงรายอีเรียมแน่” สนยิ้มร่า
“คุณท่านมาแล้วเจ้าค่ะ” ช้อยหันไปเห็นทองจันทร์
“หยุดนะพ่อเทพ”
สนกับช้อยมองหน้ากัน สนงง
“หยุดรึ นี่มันอะไรกัน นางช้อย”
“นั่นสิเจ้าคะ ทำไมคุณท่านมาสั่งห้าม” ช้อยก็งง
“คุณแม่ให้สนไปตามผมบอกว่าไอ้เอกมันสมคบกับเรียม เอาอีเด็กลูกชู้มาเสนอหน้าเทียมเทียบลูกสาวผม ผมก็ต้องลงโทษมัน”
“มันไม่ได้ทำดอก”
“อะไรนะครับ คุณแม่”
“แม่สนบอกพ่อเทพอย่างนั้นรึ แม่สน นางช้อยมานี่สิ”
ทองจันทร์กราดตามองไปยังที่สนและช้อยอยู่ แต่สองบ่าวนายใจบาปไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว เห็นแต่เรียมอุ้มหนูติ๋วเดินลงเรือนมา
“หนูอี๊ดจ๋าถามคุณพ่อสิจ้ะว่าทำไมหูเบาเช่นนี้”
“เรียม หนูอี๊ด”
“ค่ะ เรียมกับหนูอี๊ด ถ้าพี่ขุนคิดว่าเด็กคนนี้ เป็นหนูติ๋วเชิญพี่ขุน ลงอาญาเอ็งสิคะ ลงอาญาเหมือนกับที่ทำกับนายเอก”
ขุนภักดีหน้าเสียถนัดตา
“พ่อขอโทษหนูอี๊ด พี่ขอโทษจ้ะเรียม ไอ้เอก เจ็บมากใช่ไหม”
“พอทนได้ขอรับ”
“นายเอกฉันขอโทษด้วย ที่เป็นต้นเหตุให้โดนทุบตี ตามมาสิฉัน อยากจะรู้เรื่องว่ามันเกิดอะไรขึ้นเหมือนกัน”
“เอ็งไม่ได้เล่นตลกมะกอกสามตะกร้าใส่งาแน่นะ ไอ้เอก” ขุนภักดีไม่วายคาใจ
“มิบังอาจขอรับ”
เรียมฉวยโอกาสเดินนำไป เอกเดินตามหลังเรียม
สนโมโหตบหน้าช้อยโดยแรง จนหน้าหงาย
“อีช้อย นี่ไงงามหน้า ที่มุสาฟ้องกู งามหน้ากูไงละ”
“ช้อยเห็นจริงๆ นะเจ้าคะว่าไอ้พี่เอกมันอุ้มเด็กไปทางหลังเรือนอีเรียม”
“แล้วยังไง เด็กที่เอ็งเห็นมันเป็นหนูอี๊ด ไม่ใช่อีเด็กติ๋ว เด็กที่เอ็งเห็น ทีนี้ฉันจะไปมองหน้าอีแก่กับพี่เทพได้ยังไง อีเรียมก็อีกคน ตอนนี้มันนั่งหัวเราะเยาะฉันฟันฟางโยกไปหมดทั้งปากแล้ว”
“ช้อยว่ามันน่าจะมีเงื่อนงำอะไรแน่ๆ เจ้าค่ะ คุณสน นั่น นั่นเจ้าค่ะ ไอ้พี่เอกอุ้มเด็กเดินผ่านไปแว้บๆ กลับไปทางเล้าหมูแล้วเจ้าค่ะ”
“ไหน”
พอสนหันไปมอง เห็นเพียงแมวกับกบ กำลังหัวเราะกันคิกคักออกท่าออกทาง แล้วสองคนก็หยิบปี๊บมาคลุมหัวเดินชนกัน เองสนุกสนาน
“น่าอายแท้ๆ” กบเยาะ
แมวหยัน “อายจนต้องเอาปี๊บคลุมหัวเดิน”
สองคนหัวร่อร่า “ฮะๆๆๆๆ”
ช้อยกับสนกลับมาถึงเรือนไม่พอใจที่กบกับแมวมาหัวเราะเยาะเหมือนยั่ว
“ถ้าไม่มีอะไร ทำไมนางสองคนนั่นมันต้องมาแสร้งเล่นเอาปี๊บคลุมหัวหัวร่อเยาะเราะเจ้าคะ คุณสน”
“ไอ้เอกมันฉายา มะกอกสามตะกร้าปาไม่ถูก มันเล่นกลแน่ๆ แต่เราจับมันไม่ได้นึกออกแล้ว เร็ว เอ็งรีบไปดูเด็กติ๋วอยู่กับอีเนียนหรือเปล่า ไปให้ถึงก่อนไอ้เอกมันนะ” สนสั่ง
ช้อยพรวดพราดทำท่าจะลงทางหน้าต่าง สนกระชากไว้ ช้อยรีบกระโดดลงบันไดเรือนไป
“อีเนียน อีเรียม พวกมึงกำลังเล่นกับไฟ พวกมึงทำให้กูขายหน้า”
สนคำรามออกมาด้วยความแค้น
ฟากเนียนนั่งหลบในกระท่อม ใจคอไม่ดีกลัวใครมาเห็นว่าหนูติ๋วไม่ได้อยู่ด้วย เสียงช้อยตะโกนเรียกมาทางหน้ากระท่อม
“เนียนๆ เนียนอยู่ไหม”
เนียนตกใจ เสียงช้อยแหลมเข้ามาอีก
“เนียนคุณสนให้เอาของกินมาให้ ออกมาสิ ไม่ออกมาจะเข้าไปหาแล้วนะ”
เนียนตกใจมากขึ้นละล้าละลัง เสียงกระซิบมาจากหน้าต่างหลังกระท่อม
“เนียน เนียน”
เนียนหันไปหน้าหันมาหลัง ละล้าละลังหนัก
“เปิดหน้าต่างสิ” เอกบอกอีก
เนียนยกหน้าต่างขึ้นเอาไม้ยันเปิดไว้
“พี่เอก”
“รับหนูติ๋วไปเร็ว อย่าให้นางช้อยจอมสาระแน มันเห็นเครื่องประดับที่คุณนายเรียมใส่ให้มาทีเดียวนะ”
“จ้ะ เอ๊ะ หน้าพี่เอกโดนอะไรมา”
“ท่านขุนซ้อม แต่ช่างเถิด หนูติ๋วโกนผมไฟ รดน้ำมนต์มีชื่อจริงว่าเนื้อทอง ได้รับพรจากพระครบเป็นมงคลแก่ตัวทุกประการ”
เนียนรีบรับหนูติ๋วมากอดแนนบอก เอา ผ้าห่อติ๋วไว้จนมิดชิด เนียนดีใจจนน้ำตาคลอ
“ขอบคุณมากจ้ะพี่เอก ฝากกราบขอบพระคุณคุณนายเรียมด้วยจ้ะ”
ที่ด้านหน้ากระท่อม ช้อยพรวดเข้ามา พอดีกับที่เอกปิดหน้าต่างด้านหลังให้เนียน
เนียนยืนหันหลังให้ประตู
“เด็กติ๋วไม่ได้อยู่กับเนียนรึ”
เนียน หันกลับมาพร้อมเด็กในอ้อมกอดปิดบังมิดชิด
“ทำไมถึงคิดว่าหนูติ๋วไม่ได้อยู่กับฉัน”
“ก้อ ก้อ เอาน่า ร้องไห้ทำไมน่ะ”
“หนูติ๋วเป็นหวัด ไม่ค่อยสบาย ช้อยแทบจะพังประตูเข้ามามีอะไรรึ”
ช้อยยืนนิ่งเงียบงันไป
เอกแอบดูอยู่หลังกระท่อม มองลอดรูจากข้างนอกเข้ามาในกระท่อม ถอนหายใจอย่างโล่งอก
“แม่สนกับนางช้อยมันจองล้างจองผลาญเนียนไม่สิ้นสุด ทั้งที่เนียนก็ตกอับจนถึงที่สุดแล้ว เพราะเหตุใดกันหนอ”
เอกข้องใจนัก พยายามคิดไขปัญหาเรื่องนี้ให้กระจ่าง
ฟากสนผิดหวังปนแค้น มีช้อยนั่งกอดขาประจบเอาใจบีบนวดเท้า
“อีเนียน กูต้องจองล้างจองผลาญมึงไม่เลิกรา จนกว่า ไม่ชีวิตมึงก็ชีวิตกูจะหาไม่ เพราะมึงวางแผนกับพี่มึง มาทำร้ายกู ทำชีวิตกูเกือบพังพินาศ”
“ช้อย จะช่วยคุณสน จองล้างจองผลาญมันจนกว่าชีวิตจะหาไม่เช่นกันเจ้าค่ะ”
“ขอบใจเอ็ง อีเนียนมึงทำให้ชีวิตที่ควรจะมีแต่ความสุขของกูสุขไม่เต็มที่ เพราะมีมึงกับลูกมีอีเรียมเป็นหอกคอยทิ่มแทงสะกิดให้กูรำคาญ”
“ช้อยละกลัวว่าไอ้เสือหนักมันจะให้อีเนียนไปบอกท่านขุนว่ามันเคยฉุดคุณสนไปข่มขืน จนได้ลูกเป็นคุณหนูแทิดศักดิ์”
“ข้าก็กลัว แต่ถ้ามันรู้ ทำไมอีเนียนมันจึงไม่เอ่ยปากบอกใครว่าไอ้หนักกับข้า...รึว่ามันไม่รู้”
“รึว่ามันรู้แต่มันดีมาก ไม่อยากเห็นคุณสนตกนรกเหมือนมัน”
“เอ็งห้ามชมมัน ข้าค่อนจะเชื่อมาทางว่ามันคงไม่รู้ พี่มันคงไม่ทันบอกเพราะไม่มีโอกาสบอก ขอให้ไอ้เสือหนักมันไปตายที่ไหนก็ไปซะอย่าได้วนกลับมารังควาญชีวิตข้าอีกเลย”
“นี่ไงเจ้าคะ ที่พระครูท่านว่า สวรรค์อยู่ในอกนรกอยู่ในใจ ช้อยเองก็แสร้งสุขไปวันๆ แต่ในใจมันเหมือนมีอะไรมาตอกย้ำในสิ่งที่ทำไป ช้อยฝันร้าย เสมอ”
“ข้าฝันเห็นหน้าไอ้เหิม ไอ้หวาน ไอ้หมอเสน่ห์มันมักมาแทรกในความฝันสวยๆ ของข้าตลอดเวลา ภาพพวกมันน่ากลัวขึ้นทุกที พวกมันโกรธ เกลียดข้ารุมด่าประณามข้า”
ดูเหมือนสนและช้อยยังคงกังวลใจเรื่องหนักเสมอ
โปรดติดตาม "อาญารัก" ตอนที่ 7