สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายธราธร ตอนที่ 6
วัตถุโบราณชิ้นที่เอ็ดเวริ์ดเลือกไว้ ถูกห่อหุ้มไว้อย่างดี อีริคยืนมองด้วยความพอใจ สมุนเดินเข้ามารายงาน
“ชาวบ้านที่จะลำเลียงของไปชายแดนมาแล้วครับนาย”
“ให้มันมายกออกไป แล้วแก 2 คน” อีริคชี้หน้าสมุนคนสนิทที่ยืนอยู่สองคน “ก็คุมไปให้ดีๆ จะมีคนของฝั่งโน้นมารอรับของอยู่ที่ชายแดน แล้วก็ลำเลียงลงเรือ เรียบร้อยเมื่อไหร่ รีบกลับมาด่วน มีงานใหญ่รออยู่”
สมุน สองคนรับคำ
“ครับ”
สมุนหันไปพยักหน้าให้ชาวบ้านมาช่วยกันยกของที่ห่อแล้วออกไปอย่างระมัดระวัง อีริคมองด้วยความพอใจ
“นี่ยังแค่ของฝากเล็กน้อยๆ ถ้าได้แผนที่ปราสาทชุดนั้นเมื่อไหร่ รวยเละแน่”
อีริคยิ้มร้าย ชาวบ้านขนของออกไป เหลือแต่ปูนปั้น ภาพสลักชิ้นเล็กๆที่แตกไม่สมบูรณ์วางอยู่อย่างไร้ค่า
ในแคมป์...เงียบสงัด คนส่วนใหญ่ไปทำงานที่ปราสาท หน้าบ้านพักอาทิตยรังสีเงียบกริบ พรานสมค่อยๆโผล่ออกมาทางด้านห้องทำงาน มองซ้ายมองขวา ไม่เห็นใคร ก็ค่อยๆย่องเข้าไปในห้องทำงาน
พรานสมมองซ้ายมองขวา แล้วรีบพุ่งไปที่ซ่อนแผนที่ จุดเดิมที่อีริคเจอ เขารีบรื้อของอย่างเบามือ จนเจอกล่องอันเดิม พรานสมยิ้มมองซ้ายมองขวาอีกทีแล้วเปิดกล่องออกภายในกล่องว่างเปล่า ไม่มีแผนที่ พรานสมอึ้ง ผิดหวัง แล้วก็เงยหน้าขึ้นพูดด้วยความแค้น
“ไอ้แก่มันเอาแผนที่ไปไว้ที่ไหนวะ”
เอ็ดเวิร์ดยืนอยู่ข้างกะละมังใส่น้ำ ในมือถือผ้าขนหนูสำหรับชุบน้ำเช็ดตัว เอ็ดเวิร์ดหันมาตะคอกใส่พรานสมอย่างไม่ใยดี
“ฉันไม่รับรู้ ไม่ว่ามันจะย้ายที่เก็บไปไว้ที่ไหน พวกแกก็ต้องหามาให้ได้โดยเร็วที่สุด” เอ็ดเวิร์ดกัดฟัน ชักสีหน้า “ฉันเบื่อไอ้ค่ายไร้วัฒนธรรมนี่เต็มที จะทำอะไรก็รีบๆทำ ก่อนที่ฉันจะหมดความอดทนแล้วขนของกลับกรุงเทพ”
“ครับ”
พรานสมรับคำแล้วก็หันหลังให้เอ็ดเวิร์ด แอบชักสีหน้านิดๆเบื่อความยะโสของเอ็ดเวิร์ด แต่ก็ต้องยอม เอ็ดเวิร์ดปาผ้าขนหนูลงที่โต๊ะข้างๆ ด้วยความไม่สบอารมณ์
“เบื่อจริงๆ ไอ้พวกล้าหลัง ไม่ได้ดั่งใจสักอย่าง” เขาหันมาทางกะละมังที่วางอยู่แล้วก็ยิ่งหงุดหงิด “จะอาบน้ำแต่ละที น้ำแค่นี้มันจะไปพออะไร”
เอ็ดเวิร์ดปัดกะละมังน้ำทิ้งด้วยความหงุดหงิด แล้วก็คิดแผนร้ายขึ้นมาได้ แสยะยิ้มที่มุมปาก
กะละมังทำอาหาร ถูกคว่ำเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบ เกษรากำลังเรียงกระทะ เรียงหม้อ เรียงเขียง จาน
ชาม ไว้บนแผงไม้ระแนงที่ทำขึ้นสำหรับคว่ำจาน ด้านหลังป้าพรเดินมาพร้อมกับหม้ออีกหนึ่งชุด
“คุณๆ...คุณก้องไม่ต้องทำแล้ว” ป้าพรรีบวางของตัวเองและมาจับมือเกษราให้หยุดทำ “ที่เหลือเดี๋ยวป้าทำเอง แค่มาช่วยทำอาหารให้ป้าพอแล้ว งานเก็บงานล้างป้าทำเอง”
เกษรายิ้มๆ
“ไม่เป็นไรครับป้า...ช่วยๆกัน”
ป้าพรส่ายหน้า ยังจับมืออยู่
“ไม่เป็นไรไม่ได้ เดี๋ยวป้าทำเอง ป้าว่าอยู่บ้านคุณคงไม่ได้หยิบจับอะไรแน่ๆ ดูสิมือก็นิ๊มนิ่ม” ป้าพรจับมือเกษรามาดู “ผิวก็ละเอี๊ยด ละเอียด ไม่เหมือนมือผู้ชายเล้ย เหมือนมือผู้หญิง”
เกษราสะดุ้งนิดๆ ค่อยๆดึงมือกลับ
“แหะๆ นี่ก็สายแล้ว ผมฝากงานป้าช่วยทำต่อแล้วกันนะครับ ผมขอตัวไปช่วยงานที่ปราสาทก่อน”
เกษราจะหันหลังเดินไป ป้าพรเรียกไว้
“เดี๋ยวสิคุณ ป้ามีอยากจะถามอะไรสักหน่อย”
เกษราหยุดฟัง ป้าพรถามต่อ เขินๆ
“เพื่อนคุณ...คุณตะวันน่ะ เขามีคนรักหรือยัง”
ป้าพรถามยิ้มๆ เขินๆ อย่างมีเลศนัย เกษราอึ้งนิดๆกับคำถาม เลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ
ระวีรำไพเช็ดโต๊ะกินข้าวอย่างขะมักเขม้น ไม่ถือตัวว่าเป็นหม่อม เช็ดเสร็จแล้วก็มองไปรอบๆสำรวจความเรียบร้อยอีกครั้ง ก่อนจะถือผ้าขี้ริ้วเดินเข้าครัวไป
เกษราเลิกคิ้วถามกลับ
“ป้าอยากจะรู้ไปทำไมครับ”
ป้าพรอายๆ
“ป้าว่า...คุณตะวันเขาหล๊อหล่อ หน้าคม ยังกะพระเอกหนัง ป้าชอบ”
เกษราชะงัก ป้าพรรีบบอก
“คือ ป้าชอบ อยากได้มาเป็น ลูกเขย ไม่ได้จะเอาเอง ป้ามีลูกสาวเป็นเทพีสงกรานต์เลยนา...สวยเหมือนป้า ถ้าคุณตะวันเขายังไม่มีคู่หมั้นคู่หมาย ก็อยากจะให้มาเจอกัน”
ป้าพรหน้าตาอยากได้มาก เกษรากลั้นหัวเราะ
“เอ่อ...ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับว่าน้องตะวันมีคนรักหรือยัง เอาไว้ผมจะถามให้นะครับ”
ด้านหลังระวีรำไพเดินมาพอดี ป้าพรเหลือบไปเห็น แล้วก็รีบหันมาทางเกษรา
“มาแล้วๆ ป้าฝากด้วยนะ เดี๋ยวป้าไปก่อนนะ อายจ้ะ นี่ๆ แล้วของที่เหลือก็ไม่ต้องทำ เดี๋ยวมาเก็บให้”
ป้าพรยิ้มแฉ่งแล้วก็รีบไปเลย ระวีรำไพเดินเข้ามา มองป้าพรงงๆ
“ป้าพรแกรีบไปไหน ลุกลี้ลุกลนชอบกล”
“แกอายน่ะ”
ระวีรำไพเลิกคิ้วแปลกใจ
“อายอะไรคะ”
เกษราหรี่เสียงลง
“คือ...แกอยากได้น้องปรางมาเป็นลูกเขยน่ะค่ะ”
ระวีรำไพตาโต ด้วยความตกใจ
“หะ ลูกเขย”
แล้วทั้งสองคนก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน ฮ่าๆ
ป้าพรเดินเขินๆออกมาจากในครัว เดินอยู่ตรงหน้าศาลา ธราธรเดินมาพอดี เขาเห็นป้าพรยิ้มไปยิ้มมาก็มองอย่างแปลกใจ
“ป้าพร...เป็นอะไรครับ เดินยิ้มน้อยยิ้มใหญ่”
ป้าพรตกใจนิดๆ
“เอ่อ...อ่อ...ก็ไม่มีอะไรจ้ะ อารมณ์ดีน่ะจ้ะ แหะๆ แล้วอาจารย์หม่อมจะเสด็จไปไหนคะ”
ธราธรขำ
“ผมเป็นแค่หม่อมราชวงศ์ไม่ต้องใช้ราชาศัพท์พูดธรรมดาได้ครับ”
ป้าพรพยักหน้า ธราธรพูดต่อ
“ป้าครับ...เห็นก้องกับตะวันหรือเปล่าครับ”
ระวีรำไพกับเกษราหัวเราะกันคิกคัก
“ป้าพรน่ารักจัง...ถ้าปรางเป็นผู้ชายจริงๆ อาจจะไปขอดูตัวลูกสาวป้าก็ได้นะคะ”
“จะว่าไปน้องปรางเนื้อหอมเหมือนกันนะคะ มีแต่คนมาถามเรื่องคนรัก เรื่องความรักทั้งอาจารย์ชินกร ทั้งอุดม”
ระวีรำไพเลิกคิ้ว
“หือ...อาจารย์ชินกรกับอุดมเนี่ยนะคะ”
“ใช่ อาจารย์ชินกรเค้าก็ถามอ้อมๆ ทำนองว่ามีแฟนหรือยัง แต่อุดมเนี่ยแปลกมาก...มาบอกว่าน้องปรางเป็น ชายรักชาย”
ระวีรำไพสะดุ้ง
“หะ ชายรักชายจะได้ฟ้าผ่ากันพอดี ทำไมอุดมถึงคิดอย่างนั้น อยากรู้จริงๆ”
เกษราคิดๆ
“หรือว่า...อุดมจะแอบชอบตะวัน”
ระวีรำไพสะดุ้ง
“อี๊ยย์ ไม่นะคะ...แค่คิดก็ขนลุกแล้วค่ะ บรื๋อ”
เกษราขำท่าทะเล้นๆของระวีรำไพ ทันใดนั้นเสียงเอ็ดเวิร์ดก็ดังขึ้น
“หัวเราะอะไรกัน เสียงดังน่ารำคาญ”
เกษรากับระวีรำไพหันไป เห็นเอ็ดเวิร์ดยืนอยู่ ระวีรำไพรีบปิดปาก...หน้าเสียกลัวว่าจะโดนจับได้ เอ็ดเวิร์ดมองรอบๆ
“เมื่อกี๊เสียงผู้หญิงมาจากไหน”
เกษรามองระวีรำไพเลิ่กลั่ก ระวีรำไพคิดออก รีบหันมาตอบ
“เสียงแม่ครัวครับ เพิ่งเดินออกไปเมื่อครู่นี้เอง” ระวีรำไพรีบเปลี่ยนเรื่อง “คุณมาถึงในครัวมีอะไรหรือเปล่าครับ”
“ฉันมาทวงงาน นายสองคนรับหน้าที่ดูแลฉัน แต่ไม่เห็นโผล่หัวไปให้ใช้ ฉันก็เลยต้องตาม ฉันมีงานให้ทำ ตามฉันไปที่บ้านพักเดี๋ยวนี้”
เอ็ดเวิร์ดพูดจบก็เดินไป เกษราจะเดินตาม ระวีรำไพจับแขนไว้
“พี่เกษไม่ต้องค่ะ ปรางไปเอง”
เกษราอ้าปากจะแย้ง แต่ระวีรำไพพูดต่อ
“พี่เกษไปช่วยงานพี่ชายใหญ่ที่ปราสาทเถอะค่ะ ถ้าพี่ชายใหญ่ถามบอกว่าปรางขออยู่ดูแลคุณพ่อที่นี่”
ระวีรำไพพูดจบแล้วก็เดินตามเอ็ดเวิร์ดไป เกษรามองตามเป็นห่วง
ธราธรเดินเข้ามาพอดี เห็นเกษรายืนอยู่ ก็รีบเดินมาหา
“น้องเกษ...”
เกษราหันมาตามเสียงเรียก ธราธรมองไปรอบๆ
“อ้าว...แล้วน้องปรางหายไปไหน เมื่อกี๊ยังเห็นยืนอยู่ด้วยกันอยู่เลย”
เกษราอึกๆอักๆ จำใจต้องโกหก
“น้องปรางไปดูแลหม่อมอาทิตย์ค่ะ”
เกษราโกหกด้วยความลำบากใจ
ระวีรำไพรีบเดินออกมาจากหลังครัว แล้วก็หยุดเดินชะงักนิดๆ ใจแว่บไปคิดถึงธราธรกับเกษราแล้วก็จ๋อยๆ ก่อนจะรวบรวมใจกลับมา แล้วก็รีบเดินไปที่พักเอ็ดเวิร์ด
ระวีรำไพเดินเข้ามาในห้องเอ็ดเวิร์ด แล้วก็ต้องสะดุ้งอย่างแรง พร้อมกับส่งเสียงร้อง
“ว้า...” เธอยังพูดไม่เต็มเสียง ก็รีบปิดปากตัวเอง พร้อมกับหันหลังขวับ
“คุณ...คุณทำอะไรน่ะครับ”
เอ็ดเวิร์ดยืนเปลือยอก นุ่งผ้าเช็ดตัวอยู่กลางห้อง หันมามองระวีรำไพที่ยืนหันหลังอยู่
“ทำวี้ดว้ายเป็นผู้หญิงไปได้ ของฉันก็เหมือนของแกนั่นแหละ แต่” เอ็ดเวิร์ดยิ้มมั่นใจ “ใหญ่กว่า”
ระวีรำไพเบ้หน้า...เกือบอาเจียน แล้วก็เครียดจะทำยังไงดี เธอรีบชวนเปลี่ยนเรื่อง
“คุณเรียกผมมามีอะไรครับ”
“ฉันอยากจะแช่น้ำอุ่นๆ แกไปตักน้ำที่ลำธาร เอามาต้มผสมทำน้ำอุ่นให้ฉันในถังไม้”
ระวีรำไพปรายตาหันมามองแล้วก็โวย
“แช่น้ำอุ่นเนี่ยนะ อากาศก็ร้อนจะแย่ ผมว่าคุณไปอาบน้ำเย็นๆที่ลำธารยังจะดีกว่านะครับ”
เอ็ดเวิร์ดสวน
“หุบปาก ฉันไม่ได้ขอความเห็น ฉันสั่งให้ไปทำอะไรก็ไปทำไม่ต้องแสดงความเห็น”
ระวีรำไพกัดฟันมองหน้าเอ็ดเวิร์ดไม่ยอมทำ เอ็ดเวิร์ดมองกลับพร้อมขู่
“อย่าลืมสิ...แกต้องมารับใช้ฉัน ถ้าแกไม่ทำ ฉันจะร้องเรียนไปหัวหน้าไอ้อาจารย์หม่อมของแก และคนที่ต้องเดือดร้อนก็คือ มัน”
ระวีรำไพชะงักนิดๆ แววตาอ่อนลง เพราะไม่อยากให้ธราธรเดือดร้อน เอ็ดเวิร์ดยื่นหน้ามาเย้ยหยัน
“คงรู้แล้วนะ ผลของการไม่ทำตามคำสั่งฉัน มันเป็นยังไง ฮึ ฮึ ฮึ”
ระวีรำไพแค้น เอ็ดเวิร์ดตะคอกย้ำ
“ไปสิ”
ระวีรำไพกัดฟันกรอด จำใจต้องไปด้วยความขัดใจ เอ็ดเวิร์ดยิ้มสะใจ
ธราธรขับรถมาตามถนนที่สวยงามมีเกษรานั่งอยู่ข้างๆ เขาขับมาถึงมุมสวยมุมหนึ่งแล้วก็
จอด เกษรางง
“พี่ชายใหญ่ หยุดรถทำไมคะ”
“พี่มีเรื่องส่วนตัวอยากจะถาม กลัวว่าถ้าถามที่แคมป์ หรือที่ปราสาทจะต้องคอยระวังไม่ให้คนอื่นได้ยิน แล้วจะคุยได้ไม่เต็มที่”
เกษราเครียดขึ้นมาทันที
“พี่ชายใหญ่จะถามอะไรเหรอคะ”
“คือ...พี่อยากรู้ว่า น้องเกษ...ชอบดอกไม้อะไรครับ”
เกษราตอบงงๆ
“เอ่อ...ก็ ชอบทุกดอกค่ะ มันก็แล้วแต่ว่าจะเอามาทำอะไร”
ธราธรพยักหน้ารับรู้ ถามต่อ
“แล้วชอบกินอะไรเป็นพิเศษมั้ยครับ”
“ไม่มีค่ะ เกษกินได้ทุกอย่าง”
“แล้วชอบไปเที่ยวที่ไหนครับ”
“เอ่อ...คือ เกษก็ไม่ทราบค่ะ คือ ปกติก็อยู่บ้านทำขนมขาย ไม่ได้ไปไหน”
ธราธรคิดแล้วก็ถามต่อ
“แล้วชอบสีอะไร ชอบฟังเพลงแบบไหน”
เกษรายังงงอยู่
“ไม่มีสีที่ชอบเป็นพิเศษ ส่วนเพลงก็ไม่ค่อยได้ฟังค่ะ”
ธราธรพยักหน้ารับรู้แบบอึ้งๆ ไม่ได้ข้อมูลสักอย่าง เกษราก็งงไม่แพ้กัน
“พี่ชายใหญ่จะถามไปทำไมคะ”
“อ๋อ...คือ พี่อยากจะรู้จักน้องเกษมากขึ้นน่ะครับ ไหนๆเราก็มีเวลาอยู่ด้วยกัน แล้ว...น้องเกษมีอะไรที่อยากจะรู้เกี่ยวกับตัวพี่หรือเปล่าครับ”
เกษราคิดๆ แล้วก็ส่ายหน้า ตามแบบหญิงไทยเดิม
“ไม่มีค่ะ”
ธราธรชะงักนิดๆ เกษราถามกลับ
“แล้วพี่ชายใหญ่มีอะไรที่อยากจะบอกเกษหรือเปล่าคะ”
ธราธรคิดๆแล้วก็ตอบ
“ไม่มีครับ”
เกษราพยักหน้ารับ...ยิ้มนิดๆ แล้วทั้งสองคนก็เงียบ ธราธรเลยทำลายความเงียบขึ้น
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว เราไปที่ปราสาทกันนะ”
เกษราพยักหน้ารับ ธราธรยิ้มรับ แล้วก็ขับรถออกไป ธราธรรู้สึกอึดอัดแปลกๆ เกษราเองแม้จะรู้สึกดีใจที่เขาอยากจะทำความรู้จัก แต่ก็เป็นสุขแบบแปลกๆ อึดอัดๆ ชอบกล
ระวีรำไพทำงานอย่างหนัก เริ่มตั้งแต่ เธอใช้กระแป๋งตักน้ำแล้วหิ้วไปอย่างหนัก...เทน้ำใส่กาต้ม...เทน้ำเย็นลงในถัง...ยกน้ำในการ้อนๆมาเทใส่ถัง...เอ็ดเวิร์ดนั่งไขว่ห้างอย่างน่าหมั่นไส้...ระวีรำไพตักน้ำจนมือแดงไปหมด แต่ก็ยังต้องทำ เธอหยุดยืนอยู่กลางป่า ปาดเหงื่อ แล้วก็ยกถังน้ำเดินต่อไป
ชินกรเดินอยู่ที่ปราสาท อุดม ปิติ มานะ ยกก้อนหินที่ลงเลขแล้วไปรวมกันไว้ ชินกรยืนท้าวเอวบ่นๆ
“คุณชายใหญ่หายไปไหน”
ขณะเดียวกันนั้นเขาเห็นรถแล่นเข้ามาหน้าปราสาท ชินกรยิ้มนิดๆ รีบเดินไปแต่พอเห็นเกษราเปิดประตูลง ชินกรก็ชะงักนิดๆ เกษราลงจากรถ แล้วก็นึกได้รีบหันมาบอก
“พี่ชายใหญ่อย่าลืมกลับไปดูน้องปรางที่แคมป์ด้วยนะคะ”
ธราธรยิ้มรับ
“ไม่ต้องห่วง พี่ดูแลเอง”
ชินกรยืนมองแล้วก็อึ้งๆ หวงๆ หึงๆ ห่วงๆ ปนๆมั่วๆกันไปหมด เขารีบเดินเข้าไปหาทันที
“คุณชายใหญ่ครับ”
ธราธรหันมา เกษราพอเห็นเป็นชินกร รีบหันมาขอตัว
“ผมไปช่วยเพื่อนๆก่อนนะครับ”
เกษรารีบเดินไป ชินกรปรายตามองนิดๆ ธราธรถามขึ้น
“งานที่นี่เป็นยังไงบ้างครับอาจารย์ชินกร”
“ผมให้เด็กๆเก็บข้อมูลต่อ ไม่มีปัญหาอะไร แต่ที่ผมตามหาคุณชายใหญ่ เพราะพี่มานิตกับพรานอ่อนศรี มีเรื่องอยากจะปรึกษาครับ”
ธราธรขมวดคิ้วแปลกใจ
อีกมุมหนึ่งของปราสาทค่อนข้างเป็นส่วนตัวมานิตเริ่มเข้าเรื่องทันที
“ผมเพิ่งนึกได้ว่าก่อนเกิดเรื่อง คุณแทนพามิสเตอร์เอ็ดเวิร์ดกับพรานสมมาหาผมที่ห้องทำงานแล้วก็ถามคำถามที่น่าสงสัย”
มานิตนึกถึงตอนที่พรานสมเข้ามาคุยกับเขา แล้วถ้ายทอดคำพูดของพรานสม
“ถ้าเราอยากรู้เรื่องปราสาทอื่น...ที่อยู่บริเวณนี้และยังไม่ได้รับการบูรณะ คุณรู้หรือเปล่าว่ามีอยู่ที่ไหน”
ชินกรคิดๆแล้วก็พูดขึ้น
“ผมว่ามันชักจะเข้าเค้าแล้วนะครับ ถ้าพรานสมมันอยากรู้เรื่องปราสาทชุดใหม่ ก็เป็นไปได้ที่มันจะพยายามขโมยแผนที่ของพรานอ่อนศรี”
อ่อนศรียังสงสัยไม่หาย
“แต่เราก็ยังตอบไม่ได้ว่า...ทำไมมันไม่เอาแผนที่ไปด้วย แล้วมันจะเข้ามารื้อของได้ยังไงในเมื่อมันอยู่ในป่ากับคุณชายอาทิตย์”
ธราธรคิดแล้วตอบ
“ที่มันไม่ได้เอาแผนที่ไปอาจจะเป็นเพราะความผิดพลาดบางอย่าง แผนที่มันถึงได้ตกอยู่ที่พื้น และถ้าพรานสมเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้...แสดงว่ามันต้องมีผู้สมรู้ร่วมคิด บุกเข้าแคมป์ในขณะที่มันอยู่ในป่า”
ทุกคนพยักหน้ารับรู้ และเห็นด้วย ชินกรหน้าเครียด
“ผมว่า...คงจะถึงเวลาที่เราต้องสืบประวัติของมิสเตอร์เอ็ดเวิร์ดและพรานสมอย่างจริงๆจังๆสักที”
มานิตนึกอะไรได้
“ผมจัดการเองครับ ผมรู้ว่าจะต้องถามกับใคร”
ธราธรมองมานิต
“ผมฝากด้วยนะครับ...เดี๋ยวผมขอตัวกลับไปที่แคมป์สักครู่ จะไปดูอาการคุณชายอาทิตย์สักหน่อย”
ธราธรพูดจบแล้วก็เดินไปเลย ชินกรมองตามนิดๆ แอบแปลกใจพูดเบาๆ
“คุณชายใหญ่เพิ่งมาจากแคมป์ไม่ใช่เหรอ”
ชินกรมองตามธราธรไป...แล้วก็คิด ไม่เข้าใจจริงๆ
เกษรากำลังช่วยปิติเขียนรหัสบนก้อนหิน ชินกรเดินเข้ามา เกษราเหลือบไปเห็น รีบบอกปิติ
“ปิติ...เดี๋ยวเรามานะ”
เกษราส่งกระป๋องสีให้ปิติ แล้วก็รีบเดินหลบไป ชินกรเห็น รีบเดินอ้อมไปอีกทาง...เกษราเดินโผล่มาอีกมุมของปราสาท แล้วก็โล่งอกที่หลบมาได้ แต่ทันใดนั้นชินกรก็โผล่หน้าออกมา เกษราตกใจ
“อาจารย์”
เธอกำลังหันหลังจะหนี ชินกรจับแขนไว้ เกษราตื่นเต้น
“ไม่ต้องหนีแล้ว”
เกษรายืนตัวแข็งทื่อ
“ฉันรู้ว่าหลายวันมานี้นายตั้งใจจะหนีหน้าฉัน ฉันจะไม่ถามว่าทำไม”
เกษรายืนหันหลังอยู่ที่เดิม ไม่กล้าหันมามองหน้า
“แต่ฉันอยากจะเตือนสตินาย...ถ้าทำผิดอะไรอยู่ก็หยุดซะ”
เกษราตกใจหันขวับกลับมามองหน้าชินกร พร้อมกับดึงมือออก
“ผมไม่ได้ทำผิดอะไรนะครับ”
“ถ้าไม่ทำผิด แล้วหนีหน้าฉันทำไม”
“เอ่อ...คือ...”
“ถามไปนายก็ไม่ตอบ ฉันถึงบอกว่า...ฉันจะไม่ถาม...แต่อยากจะขอร้องให้เลิกซะ ไม่ว่านายจะอยากช่วยเพื่อนมากแค่ไหน แต่จำไว้...ความลับมันไม่มีในโลก”
ด้านหลังชินกร อุดมเดินมาพอดีได้ยินก็ประโยคสุดท้ายพอดี อุดมรีบหลบวูบแอบฟังต่อ เกษรางง
“ช่วยเพื่อน ปิดบังความลับอะไรเหรอครับ ผมไม่เข้าใจ”
ชินกรไม่ตอบแต่ถามกลับ
“ฉันถามหน่อย...ตอนนี้ตะวันอยู่ที่แคมป์ใช่มั้ย”
“ใช่ครับ”
“และอาจารย์หม่อมกลับไปที่แคมป์ เพื่อไปหาตะวันใช่มั้ย”
เกษราตอบตรงๆซื่อๆ
“ใช่ครับ...”
“นั่นไง...ฉันว่าแล้ว”
เกษรายิ่งงง อุดมตาวาว ชินกรตัดบท
“เอาคำเตือนของฉันไปเตือนเพื่อนนายด้วย...ความลับไม่มีในโลก”
ชินกรพูดจบแล้วก็เดินไปเลยเกษราเกาหัวงงๆ
“อาจารย์ชินกรเค้าพูดอะไรของเค้านะ...ไม่เห็นรู้เรื่องเลย”
ทันใดนั้นเสียงอุดมก็ดังขึ้นมาอย่างขรึม เท่ เหมือนกำความลับไว้ในมือ
“แต่ฉันรู้”
เกษราตกใจหันขวับมาเห็นอุดมยืนกอดอกอยู่ อุดมหน้าตาเหิมเกริมมาก
ระวีรำไพยกน้ำมาเทใส่อ่างไม้ และเทน้ำร้อนจากกาต้มน้ำลงไปผสม จับให้รู้ว่าอุ่นพอ แล้ววางกาน้ำไว้ที่โต๊ะข้างๆ กำลังจะหันหลังเดินออกไป แต่พอหันมาปุ๊บก็เห็นเอ็ดเวิร์ดยืนอยู่ ระวีรำไพตกใจจะร้องกรี๊ด
“กรี...” เธอยั้งไว้ทันแล้วรีบเปลี่ยน “เฮ้ย”
ระวีรำไพรีบหันหน้าหนี
“จะตกใจทำไม ทำยังกับไม่เคยเห็นผู้ชายแก้ผ้า”
ระวีรำไพกัดฟันกรอด
“เสร็จงานแล้ว ผมไปนะครับ”
ระวีรำไพ รีบก้มหน้าจะเดินออกไป เอ็ดเวิร์ดเรียกไว้
“เดี๋ยว ฉันยังไม่ให้ไป แกต้องมาถูหลังให้ฉันก่อน”
ระวีรำไพหันขวับ
“หะ ถูหลัง”
“ใช่”
เอ็ดเวิร์ดขยับจะถอดผ้า เพื่อลงน้ำ
“ไม่” ระวีรำไพรีบหันหน้าหนี “ผมไม่ทำ คุณถูของคุณเองก็แล้วกัน ผมทำให้ได้แค่นี้”
“นี่แกกล้าขัดคำสั่งฉันเหรอ”
“ผมไม่ได้ขัด แต่ผมแค่ไม่ทำตาม มันมากเกินไป เกินข้อตกลงที่คุยกันไว้ ผมทำให้ไม่ได้”
ระวีรำไพหันหลังแล้วจะเดินไป เอ็ดเวิร์ดกระชากแขนมาอย่างแรง
“ฉันไม่ให้ไป”
เอ็ดเวิร์ดกระชากระวีรำไพกลับมา แรงเหวี่ยงทำให้เธอเซถลาแขนไปฟาดเข้ากับกาน้ำที่วางอยู่อย่างแรง
กาน้ำกระเด็นลงพื้น ระวีรำไพแสบร้อนที่แขน
“โอ้ย”
กาน้ำตกลงพื้น เพล้ง น้ำร้อนกระเด็นมาโดนขาเอ็ดเวิร์ด
“โอ้ย ร้อนๆๆ”
เอ็ดเวิร์ดลืมตัวผลักระวีรำไพล้มลงพื้น ตัวเองรีบหันไปกระชากผ้าเช็ดตัวที่แขวนอยู่มาเช็ด ระวีรำร้องแสบร้อน
“โอ้ย”
เอ็ดเวิร์ดร้องไปด่าไป
“ไอ้เด็กบ้า แกจะเอาน้ำร้อนลวกฉันใช่มั้ย หะ”
เอ็ดเวิร์ดตะคอกด้วยความโกรธ ธราธรเดินอยู่ที่หน้าห้องเอ็ดเวิร์ด เสียงดังลอดออกมา
“ฉันถาม ทำไมไม่ตอบ อยากจะเจ็บตัวใช่มั้ย”
ธราธรตกใจ
“น้องปราง”
ธราธรรีบวิ่งพรวดเข้าไปในห้องเอ็ดเวิร์ดทันที
ระวีรำไพนั่งเจ็บแขนอยู่ที่พื้น เอ็ดเวิร์ดง้างมือกำลังจะตบด้วยหลังมือ ระวีรำไพหลับตาปี๋ เอ็ดเวิร์ดยิ่งได้ใจกำลังจะฟาดหน้า ทันใดนั้นมือธราธรก็ยื่นเข้ามาจับไว้มั่บ เอ็ดเวิร์ดหันมาเห็นหน้าธราธรก็ไม่พอใจ ระวีรำไพ
ค่อยเงยหน้าขึ้น พอเห็นว่าเป็นธราธรก็ดีใจ
“พี่...อาจารย์หม่อม”
เอ็ดเวิร์ดสะบัดมือหลุด
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับคุณอย่ามายุ่ง เด็กคนนี้ต้องมารับใช้ ผมจะทำอะไรก็ได้”
“เด็กคนนี้ไม่ใช่คนรับใช้ ตะวันเป็นนักศึกษาที่เสียสละมาช่วยอำนวยความสะดวกให้คุณตามสมควร” ธราธรมองดูสภาพแล้วยิ่งโกรธ “แต่เท่าที่ผมเห็น มันมากเกินไป ต้องขอโทษด้วย ผมขอคนของผมคืน”
ธราธรหันมาทางระวีรำไพที่นั่งเจ็บแผลแต่ไม่แสดงออกมาอยู่ที่พื้น
“ตะวัน ออกไปพร้อมฉัน และครั้งต่อไป ถ้าฉันไม่อนุญาตห้ามเข้ามาในนี้”
“ครับ”
ระวีรำไพเดินก้มหน้าออกไป เอ็ดเวิร์ดไม่พอใจอย่างมาก ธราธรหันมาพูดหน้านิ่งๆ คงความเป็นผู้ดี
“เชิญคุณตามสบาย”
ธราธรหันหลังเดินออกไป เอ็ดเวิร์ดด่าตามหลัง
“คุณหักหน้าผมมาสองครั้ง จำไว้ มันจะไม่มีครั้งที่สาม ระวังตัวไว้ให้ดี ผมเอาคืนแน่”
ธราธราปรายตามามองนิดๆ และเดินออกไปอย่างไม่หวั่นไหว ทิ้งให้เอ็ดเวิร์ด ยืนอยู่ด้วยอารมณ์แค้น
สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายธราธร ตอนที่ 6 (ต่อ)
ระวีรำไพเดินออกมารออยู่ที่หน้าบ้านพัก เปิดแขนเสื้อขึ้น เห็นรอยแผลแดงกร่ำจากการโดนกาน้ำร้อน ระวีรำไพเบ้หน้าด้วยความเจ็บ ธราธรเดินมาด้านหลัง
“น้องปราง”
ระวีรำไพรีบปิดแขนเสื้อและหันมา
“พี่บอกแล้วใช่มั้ยว่าอย่าอาสามาทำหน้าที่นี้ เชื่อหรือยังว่ามันจะสร้างปัญหา”
ระวีรำไพเม้มริมฝีปากแน่น เหมือนเด็กทำผิด ด้วยเจตนาบริสุทธิ์ น้ำตาปริ่มจะไหล แต่พยายามกลั้นไว้
“หยุดเลยนะ ไม่ต้องทำอะไรแบบนี้อีกแล้ว ธุระของผู้ใหญ่ ไม่ใช่เรื่องของ เด็ก”
ระวีรำไพน้ำตาแทบร่วง แต่พยายามกลั้นไว้ ธราธรดุต่อ ด้วยความห่วง
“อย่าลืมสิปรางขอตามพี่มาเพื่อมาดูแลคุณพ่อ แต่สิ่งที่กำลังทำมันเกินข้อตกลง ถ้าปรางไม่ฟังพี่ พี่จะส่งกลับกรุงเทพวันพรุ่งนี้เลย”
ระวีรำไพหน้าเสียมองธราธรด้วยความเว้าวอน ธราธรเบือนหน้าหนี
“พี่จะไปที่ปราสาท แล้วเราก็ต้องไปกับพี่”
ธราธรพูดจบก็เดินไปเลย ทำเป็นใจแข็ง ระวีรำไพเงยหน้าสูดลมหายใจเข้าปอดแล้วก็กลั้นน้ำตาเดินตามไป ด้านหลังอาทิตยรังสีค่อยๆเดินออกมา...แล้วก็ส่ายหน้านิดๆ ถอนใจ ...
ธราธรขับรถอยู่หันมามองระวีรำไพที่นั่งหันหลังให้อย่างงอนๆ ไม่ยอมพูดไม่ยอมจา ธราธรหันกลับมา ถอนใจ
เกษราหน้าเสีย ถามย้ำด้วยความแปลกใจ
“นายรู้ความลับของตะวันอย่างนั้นเหรอ”
“ใช่ มันเป็นความลับที่ไม่มีใครคาดเดาได้ และน่าอับอายที่สุด”
“ความลับอะไร”
อุดมหรี่เสียงลง แต่เน้น
“ไอ้ตะวันมันเป็นพวกวิปริตผิดเพศ”
เกษราอึ้ง แล้วก็ขำ
“ฮึๆๆ นี่ถ้าเป็นเรื่องนี้นะ มันไม่ใช่ความลับ”
อุดมผงะ...
“และมันก็ไม่ใช่ความจริง”
อุดมหลิ่วตา...
“ตะวันไม่ใช่พวกวิปริตผิดเพศ หรือ ชายรักชาย หรืออะไรพวกนั้น เลิกคิดได้แล้ว”
เกษราส่ายหน้าแล้วก็เดินไป อุดมตัดสินใจพูดไล่หลัง อย่างไม่ยอม
“ถ้ามันไม่ใช่...แล้วทำไมมันถึงชอบอาจารย์หม่อม”
เกษราช็อค...อึ้ง ชะงักเท้า ค่อยๆหันกลับมา
“ตะวัน...ชอบ...อาจารย์หม่อม”
“ใช่...และอาจารย์หม่อมก็ชอบไอ้ตะวัน”
เกษราช็อคอีกรอบ...อุดมพูดต่อ เกษราฟังอึ้งๆ จุกๆ
“ฉันเห็นทั้งสองคนสนิทสนมกันจนผิดปกติ พอลับตาคนก็ชอบอยู่กันสองต่อสอง บางครั้งก็จับไม้จับมือ ลูบหน้าลูบหัว แตะต้องตัวกัน และอาจารย์หม่อมก็ปกป้องไอ้ตะวันราวกับมันเป็นคนรัก ขนาดมีเรื่องกับไอ้ฝรั่งก็ออกโรงสู้รบแบบไม่ไว้หน้าอินทร์หน้าพรหมไอ้ก้อง แกเป็นเพื่อนสนิทมันที่สุด ไม่เคยสังเกตเห็นบ้างหรือไงวะ”
เกษราสะดุ้งนิดๆ มองหน้าอุดม แล้วก็ไม่พูดอะไรสบัดหน้าหนี แล้วก็เดินไปด้วยความสับสนสุดๆ
“เฮ้ย จะไปไหน ยังคุยกันไม่จบเลย ไอ้ก้อง ไอ้ก้อง วุ้ย มันเป็นอะไรของมันวะ”
อุดมหงุดหงิด
เกษราเดินมาด้วยความสับสน และมาหยุดที่มุมหนึ่งของหน้าปราสาท ภาพที่เธอเห็นธราธรแสดงความเอื้ออาทรกับระวีรำไพและภาพที่ธราธรจับหัวระวีรำไพโยกไปมาแว่บเข้ามา เกษรานึกถึงคำพูดของอุดม
“ฉันเห็นทั้งสองคนสนิทสนมกันจนผิดปกติ พอลับตาคนก็ชอบอยู่กันสองต่อสอง บางครั้งก็จับไม้จับมือ ลูบหน้าลูบหัว แตะต้องตัวกันตลอดเวลา”
ภาพตอนธราธรปกป้องระวีรำไพตอนทะเลาะกับฝรั่งแว่บเข้ามาอีก คำพูดของอุดมดังก้องในหัว
“และอาจารย์หม่อมก็ปกป้องไอ้ตะวันราวกับมันเป็นคนรัก ขนาดมีเรื่องกับไอ้ฝรั่งก็ออกโรงสู้รบแบบไม่ไว้หน้าอินทร์หน้าพรหม”
เกษราคิดหนัก คำพูดอุดมดังเข้ามาเหมือนจะถามตัวเอง
“ไอ้ก้อง แกเป็นเพื่อนสนิทมันที่สุด ไม่เคยสังเกตเห็นบ้างหรือไงวะ”
เกษราสับสน...เธอไม่เคยสังเกตเลยจริงๆ ขณะเดียวกันนั้น รถธราธรแล่นเข้ามาจอด เกษราหันไปเห็นธราธรกับระวีรำไพนั่งอยู่ในรถ เธอคิดๆ แล้วก็ตัดสินใจหลบเข้าที่หลังซอกปราสาท...
ระวีรำไพหันมาขอบคุณธราธรเสียงห้วนแต่สุภาพ
“ขอบคุณค่ะ”
ระวีรำไพเปิดประตู แล้วรีบลงจากรถไป ธราธรรีบเรียกไว้
“น้องปราง...”
ระวีรำไพไม่หันก้มหน้าเดินงุดๆไป ธราธรรีบลงจากรถและตามมาจับแขนไว้
“หยุดคุยกับพี่ชายใหญ่ก่อน”
“พี่ชายใหญ่จะดุอะไรปรางอีกหล่ะคะ”
“พี่คิดอยู่แล้วว่าน้องปรางจะต้องไม่เข้าใจความหวังดีของพี่”
“พี่ชายใหญ่ก็ไม่เข้าใจความหวังดีของปรางเหมือนกัน”
ธราธรชะงัก ระวีรำไพค่อยๆปล่อยอารมณ์ที่กดไว้ออกมา
“ไอ้นายฝรั่งนั่นต้องการจะแก้แค้นที่ปรางเคยขัดคำสั่ง เขาขู่ว่าถ้าปรางไม่ทำ เขาจะฟ้องไปทางกรม พี่ชายใหญ่จะต้องเดือดร้อน” เธอน้ำตาปริ่ม “ปรางก็เลยทำตามที่เขาต้องการ แต่พี่ชายใหญ่ไม่เคยเข้าใจความหวังดีของปราง และก็ไม่ถามเหตุผลปรางสักคำ เจอหน้าก็ดุ ดุ ดุ ในสายตาพี่ชายใหญ่...ปรางทำอะไรก็ผิดไปหมด”
ระวีรำไพน้ำตาร่วงด้วยความน้อยใจ และเสียใจ ธราธรมองแล้วเจ็บแปลบไปถึงหัวใจ แล้วก็ดึงเธอมากอดปลอบใจ ระวีรำไพปล่อยโฮออกมา
“พี่ขอโทษ...พี่เข้าใจน้องปรางแล้วนะครับ พี่ไม่ดุแล้ว ไม่ร้องนะ...”
ธราธรลูบหัว กอดระวีรำไพปลอบใจ ทั้งสงสาร ทั้งรู้สึกผิด ทั้งรัก ระวีรำไพสะอื้นๆ รู้สึกดีในอ้อมกอดของเขา ในขณะที่ทั้งสองคนยืนกอดกัน ด้านหลังเกษราค่อยๆ เดินออกมามองอึ้งด้วยความสับสนเสียใจ และค่อยๆหลบเข้าซอกปราสาทเดินหายไป
ธราธรคลายกอดระวีรำไพ ค่อยๆดันออกมามองหน้า ระวีรำไพหยุดร้องไห้แล้ว แต่น้ำตายังคลอๆ ธราธรยิ้มนิดๆปลอบใจพร้อมกับเช็ดน้ำตาให้
“พี่ชายใหญ่ขอโทษ ที่ไม่ถามน้องปรางก่อน คราวหน้าก่อนจะดุ พี่จะถามก่อนนะครับ” เขาช้อนตามอง แอบอ้อนบ้าง “ไม่โกรธพี่ชายใหญ่แล้วนะ”
ระวีรำไพมองตาแล้วสะท้าน ก้มหน้า พยักหน้านิดๆ
“ค่ะ...ไม่โกรธแล้ว”
“ถ้าไม่โกรธแล้ว ยิ้มหน่อยสิคะ”
ระวีรำไพช้อนตามามองธราธร แล้วก็อาย ยิ้มออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ ธราธรยิ้มตามด้วยความรักและเอ็นดู แล้วก็จับหัว
“เด็กเอ๋ย เด็กน้อย...”
ระวีรำไพสะอึก จุก นิดๆเด็กอีกแล้ว เธอก้มๆหน้า ตัดบท
“พี่ชายใหญ่คะ ปรางไปหาพี่เกษก่อนนะคะ หายไปนานเดี๋ยวพี่เกษเป็นห่วง”
“อาจารย์ชินกรให้น้องเกษไปช่วยพวกอุดมทางด้านโน้น ลองเดินไปหาดูนะ”
“ค่ะ”
ระวีรำไพหันหลังจะไป ธราธรเรียกไว้
“น้องปราง”
ระวีรำไพหันมา
“คะ”
“ขอบใจมาก ที่เป็นห่วงพี่”
เขายิ้มอบอุ่น และจริงใจ ระวีรำไพหัวใจพองโต ก้มหน้า ยิ้มด้วยความเขินอาย แล้วก็พยักหน้ารับนิดๆ ก่อนจะหันหลังแล้วรีบเดินไป ธราธรยืนยิ้มอยู่คนเดียว หัวใจพองโตไม่แพ้กัน
ระวีรำไพเดินมาที่อีกมุมหนึ่ง แล้วก็หยุดยิ้มด้วยความตื่นเต้น แต่แล้วคำพูดของธราธรก็ดังก้องเข้ามา
“เด็กเอ๋ย...เด็กน้อย”
ระวีรำไพหุบยิ้มทันที...ถอนใจเบาๆ หมดหวัง
“เฮ่อ...”
เกษราเดินมาหยุดอยู่ที่มุมหนึ่งของปราสาทด้วยความสับสนภาพเก่าๆ ระหว่างธราธรและระวีรำไพตอนใกล้ชิดกัน และปิดท้ายด้วยภาพสองคนยืนกอดกัน แว่บเข้ามาในหัว คำพูดของอุดมยังดังก้อง
“อาจารย์หม่อมก็ปกป้องไอ้ตะวันราวกับมันเป็นคนรัก ไอ้ก้อง แกเป็นเพื่อนสนิทมันที่สุด ไม่เคยสังเกตเห็นบ้างหรือไงวะ”
เกษราถึงกับหมดแรง ค่อยๆทรุดลงนั่งที่ก้อนหิน จากความเศร้าแววตาเริ่มแข็งขึ้น รู้สึกเหมือนโดนหักหลัง
ระวีรำไพเดินอยู่ในปราสาท มานะกำลังบันทึกก้อนหินก็เดินมาชนแขนด้วยความไม่ตั้งใจ ระวีรำไพร้องด้วยเจ็บ
“โอ้ย”
ระวีรำไพจับแขน มานะตกใจ
“ตะวันเป็นอะไร โดนนิดเดียว ร้องซะยังกะแขนจะหลุด แขนเป็นอะไรหรือเปล่า”
“ไม่เป็นไร...เราไม่เป็นไร” เธอรีบดึงแขนหลบ “เออ...มานะเห็นก้องหรือเปล่า”
“เอ...ไม่เห็นนะ”
“ขอบใจมาก”
ระวีรำไพเดินตามหาเกษราต่อไป
เกษรานั่งอยู่ที่เดิม หน้าครุ่นคิด ด้านหลังเป็นระวีรำไพเดินมา พอเห็นก็ยิ้ม มองซ้ายขวาเห็นไม่มีคนก็เปลี่นท่าทีเป็นหญิง
“พี่เกษคะ”
เกษราสะดุ้งนิดๆ หันไปเห็นระวีรำไพเดินยิ้มร่าเริงมา ก็เบือนหน้าหนี ในใจคุกรุ่น
“พี่เกษมานั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้คะ ปรางนึกว่าช่วยพวกอุดมทำงานอยู่ข้างล่างซะอีก”
เกษราไม่ตอบ ระวีรำไพพูดต่ออ้อน ๆ เหมือนน้องสาวอ้อนพี่สาว
“พี่เกษ...เมื่อกี๊เกิดเรื่องใหญ่ที่บ้านพัก ไอ้นายฝรั่งดั้งขอเขาร้ายมากเลยนะคะ เขาใช้ปรางไปตักน้ำที่ลำธารเอามาต้ม แล้วก็ผสมเป็นน้ำอุ่นให้มันแช่ เท่านั้นยังไม่พอ ยังจะให้ปรางถูหลัง ปรางไม่ยอมเขาก็มากระชากตัวไว้ แขนปรางสะบัดไปโดนกาน้ำร้อน แสบมากเลยค่ะ ไม่รู้จะทำยังไง ไม่กล้าให้พี่ชายใหญ่ดู กลัวโดนดุ” เธอทำท่าจะเปิดแขน “พี่เกษช่วยดูให้ปรางหน่อยได้มั้ยคะ”
เกษราลุกขึ้น เสียงแข็ง และไม่มอง
“พี่ดูให้ก็ไม่มีประโยชน์หรอกค่ะ เพราะพี่ก็คงช่วยอะไรไม่ได้ ให้พี่ชายใหญ่ดูเถอะค่ะ” เกษราหันมาทางระวีรำไพ “พี่ชายใหญ่ก็ทำเป็นดุน้องปรางไปอย่างนั้น จริงๆแล้วเขา...รัก...และเป็นห่วงน้องปราง พี่ชายใหญ่ดูแลน้องปรางได้อยู่แล้ว”
เกษราพูดจบก็เดินไปเลย ระวีรำไพยืนอึ้ง มองตามไปด้วยความงุนงง...
แทนยืนคุยกับมานิตอยู่ที่มุมหนึ่งใต้ต้นไม้ใหญ่ มีอ่อนศรียืนคอยคุมเชิงอยู่ไม่ห่าง
“คุณแทนผมขอละลาบละล้วงถามเรื่องงานของคุณหน่อยนะครับ”
“ถามได้เลยครับ เราทำงานด้วยกัน ไม่มีความลับอยู่แล้ว อยากรู้อะไรครับ”
“ผมอยากทราบประวัติของมิสเตอร์เอ็ดเวิร์ด ว่าเขาเป็นใคร มาจากไหน แล้วทำไมถึงสนใจมาร่วมการสำรวจของเราที่นี่”
แทนฟังคำถามแล้วก็คิด มานิตและอ่อนศรีรอฟังคำตอบ
ธราธรนั่งอยู่ข้างๆเตียง คุยกับอาทิตยรังสีมีอ่อนศรียืนอยู่ข้างหลัง
“มิสเตอร์เอ็ดเวิร์ดเป็นมหาเศรษฐีที่มีความหลงใหลในวัตถุโบราณมาก สนับสนุนองค์กรอิสระที่ทำงานทางด้านนี้ มีเครือข่ายเส้นสายอยู่ในหลายประเทศโดยเฉพาะในแถบเอเชีย...ที่เขาสนใจมาร่วมสำรวจเพราะต้องการจะให้ทุนในการบูรณะปราสาทโครงการต่อไป ซึ่งข้อมูลพวกนี้เราก็รู้กันแล้ว พี่มานิตพยายามจะซักถามเพิ่ม แต่คุณแทนก็ตอบได้เหมือนเดิม ผมคิดว่า คุณแทนเองก็คงจะรู้จักมิสเตอร์เอ็ดเวิร์ดแค่เพียงผิวเผินเท่านั้น”
อ่อนศรีเสริม
“ส่วนเรื่องพรานสม ยิ่งแล้วใหญ่ คุณแทนไม่รู้อะไรสักอย่าง ไม่รู้แม้แต่ว่าเป็นใครมาจากไหน”
อาทิตยรังสีคิดๆ
“อืม...บางทีความไว้ใจของคนเรามันก็เป็นประตูพาเราไปสู่อันตรายได้เหมือนกัน โดยเฉพาะถ้าเราไว้ใจผิดคน”
ธราธรและอ่อนศรีพยักหน้าเห็นด้วย อ่อนศรีแทรก
“ผมว่า...คุณแทนแกคงไว้ใจคนที่เงินน่ะครับ เห็นว่ามีเงินเยอะ ก็เลยไว้ใจมากเป็นพิเศษ”
อาทิตยรังสีพูดด้วยความเข้าใจ
“คุณแทนเขาเป็นฝ่ายจัดหาทุน ก็ต้องวิ่งหาเงิน ไอ้เรามันเป็นฝ่ายใช้เงิน บางทีก็ไม่ค่อยเข้าใจเขาเท่าไหร่...ฉันเองก็ยังไว้ใจพรานสมถึงได้เดินตามเข้าป่า จะไปดูร่องรอยของโจรตามที่เขาบอก สุดท้ายก็ไม่มีอะไร ถ้าคุณชายไปช่วยไม่ทัน ก็คงไม่ได้กลับมา แต่ก็เอาเถอะ ไม่ต้องฟื้นฝอยหาตะเข็บ เรามาช่วยกันคิดดีกว่าจะทำยังไงกันต่อ”
ธราธรนึกได้ หยิบแผนที่ออกมาจากกระเป๋าสะพาย
“นี่ครับ แผนที่ของลุงอ่อนศรี วันที่เกิดเรื่องผมเห็นมันตกอยู่ที่พื้น เพื่อความปลอดภัย พวกเราเลยไม่เก็บไว้ที่เดิม”
“งั้นก็เก็บไว้ที่คุณชายใหญ่ต่อไปก็แล้วกัน เพราะผมคงจะไปสำรวจเองไม่ไหว ต้องมอบให้คุณชายใหญ่กับอาจารย์ชินกรเข้าไปสำรวจ แล้วก็รีบทำเรื่องเสนอทางกรม ส่งคนมาบูรณะโดยด่วน ก่อนที่จะมีใครไปถึงที่นั่นและขนเอาสมบัติชาติไปเสียหมด”
ธราธรเก็บแผนที่
“ได้ครับ...ผมจะปรึกษากับอาจารย์ชินกร ถ้าพร้อมเมื่อไหร่จะรีบออกเดินทางกันทันที”
อาทิตยรังสีจับมือธราธรด้วยความวางใจ
“ฝากด้วยนะครับ...ฝากคุณชายใหญ่ดูแลทุกอย่างแทนอาด้วยนะ”
อาทิตยรังสีจับมือและฝากฝังกับธราธรอย่างมีนัยยะ ธราธรรับคำอย่างหนักแน่นและมั่นใจ
“ครับคุณอา ผมจะดูแลอย่างดีที่สุด”
อาทิตยรังสียิ้มรับ ธราธรยิ้มตอบให้ความมั่นใจ มีนัยยะถึงระวีรำไพด้วยเช่นกัน
เย็นนั้น ในป่าใกล้ปราสาท เอ็ดเวิร์ดโวยใส่อีริคและพวก มีพรานสมยืนอยู่ด้วย
“ฉันจะไม่รออีกแล้วนะ ถ้าภายในวัน สองวันนี้แกยังหาแผนที่แหล่งสมบัติแห่งใหม่ให้ฉันไม่ได้ ฉันจะกลับกรุงเทพ ฉันไม่อยากอยู่กับไอ้พวกไร้วัฒนธรรมในแคมป์นั้นอีกแล้ว”
“ใจเย็นๆสิครับ พวกผมก็กำลังหาอยู่ แต่ตอนนี้พวกมันรู้ตัวย้ายที่ซ่อนแผนที่ เราก็เลยยังหาไม่เจอ”
เอ็ดเวิร์ดตะคอก
“นั่นมันเรื่องของพวกแก ฉันไม่สน ฉันจ่ายเงินให้พวกแกไม่ใช่น้อยๆ ช่วยทำงานให้มันคุ้มกับเงินที่ฉันเสียไปด้วย ไม่อย่างนั้น...อย่าหวังว่าจะได้เงินที่เหลือ”
อีริคทำเป็นก้มหัว น้อมตัว กวน ไม่กลัว
“น้อมรับบัญชาขอรับนายท่าน”
เอ็ดเวิร์ดส่ายหน้า รู้ว่ากวนประสาท
“ฉันให้เวลาพวกแกอีกแค่ 2 วัน ถ้ายังไม่เจอแผนที่ ธุรกิจที่ดีลกันไว้...ยุติ”
เอ็ดเวิร์ดเดินกลับออกไป พรานสมจะเดินตาม เอ็ดเวิร์ดหันมา
“ไม่ต้องตาม เอาเวลาเดินตามฉันไปตามหาแผนที่จะดีกว่า ฉันจ้างแกมาหาสมบัติ ไม่ใช่มาเป็นคนรับใช้”
เอ็ดเวิร์ดพูดจบก็เดินไป พรานสมมองตามเคืองๆ แล้วหันมาทางอีริค อีริคส่ายหน้าให้ใจเย็น แล้วก็คิด...จะทำยังไงต่อ
รถประจำแคมป์จอดที่หน้าปราสาท มีมานิตเป็นคนขับ ระวีรำไพยืนอยู่ อุดม มานะ ปิติ นั่งอยู่บนรถ
“ไอ้ตะวัน ยืนทำอะไรวะ รีบขึ้นรถ แกต้องรีบไปทำอาหารเย็นให้พวกฉันนะ”อุดมหันมาถาม
“ฉันรอพี่ก้อง”
ชินกรเดินมาได้ยินพอดี
“แล้วก้องอยู่ไหน”
“ไม่ทราบครับ”
“อืม...พวกเธอไปกันก่อน ฉันไปตามหาก้องเอง...พี่มานิตครับ รบกวนพี่มารับผมกับนักศึกษาที่เหลืออีกรอบนะครับ”
“ได้ครับ”
ชินกรหันมาหาระวีรำไพ
“ขึ้นรถได้แล้วนายตะวัน รีบไปจัดการทำอาหารเย็น เดี๋ยวไม่ทัน”
“ครับ”ระวีรำไพจำใจ
ระวีรำไพขึ้นรถไป ทั้งที่ใจยังพะวง รถแล่นออกไป ชินกรมองเข้าไปในปราสาท
เกษรานั่งอยู่ในมุมหนึ่งของปราสาท มองพระอาทิตย์ที่กำลังตกดินอย่างสวยงาม เธอนั่งเศร้า นึกถึงระวีรำไพที่แต่งตัวสวยงาม อยู่ในงานเลี้ยง กำลังเต้นรำคู่กับธราธร ทั้งสองคนช่างเหมาะสมกัน เกษราถอนใจ แล้วนึกถึงตอนที่ธราธรชวนเธอมาเที่ยว และระวีรำไพอธิบายถึงเหตุผลที่ต้องมา เกษราเศร้า และ แอบโกรธนิดๆ
“ถ้าไม่ใช่เพราะน้องปราง...พี่ชายใหญ่ก็คงไม่ชวนเรามาที่นี่ เราสำคัญตัวผิดมาตลอด”
เกษรานั่งอย่างโดดเดี่ยวอยู่ที่ปราสาท
ระวีรำไพทำกับข้าวง่วนอยู่ในครัวเพียงลำพัง ทำต้มจืดฟักกระดูกหมู ไข่ตุ๋นทรงเครื่อง และน้ำพริกตาแดง ผักลวก ทำไปเจ็บแผลที่แขนไปด้วย แต่ก็กัดฟันทำต่อไม่บ่น ไม่ย่อท้อ ธราธรเดินเข้ามาดูแล้วก็มองไปรอบๆด้วยความแปลกใจ
“ปรางทำอาหารคนเดียวเหรอคะ แล้วน้องเกษล่ะ”
ระวีรำไพพูดไป ก็คนแกงใส่ผักไปด้วย
“พี่เกษยังไม่กลับมาจากที่ปราสาทเลยค่ะ ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน อาจารย์ชินกรไปตามหาอยู่ค่ะ”
เธอหันมาตำน้ำพริกต่อ ธราธรพยักหน้ารับรู้ แล้วก็ยื่นมือเข้ามาช่วย
“งั้นพี่ช่วยนะ”
“ขอบคุณค่ะ”
เธอหลบไปเตรียมเอาไข่ตุ๋นลงไปนึ่งในซึ้ง ธราธรช่วยตำน้ำพริกอย่างขะมักเขม้น ที่มุมหนึ่งห่างออกไป อุดม ปิติ มานะ ค่อยๆโผล่หน้าขึ้นมา อุดมกระซิบบอกเพื่อนๆ
“พวกมึงดูใหม่...แบบนี้...ไม่มีอะไรได้ยังไงวะ”
อุดม ปิติ มานะ แอบมองด้วยความสาระแน ธราธรและระวีรำไพช่วยกันทำอาหาร หมุนกันไปมาอยู่ในครัว บางจังหวะมีจะชนกัน แล้วก็หลบเลี่ยงพร้อมหัวเราะขำคิกคัก สามคนหันมามองหน้ากัน
เอ็ดเวิร์ดยืนอยู่หน้าปราสาท มองซ้ายมองขวา ด้วยความหงุดหงิด
“หายไปไหนกันหมดวะ”
เอ็ดเวิร์ดมองหาไม่เห็นใคร ก็ออกเดินตามหา
เกษรายังนั่งอยู่ที่เดิม แสงอาทิตย์เริ่มหมดไป เธอลุกขึ้นและเดินไปด้วยความเหนื่อยหน่าย
ที่มุมหนึ่งเห็นเอ็ดเวิร์ดเดินง่วนมองหาคนอยู่ แล้วก็เห็นเกษราเดินมาพอดีเขามองแล้วจำได้ว่าเป็นเพื่อนของระวีรำไพ เอ็ดเวิร์ดรีบปรี่เดินมาหา
“หยุดก่อน”
เกษราสะดุ้ง
“คะ...ครับ”
“คนอื่นหายไปไหนกันหมด”
“กลับไปที่แคมป์ครับ”
“อ้าว กลับไปหมดแล้ว...แล้วฉันจะกลับยังไง”
เกษราอึกอัก
“เอ่อ...ผมก็ไม่ทราบครับ”
“แกจะไม่รู้ได้ยังไง เพราะแกก็ต้องกลับเหมือนกัน ตอบโง่ๆ การศึกษามันไม่ได้ช่วยให้แกฉลาดขึ้นเลยหรือไง ตอบมาได้ ไม่มีหัวคิด”
เอ็ดเวิร์ดถือโอกาสระบายออก เกษราไม่อยู่ในอารมณ์จะทน เลยหันหลังจะหนีไป
“นี่ฉันยังพูดไม่จบเลยนะ แกจะไปไหน”
เกษราไม่ตอบ เดินดุ่มๆ ไปเลย
“หยุด และ หันมาทางฉัน”
เกษราก้มหน้าเดินหนี ไม่ยอมหยุด เอ็ดเวิร์ดอารมณ์ขึ้นทันทีรีบเดินก้าวยาวๆพุ่งเข้าไปหาด้วยความโกรธ...ชินกรเดินอยู่อีกมุมชะงักเท้ากึก หันไปตามเสียง เงี่ยหูฟังให้ชัดๆอีกที เสียงเอ็ดเวิร์ดดังมาจากอีกมุมหนึ่งของปราสาท
“ไอ้เด็กบ้า ฉันบอกให้แกหยุดเดี๋ยวนี้”
ชินกรตกใจ
“ก้อง”
ชินกรรีบวิ่งไปตามเสียงทันที...เอ็ดเวิร์ดกระชากแขนเกษราอย่างแรงให้หันกลับมา
“ฉันบอกให้หยุด”
“โอ้ย”
เกษราหันมาหน้าหงาย เอ็ดเวิร์ดบิดแขนเธออย่างแรง
“พวกแกกล้าดียังไงมาขัดคำสั่งฉัน ฉันจะบอกให้นะ ถ้าเทียบกับประเทศของฉัน พวกแกก็ไม่ต่างไปจากคนป่า ที่พวกแกดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาได้ ก็เพราะเสื้อผ้า ทรงผม ในแบบที่พวกฉันเป็น แต่มันก็แค่เปลือก สมองของแกก็ยังเป็นขี้เลื่อย โง่ แล้วยังจะกล้ามาอวดดีกับฉัน”
เกษราใจสั่น หวาดกลัวแบบสุดๆ ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเจอใครมาพูดแบบนี้
“ปล่อยเถอะครับ...ผมเจ็บ”
เกษราน้ำตาร่วงไม่รู้ตัว เอ็ดเวิร์ดยิ่งเห็นว่าข่มได้ยิ่งชอบ
“เจ็บเหรอ...แค่นี้เจ็บ เป็นลูกผู้ชายหรือเปล่าวะ หะ ฉันยังไม่ทันจะได้ทำอะไรเลย แค่บิดแขนแค่นี้” เอ็ดเวิร์ดบิดแขนเกษราไพล่มาด้านหลัง และหัก ขึ้น “ทำเป็นร้องไห้”
“โอ้ย ผมเจ็บ”
เอ็ดเวิร์ดบิดแขนเกษราด้วยความสะใจ เหมือนได้ปลดปล่อยความแค้นและได้แสดงอำนาจ
“เจ็บได้ยังไง ฉันยังไม่ได้ทำอะไรเลย ไม่ได้ออกแรงสักนิด” เขาบิดอีก “ฮ่าๆๆๆๆ”
“โอ้ย”
เกษราร้องด้วยความเจ็บ เอ็ดเวิร์ดหัวเราะด้วยความสะใจ และทันใดนั้นเองกำปั้นชินกรก็พุ่งเข้าที่หน้าของเอ็ดเวิร์ด พลั่ก
“โอ้ย”
เอ็ดเวิร์ดปล่อยมือจากเกษรา แล้วเซล้มไป เกษรารีบสะบัดตัวหลุดออกมา ตั้งหลัก เอ็ดเวิร์ดมึน รู้สึกเจ็บที่มุมปาก ค่อยๆจับ สัมผัสถึงเมือกเหนียว พอเห็นว่าเป็นเลือดที่เดือดพล่าน เงยหน้าขึ้นมาเห็นเป็นชินกรยืนจังก้าอยู่
“ไอ้สารเลว แกกล้าดียังไงมาทำร้ายนักศึกษาของฉัน”
เกษรายังอยู่ในอาการหวาดกลัว รีบเข้ามาหลบหลังชินกร ด้วยสัญชาตญาณชินกรใช้มือโอบไปด้านหลังเหมือนปกป้องเกษราไว้ด้วยความเป็นห่วง เอ็ดเวิร์ดมองด้วยความแค้น ยันตัวลุกขึ้น
“แล้วแกกล้าดียังไงมาทำร้ายร่างกายฉัน ฉันจะฟ้องหัวหน้าโครงการ พวกแกจะต้องถูกไล่ออก”
“เชิญ อยากจะฟ้องอะไรก็เชิญ เพราะผมเองก็จะรายงานเรื่องนี้ให้คุณชายอาทิตย์ทราบเหมือนกัน และถ้าคุณยังทำร้ายคนของผมอีก คราวหน้าผมจะแจ้งตำรวจ”
เอ็ดเวิร์ดแค้น มองชินกรจะกินเลือดกินเนื้อ ทันใดนั้นเสียงมานิตก็ดังมาจากหน้าปราสาท
“อาจารย์ชินกรครับ ผมมารับแล้วครับ”
เอ็ดเวิร์ดหันไปตามเสียง แล้วก็รีบหันขวับกลับมาชี้หน้าชินกร
“จำสิ่งที่แกทำกับฉันเอาไว้ เพราะวันที่ฉันเอาคืน...แกต้องเจอหนักนี้หลายเท่า”
เอ็ดเวิร์ดมองด้วยความอาฆาต แล้วเดินออกไป ชินกรมองตามด้วยความไม่พอใจ สักพักได้ยินเสียงสะอื้นดังมาจากด้านหลัง เกษรากำลังร้องไห้ด้วยความหวาดกลัว และอึดอัด ที่สะสมมาตั้งแต่เช้า
มานิตนั่งรออยู่ในรถ เอ็ดเวิร์ดเดินมา
“ไปส่งฉันที่แคมป์เดี๋ยวนี้”
“ผมต้องรออาจารย์ชินกร”
เอ็ดเวิร์ดสวน
“ฉันสั่งว่าเดี๋ยวนี้ จะขับไปดีๆ หรือให้ฉันขับไปเอง และพวกแกก็เดินกลับกันไป เลือกเอา”
เอ็ดเวิร์ดยื่นคำขาด เสียงเข้ม หน้าเหวี่ยง มานิตมองแล้วก็จำใจหันไปสตาร์ทรถ เอ็ดเวิร์ดเปิดประตูรถขึ้นมานั่งหน้าตาแค้นสุดๆ จับมุมปากที่โดนชกด้วยความอาฆาต
ชินกรยังยืนอยู่ตำแหน่งเดิม เสียงเกษรายังร้องไห้สะอึกสะอื้นดังอยู่เบื้องหลัง ชินกรค่อยๆหันมา มองหน้า เกษรากำลังร้องไห้สะอึกสะอื้น แล้วก็ใจอ่อนยวบ เกษราร้องไห้เหมือนปลดปล่อยทุกอย่างในวินาทีนั้นไม่ห่วงว่าต้องแอ๊บแมน เป็นตัวของตัวเอง ชินกรมองแล้วพาลนึกไปถึงเกษราอย่างเลี่ยงไม่ได้ ภาพในความคิดของชินกร เป็นเกษราตัวจริง แต่งหญิง และอยู่ในชุดที่เจอกันครั้งแรก ในร้านเสื้อกำลังร้องไห้อย่างน่าสงสารอยู่ตรงหน้า ชินกรยืนมองเกษราร้องไห้ ใจหายวาบ ในวูบนั้นเขาไม่ได้คิดถึง ไอ้ก้อง แม้แต่น้อยคิดแต่ว่าคนที่
ร้องไห้อยู่นี้คือเกษรา และชินกรก็พ่ายแพ้ต่อจิตใจของตัวเองดึงตัวเธอเข้ามากอดปลอบใจด้วยความสงสาร
“ไม่ต้องกลัวนะ...ไม่ต้องกลัว...”
ชินกรกอดเกษราด้วยความรัก และอยากปกป้องอย่างรุนแรง เกษราอยู่ในอ้อมกอดของเขาแล้วก็ปล่อยโฮออกมา ชินกรคิดว่าตัวเองกำลังกอดเกษราอยู่
สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายธราธร ตอนที่ 6 (ต่อ)
ค่ำนั้น หม้อข้าวเหนียวถั่วดำถูกยกมาตั้งไว้ในครัว ป้าพรมองดู
“ข้าวเหนียวถั่วดำเหลือเยอะแยะเลย สงสัยคณะนี้จะไม่ค่อยชอบ ถั่วดำ”
ป้าพรบ่นๆ แล้วก็หันมาเห็นระวีรำไพยืนชะเง้ออยู่ที่หน้าครัว เธอมองหาเกษรา ป้าพรมองแล้วก็ยิ้มๆ ก่อนจะถาม
“พ่อตะวัน...วันก่อน พ่อก้องเค้าได้บอกเรื่อง...” ป้าพรอายๆ “เรื่องลูกสาวของป้าหรือยังจ๊ะ”
ระวีรำไพงง แล้วก็นึกได้ที่เกษราบอกเรื่องป้าพรจะทาบทามให้ลูกสาว
“อ๋อ...บอกแล้วครับ”
ป้าพรตาโต
“แล้ว...พ่อตะวันคิดเห็นว่ายังไงล่ะ อยากจะดูหน้าดูตัวลูกสาวป้าหรือเปล่า เจอกันพรุ่งนี้เลยมั้ย เดี๋ยวป้าพามาแต่เช้าเลย”
ระวีรำไพรีบห้าม
“เอ่อ เดี๋ยวๆๆ ครับป้า คือ...ผมยังไม่อยากคิดเรื่องความรักครับ” ระวีรำไพยกมือไหว้ “ขอบคุณนะครับ แต่ไม่ดีกว่า”
ป้าพรผิดหวัง
“ไม่...เปลี่ยนใจแน่นะ ลูกสาวป้าสวยน้า...”
ระวีรำไพยิ้มแห้งๆ
“แหะแหะ ไม่เปลี่ยน...ไม่เปลี่ยนครับ ผม...ผมไปอาบน้ำก่อนนะครับ” เธอยกมือไหว้อีกครั้ง “สวัสดีครับ”
ระวีรำไพรีบเดินออกไปเลย ป้าพรมองด้วยความเสียดาย
“อ้าว ไปซะแล้ว...ยังคุยไม่รู้เรื่องเลย เฮ่อ”
ป้าพรมองตามด้วยความเสียดาย
ในบ้านพัก ระวีรำไพเดินเข้ามามองซ้ายมองขวา
“พี่ก้อง...พี่ก้อง” เธอเปิดประตูห้องนอนเข้าไป “พี่ก้อง”
ภายในบ้านว่างเปล่าไม่มีใคร ระวีรำไพคิดพึมพำเบาๆ
“พี่เกษหายไปไหนของเขานะ”
ระวีรำไพหันมาไม่ทันระวัง แขนสะบัดไปโดนประตูที่เปิดค้างอยู่ โดนที่แผลเข้าเต็มๆ เธอร้องออกมา
“โอ้ย...”
ระวีรำไพจับแผล แล้วเปิดดูเห็นว่าแผนแดงเริ่มจะอักเสบ ธราธรเดินเข้ามาเห็นพอดี
“น้องปรางเป็นอะไร”
ระวีรำไพรีบปิดแผล
“ไม่ได้เป็นอะไรค่ะ แค่เดินชนประตูนิดหน่อย” เธอเปลี่ยนเรื่อง “พี่ชายใหญ่เห็นพี่เกษหรือเปล่าคะ”
“ไม่เห็นครับ พี่จะมาถามอยู่เลยว่าน้องเกษหายไปไหน ตอนกินข้าวก็ไม่เห็น”
ระวีรำไพคิดหนัก ธราธรมองหน้า
“มีอะไรหรือเปล่า”
“ปรางว่า...พี่เกษต้องมีอะไรในใจแน่ๆค่ะ ท่าทางแปลกๆตั้งแต่เมื่อตอนกลางวัน ไม่ยอมพูดไม่ยอมจา เหมือนโกรธใคร พี่ชายใหญ่ทำอะไรให้พี่เกษโกรธหรือเปล่าคะ”
ธราธรสะดุ้งนิดๆ
“เปล่านะ พี่ไม่ได้ทำอะไรเลย...หรือว่า...”
ธราธรคิด ถึงเรื่องที่คุยกันเมื่อตอนกลางวัน
เกษราเดินมา หน้าบ้านพัก แล้วก็หยุดยืนอยู่ด้วยความหนักใจ ก่อนจะกัดฟันเดินเข้าไปในบ้าน เสียงจากในบ้านพักดังออกมา
“พี่ชายใหญ่ถามพี่เกษว่าชอบอะไรบ้างเหรอคะ”
เกษราชะงักเท้า รีบหลบวูบแอบฟัง
ธราธรตอบงงๆ
“ก็...น้องปรางบอกว่า พี่ต้องรู้จักน้องเกษมากกว่านี้ พี่ก็ทำตามที่น้องปรางบอกไงคะ”
เกษราอึ้ง...เสียงยังดังมาจากในห้อง
“แต่ปรางให้พี่ชายใหญ่คอยสังเกตเก็บข้อมูล ไม่ใช่ถามตรงๆ”
“อ้าว...ก็...พี่ต้องทำงานนี่คะ ไม่มีเวลามานั่งสังเกตหรอกว่าใครชอบอะไร ไม่ชอบอะไร ถ้าพี่ไม่ถามตรงๆ รับรองว่ากลับถึงกรุงเทพพี่ก็ไม่รู้อยู่ดีว่าน้องเกษชอบอะไร ไม่ชอบอะไร”
“แต่การถามตรงๆ มันก็แสดงให้เห็นถึงความไม่ใส่ใจได้นะคะ”
ธราธรชะงัก เกษราหน้าเสีย...น้ำตาเหมือนจะไหล ด้วยความผิดหวังและเสียใจ ทันใดนั้นเสียงชินกรก็ดังขึ้น
“ก้อง”
เกษราสะดุ้ง หันมาทางเสียงเห็นชินกรเดินมา ชินกรมองหน้าเกษรางงๆ ถามเสียงเบาลง
“มายืนทำอะไรตรงนี้ ไหนบอกว่าจะรีบอาบน้ำนอน”
ธราธร กับ ระวีรำไพได้ยินเสียง หันไปที่หน้าบ้าน ระวีรำไพรีบเดินไปตามเสียงทันที
“พี่ก้อง” เธอยิ้มดีใจ “พี่ก้องกลับมาแล้ว พี่ก้องกินข้าวหรือยังครับ”
ธราธรเดินตามมา เกษรามองหน้าระวีรำไพด้วยความคลางแคลงใจ และมองธราธรด้วยความผิดหวัง แล้วก็พูดเลี่ยงๆ ไม่มองหน้า
“พี่ไม่หิว พี่ไปอาบน้ำก่อนนะ”
เกษราเดินเลี่ยงเข้าห้องนอนไปเลย ระวีรำไพมองตามด้วยความแปลกใจรีบเดินตามไป
“พี่ก้อง...พี่ก้อง”
ระวีรำไพรีบเดินตามไปเลย ธราธรมองตามด้วยความเป็นห่วงและแปลกใจ ชินกรพูดขึ้นอย่างรู้ทัน
“คุณชายใหญ่รู้สึกว่าก้องแปลกๆไปมั้ยครับ”
ธราธรหันมา
“ใช่ครับ มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า”
“ที่ก้องเป็นแบบนี้อาจจะเป็นเพราะ...เขารู้ความจริงอะไรบางอย่าง และเขาอาจจะสงสาร คุณเกษ ก็เป็นไปได้นะครับ”
ธราธรขมวดคิ้วงง
“สงสารเกษราเรื่องอะไร”
“ผมว่า...คุณชายใหญ่น่าจะเป็นคนที่ตอบคำถามนี้ได้ดีที่สุด”
ชินกรเดินเข้าห้องไปเลย ธราธรมองตามงงๆ พึมพำออกมา
“ก้อง...สงสาร เกษรา เนี่ยนะ”
ธราธรคิดแล้วก็งงหนัก
เกษราหยิบเสื้อผ้าเตรียมไปอาบน้ำ หน้านิ่งๆ ดูยาก ระวีรำไพเดินไปเดินมา มองเกษราด้วยความไม่เข้าใจ เธอหยุดเดิน
“พี่เกษคะ”
เกษราตัดบท
“พี่ไปอาบน้ำนะคะ”
เกษราเดินออกไปเลย ระวีรำไพมองตามตาละห้อย...ฉันทำอะไรผิดหรือเปล่า
เกษราเดินเข้ามาในห้องน้ำ รีบปิดประตู แล้วก็ยืนเศร้า คำพูดของธราธรและระวีรำไพดังตอกย้ำความเสียใจ
“พี่ชายใหญ่ถามพี่เกษว่าชอบอะไรบ้างเหรอคะ”
“ก็...น้องปรางบอกว่า พี่ต้องรู้จักน้องเกษมากกว่านี้ พี่ก็ทำตามที่น้องปรางบอกไงคะ”
“แต่ปรางให้พี่ชายใหญ่คอยสังเกตเก็บข้อมูล ไม่ใช่ถามตรงๆ”
“อ้าว...ก็...พี่ต้องทำงานนี่คะ ไม่มีเวลามานั่งสังเกตหรอกว่าใครชอบอะไร ไม่ชอบอะไร ถ้าพี่ไม่ถามตรงๆ รับรองว่ากลับถึงกรุงเทพพี่ก็ไม่รู้อยู่ดีว่าน้องเกษชอบอะไร ไม่ชอบอะไร”
“แต่การถามตรงๆ มันก็แสดงให้เห็นถึงความไม่ใส่ใจได้นะคะ”
เกษราน้ำตาร่วง เสียใจ น้อยใจ เธอปาดน้ำตาแล้วก็ตัดสินใจอะไรบางอย่าง แววตาแข็งขึ้น
ระวีรำไพเดินไปเดินมาด้วยความเครียด ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เดินคิดไปแล้วก็เผลอกอดอก โดนแผลที่แขนอีก ระวีรำไพเบ้หน้าด้วยความเจ็บ
“อูย...”
ระวีรำไพค่อยๆถลกแขนเสื้อดูแผล หน้าตาเหยเกด้วยความแสบ แล้วก็หันไปทางกระเป๋า เดินไปเปิดกระเป๋ารื้อหายาทาแผล แต่หาแล้วก็ไม่มี มีแต่น้ำยาล้างแผล ระวีรำไพทำแผลให้ตัวอย่างอย่างไม่ถนัด เกษราเดินเข้ามาในห้อง ระวีรำไพชะงักนิดๆ หันไป
“พี่เกษอาบน้ำเสร็จแล้วเหรอคะ”
เกษราแค่พยักหน้า แล้วก็มองแผลที่แขนระวีรำไพ มองด้วยแววตาเย็นชาแล้วก็ไม่สนใจเดินไปเก็บ
ผ้า ระวีรำไพหน้าจ๋อยๆ ค่อยๆคลายแขนเสื้อมาปิดแผลไว้เหมือนเดิม เกษราเก็บผ้าเสร็จหันมาหน้าเครียด
“น้องปรางคะ”
ระวีรำไพยิ้ม ดีใจที่เกษราพูดด้วย
“คะ”
“น้องปรางรู้หรือเปล่าว่าทำไมพี่ชายใหญ่ถึงได้ชวนพี่มาที่นี่”
ระวีรำไพพูดอย่างจริงใจ
“เพราะปรางขอมาดูแลคุณพ่อค่ะ ก่อนเดินทางมาคุณพ่อมีอาการโรคหัวใจกำเริบ ปรางอยากมาดูแลท่าน คุณพ่อบอกว่าถ้าไม่มีเพื่อนมา พี่ชายใหญ่ก็ไม่อนุญาตให้ปรางมาค่ะ”
เกษราสะอึกนิดๆ พยักหน้าเศร้าหนักเข้าไปอีก
“ถ้าไม่ใช่เพราะน้องปราง...พี่ชายใหญ่คงไม่ชวนพี่มา”
ระวีรำไพหน้าเสีย
“ไม่ใช่นะคะพี่เกษ”
เกษราสวน
“พี่ตัดสินใจแล้ว...พรุ่งนี้พี่จะกลับกรุงเทพ”
ระวีรำไพอึ้งไป
“กลับกรุงเทพ...ทำไมคะ”
เกษราเศร้า ปน โกรธ
“พี่เหนื่อย...พี่คิดว่าตัวเองคงไม่เหมาะสม...กับที่นี่”
เกษราพูดไปในใจคิดว่าเธอไมเหมาะกับธราธร ระวีรำไพอึ้ง
“พี่เกษคะ...”
เกษราไม่สนใจฟัง เดินมาที่เตียง ล้มตัวลงนอน หันหลังให้เป็นการปิดบทสนทนา ระวีรำไพนั่งอึ้ง จุก
ช็อก ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น...เกษรานอนนิ่ง...น้ำตาร่วง ระวีรำไพงงๆ ทำไงดี ระวีรำไพมองแผลที่แขนตัวเอง แล้วก็มองเกษราที่นอนหันหลังให้ แล้วก็เครียด...เสียงเกษราฟึดฟัด สะอื้นร้องไห้ดังเบาๆ ระวีรำไพยิ่งตกใจจะลุกไปถาม ด้วยความเป็นห่วง แต่สัมผัสถึงรัศมีความไม่เป็นมิตรที่แผ่ออกมา ระวีรำไพเลยถอยกลับมานั่งเครียดเหมือนเดิม
ในห้องนอน ชินกรกับธราธรนอนอยู่คนละฝั่ง ชินกรนอนคิดหนัก แล้วก็คิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนเย็นที่เขากอดปลอบเกษรา จนขวัญเริ่มกลับมา เกษราเงยหน้ามองเขาและในวูบต่อมา ทั้งสองคนก็รีบผละออก
จากกัน ชินกรรีบทำแมน
“เออ หยุดร้องไห้ได้ก็ดีแล้ว เป็นผู้ชายร้องไห้ให้คนอื่นเห็นมันไม่ดี ที่ฉัน...กอดปลอบใจก็เพราะสงสาร ไม่ได้คิดอะไรมากกว่านั้นนะ”
เกษราก้มหน้า วางตัวไม่ถูกหลังโดนกอด
“ครับ...ผมทราบ...” เธอยกมือไหว้ “ขอบคุณที่ช่วยผมไว้”
ชินกรรับไหว้
“แล้วนี่มาทำอะไรอยู่ตรงนี้ ทำไมไม่กลับแคมป์ไปพร้อมกับตะวัน”
เกษราชะงักนิดๆ ตรงชื่อตะวัน ชินกรเห็นพอดี
“ไม่สบายใจอะไรหรือเปล่า ไปได้ยินอะไรที่ทำให้คับข้องใจ คุยกับฉันได้นะ”
เกษราอึกอักๆ คิดๆ มองหน้าชินกร ทั้งใบหน้าและแววตาแสนเป็นมิตร อบอุ่น และกันเอง เกษราตัดสินใจถาม
“อาจารย์เคยได้ยินเรื่องระหว่างอาจารย์หม่อมกับตะวันหรือเปล่าครับ”
ชินกรชะงัก ก่อนจะทำนิ่งถาม
“แล้วนายไปได้ยินอะไรมา”
เกษรากัดริมฝาก บอกไม่บอก แล้วก็บอก
“อุดมบอกว่าอาจารย์หม่อมชอบตะวันครับ”
ชินกรถอนใจว่าแล้ว...
“แล้วนายคิดว่ายังไง”
เกษราก้มหน้าเศร้า
“ผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน”
“นายเป็นคนใกล้ชิดยังไม่ทราบ แล้วจะไปเอาอะไรกับคำพูดของนายอุดม ฉันว่า...อย่าไปใส่ใจในคำพูดของคนอื่น...เชื่อในสิ่งที่ตัวเองเห็นดีกว่า ที่สำคัญ...เรื่องนี้เป็นเรื่องพิสูจน์ไม่ได้ ฉันไม่อยากให้พูดต่อๆกันไป คนอื่นได้ยินเข้า มันจะไม่ดี โดยเฉพาะ...คุณเกษรา”
เกษรานิ่งดวงตาเศร้า...ชินกรพูดต่อ
“ฉันไม่อยากให้ คุณเกษต้องเป็นกังวลใจ ถ้าได้ยินเรื่องนี้”
เกษราพูดเบาๆ
“สายไปแล้ว”
ชินกรขมวดคิ้ว
“เอ๊ะ”
เกษราเฉไฉ
“คือ...ผมได้ยินเสียงรถมาแล้ว เรารีบกลับไปที่แคมป์ดีกว่าครับ ก่อนจะสายไปมากกว่านี้”
เกษราพูดจบก็เดินเลี่ยงไปเลย ชินกรมองตามด้วยความกังวล
ชินกรยังเป็นกังวล แล้วก็ค่อยๆหันมามองธราธรที่นอนห่างออกไป ธราธรกังวลไม่ต่างกัน เขาคิดถึงสิ่งที่ระวีรำไพพูด
“พี่ชายใหญ่ถามพี่เกษว่าชอบอะไรบ้างเหรอคะ...แต่ปรางให้พี่ชายใหญ่คอยสังเกตเก็บข้อมูล ไม่ใช่ถามตรงๆ...การถามตรงๆ มันก็แสดงให้เห็นถึงความไม่ใส่ใจได้นะคะ”
ธราธรชะงักนึกถึงตอนที่เกษราเย็นชาหน้าบึ้งเดินเข้าห้อง และตอนตอบแบบ ถามคำตอบคำ
นอกจากนี้ ธราธรยังนึกถึงตอนที่คุยกับชินกร
“ที่ก้องเป็นแบบนี้อาจจะเป็นเพราะ...เขารู้ความจริงอะไรบางอย่าง และเขาอาจจะสงสาร คุณเกษ ก็เป็นไปได้นะครับ”
ธราธรแปลกใจ
“สงสารเกษราเรื่องอะไร”
“ผมว่า...คุณชายใหญ่น่าจะเป็นคนที่ตอบคำถามนี้ได้ดีที่สุด”
ธราธรคิดๆแล้วก็กลุ้ม...หรือว่าจะเป็นเพราะเรา
ในห้องนอน เกษรานอนเศร้าๆ...ภาพตอนธราธรกอดปลอบใจระวีรำไพแว่บเข้ามา เกษราปาดน้ำตา แววตาผิดหวัง ซ่อนความไม่พอใจ เหมือนโดนหักหลัง ขณะเดียวกันนั้น ระวีรำไพเพิ่งอาบน้ำเสร็จเปิดประตูห้องเข้ามา เก็บอุปกรณ์อาบน้ำ เดินมาที่เตียง แล้วก็หันมามองเกษราอีกรอบ เห็นว่าหันหลังให้อย่างเย็นชายิ่งไม่สบายใจ เธอนึกคำพูดของเกษราก่อนหน้านี้
“พรุ่งนี้พี่จะกลับกรุงเทพ...”
ระวีรำไพเครียด ขยับตัว เอื้อมมือจะไปสะกิดอยากคุย แต่ก็ยั้งไว้...ไม่ดีกว่า แล้วก็ถอยกลับมาที่เตียง ระวีรำไพค่อยๆล้มตัวลงนอนด้วยความไม่สบายใจ ถอนหายใจด้วยความไม่เข้าใจเบาๆ
“เฮ่อ”
เกษรานอนผิดหวัง น้ำตาคลอๆ แล้วก็ถอนใจออกมาเบาๆ ด้วยความเสียใจ
“เฮ่อ”
ชินกรนอนหน้าครุ่นคิด กลุ้มใจ และเป็นห่วงเกษรา แล้วก็ถอนใจออกมาเบาๆ
“เฮ่อ”
ธราธรนอนกลุ้มด้วยมูลเหตุที่ต่างกัน แล้วก็ถอนหายใจเบาๆ พร้อมเอามือก่ายหน้าผาก
“เฮ่อ”
ชาย หญิง ทั้ง 4 ที่ตกอยู่ในภวังค์วนแห่งรักสาม สี่เส้า ที่มีเรื่องเพศแสนงุนงงเข้ามาเกี่ยวพัน...
หม่อมเอียดนอนกระสับกระส่ายอยู่บนเตียง...เหงื่อซึมๆ หม่อมเอียดกำลังฝันถึงเรื่องราวในอดีต...หน้าตึกวังจุฑาเทพ วิชชากร อุบลวรรณ ช้องนาง หยก ยืนอยู่ในชุดเตรียมเดินทาง หม่อมเอียด และ ย่าอ่อนยืนส่ง ห่างออกไป ถนอมกับสมศรีช่วยกันยกกระเป๋าไปขึ้นรถ วิชชากรยิ้มแย้มบอก
“พอถึงจวนผู้ว่าที่เชียงใหม่แล้ว ผมจะโทรเลขมาบอกนะครับ”
“แม่มีของฝากไปให้ท่านผู้ว่า และฝากปัจจัยไปทำบุญด้วยนะ ฝากไว้กับแม่อุบล”
อุบลวรรณยิ้มรับ ย่าอ่อนหันไปดูว่าถนอมขนของเรียบร้อยแล้วก็หันมาบอก
“ถนอมจัดของเรียบร้อยแล้ว ท่านชายรีบไปกันเถอะ กว่าจะถึงเชียงใหม่ ตั้งหลายชั่วโมง”
“ครับ” วิชชากรยกมือไหว้ “สวัสดีครับ”
อุบลวรรณ ช้องนาง หยกยกมือไหว้
“สวัสดีค่ะ”
หม่อมเอียดกับย่าอ่อน รับไหว้ อุบลวรรณ ช้องนาง หยก หันไปหาคุณชายทั้ง 5
“ชายใหญ่ ชายพีร์”
ธราธร และรณพีร์ หันมาและวิ่งมาหา อุบลวรรณยืนพูดกับลูกด้วยความรัก
“คุณแม่ไปทำบุญกับท่านพ่อที่เชียงใหม่หลายวัน ชายใหญ่ดูแลหม่อมย่าเอียด คุณย่าอ่อน และดูแลน้องๆแทนท่านพ่อด้วยนะลูก”
ธราธรรับคำ
“ครับ หม่อมแม่”
“ชายพีร์...อย่าซนมากนะลูก พี่ชายใหญ่พูดอะไรก็ต้องฟังรู้มั้ย”
รณพีร์มองหน้าชายใหญ่ แล้วก็เกรงใจ
“ครับ...หม่อมแม่”
อุบลวรรณลูบหัว และมองลูกทั้งสองด้วยความรักโดยไม่รู้เลยว่า นี่คือการร่ำลาครั้งสุดท้ายของชีวิต หยกย่อตัวลงนั่งด้วยเข่าโอบกอดพุฒิภัทรและรัชชานนท์ไว้แน่น ก่อนจะคลายออกและบอกกับลูกทั้งสองคน
“ชายภัทร ชายเล็ก คุณแม่ไม่อยู่ต้องเชื่อฟังหม่อมย่าเอียดนะลูก”
ทั้งสองคนรับคำ
“ครับ”
หยกหันมาหาพุฒิภัทร
“ชายภัทรช่วยพี่ชายใหญ่ดูแลน้องนะ แล้วก็อย่าลืมพาชายเล็กไปเยี่ยมคุณตาด้วย”
พุฒิภัทรรับคำ
“ครับหม่อมแม่”
รัชชานนท์สงสัย
“หม่อมแม่ครับ คุณตา ใช่ อากงหรือเปล่าครับ”
หยกยิ้มเอ็นดู
“ใช่แล้วจ้ะ” หยกหันมาทางพุฒิภัทร “แม่ไปก่อนนะ”
หยกกอดลูกทั้งสองไว้แน่นด้วยความรัก ช้องนางนั่งพับเพียบอยู่หน้าปวรรุจที่ยืนอยู่ ช้องนางจับมือปวรรุจไว้ด้วยความรัก และทะนุถนอม
“ชายรุจ...ระหว่างที่แม่ไม่อยู่ ชายรุจต้องดูแลทุกๆคนแทนแม่นะลูก คอยช่วยเหลือพี่ น้อง และตั้งใจเรียนนะลูกนะ”
ปวรรุจรับคำ
“ครับหม่อมแม่”
ช้องนางมองปวรรุจด้วยความรัก บูชาเหมือนของสูงกว่าตน และดึงมากอดอย่างทะนุถนอม หม่อมเอียดมองคุณชายทั้ง 5 แล้วก็สั่งขึ้นอย่างอ่อนโยน
“คุณชายไปลาท่านพ่อไป”
คุณชายทั้ง 5 รับคำ
“ครับ”
ธราธร ปวรรุจ พุฒิภัทร รัชชานนท์ รณพีร์ เดินไปสวัสดีวิชชากรอย่างพร้อมเพรียง
“สวัสดีครับท่านพ่อ”
วิชชากรมองลูกชายแล้วยิ้ม
“ระหว่างที่พ่อไม่อยู่ ฝากทุกคนดูแลจุฑาเทพแทนพ่อด้วยนะ”
คุณชายทั้ง 5 รับคำ
“ครับ...ท่านพ่อ”
วิชชากรยิ้มอย่างหายห่วง อุบลวรรณ ช้องนาง และ หยก เดินมาสมทบกับวิชชากร ทั้งสี่หันหลังและเดินไป คุณชายทั้ง 5 ยืนมองพ่อและแม่ที่เดินห่างออกไป ด้านหลังคุณชาย หม่อมเอียด และ ย่าอ่อน เดินมาสมทบ...เหมือนเป็นการร่ำลาครั้งสุดท้าย
หม่อมเอียดนอน พลิกไป พลิกมา เหมือนอยากจะตื่น แต่ไม่ตื่น สีหน้าเป็นทุกข์ ฝันต่อไปอีก...หม่อมเอียดเดินเข้ามาหน้าห้องรับแขก ด้วยความร้อนใจ ตามมาด้วยย่าอ่อนที่ร้อนใจไม่แพ้กัน ถนอม กับสมศรียืนอยู่ที่หน้าห้อง ถนอมรายงาน
“ท่านผู้ว่าเชียงใหม่รออยู่ในห้องรับแขกแล้วขอรับ”
หม่อมเอียด และย่าอ่อนรีบเดินไปทันที...ผู้ว่ายืนอยู่ในห้องรับแขก หน้าตาเศร้า หนักใจ
“ท่านผู้ว่า...”
ผู้ว่าหันมายกมือไหว้
“สวัสดีครับหม่อมน้า” เขายกมือไหว้ย่าอ่อน “สวัสดีครับคุณน้า”
หม่อมเอียดกับย่าอ่อน รับไหว้ หม่อมเอียดรีบถามขึ้นด้วยความกังวล
“ท่านชายวิชกับหม่อมทั้งสามขึ้นไปทำบุญกับท่านผู้ว่าที่เชียงใหม่ไม่ใช่เหรอ เห็นบอกว่าเมื่อวานจะขึ้นไปทอดกฐินที่วัดป่าบนดอย แล้วทำไม...วันนี้ท่านผู้ว่าถึงลงมาพระนคร”
ย่าอ่อนแปลกใจ
“นั่นสิ มีราชการด่วนเหรอคะ”
ผู้ว่าหน้าเครียดหนักใจ
“ที่ผมลงมา ไม่ใช่มางานราชการแต่มีข่าวจะมาเรียนให้หม่อมน้าทราบ...” ผู้ว่ากลืนน้ำลาย
หม่อมเอียดใจเสีย
“ข่าวอะไร...”
“ตามที่หม่อมน้าทราบ เมื่อวานคณะทำบุญเดินทางขึ้นไปที่วัดป่า ระหว่างทาง...เกิดอุบัติเหตุรถของท่านชายและหม่อมทั้งสามลื่นไหลลงข้างทาง รถพลิกคว่ำท่านชายสิ้นชีพิตักษัยทันที ส่วนหม่อมทั้งสามเสียชีวิตที่โรงพยาบาลเมื่อคืนนี้เองครับ”
หม่อมเอียดทรุดฮวบลงในทันที เป็นลมล้มพับลง ย่าอ่อนกรีดร้องออกมา
“ไม่จริง...ไม่จริง...เป็นไปไม่ได้ ไม่จริง” ย่าอ่อนร้องไห้โฮออกมา “โฮ ท่านชาย”
ผู้ว่ารีบพุ่งเข้าไปหาหม่อมเอียด
“หม่อมน้าครับ...หม่อมน้า”
ถนอม กับสมศรีรีบวิ่งพรวดเข้ามาด้วยความตกใจ
“คุณท่าน”
ผู้ว่ารีบเข้ามาพยุงหม่อมเอียดที่สลบไป ย่าอ่อนทรุดลงข้างๆ สมศรีรีบเข้าไปประคอง ย่าอ่อนร้องไห้ดังระงม
“ท่านชาย”
ผู้ว่าตกใจ
“หม่อมน้า...หม่อมน้า”
หม่อมเอียดเป็นลม...ไร้สติ
เช้ามืด...หม่อมเอียดผวาตื่น กระเด้งตัวลุกขึ้นด้วยความตกใจ
“เฮ่อ”
หม่อมเอียดเงื่อกชุ่มไปทั้งตัว มองไปรอบๆ เห็นฟ้าใกล้สว่าง เสียงไก่ขันมาแต่ไกลๆ หม่อมเอียดดึงสติกลับมา หายใจปกติ แต่แววตายังเป็นกังวล
หน้าวังยามเช้า...หม่อมเอียด ย่าอ่อน ยืนใส่บาตร คุณชายทั้ง 4 ยืนใส่ด้วย จัดชุดใหญ่ ถนอม สมศรี และแจ๋วยืนรอรับใช้อยู่ไม่ห่าง หม่อมเอียด ย่าอ่อน และคุณชายทั้ง 4 รับพรพระ เรียบร้อยแล้วถนอม สมศรี แจ๋ว มาช่วยกันเก็บของ รณพีร์รีบมาประคองย่าอ่อน พุฒิภัทรกับรัชชานนท์มาประคองหม่อมเอียด ปวรรุจเดินตามหลัง รณพีร์ถามขึ้น
“ทำไมเช้านี้ หม่อมย่าถึงได้ตามพวกเรามาใส่บาตรพร้อมหน้าพร้อมตาแบบนี้ครับ เป็นโอกาสพิเศษอะไรหรือเปล่า”
หม่อมเอียดแววตาเศร้า
“เมื่อคืน...ย่าฝันเห็นท่านพ่อ และหม่อมแม่ทั้ง 3 ของคุณชาย เป็นวันก่อนท่านชายจะเดินทางไปเชียงใหม่ ในความฝันเหมือนเหตุการณ์จริงทุกอย่าง ย่าไม่ไม่เคยฝันแบบนี้มาก่อน”
พุฒิภัทรเข้าใจ
“หม่อมย่าก็เลยใส่บาตรให้ท่านพ่อและหม่อมแม่”
“ใช่...” หม่อมเอียดหยุดเดิน “นอกจากจะใส่บาตรแล้ว ย่ามีอีกเรื่องที่อยากจะบอก...ที่ท่านชายวิชมาเข้าฝันย่าคงเพราะท่านเป็นห่วงเรื่องคำสัญญาที่ทำไว้กับเทวพรหม”
ย่าอ่อนเสริม
“ท่านชายคงกังวลที่คุณชายไม่ยอมแต่งงานกับสาวๆเทวพรหมสักที”
ย่าอ่อนพูดจบก็หันมาทางมองคุณชายทั้ง 4 พุฒิภัทร รัชชานนท์ รณพีร์ สะอึก ปวรรุจอมยิ้มลอยตัว หม่อมเอียด มองเหล่าคุณชาย
“จริงอยู่ที่ย่าจะรอให้ชายใหญ่ตัดสินใจเรื่องหนูเกษ แต่ถ้าชายอื่นๆ สนใจหนูมารตี หรือ หนูวิไลรัมภา ก็รีบบอกย่า ไม่ต้องรอชายใหญ่”
รณพีร์รีบบอก
“ผมว่ารอดีกว่าครับ”
รัชชานนท์รีบเสริม
“จริงครับหม่อมย่า อีกไม่นานพี่ชายใหญ่ก็จะกลับมาแล้ว”
พุฒิภัทรออกความเห็น
“ถ้าพี่ชายใหญ่ตกลงปลงใจกับคุณเกษท่านพ่อก็คงไม่มีอะไรต้องห่วง”
ปวรรุจพูดลอยๆ
“แต่ถ้าพี่ชายใหญ่ไม่ตกลงปลงใจกับคุณเกษ...”
พุฒิภัทร รัชชานนท์ รณพีร์ หันมาเหล่ๆ อ้าว ย่าอ่อนหันขวับ สวนเสียงแว้ด
“แล้วทำไมชายใหญ่จะไม่ตกลงปลงใจกับหนูเกษ”
ปวรรุจอึกอักนิดๆ
“ผมก็แค่สงสัยน่ะครับ”
ย่าอ่อนมองตำหนิ
“เลิกสงสัย เพราะมันเป็นไปไม่ได้ ไม่ว่ายังไงชายใหญ่ก็ต้องเลือกหนูเกษ”
ปวรรุจก้มหน้าเงียบ ไม่โต้แย้ง พุฒิภัทร รัชชานนท์ รณพีร์ ได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ แหะๆๆ แล้วก็มองหน้ากันด้วยความหนักใจ
เกษรานอนนิ่งอยู่บนเตียง หน้าตายังครุ่นคิด ผิดหวัง ระวีรำไพเดินเข้ามา เกษราหลับตาทำเป็นนอน ระวีรำไพอยู่ในชุดเตรียมไปตลาด เดินมาเห็นเกษรานอนหันหลังให้ เธอเดินมาถามเสียงอ่อน
“ปรางจะไปซื้อกับข้าวที่ตลาด พี่เกษจะไปด้วยกันหรือเปล่าคะ”
เกษรานอนนิ่งไม่ตอบ ระวีรำไพหน้าเสีย ก่อนจะถามต่อ
“พี่เกษคะ...วันนี้พี่เกษจะกลับกรุงเทพจริงๆเหรอคะ”
เกษรานิ่งเงียบอีกไม่ตอบ ระวีรำไพเสียใจ น้ำตาปริ่มๆ ซึมๆ ทั้งเสียใจไม่เข้าใจ
“ปราง...ไปตลาดก่อนนะคะ”
ระวีรำไพเดินออกจากห้องไปด้วยความเศร้า พอเสียงประตูปิดลงเกษราค่อยๆลืมตา และลุกขึ้นนั่ง ใจอยากกลับกรุงเทพเต็มที
เอ็ดเวิร์ดอยู่ในห้องนอนส่องกระจกดูแผลที่โดนชกด้วยความหงุดหงิด
“ไอ้บ้าเอ๊ย”
เอ็ดเวิร์ดหันมาทางพรานสมที่ยืนอยู่ด้านหลัง
“เรื่องแผนที่ปราสาท 5 หลังไปถึงไหนแล้ว รู้หรือยังว่ามันอยู่ไหน ฉันให้เวลาแกอีกแค่วันเดียว ถ้าพรุ่งนี้แกยังหาไม่เจอ ฉันจะกลับกรุงเทพ ฉันจะไม่ทนอยู่กับไอ้พวกไร้วัฒนธรรมพวกนี้อีกต่อไป”
เอ็ดเวิร์ดปรากาศก้องแล้วก็เดินออกไปด้วยความหงุดหงิด
พรานสมเครียดทันที
“อีกวันเดียว...จะไปหาแผนที่มาจากไหนวะ”
พรานสมคิด...แล้วก็มองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นธราธรเดินผ่านไปพอดี เขาคิดๆ...แล้วก็ออกจากบ้านเดินตามไป
สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายธราธร ตอนที่ 6 (ต่อ)
ธราธรเดินมาที่รถ ป้าพรยืนรออยู่ ธราธรเห็นก็ยิ้ม
“ป้าพร มารอรับเบี้ยเลี้ยงล่ะสิ”
ป้าพรยิ้มแฉ่ง
“คุณชายใหญ่รู้ใจป้าที่สุด”
ธราธรเปิดกระเป๋าสะพายประจำตัว
“ผมจ่ายงวดแรกให้ก่อนนะครับ”
ธราธรหยิบเงินจากกระเป๋าออกมา แผนที่ที่เก็บไว้ในกระเป๋าติดกับธนบัตรหล่นลงที่พื้น กระดาษคลี่ออกเห็นเป็นแผนที่ชัดเจน พรานสมเดินมาเห็นพอดี ชะงึกกึก ป้าพรช่วยเก็บและถามด้วยความสงสัย
“แผนที่อะไรคะคุณชาย”
“แผนที่”
ธราธรรับมา แล้วรีบเก็บใส่กระเป๋ายิ้มๆ
“แผนที่ไซท์งานน่ะ” เขาส่งเงินให้ “นี่ครับเบี้ยเลี้ยง”
ป้าพรยกมือไหว้
“ขอบคุณนะคะ ป้าไม่กวนแล้วค่ะ”
ป้าพรยิ้มสมใจ แล้วรีบเดินชิ่งไปเลย ธราธรมองตามยิ้มๆ แล้วก็หันไปมองทางบ้านพักเล็ก รอระวีรำไพ พรานสมยืนคิดสักครู่ แววตามาดร้าย แล้วหลบออกมาก่อนจะมีคนเห็น...ระวีรำไพเดินมาจากบ้านพัก ธราธรหันไปเห็นว่ามาคนเดียวก็ถามขึ้น
“ทำไมน้องปรางมาคนเดียว น้องเกษล่ะครับ”
ระวีรำไพหน้าตาลำบากใจ
“พี่เกษ...พี่เกษบอกว่าจะกลับกรุงเทพวันนี้ค่ะ”
ระวีรำไพกับธราธรเดินคุยกันที่ตลาด...ธราธรปลอบใจ
“พี่ว่าน้องปรางอย่าเพิ่งคิดมากเลยนะครับ คนที่ทำให้น้องเกษอยากกลับ อาจเป็นพี่ชายใหญ่ก็ได้...น้องเกษอาจจะไม่พอใจที่พี่ไปละลาบละล้วงถามเรื่องส่วนตัว ไปซักไซ้ว่าชอบอะไรไม่ชอบอะไร จนทำให้น้องเกษอึดอัดไม่อยากอยู่ที่นี่ต่อ”
“ไม่หรอกค่ะพี่ชายใหญ่ เรื่องแค่นี้ ไม่น่าจะทำให้พี่เกษไม่พอใจขนาดนั้น ปรางว่า...ต้องเป็นเพราะปรางแน่ๆ พี่เกษไม่พูดกับปราง ปรางคงทำให้พี่เกษไม่พอใจ”
ระวีรำไพหน้าเศร้า ธราธรสงสาร
“ไม่เอาน่า...อย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้ เอาอย่างนี้ พี่จะลองไปคุยกับน้องเกษดู ว่ามันเกิดอะไรขึ้น และจะขอร้องให้อยู่ต่อ เพราะอีกไม่กี่วันเราก็จะกลับกันแล้ว พี่ก็ไม่อยากให้น้องเกษต้องแตกขบวนกลับคนเดียว มันอันตราย”
ระวีรำไพเห็นด้วย
“ใข่ค่ะ ปรางก็ไม่อยากให้พี่เกษกลับ ถ้าไม่มีพี่เกษปรางต้องแย่แน่ๆ”
“ไม่แย่หรอกค่ะ เพราะพี่จะให้น้องปรางกลับไปด้วย”
ระวีรำไพหน้าเหวอ
“อ้าว...ทำไมอย่างนั้นล่ะคะพี่ชายใหญ่”
“ก็ที่แคมป์มีแต่ผู้ชาย น้องปรางเป็นผู้หญิงจะอยู่คนเดียวได้ยังไง ถ้าคุณชายอาทิตย์รู้เข้า มีหวังมองหน้ากันไปติด”
ระวีรำไพจะแย้ง
“แต่...”
ธราธรสวน
“ไม่ต้องแต่...พี่จะลองคุยกับน้องเกษว่ามันเกิดอะไรขึ้น และจะพยายามเปลี่ยนใจให้อยู่ต่อ แต่ถ้าน้องเกษยืนยันที่จะกลับ น้องปรางก็อยู่ต่อไม่ได้”
ระวีรำไพเครียด คิดหนัก ธราธรเดินไปเก็บของที่หลังรถ ลับหลังระวีรำไพก็นิ่ง...คิดหนักไม่แพ้กัน
เกษรายืนคุยกับป้าพรอยู่ที่มุมหนึ่งในแคมป์ เกษราพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ผมอยู่ต่อไม่ได้จริงๆครับ”
“เกิดอะไรขึ้นล่ะพ่อหนุ่ม”
เกษราคิด ก่อนตอบ
“ผม...คิดถึงบ้าน ผมอยากกลับบ้านครับ”
“แล้วอาจารย์หม่อม กับ อาจารย์ชินกรรู้หรือยัง เดี๋ยวป้าบอกทางกลับ แต่อาจารย์ยังไม่ให้กลับ ป้าก็โดนเอ็ดแย่”
“ยังไม่ได้บอกครับ แต่อาจารย์หม่อมคงไม่ว่า ผมจะอยู่หรือจะกลับก็ไม่สำคัญ...คือมันไม่มีผลต่องานอยู่แล้ว”
ป้าพรพยักหน้ารับรู้
“ท่ารถเข้ากรุงเทพมีที่เดียว อยู่ในตลาด พ่อก้องให้อาจารย์มานิต หรือ พรานอ่อนศรีขับรถไปส่งที่ตลาดก็ได้”
“แล้วถ้าผมจะนั่งรถโดยสารไปเอง...ไปยังไงครับ”
“ตั้งแต่หกโมงเช้า จะมีรถแดงผ่านหน้าแคมป์ทุกๆสองชั่วโมง นั่งรถแดงไปลงที่ตลาด แล้วก็ถามคนแถวนั้นว่าท่ารถเข้ากรุงเทพอยู่ตรงไหน”
เกษราพยักหน้ารับทราบ ทันใดนั้นก็มีเสียงชินกรดังขึ้น
“ใครจะไปกรุงเทพ”
ป้าพรสะดุ้ง ตายละวา...เกษราชะงักแต่ยังนิ่ง
“ป้าไปทำความสะอาดบ้านพักก่อนนะ”
พูดจบป้าพรก็แล้วเดินเลี่ยงไปเลย ชินกรเดินมาหยุดข้างหน้าเกษรา
“ก้อง...เกิดอะไรขึ้น”
เกษราอึกอักลำบากใจ
แทนคุยกับเอ็ดเวิร์ดในบ้านพักหลังใหญ่ แทนกระฟัดกระเฟียดด้วยความหงุดหงิด โวยวายอย่างไม่พอใจ
“อาจารย์ชินกรทำแบบนี้ได้ยังไง ป่าเถื่อนเกินไป รู้ถึงไหนอายถึงนั่น”
“ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องโกรธขนาดนั้น ผมแค่ใช้ให้เด็กนั่นไปตามรถมารับ เขาก็มาชกผม ถ้ารู้ว่าคนที่นี่ไม่มีน้ำใจ ขอความช่วยเหลืออะไรไม่ได้ ผมคงไม่มาร่วมคณะด้วย”
แทนรีบบอก
“ไม่นะครับท่าน จริงๆเราไม่ได้เป็นคนแบบนั้น ทุกครั้งที่มาออกภาคสนาม ทุกคนให้ความร่วมมือและช่วยเหลือกันอย่างดี ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ทำไมคณะนี้ถึงได้มีแต่ปัญหา ทั้งคุณชายธราธร ทั้งอาจารย์ชินกรทำตัวไม่สมกับเป็นผู้ใหญ่”
แทนคิดเครียด เดือดร้อน จริงจัง
“มิสเตอร์เอ็ดเวิร์ดไม่ต้องห่วง ผมไม่ยอมให้ความป่าเถื่อนมาทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศไทยต้องเสียหาย อาจารย์ชินกรจะต้องรับผิดชอบ”
แทนทั้งแค้นทั้งเสียหน้า ในฐานะข้าราชการไทย เอ็ดเวิร์ดรกระหยิ่มสาแก่ใจนัก
ชินกรคุยกับเกษราอยู่ที่เดิม
“ที่นายอยากกลับกรุงเทพเพราะเรื่องมิสเตอร์เอ็ดเวิร์ดที่เกิดขึ้นเมื่อวาน หรือว่า...เรื่องอาจารย์หม่อมกับตะวัน”
เกษราชะงักนิดๆ ชินกรเห็นพอดี พอจะเดาว่าเป็นอันหลัง
“นายเดือดร้อนแทนคุณเกษใช่มั้ย”
เกษราสะอึกหนักเข้าไปอีก ชินกรรู้เลยว่าใช่ เขาพยายามจะปลอบใจ
“ก้อง...ฉันไม่อยากให้นายด่วนสรุปจากสิ่งที่เห็น เพราะสิ่งที่เราเห็น มันอาจจะไม่ได้เป็นความจริงก็ได้”
เกษราชะงักนิดๆ ชินกรพยายามต่อ
“อะ ยกตัวอย่าง...อยู่ๆนายก็โผล่มาร่วมคณะ แล้วก็บอกว่าตัวเองเป็นลูกพี่ลูกน้องกับคุณเกษ ทั้งๆที่ฉันไม่เคยรู้ว่าคุณเกษมีลูกพี่ลูกน้องอยู่ในมหาวิทยาลัยมาก่อน...นายก็อาจจะไม่ได้เป็นลูกพี่ลูกน้องกับคุณเกษจริงๆก็ได้ ใครจะไปรู้”
เกษรามองหน้าชินกรแล้วก็อมยิ้มนิดๆ ใช่ ใครจะไปรู้ ชินกรเห็นเกษรายิ้มก็ยิ้มตาม
“ยิ้มแบบนี้ แสดงว่าสบายใจขึ้นแล้วใช่มั้ย...ถ้าสบายใจขึ้นก็เลิกคิดเรื่องที่จะกลับกรุงเทพได้แล้ว อยู่ต่ออีกแค่ไม่กี่วัน จะได้กลับพร้อมกัน”
เกษราก็ยังไม่ตอบ แต่แค่คลายความเครียดบึ้งลง ชินกรมองหน้าเกษราแล้วก็พูดออกมาลอยๆ
“นายนี่...ยิ่งดูยิ่งเหมือนคุณเกษจริงๆ โดยเฉพาะตอนยิ้ม เหมือนอย่างไม่น่าเชื่อ”
ชินกรมองแล้วก็ยิ้ม...แอบเคลิ้ม เกษราชะงักนิดๆ มองหน้าชินกรที่เคลิ้มยิ้มพริ้มอยู่แล้วก็อึ้ง...เฮ้ย
ทำไมใจเต้นแรง ทันใดนั้นเสียงอ่อนศรีก็ดังขึ้น
“อาจารย์ชินกรครับ อาจารย์ชินกร”
ทั้งสองคนหันไปตามเสียง อ่อนศรีวิ่งกระหืดกระหอบมา
“อาจารย์หม่อมอาทิตย์เชิญไปพบครับ...นายก้องด้วยนะ คุณชายอยากพบทั้งสองคนด่วนครับ”
ชินกรกับเกษราชะงัก...ชินกรแปลกใจ เกษราหนักไปทางกังวลใจ
รถธราธรแล่นเข้ามาจอด ระวีรำไพกับธราธรยังไม่ลงจากรถดี มานิตก็วิ่งมาตาม
“คุณชายใหญ่ครับ คุณชายใหญ่”
ธราธรหันไปตามเสียง มานิตวิ่งมาหยุดหอบ
“อาจารย์หม่อมอาทิตย์ให้มาเชิญไปพบครับ”
ธราธรขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ ระวีรำไพสงสัยไม่น้อยไปกว่ากัน
เอ็ดเวิร์ดนั่งเชิดหน้า โชว์แผลอย่างน่าหมั่นไส้ แทนโวยวายเรียกร้องเสียงดัง
“อาจารย์ชินกรต้องรับผิดชอบ”
ทั้งสองคนยืนเผชิญหน้ากับชินกร ที่ยืนอยู่คู่กับธราธร เกษรายืนหลบอยู่ข้างหลัง อาทิตย์นั่งอยู่ตรง
กลาง อ่อนศรีประกบหลังห่างออกไปเล็กน้อย ชินกรมองหน้าเอ็ดเวิร์ด
“คุณ ก็ต้องรับผิดชอบที่พูดจาไม่ดี และกระชากแขนก้องเกียริต์อย่างรุนแรงเหมือนกัน”
เกษรมองหน้าชินกร...อึ้ง เอ็ดเวิร์ดสวน
“ฉันไม่ได้พูดไม่ดี ฉันแค่พูดเสียงดัง เพราะฉันเรียก แต่เด็กคนนี้เดินหนีอย่างไม่มีมารยาท และฉันก็ไม่ได้กระชากแขน แค่จับแขนเบาๆให้หันกลับมาคุยกันให้รู้เรื่อง แต่คุณเองต่างหากที่ โอเว่อร์รีแอค ทำเกินกว่าเหตุ จนผมชักจะสงสัยว่าเด็กคนนี้มีอะไรพิเศษ ผมถึงแตะต้องไม่ได้”
เกษราหน้าเสีย ชินกรอ้าปากจะเถียงต่อ ธราธรช่วยเสริม
“ไม่ว่านักศึกษาคนไหนคุณก็แตะต้องไม่ได้ทั้งนั้น”
เอ็ดเวิร์ดหันขวับมามอง ธราธรพูดต่อ
“ผมบอกหลายครั้งแล้ว นักศึกษาทุกคนมาที่นี่เพื่อศึกษาหาความรู้ ไม่ได้มาดูแลหรือรับใช้ใคร เมื่อวานคุณใช้ตะวันไปตักน้ำจากลำธาร เอาน้ำมาต้ม แล้วยังจะบังคับให้ถูหลัง ผมไม่โอเว่อร์รีแอค แต่ผมคิดว่าคุณเรียกร้องจากพวกเรามากเกินไป”
ทุกคนอึ้ง นึกไม่ถึง แม้แต่แทนก็ยังอึ้งๆ เกษราฟังแล้วก็คิดกับสิ่งที่เอ็ดเวิร์ดใช้ระวีรำไพ อ่อนศรีรำพึงออกมา
“โห...ใช้ยังกะทาส”
เอ็ดเวิร์ดเชิด
“ก็คุณแทนบอกว่า ผมสามารถใช้งานเด็กคนนี้ได้ เขามีหน้าที่ดูแลผม หรือว่าไม่จริง”
แทนปั้นหน้าไม่ถูก เอ็ดเวิร์ดได้ทีพูดต่อ
“ผมทำงานกับหลายประเทศ ไม่เคยเจอที่ไหน ไร้มาตรฐานเหมือนที่นี่...และผมก็คงไม่คิดจะให้ทุนกับกลุ่มคนที่เต็มไปด้วยความป่าเถื่อนแบบนี้”
แทนหน้าเสีย
“มิสเตอร์เอ็ดเวิร์ดครับ ใจเย็นๆครับ...คุณชายอาทิตย์ครับ ช่วยตัดสินคดีหน่อยครับ...นะครับคุณชาย”
เอ็ดเวิร์ดแทรก
“ที่จริง ตัดสินไม่เห็นยาก ใครผิด ใครถูก...ก็เห็นๆกันอยู่ อยู่”
เอ็ดเวิร์ดเจ็บปากอย่างเสแร้ง อาทิตยรังสีหันมามองทางเกษราที่ก้มหน้าจ๋อย ชินกรเห็นกำลังจะอ้าปากพูด ธราธรพูดขึ้นก่อนโดยไม่ได้ตั้งใจปาดหน้า
“ผมรับผิดเองครับ”
เกษราเงยหน้ามองธราธร ชินกรอึ้งหันไปมองธราธรแปลกใจแกมเสียดาย
“ที่จริงก้องเกียรติไม่ใช่นักศึกษาในคณะเรา แต่ที่ได้มาเพราะผมเป็นคนรับรอง ถือว่าผมเป็นผู้ปกครอง ผมขอรับผิดชอบทุกอย่าง” ธราธรมองหน้าเอ็ดเวิร์ด “เพื่อให้เรื่องนี้จบ คุณต้องการให้ผมทำอะไร บอกมาเลย”
เอ็ดเวิร์ดเชิด ยิ้มกริ่มพอใ จ
ระวีรำไพยืนชะเง้ออยู่ที่รถ มีอุดม มานะ ปิติ รออยู่บนรถ อุดมมองจับผิด
“ไอ้ตะวัน มันมองหาอะไรวะ มองหาอาจารย์หม่อมแน่ๆ”
อุดมมองจับผิดสุดๆ...ระวีรำไพยังชะเง้อมองหาทั้งธราธร และ เกษราด้วยความร้อนใจ
บรรยากาศในห้องทำงานอาทิตยรังสีตึงเครียด ธราธรยืนรอฟังคำตอบ เกษรามองธราธรด้วยความประทับใจ ชินกรมองธราธรแอบเสียดาย และรู้สึกไม่ดีที่ทำให้ธราธรเดือดร้อน แทนรีบเคลียร์
“อาจารย์หม่อมยอมรับผิดแล้ว จะให้ทำอะไรก็บอกมาเลยครับ”
เอ็ดเวิร์ดอ้าปากจะตอบ อาทิตยรังสีพูดสวนออกมา
“ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น...เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของใครคนใดคนหนึ่ง แต่มันเป็น ความเข้าใจผิดของพวกเราทุกคน”
เอ็ดเวิร์ดงง
“อะไรคือความเข้าใจผิด ผมไม่เข้าใจ”
“ก็คุณเข้าใจผิดคิดว่าเราจะต้องดูแลคุณ ส่วนพวกเราก็เข้าใจผิด...คิดว่าการดูแลคุณไม่ดี คือความผิด ทั้งที่จริงแล้ว...เรามาทำงาน ไม่ได้มีหน้าที่ดูแลต้อนรับใคร ไม่ว่าเขาจะมีเงินมากแค่ไหนก็ตาม”
เอ็ดเวิร์ดชักสีหน้า แทนหน้าเสีย ธราธร ชินกร อ่อนศรี ยิ้มพอใจ อาทิตยรังสีพูดต่อ
“เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง ขอให้พวกคุณทุกคน” อาทิตยรังสีหันมาทำเป็นดุฟากธราธร “กลับไปทำงานของตัวเอง ห้ามเอาเวลางานไปดูแลคนอื่นเด็ดขาด”
ธราธร ชินกร เกษราทำเสียงเข้มแต่ยิ้มๆ
“ครับ”
“ส่วน...เธอ”
เกษราชะงักตกใจ
“กับอาจารย์ชินกรก็ขอโทษมิสเตอร์เอ็ดเวิร์ดซะที่ไม่ได้ยินที่เขาเรียก ทำให้เขาต้องส่งเสียงดังและมากระชากแขนจนชินกรต้องเข้ามาช่วย จนเป็นเรื่องชกต่อยกัน”
ชินกรกับเกษรามองแล้วก็ยอมขอโทษแต่โดยดี
“ขอโทษครับ”
เอ็ดเวิร์ดเชิดหน้าไม่พอใจอย่างแรง อาทิตยรังสีพูดต่อ
“สำหรับมิสเตอร์เอ็ดเวิร์ด...ทางเราต้องขอโทษด้วย ครั้งหน้าถ้าคุณร่วมเดินทางมาอีก เราจะจัดงบพิเศษ และหาคนคอยดูแลอย่างดี”
แทนพยักหน้าเห็นด้วย
“ใช่ๆ อันนี้ผมเห็นด้วย”
อาทิตยรังสีพูดต่อ
“สำหรับครั้งนี้ถ้าคุณต้องการอะไร ก็บอกคุณแทนได้เลย เพราะเขาเป็นคนเดียวในคณะที่มีหน้าที่ดูแลคุณ”
“ใช่ๆอันนี้ผม...” แล้วแทนก็ชะงักกึก “หะ ผมไม่เห็นด้วย คุณชายจะให้ผมไปตักน้ำ ต้มน้ำ ถูหลังให้มิสเตอร์เอ็ดเวิร์ดเนี่ยนะครับ...ผมทำไม่ได้”
เอ็ดเวิร์ดสวน
“พอได้แล้ว”
แทนเงียบ เอ็ดเวิร์ดหันมาทางอาทิตยรังสี ชินกร และธราธร
“พวกคุณทำให้ผมผิดหวังอย่างมาก นอกจากจะไม่มีการร่วมเดินทางครั้งต่อไปแล้ว ผมขอแยกจากคณะและเดินทางกลับกรุงเทพในวันพรุ่งนี้”
เอ็ดเวิร์ดประกาศก้อง และเดินออกไป แทนรีบวิ่งตามไปทันที
“มิสเตอร์เอ็ดเวิร์ดเดี๋ยวก่อนครับ ใจเย็นๆนะครับ มิสเตอร์เอ็ดเวิร์ด”
อาทิตยรังสีส่ายหน้าเอือมระอา เกษรายกมือไหว้
“ขอบพระคุณอาจารย์หม่อมอาทิตย์มากครับ...ผมไปนะครับ”
เกษรามองหน้าธราธรอีกทีก่อนจะเดินไป ธราธรและชินกรจะเดินตามไป อาทิตยรังสีเรียกไว้
“คุณชายใหญ่ อาจารย์ชินกร กรุณาอยู่สักครู่ ผมมีเรื่องจะปรึกษา”
ทั้งสองคนชะงักหยุดเดินออกไป อาทิตยรังสีพยักหน้า อ่อนศรีเดินไปที่ประตูมองซ้ายมองขวาแล้วปิดอย่างระมัดระวัง
ระวีรำไพยังยืนอยู่ที่เดิมกับกลุ่ม มานิตเดินมาพอดี
“อ้าว พร้อมกันหรือยัง ครูจะได้ไปส่งที่ไซท์งาน”
อุดม มานะ ปิติหันมาบอก
“พร้อมครับ”
ระวีรำไพรีบบอก
“ผมยังไม่พร้อมครับ”
ทุกคนหันมา
“อาจารย์ไปส่งเพื่อนๆก่อนก็ได้ครับ ผมขอไปรอบหลังนะครับ”
ระวีรำไพพูดจบก็รีบเดินไปเลย อุดมมองตาม
“ไอ้ตะวัน มันไปหาอาจารย์หม่อมแน่นอน”
อุดมกระซิบกระซาบแอบฟันธงอย่างสาระแน
ธราธรนั่งคุยกับอาทิตย์อยู่ในห้องทำงาน ข้างๆเป็นชินกร อ่อนศรียืนอยู่หน้าประตู
“ถ้าผมขอให้คุณชายใหญ่ กับอาจารย์ชินกร เริ่มออกสำรวจปราสาท 5 หลังในวันมะรืนนี้ ไม่ทราบว่าจะพร้อมกันหรือเปล่า”
สองคนหันมามองหน้ากัน แล้วก็ส่งสัญญาณทางสายตาว่าพร้อม ก่อนจะหันมาตอบ
“พร้อมครับ”
“ถ้าพร้อมก็ไปกันได้เลย ผมมีลางสังหรณ์ว่าถ้าช้าไปกว่านี้อาจจะไม่ทันการณ์”
ธราธรรับคำ
“ได้ครับ...ผมเองก็กังวลใจอยู่เหมือนกัน”
“ผมจะให้อ่อนศรีเป็นคนนำทางไป”
อ่อนศรียิ้มรับด้วยความยินดี ชินกรหันไปถามอ่อนศรี
“เราจะใช้เวลาเดินทางประมาณกี่วันครับ ผมจะได้จัดของไปถูก”
“เดินเท้าในป่าไปประมาณ 2 วันครับ”
ธราธรกับชินกรพยักหน้ารับ
“เรื่องงานที่แคมป์ไม่ต้องห่วง พรุ่งนี้มิสเตอร์เอ็ดเวิร์ดจะเดินทางเข้ากรุงเทพ ที่นี่ก็คงไม่มีเรื่องวุ่นวายอะไรแล้ว ผมจะดูแลนักศึกษาให้เอง”
อาทิตยรังสี สรุปด้วยรอยยิ้ม ธราธรแอบหวั่นใจลึกๆ
ระวีรำไพเปิดประตูห้องนอนเข้ามาโผล่หน้ามาเรียกเบาๆ
“พี่เกษ”
ในห้องว่างเปล่าไม่มีคน ระวีรำไพผิดหวังกำลังจะหันหลังเดินออก แล้วเอะใจหันกลับมามองที่โต๊ะวาง
ของของเกษรา ระวีรำไพเพ่งอีกทีเห็นที่โต๊ะว่างเปล่า เธอรีบเดินเข้าเปิดตู้พบกับความว่างเปล่าอีก ระวีรำไพชอค
“พี่เกษ”
ระวีรำไพรีบวิ่งออกไปทันที...ระวีรำไพวิ่งพรวดออกมาหน้าบ้านพัก หน้าตาเลิ่กลั่ก ธราธร กับชินกรเดินมาพอดี ระวีรำไพรีบตะโกนบอก
“อะ...อาจารย์หม่อมครับ พี่...พี่ก้อง...พี่ก้องไปแล้วครับ เก็บของไปหมดเลยครับ”
ธราธรตกใจ กำลังจะอ้าปากพูด ชินกรตกใจกว่าและพูดก่อน
“จริงเหรอ แล้วก้องไปไหน อย่าบอกว่านะว่ากลับกรุงเทพไปแล้ว”
ธราธรชะงักนิดๆ หันขวับมาทางชินกรมองด้วยความแปลกใจกับอาการร้อนอกร้อนใจ ชินกรรู้ตัว ลดความร้อนใจลง
“เอ่อ...คือ ผมได้ยินตอนนายก้องถามป้าพรเรื่องท่ารถเข้ากรุงเทพน่ะครับ”
ธราธรคิดๆ
“คงจะยังไปได้ไม่ไกล”
ธราธรพูดจบก็รีบเดินไปทันที ชินกรกับระวีรำไพมองตามเลิ่กลั่กด้วยความงุนงง แล้วก็รีบเดินตามไป
มานิตขับรถเข้ามาจอดหน้าแคมป์ ธราธรวิ่งมาถึงพอดี มานิตลงจากรถมาเห็นก็ถามขึ้น
“คุณชายใหญ่จะไปที่ไซท์เลยหรือเปล่าครับ”
“ยังครับ แต่ผมขอใช้รถหน่อยนะครับ”
มานิตยังไม่ทันตอบ ธราธรก็รีบขึ้นรถ หยิบแว่นดำออกจากกระเป๋ามาใส่และขับไปเลย มานิตยืนมองงงๆ ระวีรำไพกับชินกรวิ่งตามมาแต่ไม่ทัน ทั้งสองคนได้แต่ยืนมองหอบแฮ่ก มานิตหันมาถามสองคน
“คุณชายใหญ่จะรีบไปไหนเหรอครับ”
เกษรายืนอยู่ริมถนนห่างออกไปจากหน้าแคมป์ยืนชะเง้อรอรถ ด้วยความเศร้าๆ รถโดยสายประจำทางสีแดงวิ่งมา เกษรายิ่งใจหาย หันมาหยิบกระเป๋าเตรียมจะไป พอหันหน้ากลับมาอีกที กลายเป็นรถของแคมป์กำลังขับแซงนำมา และปาดเข้ามาจอดเอี๊ยดที่หน้าของเธอ เกษรายืนอึ้ง ธราธรลงมาจากรถ
“พี่ชายใหญ่...”
ธราธรถอดแว่นดำออก
“จะไปไหน ทำไมไม่บอกพี่ก่อน”
เกษราหลบๆตา
“เกษคิดว่าพี่ชายไม่สนใจอยากจะรู้”
ธราธรส่ายหน้า
“พี่ไม่ให้กลับ”
ธราธรไม่สนใจคำตอบ หยิบกระเป๋าเกษราขึ้นรถไปเลย
“พี่ชายใหญ่...พี่ชายใหญ่”
ธราธรหันมาเสียงเข้ม แต่ยังอบอุ่นอยู่
“ขึ้นรถค่ะ”
เกษราลังเล
“เอ่อ...”
ธราธรเดินมาลากแขนพาขึ้นมานั่งรถเลย ปิดประตู แล้วก็พูดเสียงขรึม แกมห่วงใย
“อย่าดื้อนะคะ”
เกษรามองหน้าธราธร แล้วอายอย่างแรง เขินขึ้นมาซะงั้น ไม่รู้ทำไม เธอพยักหน้ากลั้นยิ้มไว้ อยู่ๆก็ยอม ธราธรเดินกลับมาประจำที่คนขับ เกษรานั่งใจเต้นแปลกๆ ที่ได้รับความสนใจจากเขา
ระวีรำไพยืนอยู่ที่หน้าแคมป์ด้วยความร้อนใจ เดินไปเดินมา แล้วก็ชะงัก เพราะข้างๆเห็นชินกรเดินไปมาดูเหมือนจะร้อนใจกว่า ระวีรำไพมองท่าทางของชินกรแล้วก็งง ชินกรรู้สึกตัวก็พูดแก้เก้อ
“ทำไมอาจารย์หม่อมไปนานจัง ฉันจะรีบไปทำงานที่ปราสาทน่ะ...งานเหลืออีกเยอะซะด้วย เมื่อไหร่จะมาสักทีนะ”
ชินกรเอางานมาอ้าง ทั้งที่ในใจคิดเป็นห่วงเกษรา ระวีรำไพฟังแล้วก็เชื่อ ชะเง้อมองต่อ ชินกรเป่าปาก...โล่งอกที่เชื่อ
ธราธรจอดรถอยู่ที่มุมหนึ่งข้างทางค่อนข้างสงบ ธราธรยืนคุยกับเกษรา
“น้องเกษบอกพี่ได้มั้ย ทำไมถึงอยากกลับกรุงเทพก่อนกำหนด”
เขาวางมือลงบนไหล่ทั้งสองข้างของเธอพร้อมกับมองหน้า
“ถ้าน้องเกษมีเรื่องไม่สบายใจ บอกพี่ได้นะ”
เกษราอึกอักๆ ไม่กล้าตอบ ไม่กล้ามองหน้าเขา
“ถ้าเป็นเรื่องมิสเตอร์เอ็ดเวิร์ด พรุ่งนี้เขาก็จะไปแล้ว ไม่ต้องกังวลนะ”
เกษราตัดสินใจตอบ
“ไม่ใช่เรื่องนั้นค่ะ”
ธราธรมองตารอคำตอบ...เกษรามองลึกเข้าไป แล้วก็พูดออกมา
“เกษ...แค่ไม่สบายใจนิดหน่อย เกษรู้สึกว่าตัวเองเป็นตัวปัญหา ไม่มีความอดทนไม่มีความมั่นใจ ไม่เหมือนน้องปราง”
ธราธรเลิกคิ้วแปลกใจ เกษราพูดต่อ
“เกษอยากเป็นเหมือนเธอ กล้าแสดงออก กล้าตัดสินใจ พี่ชายคงจะชอบ...ชอบผู้หญิงที่มีนิสัยเหมือนน้องปราง”
เกษราพูดออกมาตรงๆ
ระวีรำไพจามอย่างแรง ชินกรหันมา
“เป็นอะไรตะวัน จามเสียงดังเชียว เป็นหวัดหรือเปล่า หรือไม่ก็คงจะโดนนินทาอยู่ ฮึๆๆ”
ชินกรพูดกลั้วเสียงหัวเราะ ระวีรำไพยิ้มแห้งๆรับแล้วก็หันไปชะเง้อมองหาเกษราต่อ
ธราธรถึงกับขำออกมาเบาๆ ปล่อยมือจากไหล่เกษรา
“พี่เนี่ยนะ ชอบผู้หญิงแบบน้องปราง...วันๆเอาแต่เล่นซน พูดอะไรก็ไม่ฟัง ทั้งเถียง ทั้งดื้อ หาเรื่องปวดหัวมาให้ไม่เว้นแต่ละวัน ดุนิด ดุหน่อย ก็ร้องไห้ พี่ต้องคอยปลอบทุกที เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็กๆแล้ว ไม่ยอมโตสักที ปีหน้าจะไปเรียนต่ออังกฤษก็คงจะโตขึ้นมาบ้าง”
เกษรายังไม่ยอม
“แต่เธอก็ดีกว่าเกษทุกอย่าง ได้เรียนสูงๆ ได้ไปเรียนไกลถึงอังกฤษ ถึงเธอจะเป็นเด็กในสายตาพี่ชายใหญ่ แต่เธอก็เก่งกว่าเกษ”
ธราธรยิ้ม
“ทำไมคิดแบบนั้น...น้องเกษเป็นผู้หญิงที่แกร่งมาก แม้ภายนอกจะดูบอบบาง แต่ทำงานโอบอุ้มคนทั้งครอบครัว จะมีใครสักกี่คนที่ทำได้ น้องเกษเป็นแม่บ้านแม่เรือน อ่อนหวาน เป็นกุลสตรีขนานแท้”
เกษราฟังด้วยความดีใจในคำพูดของธราธร ความน้อยใจค่อยๆลดลง
“ส่วนน้องปราง เป็นเด็กที่ไม่ต้องรับผิดชอบอะไร พ่อแม่รักทะนุถนอม จนบางครั้งก็ขี้งอน เพราะไม่ได้ดั่งใจ แต่ก็ฉลาด สดใส เป็นสาวสมัยใหม่...ผู้หญิงสองคนเทียบกันไม่ได้ ถ้าเปรียบเป็นดอกไม้ ก็ต่างชนิดกันอย่างสิ้นเชิง...แต่ก็งามด้วยกันทั้งคู่”
เกษราอมยิ้มนิดๆ กับคำตอบ
“เพราะฉะนั้นไม่ต้องคิดเปรียบเทียบแบบนั้นอีกนะ รกสมองเปล่าๆ รู้มั้ยคะ”
เกษราพยักหน้ายิ้มๆ เบาใจ ธราธรถามต่อ
“และพี่ขอยืนยันว่า...น้องเกษไม่ใช่ตัวปัญหาอย่างแน่นอน...รู้แบบนี้แล้วยังจะอยากกลับกรุงเทพอีกหรือเปล่า”
เกษราเริ่มลังเล แล้วก็ตัดสินใจ
“เกษไม่กลับแล้วค่ะ เกษจะพยายามปรับตัวอยู่ต่อให้ได้ และกลับพร้อมพี่ชายใหญ่นะคะ”
ธราธรยิ้มรับ
“พี่รู้ว่าน้องเกษของพี่เก่ง เพียงแต่ต้องเรียนรู้ที่จะอดทน และมั่นใจในตัวเองให้มากกว่านี้”
เกษรารับคำ
“ค่ะ เกษจะพยายามมั่นใจ เชื่อพี่ชายใหญ่ ไม่หูเบาเชื่อคำคนอื่น”
ธราธรเอื้อมมือมาจับมือเกษรากุมไว้อย่างอ่อนโยน
“ดีแล้ว ใช้วันที่เหลือให้คุ้มค่าที่สุด คงไม่มีครั้งไหนที่น้องเกษจะได้ผจญภัยได้มากมายเท่าครั้งนี้”
ธราธรพูดสรุปอย่างน่ารัก เกษรายิ้มรับและมองมือเขาที่จับมือตัวเอง...อมยิ้ม แล้วก็เงยหน้าขึ้นมามองหน้าธราธร ในวูบนั้นเอง หน้าของชินกรดันแว่บโผล่เข้ามาในความคิดของเธอและภาพตอนที่เธอกอดกับชินกรก็วูบผ่านเข้ามาในความคิด เกษราหน้าเสีย...เฮ้ย เราไปคิดได้ยังไง ธราธรยิ้มอบอุ่น อย่างไม่รู้เรื่องในใจแอบโล่งอกที่เกษรายอมอยู่ต่อ เพราะรับปากระวีรำไพไว้...รอยแยกเล็กๆของคู่นี้เริ่มปรากฎชัดขึ้นโดยที่เจ้าตัวเองก็ไม่ทันสังเกต
โปรดติดตามอ่านต่อ ตอนที่ 7