สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายธราธร ตอนที่ 5
ในห้องนอน ระวีรำไพกระชากวิกออกอย่างหงุดหงิด วิกร่วงลงพื้นหายไป เธอคันหัวคะเยอ
“คิดแล้วยังโกรธไม่หาย พวกฝรั่งดั้งขอ คิดว่าเงินตัวเองใหญ่ จะสั่งให้ใครทำอะไรก็ได้ โอ้ย...ทั้งโกรธทั้งคัน”
ระวีรำไพเกาแกรกๆกระแทกตัวนั่งลงบนเตียง เกษรายืนมองแล้วก็ส่ายหน้า
“แต่น้องมะปรางก็ต้องระวังตัวด้วยนะคะ พวกนั้นเขาคิดว่าเราเป็นผู้ชาย ไปแข็งข้อใส่ เขาอาจจะใช้กำลังทำร้ายเราได้”
“ปรางไม่กลัวหรอกค่ะ มีพี่ชายใหญ่อยู่ทั้งคน พี่ชายใหญ่ต้องช่วยปรางอยู่แล้ว”
ระวีรำไพพูดด้วยความมั่นใจ ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูดังขึ้น สองสาวตกใจ ระวีรำไพพูดเบาๆ ด้วยความตะหนก
“วิกๆๆ ว้าย...วิกอยู่ไหน”
เธอมุดหาจ้าหล่ะหวั่น เกษราช่วยมุดหา เสียงเคาะประตูยังดังอยู่ สองสาวหาวิกกันใหญ่ เกษราเห็นตกอยู่ที่พื้นรีบเก็บส่งให้
“อยู่นี่ค่ะ”
ระวีรำไพเงยหน้าจากพื้น รีบรับมา
“ขอบคุณค่ะ”
ระวีรำไพรีบรวบผมสวมวิกอย่างรวดเร็ว เสียงเคาะประตูดังต่อเนื่อง เกษรารีบเดินมาเปิดประตู พอเปิดปุ๊บ ระวีรำไพก็ใส่วิกเสร็จพอดี ประตูเปิดออก เห็นธราธรยืนอยู่ เกษราชะงัก
“พี่ชายใหญ่”
ระวีรำไพหันมา
“โธ่...พี่ชายใหญ่ ทำไมไม่ยอมส่งเสียงคะ ปรางนึกว่าคนอื่น ปรางตกใจหมดเลย เฮ่อ”
“หายตกใจแล้วก็รีบออกมาคุยกับพี่ เดี๋ยวนี้เลย”
ธราธรทำเสียงเข้มจริงจังมาก ระวีรำไพอึ้งๆไป...ท่าทางจะไม่ค่อยดี เกษราสะดุ้งนิดๆ ไม่เคยเห็นธราธรเข้ม เธอมองเขาแล้วก็หันมามองระวีรำไพ จะเป็นอะไรมั้ยนะ
ระวีรำไพออกมาหาธราธรที่ระเบียงหน้าบ้านพัก ธราธรหันมาดุ ระวีรำไพที่ยืนหน้าจ๋อยๆ แอบทำตาอ้อนๆ สำนึกผิด
“เรื่องมิสเตอร์เอ็ดเวิร์ด...ทำไมถึงทำอะไรหุนหันพลันแล่นแบบนี้ ถ้าพี่ไปห้ามไม่ทันจะทำยังไง”
ระวีรำไพยกมือไหว้ จ๋อยนิดๆ
“ปรางขอโทษค่ะ...แต่ มันทนไม่ได้จริงๆ ก็นายฝรั่งคนนั้นเขาทำร้ายคุณลุงพรานอ่อนศรี แล้วก็เมาโวยวาย ลูกน้องก็อันธพาลพอกัน ปรางเห็นแล้วทนอยู่เฉยๆไม่ได้ค่ะ พี่ชายใหญ่...อย่าโกรธปรางเลยนะคะ”
เธออ้อนเหมือนเด็กๆ เขามองแล้วส่ายหน้า
“เราเนี่ยจริงๆเลย...ทำผิดทุกครั้ง ก็ต้องมาทำหน้าแบบนี้ทุกที”
ระวีรำไพยิ้ม สำเร็จ ธราธรบ่นต่อ
“แบบนี้เขาเรียกว่า ดื้อตาใส ดื้อแล้วไม่ยอมรับ ทั้งเรื่องแอบเข้าไปในป่า ทะเลาะกับมิสเตอร์เอ็ดเวิร์ด แล้วยังแอบมีความรักโดยไม่บอกพี่อีก”
ระวีรำไพอึ้งๆ
“ไม่เกี่ยวกันมั้งคะพี่ชายใหญ่”
“เกี่ยวสิ...พี่ต้องรับผิดชอบชีวิตเราตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่ เพราะฉะนั้น ต้องบอกพี่ทุกอย่าง และก็อย่ามาทำเป็น ดื้อตาใส อีกรู้หรือเปล่า”
ธราธรโยกหัวระวีรำไพด้วยความเอ็นดู แกมหมั่นเขี้ยว ระวีรำไพหัวสั่นหัวคลอนไปมา
“โอ้ย...”
ธราธรแกล้งโยกหัวเธอไปมาแล้วก็ยิ้มสดใสด้วยความเอ็นดู ทันใดนั้น ชินกรก็เดินโผล่พรวดเข้ามาในบ้าน แล้วก็เห็นภาพธราธรกำลังหยอกล้อกับระวีรำไพพอดี ชินกรชะงัก ผงะกับภาพ...อาจารย์หม่อมหยอกล้อกับไอ้ตะวัน...
เกษราเดินไปเดินมาอยู่ในห้อง กังวลว่าระวีรำไพจะโดนดุหรือเปล่า...ทางด้านชินกรหน้าซีดทำไงดี กลัวว่าธราธรจะรู้ว่าตัวเองเห็น เขาเลิ่กลั่กเหรอหรา แล้วก็ทำเป็นเดินถอยหลังกลับลงไปประมาณ 5-6 ก้าว จนมาหลบเข้ามุม แล้วก็ทำเป็นเดินเข้ามาใหม่ พร้อมกับส่งเสียง
“เฮ่อ...อากาศร้อนจังเลย”
ชินกรแกล้งทำเป็นว่าเพิ่งเดินมาถึง ธราธรกับระวีรำไพได้ยินเสียงก็รีบเอามือออก ระวีรำไพตกใจนิดๆ รีบก้มหน้างุด ธราธรรีบทำหน้าขรึม ชินกรแกล้งทำเป็นเพิ่งเงยหน้าขึ้นมาเห็น
“อ้าว...คุณชายใหญ่ มายืนทำอะไรอยู่ตรงนี้ครับ ตะวันยังไม่นอนอีกเหรอ”
“คือ...ผมสั่งงานตะวันนิดหน่อยครับ”
ชินกร ชะงักเกิดคำถามในใจ แต่ก็ฝืนยิ้มเชื่อ
“งั้นก็ตามสบายนะครับ ผมไปอาบน้ำก่อน ร้อนเหลือเกิน ขอตัวนะครับ”
ชินกรรีบเดินเลี่ยงเข้าไปเลย ธราธรกับระวีรำไพมองตามไปด้วยความแปลกใจ
“อาจารย์ชินกรท่าทางแปลกนะคะ”
ระวีรำไพพูดขึ้นมาโดยไม่รู้เลยว่าตัวเองก็แปลกในสายตาชินกรเช่นกัน
ชินกรรีบเดินพรวดเข้ามาในห้องนอน แล้วปิดประตูอย่างเร็ว เขายืนอึ้งอยู่ที่หลังประตู ภาพตอนธราธรจับหัวระวีรำไพโยกด้วยความเอ็นดู แว่บเข้ามาพร้อมกับคำพูดของอุดมและพรรคพวก
“อาจารย์หม่อมชอบได้ตะวัน...ข้าจับตาดูมาตั้งแต่วันแรกที่มาถึงแล้วเว้ย อาจารย์หม่อมมองไอ้ตะวันไม่วางตา ที่สำคัญ ข้าเคยแอบเห็นอาจารย์หม่อมลูบหัวไอ้ตะวันด้วยนะเว้ย”
ชินกรอึ้ง...
“ไม่จริง...เป็นไปไม่ได้...เราคงจะตาฝาด...” เขาส่ายหน้า สะบัดหน้าไล่ความคิดพิเรนทร์
“เรานี่คิดบ้าๆ ตามเด็กพวกนั้นได้ยังไง ฮึ่ย...อาบน้ำๆ จะได้ไม่ฟุ้งซ่าน”
ชินกรเดินมาที่เตียงแล้วก็ถอดเสื้อเตรียมอาบน้ำ เขาถอดเสื้อแล้วหันหลังให้ประตูหยิบผ้าขาวม้ามานุ่ง
โก้งโค้งกำลังจะถอดกางเกง ทันใดนั้นประตูห้องก็ถูกเปิดเข้ามาผั้วะ ธราธรเดินเข้ามา ชินกรมองเห็นธราธรผ่านกระจกที่อยู่ตรงหน้าก็สะดุ้งโหยงรีบยืดตัวตรงแด่ว...ใส่กางเกงเข้าที่เหมือนเดิม ธราธรชะงักนิดๆ งง
“ขอโทษครับ...ผมนึกว่าอาจารย์อยู่ในห้องน้ำเลยไม่ได้เคาะประตู”
ชินกรหันขวับมาแล้วก็ยิ้มเจื่อนๆ
“ไม่เป็นไรครับ ผมกำลังจะไปพอดี”
ชินกรพูดจบก็รีบเดินเบี่ยงไปเลย เขาพยายามเดินหันหน้าหาธราธร แล้วหันก้นหลบๆด้วยความระแวง ยิ้มเจื่อนๆ แล้วก็รีบเดินออกไปอย่างเร็ว ธราธรขมวดคิ้วแล้วพึมพำเบาๆ
“อาจารย์ชินกรท่าทางแปลกๆจริงๆด้วย”
ธราธรขำๆ กับทาทางตลกๆของชินกร
ระวีรำไพกับเกษราอยู่ในชุดนอน นั่งอยู่บนเตียงของตัวเอง ปล่อยผมยาว มีวิกวางไว้ข้างๆหมอน เกษราถามด้วยความแปลกใจ
“พี่ชายใหญ่ดุน้องมะปรางเหรอคะ”
“ค่ะ...ก็ดุตามระเบียบ ดุแบบนี้มาตั้งแต่ปรางเป็นเด็กๆแล้วค่ะ”
เกษรายิ้มๆ
“นึกภาพไม่ออกเลยนะคะ ไม่คิดว่าพี่ชายใหญ่จะดุคนเป็น”
“ก็พี่เกษเป็นผู้หญิงที่เพียบพร้อม ภาษาอังกฤษเรียกว่า เพอร์เฟค ไม่มีอะไรให้ต้องดุ หรือต้องเตือน ไม่เหมือนปราง...ทำผิดอยู่บ่อยๆ เมื่อกี๊ก็เอ็ดว่าปรางดื้อตาใส ดุอะไรก็ไม่ฟัง”
เกษราฟังแล้วก็คิด ก่อนจะพูดด้วยความหนักใจ
“พี่ชายใหญ่ไม่เคยพูดสักคำว่าพี่เป็นคนยังไง จริงๆแล้ว ไม่ค่อยพูดกับพี่ด้วยซ้ำ ถ้าไม่ใช่เพราะคำสัญญาของสองตระกูล พี่ชายใหญ่อาจจะไม่เห็นพี่อยู่ในสายตาเลยก็ได้”
ระวีรำไพฟังด้วยความเห็นใจ เกษราระบายต่อ
“คุณชายธราธรจะหาคู่ชีวิตที่เพียบพร้อมแค่ไหนก็ได้ คงไม่สนใจผู้หญิงที่เรียนไม่สูง วันๆทำแต่ขนมอยู่ในครัวอย่างพี่หรอกค่ะ...ในความคิดของพี่ชายใหญ่...พี่อาจจะไม่ใช่ผู้หญิงที่เพียบพร้อมอย่างที่น้องปรางคิดก็ได้นะคะ”
เกษราฝืนยิ้ม พยายามเข้าใจ ก่อนจะค่อยๆหันกลับไปล้มตัวลงนอน ระวีรำไพมองตามเกษราด้วยความเห็นใจ ครุ่นคิดอย่างหนักว่าจะช่วยเธอยังไงดี
ชินกรนอนหันหน้าหาผนัง หันก้นให้ธราธร เขาหน้าครุ่นคิด ภาพธราธรหยอกล้อ จับหัวระวีรำไพ แว่บเข้ามาอีก ชินกรนึกถึงคำพูดของปิติที่คุยกับอุดม
“มันจะเป็นไปได้ยังไง อาจารย์หม่อมเป็นผู้ชายส่วนไอ้ตะวันก็เป็นผู้ชาย”
“ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ เขาเรียกว่า ชายรักชาย เว้ย”
ชินกรหนาววูบ เสียวสันหลังและเสียวเบื้องหลังขึ้นมาทันที เขาสะดุ้ง เอามือจับก้น แล้วพลิกหันหน้ามา
อีกด้าน หันก้นเข้าผนัง แต่พอหันมาปุ๊บก็เจอธราธรนอนหันหน้ามาทางตัวเอง สองคนสบตากัน ชินกรสะดุ้ง
โหยง ลุกพรวด
“เอ้ย”
ธราธรตกใจด้วย
“อาจารย์ชินกร...เป็นอะไรครับ”
“ผม...ผมแค่ตกใจนิดหน่อย ละ...แล้วคุณชายใหญ่...ทะ...ทำไมยังไม่นอนอีกครับ ละ...แล้วคุณชายใหญ่มอง...” เขาจับก้นตัวเอง “มองอะไรอยู่ครับ”
“ผมก็มองอาจารย์ชินกรนั่นแหละครับ”
ชินกรผงะถอยกรูด
“เฮ้ย มองผมทำไมครับ”
ธราธรรีบอธิบาย
“ก็ผมเห็นอาจารย์นอนพลิกไปพลิกมา ก็เลยสงสัยว่าเป็นอะไรหรือเปล่า”
“ผมไม่เป็นอะไรครับ ผมสบายดีครับ ปกติที่สุด แค่...ร้อนนิดหน่อย แต่ตอนนี้สบายแล้วครับ...” ชินกรยิ้มกลบเกลื่อน “ผมว่า...เรานอนกันดีกว่าครับ นอนครับนอน”
ชินกรรีบล้มตัวลงนอน แล้วก็หันหลังให้ธราธร แล้วก็นึกได้รีบหันกลับมานอนหงาย นิ่ง ตัวแข็งทื่อ พยายามหลับตาไม่คิด ธราธรมองแล้วก็ส่ายหน้างงๆ กับอาการของชินกร แล้วก็ลงนอน หันหลังให้ ชินกรปรายตามาเห็นว่าธราธรนอนหันหลังให้ก็ถอนหายใจเบาๆ โล่งอก
“เฮ่อ...”
ชินกรคิดเครียด...ยังไงวะเนี่ย
บริเวณแคมป์ยามค่ำคืน ไฟสลัวจากตะเกียงสว่างเป็นบางจุด...ในที่พักของเอ็ดเวิร์ด ขวดแบ่งเหล้าราคาแพงถูกกระแทกวางลงบนโต๊ะ ด้วยความฉุนเฉียว เอ็ดเวิร์ดคิดด้วยความไม่พอใจ พรานสมยืนอยู่ไม่ไกล
“ไอ้เด็กนั่น กับ ไอ้อาจารย์คุณชาย มันกล้าดียังไงมาขัดใจฉัน พวกมันยังรู้จักฉันน้อยไป”
เอ็ดเวิร์ดกัดกรามแน่นด้วยความอาฆาต พรานสมเห็นแล้วก็ทักขึ้นด้วยความเป็นห่วง
“ผมว่าคุณอย่าไปสนใจไอ้มดปลวกพวกนั้นเลย เดี๋ยวเรื่องเล็กจะทำให้เสียเรื่องใหญ่ ช่วยกันหาแหล่งสมบัติ แล้วแยกตัวไปจากไอ้พวกนี้จะดีกว่า”
เอ็ดเวิร์ดหันขวับมา
“นั่นมันเป็นงานของแก ไม่ใช่ธุระของฉัน” เอ็ดเวิร์ดกัดฟันพูด เสียงเบาแต่หนัก เหมือนออกคำสั่ง “ฉันจ้างพวกแกมาหาของ แกก็มีหน้าที่หามันมาให้ได้ ไม่เกี่ยวกับฉัน”
พรานสมจำต้องพยักหน้ารับแทนคำตอบ แล้วก็ยืนเงียบ ไม่โต้แย้ง เอ็ดเวิร์ดคิดถึงธราธรกับระวีรำไพด้วยความแค้น
“ฉันจะไม่ปล่อยให้ไอ้พวกไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงมันอยู่อย่างเป็นสุข”
เช้าวันต่อมา...ระฆังถูกสั่นดังแกร๊งๆ มานิตกำลังตีระฆังเรียกมารวมพล
“นักศึกษาใครพร้อมแล้วขึ้นรถได้เลย”
ปิติ มานะ เดินนำมา อุดมเดินรั้งท้าย อุดมเดินไปมองหาเป้าหมายไปด้วย ท่าทางมีพิรุธจนปิติต้องหันมาถาม
“แกมองหาอะไรวะไอ้ดม”
“ก็มองหาอาจารย์หม่อม กับ” อุดมหรี่เสียงลง “ไอ้ตะวันไง”
ปิติส่ายหน้า
“เราว่า...นายเลิกหมกหมุ่นเรื่องนี้เถอะ มันเป็นไปไม่ได้หรอก”
อุดมเถียง
“ข้าไม่ได้หมกหมุ่น ข้าเห็นจริงๆ วันนี้เอ็งสองคนคอยจับตาดูดีๆ เดี๋ยวก็เห็นเอง”
มานิตหันมาเห็นก็ตะโกนเร่ง
“สามคนนั่นน่ะ จะไปไซท์หรือเปล่า”
“ไปครับ”
“ไปก็รีบขึ้นรถได้แล้ว”
“ครับๆ”
ปิติ กับมานะรีบเดินไป อุดมยังชะเง้อชะแง้ ปิติส่ายหน้า หันมาลากตัวไป
“ไปได้แล้ว...ไปเว้ย”
อุดมจำต้องไปด้วยความขัดใจ ทั้งสามคนขึ้นรถแต่ยังเหลือที่ว่าง มานิตหันมาถาม
“ยังเหลือที่ว่าง มีใครจะไปอีกหรือเปล่า”
ทันใดนั้นธราธรก็เดินออกมาพร้อมกับระวีรำไพ และ เกษรา อุดมหันไปเห็นก็ลุกพรวดขึ้นพร้อมตะโกนออกมา
“อาจารย์หม่อมครับ อาจารย์หม่อมมาแล้ว”
อุดมดีใจจนผิดปกติ ทุกคนหันตามไป ธราธร เกษรา ระวีรำไพ เดินออกมา พอเห็นสายตาของทุกคนก็ชะงักนิดๆ...ธราธรถามยิ้มๆ
“มีอะไรกันเหรอครับ”
ชินกรเดินพรวดพราดเข้ามาในครัว เห็นป้าพรกำลังทำความสะอาดครัว ชินกรกวาดตามองรอบๆ
ก่อนถาม
“ป้า...นายก้องอยู่ไหน”
เกษรายืนอยู่กับระวีรำไพ ธราธร ทั้งสามคนยืนอยู่ข้างๆรถ ด้านคนขับ ไม่ห่างจากมานิตที่นั่งประจำตำแหน่งคนขับ อุดม ปิติ มานะ นั่งอยู่ข้างหลัง อุดมเงี่ยหูฟังสุดฤทธิ์
“อาจารย์หม่อมจะไปไซท์กับผมรอบนี้เลยหรือเปล่าครับ”มานิตหันมาถามธราธร
ธราธรคิด มองๆ ระวีรำไพและเกษราที่ยืนอยู่ข้างๆ แล้วก็เป็นห่วง เลยตอบไป
“ผมยังไม่ไปดีกว่าครับ ดูท่าทางจะไปกันไม่หมด ผมรอไปอีกรอบพร้อมกับตะวัน กับ ก้องก็ได้ครับ”
อุดมสะกิดเพื่อน เห็นมั้ยๆ
“ได้ครับ ผมไปส่งพวกนี้แล้วกลับมารับอาจารย์หม่อมอีกรอบ”
“ขอบคุณครับ”
มานิตสตาร์ทรถกำลังจะไป ชินกรเดินพรวดออกมา มองมาที่เกษรา เธอหันไปเจอเขาพอดี สองคนสบตากัน ปิ๊งๆ เกษราหันกลับมาขวับ คิด แล้วก็โพล่งขึ้น
“ผมไปด้วยครับ”
ธราธรกับระวีรำไพงง หันมา เกษรากระโดดขึ้นไปนั่งบนรถแล้ว ชินกรเห็นเกษราขึ้นไปนั่งบนรถ และมานิตกำลังจะออกรถไป เขารีบตะโกนขึ้น
“รอด้วยครับ ผมไปด้วยครับ”
ระวีรำไพตกใจ เกษราหลับตาปี๋ เฮ่อซวยจริง...ชินกรวิ่งมาแล้วกระโดดขึ้นรถไปด้วยนั่งข้างเกษรา
“ไปได้เลยครับ”
ชินกรยิ้มแฉ่ง มานิตขับรถออกไป ทิ้งระวีรำไพกับธราธรไว้เบื้องหลัง อุดมมองธราธรที่ยืนคู่อยู่กับระวีรำไพ แล้วก็สะกิดเพื่อน ให้ดู มานะกับปิติ เริ่มคิดเหมือนกัน ระวีรำไพมองตามรถไปด้วยความเป็นห่วง จนธราธรถามขึ้นอย่างรู้ทัน
“มีอะไรจะเล่าให้พี่ชายใหญ่ฟังหรือเปล่า”
ระวีรำไพหันมามองแล้วก็ยิ้มยอมรับ...
รถของทีมงานแล่นมา ระหว่างทางจากที่พักไปปราสาท มานิตขับอย่างชำนาญ เกษรานั่งก้มหน้างุด
พยายามไม่สบตาชินกรที่นั่งอยู่ข้างๆ พยายามทำตัวให้เป็นปกติ แต่เธอก็ยังตื่นเต้นอยู่ลึกๆ ชินกรนั่งใจเต้นโครมครามอยู่ข้างทั้งๆที่จริงๆที่มาหาเพราะมีเรื่องอยากจะถาม แต่ตอนนี้ลืมไปชั่วขณะ
สองคนยืนคุยกันอยู่ที่มุมหนึ่งหน้าแคมป์ ใต้ต้นใหญ่ ธราธรถามด้วยความแปลกใจ เมื่อฟังเรื่องราวจากระวีรำไพ
“อาจารย์ชินกรจับผิดน้องเกษเหรอ”
“ค่ะ พี่เกษเธอกังวล เลยพยายามอยู่ห่างๆ อาจารย์ชินกรกลัวโดนจับได้”
ธราธราคิด
“จะว่าไป หมู่นี้อาจารย์ชินกรก็มีท่าทางแปลกๆ ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่”
“พี่ชายใหญ่ต้องดูแลพี่เกษเป็นพิเศษนะคะ ถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากล จะได้คอยช่วยเธอ”
ธราธรพยักหน้า
“จ้ะ...แต่บางทีพี่ก็ลืมไปบ้าง มัวแต่ห่วงงาน”
“ไม่ได้นะคะ จะทำงานหนักแค่ไหน พี่ชายใหญ่ก็ต้องใส่ใจพี่เกษ จะมัวอยู่กับก้อนอิฐ ก้อนหิน ก้อนศิลาแลงไม่ได้ มีอะไรก็ต้องพูดต้องคุย เงียบๆไม่พูดไม่จา ผู้หญิงเขาไม่รู้ว่าคิดยังไงนะคะ”
ธราธรเอียงหน้ามองระวีรำไพแปลกใจ
“พูดจาแปลกๆ คิดอะไรอยู่ บอกมานะ วางแผนอะไร”
ธราธรมองคาดคั้น ระวีรำไพอึกอักๆ
“เอ่อ...ก็...คือ ปรางเห็นว่าพี่เกษเป็นคนน่ารัก ถ้าพี่ชายใหญ่ได้เธอเป็นคู่ชีวิตตามคำสัญญาของสองตระกูลก็น่าจะเป็นเรื่องดี ปรางก็แค่อยากจะช่วย”
ธราธรขำ
“เรื่องนี้นี่เอง...ไหนว่ามาสิ เราจะช่วยยังไง”
ธราธรกอดอกรอฟัง
มานิตจอดรถที่หน้าปราสาท เกษรารีบกระโดดลงรถเป็นคนแรก
“ขอโทษนะครับ”
เธอกระโดดออกไปโดยเร็วผ่านหน้าชินกรไปเลย ชินกรเอ๋อ...จะเรียกไว้
“อ้าว...นายก้อง อย่าเพิ่งไปสิ ฉันมีเรื่องจะคุยด้วย”
เกษราไม่สนใจวิ่งไปเลย อุดมถามขึ้นด้วยความสาระแน
“อาจารย์จะคุยอะไรกับไอ้ก้อง ฝากผมไปก็ได้นะครับ”
ชินกรหันขวับมา เจอหน้าอุดม ปิติ มานะ กำลังจ้องรอคำตอบ ชินกรก็ผวานิดๆ กลัวโดนนินทาว่าเป็นชายรักชายไปด้วย ก็รีบออกตัว ด้วยความร้อนใจ
“มะ...ไม่เป็นไร ครูจะคุยเรื่องงานน่ะ ฝากไปเดี๋ยวจะไม่รู้เรื่อง ครูคุยเองดีกว่า”
ชินกรพูดจบแล้วก็รีบลงจากรถตามไปอีกคน ทันทีที่ชินกรคล้อยหลัง อุดมก็นินทาทันที
“เมื่อกี๊พวกแกเห็นหรือเปล่า อาจารย์หม่อมไม่ยอมมากับพวกเรา แต่เลือกที่จะรออยู่กับไอ้ตะวัน คิดดู...มันธรรมดาซะที่ไหน ผิดปกติชัดๆ”
ปิติ มานะ ฟังแล้วก็คิด...เออก็จริง ชินกรได้ยินแว่วๆ ได้แต่ส่ายหน้า แล้วก็รีบเดินตามเกษราไปด้วยความร้อนใจ
ระวีรำไพกับธราธร ยังยืนคุยกันอยู่ที่เดิมอย่างสบายอารมณ์
“อย่างแรกที่พี่ชายใหญ่ควรทำคือ...รู้ใจพี่เกษค่ะ”
ธราธรขมวดคิ้ว ระวีรำไพพูดต่ออย่างตั้งใจ
“รู้ว่าเธอชอบอะไร ไม่ชอบอะไร...พี่ชายใหญ่รู้หรือเปล่าคะว่าพี่เกษชอบกินอะไร”
ธราธรคิดๆแล้วส่ายหน้า วะวีรำไพถามต่อ
“ชอบดอกไม้อะไร”
ธราธรคิดอีกแล้วก็ส่ายหน้าอีก
“ชอบไปเที่ยวที่ไหน”
ธราธรคิด...ส่ายหน้าอีกที ระวีรำไพเซ็งเลย
“โหย...พี่ชายใหญ่ เป็นแบบนี้ไม่ได้นะคะ ไม่รู้อะไรสักอย่างเลย”
“อ้าว...ก็พี่ไม่เคยถามน้องเกษนี่คะ”
“เรื่องแบบนี้ไม่ต้องถาม แต่ต้องสังเกตเอาเองค่ะ”
ธราธรยิ้ม
“อ๋อ...เหมือนที่พี่รู้ว่าน้องปรางชอบกินผลไม้ทุกชนิด แต่จะไม่ชอบกินผลไม้ที่อยู่ในอาหารคาว ชอบดอกมะลิ แต่ต้องเป็นดอกมะลิที่ร้อยอยู่ในมาลัย ฤดูหนาวชอบไปเที่ยวภูเขามากกว่าทะเล ส่วนฤดูร้อนชอบไปทะเลมากกว่าภูเขา...ใช่หรือเปล่าครับ”
ระวีรำไพแอบอึ้งรู้ได้ไง
“ใช่ค่ะ...พี่ชายใหญ่รู้ได้ยังไงคะ”
“ก็...พี่ชายใหญ่รู้จักมะปรางมาตั้งแต่เกิด พี่จะไม่รู้ได้ยังไงล่ะคะ”
ระวีรำไพยิ้มปลื้ม
“พี่ชายใหญ่ช่างสังเกตมากเลยค่ะ คุณพ่อยังไม่รู้ละเอียดเท่านี้เลยนะคะ”
ต่างคนต่างยิ้มให้กันและทันใดนั้นระวีรำไพก็สะดุดกึก มโนธรรมแม่สื่อแสนดีเข้าสิง
“แต่...ปรางไม่ใช่พี่เกษนะคะ พี่ชายใหญ่ควรรู้ข้อมูลแบบนี้ของพี่เกษด้วย”
ธราธรครุ่นคิด
“จริงสิ...พี่แทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับน้องเกษเลย...ขอบใจมาก สำหรับคำแนะนำ”
ระวีรำไพยิ้มรับอย่างจริงใจ มานิตขับรถมา ธราธรหันไปเห็น
“รถมาแล้ว ไปค่ะ”
ธราธรเดินนำไป ลับหลังของเขารอยยิ้มของระวีรำไพก็ค่อยหายไป เหลือเป็นความใจหายแว๊บๆเศร้าใจ
รถเข้ามาจอดเทียบทั้งสอง มานิตลงจากรถ ธราธรและระวีเดินมาหา
“อาจารย์หม่อมคงต้องขับไปเองแล้วนะครับ ผมเพิ่งนึกได้ว่าวันนี้มีรายงานต้องทำส่งกรม ผมคงต้องอยู่ทำงานที่นี่”
“ได้ครับ ไม่มีปัญหา”
ธราธรหันมาทางระวีรำไพ
“ไป ตะวัน”
“ครับ”
ธราธรและระวีรำไพขึ้นรถแล้วขับออกไป มานิตหันหลังเดินไปที่ห้องทำงาน มุมหนึ่งหลังต้นไม้ พรานสมแอบมองตามมานิตไป แววตาครุ่นคิดร้ายกาจ
ธราธรขับรถแล่นมาบนถนนสายสวยงามมุ่งไปปราสาท รถแล่นผ่านทุ่งดอกไม้ ทันใดนั้นธราธรก็จอดรถเอี๊ยด...ระวีรำไพที่นั่งข้างๆหัวทิ่ม
“ว๊าย...”
รถหยุด ระวีรำไพหันมา
“พี่ชายใหญ่...หยุดรถทำไมคะ”
ธราธรไม่บอก แต่ยิ้มกริ่ม แล้วก็เปิดประตูลงจากรถไป ระวีรำไพตกใจ ระคนแปลกใจ
“พี่ชายใหญ่ พี่ชายใหญ่จะไปไหนคะ พี่ชายใหญ่”
ธราธรเดินมุ่งลงไปที่ทุ่งดอกไม้ ระวีรำไพมองตามด้วยความสงสัย ระวีรำไพบ่นๆ
“พี่ชายใหญ่ลงไปทำอะไรนะ”
ทันใดนั้น...ภาพตอนที่รถจอดข้างทางและชาวคณะแวะฉี่ระหว่างทางก็แว่บเข้ามา ระวีรำไพสะอึกนิดๆ อายขึ้นมาทันที เลยรีบหันหน้าหนีด้วยความเขิน นั่งตัวตรงแน่วไม่มองไปทางธราธรอีกเลย
เกษราทำงานไปมองหาชินกรด้วยความหวาดระแวงเล็กๆ ชินกรเดินพรวดพราดเข้ามาทางด้านหลัง เกษราปรายตาไปเห็น ก็รีบหลบวูบ ชินกรเหลือบไปเห็นหลังคนแว่บๆ ก็รีบเดินมาบริเวณที่เธอยืนอยู่ แต่ไม่มีใคร ชินกรเกาหัว
“ไอ้ก้องมันหายไปไหนของมัน มีเรื่องสำคัญจะถามสักหน่อย”
ชินกรเกาหัวงงๆ แล้วก็เดินไปอีกทาง เกษราค่อยๆโผล่ออกมาครุ่นคิดว่าเรื่องสำคัญอะไร เธอชะงักคิด อยากรู้
ระวีรำไพนั่งมองไปอีกทาง พยายามไม่มองไปจุดที่ธราธรหายไป ทันใดนั้นก็มีช่อดอกไม้ป่ายื่นเข้ามาทางหน้าต่าง อยู่ข้างหน้า ระวีรำไพแปลกใจหันมามอง เห็นดอกไม้ป่าถูกจัดเข้าช่อมีเถาวัลย์มัดไว้หลวมๆ เก๋ๆ อยู่ในมือธราธร เขาพูดยิ้มๆ
“พี่ชายใหญ่ให้ค่ะ”
ระวีรำไพยิ้มสดใส
สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายธราธร ตอนที่ 5 (ต่อ)
“ขอบคุณค่ะ น่ารักจังเลย พี่ชายใหญ่ทำเป็นได้ยังไงคะ”
“พี่เคยเรียนจัดดอกไม้ ตอนอยู่ที่อังกฤษ”
“หะ...พี่ชายใหญ่เนี่ยนะคะ เรียนจัดดอกไม้”
“ใช่ค่ะ...คือ...พี่กลัวใครบางคนจะคิดว่าพี่มัวแต่อยู่กับก้อนอิฐ ก้อนหิน ก้อนศิลาแลง พี่ก็เลยไปเรียนจัดดอกไม้เพิ่มความอ่อนหวานให้ตัวเอง”
ระวีรำไพอึ้ง
“ไม่อยากจะเชื่อเลย”
“ไม่อยากเชื่อ...ก็ไม่ต้องเชื่อ...เพราะพี่ชายใหญ่พูดเล่น”
ธราธรยิ้มกวน ระวีรำไพหน้าเหวอความตื่นเต้นหายวับ
“อ้าว...โธ่...ปรางก็คิดว่าไปเรียนจริงๆ”
ธราธรขำ
“ฮ่าๆ พี่ก็แค่จัดไปตามความรู้สึก ไม่ได้เรียนสักหน่อย” เขาจับหัวเธอด้วยความเอ็นดู “หลอกง่ายจังเด็กน้อย”
ระวีรำไพทำหน้าบูดๆ โดนว่าเป็นเด็กอีกแล้ว
“ว่าปรางเป็นเด็กอีกแล้ว...ปรางโตแล้วนะคะ”
ธราธรขำ
“คนเมามักจะบอกว่าตัวเองไม่เมา เหมือนกับเด็กที่ชอบคิดว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่ จริงๆแล้วก็ยังเป็นเด็กอยู่ดี”
ธราธรพูดจบก็เดินกลับมาประจำที่คนขับ ปล่อยให้ระวีรำไพอ้าปากค้างไม่มีโอกาสได้เถียงหรือแก้ตัว
เธอได้แต่บ่นเบาๆ
“คำก็เด็ก สองคนก็เด็ก ในสายตาของพี่ชายใหญ่ เราคงต้องเป็นเด็กไปตลอดชีวิต”
ระวีรำไพบ่นจบ ธราธรเดินเข้ามานั่งในรถพอดี หันมาถาม
“บ่นอะไรคะ”
“ก็บ่นไปเรื่อยเปื่อย ตามประสา เด็กๆ”
ธราธรเลิกคิ้วขำๆ แน้ มีประชด
“ขอบคุณนะคะสำหรับดอกไม้ สวยมากค่ะ” เธอเลียบๆเคียงๆหยอดๆ “แล้วก็...อย่าลืมทำแบบนี้ให้พี่เกษบ้างนะคะ พี่เกษจะได้ดีใจ”
ระวีรำไพยิ้มจริงใจ ธราธรคิดๆแล้วก็ยิ้มรับ เหมือนต้องทำตามหน้าที่
“ครับ”
ธราธรรับคำแล้วก็หันไปขับรถออกไป ระวีรำไพมองดอกไม้ในมือแล้วก็ยิ้มๆ
รถธราธรแล่นมาตามถนนทางไปปราสาทสวยงาม ระวีรำไพนั่งกอดช่อดอกไม้ไว้ที่อกอย่างรัก พิงหลัง
สบายๆ แล้วมองออกไปนอกหน้าต่าง ยิ้มนิดๆ กับสายลม แสงแดด แววตาเป็นประกายสดใส มีความสุข ธราธรขับรถอยู่ก็หันมามอง ภาพความน่ารักของระวีรำไพทำให้เขาอมยิ้ม แววตาที่เต็มไปด้วยความรักและผูกพันท่วมท้น แต่เขากลับไม่เคยรู้ความรู้สึกของตัวเองแม้แต่น้อย
ในบ้านพักหลังใหญ่แทน นั่งคุยกับเอ็ดเวิร์ดอยู่ในห้องหนึ่ง มีพรานสมยืนคุมเชิงอยู่ไม่ห่าง แทนละล่ำละลักถามด้วยความแปลกใจ
“คุณชายธราธรเนี่ยนะครับ ก้าวร้าว”
“ใช่ คุณชาย...แสดงกริยา และวาจาไม่สมกับชาติตระกูลแม้แต่น้อย ผมผิดหวังกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนอย่างมาก ผมต้องการจะกลับกรุงเทพเดี๋ยวนี้”
แทนระล่ำระลักรีบบอก
“โอ๊ะ...อย่าเพิ่งกลับนะครับ เรื่องเมื่อคืน อาจจะเป็นความเข้าใจผิดกันก็ได้ ปกติคุณชายใหญ่เป็นคนสุภาพให้เกียรติ์คนอื่นเสมอ ต้องเข้าใจผิดกันแน่ๆ”
ท่าทางลนลานของแทน ทำให้เอ็ดเวิร์ดพอใจ ยิ้มร้ายเริ่มเข้าแผน แทนคิดๆ
“เอาอย่างนี้ดีกว่าครับ เพื่อเป็นการขอโทษ คุณเอ็ดเวิร์ดต้องการอะไรเป็นพิเศษบอกผมได้เลยนะครับ อยากจะกินร้อน นอนฟูก หรือ อยากได้อะไร อย่าไปบอกคนอื่น...บอกกับผม ผมจัดหามาให้เองครับ อย่าเพิ่งกลับเลยนะครับ อยู่ดูงานต่ออีกหน่อยนะครับ”
เอ็ดเวิร์ดทำเป็นคิด...ทั้งที่ตัดสินใจไว้แล้ว
“ก็ได้...ผมจะเชื่อคุณ และผมก็จะอยู่ต่อ เพราะจะว่าไป ถ้าไม่นับเรื่องเมื่อคืนผมก็สนใจการทำงานของพวกคุณ อาจจะพิจารณาให้ทุนเป็นกรณีพิเศษ”
แทนยิ้มตาเป็นประกาย
“ส่วนเรื่องที่ผมต้องการ...อีกไม่นานผมจะบอกคุณเอง”
เอ็ดเวิร์ดยิ้มร้าย แทนดีใจ
“ได้เลยครับ ไม่ว่าคุณต้องการอะไร ผมจัดหามาให้เอง”
พรานสมเห็นมีช่อง รีบแทรกเข้ามา
“นอกจากความต้องการของมิสเตอร์เอ็ดเวิร์ด...ผมมีอีกเรื่องที่อยากให้คุณช่วย”
แทนหันมาทางพรานสม...บรรยากาศไม่น่าวางใจ
มานิตยืนรายงานอย่างเป็นกันเองอยู่ในห้องทำงาน มีแทนยืนยิ้มแฉ่งอยู่ข้างๆ เอ็ดเวิร์ดนั่งไขว่ห้างฟัง
อย่างถือตัว พรานสมยืนอยู่ข้างหลัง มานิตกางแผนผังการบูรณะปราสาทลงบนโต๊ะ
“นี่เป็นภาพจำลองของปราสาทพนมธมที่สมบูรณ์ เราร่างขึ้นจากการสำรวจเบื้องต้น โครงการนี้เราเริ่มขึ้นมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2490 สิบปีที่แล้ว แต่ผมเพิ่งจะเข้ามาประจำได้แค่ 5 ปี งานสำรวจทำไปได้มากแล้ว เหลือแต่ประกอบส่วนต่างๆเข้าด้วยกัน น่าจะแล้วเสร็จภายในปีสองปีนี้”
แทนหันมาหาเอ็ดเวิร์ด
“มานิตเป็นเจ้าหน้าที่ของกรมที่ประจำอยู่ที่นี่ครับ คุณเอ็ดเวิร์ดอยากรู้อะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับงานบูรณะ ถามมานิตได้เลยครับ”
เอ็ดเวิร์ดพยักหน้ารับรู้ ปรายตามามองพรานสมแล้วก็ส่งสัญญาณให้เป็นคนถาม
“และถ้าเราอยากรู้เรื่องปราสาทอื่น...ที่อยู่บริเวณนี้และยังไม่ได้รับการบูรณะ คุณรู้หรือเปล่าว่ามีอยู่ที่ไหน”
พรานสมเข้าประเด็น แทนหันมาฟังคำตอบ เอ็ดเวิร์ดนั่งเฉยๆ ทำเป็นไม่สนใจนักแต่ก็อยากรู้ มานิตคิดๆ
“ผมเคยได้ยินชาวบ้านพูดถึงอยู่เหมือนกัน แต่ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน เพราะผมอยู่ฝ่ายบูรณะประจำที่ไซท์งานไม่ได้อยู่ฝ่ายสำรวจ”
พรานสมถามต่อทันที
“แล้วใครอยู่ฝ่ายสำรวจ”
“ก็จะเป็นอาจารย์หม่อมอาทิตยรังสี หรือไม่ก็อาจารย์หม่อมธราธร แล้วก็อาจารย์ชินกร จะเป็นฝ่ายออกสำรวจ และทำเรื่องเสนอไปทางส่วนกลางเพื่อจัดสรรงบมาทำการบูรณะ”
เอ็ดเวิร์ดฟังแล้วก็ครุ่นคิด แฝงความร้ายกาจ มานิตบอกต่อ
“ถ้ามีชาวบ้านไปเจอปราสาท หรือ โบราณสถาน คนที่จะมีข้อมูลมากที่สุดก็น่าจะเป็นอาจารย์หม่อมอาทิตย์”
พรานสมยิ้มร้าย พอใจกับข้อมูล มานิตเอะใจหันมาถาม
“แล้ว...พวกคุณจะถามเรื่องนี้ไปทำไมเหรอครับ”
พรานสมกับเอ็ดเวิร์ดนิ่งๆ ไม่ตอบ แทนเลยตอบแทน
“อ๋อ...มิสเตอร์เอ็ดเวิร์ดเขาก็ถามไว้ เผื่อจะมีปราสาทหรือโบราณสถานใหม่ๆที่ยังไม่ได้บูรณะน่าสนใจ เขาอาจจะให้ทุนพวกเรา...ใช่มั้ยครับ”
เอ็ดเวิร์ดพยักหน้างั้นๆ ในใจแอบสมเพช
“อือ...”
แทนยิ้มรับกว้างอย่างดีใจ มานิตพยักหน้ารับไป ไม่ได้ใส่ใจมากนัก พรานสมครุ่นคิดหาทางจะเอาข้อมูลนั้นมาให้ได้
รถธราธรแล่นเข้ามาจอดหน้าปราสาท อุดมรีบสะกิดปิติ กับมานะ ที่กำลังจดบันทึกก้อนหินกันอยู่
“เฮ้ยๆ มาแล้วๆ”
ทั้งสามคนหันไปมอง ระวีรำไพลงจากรถกับธราธร ในมือของเธอมีช่อดอกไม้ติดมาด้วย อุดมตาเหลือก ลนลาน
“พวกแกเห็นมั้ย...ไอ้ตะวันมันมีดอกไม้มาด้วย มันจะเอามาจากไหน ถ้า...” อุดมหรี่เสียงลง “อาจารย์หม่อมไม่ได้เป็นคนให้”
ระวีรำไพเหมือนรู้ตัว เปลี่ยนใจหันไปวางดอกไม้ไว้ในรถ อุดมลนลานหนักขึ้นกว่าเดิม
“เฮ้ย ดูมันร้อนตัว กลัวว่าจะมีคนเห็น มันเลยเก็บไว้ในรถ ดูดู๊ดู...ถ้ามันไม่มีอะไร มันจะต้องเก็บดอกไม้ทำไม มึงเห็นหรือเปล่า มึงเห็นมั้ย”
ทันใดนั้น ระวีรำไพก็หันขวับมาทางอุดม ปิติ มานะ ทั้งสามคนสะดุ้งโหยงรีบหันหลบหน้าทันที มานะถามเพื่อนเบาๆ
“แล้วแกว่า ไอ้ตะวันมันจะเห็นมั้ยว่าเราแอบดูมันอยู่”
อุดมรีบบอก
“ไม่รู้เว้ย ทำงาน ทำงาน”
ระวีรำไพมองทั้งสามสาระแนด้วยความไม่วางใจ อุดม มานะ ปิติ เฉไฉแสร้งทำงานอย่างขะมักเขม้น ธราธรเห็นก็หันมาถาม
“มีอะไรหรือเปล่า”
“คงไม่มีอะไรมั้งคะ...ปรางไปดูคุณพ่อก่อนนะคะ วันนี้ยังไม่เจอท่านเลย”
ธราธรพยักหน้ารับรู้ ระวีรำไพกับธราธรเดินแยกกันไปคนละทาง อุดมพอเห็นว่าสองคนเดินไปแล้วก็ค่อยๆหันมานินทาต่อ
“พวกแกเชื่อฉันหรือยัง ว่าอาจารย์หม่อมกับไอ้ตะวันมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งจนเกินปกติ ตั้งแต่เช้าทั้งเรื่องขึ้นรถ เรื่องดอกไม้ ดูก็รู้ว่าอาจารย์หม่อมต้องชอบไอ้ตะวัน...แน่นอน”
มานะกับปิตินิ่ง แต่ก็เริ่มคล้อยตาม มุมหนึ่งไม่ห่างนัก ชินกรยืนอยู่หลังต้นไม้ได้ยินเต็มสองหู...เขารำพึงในใจว่าจริงเหรอเนี่ย
อีกมุมหนึ่งของปราสาทค่อนข้างเงียบ และสวยงาม เกษราค่อยๆโผล่หน้าออกมา มองซ้ายมองขวา เห็นว่าไม่มีคน และไม่มีชินกร เธอก็ค่อยๆเดินออกมา สูดลมหายใจเต็มปอด แล้วก็ปล่อยออกมาอย่างสบายอารมณ์ เกษรามองวิวที่อยู่เบื้องหน้า แล้วก็ยิ้มอย่างมีความสุข ตามประสาคนไม่ค่อยได้ออกไปเที่ยว
“เฮ่อ...สวยจัง”
ทันใดนั้นก็มีมือพุ่งเข้ามาปิดปากเธอมั่บ เกษราตาเบิกโพลงด้วยความตกใจสุดขีด ทันใดนั้นมือกำยำก็ลากเธอกลับเข้ามาในซอกปราสาท...เกษราถูกผลักมาติดฝาผนังปราสาท และเจ้าของมือนั้นก็เผยตัวชินกรนั่นเอง เกษราตกใจ สองคนเผชิญหน้ากันอย่างหนีไม่ได้ ชินกรรีบบอก
“ไม่ต้องโวยวาย แล้วก็ไม่ต้องหนีหน้าฉันด้วย ฉันไม่ได้จะมาหาเรื่องนาย แต่ฉันจะมาถามเรื่องเกี่ยวกับ ไอ้ตะวัน”
เกษราเลิกคิ้วงงๆ สะบัดตัวหลุดออกมา
“อาจารย์จะถามเรื่องตะวันไปทำไมครับ”
เกษราทั้งอยากรู้ ทั้งเป็นห่วง ชินกรมองหน้า ลำบากใจที่จะพูด
อีกมุมหนึ่งของปราสาท มุมประจำของอาทิตย์รังสี เขากำลังจดบันทึก และสำรวจหินที่ผ่านการจดมาแล้วดูไปคิดไป บันทึกไป อ่อนศรีคอยเป็นลูกมืออยู่ไม่ห่าง ระวีรำไพทำเป็นจดโน่นจดนี่ แต่ตาก็มองพ่อตลอดด้วยความเป็นห่วง พอเห็นว่าสบายดีก็โล่งอก
เกษรายังคุยกับชินกรอยู่ที่มุมเดิม เธอถามย้อนด้วยความประหลาดใจอย่างแรง
“อาจารย์อยากรู้ว่าตะวันมีแฟนหรือเปล่า”
ชินกรเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจของเกษราก็รีบอธิบาย
“ใช่...แต่ ที่ถาม ไม่ใช่เพราะฉันสนใจนายตะวันในแบบนั้นนะ”
เกษราผงะนิดๆ
“แบบนั้น แบบไหนครับ”
“ก็แบบ...แบบ...แบบชายรักชาย หรืออะไรพวกนั้นน่ะ ที่ถามเพราะมีเรื่องสงสัยนิดหน่อย เห็นนายสนิทกับตะวันน่าจะเป็นคนที่รู้ดีที่สุด”
“ผมรู้แค่ว่าตะวันยังไม่มีแฟน แต่เรื่องที่ว่ารักใครอยู่...ผมไม่รู้จริงๆ”
ชินกรคิดแล้วถาม
“แล้วนายพอรู้หรือเปล่าว่าตะวันรักผู้หญิงหรือว่ารักผู้ชาย”
“เอ่อ...ผมคิดว่า...ผู้หญิงนะครับ”
“นายใช้คำว่า คิดว่า แสดงว่า...มันอาจจะไม่เป็นอย่างที่นายคิด ตะวันมันอาจจะชอบผู้ชายใช่มั้ย”
เกษราอึกๆอักๆ ตอบไม่ถูก เพราะจริงๆระวีรำไพเป็นหญิง ก็น่าจะชอบผู้ชาย เกษราเริ่มสับสน งง ตัวเองไปด้วย ชินกรพูดเบาๆ เครียดๆ
“ชัดเลย”
เกษรางง
“อะไรชัดเหรอครับ”
ชินกรหันมา ไม่ตอบ แต่ถามกลับ
“แล้วนายกับตะวัน...เป็นอะไรกัน ฉันเห็นตัวติดกันเป็นตังเม เป็นแฟนกันหรือเปล่า”
เกษราสะดุ้งโหยง
“ไม่ใช่ครับ ผมกับตะวันเป็นเพื่อนกัน ไม่มีอะไรมากกว่านั้น”
ชินกรถอนหายใจ
“เฮ่อ...แล้วไป ดีแล้วที่ไม่ได้เป็นแฟนกัน”
เกษรางงๆ ทำไมต้องโล่งอกขนาดนั้น ชินกรรู้สึกตัวหันขวับมา รีบแก้ตัวด้วยความร้อนตัว
“คือ ที่ฉันบอกว่าดี ไม่ได้แปลว่า ถ้านายสองคนเป็นแฟนกันแล้วฉันจะเสียดาย”
เกษรางงอีก ชินกรรีบแก้
“คือ...ฉันจะบอกว่า ฉันไม่ได้จะเสียดาย ฉันไม่ได้จะรู้สึกอะไรเลย เอ้อ” เขาตีหน้าเฉย ทำเป็นปกติ หน้าตาย “ไม่รู้สึกอะไรจริงๆ มันไม่ใช่เรื่องของฉัน ฉันไม่ยุ่ง”
เกษรามองหน้าเขายิ่งงงมากขึ้น ชินกรเห็นท่าจะแย่ ก็ตัดบทเลย
“เรื่องที่ฉันจะถามก็มีแค่นี้ ฉันจะไปทำงานต่อ นายเองก็รีบๆลงไปช่วยเพื่อน อย่ามาอู้อยู่แถวนี้รู้หรือเปล่า”
เกษราก้มๆหน้ารับคำ ชินกรปั้นหน้าขรึม แล้วก็เดินออกไป เกษรามองตามนิดๆ ด้วยความแปลกใจ
“ทำไมอาจารย์ชินกรถึงอยากรู้เรื่องความรักของน้องปราง”
เกษราครุ่นคิดด้วยความสงสัย
เสียงปืนดังสนั่นขึ้นหนึ่งนัด เปรี้ยง เสียงลิง เสียงนก ร้องรับด้วยความตกใจ ขวดวิสกี้แตกกระจายเกลื่อนอยู่ที่พื้น อีริคกำลังซ้อมยิงปืนอยู่ ระหว่างคุยกับพรานสมที่ยืนรายงานอยู่ข้างๆ ห่างออกไป สมุนยืนคุ้มกันอยู่ 2- 3 คน
“ไอ้แก่มันมีข้อมูลของปราสาทตามที่เราคิดไว้จริงๆ”
“ปัญหาตอนนี้คือ...เราไม่รู้ว่าข้อมูลที่มันมีคืออะไร และมันเก็บข้อมูลพวกนั้นไว้ที่ไหน”
“ไม่รู้...ก็ต้องเข้าไปหา...แกบอกว่าไอ้แก่มันมีห้องทำงานอยู่ในแคมป์”
“ใช่ ปกติมันไม่ให้คนอื่นเข้าไป ขนาดไอ้ฝรั่งถ้าไม่จำเป็นมันยังไม่ยอมให้เข้าไปเลย”
“กูนี่แหละ จะเข้าไปเอง”
อีริคยิ้มร้าย และหันมาทางพรานสม
“แกบอกว่าปกติมันจะทำงานที่ปราสาทถึงห้าโมงเย็น แล้วค่อยกลับไปที่แคมป์ ฉันจะพาไอ้พวกนี้เข้าไปหาสำรวจห้องทำงานไอ้แก่เอง หน้าที่ของแกคือ อย่าให้มันเสนอหน้ากลับมาก่อน 5 โมง”
“ครับ”
“เดี๋ยวก็รู้ว่าไอ้แก่มันมีข้อมูลอะไรบ้าง”
อีริคยิ้มร้าย เล็งปืนมาที่ขวดอีกใบที่วางรออยู่ แล้วก็ยิงเปรี้ยง ขวดแตกกระจาย เสียงปืนดังสนั่นไปทั่วทั้งป่า
อาทิตย์รังสีสำรวจก้อนหิน และอ่านรายงานต่างๆอยู่ที่เดิม อ่อนศรี นั่งคอยดูแลอยู่ห่างๆ ระวีรำไพอยู่มุมหนึ่งทำเป็นจดโน่นจดนี่ไปเรื่อยเปื่อย ตาก็คอยมองพ่อไปด้วย อีกมุมหนึ่งไม่ใกล้มาก พรานสมมายืนทำเป็นมองๆดูก้อนหินที่ยกมารวมๆกันไว้ และคอยเฝ้าอาทิตย์รังสีแบบเนียนๆ ไม่ให้ผิดสังเกต
มานิตเดินออกมาจากห้องทำงาน แล้วก็เดินมาที่มอเตอร์ไซค์ สตารท์และขี่ออกไปพ้นหลังรถมอเตอร์ไซด์ ทั้งแคมป์ก็เงียบกริบ อีริค และสมุนอีก 3-4 คนโผล่ออกมา เขาเดินนำไปที่บ้านหลังใหญ่ สมุนมองซ้ายมองขวา คุมเชิงแล้วก็เดินตามไป
ในห้องทำงานของอาทิตย์รังสี เงียบ สงบ ประตูห้องค่อยๆเปิดเข้ามา อีริคเดินเข้ามาเป็นคนแรกมองรอบๆ อย่างระวังก่อนจะเดินเข้ามาในห้อง สมุน 2 คนเดินตามมาติดๆ และรีบปิดประตู อีริคสั่งการ
“ค้นให้ทั่ว เจออะไรที่เกี่ยวกับปราสาท หรือ โบราณสถาน โบราณวัตถุ ที่เรายังไม่มี เก็บกลับไปให้หมด”
ลูกน้องพยักหน้าและรีบรื้อค้นอย่างรวดเร็ว หน้าบ้านพักสมุนอีกหนึ่งคนยืนคุมเชิงอยู่อย่างระมัดระวัง
อาทิตยรังสีกำลังอ่านเอกสารรายงาน ทันใดนั้นก็รู้สึกเหมือนหน้ามืดๆ เขาปิดแฟ้มและหันมาทางอ่อนศรี
“อ่อนศรี...เดี๋ยวฉันจะกลับไปทำงานต่อที่บ้านพัก ไปเอารถมาไป”
“ครับ”
อ่อนศรีเดินไป อาทิตยรังสีค่อยๆพิงที่ขอบโต๊ะ รู้สึกมึนนิดๆ พรานสมหน้าเครียด
“จะกลับที่พัก” พรานสมดูนาฬิกา “นี่มันบ่ายสามเอง นายยังอยู่ที่แคมป์อยู่เลย รถกลับแคมป์ก็มีคันเดียว ไอ้อ่อนศรีก็ต้องไปกับไอ้แก่ เอาไงดีวะ”
พรานสมคิดๆแล้วก็ได้ความคิดร้ายกาจ พรานสมจิกตามองอาทิตยรังสีอย่างไม่หวังดี แล้วก็เดินเข้าไปหา
ระวีรำไพทำเป็นจดโน่นนี่ แล้วก็หันไปมองพ่อแล้วก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นพรานสมคุยกับพ่อแล้วก็สักพักพ่อก็พยักหน้า แล้วก็เดินตามพรานสมออกไป ระวีรำไพไม่วางใจ
“คุณพ่อจะไปไหน”
ระวีรำไพจะเดินตามไปแล้วก็นึกได้ คำพูดธราธรแว่บเข้ามา
“ถ้ามีอะไรต้องบอกพี่ก่อน”
ระวีรำไพละล้าละลัง แล้วก็ตัดสินใจ เอาวะ เธอตัดสินใจรีบวิ่งไปหาธราธรทันที
ระวีรำไพละล่ำละลักบอกอย่างเหนื่อย สองคนคุยกันอยู่ที่มุมหนึ่งของปราสาทไม่มีคนอื่น ธราธรแปลกใจมาก
“คุณอาไปกับพรานสม”
“ค่ะ...ไปไหนกันก็ไม่รู้ ปรางจะตามไป แต่จำได้ว่าพี่ชายใหญ่ให้บอกทุกอย่าง ก็เลยรีบมาบอกก่อน ปรางไปก่อนนะคะ”
ระวีรำไพจะวิ่งไปต่อ ธราธรดึงแขนไว้ เธอชะงักหน้าหงายตามแรงดึง
“ไม่ต้องไป เดี๋ยวพี่ไปเอง อยู่ที่นี่แหละ”
“แต่ว่า...”
เธอจะไม่ยอม เขาหันมาเรียกเกษราที่ยืนบันทึกอยู่ห่างออกไป แถวนั้นมีนักศึกษาคนอื่นอยู่ด้วย
“ก้องเกียรติ์”
เกษราหันมา
“ครับ”
เกษรารับคำและรีบวิ่งมาหา
“พี่ฝากมะปรางไว้หน่อย อย่าให้คลาดสายตา”
“เอ่อ...ค่ะ”
ธราธรหันมาทางระวีรำไพ
“คุณอาไปทางไหน”
ระวีรำไพชี้ไป
“ป่าทางด้านโน้นค่ะ”
ธราธรรีบไป ระวีรำไพมองตามด้วยความเป็นห่วง
“เกิดอะไรขึ้นเหรอคะน้องปราง”
เกษราถามด้วยความเป็นห่วง
หน้าบ้านเห็นสมุนยืนเฝ้าอยู่ อย่างระแวดระวัง...ในห้องทำงาน อีริค และพรรคพวกยังคงรื้อค้นห้องอย่างมุ่งมั่น รื้อตามชั้นหนังสือ ลิ้นชัก กล่องใส่ของ นาฬิกาเวลาบ่าย 3 โมงครึ่ง
นาฬิกาข้อมือพรานสม บอกเวลาบ่ายสาม สี่สิบนาที พรานสมเดินนำอาทิตยรังสีเข้ามาในป่า อาทิตยรัสีเริ่มเหนื่อย เหงื่อออกเต็มหน้า มองไปรอบๆ แล้วก็ถามขึ้น
“พรานสม...ที่เมื่อกี๊บอกฉันว่าเห็นร่องรอยของพวกโจรน่ะ แน่ใจเหรอว่ามันอยู่แถวนี้ ครั้งที่แล้วฉันเข้ามาสำรวจยังไม่เห็นไม่อะไรเลย”
“มีสิครับ คุณอาจจะไม่ทันสังเกต ผมรู้จักพื้นที่แถวนี้ดี ผมเลยเห็น”
“แล้วพรานสมรู้ได้ยังไง ว่ามันเป็นร่องรอยของโจร ไม่ใช่รอยของชาวบ้านที่เข้ามาหาของป่า”
พรานสมหันมา
“เดี๋ยวคุณเห็น...คุณก็รู้เอง”
พรานสมเดินนำเข้าไปต่อ อาทิตยรังสีเดินตาม เริ่มมีอาการเหนื่อยๆ เขาฝืนใจเดินตามด้วยความอยากรู้
ธราธรเดินอยู่ในป่า มองซ้ายมองขวา แล้วก็เห็นรอยหักของกิ่งไม้ เขาเดินตามไปด้วยความสงสัยและเป็นห่วงอาทิตยรังสี
อีริครื้อจนทั่วห้องแต่ไม่เจออะไรเลย
“ไม่เห็นจะมีอะไรที่เกี่ยวกับปราสาทชุดใหม่เลย...ไอ้แก่มันเก็บไว้ที่ไหนของมัน”
สมุนกำลังรื้อของที่โต๊ะตัวหนึ่งที่วางติดผนัง สมุนขยับโต๊ะแล้วหันมาทางอีริค
“นายครับ...”
อีริคหันไป สมุนเลื่อนโต๊ะออก ด้านหลังโต๊ะมีชั้นหนังสือ ในชั้นมีกล่องของวางอยู่มากมาย อีริคยิ้มร้าย
“รื้อมันออกมาให้หมด”
อีริคสั่งอย่างเด็ดขาด
อาทิตยรังสีเดินตามพรานสมอยู่ในป่า เริ่มมีอาการจุกเสียดที่หน้าอกเขาหยุดพัก เอามือจับต้นไม้ และ
พูดกับพรานสม
“ฉันไม่ไปแล้ว...เอาไว้ค่อยไปดูกันวันหลังก็แล้วกัน วันนี้ฉัน...กลับก่อน”
อาทิตยรังสีหันหลังกลับ พร้อมอาการจุกเสียดที่หน้าอก พรานสมดูนาฬิกาอีกทีเกือบสี่โมง เขารีบพูดขึ้น
“เดี๋ยวสิครับ ไปต่ออีกไม่ไกลก็ถึงแล้ว”
“ไม่เป็นไร...ฉัน...ฉัน”
ทันใดนั้นอาทิตยรังสีก็ล้มฟุบลงกับพื้นทันที พรานสมตกใจ
“เฮ้ย เป็นอะไรวะ”
พรานสมรีบเข้ามาดูพลิกตัวอาทิตยรังสีที่เป็นลมหมดสติอยู่ที่พื้น แล้วก็ตกใจ กลัวความผิด
“เฮ้ย...นิ่งไปเลย มันจะตายหรือเปล่าวะ”
ทันใดนั้นธราธรก็โผล่มาพอดี
“คุณอา”
พรานสมเงยหน้ามองธราธรด้วยความตกใจ ธราธรมองอาทิตยรังสีที่ฟุบอยู่ที่พื้นด้วยความตกใจมาก อาทิตยรังสีสลบหมดสติอยู่พื้น
กล่องของในตู้ลับถูกรื้อค้นอย่างไม่ละเอียด แต่ก็ยังไม่เจอ
“มันไปเก็บไว้ไหนของมันวะ”
อีริครื้อจนมาถึงกล่องสุดท้าย เป็นกล่องยาวๆ พอที่จะใส่แผนที่ได้ เขาหยิบออกมา แล้วก็รีบเปิดออกมาดูข้างในเห็นแผนที่ม้วนอยู่ อีริครีบหยิบแผนที่ออกมาวางบนโต๊ะ และคลี่ออกมาดู แล้วก็ตาวาว มันคือแผนที่ปราสาท 5 หลังของอ่อนศรีนั่นเอง อีริคยิ้มร้าย แววตาเต็มไปด้วยความพึงพอใจ ทันใดนั้นสมุนที่เฝ้าหน้าบ้านก็เปิดประตูผัวะเข้ามา
“ลูกพี่...พวกมันมาแล้ว”
อีริคเงยหน้าขึ้น ลมที่พัดเข้ามาจากประตูที่เปิดออก พัดแผนที่ปลิวออกจาก
ห้องทำงานออกไปอีกห้องหนึ่ง
“เฮ้ย”
สมุนหันรีหันขวาง
“รีบไปเถอะพี่...มันมาเต็มเลย”
“แผนที่...แผนที่อยู่ไหน ช่วยกันหาสิเว้ย”
อีริครีบก้มหาแผนที่ที่ปลิวหายไป สมุนก็ยืนมองเลิ่กลั่กๆ
“ไม่ทันแล้วพี่”
ด้านหลังสมุน ธราธร ชินกร อ่อนศรี มานิต แทน และนักศึกษาอีก 2-3 คน ช่วยกันแบกอาทิตยรังสีเข้ามา พร้อมส่งเสียงวุ่นวาย ธราธรสั่ง
“พาอาจารย์หม่อมขึ้นไปที่พักเลย หมอกำลังจะมาแล้ว”
สมุนรีบตะโกนขึ้น
“ลูกพี่ ต้องออกทางหน้าต่างแล้ว ไม่ทันแล้ว”
สมุนรีบกระโดดหนีไปทางหน้าต่างจนหมด เหลืออีริคคนเดียว เขาจำใจต้องตัดใจแล้วก็กระโดดหนีออกไป
“ไอ้บ้าเอ๊ย ทำไมมันต้องมาตอนนี้ด้วยวะ”
อีริคด่าไป ขณะกระโดดหายออกไปทางหน้าต่าง ธราธรกับคนอื่นๆ เดินขึ้นมาบนบ้าน โดยมีอาทิตยรังสีนอนอยู่ในเปลสนาม ทุกคนอยู่ในอาการตื่นตระหนก มานิตรีบบอก
“ห้องนี้เลยครับ”
ทุกคนยกอาทิตยรังสีเข้าไป ธราธรเดินตามไปรั้งท้าย ทันใดนั้นสายตาก็สะดุดเข้ากับห้องทำงานของอาทิตยรังสีที่เปิดทิ้งไว้ และของในห้อง ถูกรื้อกระจัดกระจาย ธราธรยืนมองอึ้ง
โปรดติดตามตอนต่อไป
สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายธราธร ตอนที่ 5 (ต่อ)
อุดมวิ่งกระหืดกระหอบมาหามานะกับปิติ ที่กำลังจดบันทึกหินอยู่ ไม่ไกลออกไป ระวีรำไพกับเกษรา ชะเง้อชะแง้รอธราธร อุดมละล่ำละลักด้วยความตื่นตระหนก
“กะ...เกิด...เกิดเรื่องใหญ่แล้ว อาจารย์หม่อม...อาจารย์หม่อมอาทิตย์”
ระวีรำไพหันขวับมาด้วยความตกใจ
“อาจารย์หม่อมอาทิตย์หมดสติอยู่ในป่า” อุดมเล่าต่อ
ระวีรำไพช็อก เกษรายืนอยู่ข้างๆ ช็อกไปด้วย
“อาจารย์หม่อม กับอาจารย์ชินกรเพิ่งพากลับไปที่แคมป์เมื่อกี๊นี้เอง”
อุดมพูดจบปุ๊บระวีรำไพวิ่งพุ่งออกไปอย่างเร็ว เกษรามองตามด้วยความตกใจ
“น้องปะ...” เธอรู้ตัวรีบเปลี่ยน “ตะวัน...ตะวัน จะไปไหน ตะวัน”
ระวีรำไพวิ่งพรวดออกไปเลย อุดม ปิติ มานะ มองด้วยความแปลกใจ
“ไอ้ก้อง ไอ้ตะวันมันวิ่งพรวดพราดไปไหนของมัน” อุดมหันมาถามเกษรา
“ไม่รู้เหมือนกัน”
เกษราจะวิ่งตามไป อุดมก็ดึงตัวไว้
“เดี๋ยวไอ้ก้อง”
เกษราหน้าหงายตามแรงดึง
“โอ้ย”
“ฉันมีเรื่องเกี่ยวกับไอ้ตะวันจะถามแก”
อุดมทำหน้าคาดคั้นสุดฤทธิ์ เกษรามองด้วยความแปลกใจ...ว่าเรื่องอะไร
บนถนนระหว่างปราสาทกลับแคมป์ ระวีรำไพวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต พุ่งกลับไปแคมป์อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เธอวิ่งไปด้วยความร้อนใจ
อาทิตยรังสีนอนอยู่บนเตียง หน้าตาดีขึ้น หมอกำลังคุยกับธราธร และ ชินกร มีมานิตและอ่อนศรี ยืนอยู่ไม่ห่างออกไป
“คุณชายร่างกายอ่อนเพลีย หัวใจทำงานหนัก ผมฉีดยาให้แล้ว พักสักสองสามวันน่าจะเริ่มดีขึ้น แต่ถึงดีขึ้นแล้วก็ควรจะพักผ่อนให้มากๆ งดทำงานหนัก และไม่ควรเดินป่านะครับ เสี่ยงเกินไป”
“ครับ ขอบคุณคุณหมอมากครับ”
ธราธรยกมือไหว้ หมอรับไหว้และจะเดินออกไป
“ผมไปส่งที่รถครับ”
มานิตรับกระเป๋ามา แล้วเดินออกไปพร้อมกับหมอ ทันทีที่หมอเดินออกไป ชินกรรีบถามขึ้น
“ตกลงมันเกิดอะไรขึ้นครับ ทำไมอาจารย์หม่อมถึงได้หมดสติอยู่ในป่า”
“ผมก็ไม่แน่ใจ คงต้องรอคุณอาตื่นขึ้นมา แล้วถามท่านอีกที” ธราธรกังวลขึ้นมา “แต่ตอนนี้...มีอีกเรื่องที่ผมเป็นกังวลมากกว่า”
ชินกร อ่อนศรี มองธราธรด้วยความแปลกใจ ชินกรถามอย่างสงสัย
“เรื่องอะไรครับ”
ชินกรกับอ่อนศรีรอฟังด้วยความอยากรู้
รองท้าระวีรำไพเลอะไปด้วยฝุ่นหนาเขรอะ เธอยังคงวิ่งอยู่กลางแสงแดดจ้า เหงื่อชุ่มไปทั้งหน้า ระวีรำไพหน้าแดงกร่ำ เลือดสูบฉีด หัวใจเต้นแรงด้วยความเหนื่อย แต่ยังฝืนวิ่งต่อไปด้วยความเป็นห่วงพ่อ หนทางข้างหน้ายังยาวไกล
ในห้องทำงานของอาทิตยรังสี กองหนังสือถูกจัดเก็บเข้าที่เดิม ธราธร ชินกร อ่อนศรี เก็บของเข้าที่เดิมเรียบร้อย
“ตกลงมีอะไรหายไปบ้างหรือเปล่า” ธราธรหันมาทางอ่อนศรี
อ่อนศรีมองไปรอบๆ
“ไม่มีนะครับ เท่าที่ผมจำได้ ทุกอย่างก็อยู่ครบ”
“แต่ที่จริงในห้องนี้ก็มีแต่หนังสือ แล้วก็เอกสารราชการ ถ้าพวกโจรที่มันต้องการของมีค่า มันก็ไม่น่าจะได้อะไร”
ธราธรมองไปรอบๆห้อง พร้อมกับคิด
“คนที่เข้ามาค้นอาจจะไม่รู้ว่าห้องนี้ไม่มีของมีค่า เลยกลับไปมือเปล่า หรือไม่ก็...รู้อยู่แล้วว่าห้องนี้มีแต่เอกสาร...แต่เป็นเอกสารที่พวกมันต้องการ”
ธราธรมองไปรอบๆอีกที ชินกรมองแล้วก็ถามพรางคิด
“ถ้าเป็นแบบหลัง...เอกสารที่มันต้องการคืออะไร”
ทั้งสามคนช่วยกันมองและคิด ธราธรก็เหลือบไปเห็นแผนที่ที่ม้วนตกอยู่ที่พื้น เขาขมวดคิ้วแปลกใจก้มลงไปและยื่นแขนเข้าไปใต้ตู้เก็บแผนที่ขึ้นมา ธราธรคลี่ออกมาดูด้วยความแปลกใจ
“แผนที่อะไร”
อ่อนศรีจำได้
“แผนที่ของผมเองครับ”
ธราธรกับชินกรมองหน้าอ่อนศรีด้วยความแปลกใจ
ระวีรำไพขาลาก หน้าแดงก่ำ แต่ยังฝืนวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต
“คุณพ่อ...อย่าเป็นอะไรนะคะ”
ระวีรำไพปาดเหงื่อ มองไปข้างหน้า เห็นประตูแคมป์อยู่ข้างหน้า เธอกัดฟันส่งเสียงในลำคอ สู้เว้ย แล้วก็วิ่งลากขาเข้าไปที่แคมป์ด้วยใจอันกล้าแกร่ง
แผนที่ 5 ปราสาทวางไว้บนโต๊ะ อ่อนศรีอธิบายให้ชินกรและธราธรฟัง
“นี่เป็นแผนที่ของปราสาท 5 หลังที่ผมเพิ่งเจอในป่า ผมเดินเท้าเข้าไปสำรวจ แล้ววาดแผนที่เก็บไว้ มอบให้อาจารย์หม่อมอาทิตย์ตั้งแต่วันแรกที่ท่านมาถึง ท่านรับไว้และเก็บอย่างดี...ผมไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมมันถึงตกอยู่ตรงนี้”
ชินกรมองแล้วก็คิด
“หรือว่า...พวกโจรมันต้องการแผนที่อันนี้”
ธราธรแปลกใจ
“ถ้ามันต้องการแล้วทำไมไม่เอาไปด้วย”
ชินกรกับอ่อนศรีพยักหน้าเห็นด้วย ชินกรสงสัย
“แล้วตกลงพวกนั้นมันเป็นใคร แล้วมันต้องการอะไรกันแน่”
เงียบ...ไม่มีใครตอบได้ อ่อนศรีคิดๆ และ ตัดสินใจเลียบๆเคียงๆถาม
“อาจารย์คิดว่า...ไอ้พรานสมมันจะรู้เห็นเป็นใจกับเรื่องนี้หรือเปล่าครับ”
ธราธรก็สงสัย
“แต่พรานสมก็อยู่กับคุณอาในป่า...ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะเกี่ยวหรือเปล่า”
ทั้งสามคนยังตีบตัน คิดไม่ออกอ่อนศรีตัดสินใจพูดเปิดอก
“บอกตรงๆ ผมไม่ไว้ใจมันยังไงก็ไม่รู้ ผมเป็นพรานอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เกิด ยังไม่เคยได้ยินชื่อ หรือเห็นหน้ามันมาก่อน อยู่ๆมาสมอ้างว่าเป็นพราน พรานจริงหรือพรานโจรก็ไม่รู้”
ธราธรกับชินกรนิ่งคิด...เริ่มกังวล ไม่วางใจ
ระวีรำไพวิ่งเข้ามาหน้าบ้านพักหลังใหญ่หน้าแดงกร่ำ เหงื่อออกเต็มตัว ขาลากแทบไม่มีแรง ไม่ไกลกันมานิต เพิ่งกลับจากเดินไปส่งหมอ กำลังจะเดินเข้าไปในบ้านพัก ระวีรำไพส่งเสียงถาม อย่างเหนื่อยๆ
“อาจารย์มานิตครับ...อาจารย์...มา...นิต”
มานิตหันมาเห็นสภาพระวีรำไพก็แปลกใจ
“นายตะวัน”
ระวีรำไพรวบรวมแรงสุดแรงถาม
“อา...จารย์...หม่อม...อาทิตย์...เป็น...ยังไงบ้าง......”
แล้วระวีรำไพก็หน้ามืด เป็นลมล้มลง มานิตรีบรับไว้ด้วยความตกใจ
“เฮ้ย...ตะวัน นายตะวัน”
มานิตประคองระวีรำไพไว้ด้วยความตกใจ...ธราธรได้ยินเสียงมานิตเรียกชื่อตะวันก็แปลกใจหันขวับออกมามองที่หน้าบ้านเห็นระวีรำไพสลบพิงมานิตอยู่ ธราธรตกใจ
“ตะวัน”
ธราธรรีบวิ่งออกไปด้วยความร้อนใจ ชินกรมองตามงงๆ ทำไมเป็นห่วงนักวะ แล้วก็รีบเดินตามออกไปด้วยความอยากรู้ อ่อนศรีชะเง้อมองด้วยความงงนิดๆ
มานิตประคองระวีรำไพมาที่แคร่ ค่อยๆวางให้เอนหลังลงนอน มานิตมองแล้วคิดๆ
“เป็นลมไปแล้ว...เอาไงดี”
มานิตคิดแล้วก็ตัดสินใจดึงเสื้อออกจากกางเกง แล้วมองมาที่เสื้อเชิ้ตของระวีรำไพเห็นติดกระดุมปิดมาเกือบจะถึงคอ
“ถอดเสื้อออกแล้วกัน จะได้หายใจคล่องๆ”
มานิตพูดจบก็เอื้อมมือมาจะแกะกระดุมเสื้อ ทันใดนั้นเสียงธราธรก็ดังขึ้น
“เดี๋ยวครับ”
มานิตชะงักมือ หันมา เห็นธราธรรีบวิ่งมาจากในบ้าน พอเห็นระวีรำไพนอนอยู่ก็แปลกใจ
“ตะวันเป็นอะไรครับ”
ชินกรเดินตามมา มานิตหันมาบอก
“เป็นลม วิ่งมาจากไหนก็ไม่รู้ พูดได้สามสี่คำก็ล้มไปเลย เรียกก็ไม่ตื่น พี่ว่าจะถอดเสื้อออก เผื่อจะหายใจหายคอได้คล่องขึ้น”
มานิตพูดจบก็หันไปปลดกระดุมระวีรำไพ ธราธรถึงกับร้องห้ามไว้ทันที
“ไม่เป็นไรครับ”
มานิตชะงักกึก หันมา
“เดี๋ยวผม...ดูแลเองครับ”
ธราธรพูดจบก็รีบเข้ามาอุ้มระวีรำไพไปเลย ชินกรหันขวับมามองหน้าธราธร...โอ้โหหวงขนาดนี้เลย ชินกรมองตาม มานิตก็มองตามไปด้วยก่อนจะหันมาบอกชินกร
“ดูท่าทางคุณชายใหญ่จะเป็นห่วงตะวันมากเลยนะครับ”
ชินกรชะงักนิดๆ
“เอ่อ...ก็...คุณชายเป็นคนขอตัวเด็กตะวันมาช่วยงานน่ะครับ ก็เลยต้องรับผิดชอบ...ผมขอตัวไปช่วยคุณชายใหญ่ก่อนนะครับ”
ชินกรพูดจบก็เดินตามธราธรไปด้วยความอยากรู้
ในบ้านพักหลังเล็ก ธราธรค่อยๆวางระวีรำไพลงที่โซฟาในห้องรับแขก แล้วก็มองหน้าด้วยความเป็นห่วง เขามองที่รองเท้าฝุ่นเขรอะ
“สงสัยจะวิ่งมาจากที่ปราสาท ตั้งสิบกว่ากิโล ไม่แปลกใจที่จะเป็นลม เฮ่อ...”
ธราธรขยับนั่งลงข้างๆ และค่อยๆถอดรองเท้าให้อย่างอ่อนโยน ชินกรเดินมาแล้วก็หยุดคิด เอาไงดีจะเข้าไปแบบปกติ หรือจะแอบดูดี ชินกรคิดๆ แล้วก็ตัดสินใจค่อยๆย่องอย่างแผ่วเบา เพื่อแอบส่องธราธรให้หายคาใจ...ธราธรค่อยๆ ถอดรองเท้าให้ระวีรำไพอย่างไม่รังเกียจ ถอดรองเท้า แล้วก็ถอดถุงเท้า ชินกรย่องขึ้นมาถึงที่หน้าประตู เห็นตอนที่ธราธรถอดถุงเท้าพอดี เขาถึงกับอึ้งไป เผลอพูดออกมา
“ถอดถุงเท้า รองเท้าให้ด้วย”
ชินกรอ้าปากเหวอ ธราธรชะงัก...เสียงอะไรหันขวับมา ชินกรตกใจแล้วก็รีบหลบวูบ ธราธรไม่เห็นอะไร ขมวดคิ้วคิด คงหูฝาด แล้วก็หันกลับมาวางถุงเท้าไว้ข้างๆรองเท้า ก่อนจะลุกไปที่ห้องน้ำ ชินกรค่อยๆโผล่หน้าออกมา
“คุณชายใหญ่...ทำให้นายตะวันขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย”
ชินกรแววตาเต็มไปด้วยคำถาม และความหวาดระแวง
เกษรานั่งหน้าไม่วางใจอยู่บนก้อนหิน ใต้ร่มไม้ มุมหนึ่งของปราสาท อุดม มานะ ปิติ ยืนล้อมอยู่ เหมือนกำลังซักปากคำ
“แกแน่ใจเหรอว่าไอ้ตะวัน...มันเป็นผู้ชายแท้ๆ”
เกษรากลืนน้ำลายเอื้อก แล้วก็พยายามโกหกให้เนียน
“ผมก็บอกตั้งหลายครั้งแล้วว่า ตะวันเป็น ผู้ชาย จริงๆ”
อุดมสะบัดเสียงใส่
“แต่ข้าไม่เชื่อ”
เกษราสะดุ้งนิดๆ
“ทะ...ทำไมไม่เชื่อครับ”
“ก็...ลักษณะมันไม่เหมือนผู้ชายแท้ๆ แกเข้าใจหรือเปล่า ผู้ชายแท้ๆ” อุดมชี้ตัวเอง “แบบข้า” ชี้มานะ “แบบไอ้มานะ” ชี้ปิติ “แบบไอ้ปิติ” แล้วก็จะชี้เกษรา “แบบแก...” แล้วอุดมก็ชะงักกึก มองเกษราแบบไม่แน่ใจ
“ไม่ว่ะ...แกเองก็ไม่เหมือนผู้ชาย...” อุดมจ้องหน้า “หรือว่า...แกสองคนจะไม่ใช่ผู้ชายจริงๆ”
เกษราสะอึก...ใจเสียหรือว่าจะโดนจับได้ ปิติปลอบ
“ก้อง...ถ้าแกไม่ใช่ผู้ชาย แกบอกพวกเราตรงๆก็ได้ ถึงมันจะเป็นเรื่องน่าอาย แต่ไม่ต้องอายนะ เราไม่บอกคนอื่นหรอก”
มานะเสริม
“ใช่ เราจะเก็บเป็นความลับระหว่างเรา 4 คน”
อุดมคาดคั้น เกือบจะคุกคาม
“บอกมา...แกกับไอ้ตะวันไม่ใช่ผู้ชายจริงๆใช่หรือเปล่า”
เกษราหน้าเสียเลิ่กลั่กๆ แย่แล้ว...โดนจับได้แน่ๆ อุดมยื่นหน้าเข้ามา
“แกสองคนไม่ใช่ผู้ชายแท้ๆ...แต่แกสองคนเป็น...ผู้ชายที่รักผู้ชายด้วยกัน”
เกษราผงะ งง มองหน้าอุดม
“ผู้ชายที่รักผู้ชาย”
เกษราอึ้ง เหวอ
ธราธรวางกะละมังอันเล็กลงบนโต๊ะข้างๆระวีรำไพ เขาใช้ผ้าเล็กๆนุ่มๆชุบน้ำและค่อยๆเช็ดที่หน้าอย่างห่วงใย มองระวีรำไพแล้วก็บ่นๆ แบบห่วงๆ
“ทำอะไรไม่ดูตัวเองอีกแล้ว...ตื่นมาต้องดุให้เข็ด”
ธราธรทำเป็นบ่น แต่ก็เช็ดตัวให้อย่างนุ่มนวล ระวีรำไพเหมือนจะรู้ว่าโดนดุ แอบครางเบาๆ ด้วยความเคืองเล็กๆ จากจิตใต้สำนึก
“อื้อ”
“แน่ะ...ขนาดไม่รู้สึกตัว ยังจะเถียงได้อีก”
ธราธรขำด้วยความเอ็นดู แล้วก็เช็ดแขนให้อย่างอ่อนโยน เขารดูแลเธออย่างดี ถูก
เนื้อต้องตัวอย่างให้เกียรติ ชายหนุ่มมองหญิงสาวด้วยความรัก ทั้งแววตา และการสัมผัสอย่างนุ่มนวล ชินกรค่อยๆชะโงกหน้าออกมาแอบมอง แล้วก็กลืนน้ำลายเอื้อก นี่มันอะไรกัน
เกษราโวยเสียงดัง
“ผู้ชายจะรักผู้ชายได้ยังไงครับ” เธอพูดต่อด้วยความโล่งอกลึกๆ “ฟ้าผ่ากันพอดี พวกนายคิดอะไรวิตถาร ผมไปทำงานต่อนะครับ ไม่อยากโดนอาจารย์ดุ โทษฐานอู้งาน”
เกษราพูดจบก็ลุกขึ้นเดินไปเลย ชิ่งเนียนๆ ปิติ มานะ มองตามเธอนิดๆแล้วก็คิดเห็นด้วย
“ก้องพูดถูก เรามัวแต่มาคาดคั้นก้องอยู่ตั้งนาน เสียเวลาทำงานหมดเลย ฉันไปทำงานก่อนนะ”
ปิติเดินไป มานะยอกกับอุดม
“ฉันว่าบางทีเรื่องอาจารย์หม่อมกับไอ้ตะวันมันอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่แกคิดก็ได้ เลิกคิด แล้วไปทำงานได้แล้ว...ปิติรอด้วย”
มานะเดินตามไป อุดมหน้าเหวอ
“อ้าว เฮ้ย เดี๋ยวสิ อย่าเพิ่งไป”
ไม่มีใครหยุดสักคน อุดมเครียด
“ไม่จริง...ไอ้ก้องมันต้องโกหก ไอ้ตะวันกับอาจารย์หม่อมต้องมีอะไรที่มันลึกซึ้งมากกว่าที่เราเห็นแน่ๆ”
อุดมยังหมกหมุ่นไม่เลิกรา
เกษราเดินมาหยุดที่มุมหนึ่งของปราสาท เป็นมุมปลอดคน แล้วก็ถอนหายใจเบาๆ
“เฮ่อ...นึกว่าจะโดนจับได้ซะแล้ว”
เธอคิดถึงระวีรำไพ หันมามองไปที่หน้าปราสาท จุดที่ระวีรำไพวิ่งออกไป
“น้องมะปรางจะเป็นยังไงบ้างนะ”
ระวีรำไพยังสลบอยู่ เสื้อถูกปลดออกหลวมๆ หน้าดีขึ้น เริ่มมีเลือดฝาด ธราธรเอาก้อนสำลีใส่แอมโมเนียมาโบกไปมาที่จมูก ระวีรำไพได้กลิ่นฉุนก็ขยับส่ายหน้า รู้สึกนิดๆ แล้วเบือนหน้าออกจากกลิ่นที่ฉุนกึ๊ก ธราธรวางสำลีไว้บนโต๊ะ แล้วเอามือจับผมที่ปิดหน้าให้เปิดออก มองหน้าระวีรำไพแล้วยิ้มอย่างอ่อนโยน...ชินกรค่อยๆโผล่มาเห็นพอดี...ยิ้มแบบนี้มันชัดมาก ชินกรหน้าเสีย...ธราธรลุกขึ้น ชินกรรีบหลบวูบ
ธราธรเดินถือกะละมังที่วางอยู่บนโต๊ะ แล้วเดินออกไป ชินกรยืนนิ่ง...รอจังหวะสักพัก แล้วก็ค่อยๆ ชะโงกหน้าเข้าไปอีกทีอย่างช้าๆ ลุ้นๆ ทันทีที่ชินกรชะโงกหน้าพ้นกรอบประตูออกมาก็เจอะเข้ากับหน้าของธราธรที่ยืนอยู่ ชินกรร้องด้วยความตกใจ
“เฮ้ย”
ชินกรกระโดดออกมา ธราธรร้องลั่น
“เฮ้ย”
ระวีรำไพสะดุ้งนิดๆ ทั้งที่ยังหลับตาอยู่สติค่อยๆกลับมานิดๆ...ชินกรมองหน้าธราธรตกใจ ธราธรมองหน้าชินกรด้วยความงุนงง
“อาจารย์ชินกรตกใจ จนผมตกใจไปด้วยเลย”
ชินกรรีบหัวเราะกลบเกลื่อน
“แหะๆ ก็ผมไม่คิดว่าคุณชายใหญ่จะมายืนตรงนี้”
ธราธรงง
“ผมก็ไม่คิดว่าอาจารย์ชินกรจะมายืนอยู่ตรงนี้เหมือนกัน แล้วอาจารย์มาทำอะไรอยู่ตรงนี้ครับ”
ชินกรอึกอัก
“เอ่อ...คือ...ผมมา...” แล้วนึกออก “มาช่วยคุณชายน่ะครับ แล้วนี่...ตะวันเป็นอะไรมากหรือเปล่า มีอะไรให้ช่วยมั้ยครับ”
ชินกรรีบเปลี่ยนเรื่อง เนียนๆ ธราธรคิดแล้วก็ตอบ
“มีครับ”
ชินกรมาที่ปราสาท มาตามเกษราให้ไปที่แคมป์ เขายืนคุยกับเธออยู่ที่หน้าปราสาท เกษราถามด้วยความแปลกใจ
“ให้ผมกลับไปที่แคมป์”
“ใช่ ตะวันเป็นลม นอนสลบอยู่ที่บ้านพัก”
เกษราตกใจ
“ตะวันเป็นลม”
“ใช่ อาจารย์หม่อมให้ฉันมารับนายไปช่วยดูแลนายตะวัน”
“ครับๆ ได้ครับ เอ่อ...แล้วไปตอนนี้เลยใช่มั้ยครับ”
“ใช่ เดี๋ยวฉันขับรถไปส่ง”
ชินกรเดินนำไป เกษราอึกอัก ยังไม่ขยับตาม
“อ้าว ยืนนิ่งทำไม ไปสิ” ชินกรหันมาถาม
“คือ...เราไปกันแค่สองคนเหรอครับ”
“ใช่ ทำไม ไปสองคนแล้วมันเป็นยังไง”
เกษราอึกอัก แต่พยายามทำปกติ
“เอ่อ...”
ชินกรเห็นเธออึกอักก็ทัก
“ถ้าไม่ไปกับฉัน ก็วิ่งไปเหมือนนายตะวันก็แล้วกัน...เอาไง”
เกษราสะอึกนิดๆ คิดๆ แล้วก็ตัดสินใจเดินไปที่รถ ชินกรส่ายหน้านิดๆ บ่นๆเบาๆ
“เล่นตัวเป็นผู้หญิงไปได้”
ชินกรบ่นๆแล้วก็เดินตามไป...เกษราเปิดประตูรถขึ้นมานั่ง ชินกรขึ้นอีกฝั่ง ปิดประตู เกษราปิดประตูไม่ได้ติดอะไรบางอย่าง เธอปิดเท่าไหร่ก็ปิดไม่สนิท จนชินกรหันมามอง เธอก็ยังปิดไม่ได้ ชินกรส่ายหน้า
“เดี๋ยวฉันปิดให้”
ชินกรพูดจบก็พุ่งตัวเข้ามา เอื้อมมือผ่านหน้าเกษราไปปิดประตู เขาปิดได้อย่างง่ายดาย เกษรานั่งตัว
แข็งทื่อ
“ไม่เห็นจะยากเลย ไม่มีแรงหรือไงหะ”
ชินกรหันหน้ามาทางเกษรา แล้วก็ชะงักกึก เพราะหน้าเธออยู่ในระยะใกล้มาก ต่างคนต่างอึ้ง ต่างคนต่างใจเต้นแรงและหน้าแดงกร่ำ ชินกรรีบดันตัวกลับประจำที่ แล้วทำเป็นโวยวายกลบเกลื่อน
“ทำไมต้องทำหน้าแดงด้วย เขินฉันหรือไงหะ ไม่ต้องเขิน ผู้ชายกับผู้ชาย ทำไมต้องเขินด้วย ไม่ต้องเขินรู้หรือเปล่า”
เกษรางงๆ นั่งตัวลีบ
“รู้ครับ”
“ดี รู้ก็ดี คราวหน้าจะได้ไม่ต้องมาเขินอายหน้าแดงแบบนี้อีก มันไม่สมกับเป็นผู้ชาย จำไว้”
“ครับ...จะจำไว้ครับ”
เกษรารับคำแล้วก็ก้มๆหน้า พยายามทำใจให้ปกติ ไม่ตื่นเต้น ชินกรพอพูดจบก็ทำขรึมหันหน้ามาอีกทางอมยิ้มนิดๆ หน้าแกงกร่ำเขาอายแต่ทำเป็นไม่ยอมรับ
ในบ้านพักหลังเล็ก ธราธรเดินออกมาจากห้องน้ำพร้อมผ้าขนหนูบิดหมาดๆ และเดินไปหยิบขวดยาแดง สำลีก่อนจะเดินมานั่งลงที่ปลายเท้าของระวีรำไพ และค่อยๆพับขากางเกงของเธอขึ้นมาถึงหัวเข่า เขาจับเท้าของเธอพลิกดูอย่างอ่อนโยน แล้วก็พูดด้วยความเป็นห่วง
“เท้าพองไปหมดเลย เฮ่อ”
ธราธรค่อยๆใช้ผ้าเช็ดขาระวีรำไพไล่มาตั้งแต่หัวเข่าและเช็ดเบาๆที่ฝ่าเท้า แล้วหันไปหยิบขวดยาแดงมาเทใส่สำลีและใส่แผลให้อย่างใส่ใจ ระวีรำไพค่อยๆ รู้สึกตัว ปรือตาขึ้นมามองเห็นธราธรนั่งอยู่ที่ปลายเท้ากำลังใส่ยาให้อย่างอ่อนโยน เธอพูดขึ้นเบาๆ
“พี่ชายใหญ่...”
ธราธรเงยหน้ามองแล้วลุกขึ้นมานั่งลงข้างๆ ระวีรำไพเหนื่อยๆ เบลอๆ เหมือนงง ค่อยๆเอื้อมมือมาจับแขนเขาเบาๆ
“พี่ชายใหญ่...อย่าทิ้งคุณพ่อนะคะ พี่ชายใหญ่ดูแลคุณพ่อด้วยนะคะ พี่ชายใหญ่...”
แล้วเธอก็หลับต่อ ธราธรจับมือเธอเบาๆ
“พี่ไม่ทิ้งคุณอา กับน้องปรางแน่นอนค่ะ”
ธราธรมองยิ้มอบอุ่น ระวีรำไพหลับตาแต่ได้ยินเสียงเขาพูดเบาๆ เหมือนอยู่ไกลๆ หญิงสาวอมยิ้ม
นิดๆ ธราธรมองแล้วก็ยิ้มตาม...คิดถึงเหตุการณ์ในอดีต
ในอดีต ระวีรำไพตอนอายุประมาณ 4-5 ขวบ นอนกอดตุ๊กตาอยู่บนเตียงในห้องนั่งเล่น เตรียมตัวนอนกลางวัน ธราธรนั่งอยู่ข้างๆ ระวีรำไพจับแขนเขาไว้พูดด้วยอาการง่วงมาก แต่ยังห่วงเล่น
“พี่ชายใหญ่...อย่าเพิ่งกลับนะคะ...น้องปรางนอนกลางวันเดี๋ยวเดียว น้องปรางตื่นมา แล้วเล่นกันต่อนะคะ...พี่ชายใหญ่ อย่าเพิ่งกลับนะ...คะ...อย่าทิ้งน้องปรางนะ”
แล้วเธอก็หลับไปเลย ธราธรยิ้ม
“พี่ชายใหญ่จะไม่ไปไหน จะรอจนกว่าน้องปรางจะตื่นมาเล่นด้วยกันนะครับ”
ธราธรยิ้มอบอุ่น แล้วลูบผมระวีรำไพอย่างทะนุถนอม
ธราธรนั่งมองระวีรำไพด้วยแววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักและเอ็นดูเหมือนเดิม เขาอมยิ้มนิดๆ ก่อนจะหันไปหยิบพัดที่วางอยู่ไม่ไกลมาพัดให้...ลมอ่อนๆจากพัดใบลานพัดผ่านใบหน้าของระวีรำไพอย่างช้าๆ ธรา
ธรพัดให้อย่างใส่ใจไม่เหน็ดเหนื่อย...ความสวยงามของความรักความผูกพันเบ่งบานเต็มบ้านพัก
รถชินกรแล่นมาตามถนน เกษรานั่งตัวลีบอย่างระมัดระวัง มองไปข้างทาง พยายามไม่สบตาเขา เธอนั่งมองวิวไป พยายามทำเป็นสบายอารมณ์ ชินกรขับรถไป ก็แอบมองไป มองแล้วก็อมยิ้ม...เกษรารู้สึกเหมือนโดนมองหันขวับมา ชินกรรีบหันขวับทำเป็นไม่ได้มอง แล้วก็เก๊กหน้านิ่ง เกษราเห็นว่าไม่ได้มองก็หันกลับไปมองวิวต่อ ชินกรก็ปรายตามาเหล่ๆแล้วก็อมยิ้ม...
ธราธรนั่งพัดให้ระวีรำไพอย่างน่ารัก พัดไปมองหน้าไป ระวีรำไพนอนหลับพริ้มน่าทะนุถนอม ธราธร
อมยิ้มมีความสุข
ชินกรขับรถไปยิ้มไป แอบมองเกษราไปด้วย อย่างมีความสุข โดยไม่รู้ตัว...เกษรานั่งมองวิวข้างนอกแล้วก็รู้สึกสบายใจขึ้นมา ค่อยๆเอนหลังนั่งพิงเบาะด้วยอาการสบายๆขึ้นไม่เกร็งเหมือนตอนเพิ่งขึ้นมาบนรถ พลังบางอย่างที่ซึมออกมาจากชินกรทำให้เกษรารู้สึกปลอดภัยและเป็นกันเอง เธอนั่งมองวิวด้วยความสบายใจ
ระวีรำไพนอนอยู่ที่เดิม ลมอ่อนจากพัดของธราธร ทำให้เธอรู้สึกสบายตัว....ระวีรำไพ ธราธร ชินกร และ เกษรา หนุ่มสาวสี่คน...คนหนึ่งยังไม่รู้ใจตัวเอง...คนหนึ่ง ไม่กล้ายอมรับใจของตัวเอง...คนหนึ่ง ฝืนใจตัวเอง...และ คนหนึ่งยังไม่เข้าใจใจของตัวเอง...
สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายธราธร ตอนที่ 5 (ต่อ)
กลางป่าใหญ่...ด้านหน้าถ้ำ อิริคปาขวดวิสกี้ใส่โขดหินอย่างแรง ขวดแตกกระจาย เพล้ง อีริคโวยวายด้วยความไม่พอใจ
“อีกนิดเดียว ฉันก็จะได้แผนที่มาแล้ว” เขาหันมาด่าพรานสม “แกจะรีบกลับมาทำไมหะ”
พรานสมยืนอยู่รับคำด่า หน้าเสีย ห่างออกไป เอ็ดเวิร์ดนั่งไขว่ห้างบนโขดหินอย่างถือตัว มองอีริค
ด่าพรานสมด้วยหางตา
“ก็...ไอ้อาจารย์แก่มันเป็นอะไรของมันก็ไม่รู้ อยู่ๆก็ล้มแน่นิ่งลงไปกับพื้น แล้วไอ้คุณชายมันก็มาเห็นพอดี มันก็เลยลากกันออกไปจากป่า ผมก็ไม่รู้จะห้ามยังไง”
เอ็ดเวิร์ดพูดแทรกด้วยความรำคาญ
“ไอ้ธราธรมันน่ารำคาญจริงๆ” เอ็ดเวิร์ดลุกขึ้นเดินมาหา “ถ้าฉันได้สิ่งที่ต้องการเมื่อไหร่ ฉันไม่ไว้หน้ามันแน่”
เอ็ดเวิร์ด พูดถึงธราธรด้วยความเกลียดชัง อีริคหันมาบอก
“ตอนนี้เราก็รู้แล้วว่าพวกมันมีแผนที่ของปราสาทชุดใหม่ที่ทางการยังไม่ได้สำรวจ เราต้องหาทางเอาแผนที่มาให้ได้ และรีบไปปราสาทก่อนพวกมัน จากนั้นก็กวาดทุกอย่างไปให้หมด กว่าพวกมันจะไปถึง ก็คงจะเหลือแต่ซากก้อนหินเก่าๆ ที่ไร้ค่า”
อีริคยิ้มร้าย เอ็ดเวิร์ดยิ้มตาม
“ดี...รู้แล้วก็รีบหาทางขโมยแผนที่นั้นมาให้เร็วที่สุด แล้วจำไว้...อย่าทำให้ฉันต้องเดือดร้อน”
อีริคพยักหน้ารับ และ หันมาทางพรานสม
“ได้ยินแล้ว ก็รีบไปจัดการให้เรียบร้อย”
“ครับ...รับรองว่าครั้งนี้ไม่พลาดแน่”
พรานสมตอบรับด้วยความแน่วแน่ เอ็ดเวิร์ดยิ้มร้าย ด้วยความพอใจ
เย็นนั้น ระวีรำไพสะดุ้งตื่น
“คุณพ่อ”
เธอพรวดลุกขึ้นมานั่ง ใจเต้นแรง...ระวีรำไพอยู่ในห้องนอนแล้ว ผมปล่อยยาว เสื้อผ้า
เปลี่ยนมาเป็นเสื้อใส่สบายๆ เธอมองไปรอบๆด้วยความแปลกใจ ค่อยๆตั้งสติ มองห้อง มองเสื้อผ้า แล้วก็
ตกใจ
“เป็นชุดนี้ได้ยังไง”
เกษราในชุดผู้ชายเปิดประตูห้องเข้ามาพร้อมกับถาดใส่แก้วน้ำ และชามข้าวต้ม พอเห็นว่าระวี
รำไพตื่นแล้วก็ดีใจ
“น้องปราง”
ระวีรำไพหันมา เกษรารีบปิดประตูและเดินมาหาวางถาดไว้ที่โต๊ะข้างๆ
“หิวมั้ยคะ พี่เตรียมน้ำ เตรียมข้าวต้มไว้ให้ แล้วนี่รู้สึกตัวนานหรือยังคะ”
“ไม่นานค่ะ...แล้วปรางมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ใครเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ปรางคะ”
“พี่ชายใหญ่ค่ะ”
ระวีรำไพตาโต
“หะ...พี่ชายใหญ่”
เกษรารีบบอก
“พี่ชายใหญ่อุ้มน้องปรางเข้ามาค่ะ แต่พี่เป็นคนเปลี่ยนเสื้อผ้าให้”
ระวีรำไพโล่งอก
“เฮ่อ...แล้วไป...” เธอยกมือไหว้ “ขอบคุณพี่เกษมากนะคะ”
เกษรายิ้มรับ แล้วพูดต่อ
“พี่ไม่อยากเชื่อเลยนะว่าน้องปรางจะวิ่งจากปราสาทมาที่แคมป์ มันไม่ใช่ระยะทางใกล้ๆเลยนะ ไม่แปลกที่จะเป็นลม”
“ปรางเป็นห่วงคุณพ่อ แล้วที่ปราสาทก็ไม่มีรถ ปรางก็ต้องวิ่งอย่างเดียว...แล้วคุณพ่ออาการเป็นยังไงบ้างคะ”
ระวีรำไพถามด้วยความอยากรู้ และเป็นห่วง
อาทิตยรังสีนอนอยู่อย่างสงบ หน้าห้องประตูค่อยๆเปิดเข้ามา...สักพักระวีรำไพที่แต่งเป็นชายแล้วค่อยๆโผล่หน้าออกมา ในมือถือถาดอาหารมาด้วย เกษราย่องๆตามเข้ามาติดๆ ถือถาดเครื่องดื่มเข้ามา สองคนเดินเข้ามาในห้องแล้วก็มองไปที่อาทิตยรังสีที่นอนอยู่...ระวีรำไพวางถาดข้าวแล้วก็หันไปจัดยาวางไว้ในถ้วยเล็กๆที่วางอยู่บนโต๊ะ ก่อนจะค่อยย่องๆ เข้ามาใกล้ๆ มองเพื่อให้แน่ใจว่าพ่อปลอดภัยดี ทันใดนั้นอาทิตยรังสีก็ลืมตาขึ้น ระวีรำไพสะดุ้งโหยง
“อุ๊ย”
ระวีรำไพรีบก้มหน้างุด แล้วถอยกรูดออกไปให้ห่างอาทิตยรังสีที่ปรือตามอง
“ใคร”
ระวีรำไพไม่กล้าตอบ ก้มหน้างุดๆ แอบอยู่หลังเกษรา ทำให้เกษราต้องพูดแทน
“ผมสองคนเป็นนักศึกษาครับ อาจารย์หม่อมให้ผมยกอาหารมาให้ครับ”
อาทิตยรังสีปรือตามมองเห็นระวีรำไพยืนก้มหน้างุดๆ อยู่ เขายิ้มรับนิดๆ และส่งเสียงมาอย่างเหนื่อยๆ
“ขอบใจ...เธอสองคนมาก”
“ครับ”
ระวีรำไพสะกิดเกษราและพยักหน้า ทำนองว่า ไปกันเถอะ เกษรารีบบอก
“เอ่อ...ผมสองคนขอตัวไปก่อนนะครับ”
เกษรากับระวีรำไพค้อมหลังเดินตัวลีบออกไป แต่ยังไม่ทันจะพ้นดี อาทิตยรังสีก็เรียกขึ้น
“เดี๋ยว”
สองคนชะงักกึก
“นายคนนั้นน่ะ...”
อาทิตยรังสีชี้มาที่ระวีรำไพ เธอตกใจ หน้าเลิ่กลั่ก
“เอ่อ...ผมเหรอครับ”
“ใช่...เธอนั่นแหละ อย่าเพิ่งไป”
สองสาวมองหน้ากันเลิ่กลั่กแย่แล้ว ต้องโดนจับได้แน่ๆ เกษรากับระวีรำไพใจเสียสุดๆ แล้วอาทิตยรังสีก็พูดขึ้น
“เดินไปปิดหน้าต่างให้ฉันที...”
สองสาวหน้าเหรอหรา...อาทิตยรังสีพูดต่อ
“แสงมันแยงตา ฉันนอนไม่หลับ”
ระวีรำไพถอนใจโล่ง
“ครับ...”
ระวีรำไพรับคำแล้วก็เดินไปปิดหน้าต่าง
“ขอบใจมาก”
อาทิตยรังสียิ้มนิดๆ ระวีรำไพก้มๆหน้า
“ยินดีครับ”
เธอรับคำแล้วก็รีบก้มหน้า เดินมาดันเกษราแล้วพากันออกไป ลับหลังสองสาว อาทิตยรังสีขำๆที่ได้แกล้งลูกสาว
ระวีรำไพกับเกษราเดินมาที่ทางเดินหน้าห้องทำงานอาทิตยรังสี
“นึกว่าคุณพ่อจะจับได้ซะแล้ว...ใจหายหมดเลย”
“แต่ถึงคุณพ่อน้องปรางจะจับไม่ได้ เราก็ไม่ควรทำแบบนี้อีกนะคะ มันเสี่ยงเกินไป อีกอย่างถ้าพี่ชายใหญ่รู้ว่าเราใช้ชื่อท่านมาอ้าง ต้องโดนเอ็ดแน่ๆ”
ระวีรำไพสำนึกผิด
“ค่ะ..ขอแค่ปรางมาเห็นว่าคุณพ่อปลอดภัยดี ก็พอแล้ว ปรางไม่ทำแบบนี้อีกแล้วค่ะ”
เกษรายิ้มรับ ด้วยความเอ็นดู ทั้งสองคนเดินมาหยุดที่หน้าห้องทำงานพอดี ทันใดนั้นเสียงของอ่อนศรีก็ดังลอดออกมาจากห้องทำงาน
“โชคดีมากที่พวกโจรมันไม่ได้เอาแผนที่ปราสาทไปด้วย”
ระวีรำไพสะดุดกึกกับคำว่า โจร เธอจับเกษราไว้ยังไม่ให้ไปต่อ แล้วเดินไปแอบฟังอย่างเงียบๆ...มานิตกับอ่อนศรียืนคุยกันอยู่ในห้องทำงานของอาทิตยรังสี
“แต่จะว่าไป...ผมเห็นด้วยกับลุง เรื่องพรานสม ผมว่าท่าทางมันไม่น่าไว้ใจ อีกคนที่ผมคิดว่าเราไม่ควรจะวางใจคือ มิสเตอร์เอ็ดเวิร์ด”
ระวีรำไพแอบฟังด้วยความสนใจ แต่เกษรามองซ้ายมองขวากลัวคนมาเห็น มานิตพูดต่อ
“วันก่อนทั้งสองคนกับคุณแทนมาถามผมเรื่องงานสำรวจ ถามว่ามีปราสาทที่ยังไม่ได้บูรณะอยู่แถวนี้หรือเปล่า”
“นั่นไง ผมว่าแล้ว พวกนี้มันต้องวางแผนทำอะไรสักอย่างอยู่แน่ๆ”
ระวีรำไพฟังแล้วก็คิดหนัก...เป็นห่วงไปด้วย เกษราสะกิด
“น้องปราง...เรารีบไปกันเถอะค่ะ เดี๋ยวคนอื่นมาเห็น เป็นเรื่องแน่”
ระวีรำไพอึกอักๆ แต่ก็ตัดสินใจไปก็ได้ เธอพยักหน้า เกษราเดินนำไป ระวีรำไพตัดใจหันหลังแล้วเดินตามออกไป
เกษราเดินนำออกมา อีกมุมหนึ่งของหน้าห้องทำงาน ระวีรำไพเดินตามมาติดๆ ทันใดนั้นเสียงแทนก็ดังขึ้น
“นายตะวัน นายก้องเกียริต์หยุดก่อน”
ระวีรำไพกับเกษราชะงักเท้าตกใจ หันขวับมาตามมเสียง เห็นแทนยืนอยู่
“ฉันมีเรื่องจะคุยกับเธอสองคน”
ระวีรำไพงงๆ
“เรื่องอะไรครับ”
“เรื่องงานที่ฉันจะให้เธอทำ...ตามคำขอของมิสเตอร์เอ็ดเวิร์ด”
ระวีรำไพกับเกษรา ผงะ งง ด้านหลังแทนเห็นเอ็ดเวิร์ดเดินออกมา เชิดหน้ามองสองสาวด้วยแววตาร้ายกาจ
ค่ำนั้น ธราธรยืนอยู่ที่มุมหนึ่งของศาลา ข้างๆเป็นชินกรยืนอยู่ แทนกับเอ็ดเวิร์ดยืนอยู่ตรงข้าม ระวีรำไพกับเกษรายืนอยู่ตรงกลาง ด้านหลังเป็นนักศึกษานั่งทำรายงานตามโต๊ะ อุดม ปิติ มานะ นั่งอยู่ใกล้สุด ธราธรขมวดคิ้วแย้งด้วยความไม่เห็นด้วย
“ไม่ได้ครับ ผมให้ตะวันกับก้องเกียริต์ไปทำงานที่คุณต้องการไม่ได้”
อุดมค้างกึกหยุดทำงานเลย เหล่ๆมองสาระแนสุดๆ ชินกรปรายตาไปมองอุดมอย่างรู้ทัน และเห็นว่าแอบฟังอยู่ ชินกรไม่สบายใจเป็นห่วงธราธร แทนพยายามโน้วน้าม
“คุณชายใหญ่ครับ มิสเตอร์เอ็ดเวิร์ดก็แค่ขอตัวสองคนนี้ไปช่วยดูแลเล็กๆน้อยๆ เพราะท่านไม่คุ้นกับการใช้ชีวิตในป่าในเขาแบบนี้”
เอ็ดเวิร์ดพยักหน้าเชิดๆ ใช่ๆ ระวีรำไพมองเอ็ดเวิร์ดแล้วคิด แทนพูดต่อ
“อีกอย่างผมเห็นสองคนนี้ก็ไม่ได้ทำงานที่ปราสาทเป็นเรื่องเป็นราว เดินไปเดินมา ถ้าเพิ่มหน้าที่มาดูแลมิสเตอร์เอ็ดเวิร์ดก็คงจะไม่เป็นไร”
ธราธรเสียงเข้ม
“ถึงจะไม่เป็นไร แต่ผมก็ไม่อนุญาต เพราะนักศึกษาทุกคน ไม่ใช่เด็กรับใช้ ผมต้องขอโทษที่ทำตามความต้องการของคุณไม่ได้”
เอ็ดเวิร์ดมองธราธรด้วยความไม่พอใจ
“ถ้าไม่มีคนดูแล ผมก็คงจะอยู่ต่อไปไม่ได้” เอ็ดเวิร์ดหันไปบอกแทน “คุณหารถให้ผมด้วย ผมจะกลับกรุงเทพพรุ่งนี้”
แทนสะอึก หันมามองหน้าธราธรหน้าเสียเหมือนจะขอความร่วมมือ ธราธรมองเอ็ดเวิร์ดนิ่งๆ หนัก
แน่นว่าไม่ยอม เอ็ดเวิร์ดมองกลับท้าทาย อุดมเงี่ยหูฟังสุดๆ ชินกรปรายตาเห็นว่านักศึกษาเริ่มหันมาสนใจก็ตัดสินใจพูดขึ้น
“คุณชายใหญ่ครับ ผมเห็นด้วยกับคุณแทน แค่งานดูแลมิสเตอร์เอ็ดเวิร์ด สองคนนี้ทำได้อยู่แล้ว... อนุญาตเถอะครับ”
ธราธรหันมามองหน้าชินกรด้วยความแปลกใจ ที่เขาเข้าข้างคนอื่น ชินกรกลืนน้ำลายด้วยความลำบากใจ เอ็ดเวิร์ดยิ้มนิดๆ พอใจ แทนพยักหน้าเห็นด้วย นักศึกษาหันมารอฟัง ธราธรอ้าปากจะแย้ง แต่ระวีรำไพพูดแทรกขึ้นมาก่อน
“ใช่ครับอาจารย์หม่อม...อนุญาตให้ผมไปดูแลมิสเตอร์เอ็ดเวิร์ดเถอะครับ”
ธราธรชะงักกึก หันมามองหน้าระวีรำไพด้วยความแปลกใจ เลิกคิ้วถามทางสายตา ระวีรำไพลึกๆก็กลัวว่าจะโดนดุ แต่ทำใจกล้าพูดต่อ
“ผม...ผมทำได้จริงๆนะครับ”
ธราธรอึ้งไป มองระวีรำไพด้วยความไม่เข้าใจอย่างแรง เอ็ดเวิร์ดยิ้มนิดๆ พอใจ
ธราธรลากแขนระวีรำไพมาที่มุมหนึ่ง เป็นมุมปลอดคน
“มานี่เลย...” ธราธรหยุดแล้วหันมาถาม “คิดจะทำพิเรนทร์อะไรอีก บอกพี่ชายใหญ่มาเดี๋ยวนี้”
ระวีรำไพรวบรวมความกล้าแล้วก็พูดออกไป
“ปรางอยากช่วยคุณพ่อ กับพี่ชายใหญ่จับตาดูพฤติกรรมของมิสเตอร์เอ็ดเวิร์ดกับพรานสมค่ะ”
ธราธรเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ
“หะ...เราไปเอาความคิดนี้มาจากไหน”
“ก็...วันนี้ปรางแอบได้ยินพรานอ่อนศรีคุยกับอาจารย์มานิตเรื่องที่มีโจรขึ้นบ้านพัก ทั้งสองคนสงสัยว่าจะเป็นฝีมือของพรานสมกับนายฝรั่งนั่น ปรางคิดว่าระหว่างที่ปรางดูแลนายนั่น ปรางจะได้ช่วยจับตาดูเขาไปด้วย ถ้ามีอะไรผิดปกติจะรีบบอกพี่ชายใหญ่ทันที”
ธราธรส่ายหน้า สวน
“พี่ไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้”
ระวีรำไพสวนกลับแต่ไม่ก้าวร้าว
“แล้วพี่ชายใหญ่มีความคิดอื่นที่ดีกว่านี้มั้ยคะ”
“ไม่มี แต่ถึงจะไม่มีก็ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย”
ระวีรำไพสวน แบบนิ่มๆ ดื้อตาใส
“แต่ถึงพี่ชายใหญ่จะไม่เห็นด้วย ก็ไม่ได้แปลว่าปรางจะทำไม่ได้”
ธราธรอึ้ง...
“อ้าว...พูดแบบนี้แปลว่า...ไม่ว่ายังไงก็จะทำใช่มั้ย”
“ค่ะ”
“เราไม่เชื่อฟังพี่ใช่มั้ย”
“ปรางเชื่อนะคะ แต่ปรางแค่...ไม่ทำตาม”
ระวีรำไพพูดจนธราธรมึนเกาหัว
“เถียงกับเราทีไร พี่ไม่เคยชนะสักที เฮ่อ”
ระวีรำไพจับแขนธราธรอ้อน
“ปรางรู้ว่าพี่ชายใหญ่เป็นห่วง...ปรางจะดูแลตัวเองอย่างดีค่ะ”
ธราธรมองหน้าแล้วก็ใจอ่อน
“รู้ว่าพี่ห่วง ทีหลังก็อย่าทำแบบนี้อีก พี่ยอมให้ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย ต่อไปพี่พูดคำไหนก็ต้องคำนั้น อย่าทำอะไรแผลงๆแบบนี้อีกเป็นอันขาด”
ระวีรำไพยิ้มรับ
“ค่ะ ต่อไปปรางจะเชื่อฟังพี่ชายใหญ่ทู๊กอย่างเลยค่ะ”
ระวีรำไพยิ้มกว้างรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะ ธราธรมองหน้าแล้วก็เปรยๆเบาๆ
“ไม่เชื่อหรอกว่าจะทำได้...เฮ่อ”
สองสาวอยู่ในชุดนอนนั่งคุยกันอยู่บนเตียง เกษราตอบพร้อมรอยยิ้ม
“พี่ทำได้ค่ะ...น้องปรางไม่ต้องห่วงนะคะ”
“แต่ปรางไม่อยากให้พี่เกษต้องมาลำบากเพราะการตัดสินใจของปราง”
เกษรายิ้ม
“เรื่องงานดูแลคนอื่น พี่ทำมาตั้งแต่เด็กแล้วค่ะ ปกติพี่ก็ดูแลทุกคนในเทวพรหมอยู่แล้ว ดูแลมิสเตอร์เอ็ดเวิร์ดแค่คนเดียว สบายมาก”
ระวีรำไพยิ้มรับ จับมือเกษรา
“ขอบคุณพี่เกษมากนะคะ ที่เข้าใจปราง”
“พี่เข้าใจ และชื่นชมในความกล้าหาญของน้องปรางมากนะคะ ถ้าพี่มาคนเดียว พี่ไม่กล้าทำอะไรแบบนี้เด็ดขาด” เกษราจับมือระวีรำไพกลับและยิ้ม “พี่จะช่วยน้องปรางจับตาดูนายฝรั่งกับลูกน้องอย่างเต็มที่เลยค่ะ”
เกษราพูดด้วยแววตาเป็นประกาย ตื่นเต้น สนุกไปกับระวีรำไพด้วย ระวีรำไพยิ้มรับ โล่งอก และดีใจ
“ขอบคุณมากค่ะ”
สองสาวนั่งจับมือให้กำลังใจกันและกัน
ในห้องนอน ชินกรเอามือจับกันแน่นหน้าเครียดครุ่นคิดเอาไงดีนะ ธราธรเปิดประตูห้องเข้ามา เดินเข้ามาชุดเปลือยท่อนบน หลังจากอาบน้ำเสร็จ
“ผมอาบน้ำเรียบร้อยแล้วครับ เชิญอาจารย์ชินกรได้เลยครับ”
ธราธรพูดยิ้มๆแล้วก็จะหันไปแต่งตัว ชินกรชิงพูดขึ้น
“คุณชายใหญ่ครับ”
ธราธรหันมา ชินกรลุกขึ้นเดินมาหา
“ผมต้องขอโทษด้วยที่เมื่อกี๊ ผมก้าวก่ายเรื่องของตะวันและก้องเกียรติ์ ที่ผมทำแบบนั้น เพราะผม เป็นห่วงคุณชายนะครับ”
ธราธรชะงัก...แปลกใจ
"ผมไม่อยากให้คนอื่นคิดว่าสองคนนั้นได้รับความสนใจ จากคุณชายมากเป็นพิเศษ นักศึกษาคนอื่นจะได้ไม่เข้าใจผิด”
ธราธรยิ่งงงหนัก ชินกรพูดจบก็ตัดบท
“ผมไปอาบน้ำก่อนนะครับ”
ชินกรเดินออกไปเลย ธราธรยังคาใจขยับจะถาม แต่ชินกรเดินออกไปแล้ว ทิ้งให้เขายืนงงสงสัย
“นักศึกษาคนอื่นจะเข้าใจผิด...เรื่องอะไร”
ธราธรยังคงงงอยู่ ...
ยามเช้า เสียงโทรศัพท์ดังมาจากในวังจุฑาเทพ ปวรรุจเดินมารับโทรศัพท์เสียงขรึม
“สวัสดีครับ”
ด้านหลัง พุฒิภัทรกำลังเดินลงมาพอดี ปวรรุจส่งเสียงด้วยความตื่นเต้นหลังจากได้ยินเสียงปลายสาย
“พี่ชายใหญ่”
พุฒิภัทรหันขวับมาด้วยความตื่นเต้นพอกัน รณพีร์ กับรัชชานนท์ กำลังเดินเข้ามาจากอีกประตู พอได้ยินว่าเป็นพี่ชายใหญ่ก็ชะงัก ยิ้มดีใจ
4 คุณชายนั่งคุยกับหม่อมเอียด และ ย่าอ่อนอยู่ที่ระเบียงบ้าน คุยไปพลางจิบชาไปด้วย หม่อมเอียดถามย้ำด้วยแววตาประกาย เปี่ยมสุข
“ชายใหญ่โทรศัพท์มาว่ายังไงบ้าง”
ปวรรุจหันมาตอบ
“พี่ชายใหญ่สบายดี ไม่ได้เจ็บไข้อะไร มีแต่คุณอาหม่อมอาทิตย์ที่โรคประจำตัวกำเริบเมื่อสองสามวันก่อน”
ย่าอ่อนตาโตด้วยความตกใจ
“หะ...คุณชายเป็นอะไร แล้วเป็นมากหรือเปล่า โธ่ คุณพระ ไปเจ็บไข้อยู่ในป่าแบบนั้น แล้วจะรักษากันยังไง...ตายแล้ว ตายๆๆๆๆ”
หม่อมเอียดหันมาเอ็ด
“นี่แม่อ่อน อุทานอะไรอัปมงคล ฟังยังไม่ได้ศัพท์จับไปกระเดียด ฟังให้จบก่อนสิ”
“แหม...ก็น้องตกใจนี่คะ”
หม่อมเอียดส่ายหน้าแล้วหันมาทางปวรรุจ
“ว่าไงชายรุจ ชายใหญ่ว่ายังไงต่อ”
“พี่ชายใหญ่ฝากธุระไว้กับชายภัทรครับ”
พุฒิภัทรพูดต่อ
“พี่ชายใหญ่บอกให้ผมเตรียมตัวไว้ ในกรณีฉุกเฉิน ถ้าอาการคุณอายังไม่ดีขึ้น อาจจะขอตัวผมไปช่วยดูแลหรือรับคุณอากลับออกมาจากแคมป์”
รณพีร์รีบเสริม
“ถ้าพี่ชายภัทรต้องไปจริงๆ ผมไปด้วยนะครับ”
ย่าอ่อนรีบขัด
“นี่ๆ ชายพีร์ไม่ต้องไปเลย ย่าไม่ให้ไป เข้าป่าเข้าดง ดีไม่ดีไปติดไข้ป่ากลับมา ย่าไม่ยอมนะ”
รณพีร์ไม่ยอมจะเถียง พุฒิภัทรมองหน้าปรามๆ ส่ายหน้าให้เงียบ รณพีร์จำต้องยอมเงียบ รัชชานนท์ยิ้มขำแอบสะใจที่โดนขัดใจกระซิบเบาๆ
“ชายพีร์หลานรัก คงต้องดักดานอยู่ในวังไปจนตาย...เสียใจด้วยนะ”
รณพีร์เหล่ๆ...เออ...จำไว้ หม่อมเอียดพูดขึ้น
“ชายเล็กก็เหมือนกัน”
รัชชานนท์สะดุดกึก หันมาทางหม่อมเอียดงงๆ
“ที่เราบอกว่าจะขอทางกรมไปอยู่หน่วยงานตัดถนนที่ต่างจังหวัด ย่าไม่อนุญาตให้ไปนะ”
รัชชานนท์รีบแย้ง
“แต่มันเป็นความฝันของวิศวกรโยธานะครับ ผมฝันอยากจะตัดถนนไปในที่ที่กันดาร ชาวบ้านจะได้มีถนนหนทางใช้ เดินทางไปมาสะดวก ถ้าผมไม่ไปประจำไซท์ งานที่ต่างจังหวัดแล้วจะให้ผมทำอะไรครับ”
“ก็อยู่ประจำกรมในกรุงเทพนี่แหละ ใช้วิชาความรู้ช่วยผู้ใหญ่ในกรม ถ้าผลงานเข้าตา ก็ได้เลื่อนขั้น ได้ทำประโยชน์ให้บ้านเมืองต่อไป ขืนไปตัดถนนอยู่ในป่า เกิดติดไข้เป็นอะไรขึ้นมาตั้งแต่อายุยังน้อยๆ วิชาความรู้ที่ร่ำเรียนมาก็ไม่ได้ใช้กันพอดี ไม่รู้หล่ะย่าไม่อนุญาตให้ไป”
ย่าอ่อนพยักหน้าเห็นด้วย รัชชานนท์จะแย้ง ปวรรุจส่งสายตาทำนองว่าอย่าเถียงเลยเหนื่อยเปล่า รัชชานนท์จำต้องเงียบ รณพีร์กระแซะมากระซิบเยาะเย้ย
“เห็นที...ชายเล็กหลานรัก คงจะต้องดักดานอยู่ในกรมไปจนตาย”
รัชชานนท์เหล่ๆ รณพีร์ด้วยความขัดอกขัดใจ รณพีร์ขำคิกคักถูกใจ หม่อมเอียดสรุปอย่างเด็ดขาด
“ย่ารอวันที่หลานๆมาอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาทั้ง 5 คนมานานแล้ว ย่าจะไม่ยอมให้หลานคนไหนอยู่ไกลวังจุฑาเทพไปอีก”
ย่าอ่อนพยักหน้ารับเป็นลูกคู่ ใช่ๆๆ หลานทั้งสี่นั่งฟังนิ่งด้วยความเกรง...หม่อมเอียดย้ำ
“และทันทีที่ชายใหญ่กลับมาพร้อมคำตอบเรื่องการแต่งงานกับหนูเกษรา ทุกคนก็ต้องอยู่ช่วยย่าจัดงานแต่ง ห้ามออกนอกเขตพระนครเป็นอันขาด”
คุณชายทั้ง 4 อึ้งกันไป...
วังเทวพรหม...เทวพันธ์คุยอยู่กับมารตี และวิไลรัมภาในห้องนั่งเล่น วิไลรัมภานั่งอ่านหนังสือดารา มารตีนั่งปากแดงแต่งหน้าจัดอยู่ข้างๆ เทวพันธ์โพล่งขึ้นด้วยความไม่เห็นด้วย
“พ่อไม่เห็นด้วย เราจะลาออกจากโรงพยาบาลเอกชน ไปอยู่โรงพยาบาลรัฐทำไม เงินเดือนถูกกว่ากันตั้งหลายร้อย”
มารตีแย้ง
“แต่โรงพยาบาลรัฐที่ลูกจะย้ายไป มีคุณชายพุฒิภัทรทำงานอยู่นะคะคุณพ่อ”
เทวพันธ์ชะงัก...แววตาอ่อนลง วิไลรัมภาฟังแล้วก็ยิ้มในความฉลาดของพี่สาว
“มารตีพยายามจะเชิญให้พี่ชายภัทรมาอยู่โรงพยาบาลเอกชนด้วยกัน แต่พี่ชายภัทรไม่ยอมมา บอกว่าอยากจะช่วยเหลือคนจน” เธอกระแทกเสียงดูถูก “มารตีก็ไม่เข้าใจ จะอุดมการณ์อะไรนักหนา”
วิไลรัมภาสอด
“สุดท้ายพี่มารตีก็ต้องไปอยู่โรงพยาบาลรัฐ กินอุดมการณ์เดียวกับพี่ชายภัทร”
“ฉันจำใจย่ะ ถ้าไม่มีพี่ชายภัทร อย่าหวังเลยว่าฉันจะไปอยู่โรงพยาบาลแบบนั้น เงินเดือนก็น้อย งานก็หนัก พยาบาลระดับหม่อมหลวงอย่างฉันไม่มีวันจะลดตัวลงไปทำให้เสียชาติตระกูล”
มารตีพูดด้วยความยะโส เทวพันธ์ยิ้ม เห็นด้วย
“ถ้าลูกไปด้วยเหตุผลนี้...พ่อก็เห็นด้วย สนับสนุนเต็มที่ ได้ทำงานใกล้กัน เห็นหน้ากันทุกวัน มีเหรอที่ชายภัทรจะไม่หลงเสน่ห์ลูกสาวคนสวยของพ่อ”
มารตียิ้มรับอย่างมั่นใจ วิไลรัมภาแอบเบ้ปากนิดๆ อิจฉา แกมหมั่นไส้หน่อยๆ เทวพันธ์คิดๆ แล้วก็นึกถึงเกษรา
“คิดแล้วก็ห่วงแต่พี่สาวเรา ได้มีโอกาสใกล้ชิดคุณชายใหญ่แบบนั้น ไม่รู้ว่าจะใช้ให้เป็นประโยชน์ได้หรือเปล่า...เฮ่อ”
เทวพันธ์ลุ้นๆ
ในห้องทำงานมานิต ธราธรอัดรูปอยู่ ในห้องมืด เป็นรูปปราสาทในมุมต่างๆ รูปก้อนหิน รูปส่วนประกอบต่างๆของปราสาท ธราธรดูรูปทีละรูปด้วยความตั้งใจ ดูแล้วก็หยิบมาแขวนไว้ให้แห้ง จากรูปปราสาท สักพักก็เป็นรูประวีรำไพตอนแอบหลับบ้าง ตอนยิ้มสดใสบ้าง ตอนทำหน้าทะเล้นบ้าง ธราธร
ขำ แล้วก็หยิบมาแขวนไว้...ธราธรหันมาอีกทีเห็นเป็นรูปเกษราในมุมสวย ธราธรมองยิ้มนิดๆ เขามองรูปของสองคน คนละอารมณ์ แล้วก็หันหน้าจากรูประวีรำไพมามองแต่รูปเกษราแล้วก็คิดถึงคำพูดของระวีรำไพ
“ไม่ได้นะคะ จะทำงานหนักแค่ไหน พี่ชายใหญ่ก็ต้องใส่ใจพี่เกษ จะมัวอยู่กับก้อนอิฐ ก้อนหิน ก้อนศิลาแลงไม่ได้ มีอะไรก็ต้องพูดต้องคุย เงียบๆไม่พูดไม่จา ผู้หญิงเขาไม่รู้ว่าคิดยังไงนะคะ...อย่างแรกที่พี่ชายใหญ่ควรทำคือ...รู้ใจพี่เกษค่ะ... รู้ว่าเธอชอบอะไร ไม่ชอบอะไร...พี่ชายใหญ่รู้หรือเปล่าคะว่าพี่เกษชอบกินอะไร”
ธราธรคิดๆแล้วส่ายหน้า
“ชอบดอกไม้อะไร”
ธราธรคิดแล้วส่ายหน้าอีก
“ชอบไปเที่ยวที่ไหน”
ธราธรคิดส่ายหน้าอีกที
“โหย...พี่ชายใหญ่ เป็นแบบนี้ไม่ได้นะคะ ไม่รู้อะไรสักอย่างเลย”
“อ้าว...ก็พี่ไม่เคยถามน้องเกษนี่คะ”
ธราธรคิดๆ เขาคงจะต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว