โดมทอง ตอนที่ 13
ค่ำคืนนั้น ในขณะที่วิรงรองกำลังนั่งเปิดเน็ตหางานทำอยู่ในห้อง และเซิร์ชหาอยู่สักพักหนึ่ง จึงมีเสียงเคาะประตูเบาๆ วิรงรองลุกเดินมาที่ประตูแล้วเปิดออก
“มีอะไรหรือคะ คุณ”
“คุณพิณทองมาหาแน่ะ”
วิรงรองชะงัก คิดไม่ถึง
ปรางรีบชิงพูดขึ้นก่อน “คุณบอกเขาแล้วว่า แม่หนูอยู่บ้าน”
วิรงรองพยักหน้า “ค่ะ”
วิรงรองเดินไปปิดเน็ต แล้วจึงเดินออกไป
พิณทองนั่งก้มลงมองมือตัวเอง ตรงหน้ามีน้ำท่าวางพร้อม วิรงรองเดินเข้ามา
“คุณพิณมีธุระอะไรกับดิฉันหรือคะ”
พิณทองขยับตัว “พิณอยากจะขอทำความเข้าใจเรื่องน้าลบค่ะ”
“คงไม่จำเป็นมั้งคะ” วิรงรองบอกในทันที
“จำเป็นมากค่ะ! เพราะพิณเองเป็นต้นเหตุให้คุณวิและน้าลบเข้าใจผิดกัน”
วิรงรองฉงน มองพิณทองอย่างแปลกใจ
“น้าลบโทร.คุยกับพิณเรื่องที่กำลังเข้าใจกันดีกับคุณวิ พิณยังบอกว่า พิณจะเลี้ยงแสดงความยินดีให้...หลังจากนั้น พิณก็เล่าให้คุณแม่ฟัง ...
วิรงรองมีสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิดตาม
“เรื่องมันน่าจะเริ่มจากตรงนี้”
วิรงรองชักลังเล “แต่คุณแม่คุณพิณ ทราบเบอร์โทรศัพท์ของดิฉัน”
“คุณแม่อาจจะเปิดดูในเครื่องของคุณพ่อก็ได้ ... เชื่อพิณเถอะค่ะ...น้าลบเป็นคนดีแล้วก็รักคุณวิมาก”
วิรงรองนิ่ง
“พิณขอยืนยันว่า น้าลบไม่รู้เรื่องที่พิณมาพบคุณวิเลย...ขนาดตอนแรกพิณบอกว่าจะมาอธิบายให้คุณวิฟัง น้าลบยังห้ามเลย”
วิรงรองประชด “เขาคงคิดว่าเข้าใจอย่างนั้นก็ดีแล้วมั้งคะ”
“ไม่ใช่แน่นอนค่ะ! พิณรู้จักน้าลบของพิณดี! ….แล้วพิณก็ไม่ได้มาพูดให้คุณวิดีกับน้าลบ เพื่อจะได้กันพิชญ์ออกไปด้วย พิณกำลังหย่ากับพิชญ์”
วิรงรองตกใจ “คุณพิณ”
“ถ้าหากคุณวิยังรักพิชญ์ พิณก็จะไม่โกรธเหมือนกันที่คุณวิจะกลับไปคบกับเขา”
“ไม่มีวันแล้วค่ะ”
“พิณพูดความจริง”
“ดิฉันก็พูดความจริง”
ทั้งสองสบตากันแล้วพิณทองเป็นฝ่ายยิ้มนิดๆ
อดิศวร์ขับรถเข้ามาจอดที่หน้าคอนโดพอดี ในจังหวะที่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เขาหยิบขึ้นมาดู แล้วรีบกดรับทันที
“วิรงรอง”
“ดิฉันขอโทษที่เข้าใจผิดค่ะ”
วิรงรองพูดเท่านั้นก็ตัดสายแล้วปิดเครื่องทันที อดิศวร์กดกลับไปใหม่ แต่มีเพียงเสียงตอบรับ
อดิศวร์กลับรถขับออกไปทันที
ขณะเดียวกันภายในห้องนั่งเล่น พิณทองนั่งอยู่แทบเท้าพ่อ เกยคางไว้กับขา ด้วยสีหน้ายุ่งยากใจ
“พิณไม่แน่ใจว่า พิณทำถูกหรือเปล่า เพราะน้าลบอาจจะนึกตำหนิคุณแม่”
“ก็เขาอยากวุ่นวายใส่ไข่เองทำไมล่ะ...มีอย่างที่ไหน คนเขารักกันอยู่ดีๆ ก็ไปสร้างเรื่องให้เขาเลิกกัน แม่ของลูกพิณนี่เขาแปลกจริงๆ ยิ่งเข้าคู่กับคุณวัชยิ่งมันส์กันเข้าไปใหญ่”
พิณทองถอนใจ
พจน์ลูบผมลูกสาว “ไม่ต้องคิดมาก พ่อขอ Confirm ว่าหนูทำถูกแล้ว”
คุณหญิงไม่รู้อิโหน่อิเหน่ เดินเข้ามา สีหน้าแจ่มใส
“คุณพ่อคุณลูกคุยอะไรกันคะ...น่ารักจัง”
แก้วทรุดตัวลงนั่ง
“เรื่องละครสมัยนี้น่ะจ้ะ...คุณแก้ว”
แก้วเหน็บ “อุ๊ย ! คุณเคยดูละครกับเขาด้วยหรือคะ”
“เคยได้ยินเขาคุยกันน่ะ! เห็นว่าพวกตัวนางอิจฉานี่สุดจะทนทาน...คนอะไรมันจะใส่ร้ายป้ายสีคนอื่นได้ขนาดนี้! มันน่าโดนเปลือกทุเรียนฟาดปากเสียให้เข็ด”
พิณทองลอบสบตาพ่อท่าทีทึ่งๆ ขณะที่พจน์หลิ่วตาอย่างน่าขัน
คุณหญิงแก้วลอบกลืนน้ำลาย
ฝ่ายวิรงรองกำลังนั่งแปรงผมหลังอาบน้ำเสร็จ เสียงเคาะประตูดังขึ้น
“ใครคะ”
“มีแขกมาพบคุณวิค่ะ” เสียงแจ๋วดังเข้ามา
วิรงรองลุกเดินมาเปิดประตู “ใครกันมาค่ำๆ มืดๆ”
“ก็คุณคนที่มาเมื่อตอนเช้านี่ไงคะ” แจ๋วบอก
วิรงรองนิ่ง อึ้งไป สาวใช้ลอบมองอย่างแปลกใจในท่าทีนั้น
“แล้วคุณล่ะ”
“กำลังสวดมนตร์ค่ะ”
“ลงไปบอกว่าเดี๋ยวฉันลงไป”
“ค่ะ”
วิรงรองปิดประตูห้อง แล้วเปิดตู้เสื้อผ้า หยิบชุดลำลองออกมา
อดิศวร์นั่งคอยอยู่เงียบๆ บนโต๊ะมีน้ำท่าต้อนรับเรียบร้อย วิรงรองในชุดลำลองเดินเข้ามา อดิศวร์ยังนั่งอย่างเดิม วิรงรองลังเลเล็กน้อยแล้วเดินเข้ามาทรุดตัวลงนั่งตรงหน้าเงียบๆ
“จะกลับโดมทอง เมื่อไหร่”
“ยังไม่ทราบเลยค่ะ” อดิศวร์เว้นไปอีกนิด “บางที...อาจจะไม่กลับ”
“งั้นก็หมายความว่า เราจะแต่งงานกันที่กรุงเทพฯ”
วิรงรองสะดุ้ง “เอ๊ะ”
อดิศวร์พูดเสียงอ่อนลง “โดมทอง…รอเธออยู่”
น้ำเสียงวิรงรองเยาะนิดๆ “ไม่จริงมั้งคะ”
“เธอไม่อยากรู้ ความลับในโดมทองอีกแล้วหรือ”
วิรงรองนิ่งงันไป
“กลับไปด้วยกันเถอะ...แล้วคราวนี้ ฉันจะช่วยเธอเอง”
วิรงรองมองสบสายตาอดิศวร์ที่มองตอบมาราวกับจะให้ความมั่นใจ
ภายในห้องพิณทอง เจ้าของห้องกำลังพูดโทรศัพท์กับอดิศวร์ที่กำลังขับรถอยู่ตามทาง ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“พิณดีใจด้วยค่ะ ที่คุณวิรงรองยอมกลับโดมทองด้วยแล้ว” พิณทองเว้นไปนิด “เมื่อไหร่น้าลบจะให้พิณเลี้ยงคะ”
“เอาไว้น้าลบจะบอก...ขอบใจคุณพิณมาก”
“ไม่เป็นไรค่ะ พิณเต็มใจช่วยอยู่แล้ว กู๊ดไนท์ค่ะ”
พิณทองวางโทรศัพท์ลงด้วยสีหน้าโล่งใจ
ด้านวิรงรองเดินกลับไปกลับมาช้าๆ ด้วยสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด อยู่สักพักหนึ่ง แล้วตัดสินใจเปิดโทรศัพท์มือถือหาเบอร์ใครบางคน
ขณะนั้นพิชญ์ครึ่งนั่งครึ่งนอนอยู่บนเตียง ตาอยู่ที่ ทีวี ก็จริง แต่ดูเหมือนใจจะลอยไปอยู่ที่อื่น
สักครู่เสียงมือถือดังขึ้น พิชญ์ปล่อยให้เสียงดังครู่หนึ่ง แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเบอร์แล้วชะงักเห็นเป็นเบอร์บ้านวิรงรอง เขารีบผุดลุกขึ้นนั่งด้วยสีหน้าแววตาตื่นเต้นดีใจ
พิชญ์รีบรับทันที “พลับพลึง”
“สวัสดีจ้ะพิชญ์ ขอโทษด้วยที่โทร.มาป่านนี้”
“ไม่เป็นไร ผมดีใจที่พลับพลึงโทร.มา ดีใจที่สุดเลย นี่ ...นี่...พลับพลึงกลับมาอยู่ที่บ้านตั้งแต่เมื่อไหร่! คุณจะไม่กลับไปโดมทอง อีกแล้วใช่ไหม ! ผม...”
“จะกลับไปพรุ่งนี้เย็นจ้ะ”
พิชญ์นิ่งอึ้งไปทันที
“พิชญ์”
เสียงของพิชญ์เปลี่ยนเป็นหมางเมินทันทีและประชดประชันเต็มที่
“แล้วคุณโทร.มาทำไม หรือว่าจะขอให้เป็นเพื่อนเจ้าบ่าว”
วิรงรองพูดด้วยเสียงใจเย็นๆ และอ่อนโยน “พรุ่งนี้เช้า...พิชญ์มาที่บ้านพลับพลึงหน่อยได้ไหม”
พิชญ์ขบกรามแน่น สีหน้าแววตาเจ็บปวดรวดร้าวยิ่งนัก
โดมทอง ตอนที่ 13 (ต่อ)
วิรงรองตัดสินใจมาปรึกษาแม่ที่ในห้อง
“ถ้าแม่หนูแน่ใจว่าจะเป็นผลดีมากกว่าผลเสีย ก็ทำไปเถอะลูก...อีกอย่าง แม่หนูก็นัดเขาแล้วนี่จ๊ะ จะต้องมาถามแม่ทำไม”
“หนูอยากให้แน่ใจน่ะค่ะว่าตัวเองทำถูก...คุณพิณทองเธอดีกับหนู ...หนูก็เลยอยากจะตอบแทนบ้าง”
“คุณเข้าใจว่าแม่หนูหวังดี...แต่พิชญ์น่ะซิ เขาจะเข้าใจหรือเปล่า”
สีหน้าวิรงรองดูหนักใจเอาการ
พิชญ์มาตามนัดแต่เช้า และกำลังนั่งอยู่ในห้องรับแขกบ้านวิรงรอง มองหน้าวิรงรองเหมือนจะตัดพ้อและขมขื่น
“แล้วนี่ต้องขออนุญาตน้าลบเขาหรือเปล่า” พิชญ์ประชด
“เพื่อนจะพบเพื่อน ไม่เห็นจำเป็นต้องขออนุญาตใครนี่คะ”
“เพื่อน” น้ำเสียงพิชญ์ขมขื่นมาก “... ผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า จะต้องกลายมาเป็นเพื่อนกับพลับพลึง”
วิรงรองพยายามใจเย็น “เรื่องของเรามันจบกันไปนานแล้ว”
“แล้วพลับพลึงเรียกผมมาทำไม”
“ฉัน...” วิรงรองหนักใจ
พิชญ์สุดจะขมขื่น เลยประชดประชันเต็มที่ “ฉัน! แม้แต่คำเรียกแทนตัวเองก็เปลี่ยนไป”
วิรงรองเริ่มจะหมดความอดทน “ถ้าจะพูดถึงเรื่องเปลี่ยน...พิชญ์ก็รู้อยู่แก่ใจว่าใครเปลี่ยนก่อน”
พิชญ์อึ้ง
“ฉันอยากจะคุยกับพิชญ์เรื่อง คุณพิณทอง”
“ไม่จำเป็น” พิชญ์ขึ้นเสียงทันที แล้วเว้นนิด “ผมไม่ได้รักเขา ผมแต่งงานกับเขาก็เพราะถูกคุณแม่บังคับ”
“แล้วพิชญ์ก็แต่ง แต่งแล้วพิชญ์ก็ทำให้เขาเจ็บน้ำใจทั้งๆ ที่คุณพิณไม่ได้มารับรู้อะไรด้วยเลย”
พิชญ์อึ้งอีก
“ฉันอยากให้พิชญ์คิดดูดีๆ ถ้าพิชญ์รู้ว่าการแต่งงานจะไปไม่รอด พิชญ์ก็ไม่ควรยอมทำตามคุณแม่ตั้งแต่แรก! เพราะคนที่เสียหายที่สุดคือ คุณพิณทอง! มันไม่ยุติธรรมกับเธอ!”
พิชญ์เสียงอ่อยลงเล็กน้อย “เขาก็ต้องทำตามที่คุณแม่เขาบังคับเหมือนกัน”
วิรงรองส่ายหน้า “เชื่อซิ ถ้าพิชญ์บอกว่า...พิชญ์มีคนรักอยู่แล้ว ...ยังไงคุณพิณทองก็ไม่ยอมแต่งด้วย แต่นี่พิชญ์ไม่ได้บอกเธอ จริงไหม!…เพราะฉะนั้นคุณก็ควรจะรับผิดชอบ”
พิชญ์เถียงไม่ออก
วิรงรองมองหน้าอดีตคนรัก เลื่อนถ้วยกาแฟให้
“กาแฟจะเย็นหมดแล้วค่ะ”
พิชญ์เปิดประตูเข้ามาในออฟฟิศ ด้วยสีหน้าท่าทางอ่อนแรง เดินมาทรุดตัวลงนั่งครู่หนึ่ง แล้วกดโทรศัพท์ภายในบอกเลขา
“แอน ... ผมยังไม่รับโทรศัพท์นะ”
“ค่ะ”
“ขอบใจ”
พิชญ์เอนตัวพิงพนัก สีหน้าเหมือนจะทบทวนเหตุการณ์เมื่อตอนเช้า
เวลานั้นทั้ง 2 คนเดินออกมาหน้าบ้าน
พิชญ์หยุดเดินแล้วหันกลับมา “ส่งผมแค่นี้แหละ”
“พิชญ์ คุณพิณทองเป็นผู้หญิงที่เพียบพร้อม แล้วเธอก็รักคุณมาก”
พิชญ์หงุดหงิดเล็กๆ “เพราะคุณหมดรักผมแล้วใช่ไหมล่ะ...ถึงได้เชียร์คนอื่น”
“เธอเป็นภรรยาคุณ...ไม่ใช่คนอื่น...ซึ่งนั่นสำคัญที่สุด” วิรงรองเสียงแข็งเช่นกัน
พิชญ์สีหน้าหมองลง
วิรงรองมีท่าทีอ่อนลง “คุณเป็นคนตัดสินใจเอง...แล้วฉันก็คิดว่า คุณตัดสินใจถูกแล้ว...ขอให้พิชญ์โชคดีนะคะ”
พิชญ์ดึงตัวเองกลับมา สีหน้าเหมือนจะเยาะๆ
“โชคดี เฮอะ”
ภาพพิณทองในอิริยาบถอ่อนหวาน ผุดเข้ามาในห้วงความคิด พร้อมคำพูดวิรงรอง
“ถ้าพิชญ์บอกว่า พิชญ์มีคนรักอยู่แล้ว...ยังไงคุณพิณทองก็ไม่ยอมแต่งด้วย แต่นี่พิชญ์ไม่ได้บอกเธอ จริงไหม เพราะฉะนั้นคุณก็ควรจะรับผิดชอบ”
ภาพพิณทองเลือนหายไป แต่เสียงวิรงรองดังก้อง
“เธอเป็นภรรยาคุณ...ไม่ใช่คนอื่น...ซึ่งนั่นสำคัญที่สุด”
พิชญ์ทอดถอนใจยาว
บรรยากาศชวนวังเวงในยามค่ำของอาณาบริเวณบ้านโดมทอง
อุษาเตรียมยามาวางไว้บนโต๊ะข้างเตียงท่านผู้หญิง
“ตาลบจะกลับเมื่อไหร่ล่ะนี่”
“คุณลบไม่ได้บอกค่ะ”
“แล้วแกก็ไม่ได้ถาม”
อุษานิ่งไป
ท่านผู้หญิงมองอุษาซึ่งกำลังจัดตู้เสื้อผ้าให้อย่างเพ่งพิศ “แกไม่ได้รักตาลบบ้างหรอกหรือ”
“อุษารักและเคารพคุณลบเหมือนพี่ชายค่ะ แล้วเธอก็เป็นพี่ชายของอุษาจริงๆ”
“ไม่ใช่พี่น้องท้องเดียวกันสักหน่อย ห่างตั้งเป็นโยชน์”
อุษานิ่งอีก
“ยังรักไอ้พันธุ์สูรย์มันอยู่ละซี”
อุษาจัดเสร็จปิดตู้แล้วเดินมาคุกเข่ายื่นถ้วยยาให้
“ใฝ่ต่ำ”
“คุณย่าทานยาเถอะค่ะ”
ท่านผู้หญิงปัดถ้วยยาตกกระจาย “จะวางยาพิษฉันละซี”
“นี่เป็นยาที่คุณย่าทานเป็นประจำนะคะ”
“ใครจะไปรู้ว่าแกหรือนังแสงแข จะเอายาพิษมาเปลี่ยนให้เมื่อไหร่”
อุษาน้ำตาคลอ “ทั้งอุษาแล้วก็แสงแขไม่มีวันแม้แต่จะคิดอย่างนั้นค่ะ...คุณย่าเป็นผู้มีพระคุณกับเรา”
“สำออย ฉันไม่เชื่อหรอก ไม่เชื่อแล้วก็ไม่ไว้ใจใครหน้าไหนทั้งนั้น จะไปไหนก็ไป ไป๊”
อุษาก้มหน้าก้มตาไปที่ประตู เปิดออกไป
ท่านผู้หญิงมองตามด้วยสายตาเกลียดชังไปหมด
อุไรซึ่งกำลังจะเปิดประตูเข้ามาสะดุ้งเฮือก เมื่ออุษาเปิดเดินออกมาก่อน
“ตาเถร”
อุษาเดินผ่านไปโดยไม่มอง
“คุณอุษา...เป็นอะไรคะ”
อุษาเดินเลี้ยวไปเลย
อุไรงง “ไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจ”
อุไรเปิดประตูเดินเข้าไป
กลางดึกดวงจันทร์ข้างแรมสีแดงเหมือนสีเลือดลอยอยู่เหนือยอดโดม
ส่วนภายในห้อง ท่านผู้หญิงนอนกระสับกระส่าย ขณะที่อุไรนอนหลับสนิท มีเสียงโซ่ลากช้าๆ อยู่บริเวณหน้าห้อง
ท่านลืมตาตื่นขึ้น เงี่ยหูฟัง เสียงโซ่ค่อยๆ ผ่านห้องไป
ท่านผู้หญิงสรรักษ์ผุดลุกขึ้นนั่ง ดึงผ้าห่มออก ลุกเดินไปที่ประตูแล้วเปิดออกไป
โดมทอง ตอนที่ 13 (ต่อ)
ท่ามกลางความมืดสลัว ท่านผู้หญิงสรรักษ์ค่อยๆ ก้าวออกมานอกห้อง แล้วเพ่งมองฝ่าความมืดไป เห็นหลังไวๆ ของใครคนหนึ่งกำลังจะเดินเลี้ยวไปตรงหัวมุม
ท่านผู้หญิงค่อยๆ เลื่อนสายตาลงมา ที่บริเวณขาของใครคนนั้น มีโซ่ซึ่งมีเลือดเกรอะกรังคล้องอยู่
ท่านผู้หญิงเดินตามไปเรื่อยๆ
ร่างๆ นั้น ลากโซ่ขึ้นบันไดมาเรื่อยๆ ท่านผู้หญิงเดินตามเหมือนถูกสะกด ปรากฏว่าร่างๆนั้น เดินมาถึงห้องวิรงรองพอประตูเปิดออกร่างนั้นเดินเข้าไป ประตูปิดตัวลง
ท่านผู้หญิงรีบเดินตามไปที่หน้าห้อง แล้วดึงประตูเปิดผลัว ร่างๆ นั่นซึ่งยืนหันหลังห่างประตูไปไม่เท่าไหร่ หันขวับมาทันที
ท่านผู้หญิงผงะ “นังพลับพลึง”
พลับพลึงทักทายเสียงแหบโหย “คุณพี่...คุณพี่กำลังจะพ่ายแพ้”
“ไม่มีวัน! ไปให้พ้น! นังผีบ้า! ออกไปจากบ้านฉัน!”
ท่านผู้หญิงไล่ตะเพิด พอหันหลังกลับ แล้วต้องสะดุ้งเฮือก
เมื่อพบว่าพลับพลึงกลับมายืนตรงหน้าอีก
“ดิฉันไปไหนไม่ได้...คุณพี่ก็รู้ว่าดิฉันไปไหนไม่ได้...ไปไม่ได้”
พลับพลึงลากเสียงยาว ดังโหยหวนชวนขนลุก
ท่านผู้หญิงสะดุ้งตื่นจากฝันร้ายลืมตาขึ้น เห็นใบหน้าอุไรอยู่ตรงหน้าแทนใบหน้าพลับพลึง ด้วยว่าหญิงชราเอะอะโวยวาย อุไรเลยลุกมาดู
“ท่านเจ้าคะ...ท่าน...”
ท่านผู้หญิงถีบโครม “นังผีบ้า! ไป๊! ไปให้พ้น! นังผีบ้า!”
อุไรคราง “อูย...” รีบลุกขึ้นจากที่หงายหลัง “ท่านเจ้าขา ...นี่อุไรเองเจ้าค่ะ”
ท่านผู้หญิงรู้สึกตัว “อุไรเรอะ แล้วนังนั่นล่ะ...มันหนีไปแล้วใช่ไหม”
“ไม่เห็นมีใครนี่เจ้าคะ” อุไรบอก
“มีซิ ! มีผีนังพลับพลึง”
อุไรสะดุ้งเฮือกโผเข้ากอดผู้เป็นนาย “ว้าย”
“นังอุไร แกจะบ้าเรอะ ปล่อย”
อุไรหลับหูหลับตากอดท่านด้วยความกลัว แต่ในที่สุดท่านก็ผลักแล้วถีบอุไรกระเด็นจนได้
“แกจะบ้าเรอะ นังอุไร”
อุไรยังหลับหูหลับตาร้องอยู่นั่น “ผีคุณพลับพลึงไปแล้วหรือเจ้าคะ”
“นังอุไร”
อุไรค่อยๆ ลืมตาขึ้นมอง
“อยากให้มันมานักเรอะไง! พูดถึงมันอยู่ได้”
“ก็ท่าน...”
ท่านผู้หญิงตวาด “เงียบ”
อุไรหุบปากทันใด
“นังพิศ” ท่านผู้หญิงตะเบ็งเสียงเรียก
อุไรซึ่งกำลังคลานกลับที่ที่นอนสะดุ้งเฮือก
“นังพิศ”
เงาดำๆ ของผีนางพิศปรากฏขึ้นในเงามืดมุมห้อง
“หายหัวมัวแต่ไปอยู่ที่ไหน ปล่อยให้นังพลับพลึงมาหลอกหลอนข้า”
“ท่านเจ้าขา...ปล่อยบ่าวไปเถิดเจ้าค่ะ”
“เอ็งยังไปไหนไม่ได้”
อุไรดึงผ้าคลุมโปง ภายในโปงอุไรจะร้องไห้เสียให้ได้ด้วยความหวาดกลัว
“เอ็งต้องช่วยข้าไล่นังพลับพลึงไป มันคอยรบกวนข้าแทบทุกคืน”
“ท่านเจ้าขา...”
“เงียบ! ทำหน้าที่ของเอ็งไป”
ท่านผู้หญิงเอนตัวลงนอน ทุกอย่างกลับเข้าสู่ความเงียบ
อุไรค่อยๆ ดึงโปงออกแค่ระดับตา แล้วเบิกตากว้าง เมื่อผีนางพิศค่อยๆ เบือนหน้ามามอง อุไรรีบคลุมโปงตามเดิม
เช้ามืดวันต่อมา ดวงอาทิตย์ค่อยๆ โผล่พ้นขอบน้ำตัดกับฟ้าขึ้นมา อุษาเดินลงบันไดมาจะไปดูอาหารทำให้ท่านผู้หญิง อุไรเดินหน้าตาอิดโรยตรงมา
“คุณอุษาขา...อุไรไม่ไหวแล้วค่ะ อุไรขออนุญาตไม่นอนเฝ้าท่านผู้หญิงแล้วนะคะ ขอให้เมื่อคืนนี้เป็นครั้งสุดท้าย”
“อีกแล้วหรือ” อุษาถามเหมือนรู้ดีว่ามีผีหลอก เพราะอุไรเคยเห็นพิศมาแล้วในห้องท่านผู้หญิง
“ค่ะ...เห็นจะจะเป็นครั้งที่ 2 ที่ 3 แล้วมั้งคะ”
“อุไรคงจะฝันไปมั้ง”
“ไม่ฝันแน่นอนค่ะ! โธ่! พูดแล้วยังขนหัวลุกอยู่เลย”
“เอาเถอะ คืนนี้ฉันจะไปนอนเอง แล้วอย่าไปเล่าให้ใครฟังล่ะเดี๋ยวจะกลัวกันไปหมด”
“ค่ะ”
อุษาเดินไปครัว อุไรรีบเดินตาม โดยไม่วายมองซ้ายมองขวาหวาดๆ
2 คนเดินตามกันเข้ามาในครัว โดยอุไรทำหน้าเหมือนนึกได้
“คุณอุษาจำได้ไหมคะที่คุณวิ เห็นผู้หญิงแต่งตัวเหมือนคนโบราณมายืนมองเธอ”
อุษาชะงักหันมามอง
ภาพเหตุการณ์ตอนวิรงรองเล่าผุดเข้ามาในห้วงความคิดแว่บหนึ่ง
“อุไรว่าต้องเป็นคนเดียวกันแน่ๆ เลยค่ะ”
อุษาไม่ตอบ หันไปเตรียมอาหาร อุไรเข้าช่วย
ขณะเดียวกัน 3 คน พ่อแม่ลูก นั่งทานข้าวกัน โดยมีสาวใช้คอยบริการ
“นี่เมื่อไหร่นายพิชญ์เขาจะมารับลูกกลับล่ะ” พจน์ถามขึ้น
“คุณพ่อเบื่อขี้หน้าพิณแล้วหรือคะ” พิณทองสัพยอก
แก้วทำท่าจะพูดประชด สาวใช้อีกคนเข้ามารายงานก่อน
“คุณลบมาค่ะ”
ทุกคนยิ้มแย้มแจ่มใสทันที
แก้วบ่นดุสาวใช้ที่ยืนงง “อ้าว แล้วทำไมไม่เข้ามา ไป๊ ไปเชิญคุณลบ...ติ๋ว... ไปจัดเกี้ยมอี๋มาให้คุณลบอีกชุดหนึ่ง”
สาวใช้บอก “เธอมากัน 2 คนค่ะ”
ทุกคนทำหน้างงๆ ขณะที่พิณทองเบิกตากว้าง รู้ทันที แล้วรีบลุกขึ้นทันควัน
“พิณไปเชิญเองดีกว่า”
พิณทองยิ้มร่ารีบออกไป ขณะที่ทั้ง 2 คนยังงงๆ
เป็นดังที่พิณทองที่เดินแกมวิ่งเข้ามาคาด เมื่อมาถึงห้องรับแขกพิณทองเบิกตากว้างด้วยความดีใจ
“น้าลบ! คุณวิ”
พิณทองเข้ากอดลบ แล้วผละมาจับมือทั้ง 2 ข้างของวิรงรองอย่างดีใจ
“พิณดีใจด้วยจริงๆ ค่ะ! ไป! เข้าไปทานเกี้ยมอี๋กัน”
วิรงรองมีท่าทางลังเล
“ไป” อดิศวร์บอก
“ไปค่ะ”
พิณทองจับมือวิรงรองจูงเดินไปทางห้องอาหาร โดยมีอดิศวร์เดินตามยิ้มหน้าบาน ด้วยสีหน้าแจ่มใส
โดมทอง ตอนที่ 13 (ต่อ)
พอ 3 คนเดินเข้ามาในห้องอาหาร แก้วถึงอ้าปากค้าง ช้อนตกจากมือ ส่วนพจน์ลุกขึ้นเดินไปจับมืออดิศวร์ทักทาย แล้วรับไหว้วิรงรองด้วยความยินดี
“คุณลบ...เป็นยังไงมายังไงถึงพาหนูวิมาได้”
“วิรงรองกลับมาเยี่ยมคุณแม่เขาครับ”
พจน์พยักพเยิดแซวในที “อ้อ! แล้วคุณลบเลยต้องมารับกลับ”
ขณะที่กำลังคุยกัน สาวใช้ยกเกี้ยมอี๋มาเสิร์ฟให้สองคน
“ทานเลยค่ะ คุณวิรงรอง...ปล่อยให้น้าลบคุยไป”
คุณหญิงแก้วลุกขึ้น
“อ้าว! อิ่มแล้วหรือคุณ...ทานไปไม่กี่คำเอง” พจน์ทัก
“ไม่ได้อิ่มค่ะ...แต่มันกินไม่ลง”
แก้วลุกไป ทุกคนอึ้งกันไปหมด
พจน์ลุกขึ้น “ทานกันไปก่อนนะ”
วิรงรองรีบเรียกไว้ “คุณลุงคะ”
พจน์หันมา
วิรงรองบอก “หนูว่าหนูกลับก่อนดีกว่า” พลางหันมาทางลบ “นะคะ คุณอดิศวร์”
อดิศวร์พยักหน้าเห็นด้วย “อย่าให้มีเรื่องกันเพราะผมกับวิรงรองเลยครับ”
“น้าลบ...พิณต้องกราบขอโทษด้วยค่ะ” พิณทองเสียใจจนแทบจะร้องไห้
“ไม่เป็นไร...พอดีวิรงรองเขาต้องไปซื้อของอีกหลายอย่างเหมือนกัน”
“ขอโทษนะคะ คุณวิรงรอง...พิณเสียใจจริงๆ”
“ไม่เป็นไรเลยค่ะ...ดิฉันเข้าใจ”
อดิศวร์และวิรงรองลุกเดินออกไป พจน์และพิณทองเดินตามออกไปส่ง
แก้วหนีขึ้นห้อง กำลังคุยโทรศัพท์รายงานกับวัชรีด้วยสีหน้าเดือดดาล
“โอ๊ย! น้องน่ะไม่รู้จะหมั่นไส้มันยังไงแล้ว! ทำระริกระรี้กับคุณลบ”
ประตูเปิดออก พจน์เดินเข้ามาแล้วกอดอกฟังตรงประโยค “ทำระริกระรี้กับคุณลบ” พอดี
แก้วยังไม่รู้ตัว “ไอ้ที่เจ็บใจสุดๆ ก็คือทั้งลูกทั้งผัวน้องก็พลอยเป็นไปด้วย ทำอี๋อ๋อ...”
พจน์กระแอม แก้วสะดุ้งหันมามอง
“แค่นี้ก่อนนะคะคุณพี่! ได้เวลาทะเลาะกับสามีแล้ว”
แก้ววางโทรศัพท์ อ้าปากจะพูด แต่พจน์ชิงพูดก่อน
“ผมไปอี๋อ๋อกับหนูวิตอนไหน...แล้วผมก็ไม่เห็นเขาทำระริกระรี้อะไรกับคุณลบด้วย”
“ไม่ต้องมาแก้ตัวแทนมัน”
“ไม่ได้แก้ตัว...แต่ผมไม่เห็นจริงๆ แล้วไอ้กิริยาอี๋อ๋อน่ะ ตั้งแต่จำความได้ ผมก็ไม่เคยทำกับใคร”
“คุณลบก็อีกคน! ไม่รู้เห็นดีเห็นงามอะไรในตัวนังนั่น...เฮอะ ! ยังไง คุณย่าก็ไม่มีวันยอมให้คุณลบแต่งกับมันหรอก”
“คุณน่ะหึงแทนลูกสาว”
“อะไรนะ”
“ยัยพิณเสียอีก ยังมีสติมากกว่าคุณ! ผมไม่เห็นแกตีโพยตีพายให้มันวุ่นวายอะไรเลย”
“ก็เพราะอย่างนั้นน่ะซิ ฉันถึงต้องตีโพยตีพายแทน”
“นั่นไง”
“ขอที! กรุณาอย่ามายุ่งกับฉัน! ฉันจะทำอะไรเพื่อลูก มันก็เป็นเรื่องของฉัน! แล้วก็โปรดกลับไปพิจารณาตัวเองด้วยว่า คุณเป็นพ่อชนิดไหนกัน ถึงได้สนับสนุนผู้หญิงที่มันจะมาแย่งสามีลูก”
“เอาละ! ไหนๆ จะพูดแล้วก็พูดเสียให้หมด เรื่องที่วิรงรองเขารักกับพิชญ์มาก่อนนั่นเราก็พูดกันมาหลายครั้งแล้ว!…และเมื่อพิชญ์มาแต่งงานกับยัยพิณ เขาก็ไม่ได้มายุ่งเกี่ยวอีก! แถมยังกำลังจะแต่งงานกับคุณลบด้วย ... คุณน่าจะพอใจเสียด้วยซ้ำ...”
แก้วขัดขึ้นทันที “ฉันไม่พอใจ”
พจน์ถอนใจเฮือก
“เพราะน้องชายของฉันควรจะได้ผู้หญิงที่ดีกว่านี้! ขอให้รู้ไว้ด้วย”
อดิศวร์พาวิรงรองมาทางอาหารในร้านละแวกนั้น สองคนนั่งอยู่ที่โต๊ะมุมในสุด และนั่งทานอาหารเช้าเงียบๆ
“อร่อยไหม”
“ค่ะ”
“แต่หน้าตาเธอเหมือนไม่อร่อยเลย”
วิรงรองยกแก้วน้ำดื่ม
“อย่าถือสาพี่แก้วเลย” อดิศวร์ปลอบ
“ดิฉันพยายามแล้วค่ะ แต่มันก็อดหงุดหงิดไม่ได้! ไม่เข้าใจว่าดิฉันมันต่ำต้อยอะไรนักหนา ญาติคุณถึงได้ชอบดูถูก...”
อดิศวร์แตะมือไว้ “ไม่เอาน่า”
วิรงรองเม้มปาก ท่าทางเหมือนพยายามจะนับหนึ่งถึงร้อย
บ่ายวันเดียวกันที่โดมทอง แสงแขกำลังจัดแจกันปักดอกกุหลาบ จะเอาไปไว้ห้องนอน และห้องทำงานให้อดิศวร์
สักครู่หนึ่ง โอบอ้อมหน้าตาตื่นเข้ามา
“คุณแขขา คุณแข คุณลบกลับมาแล้วค่ะ”
“ตายจริง! ฉันยังจัดแจกันไม่เสร็จเลย!”
โอบอ้อมบอกต่อ “...พาแม่วิรงรองกลับมาด้วยค่ะ”
“อะไรนะ” แสงแขตกใจ
“คุณลบพานังมารหัวใจของคุณแขมาด้วยค่ะ”
มือแสงแขกำก้านกุหลาบแน่น จนหนามปักเลือดซึมออกมา ใบหน้าแสงแขทั้งเคียดแค้นและเจ็บปวด
ครู่ต่อมา ขณะที่อุษากำลังเดินลงมาจากชั้นบน แสงแขและโอบอ้อม เดินตรงมา หอบแจกันมาด้วยโดยถือคนละใบ
“พี่อุษา โอบมันบอกว่า คุณลบพานังนั่นกลับมาด้วยเหรอ”
“ถ้าเธอหมายถึงวิรงรองละก็...ใช่”
“ทำไม! แขไม่เข้าใจว่า ทำไมต้องพามันมาด้วย! นังนั่นมันทำยังไง”
“พี่ไม่รู้! เธอต้องไปถามเอง”
“คุณลบอยู่ที่ไหน”
“น่าจะอยู่ในห้อง” อุษาบอก
“โอบ! แกเอาไปไว้ในห้องทำงาน”
“ค่ะ” โอบอ้อมแยกไป
แสงแขถือแจกันอีกใบ เดินขึ้นข้างบนไป อุษามองตามอย่างหนักใจ
แสงแขหอบแจกันมาหน้าห้องนอนอดิศวร์ แล้วเคาะเบาๆ
“ใคร”
“แขค่ะ...แขเอาแจกันมาไว้ในห้องคุณลบค่ะ”
ประตูเปิดออก อดิศวร์ทำท่าจะรับแจกัน แต่แสงแขรีบเบี่ยงตัวเดินเข้าไปวางเอง
“ขอบใจ”
แสงแขหันกลับมา “คุณลบพาวิรงรองกลับมาด้วยหรือคะ”
อดิศวร์พยักหน้าแทนคำตอบ
แสงแขแสร้งยิ้มหวาน “แขดีใจด้วยค่ะ...ดีใจที่เห็นคุณลบมีความสุข”
“ขอบใจ”
แสงแขเดินไปที่ประตู ทำท่าจะออกไป อดิศวร์ยังยืนอยู่ที่ประตู
วิรงรองเดินออกมาจากห้องจะผ่านหน้าห้องไป แสงแขเห็นจึงแกล้งทำเป็นเซถลาเข้ากอดอดิศวร์
ร่างอดิศวร์ซวนเซแล้วโอบแสงแขไว้โดยสัญชาติญาณ วิรงรองชะงักมองมา
แสงแขส่งยิ้มให้วิรงรองอย่างเยาะเย้ย วิรงรองเดินจากไป
อดิศวร์ไม่รู้ตัว “เป็นอะไรหรือเปล่า”
“ไม่ทราบซิคะ อยู่ดีๆก็เวียนหัวเหมือนบ้านหมุน” แสงแขกุมหัวตัวเอง
อดิศวร์ช่วยประคองพาแสงแขมานั่ง
“รออยู่นี่ก่อน พี่จะไปตามอุษามาดู”
“ไม่เป็นไรค่ะ แขเดินไปได้” แสงแขลุกขึ้น
“ระวัง” อดิศวร์บอก
แสงแขเลยให้อดิศวร์ประคองอีก
“เดี๋ยวก็ล้มหรอก”
แสงแขพยายามทรงตัวเอง “ไม่ล้มหรอกค่ะ...ค่อยยังชั่วแล้ว”
แสงแขแสร้งทำเป็นค่อยๆ เดินออกไป โดยอดิศวร์ตามไปอย่างเป็นห่วง แสงแขยิ้มกับตัวเองอย่างพอใจ
ด้านวิรงรองเดินมาเรื่อยๆ แล้วทรุดตัวลงนั่งมุมสวนสวยมุมหนึ่ง
อดคิดถึงภาพเหตุการณ์ที่เห็นซึ่งผุดเข้ามาในห้วงความคิดแว่บหนึ่ง
วิรงรองสะบัดหน้าไล่ความคิด “ไม่น่า! อย่าคิดมากซิ ! คุณอดิศวร์ไม่ใช่คนอย่างนั้น”
ภาพแสงแขยิ้มเยาะผุดเข้ามาอีก
“แล้วทำไมคุณแสงแขต้องยิ้มแบบนั้นด้วย”
สีหน้าวิรงรองสับสนไม่สบายใจเอามากๆ
แสงแขยืนกอดอกอยู่หน้าบ้าน มองไปที่วิรงรอง ซึ่งกำลังเดินตรงมา วิรงรองชะงัก แต่แล้วก็บังคับให้สีหน้าเป็นปกติ
“เมื่อกี้ขอโทษด้วยนะ” แสงแขเอ่ยขึ้น
“เรื่องอะไรคะ”
“ก็เรื่องที่คุณลบกับฉันกอดกันน่ะซิ นี่ถ้าคุณลบทราบว่าเธอมาเห็นคงกลุ้มใจแย่เลย”
“ไม่เห็นจะต้องกลุ้มอะไรนี่คะ”
“เธอพูดจริงเหรอ”
“ค่ะ”
วิรงรองเดินเลี่ยงจะเข้าข้างใน
“คุณลบรักเธอ ... ฉันรู้ดี” แสงแขเอ่ยขึ้น
วิรงรองหันมามองอย่างแปลกใจ
“เรื่องของฉันกับเขามันก็แค่...” แสงแขน้ำตาคลอ “เขาไม่ได้ตั้งใจจะให้เกิดขึ้น แต่ฉันขอสารภาพว่าฉันตั้งใจเพราะฉันรักเขา... เรื่องมันเกิดขึ้น ตอนที่เธอไม่อยู่”
วิรงรองมองแสงแขอย่างงงงัน
“เธอไม่ต้องกลัวหรอก...ฉันบอกคุณลบแล้วว่า ฉันจะไม่เรียกร้องอะไรจากเขา จะไม่พูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเลย แล้วก็ขอให้ เขากับเธอมีความสุขตลอดไป”
แสงแขทำเป็นยกมือปิดหน้าแล้วเดินแกมวิ่งเข้าไป
วิรงรองมองตามอย่างมึนงง แกมสับสน
แต่พอเข้ามาภายในห้องแล้ว แสงแขกลับหัวเราะจนตัวงออย่างสะใจ
“จะบ้าตาย ทำไมฉันถึงฉลาดอย่างนี้ ไม่นึกเลยว่าอยู่ดีๆ เหตุการณ์ทุกอย่างจะเป็นใจ”
แสงแขกระหยิ่มยิ้มย่อง เดินมาทิ้งตัวลงบนเตียง
“ใครดีใครได้! นังวิรงรอง”
อดิศวร์แวะมาหาย่าที่ห้อง ถูกท่านผู้หญิงตัดพ้อ
“ทุกทีลบจะไปไหนก็ต้องบอกย่า...แล้วคราวนี้ทำไมถึงไม่บอก”
“บังเอิญผมมีธุระด่วนน่ะครับ”
“เกี่ยวกับนังพลับพลึงหรือเปล่า”
อุษาลอบมองมาเห็นอดิศวร์นิ่งงันไป
“ทำไมไม่ตอบย่า”
“ผมไม่อยู่ คุณย่ายังออกมาทานข้าวข้างนอกหรือเปล่าครับ” อดิศวร์เสไปถามเรื่องอื่น
“ลบยังไม่ได้ตอบคำถามย่า”
อุษาคลานออกไปจากห้อง
“คุณย่าครับ...ผมโตแล้ว...ผมต้องมีชีวิตของตัวเอง...ผมอยากให้คุณย่าเข้าใจ...”
“ออกไป”
“คุณย่า”
“ออกไป”
“ไม่ว่าจะยังไง ผมก็รักคุณย่ามากนะครับ”
อดิศวร์หันกลับ เดินออกไป
“อีนังพลับพลึง”
ท่านผู้หญิงคำราม ภาพฝันคำพูดพลับพลึง เมื่อคืนผุดขึ้นมา
“คุณพี่...คุณพี่กำลังจะพ่ายแพ้”
“ไม่มีวัน! ฉันไม่มีวันแพ้แก! นังพลับพลึง”
วิรงรองยืนอยู่ในห้องนั่งเล่น ทอดสายตาออกไปข้างนอก ขณะที่อดิศวร์เดินเข้ามา
“มาอยู่ที่นี่เอง”
วิรงรองยังคงยืนนิ่ง อดิศวร์เข้ามากอดข้างหลัง วิรงรองยืนนิ่งครู่หนึ่งแล้วเบี่ยงตัวออก
“เป็นอะไรหรือเปล่า”
“แค่เหนื่อยนิดหน่อยน่ะคะ ขอไปนอนพักนะคะ”
อดิศวร์ขยับตาม
“ไม่เป็นไรค่ะ...ดิฉันไปคนเดียวได้”
อดิศวร์งุนงง มองตามอย่างแปลกใจ “เป็นอะไรอีกล่ะ”
แสงแขเปิดประตูเข้ามาในห้อง ท่านผู้หญิงสรรักษ์มองตาไม่กระพริบ
“คุณย่าคงต้องให้แขช่วยอีกแล้วใช่ไหมคะ”
“นังแสงแข” ท่านผู้หญิงโกรธ
“อย่าเพิ่งโกรธค่ะ แขมีแผนมาบอกคุณย่า! รับรองว่าถ้าเราร่วมมือกันดีๆ คราวนี้นังวิรงรองจะต้องกระเด็นออกไปจากโดมทองอีกครั้ง และไม่มีวันกลับมาอีกเลย”
ท่านผู้หญิงมองแสงแขเขม็ง แสงแขสบตาท่านเหมือนผู้ที่เหนือกว่า
“ฉันไม่ต้องพึ่งแกก็ได้ ยังมีนังอุษาอีกคน”
แสงแขยิ้มหยัน “คุณย่าก็ทราบว่าพี่อุษาไม่มีวันรักคุณลบได้ เพราะเขาปักอกปักใจกับพันธุ์สูรย์ ! และถึงแม้เขาจะเชื่อฟังคุณย่าเหมือนทาส แต่เขาก็ไม่มีวันช่วยคุณย่าคิดแผนการชั่วร้ายเพื่อกำจัดนังวิรงรองเหมือนแขได้เพราะเขาเป็นคนดี ... ยอมรับเถอะค่ะ คุณย่าว่าเรามันชั่วเหมือนกัน”
ท่านผู้หญิงหอบ โกรธสุดขีดจนมือไม้สั่น “อีแสงแข! ออกไป”
แสงแขยักไหล่ “ก็ได้ค่ะ คุณย่าคิดให้ดีก็แล้วกัน แล้วถ้าคิดตกเมื่อไหร่ก็เรียกแขได้นะคะ...คุณย่าน่ะแก่มากแล้ว แต่แขยังแข็งแรง เราร่วมมือกันดีกว่า”
ท่านผู้หญิงแผดเสียง “อีแสงแข”
“ไม่ต้องขึ้นอีขึ้นไอ้หรอกค่ะ! แขน่ะไม่ได้อยากอยู่ใกล้คนแก่อารมณ์วิปริตอย่างคุณย่านักหรอก”
แสงแขเดินเชิดออกไป
ท่านผู้หญิงสรรักษ์โกรธจัด จนหายใจแทบไม่ออก
ด้านวิรงรองนอนงอตัวอยู่บนเตียง สักพักหนึ่งแล้วมีเสียงเคาะประตูดังขึ้นเบาๆ
“ใครคะ”
เสียงอุษาดังเข้ามา “พี่อุษาค่ะ”
วิรงรองลุกขึ้น เดินไปที่ประตู เปิดออกแล้วสะดุ้ง พบอดิศวร์ยืนอยู่ เห็นหลังไวๆ ของอุษาเดินจากไป
“อย่าไปโกรธอุษาเลย...ฉันเป็นคนคิดเอง”
“ดิฉันไม่ชอบถูกหลอก”
“ก็ถ้าไม่หลอก เธอจะยอมเปิดประตูหรือเปล่าล่ะ”
วิรงรองนิ่ง
“นั่นไง”
“ดิฉันอยากจะพักผ่อน” พูดพลางจะดึงประตูปิด
อดิศวร์ขวางไว้ ถามด้วยสีหน้าจริงจัง
“ไหนบอกมาซิว่า โกรธฉันเรื่องอะไร”
วิรงรองอ้าปากจะปฏิเสธ แต่อดิศวร์ขัดขึ้นก่อน
“อย่าปฏิเสธ ฉันรู้จักเธอดี”
“งั้นดิฉันก็ไม่จำเป็นต้องพูดแล้วน่ะซีคะ !
อดิศวร์ถอนใจเฮือกขวางๆ “มานี่” จับแขนวิรงรองดึงออกไป
วิรงรองขืนตัวเต็มที่ “เอ๊ะ! บอกว่าจะพักผ่อน”
“ฉันมีอะไรจะให้เธอดู”
วิรงรองยอมตามอดิศวร์ไปโดยดี
อดิศวร์พาวิรงรองเดินมาในห้องนอน วิรงรองจับขอบประตูไว้
“ยืนตรงนี้ก็ได้ค่ะ”
อดิศวร์ปล่อยแขน แล้วเดินไปเปิดหนังสือเล่มหนึ่ง เปิดออก แล้วหยิบใบไม้ที่ติดล้อรถม้าหลายวันก่อน เดินตรง
มาส่งให้ดู
วิรงรองมองงงๆ “ใบไม้”
“จำคืนที่เราเห็นรถม้าคันนั้นได้ไหม”
วิรงรองนึกถึงภาพเหตุการณ์คืนวันนั้น
“จำได้ค่ะ”
“ฉันเข้าไปดูในโรงเก็บรถม้า”
อดิศวร์เล่าที่ตนเข้าไปในโรงเก็บรถม้ากับสม แล้วตรวจดู จนเจอใบไม้
วิรงรองรีบไปดู
“ใบไม้นี่มันร่วงอยู่ข้างนอกแน่นอน แต่มันกลับติดอยู่ที่ล้อรถม้า”
วิรงรองตื่นเต้น พูดเสียงเบาแทบไม่มีเสียง “หมายความว่า...รถม้าคันนั้นออกไปจริงๆ ใช่ไหมคะ”
“ฉันก็ไม่รู้ว่า จะเป็นอย่างอื่นไปได้ยังไง”
“แล้วคนขับ...”
“ไม่ใช่ฉันแน่ๆ แต่ก็ไม่อยากจะคิดว่าเป็น...”
“เป็นคุณปู่ของคุณใช่ไหมคะ” วิรงรองว่า
อดิศวร์ทอดถอนใจ
“เชื่อเถอะค่ะ...เพราะดิฉันฝันถึงท่านตั้งแต่ตัดสินใจว่า จะมาโดมทอง”
คราวนี้อดิศวร์มองหน้าวิรงรอง
“มันไม่น่าเป็นไปได้ แต่ก็เป็นไปแล้ว”
ภาพเหตุการณ์ต่างๆ ทั้งฝันและจริง ที่วิรงรองเคยเห็นท่านเจ้าคุณผุดขึ้นในความคิด จนภาพเหล่านั้นเลือนหาย
“มันต้องมีอะไรสักอย่าง”
สีหน้าวิรงรองครุ่นคิด ตริตรอง ตามคำพูดอดิศวร์
ท่านผู้หญิงสรรักษ์จ่อมจ่ม นั่งหมกมุ่นครุ่นคิดอยู่ในห้อง ภาพแสงแขขณะพูดเหยียดเย้ยผุดขึ้นมาในห้วงคิดหญิงชรา
“คุณย่าก็ทราบว่าพี่อุษาไม่มีวันรักคุณลบได้ เพราะเขาปักอกปักใจกับพันธุ์สูรย์ ! และถึงแม้เขาจะเชื่อฟังคุณย่าเหมือนทาส แต่เขาก็ไม่มีวันช่วยคุณย่าคิดแผนการชั่วร้ายเพื่อกำจัดนังวิรงรองเหมือนแขได้เพราะเขาเป็นคนดี...ยอมรับเถอะค่ะ คุณย่าว่าเรามันชั่วเหมือนกัน”
ภาพแสงแขเลือนหายไป ท่านผู้หญิงขบกรามแน่น “อีแสงแขมันร้ายนัก”
เสียงเคาะประตูเบาๆ แล้วอุษาเข้ามา
“แกมาพอดี”
“คุณย่าจะให้อุษาทำอะไรหรือคะ”
ท่านผู้หญิงจ้องเขม็ง “ฉันรู้ว่า ในโลกนี้ไม่มีใครรักฉันหรอก”
อุษาทำท่าจะปฏิเสธ
ท่านผู้หญิงยกมือเป็นเชิงห้าม “ฉันรู้ดี! แกไม่ต้องมาปฏิเสธ! แต่อย่างน้อย...แกก็มีความกตัญญูกับฉันมากกว่าใครๆ”
อุษามองท่านผู้หญิงสรรักษ์ด้วยความตื้นตันใจ
“ถ้ามันไม่เหลือบ่ากว่าแรงจริงๆ ฉันคงไม่ขอร้องแกให้ช่วยหรอก...” หญิงชราเริ่มมารยาใส่
อุษาผู้แสนดี หลงกลทันที “คุณย่าจะให้อุษาทำอะไรก็บอกมาเลยค่ะ...อุษายินดีทำทุกอย่างเพื่อคุณย่า”
“แต่งงานกับตาลบ” ท่านผู้หญิงบอกเสียงเข้ม
อุษาผงะพร้อมกับเบิกตากว้าง
“แกสัญญาแล้วว่าจะช่วยฉัน...อย่าลืม”
สีหน้าท่านผู้หญิงบ่งบอกความเจ้าเล่ห์ แลดูน่าเกลียดปนน่ากลัว
ประตูโรงเก็บรถม้าเปิดออก อดิศวร์จูงวิรงรองเดินเข้ามา ทั้งคู่เดินไปที่รถม้า
“ดวงวิญญาณของคุณปู่คงวนเวียนอยู่ในโดมทองนี่เอง...ไม่ว่าฉันจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้สักแค่ไหน...ท่านก็ไม่ไปผุดไปเกิด”
“ท่านคงมีห่วงอยู่ค่ะ” วิรงรองบอกอย่างมั่นใจ
อดิศวร์หันมามอง นึกออกเช่นกัน “คุณย่าน้อย”
“ค่ะ...ท่านคงรอคุณย่าน้อยของคุณลบ”
“แล้วเราจะไปตามหาคุณย่าน้อยได้ที่ไหน!… ถ้าท่านเสียไปแล้ว...ให้ได้พบอัฐิก็ยังดี” อดิศวร์ปรารภ
“เจ้าภูไทกับลานนา ก็พยายามสืบเหมือนกันว่า ดิฉันเป็นญาติกับท่านหรือเปล่า!… เอ้อ...ดิฉันเล่าให้ฟังน่ะค่ะว่า ดิฉันหน้าเหมือนคุณพลับพลึงอย่างประหลาด”
ได้ยินชื่อภูไท อดิศวร์เริ่มพาล “ไม่เห็นจะต้องไปบอกเขาเลย”
“ทั้งสองคนนั่น...รวมทั้ง เอ้อ...คุณพันธุ์สูรย์อยากจะช่วยดิฉันค่ะ”
อดิศวร์หน้าเคร่งขึ้นไปอีก
“ดิฉันฝันร้ายมานับตั้งแต่ได้ยินชื่อ “โดมทอง” และก็คงจะเป็นอย่างนี้ตลอดไป หากไม่ได้รู้ความจริง”
“อย่าเชื่อไอ้พันธุ์สูรย์มันให้มากนัก! ปู่ของมัน...เป็นพวกเนรคุณและตัวของมันเองก็ไม่เจียมกะลาหัว! ใฝ่สูงมารักอุษา”
“ดิฉันไม่เห็นเขาจะเสียหายอะไร”
“เราอย่ามาทะเลาะกันเพราะไอ้คนนี้เลย”
“คุณปู่ของคุณพันธุ์สูรย์เนรคุณใครคะ”
“คุณย่า”
“แล้วท่านผู้หญิงเล่าให้คุณลบฟังหรือเปล่าว่าเนรคุณเรื่องอะไร”
“ฉันไม่ได้ถาม”
วิรงรองพยักหน้าช้าๆ กับตัวเอง นัยน์ตาแสดงความมุ่งมั่นหมายมาดชัดแจ้ง
อ่านต่อตอนต่อไป