มายาตวัน ตอนที่ 2
ในเวลาต่อมา เอกชัยเดินออกมาส่งมัทนาที่หน้าประตูรั้วบ้าน
“คุณเอกไม่มีทางช่วยหนูเลยเหรอคะ” มัทนาอ้อน
เอกชัยถอนใจบอก
“ฉันก็จนปัญญา ฉันถูกชะตากับเธอนะ น่าเสียดาย”
เอกชัยสีหน้าใช้ความคิด
“เอางี้ เอาเบอร์โทรเธอมา ถ้าเพื่อนฝูงฉันต้องการเด็กทำงานบ้านฉันจะโทรไปตาม”
“หนูยังไม่มีเบอร์โทรศัพท์หรอกค่ะ ต้องรอได้งานก่อน” มัทนาตีหน้าให้น่าสงสาร
“เหรอ งั้นเอาเบอร์ฉันไป”
เอกชัยล้วงหานามบัตร
“ไม่ได้หยิบนามบัตรมาซะด้วยสิ”
มัทนาล้วงปากกาที่เหน็บไว้กระเป๋าหลังออกมาให้เอกชัย
“เขียนที่แขนหนูเลยค่ะคุณเอก”
“เอางั้นเลยเหรอะ”
“ค่ะ”
เอกชัยรับปากกามาเขียนเบอร์โทรศัพท์ที่แขนมัทนา... 081 ...
มัทนาอมยิ้มอย่างพอใจ อยากน้อยก็มีความคืบหน้าขึ้นเล็กน้อย
เวลาบ่าย ไชยวัฒน์ สาระวารี มีคณา รวมตัวกันอยู่ที่ห้องบอกอ มัทนาคุยผ่านสปีคเกอร์โฟนกับไชยวัฒน์กำลังจดเบอร์โทรเอาไว้
“โอเค ผมจดเบอร์คุณพ่อบ้านไว้เรียบร้อยแล้ว ทำงานได้ดีมากมัท”
“มัทเพิ่งรู้นะคะว่าพี่ตวันมีชื่อเล่นว่าปอน ทุกคนในบ้านเรียกว่าคุณปอนกันหมด ไม่มีใครเรียกว่าตวันเลยซักคน”
“ว้าว” น้ำเสียงมัทนาตื่นเต้น...
มีคณาสงสัย
“มีอะไรเหรอมัท”
“เจ้าชายกำลังขี่ม้าขาวมาหามัทแล้ว”
สาระวารีตื่นเต้น
“ใคร คุณเชนเหรอ”
“ใช่”
สาระวารีใส่อารมณ์ขี้เล่น แกล้งกระเซ้า
“ถอดเสื้อขี่ม้าโชว์แผงอกรึเปล่าจ๊ะ”
“จะบ้าเหรอวารี”
“แค่นี้ก่อนนะคะ”
“ย่ะ” สาระวารีกดตัดสายทำสีหน้าหมั่นไส้เล็กน้อย ก่อนพูดกับมีคณา
“ดูสิมี่ไปแค่ไม่กี่วัน น้องเห็นผู้ชายสำคัญกว่าเราแล้ว”
มีคณายิ้มๆ ตีแขนเพื่อนเบาๆ ไชยวัฒน์ได้แต่ถอนใจส่ายหน้าไปมา
เชนขี่ม้าเลียบมาตามชายหาดตรงเข้ามาหามัทนาพร้อมยิ้มให้ มีเจ้าของม้าเดินตามคุมมาไม่ห่าง
“ขี่ม้ามั้ยครับ”
มัทนายิ้มแหยๆ
“มัทไม่กล้าหรอกค่ะ”
“ม้าเชื่อง ไม่ต้องกลัวหรอกครับ”
เชนยื่นมือมารับ
“ไม่ดีกว่าค่ะ ม้าตัวเดียว นั่งสองคน อึดอัดตายเลย”
มัทนาปั้นยิ้มให้ เชนยิ้มๆ พอจะเข้าใจ ลงจากม้าให้
“โทษทีนะ ผมไม่ได้ตั้งใจจะฉวยโอกาสอะไร”
มัทนารีบแก้ทันที
“มัทก็ไม่ได้คิดขนาดนั้นหรอกค่ะ”
มัทนาหลบตาเล็กน้อยเพราะแอบคิดระวังตัวอยู่
“ม้าไม่มีคนนั่งแล้ว...เชิญครับ ผมช่วยจูงให้”
มัทนาปีนขึ้นหลังมาโดยมีเชนช่วยและเจ้าของม้าช่วยจับม้าไว้ให้อีกที เขาจูงเชือกม้าพามัทนานั่งชมวิวไปเพลินๆ มัทนาชำเลืองมองเชน พร้อมเสียงในความคิด
“สุภาพบุรุษที่สุด”
เชนหันมองพอดี
“เป็นไงครับ ได้งานมั้ย”
มัทนาหุบยิ้มแทบไม่ทัน รีบปั้นหน้าเซ็งกลบเกลื่อน
“ได้อะไรล่ะค่ะ แฟนเค้าไม่ชอบมัท บอกว่าไม่ถูกชะตา”
เชนกระเซ้า
“เพราะมัทหน้าตาสวยใช่มั้ยล่ะ”
มัทนาตอบหน้าตาย
“ก็ไม่น่าจะมีเหตุผลอื่นหรอกค่ะ”
เชนหลุดหัวเราะชอบใจออกมา
มัทนาขำตาม
“ถ้ามัทแฝงตัวเข้าบ้านไม่ได้ก็จบข่าวของแท้”
มัทนาสีหน้าเซ็ง
“อย่าเพิ่งยอมแพ้สิครับ ตื้อเท่านั้นที่ครองโลก”
“คุณเชนมีไอเดียอะไรจะแนะนำมัทมั่งมั้ยคะ”
เชนเดินจูงม้าให้มัทนาเลียบหาดสวย เขามีสีหน้าใช้ความคิดให้คำปรึกษา มัทนารู้สึกสนิทใจขึ้น
ที่บ้านเขตต์ตวันตอนหัวค่ำ ชลบุษย์หน้านิ่งๆ เดินนำหญิงสาวหุ่นนางแบบ3 คนมาหยุดที่หน้าห้องทำงาน
“เสร็จแล้วลงไปรับค่าเหนื่อยกับฉันข้างล่าง”
นางแบบคนที่ 1 บอก
“ขอบคุณค่ะคุณบุษย์”
ชลบุษย์เคาะประตูห้องทำงาน
“บุษย์เองค่ะคุณปอน”
“เข้ามา” เสียงเขตต์ตวันดังออกมา
ชลบุษย์เปิดประตูห้องทำงานให้หญิงสาวสวยทั้งสามเดินเรียงแถวเข้าไปในห้อง ช่องแง้มของประตูเห็นเขตต์ตวันนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน จ้องมองมาที่หญิงสาวทั้งสาม สายตาเหมือนเหยี่ยวที่จ้องจะตะครุบเหยื่อ
ชลบุษย์ปิดประตูห้องสนิทไปก่อนจะเห็นอะไรมากไปกว่านั้น
หน้าบ้านตอนเช้าวันต่อมา รปภ. เปี๊ยกกำลังเปิดประตูรั้วให้ ชลบุษย์เดินหน้านิ่งนำสาวรุ่นคนเข้าพบเขตต์ตวันเมื่อคืนที่เหลือเพียง 1 คน เดินสวมแว่นดำ เพลียๆ ง่วงๆ ออกมาขึ้นรถชลบุษย์
เปี๊ยกมองมาที่สาวรุ่นสีหน้าอยากรู้
มัทนาซึ่งแต่งตัวทะมัดทะแมงสวมหมวกแก็ปแอบมองดูเหตุการณ์ด้วยสีหน้าเก็บข้อมูลอยู่เช่นกัน ก่อนที่เปี๊ยกจะรู้ตัว มัทนาก็แอบย่องเข้ามาในบ้าน วิ่งลัดเลาะไปทางสนาม
ชลบุษย์ขับรถพาสาวรุ่นคนนั้นออกไปส่ง
ผ่านเวลาเล็กน้อย เขตต์ตวันกึ่งนั่งกึ่งนอนอ่านหนังสือพิมพ์แนวธุรกิจอยู่บนเตียง ลลิสาสวมเสื้อคลุมชุดนอนเดินยกถาดอาหารเช้าเข้าห้องนอนมา
“อาหารเช้ามาแล้วค่ะ”
เขตต์ตวันยิ้มแย้ม พับหนังสือพิมพ์ไป ลลิสายกโต๊ะสำหรับทานอาหารเช้าบนเตียงมาตั้งบริการให้เขตต์ตวัน
“ทานให้หมดเกลี้ยงเลยนะคะ คนทำจะได้ชื่นใจ”
“โอเคครับ” เขตต์ตวันจุ๊บแก้มลลิสาให้รางวัล
ลลิสาประจ๋อประแจ๋ทานอาหารเช้าบนเตียงไปกับเขตต์ตวัน
เวลาเดียวกัน เอกชัยเดินถือถ้วยกาแฟเดินจิบออกมาที่สนามข้างบ้าน เขาชะงัก เมื่อเห็นคนงานร่างเล็กสวมหมวกแก็ปปิดบังหน้า นั่งก้มหน้าก้มตาตัดหญ้าที่สนามอยู่ หรือ ตัดแต่งต้นไม้ เอกชัยเดินเข้าไปมองใกล้ๆ
“คนงานจากที่ไหนน่ะ”
มัทนาเงยหน้าขึ้นมอง ยิ้มให้เอกชัย เขาประหลาดใจ
“เธออีกแล้วเหรอะ เข้ามาได้ยังไง”
เอกชัยเดินเข้ามาหา
“หนูแอบเข้ามา ตอนเปี๊ยกเปิดประตูรั้วค่ะ... คุณผู้หญิงเค้าไม่อยากเห็นหนูในบ้าน ให้หนูทำงานสวนหลบๆ อยู่หลังบ้านก็ได้นะคะ”
เอกชัยถอนใจออกมา
“คุณเอกช่วยพูดให้หนูด้วยนะคะ หนูอยากได้งานทำจริงๆ ค่ะ”
“เธอนี่ตื้อจริงๆ เลยนะ”
ขาดคำเอกชัย เจ้าด่างกับเจ้าจุดก็วิ่งเห่ามาหามัทนาแต่ไกล
“ด่าง จุด”
มัทนาวิ่งเข้าไปเล่นหมา 2 ตัว ชวนวิ่งไล่กันไปมา เจ้าจุด เจ้าด่างต่างเห่ากันสนุกสนาน
เอกชัยมองตามแล้วยิ้มๆ ที่เจ้าด่างกับเจ้าจุดมีเพื่อนเล่นที่รักและเอ็นดูมัน
เขตต์ตวันและลลิสากำลังนั่งทานอาหารเช้า คุยกันอย่างอารมณ์ดี ก็ได้ยินเสียงเจ้าด่างและเจ้าจุดเห่าดังขึ้นมา
“ด่างกับจุดเห่าอะไรของมัน”
“ปกติไม่เห็นเคยได้ยินเสียงมันเห่าเลยนะคะ”
“นั่นน่ะสิ สงสัยลูกจ้างใหม่จะมา”
“ยังนี่คะ นัดเริ่มงานพรุ่งนี้”
เขตต์ตวันมีสีหน้าสงสัย
“ผมลงไปดูหน่อยดีกว่า”
เขาลุกไปหยิบเสื้อคลุมชุดนอนสวมอีกชั้น
มัทนาจูงสายจูงเจ้าด่างและเจ้าจุดพากลับไปเข้ากรง ลูบหัวลูบตัวเอ็นดู มันเขี้ยว
-ตัดไปรับเขตต์ตวันและลลิสาเดินออกมาคุยกับเอกชัย
“ด่างกะจุดเห่าอะไรของมัน”
เอกชัยอึกอักเล็กน้อย สีหน้าเป็นกังวล
“คนสวนน่ะ”
มัทนาวิ่งกลับมา สีหน้ายิ้มแย้ม
“พาเข้ากรงเรียบร้อยแล้วค่ะ”
มัทนาชะงักไปเมื่อเห็นเขตต์ตวันและลลิสา รีบก้มหน้าอาศัยหมวกบังๆ เอกชัยปั้นหน้าฝืนยิ้มเล็กน้อย ลลิสาเสียงแข็งถาม
“ใครน่ะคุณเอก”
เอกชัยอ้อมแอ้มตอบ
“คนสวนใหม่”
“เงยหน้าขึ้นซิ”
มัทนาค่อยๆ เงยหน้าขึ้น แต่ปีกหมวกยาวยังบังหน้าทำให้เห็นไม่ถนัด ลลิสารู้สึกว่าคุ้นๆ จึงเดินตรงเข้าไปหาแล้วกระชากหมวกออก มัทนาได้แต่ยิ้มแหยๆ ลลิสาไม่พอใจมาก
“เธออีกแล้ว”
เขตต์ตวันหันมาจ้องหน้าเอกชัยที่หน้าตาเจื่อนๆ ไป มัทนายกมือไหว้
“หนูอยากได้งานจริงๆ ค่ะคุณผู้หญิง”
ลลิสาจะอ้าปากด่าก็ชะงักไปเลย แอบยิ้มเชิดหน้าพอใจที่ถูกเรียกว่าคุณผู้หญิง
“คุณผู้หญิงไม่ชอบหนู หนูทำสวนอยู่หลังบ้าน ไม่ให้คุณผู้หญิงเห็นหน้าเลยก็ได้ค่ะ”
เขตต์ตวันเดินเข้ามาหาด้วยสีหน้าสงสัย
“ทำไมเธอถึงอยากทำงานบ้านฉันนักหนา มีจุดประสงค์อะไรแอบแฝงรึเปล่า”
มัทนาอึ้งไปจ้องหน้าเขตต์ตวัน แล้วบีบน้ำตาปล่อยโฮ สวมกอดเขตต์ตวัน เขาตกใจแต่ก็หลบไม่ทัน มัทนากอดรัดไว้แน่น
“หนูเป็นแฟนคลับของพี่ หนูดูหนังของพี่ ติดตามงานของพี่ทุกอย่างเลย หนูคิดถึงพี่ตวัน อยากตามมารับใช้พี่ค่ะ”
มัทนาแอบหน้าเจ้าเล่ห์ อยากแกล้งลลิสาเลยกอดซบอกอดีตพระเอกหนุ่มอย่างอ้อนๆ
“ขอหนูได้ทำงานรับใช้พี่ตวันเถอะนะคะ”
ลลิสาเดินมากระชากคอเสื้อมัทนาลากออกมาจากเขตต์ตวันทันที
“โอ๊ย ๆ ๆ”
ลลิสาจ้องหน้าและพูดดูถูก
“ออกมานี่เลยย่ะ...ที่แท้ก็พวกคลั่งดารา ฉันนึกอยู่แล้วเชียว”
ลลิสาผลักไหล่มัทนาที่ทำเป็นบอบบาง ล้มไปนั่งกับพื้นหญ้า ปั้นหน้าให้น่าสงสาร
เขตต์ตวันดูใจอ่อนลง เพราะผูกพันกับแฟนคลับ แต่ก็ไม่อยากมีปัญหากับลลิสา จะเดินเลี่ยงเข้าบ้าน มัทนารีบคลานเข่าไปกอดขาเขาไว้แน่น
“พี่ตวัน อย่าใจร้ายกับหนูเลยนะคะ ขอให้หนูทำงานบ้านพี่ ให้หายคิดถึงเถอะนะคะ”
เขตต์ตวันเดินหนีไม่ได้เพราะมัทนากอดขาไว้แถมตวัดขาโอบรัดไว้อย่างแน่นเหมือนหมีโคอาล่าเกาะกิ่งไม้
“นังปลิง ปล่อยคุณปอนเดี๋ยวนี้นะ” ลลิสาว่า
“ไม่ปล่อย ยังไงก็ไม่ปล่อย”
“คุณเอก โทรแจ้งตำรวจเลยว่ามีพวกแฟนคลับคลั่งดาราบุกเข้ามาในบ้านเรา”
มัทนาตาเบิกโพลงเล็กน้อย กลัวเจอสอบสวนแล้วความแตกจึงรีบปล่อย เขตต์ตวันย่อตัวลงนั่ง พูดกับเธอดีๆ
“เธอกลับไปซะเถอะ อย่าทำยังงี้อีกเลยนะ ฉันไม่ใช่ดาราของใครทั้งนั้น เรื่องทั้งหมดมันเป็นอดีตไม่มีเขตต์ตวันอีกต่อไปแล้ว”
มัทนาสีหน้าเศร้ามองหน้าเขา
“คุณปอนไปพูดดีกับมันทำไมคะ เข้าบ้านเถอะค่ะ”
ลลิสาเข้าไปจูงเขตต์ตวันเข้าบ้าน พร้อมค้อนใส่มัทนา
“อย่าให้ฉันเห็นหน้าเธอในบ้านนี้อีกนะ”
ลลิสาสะบัดหน้าพรืดพาเขตต์ตวันกลับเข้าบ้านไป เอกชัยถอนใจเดินเข้ามาหาพร้อมยื่นมือไปให้มัทนาจับเพื่อลุกขึ้นยืน เอกชัยยิ้มกวนบอก
“เอาลายเซ็นมั้ย เดี๋ยวไปขอให้”
“คุณเอก” มัทนาค้อนใส่แล้วลุกเอง เดินปึงปังกลับไปทางหน้าบ้าน เอกชัยขำๆ ส่ายหน้ามองตามด้วยความรู้สึกถูกชะตา ขณะที่เธอมีสีหน้าหงุดหงิดเจ็บใจ
มัทนาพูดพึมพำ
“รู้จักไอ้มัทน้อยไปแล้ว...ฉันต้องเข้ามาทำงานในบ้านนี้ให้ได้ คอยดูสิ”
มัทนามีสีหน้าอยากเอาชนะ
ผ่านเวลาสักพัก มัทนาเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ยืนรอลิฟท์สะพายเป้อย่างทะมัดทะแมง พลางบ่นพึมพำด้วยความหงุดหงิด
“สืบที่อื่นก่อนก็ได้ เจ็บใจนัก”
ลิฟท์เปิดออกเห็นเชนแต่งตัวสบายๆ อยู่ในลิฟท์ เธอยิ้มแย้มทักทาย
“อ้าว คุณเชน”
เชนกระเซ้า
“จะไปเก็บเปลือกหอยที่ชายหาดอีกเหรอครับ” เชนกดเปิดลิฟท์ค้างไว้ให้
“แหม เจอหน้าก็แซวเลยนะคะ”
มัทนาเดินเข้าไปในลิฟท์ เชนผุดรอยยิ้มที่ริมฝีปาก
“มัทว่าจะแวะไปวัดสวนป่าหน่อยน่ะค่ะ”
“งั้นติดรถผมไปได้เลย ผมต้องไปธุระทางนั้นพอดี”
“ขอบคุณค่ะ”
เชนกดปิดลิฟท์ ทั้งคู่ยิ้มให้กันด้วยความรู้สึกดีๆ พร้อมๆ กับประตูลิฟท์ปิดสนิท
บริเวณลานจอดรถ เชนเปิดประตูรถให้มัทนาเข้าไปนั่ง
“ขอบคุณค่ะ”
เชนขึ้นรถมานั่ง และคาดเข็มขัดนิรภัย เธอคาดเข็มขัด ยิ้มๆ พร้อมพูด
“นึกๆแล้วมัทก็ขำตัวเองนะคะ”
เชนหันไปมอง
“ขำอะไรเหรอครับ”
“มัทรู้สึกว่า ตัวเองเป็นผู้ยิ๊งผู้หญิงเวลาอยู่กับคุณ มัทไม่ค่อยเคยเจอผู้ชายที่เทคแคร์ผู้หญิงจัดๆ แบบคุณเท่าไหร่เลยนะคะ”
เชนยิ้มๆ
“จริงเหรอ อาจจะเป็นเพราะผมถูกสอนมาว่าผู้ชายต้องให้เกียรติและยกย่องผู้หญิงก็ได้นะครับ ผมก็เลยชอบมองว่าผู้หญิงบอบบาง อ่อนโยน ผู้ชายมีหน้าที่ต้องปกป้องดูแล”
มัทนายิ้มชื่นชม
“พ่อแม่บุญธรรมคุณเป็นฝรั่ง เลยปลูกฝังความคิดแบบตะวันตกให้คุณ ถือว่าเป็นทัศนคติที่สุดยอดเลยนะคะ มัทยกนิ้วโป้ง ...ให้ 2 นิ้วเลย”
มัทนายกสองนิ้วโป้งให้ เชนยิ้มปลื้ม
“ขอบคุณครับ”
เชนขับรถออกไป มัทนาแอบชำเลืองมองเชน สีหน้ายิ้มปลื้ม
รถเชนวิ่งรับลมชมวิวสองข้างทางมาเรื่อยๆ เสียงสนทนาของทั้งคู่ยังต่อเนื่อง
“ผมทำธุรกิจเกี่ยวกับอัญมณี นำเข้าบ้างส่งออกบ้าง สินค้าส่วนใหญ่ก็เป็นเพชรพลอยแล้วก็หยก”
มัทนาฟังเชนคุยอย่างสนใจ
เชนเล่าด้วยสีหน้าแววตาปลาบปลื้ม
“พอผมเริ่มจับธุรกิจมุก ผมเหมือนโดนมนต์สะกด ผมหลงรักไข่มุกแบบหัวปักหัวปำ”
มัทนาฟังแล้วก็ขำๆด้วยความรู้สึกดีๆ
“ผมพูดจริงๆ นะครับ มัทคิดดูสิ วัตถุกลมๆ ที่ก่อตัวจากสัตว์ใต้ทะเล สีของมันแต่ละเม็ดก็ไม่เหมือนกัน บางเม็ดออกชมพูจางๆ บางเม็ดสีขาวนวล คุณไม่มีทางรู้เลยว่าไข่มุกเม็ดต่อไปในมือคุณจะมีสีสันยังไง รูปร่างยังไง”
มัทนาฟังด้วยความสนใจ
เชนรู้สึกตัว เหล่มองมัทนา
“ดูสิ ผมมัวแต่พูดเรื่องอะไรก็ไม่รู้ เอาแต่โม้ความหลงใหลส่วนตัว คุณคงเบื่อแย่”
“ไม่เลยค่ะ”
เชนส่งตาหวานพร้อมชวน
“ไม่เบื่องั้นแวะทานข้าวด้วยกันก่อนนะ ผมเจอคนคุยถูกคอไม่ได้ โรคบ้าน้ำลายกำเริบทุกทีมีเรื่องคุยอีกเยอะเลย”
“จะแคะหูรอฟังเลยค่ะ” มัทนาพูดขำๆ
เชนยิ้มแย้มอารมณ์ดีมีความสุขขับรถไปหาร้านอาหารทาน มัทนาหันมองไปนอกหน้าต่าง อมยิ้มปลื้มๆ ชักจะเผลอหลงเสน่ห์นายคนนี้เข้าให้แล้วสิ
ในเวลาต่อมา มัทนาเดินเข้ามาในบริเวณวัดสวนป่าที่กว้างใหญ่ร่มรื่น มัทนากวาดตามองไปทั่วบริเวณ เพื่อหาทางไปกุฏิหลวงพ่อจรูญ ลุงชดนั่งพักเหนื่อยอยู่มุมหนึ่ง ตะโกนด้วยน้ำเสียงสำเนียงใต้ดูเหมือนเมาๆ เล็กน้อย
“มาหาใครล่ะหนู”
มัทนาเดินเข้าไปหา
“หลวงพ่อจรูญอยู่มั้ยจ๊ะลุง”
“เจ้าอาวาสจะทิ้งวัดไปไหนได้ล่ะหนูโน่น กุฏิเล็กหลังแรกโน่นแหละ” ลุงชดพูดพลางชี้บอก
“ขอบคุณค่ะลุง”
มัทนาจะเดินไป ลุงชดรีบลุกตามไปบอก
“เดี๋ยวสิหนู ขอลุงซักยี่สิบสิ เปรี้ยวปาก อยากได้ซักกรึ๊บ”
มัทนาหันกลับไปมอง สีหน้าเหมือนคิดแผนการอะไรได้
“เอ่อลุง หนูถามอะไรหน่อยสิ เดี๋ยวให้ 50 บาทเลย”
มัทนาหยิบแบงค์ 50 ออกมาล่อทันที ลุงชดยิ้มเผ่ ดีใจ
“ถามมาได้เลยหนู”
“ลุงเคยเห็นพระเอกหนังที่ชื่อเขตต์ตวันมาทำบุญที่วัดนี้บ่อยมั้ยคะ”
“โอ้ยคุณตวันมาบ่อย ใจดี เจอลุงก็ให้เงินทุกที โรงอาหารนั่นเค้าก็เป็นคนสร้างให้หลวงพ่อ กำแพงวัดก็ทาสีให้ใหม่ วัวก็ซื้อมาให้เด็กวัดเลี้ยง เค้าเป็นคนดีจริงๆนะหนู”
มัทนายิ้มดีใจรีบจำข้อมูล แล้วหยิบกล้องถ่ายรูปออกมา
“แล้วคุณตวันเคยเป็นเด็กวัดที่นี่มาก่อนรึเปล่าลุง”
ลุงชดเงียบไปนิด พูดใต้เป็นพัลวัน
“ไม่รู้ ข้อนี้ลุงไม่รู้ ตอบไม่ได้ ลุงไม่ตอบแล้ว” ลุงชดแบบมือ
“โอเค โอเค งั้นขอถ่ายรูปลุงไว้เป็นที่ระลึกหน่อยนะคะ”
ลุงชดฉีกยิ้มโชว์ฟันหลอสู้กล้อง มัทนากดชัดเตอร์ถ่ายรูปลุงชดเอาไว้ประกอบบทความ
บนกุฏิ มัทนานั่งพับเพียบยกมือไหว้หลวงพ่อจรูญในกุฏิของท่าน แล้วรายงานตัว
“ดิฉันเป็นนักข่าวมาจากกรุงเทพค่ะหลวงพ่อ จะมาทำข่าวเรื่องคุณเขตต์ตวัน”
หลวงพ่อถอนใจ ก่อนพูดเป็นสำเนียงใต้
“มันไม่ชอบ ไม่อยากให้เป็นข่าวไม่ใช่เรอะแล้วนี่โยมบอกเจ้าตวันมันรึยังล่ะ”
“ยังเลยค่ะ ตั้งใจว่าจะเก็บรวบรวมข้อมูลก่อนค่อยไปสัมภาษณ์ เดี๋ยวเค้าจะหาว่าสักแต่ตั้งคำถาม ไม่ทำการบ้านมาก่อน”
หลวงพ่อสีหน้านิ่งเหมือนหนักใจแทน
“ทำไมพวกนักข่าวถึงได้สนใจมันกันนักก็ไม่รู้ เดี๋ยวนี้มันก็ไม่ได้เป็นพระอ่งพระเอกอะไรแล้วนี่”
“แต่ก็ยังมีคนที่รักและชื่นชมคุณตวันอีกเยอะนะคะหลวงพ่อ”
หลวงพ่อรับฟังมัทนาอย่างสนใจ
“การที่คุณตวันตัดสินใจแสดงหนัง ก็ต้องทำใจและยอมรับให้ได้ว่ากลายเป็นคนของประชาชนไปแล้ว เมื่ออยู่ตำแหน่งนี้ก็เหมือนเป็นญาติพี่น้องของคนนับแสนนับล้าน ใครๆ ก็ต้องอยากรู้เรื่องราวทุกซอกทุกมุมของดาราขวัญใจเค้าอยู่แล้ว ถึงจะเป็นอดีตพระเอกก็หนีความอยากรู้ของคนไม่พ้นหรอกค่ะหลวงพ่อ”
หลวงพ่อพยักหน้าเห็นด้วย
“คนของประชาชน คือเส้นทางชีวิตที่ตวันมันเลือกแล้ว ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ชอบก็ตาม” หลวงพ่อถอนใจออกมา
“ค่ะหลวงพ่อ...ส่วนหนูเป็นนักข่าว หน้าที่ก็คือนำเสนอสิ่งที่คนอยากรู้ หาคำตอบให้กับทุกความสงสัยของประชาชน แม้บางครั้งอาจจะทำเพื่อขายข่าว แต่หนูก็ถือว่าเป็นอาชีพที่เป็นคนของประชาชนเหมือนกัน และมันก็เป็นเส้นทางชีวิต ที่หนูได้เลือกแล้วค่ะหลวงพ่อ”
หลวงพ่อหัวเราะชอบใจ
“พูดจาสำบัดสำนวนสมแล้วที่เป็นนักข่าว โยมอยากรู้เรื่องอะไรล่ะ”
มัทนายิ้มออกมาอย่างดีใจ
เวลาเย็น สาระวารีหน้าตาตื่นรีบเดินถือโทรศัพท์มือถือ มาที่โต๊ะข่าวอาชญากรรม เรียกหาเพื่อนเสียงดัง
“มี่ ๆ เห็นหน้ากิ๊กมัทมันรึยัง”
มีคณากำลังพิมพ์ข่าวหน้าจอคอมฯอยู่ที่โต๊ะเงยหน้ามอง
“ยังเลย เป็นไงมั่ง”
สาระวารีโชว์รูปในมือถือในมือให้ดู
“หล่อดูดีมีตังค์นะแก”
มีคณารับโทรศัพท์มาดู เห็นรูปเชนกำลังคุยโทรศัพท์อยู่มุมร้านอาหาร ที่ถูกมัทนาแอบถ่ายรูปเอาไว้
สักครู่ โทรศัพท์เรียกเข้าของมีคณาดังขัดขึ้นทันที โชว์รูปมัทนายิ้มร่าขึ้นมา เป็นรูปที่สาระวารีเคยถ่ายเอาไว้
“แม่ตัวดีโทรมาแล้ว”
สาระวารีแย่งโทรศัพท์มากดรับกดปุ่มสนทนาแบบลำโพงได้ยินเสียงออกมา
“แหม ส่งรูปกิ๊กมายั่วน้ำลายพี่ๆ ทันทีเลยนะจ๊ะ”
มัทนาเสียงเซ็งบอก
“งานไม่ค่อยคืบหน้าเลยพี่ พัฒนาแต่เรื่องหัวใจ”
สาระวารีขำ
“ย่ะ หมั่นไส้จริงจิ๊ง”
“พี่มี่มีอะไรแนะนำมัทมั่งมั้ย”
“อดทนเอาไว้ก่อนน้อง พี่เชื่อว่างานนี้ไม่เกินความสามารถมัทหรอกจ้ะ”
“ไม่ได้งานได้แฟนก็โอนะ ถือว่าไปไม่เสียเที่ยว” สาระวารีบอก
“บอกอได้บีบคอมัทตายน่ะสิ เฮ้อ...ไปเล่นน้ำทะเลคลายเครียดดีกว่า”
บริเวณชายทะเลเวลาเย็น มัทนาในชุดกางเกงสามส่วน เสื้อสีเข้มสองชั้นเล่นน้ำทะเลดำผุดดำว่ายระดับน้ำลึกอย่างสนุกสนานเพลิดเพลิน เธอสูดหายใจลึกเต็มปอดแล้วมุดดำลงไปกะไปให้ได้ไกลที่สุดแล้วโผล่ขึ้นมา
ไม่คาดคิด จังหวะที่มัทนาโผล่พรวดพ้นน้ำก็ชนเข้ากับกระดานวินด์เซิร์ฟที่กำลังแล่นฉิวเข้าฝั่งเข้าอย่างจังจนหมดสติจมน้ำไป คนเล่นวินด์เซิร์ฟคือ เขตต์ตวัน นั่นเอง เขาตกใจมากรีบโดดน้ำลงไปช่วยมัทนาทันที
เขตต์ตวันอุ้มมัทนาที่เอียงหน้าไอสำลักจากการกินน้ำทะเลไปหลายอึก เขาลุยน้ำทะเลเข้าฝั่งมาอย่างทุลักทุเล อารมณ์รีบร้อนยังไม่ทันได้มองหน้ากัน เขาอุ้มเธอมาวางที่ชายหาด
“เป็นยังไงมั่งคุณ”
มัทนาไอสำลักครั้งสุดท้ายพร้อมหันมามอง ทั้งคู่ต่างตกใจ
“คุณตะวัน”
“ อ้าว เธออีกแล้ว...เป็นอะไรรึเปล่า”
“มึนหัวไปหมดเลยค่ะ ไม่รู้มีอะไรขาวๆ พุ่งมาชน”
เขตต์ตวันรู้สึกผิด
“กระดานวินด์เซิร์ฟของฉันเอง เธอโผล่ขึ้นจากน้ำเร็วเกินไป ฉันหลบไม่ทัน”
เขามองหน้าผากเธอ
“หน้าผากมีรอยช้ำนะ แต่ไม่เป็นแผล สบายใจได้”
มัทนาแววตาเจ้าเล่ห์ แอบมีแผนเล็กน้อย ยกมือขึ้นจับรอยช้ำ ร้องโอดโอยออกมาด้วยความเจ็บ
“โอ๊ย…”
มัทนาทำเป็นโวยใส่
“คุณคิดจะฆ่าหนูรึไง ทำไมไม่รู้จักระวังบ้าง ทะเลไม่ใช่ของคุณคนเดียวนะ โอ๊ย”
มัทนาทำเป็นสำออยเจ็บ เขตต์ตวันจ้องหน้า
“เธอก็ไม่ควรไปว่ายน้ำลึกๆ ยังงั้นคนเดียว ไม่รู้รึไงว่ามันอันตราย”
“ตกลงจะโยนความผิดให้หนูล่ะสิ คุณทำผิดแล้วจะไม่ยอมรับผิดรึไง
เขามองเธอด้วยสายตาดูถูก
“นี่คิดจะแบล็คเมล์ฉันให้ได้ใช่มั้ย แฝงตัวเข้าทำงานในบ้านฉันไม่สำเร็จก็เลยใช้แผนนี้แทน เสียใจด้วยนะ ไม่สำเร็จหรอก”
มัทนาอึ้งปนจ๋อย เขตต์ตวันจะเดินไปลากวินด์เซิร์ฟเข้าหาด เธอเหยียดปากย่นจมูกตามไป ก่อนจะพยุงตัวลุกขึ้นแต่ลุกไม่ไหวเพราะยังมึนหัวมาก มัทนาทรุดลงนั่งหลับตาเกาะพื้นอยู่ เขตต์ตวันหันกลับมามอง
มัทนาพยายามลุกอีกครั้งแต่ไม่ไหวจริงๆ เหมือนยังทรงตัวไม่อยู่
เขตต์ตวันรีบเดินกลับมาดู
“เป็นยังไงมั่ง”
“หนูมึนมากเลยค่ะ ยืนไม่อยู่”
เขตต์ตวันมองอย่างเป็นห่วง
“ฉันพาไปหาหมอดีกว่า บอกไว้ก่อนนะ ฉันจะไม่จ่ายอะไรมากไปกว่าค่ารักษา”
มัทนาค้อนใส่
“ลุกไหวมั้ย”
“กลับบ้านคุณไปเลยไป คนจนตายยาก”
“อย่ามาเรื่องเยอะ ฉันไม่มีเวลามากนักหรอกนะ”
เขาเข้ามาช้อนอุ้มตัวเธอไปเลย
มัทนาตกใจ ดิ้น
“ปล่อยหนูลงนะ”
เขตต์ตวันอุ้มพาเดินเร็วไปจากหาด พร้อมตวาดดุ
“เงียบ ฉันจะพาไปหาหมอ”
มัทนาโดนดุเสียงดัง หน้าจ๋อยไปเลย
ติดตาม "มายาตวัน" ตอนที่ 2 (ต่อ)พรุ่งนี้ 9.00 น.
มายาตวัน ตอนที่ 2 (ต่อ)
ผ่านเวลามาอีกสักพัก ที่คลินิกหมอเสริม เขตต์ตวันสวมเสื้อยืดแห้งตัวใหม่แต่ยังใส่กางเกงเล่นน้ำทะเลอยู่ เดินนำเข้าห้องตรวจ และยกมือไหว้หมอ
“ผมพาคนไข้มาให้คุณหมอช่วยตรวจหน่อยนะครับ”
เขตต์ตวันหันไปเรียกมัทนา
“เข้ามาสิ”
มัทนาในชุดเดิม แต่กอดห่อผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่ของเขตต์ตวันทับเอาไว้
“เป็นอะไรมาล่ะ”หมอเสริมถาม
“อุบัติเหตุนิดหน่อยครับ ศีรษะกระแทกกับกระดานวินด์เซิร์ฟของผม”
หมอเสริมบอกพยาบาล
“พาขึ้นมานั่งบนเตียงเลย”
พยาบาลพามัทนาขึ้นมานั่งบนเตียง
“ขอหมอดูแผลหน่อยนะ”
หมอเสริมตรวจดูแผลไป มัทนามีสีหน้าเจ็บๆ เขตต์ตวันเหล่มอง ลึกๆ แล้วก็ไม่สบายใจกลัวมัทนาจะเป็นอะไรมาก
“ไม่น่าเป็นอะไรมากนะครับ แค่ฟกช้ำเฉยๆ ... แต่ทางที่ดีควรหาเวลาไปตรวจให้ละเอียดอีกครั้งนะ” หมอเสริมบอกเขตต์ตวันก่อนเดินไปนั่งเขียนโน้ตสั่งยาที่แฟ้มประวัติคนไข้
“หมอจะจัดยาแก้ปวดหัว แก้อักเสบ แล้วก็ครีมนวดแก้ฟกช้ำให้ ... ทาเบาๆ นะไม่ต้องนวดแรง” หมอเสริมบอกมัทนา
“ค่ะคุณหมอ”
“ถ้าอาการปวดหัวไม่ดีขึ้นรีบกลับมาหาผม พักผ่อนมากๆ”
เอกชัยเดินเข้ามาในห้องตรวจพร้อมถุงใส่เสื้อผ้าพร้อมยื่นให้
“ซื้อเสื้อมาให้แล้ว น่าจะใส่ได้นะ”
มัทนายกมือไหว้
“ขอบคุณค่ะคุณเอก”
เขตต์ตวันแขวะ
“รีบเปลี่ยนซะ เดี๋ยวเป็นหวัดขึ้นมาจะโทษฉันอีก”
มัทนาใช้หางตามองเหล่เขตต์ตวันเล็กน้อย
“ขอบคุณมากนะครับคุณหมอ ค่ารักษาเข้าบัญชีผมเลยนะครับ”
“ครับคุณตะวัน”
เขตต์ตวันไหว้หมอแล้วเดินนำออกไปจากห้องตรวจ เอกชัยยิ้มให้มัทนา
“รีบเปลี่ยนเสื้อซะสิ”
เอกชัยเดินออกไปอีกคน มัทนามีสีหน้าฉุกคิดแผนการบางอย่าง
บริเวณหน้าคลินิกหมอเสริม ... ซึ่งเป็นสไตล์บ้านพักอาศัย แต่เปิดรักษาไปด้วยจึงมีความเป็นส่วนตัว และเขตต์ตวันเป็นคนไข้ประจำ เขตต์ตวันยืนคุยกับเอกชัยอยู่
“ฉันไม่เชื่อหรอกนะว่าจะเป็นเรื่องบังเอิญ ต้องเป็นแผนการของเด็กแก่นกะโหลกนั่นแน่ๆ”
เอกชัยยิ้มๆบอก
“แฟนคลับแกเองจะโทษใครได้ล่ะ”
เขตต์ตวันถอนใจส่ายหน้า ขาดคำมัทนาในชุดใหม่ที่เอกชัยซื้อมาฝากก็วิ่งทะเล่อทะล่าตามออกมา
“แหม นึกว่าจะหนีไปซะแล้ว”
เขตต์ตวันหันมองตาขวาง แล้วถอนใจ
“เอาล่ะ เธอต้องการค่าปลอบขวัญเท่าไหร่ก็ว่ามา สองหมื่นหรือสามหมื่น”
“ค่าอะไรนะคะ”
“อย่ามาตีหน้าซื่อหน่อยเลย จะเรียกค่าทำขวัญเท่าไหร่ก็ว่ามาเลย จะได้จบๆ”
มัทนารู้สึกโกรธ
“อ๋อ นี่คุณคิดว่าหนูลงทุนดำน้ำรอเอาหัวกระแทกไอ้ของเล่นบ้าๆ ของคุณเพื่อเรียกเงินเหรอะ ถึงหนูจะจนแต่ก็มีศักดิ์ศรี อย่าคิดเอาเงินมาฟาดหัวหนูซะให้ยากเลยค่ะ”
มัทนาจ้องหน้าเขตต์ตวันด้วยสายตาดูถูก แล้วสะบัดหน้าพรืดจะเดินออกไปจากบ้านหมอเสริม เอกชัยยิ้มๆ ที่เพื่อนโดนตอกหน้าหงาย
เขตต์ตวันไม่ยอม เดินตามไปเรียกเอาไว้
“ฉันไม่เคยคิดเอาเงินฟาดหัวใคร”
มัทนาหันกลับมาจ้องหน้า สีหน้ากวนๆ
“ก็แน่สิคะ เพราะคุณทำโดยไม่ต้องคิด มันชินจนเป็นนิสัยคุณอยู่แล้ว”
มัทนาสะบัดหน้าเดินต่อไป
เขตต์ตวันไม่พอใจ เดินกวดไปขวางหน้า จ้องตานิ่ง
“อย่ามาพูดกับฉันแบบนี้นะ”
มัทนาใส่มาดกวน
“ทำไมคะ มันตรงเกินไปเหรอะ”
เขตต์ตวันโกรธแต่พยายามสะกดอารมณ์ เอกชัยอมยิ้มกลั้นขำอยู่ด้านหลัง
“โอเค ฉันยอมรับผิด เมื่อฉันพาเธอมารักษาแล้ว เธอไม่ต้องการเรียกร้องค่าเสียหายอะไร งั้นเราก็จบแค่นี้ ลาก่อน...”
เขตต์ตวันเดินกลับไปหาเอกชัย มัทนาพูดสวนทันที
“ยังไม่จบหรอกค่ะ”
เขตต์ตวันหยุดกึก
“หนูจะไปแจ้งความเอาไว้เป็นหลักฐาน เผื่อสมองของหนูกระทบกระเทือน ความจำเสื่อมกะทันหัน ทำมาหากินไม่ได้ขึ้นมา คุณจะได้รับผิดชอบหนูไปตลอดชีวิต”
เขตต์ตวันและเอกชัยมีสีหน้าตกใจ มัทนายิ้มเจ้าเล่ห์สะบัดหน้าเดินกลับออกไป
เอกชัยรีบปรี่มาหาเพื่อนบอก
“รีบไปห้ามสิวะ เรื่องขึ้นโรงพัก เดี๋ยวนักข่าวก็แห่กันมาหรอก ไม่อยากอยู่สงบๆ รึไง”
เขตต์ตวันสูดหายใจลึก คุมอารมณ์ให้อยู่) เดี๋ยว
มัทนาแอบอมยิ้มพอใจแบบรู้ทาง หันกลับมาพร้อมทำหน้านิ่ง
“เธอต้องการอะไรกันแน่”
มัทนายิ้มๆ อย่างคนถือไพ่เหนือกว่าแล้วเดินกลับเข้ามาหา
“หนูอยากเข้าไปทำงานเป็นลูกจ้างบ้านคุณค่ะ”
เขตต์ตวันชะงักไป
“ถ้าคุณตกลง หนูให้สัญญา”
มัทนายก2นิ้วมือข้างขวา แล้วตามด้วย 2 นิ้วมือข้างซ้าย
“2 มือเลย ว่าหนูจะไม่ไปแจ้งความเด็ดขาด”
เขตต์ตวันมีสีหน้าเจ็บใจมากรู้สึกเหมือนโดนแบล็กเมล์แบบที่โดนมาตลอดชีวิต
เอกชัยรีบแย่งตอบ แอบช่วย
“ตกลง พร้อมเมื่อไหร่เธอไปเริ่มงานได้เลย”
เขตต์ตวันอึ้งหันมองหน้าเอกชัย
มัทนายิ้มพอใจ
“ขอบคุณค่ะคุณเอก”
มัทนายิ้มหน้าเป็นใส่
“แล้วเจอกันที่บ้านนะคะเจ้านาย”
เขตต์ตวันโกรธจัด พูดจาเสียดแทง
“ฉันรู้ทันหรอกน่ะ ว่าเธอมันก็พวกคลั่งดารา อยากได้อยู่ใกล้ชิดฉัน ความฝันสูงสุดคงอยากขึ้นเตียงกับฉันล่ะสิ”
มัทนาปรี๊ดแตกพุ่งหมัดชกหน้าเขตต์ตวันเต็มเหนี่ยว
ภายในห้องตรวจคลิกนิกหมอเสริม พยาบาลใช้เจลแช่เย็นมาประคบแก้มเขตต์ตวัน เอกชัยยืนอมยิ้มอยู่ข้างๆ หมอเสริมเขียนใบสั่งยาไปพร้อมพูด
“หมอสั่งยาให้เหมือนกันเลยนะ แก้อักเสบ แก้ปวด แล้วก็ยาทาแก้ฟกช้ำ”
เอกชัยยิ้มๆบอก
“ขอบคุณครับหมอ”
“วันนี้คุณตะวันดวงไม่ค่อยดีเลยนะครับ” หมอเสริมบอก
“ดวงซวยเลยล่ะหมอ ผมกลับก่อนนะครับ” เขตต์ตวันบอก
เอกชัยรับเจลมาจากพยาบาลมาแล้วเดินคู่กับเขตต์ตวันออกมาจากห้องตรวจ ทั้งคู่เดินคุยกันออกมาที่โถงคลินิค
“ฉันไม่ค่อยไว้ใจเด็กคนนี้เลย ท่าทางเจ้าเล่ห์ ลูกล่อลูกชนแพรวพราว”
“ทันคนแบบนี้ ฉันกลับชอบนะ”
เขตต์ตวันเหล่มองเพื่อนเล็กน้อยอย่างไม่พอใจ เอกชัยยิ้มเจื่อนไปเล็กน้อย ทั้งคู่หยุดคุยกัน
“แกตามสืบประวัติเด็กคนนี้ให้ฉันหน่อยสิ สะกดรอยตามไปให้ถึงบ้านเลยนะ ฉันอยากมั่นใจ ก่อนเค้าจะย้ายเข้ามาอยู่บ้านเรา”
“โอเค เพื่อความสบายใจของแก ฉันจัดการให้”
“ขอบใจ”
เขตต์ตวันบ่นๆ
“ตัวนิดเดียว หมัดหนักน่าดู”
เขตต์ตวันดึงแพ็กเจลจากมือเพื่อนมาประคบหน้าต่อพร้อมเดินออกไป เอกชัยขำๆ ตบบ่าเพื่อนแล้วพากันเดินออกไปจากตัวคลินิก มัทนาแอบฟังอยู่มุมหนึ่งได้ยินคำสนทนาทั้งหมด เธอมีสีหน้าใช้ความคิดอย่างหนักใจ
ลลิสากำลังลองเสื้อผ้าออกงานสวยหรูอยู่ในห้องแต่งตัวขนาดใหญ่ในบ้านเขตต์ตวันตอนหัวค่ำ ในห้องมีกระจกบานใหญ่ติดตั้งอยู่หลายจุด มีราวเสื้อผ้าขนาดใหญ่หลายราวในห้อง เสื้อผ้ามีทั้งแขวนโชว์ ใส่ถุงปิดมิดชิด เต็มไปหมด คล้ายห้องเสื้อหรูๆ มากกว่าห้องแต่งตัวธรรมดา
ลลิสาลองเสื้อผ้าส่องกระจกไปมา มีเยาะคอยประจบป้อยอ เยาะปลาบปลื้ม ยกมือกุมอก พูดสำเนียงใต้
“สวยจังหู้ ตลอดชายฝั่งอันดามันไม่มีใครสวยเทียบคุณลิสาของเยาะได้เลยค่ะ”
ลลิสาส่องดูกระจก ยิ้มปลื้ม
“เธอก็พูดเกินไปเยาะ”
ชลบุษย์เดินยิ้มๆ เข้ามาในห้อง
“วันสองวันนี้คนรับใช้ใหม่จะเข้ามาทำงานแล้วนะ”
“มาบอกฉันทำไม”
ลลิสายังคงส่องกระจกดูตัวเอง
“ก็กลัวเธอจะตกข่าว ตกลงคุณปอนรับยัยเด็กหน้าสวยคนนั้นเข้าทำงานนะ”
ลลิสาหันมองชลบุษย์
“คนไหน”
“ก็คนที่เธอไล่ตะเพิดออกจากบ้านน่ะสิ”
“ไม่จริง”
เยาะพูดเสริมมั่นใจ
“คุณปอนไม่มีทางทำเรื่องขัดใจคุณลิสาของเยาะหรอกค่ะ”
เยาะพูดพลางค้อนใส่ชลบุษย์
“ไปถามคุณเอกดูสิ ยัยเด็กคนนี้ต้องมีอะไรเด็ดแน่ๆเลย คุณปอน ถึงไม่ยอมฟังคำทัดทานของเธอ” ชลบุษย์แกล้งยั่วยุ
ลลิสาหัวเสีย
“เธอก็คอยดูต่อไปแล้วกัน ว่าคนที่ฉันไม่ชอบขี้หน้า จะลอยหน้าลอยตาอยู่ในบ้านนี้ได้ซักกี่วัน”
ชลบุษย์พูดหน้าตาย
“เหรอ ฉันก็ยังอยู่มาถึงทุกวันนี้เลย” ชลบุษย์แกล้งลอยหน้าลอยตาใส่ลลิสาเพื่อยั่วโมโห ก่อนจะขำเดินกรีดกรายออกไป
เยาะค้อนตามใส่ชลบุษย์ไป สีหน้าท่าทางไม่ชอบตามเจ้านาย ลลิสามีสีหน้าเจ็บใจ หมั่นไส้ทั้งชลบุษย์ เกลียดขี้หน้ามัทนาขึ้นมาทันที
เวลากลางคืนในห้องพัก มัทนาในชุดนอนนั่งทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ เธอกำลังเสียบการ์ดความจำจากกล้องถ่ายรูปเข้าตัวโน้ตบุ๊ก โหลดภาพลุงชด หลวงพ่อ และสภาพวัดสวนป่าลงคอมพิวเตอร์
มัทนากดดูรูปไป จนมาหยุดที่รูปหลวงพ่อจรูญพลางนึกถึงคำพูดคุยเมื่อตอนบ่าย
เมื่อตอนบ่าย หลวงพ่อจรูญเดินคุยมากับมัทนาพร้อมพาชมบริเวณโดยรอบของวัด..
มัทนาเดินตามหลังแต่เว้นระยะห่าง เธอคล้องกล้องติดคอ ยกกล้องถ่ายภาพไปเป็นระยะๆ พร้อมฟังที่หลวงพ่อเล่า มัทนาหยุดเดิน ถามต่อ
“มีคนบอกว่าคุณตวันบริจาคเงินจำนวนมากสร้างบ้านเลี้ยงเด็กกำพร้าในวัด จริงรึเปล่าคะ”
“ความจริงเจ้าตวันมันก็บริจาคให้วัดทุกปีแหละโยม เงินที่ได้มาอาตมากับกรรมการวัดก็มาช่วยกันคิดว่าจะจัดสรรเงินทำประโยชน์ให้วัดยังไง”
“หลวงพ่อเลี้ยงเด็กกำพร้าไว้กี่คนคะ”
หลวงพ่อพูดสำเนียงใต้
“ร้อยกว่าคนล่ะมั้ง นับไม่ถูก มันไม่ใช่มีแค่เด็กกำพร้าอย่างเดียว เด็กบางคนพ่อแม่ไม่มีเวลาเลี้ยงก็เอามาฝากวัดไว้ เช้าไปเย็นมารับกลับก็มี บางทีก็ทิ้งไว้เป็นอาทิตย์เป็นเดือน เอาแน่ไม่ได้หรอกโยม”
มัทนายิงคำถามเด็ดทันที
“คุณตะวันก็เป็นหนึ่งในเด็กกำพร้าของวัดใช่มั้ยคะหลวงพ่อ”
หลวงพ่อชะงักไปเล็กน้อย มัทนารอคำตอบ
“จะว่ายังงั้นก็ได้นะ”
มัทนารีบซักอย่างเจาะลึก
“หลวงพ่อพอจะเล่าประวัติคุณตะวันให้ฟังได้มั้ยคะ เช่นแม่ของเค้าเป็นใคร หลวงพ่อพบเค้าครั้งแรกที่ไหน พามาอยู่วัดได้ยังไง”
หลวงพ่อถอนใจออกมา
“อย่าให้อาตมาตอบอะไรตอนนี้เลยนะ”
มัทนาชะงักไป รู้สึกเสียดาย
“ความจริงก็ไม่ได้คิดปิดบังอะไรโยมหรอก พูดออกไปมันจะมีเรื่องอื่น ถ้ามันไม่อยากเปิดเผย อาตมาก็ไม่อยากพูดอะไร เอาเป็นว่าโยมไปบอกกล่าวเจ้าตวันมันก่อนแล้วค่อยมาใหม่ ถ้าเจ้าตัวเค้ายินดีเปิดเผย อาตมาก็จะเล่าเรื่องที่โยมอยากรู้ให้ฟัง”
มัทนาหน้าสลดลงทันทีด้วยความผิดหวัง
ภายในห้องพัก มัทนากำลังพิมพ์ต้นฉบับเข้าคอมพิวเตอร์อยู่ ก็นิ่งค้างถอนใจออกมา มัทนาพูดพึมพำ
“ถ้าพี่ตะวันจับได้ว่าเราเป็นนักข่าว คราวนี้ถูกตีหัวแบะแน่ๆ ... โอ๊ย นึกแล้วเจ็บทันทีเลยเรา”
มัทนาเปิดตลับยา ป้ายยามานวดคลึงแผลกระแทกที่หน้าผากเบาๆ
ยามเช้า มัทนาเดินถือถุงใส่กับข้าวเดินเข้าซอยไป เอกชัยสะกดรอยตามมาห่างๆ เอกชัยรอจังหวะแล้วเดินตามมัทนาเข้าซอยไป
ภายในบ้านไม้ชั้นเดียวเก่าๆ โทรมๆ มัทนานั่งกินข้าวอยู่กับลุงป้าชาวบ้านจนอิ่มแล้ว เธอลุกถือจานไปเก็บล้าง เอกชัยมีสีหน้าเก็บข้อมูลอย่างใช้ความคิด
เพียงครู่เดียว มัทนาสะพายเป้ออกมายกมือไหว้ลุงกับป้าแล้วเดินออกมาจากบ้าน เอกชัยรีบขยับตัวไปหามุมหลบให้มิดชิด มัทนาเดินเลยผ่านไป
เอกชัยหันมองตามรอจังหวะจนมัทนาไปพ้นแล้ว จึงรีบเดินเข้าไปในบ้านยกมือไหว้
“สวัสดีครับคุณลุงคุณป้า ขอรบกวนเวลาทานข้าวซักครู่นะครับ”
มัทนาย้อนเดินกลับมาแอบมองเอกชัย ก่อนอมยิ้มพอใจที่ซ้อนแผนได้สำเร็จ
ภายในร้านไข่มุก เชนกำลังเลือกดูไข่มุกเม็ดงามๆ อยู่ในร้านหรู เขาส่องดูมุกคัดคุณภาพอยู่ไปมา เสียงโทรศัพท์มือถือดังขัดขึ้น เชนดูเบอร์โชว์ แล้วกดรับ
“สวัสดีครับ แผนการสำเร็จมั้ย”
มัทนาแอบคุยโทรศัพท์มือถืออยู่ที่มุมตลาด เธอยิ้มพอใจ
“ครอบครัวจัดฉากของคุณเชนเวิร์กมากค่ะ”
เชนยิ้มแย้มตอบ
“ยินดีด้วยนะครับ ตอนนี้คุณต้องระวังตัวมากขึ้นนะ ถ้าเค้าสะกดรอยตามมาโรงแรม ความแตกแน่”
“มัทจะระวังให้มากขึ้นค่ะ”
“แล้วเค้าจะให้เข้าไปทำงานเมื่อไหร่ล่ะ”
“พรุ่งนี้ค่ะ”
มัทนาสีหน้าหนักใจอยู่เหมือนกัน
ป้าหน่อยยกพัดลมออกไปจากห้องพักลูกจ้างที่จะเป็นห้องพักมัทนาพรุ่งนี้
“เอาออกไปไว้ห้องอื่นเลยป้า...ทีวงทีวีไม่ต้องมีให้ดู เดี๋ยวไม่ยอมทำงานทำการ” ลลิสาบอก
“พัดลมเอาไว้เถอะค่ะคุณ ห้องเล็กแค่นี้ เด็กร้อนตายเลย” ป้าหน่อยบอก
“ร้อนก็เปิดหน้าต่างเอาสิป้า เราจ้างมาทำงานบ้านไม่ได้จ้างมาเป็นคุณหนู จะสุขสบายอะไรนักหนา”
ป้าหน่อยไม่อยากขัดใจจึงยกพัดลมออกไปจากห้อง เยาะเดินเข้าห้องมาพร้อมกับมีดพก
“ได้แล้วค่ะคุณ จะเอามาทำอะไรเหรอคะ” เยาะพูดพลางส่งมีดพกให้ลลิสา
ชลบุษย์เดินมากอดอกมองลลิสาอยู่ด้านหลัง ลลิสามองไปที่มุ้งลวดหน้าต่าง ใช้มีดพกมาขูดๆ มุ้งลวดให้เป็นช่องโหว่ๆแล้วบ่นพึมพำ
“ยุงกัดทั้งคืนมันจะทนอยู่ได้ก็ให้รู้ไป”
“เด็กเป็นไข้เลือดออกก็เดือดร้อนคุณปอนอีก” ชลบุษย์พูดขึ้น
ลลิสาหันขวับไปจ้องหน้าชลบุษย์
“มาทำอะไร ไม่ใช่ธุระของเธอ”
ชลบุษย์แดกดัน
“ฉันก็แค่สงสัย ว่าอะไรทำให้นางแบบไฮโซที่ชอบแต่งตัวโป๊ๆ ลดตัวลงมาเหยียบบ้านพักคนงานได้”
เยาะใช้หางตามองชลบุษย์ แววตาไม่ชอบใจตามเจ้านาย ลลิสาส่งมีดพกคืนเยาะ
“ฉันเป็นห่วงคุณปอน เลยมาหาทางช่วยไม่ให้คุณปอนต้องอึดอัดใจนาน เธอก็รู้แล้วนี่ว่าคุณปอนไม่ได้เต็มใจรับมันเข้าทำงานอยู่แล้ว แต่โดนมันแบล็คเมล์เอา”
ชลบุษย์กอดอกยักไหล่ แสดงความไม่แคร์ ลลิสาจ้องหน้าอย่างเย้ยๆ
“เธอน่าจะดูฉันเป็นตัวอย่างเอาไว้นะ เพราะฉันรู้อกรู้ใจคุณปอนยังงี้ไง ฉันถึงได้เป็นเบอร์ 1 มาตลอด ขนาดมาทีหลังนะเนี่ย” ลลิสาส่งสายตาดูถูก แล้วทำเป็นขำหยันๆ เดินเบียดไหล่ชลบุษย์ออกไป
“ ได้แรงอก (แปลว่าสะใจ)” เยาะขำๆ ยกมือขึ้นปิดปาก เดินตามเจ้านายออกไป
ชลบุษย์กัดฟันกรอด ข่มอารมณ์โกรธเอาไว้แทบไม่อยู่
เวลาบ่าย มัทนาใส่หมวกปีกกว้างสวมแว่นตาดำ เดินเลยหน้าโรงแรม ก่อนจะหยุด หันมองซ้ายขวาจนแน่ใจว่าไม่มีใครสะกดรอยตามมา เธอผลุบเข้ามาในล็อบบี้โรงแรมอย่างโล่งอก
มัทนาถอดหมวกและแว่นออก จะรีบเดินไปเข้าลิฟท์ พนักงานต้อนรับเรียกขึ้น เธอตกใจเล็กน้อย
“คุณมัทคะ”
“อุ๊ย...มีอะไรคะ”
“คุณเชนฝากจดหมายไว้ให้ค่ะ”
มัทนายิ้มๆ เดินไปรับจดหมาย
“ขอบคุณค่ะ”
มัทนาแกะจดหมายเดินอ่านไประหว่างรอขึ้นลิฟท์
“เย็นนี้ผมขอเลี้ยงข้าวเย็นแสดงความยินดีที่ได้งานใหม่นะครับ พรุ่งนี้คุณต้องเข้าบ้านเอเอฟแล้วต่อไปคงเจอกันลำบาก เย็นนี้เราเดินเล่นชายหาดคุยกันไปเรื่อยๆ จนพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าแล้วค่อยทานข้าวกันนะครับ ... 4 โมงเย็น ผมรอที่ล็อบบี้นะ... เชน ครอส”
มัทนายิ้มปลื้มไปมา เมื่อเธอเดินเข้าลิฟท์ก็กระแทกประตูลิฟท์อย่างจัง ไม่ทันมอง เธออายจัดรีบยกหมวกหรุบลงบังหน้า
กดเรียกลิฟท์รัวเร็วด้วยความเขินอาย
มัทนาและเชนเดินคุยเล่นไปตามชายหาดยามเย็น
“มัทนี่ไหวพริบดีนะ คนอย่างเค้าเก็บตัว ไม่อยากออกสื่อ ไม่ยอมมีเรื่องขึ้นโรงพักแน่ๆ”
มัทนายิ้มรับก่อนจะมีสีหน้าซึ้งใจ
“มัทไม่รู้จะขอบคุณคุณเชนยังไง ถ้าไม่ได้คุณช่วยหาครอบครัวจัดฉากให้ มัทคงอดเข้าไปทำงานบ้านคุณตวัน”
“คงไม่ถึงกับอดหรอกครับ ถ้าหลักฐานเขียวช้ำที่หน้าผากมัทยังไม่หาย”
มัทนายกมือขึ้นจับแผลตัวเองเล็กน้อย
“แต่ก็คงถูกระแวงน่าดู”
เชนขยับตัวมาขวางหน้า ก้มมองหน้าผากเธอในระยะใกล้ ใช้มือปาดผมมัทนาที่บังรอยช้ำออกเล็กน้อย
“ไหนขอผมดูสิ แผลดีขึ้นรึยัง”
มัทนาอดเขินไม่ได้ ได้แต่หลบสายตาไปมา
“กว่าจะหายช้ำคงอีก 3-4 วัน แผลหายเมื่อไหร่ เค้าคงหาทางไล่มัทออกจากบ้านแหงๆ”
“มัทก็คิดยังงั้นล่ะค่ะ มัทเหลือเวลาสืบไม่มากเท่าไหร่แล้ว”
“ผมรู้สึกว่ามัททุ่มเทกับงานนี้มากจังเลย ถ้าถูกจับได้ มีสิทธิ์ตกงานเลยนะครับ”
“มัทยอมเสี่ยงค่ะ มัทอยากย้ายไปทำข่าวการเมือง โอกาสทองแบบนี้ มัทไม่ยอมให้หลุดมือไปง่ายๆ หรอกค่ะ”
มัทนาสีหน้ามุ่งมั่นเอาจริง
เชนยิ้มบอก
“ผมเอาใจช่วยครับ วันนี้ผมมีของมาให้มัทด้วยนะ”
เชนหยิบสร้อยแบบเก๋ๆ ห้อยเหรียญพระ ออกมาจากกระเป๋าเสื้อ
“ห้อยหลวงปู่แช่มติดตัวไว้ จะได้คุ้มครองนะ”
มัทนายิ้มแย้ม ยกมือไหว้
“ขอบคุณค่ะ”
“ผมใส่ให้”
เชนสวมสร้อยที่คอมัทนาพร้อมพูด
“ผมเลือกสร้อยราคาไม่แพงให้นะ จะได้เหมาะกับการปลอมตัว”
มัทนาแอบอมยิ้มเขินๆ
“ออกจากบ้านเมื่อไหร่ เอามาแลกสร้อยไข่มุกนะครับ”
เชนบรรจงกลัดสร้อยให้ มัทนาอมยิ้ม แอบชำเลืองมองหน้าดด้วยความปลื้ม
ในเวลาเย็น เขตต์ตวันนั่งฟังเอกชัยรายงานผลการสะกดรอยตามมัทนา
“เด็กชื่อ จุติมา แจ่มแก้ว จริง ชื่อเล่นว่า มัท เป็นญาติห่างๆ ให้มาอาศัยอยู่ด้วย เพราะสงสารเด็กที่บ้านจน”
“ย้ายมาอยู่ด้วยนานรึยัง” เขตต์ตวันถาม
“เค้าว่าเป็นปีแล้ว เด็กหางานทำไปเรื่อย ส่งเงินบ้านตลอด”
“กตัญญูใช้ได้”
“ลุงเค้าเล่าว่าแกเป็นเด็กหัวดี เรียนเก่ง แต่ขาดทุนทรัพย์เลยอดเรียนต่อ ชอบอ่านหนังสือ หาความรู้ใส่ตัวตลอดเวลา”
“มิน่าล่ะ คำพูดคำจาสำบัดสำนวนน่าดู เหมือนจำใครมาพูด”
“ฉันสืบมาได้เท่านี้ล่ะ แกสบายใจขึ้นรึยังล่ะ เด็กมัทนี่ไม่น่ามีพิษมีภัยอะไรหรอก”
“ก็สบายใจระดับนึง แล้วก็เห็นใจเด็กด้วย ยังไงก็แฟนคลับฉัน”
เอกชัยยิ้มโล่งอก
“คิดได้แบบนี้ก็ดี นึกซะว่าทำบุญ สงสารเด็กมัน”
เขตต์ตวันสวนเสียงแข็งทันที
“แต่ฉันไม่ชอบถูกใครบีบด้วยวิธีแบบนี้ มันก็ไม่ต่างอะไรกับฉันถูกแบล็คเมล์หรอก”
เขตต์ตวันสีหน้าแววตาฝังใจเจ็บกับปมต่างๆ ในอดีต เอกชัยยิ้มเจื่อนไป
“บีบฉันได้ ฉันบีบคืนมั่ง อย่ามาร้องก็แล้วกัน”
เอกชัยชักห่วงมัทนา
“แกคิดจะทำอะไรเด็กวะปอน”
เขตต์ตวันไม่ตอบ แต่มีสีหน้าไม่พอใจ คิดหาทางบีบมัทนาให้ออกไปจากบ้านให้เร็วที่สุด
มายาตวัน ตอนที่ 2 (ต่อ)
บริเวณหน้าคลินิกหมอเสริมตอนหัวค่ำ มัทนาเดินตรงไปที่เคาน์เตอร์พยาบาล
“ฉันชื่อมัทนา มีนัดตรวจกับคุณหมอเสริมค่ะ”
พยาบาลจำได้
“คุณหมอกำลังรออยู่เลยค่ะ คุณตวันเป็นห่วงคุณมากนะคะ โทรมาเช็คหลายครั้งแล้วว่าคุณมาพบคุณหมอรึยัง”
มัทนาเหยียดปากหมั่นไส้เล็กน้อย
“จับผิดมากกว่าห่วงค่ะ”
“ขอวัดไข้กับความดันก่อนนะคะ”
พยาบาลเดินพามัทนาไปมุมวัดความดัน เธอมีสีหน้าใช้ความคิด ก่อนเริ่มสืบ
“คุณหมอเสริมเป็นหมอประจำตัวคุณตะวันเหรอคะ”
“จะว่ายังงั้นก็ได้ค่ะ ช่วงที่คุณตวันอยู่ภูเก็ตก็จะมารักษากับคุณหมอตลอด...นั่งตรงนี้เลยค่ะ”
มัทนานั่งแล้วเก็บข้อมูล นำสืบต่อ
“เค้าป่วยบ่อยมั้ยคะ”
“ไม่หรอกค่ะ คุณตวันดูแลสุขภาพดีจะตายไป เล่นกีฬาประจำ ทั้งว่ายน้ำ เทนนิส วินด์เซิร์ฟ”
พยาบาลสอดแขนมัทนาเข้าเครื่องวัดความดัน เธอยิ้มพอใจกับข้อมูลส่วนตัวของเขตต์ตวัน ตั้งท่าจะซักต่อ
“แล้วคุณตวัน...”
“หยุดคุยเดี๋ยวนะคะ วัดความดันก่อน”
มัทนายิ้มเจื่อนไปเล็กน้อย
“ค่ะ”
ผ่านเวลามาเล็กน้อย มัทนาในชุดนอนกำลังพิมพ์สกู๊ปเกี่ยวกับเขตต์ตวันใส่โน้ตบุ๊กอยู่ พร้อมคุยโทรศัพท์กับสาระวารีและมีคณาผ่านสปีคเกอร์โฟนไปด้วย
“พรุ่งนี้มัทปลอมตัวเข้าบ้านเค้าได้ คงหาข้อมูลได้มากกว่านี้”
มัทนาตกใจที่หลุดพูดออกไปรีบยกมือปิดปาก
ที่ห้องพักพนักงานของสยามสาร...มีคณาและสาระวารีมีสีหน้าประหลาดใจปน
สงสัยหันมองหน้ากัน....
“ปลอมตัวอะไรเหรอมัท”
มัทนาหน้าแหยๆ
“เปล่าหรอกค่ะ”
สาระวารีคุยโทรศัพท์ผ่านสปีคเกอร์โฟน
“อย่ามาโกหกพี่นะมัท ไม่งั้นพี่จะฟ้องบอกอ”
“บอกก็ได้ค่ะพี่วารี มัทจะปลอมตัวเป็นลูกจ้างไปทำงานในบ้านเค้าค่ะ”
มีคณาตกใจ รีบขยับตัวมาพูดใกล้ๆโทรศัพท์
“บอกอรู้เรื่องมั้ย”
มัทนามีสีหน้าร้อนใจ
พี่ๆอย่าบอกบอกอนะคะ
“รู้มั้ยมัทว่ามันเสี่ยงมากเลยนะ โดนจับได้ล่ะ สยามสารโดนฟ้องแน่ๆ”
“มัทไม่ซัดทอดบริษัทหรอกค่ะ”
“แล้วใครจะเชื่อว่าสยามสารไม่รู้เห็นด้วย บอกอจะโดนเด้งคนแรก”
“มัทจะระวังอย่างดีที่สุดเลยค่ะ ขอเวลาแค่ 2-3 วันเท่านั้น นะคะ มัทอยากย้ายไปโต๊ะการเมือง พลีส”
“เห็นท่าไม่ดีก็รีบหนีออกมาเลยนะ อย่าทิ้งหลักฐานให้เค้าตามตัวได้เด็ดขาด” สาระวารีบบอก
มีคณาไม่เห็นด้วยกับมัทนา
“แต่พี่ไม่เห็นด้วย มีวิธีอื่นตั้งเยอะเพื่อให้ได้ข้อมูล”
สาระวารีรีบตัดบทแล้วกดสายทิ้ง
“แค่นี้นะ”
มีคณาเคือง
“วารีกำลังสนับสนุนน้องในทางผิดๆ รู้ตัวมั้ย”
“แหม...ทีเธอยังปลอมตัวเป็นสายส่งยาบ้าได้เลย”
“มันเหมือนกันที่ไหน พวกนั้นทำเรื่องผิดกฎหมายสมควรต้องถูกเปิดโปงให้รับโทษ แต่คุณตะวันไม่ใช่”
“แต่เค้าเป็นดารา เป็นบุคคลสาธารณะ”
“แต่แบบนี้มันละเมิดสิทธิส่วนบุคคลกันเกินไป ผิดทั้งกฎหมาย ผิดทั้งจรรยาบรรณ”
สาระวารีแอบจ๋อย
“ครั้งเดียวน่า สงสารน้องมัน ทำเอาหูไปนา เอาตาไปไร่ซักวันสองวันเถอะ มัทเป็นแฟนคลับเค้า ไม่ทำอะไรให้เค้าเสียหายหรอกน่า”
“ได้ข่าวมาด้วยวิธีนี้คิดว่าบอกอจะแฮปปี้เหรอะ ดีไม่ดี มัทจะถูกไล่ออก เรื่องแดงขึ้นมาแล้วเธอจะเสียใจ” มีคณาส่ายหน้าไม่เห็นด้วย ลุกเดินออกไปจากห้องกลับไปทำงานต่อด้วยสีหน้าไม่สบายใจ
สาระวารีหน้าจ๋อยไป แอบมีสีหน้ากังวลปนห่วงมัทนา
ในเวลากลางคืน เขตต์ตวันนั่งเซ็นเช็คสำหรับค่าใช้จ่ายต่างๆ อยู่ที่โต๊ะทำงานในห้องทำงาน ชลบุษย์ในชุดนอนแบบจงใจเซ็กซี่เคาะประตูห้องก่อนเปิดเข้ามาพร้อมถาดใส่ชาร้อนและของว่าง
“ของว่างค่ะคุณปอน”
ชลบุษย์วางถาดอาหารลง เขตต์ตวันถามแบบไม่ได้เงยหน้ามอง
“ทำไมค่าเช่าร้านถึงขึ้นขนาดนี้ล่ะบุษย์”
ชลบุษย์จัดแต่งเสื้อชุดนอนให้ดูเซ็กซี่ๆ ขึ้นก่อนตอบ
“เค้าอ้างกับบุษย์ว่าทำเล เค้าดี ไม่มีปัญหาน้ำท่วม มีแต่คนแย่งกันขอเช่า”
เขตต์ตวันเงยหน้ามอง
“ฉวยโอกาส เราลูกค้าเก่าแก่นะ”
“แต่สัญญาหมดพอดีนะคะคุณปอน ถ้าเราไม่เอา เค้าก็จะให้คนอื่น เช่าต่อ”
เขตต์ตวันถอนใจ
“บุษย์คุยกับเค้าว่าเราจะต่อสัญญาใหม่แค่ 3 เดือน แล้วบุษย์ไปหาที่เช่าใหม่ ผมจะไม่ทนให้ใครมาฉวยโอกาสกับผมได้ง่ายๆ อีกแล้ว” เขตต์ตวันสีหน้าชิงชังอย่างมีความหลังฝังใจ
“ค่ะคุณปอน บุษย์จะรีบจัดการให้เร็วที่สุด บุษย์ก็ทนเห็นใครมาเอาเปรียบคุณไม่ได้เหมือนกัน”
เขตต์ตวันยิ้มให้
“ขอบคุณครับ” เขตต์ตวันก้มเซ็นเอกสารต่อ
ชลบุษย์ยิ้มปลื้ม ไม่ยอมออกจากห้องซะงั้น ทำเป็นเติมน้ำตาลใส่ชาคนให้อย่างเอาใจ เหลือบตามองเขตต์ตวันไปมา
ด้วยสายตาหลงใหลได้ปลื้ม
เชนจอดรถที่มุมหนึ่งหน้าตลาดตอนเช้าวันใหม่ ก่อนจะหันมองมัทนาที่ยกมือปิดปากหาวพอดี
เธอเขิน รีบหุบหาวอย่างเร็ว
“ขอโทษค่ะ เมื่อคืนเขียนข่าวดึกไปหน่อย”
เชนยิ้มเอ็นดู ก่อนหยิบกระดาษเขียนเบอร์โทรศัพท์มือถือยื่นให้
“ผมเข้าใจครับ... เบอร์โทรผม มีปัญหาอะไรโทรหาได้ 24 ชั่วโมง ผมไม่เคยปิดเครื่อง”
“แต่รับหรือไม่อีกเรื่อง”
เชนขำๆ
“รู้ทัน”
มัทนายิ้มๆรับกระดาษโน้ตมา
“ขอบคุณมากค่ะ”
“ไม่มีปัญหาอะไรก็โทรมาคุยได้ ผมขี้เหงา”
มัทนาเก็บเบอร์พร้อมอมยิ้ม ก่อนจะตกใจ แบบสะดุ้งสุดตัว ร้อง “อุ๊ย” เชนแปลกใจถาม
“อะไรครับ”
“มัทลืมสายชาร์ตแบตไว้ที่หัวเตียง ถึงเวลานัดเข้าทำงานแล้วด้วย ทำงานวันแรกก็เลทเลย เค้าได้หาเรื่องไล่มัทออกจากงานแหงๆ”
“ผมกลับไปเอาให้ก็ได้ครับ”
“ขอบคุณมากๆ เลยค่ะ แต่มันมี 2 เส้นนะคะ”
มัทนาล้วงโทรศัพท์มือถือรุ่นเก่าๆออกมา
“ต้องของรุ่นนี้ถึงจะปลอมตัวได้เนียน”
เชนยิ้มมองตา
“รอบคอบจังเลยนะครับ ผมชอบ”
มัทนาเขินสะท้าน หลบสายตา หยิบกุญแจห้องพักโรงแรมให้
“นี่กุญแจห้องพักค่ะ”
เชนรับไว้ ก่อนถามด้วยความสงสัย
“แล้วผมจะเอาของไปให้มัทได้ยังไงล่ะ”
มัทนาฉุกคิดเล็กน้อยก่อนจะอมยิ้มออกมา
เวลาต่อมา เปี๊ยกนั่งอยู่ในป้อมยาม ส่องกระจกเล็กๆ ที่ติดอยู่ในป้อม หวีผมแสกกลางให้หล่อ ก่อนจะโรยแป้งเด็กขวดเล็กใส่มือถูแล้วลูบหน้า เปี๊ยกพูดสำเนียงทองแดง ยิ้มหล่อส่องกระจก
“ขาวใสเกาหลียังงี้ น่าจะถูกใจน้องมัท”
“พี่เปี๊ยก”
เปี๊ยกสะดุ้งสุดตัวหันไปมองมัทนาที่สะพายกระเป๋าเสื้อผ้าใบย่อมและอุ้มลังกระดาษมาหนึ่งใบ
“น้องมัทมาแล้ว”
เปี๊ยกรีบมาเปิดประตูเล็กให้แล้วบอก
“พี่ช่วยถือจ้ะ”
“ขอบใจจ้ะ หน้านวลแต่เช้าเลยนะพี่เปี๊ยก”
เปี๊ยกยิ้มเขินๆ
“จ้ะ ยินดีต้อนรับนะน้องมัท ต่อไปเราก็เป็นทองแผ่นเดียวกันแล้ว”
เปี๊ยกพูดเองเขินเอง เยาะเดินหน้าตาไม่พอใจเข้ามา เยาะพูดภาษาใต้ใส่เปี๊ยก
“เอาหลาวและ (ประมาณว่า “เอาอีกแล้ว”) เห็นสาวๆ เป็นไม่ได้”
เยาะค้อนใส่ เปี๊ยกจ๋อยไปเล็กน้อย เยาะหันมองมัทนาด้วยหางตา
“มาแล้วเหรอยะ ตามมาเร็วๆ เลย”
“เดี๋ยวพี่เปี๊ยกช่วยขนของให้จ้ะ”
“ ไม่ต้อง กลับเข้าออฟฟิศแกไปเลย เอามานี่”
เยาะแย่งลังมาถือเอง เปี๊ยกดูกลัวๆ เยาะจึงรีบกลับเข้าป้อมไปอย่างจ๋องๆ
เยาะจ้องหน้ามัทนา
“ไม่สวยก็อย่าขี้เกียจ”
มัทนาหน้าตายยื่นกระเป๋าที่สะพายให้เยาะอีกใบ เยาะค้อนใส่แล้วรับกระเป๋ามัทนามาสะพายหน้าตาเฉย เดินนำไปก่อนจะรู้สึกตัว เยาะอุทาน สำเนียงทองแดง
“อั๊ยย่ะ”
เยาะทิ้งของมัทนาลงพื้น หันมาบอกว่า
“ฉันไม่ใช่เพื่อนเล่นเธอนะ”
เยาะค้อนใส่มัทนาขวับเดินนำไป เปี๊ยกหลุดขำออกมาพร้อมยกนิ้วชมมัทนา เธอยิ้มๆ แล้วเดินมาหยิบสัมภาระของตนเอง
เขตต์ตวันคุยโทรศัพท์มือถืออยู่ที่สนามข้างบ้าน
“แกตัดสินใจไปเลยแล้วกันเอก”
เยาะเดินเชิดนำมัทนาตรงมาทางเขตต์ตวันที่กำลังฟังอีกฝ่ายก่อนตอบ
“ห่วงกันจริงนะ”
เขตต์ตวันเหล่มองมัทนา ก่อนพูดตอบเอกชัยกลับไป
“พูดถึงก็มาเลย...แกรีบกลับมาแล้วกัน ก่อนจะไม่ได้เห็นหน้า”
“ เฮ๊ยปอน สงสารเด็กมัน อย่าไป...”
เขตต์ตวันตัดสายเอกชัยทิ้งไปเลย
เยาะมีท่าทางกลัวๆ รีบก้มโน้มตัวมุดๆ ผ่านไปก่อน มัทนาเหล่มองเขตต์ตวันเล็กน้อย ก่อนจะเลี่ยงเดินตามเยาะไป
“เดี๋ยว”
มัทนาหน้านิ่ง และเยาะสีหน้าตื่นกลัว หยุดกึกหันมองเขตต์ตวัน
“จะใช้อะไรเยาะคะคุณปอน”
มัทนาเลือกที่จะเดินนำต่อไป เขตต์ตวันเสียงแข็ง
“ฉันหมายถึงเธอ”
มัทนาหยุดเดิน เยาะโล่งอกรีบมาช่วยถือสัมภาระไป
“มาฉันช่วย” เยาะรีบถือของมัทนาแล้วเดินชิ่งไป เขตต์ตวันเดินมาขวางหน้า จ้องหน้า มองด้วยสายตาดุ
“คุณเอกบอกงานที่เธอต้องทำแล้วใช่มั้ย”
มัทนาทำสงบเสงี่ยมเจียมตัว
“ค่ะ”
“แผลหายก็ออกไปจากบ้านฉันได้”
มัทนากะอยู่แล้ว แต่พยายามยื้อ
“คุณไม่รักษาสัญญา”
เขตต์ตวันยักไหล่
“ฉันไม่รักษาสัญญาตรงไหน ฉันก็ยอมให้เธอเข้ามาทำงานในบ้านแล้วไง แต่ฉันไม่ได้รับปากว่าจะให้ทำกี่วัน”
“คุณขี้โกง”
“ใครกันแน่ ฉันรักษาคำพูดกับคนที่แบล็คเมล์ฉันก็นับว่าใจดีเกินไปแล้ว”
มัทนามีสีหน้าเจ็บใจ
เขตต์ตวันจ้องแผลที่หน้าผาก
“ฉันให้ค่าแรงเธอเท่าค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำก็แล้วกัน เต็มที่ 3 วันก็หาย”
มัทนายกมือขึ้นปิดแผลที่หน้าผาก สีหน้าเต็มไปด้วยความมั่นใจ
“แล้วคุณจะเปลี่ยนใจ ฉันจะตั้งใจทำงานให้ถูกใจคุณที่สุด จนคุณต้องขอร้องให้ฉันอยู่ทำงานที่นี่ต่อ”
เขตต์ตวันขำออกมาอย่างดูถูก ก่อนหันเดินกลับเข้าบ้านไป
มัทนามีสีหน้าเจ็บใจหันมองตาม ด้วยสีหน้าแววตาอยากเอาชนะ
เยาะเอาสัมภาระของมัทนาวางกระแทกลงที่พื้นห้องในห้องมัทนาที่เรือนลูกจ้าง แล้วบ่น
“จะขนสมบัติอะไรมานักหนา สวยก็ไม่สวย”
มัทนาเดินหน้าง่วง ตามเข้ามาในห้องพร้อมยกมือขึ้นปิดปากหาว เยาะเหล่มอง
“เธอชื่ออะไร”
“ฉันชื่อมัท เธอล่ะ”
“ฉันชื่อเยาะ นี่ห้องพักของเธอ”
มัทนากวาดตามองไปรอบๆห้อง
“ไม่มีพัดลมเหรอเยอะ”
เยาะสีหน้าเคืองๆบอก
“เยาะย่ะ ฉันชื่อเยาะ”
มัทนาพยักหน้ารับพร้อมยกมือขึ้นปิดปากหาว ง่วงมาก
“ไม่มีพัดลมเพราะที่นี่คือภูเก็ต ลมตึงเปิดหน้าต่างนอนได้ ประหยัดไฟให้เจ้านาย เข้าใจมั้ย”
มัทนามองไปทางหน้าต่าง
“ไม่มีเหล็กดัด มุ้งลวดก็ขาด จะเปิดหน้าต่างนอนได้ไง ยุงชุมมั้ย”
“ไม่มี … ตัวเล็ก”
มัทนายิ้มค้างไป
“นอนไม่ได้ ก็ลาออกไป”
เยาะเดินกรีดกรายไปที่เครื่องอินเตอร์คอม ทำท่าพรีเซนต์
“นี่เค้าเรียกว่าเครื่องโฟนอิน ภาษาอังกฤษ เธอคงไม่กระดิกหูหรอก ตึกใหญ่จะโฟนอินมาเรียกใช้เธอ
เอง ไม่มีใครเรียกก็อย่าสะเออะขึ้นไปล่ะ เข้าใจมั้ย”
มัทนาพยักหน้ารับ หน้าง่วงๆ
“ห้องฉันอยู่ติดกับเธอ มีปัญหาอะไรก็เคาะเรียก ไม่ได้...เข้าใจมั้ย”
มัทนาพยักหน้ารับพร้อมยกมือปิดปากหาว
“เอาหลาวและ หาวอยู่นั่นล่ะ ไปอดหลับอดนอนมาจากไหนยะ”
มัทนาง่วงมาก
“ไม่ไหวแล้ว ขอหลับซักงีบนะ”
มัทนาทิ้งตัวลงนอนที่เตียง เยาะไม่พอใจกระชากแขน
“ไม่ได้ ลุกขึ้นมาทำงานเดี๋ยวนี้เลย”
มัทนาถูกกระชากขึ้นจากเตียงอย่างแรง
ที่สนามข้างบ้าน ลลิสามองไปที่เยาะซึ่งกำลังพามัทนามาผูกสายจูงเจ้าด่างกับเจ้าจุดพาออกจากกรงจะพาไปเดินเล่นชายหาด เยาะหันมองมาลลิสาที่จ้องมองอยู่พร้อมยิ้มให้อย่างรู้กัน ลลิสามองตามมัทนาด้วยสีหน้าหมั่นไส้ เขตต์ตวันสีหน้านิ่งเดินเข้ามาด้านหลังลลิสา
“ผมจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นก็แล้วกัน”
ลลิสาหันมองไปยิ้มให้เขตต์ตวัน
“ลิซ่าให้เยาะตามประกบมันแล้วคุณปอน ไม่ต้องกังวลนะคะ ลิซ่าไม่ปล่อยให้มันอยู่จนแผลหายหรอก
ค่ะ”
ลลิสายิ้มมั่นใจ
“ขอบคุณครับ”
เขตต์ตวันหอมข้างหน้าผากให้รางวัล ลลิสายิ้มปลื้มไปมา ชลบุษย์ที่แอบมองมาจากด้านหลัง สีหน้า
อิจฉาปนหมั่นไส้ลลิสาที่สุด
มัทนาเดินจูงเจ้าด่างและเยาะเดินจูงเจ้าจุด พาเดินเล่น คุยกันมาตามชายหาด
“ฉันยังแปลกใจไม่หายว่า หน้าตาอย่างเธอหลุดเข้ามาทำงานได้ยังไง”
“ทำไมเหรอ”
“ก็คุณลิซ่าไม่ชอบคนสวยน่ะสิ แต่เธอไม่ต้องแปลกใจหรอกนะ ว่าทำไมฉันถึงทำงานที่นี่ได้”
เยาะทำท่าสยายผม ทำท่าราวผู้หญิงสวย
“เพราะฉันเข้ามาก่อนคุณลิซ่าจะจับคุณปอนได้”
เยาะยิ้มมั่นใจ มัทนาเงียบอย่างเก็บข้อมูล เยาะจ้องหน้า แสดงสีหน้าไม่พอใจ
“เธอไม่ต้องมาซักไซ้ให้ฉันนินทาเจ้านาย หน่อยเลย”
มัทนาทำสีหน้างง เธอไปซักยะตอนไหน
“ไม่มีใครรู้หรอกว่าคุณบุษย์น่ะแอบกุ๊กกิ๊กกับคุณปอนมาก่อน คุณลิซ่ามาทีหลังแต่ใจถึงกว่า คว้าคุณปอนไปเลย สองคนนี่เกลียดกันจะตายไป...นี่เธอ หยุดซักไซ้ฉันซะทีเถอะ สอดรู้สอดเห็นเรื่องเจ้านายดีนัก” เยาะค้อนใส่แล้วเดินนำไปก่อน มัทนาอึ้งปนงง ได้แต่ขำๆออกมา
“ฉันไปถามเธอตอนไหน...แต่ก็ขอบใจสำหรับข้อมูลนะ” มัทนายิ้มพอใจ
เยาะหันมาตวาด
“ให้ไวๆ ตามมา”
มัทนารีบเดินจูงเจ้าด่างตามไปติดๆ
เยาะวิ่งถือสายไล่กวดเจ้าจุดที่วิ่งคึกนำไปอย่างเร็ว
“รอก่อนไอ้จุด” เยาะวิ่งกวดตามไป
เยาะวิ่งเลยเรือชาวประมงที่จอดขายของทะเลริมหาดอยู่ มีผู้ชายใส่ชุดออกชาวเลก้มหน้าเลือกซื้อของทะเลสดอยู่ พอมัทนาจูงเจ้าด่างตามหลังมา ชายคนนั้นเงยหน้าขึ้น ค่อยพบว่าเป็นเชน มัทนายิ้มดีใจ
“คุณเชน”
เชนเอามือจุ๊ปากให้เงียบ
“กำลังมองหาอยู่เลย ไม่นึกว่าจะปลอมตัวซะขนาดนี้”
“ไม่ได้หรอกครับ กลัวน้อยหน้าคุณ”
มัทนายิ้มๆ
เชนหันมองไปทางเยาะที่วิ่งวุ่นกับเจ้าจุดอยู่ หยิบสายชาร์ตแบตมาให้มัทนา
มัทนารีบเก็บใส่กระเป๋าทันที
“ขอบคุณค่ะ”
เชนกระเซ้า
“งานสบายนะเนี่ย พาน้องหมาเดินเที่ยว”
“น้องหมาสุดโปรดของเค้า ตัวนี้ชื่อด่าง ตัวโน้นชื่อจุด...เดี๋ยวมัทจะหาจังหวะแอบถ่ายเจ้าสองตัวนี่ที่ชายหาด แค่นี้ก็ได้คอลัมน์นึงแล้ว”
“เก็บทุกเม็ดเลยนะครับ”
“แน่นอนค่ะ อะไรที่เกี่ยวกับเขตต์ตวันขายข่าวได้หมดล่ะค่ะ แฟนคลับเค้าเหนียวแน่น”
เชนมองเจ้าด่าง เลื่อนมือมาลูบหัว เจ้าด่างเห่ากระโชกใส่ทันที เชนดึงมืออกอย่างเร็ว ทั้งเชนและมัทนาตกใจเล็กน้อย เยาะหันมองมาทางมัทนา... มัทนาตกใจรีบแกล้งปล่อยหมา เจ้าด่างวิ่งไปหาเจ้าจุดทันที
มัทนาทำตกใจ
“ด่าง ด่าง....ขอบคุณนะคะ”
มัทนารีบวิ่งตามเจ้าด้างไป เชนยิ้มมองตามมัทนา
ผ่านเวลามาอีกสักพัก มัทนาปัดกวาดทำความสะอาดห้องหนังสือไปตามชั้นหนังสือ แอบหาวๆ หวอด ยกมือขึ้นปิดปาก เธอดูนาฬิกาข้อมือ ยังพอมีเวลา เธอเอาไม้กวาดไปพิงแล้วเลือกดูหนังสือตามชั้นหนึ่งไป
มัทนาดูชื่อหนังสือ อ่านไล่ไปแล้วบ่นๆ
“ผ้าทอมือ ผ้าไหมไทย เส้นสายลายผ้า มีแต่หนังสือเกี่ยวกับผ้าทั้งนั้นเลย...”
มัทนาเปิดดูไปเรื่อยๆ จนเจอเล่มหนึ่งที่มีกระดาษขาวๆสอดเอาไว้ แล่บๆออกมา มัทนาหยิบหนังสือเล่มนั้นออกมา เปิดหน้าที่ขั้นเอาไว้ หยิบกระดาษแผ่นนั้นออกมาดู เป็นภาพวาดลายเส้นออกแบบเสื้อผ้าชุดที่ลลิสาใส่เดินแบบชุดปิดโชว์คืนวันนั้น มัทนาแปลกใจ
“ชุดฟินาเล่ของลิซ่านี่นา”
มัทนาสีหน้าแปลกใจหยิบหนังสือเล่มนั้นไปนั่งเปิดอ่านที่โต๊ะอย่างสนอกสนใจ
เขตต์ตวันเดินตรงมาทางห้องหนังสือ เปิดประตูเข้าห้องมาเบาๆ เข้าไปในห้อง ชลบุษย์ถือแฟ้มเดินเร็วเข้ามาหา
“คุณปอนคะ คุณปอน”
มัทนาเผลอวูบหลับคาหนังสือเล่มนั้น ตกใจตื่นที่ได้ยินเสียงชลบุษย์ สีหน้าเธอตกใจ ร้อนรนมาก
“ตายแล้ว... เอาไงดีเนี่ย”
ที่หน้าห้องหนังสือ ชลบุษย์ส่งแฟ้มให้เขตต์ตวัน
“คุณปอนจะไม่ลองดูซะหน่อยเหรอคะ”
เขตต์ตวันเปิดดูผ่านๆ
“ลิซ่าเค้าคัดมาแล้วนี่”
ในห้องหนังสือ...มัทนาฉวยหนังสือบนโต๊ะไปเก็บที่ชั้นแล้วไปแอบในซอกชั้นหนังสือชิดกำแพง
ที่หน้าห้อง... ชลบุษย์แสดงสีหน้าหมั่นไส้
“ไว้ใจกันเกินไปมั้ยคะ เดี๋ยวนี้เค้ากร่างใหญ่แล้ว ทำตัวยังกะเป็นเจ้าของซะเอง คุณปอนต้องเบรกๆ เอาไว้มั่งนะคะ”
เขตต์ตวันยิ้มบอก
“โอเคครับ ผมจะดูอีกที”
เขตต์ตวันรวบแฟ้มเอาเข้าไปในห้องหนังสือ ชลบุษย์บ่นพึมพำก่อนทิ้งค้อนเดินไป
“หลงกันจนเสียงาน”
ในห้องหนังสือ... เขตต์ตวันเดินไปตามชั้นหนังสือ เลือกหาหนังสือบางเล่มอยู่ไปมา มัทนาลุ้นสุดๆ กลัวเขตต์ตวันจะเห็นเข้า เขาหยิบหนังสือออกจากชั้นมา 2-3 เล่มก่อนที่เล่มหนึ่งจะหลุดมือตกไปข้างๆ ที่มัทนาซ่อนตัวอยู่ มัทนาหลับตาปี๋ แทบจะกลั้นหายใจ...
มัทนาค่อยๆ เผยอตามอง เห็นมือของเขาเอื้อมลงมาหยิบหนังสือขึ้นไปแล้วเดินไปทางโต๊ะอ่านหนังสือ
มัทนาถอนใจยาวออกมาอย่างโล่งอก จับสายตาแอบมองไป...
เขตต์ตวันวางหนังสือที่โต๊ะ ก่อนจะเดินไปทางชั้นหนังสืออีกมุม เป็นมุมหันหลังให้ เธอหันมองไปทางประตูห้องสูดหายใจลึก เป็นโอกาสทองที่จะหนีออกไปจากห้องนี้
มัทนาค่อยๆ ย่องไปทางประตู ระหว่างที่เขตต์ตวันเลือกหาหนังสือและหันหลังให้ ขณะที่เธอกำลังผ่านโต๊ะอ่านหนังสือ โทรศัพท์มือถือเจ้ากรรมของเขตต์ตวันดันดังขึ้น เขาหันกลับมา เป็นจังหวะเดียวกับที่มัทนาหลบหมอบลงที่หน้าโต๊ะอ่านหนังสือทันพอดี เขตต์ตวันเดินมาดูเบอร์โชว์ก่อนกดรับสาย
“สวัสดีครับ...”
มัทนาเงี่ยหูแอบฟังอย่างเก็บข้อมูล
“ครับ ผมเลขาส่วนตัวคุณจันทิราครับ”
มัทนาขยับปากพูดตามไม่ออกเสียง
“เลขาส่วนตัว”
เขตต์ตวันเดินไปคุยโทรศัพท์ต่ออีกมุมหนึ่ง มัทนาฉวยจังหวะเดินย่องไปทางหน้าประตู เปิดประตูห้องเบาๆ กำลังจะออกไป
เสียงดุของเขตต์ตวันดังขึ้น
“หยุดตรงนั้นเลยนะ”
มัทนาใจหายวูบ ตาเบิกกว้างและกลัว เขตต์ตวันคุยโทรศัพท์มือถือ
“เดี๋ยวผมโทรกลับไปหานะครับ...” เขากดตัดสายแล้วเดินหน้าดุดิ่งเข้าหามัทนา
“ทำอะไรของเธอ”
มัทนาปั้นหน้าจ๋อยดูน่าสงสาร
“หนูลืมทำความสะอาดค่ะ เปิดเข้าห้องมาเจอคุณปอนก็เลยจะออกไป”
เขตต์ตวันมองจ้องหน้าอย่างจับผิด มัทนาไม่กล้าสู้ตา
“งานแค่ไม่กี่อย่างก็รับผิดชอบไม่ได้ ฉันสมควรจ้างเธอไว้มั้ย”
มัทนายกมือไหว้
“หนูขอโทษค่ะ ต่อไปหนูจะไม่ลืมอีกแล้วค่ะ ให้โอกาสหนูแก้ตัวเถอะนะคะ”
มัทนาฉายสีหน้าขอความเห็นใจ เขตต์ตวันจ้องแผลที่หน้าผาก
“ฉันโทรไปเช็คกับหมอแล้ว หมอบอกว่าสมองเธอคงไม่ได้รับความกระทบกระเทือนอะไร แผลฟกช้ำอย่างเก่งก็อีกสองวันหาย”
มัทนาหน้าจ๋อย
“หวังว่าเธอคงออกไปจากที่นี่แต่โดยดี ถ้าเธอเคยเป็นแฟนคลับฉันจริงอย่างที่ปากพูด คงไม่อยากให้ฉันต้องรู้สึกหงุดหงิดใจอีก”
เขตต์ตวันจะเดินกลับเข้าห้องไป มัทนาฉุกคิดแล้วรีบเดินอ้อมไปขวางหน้า เธอปั้นหน้าให้ดูน่าสงสาร “แล้วคุณปอนไม่สงสารหนูบ้างเหรอคะ หนูตกงาน ไม่มีเงินกินเงินใช้ ลูกจ้างคุณก็ขาดอยู่แล้วเลี้ยงหนูไว้ใช้งานเอาบุญซักคนไม่ได้เหรอคะ”
มัทนาทำหน้าเบะๆเหมือนจะร้องไห้ เขตต์ตวันสีหน้านิ่งบอก
“เสียดายที่เราเริ่มต้นไม่ดี วิธีการของเธอทำให้ฉันรู้สึกแย่ ขอให้ได้งานใหม่เร็วๆแล้วกัน”
เขาเดินเลี่ยงกลับเข้าไป
“คุณปอนคะ”
เขตต์ตวันเดินไปนั่งที่โต๊ะ พูดโดยไม่หันมอง
“ล็อกประตูห้องด้วย”
มัทนาแอบเหยียดปากหมั่นไส้เล็กน้อยก่อนล็อกประตูห้องเดินออกไป เขตต์ตวันเดินกลับไปหยิบโทรศัพท์มือถือที่โต๊ะทำงานก่อนเหลือบตาไปเห็นไม้กวาดพิงอยู่ที่กำแพงมุมห้อง
เขตต์ตวันมีสีหน้าฉุกคิดและอดระแวงไม่ได้
มายาตวัน ตอนที่ 2 (ต่อ)
ไม่นานหลังจากนั้น สาระวารีเดินคุยโทรศัพท์มือถือตามทางเดินในสยามสาร
“คิดมากน่ามัท ได้แค่นี้ก็ดีถมเถแล้ว... ต้องคิดว่าเหลืออีกตั้ง 2 วันสิ...พี่ว่ารีบออกมาจากบ้านเค้าเร็วๆ ก็ดีเหมือนกัน ดีกว่าถูกเค้าจับได้ คราวนี้นะจะถูกย้ายโต๊ะออกไปจากสยามสาร”
“พี่วารีต้องช่วยพูดกับบอกอให้มัทด้วยนะคะ”
“ไม่ต้องห่วงน่าพี่ต้องช่วยน้องรักอยู่แล้ว ขี้หมูขี้หมา หาเรื่องมาเขียนคอลัมน์ให้ได้ 5 วันติดต่อป๋าเราก็ยอมหยวนแหละ แล้วนี่มัทไม่ต้องทำงานแล้วเหรอะ”
มัทนาแอบคุยโทรศัพท์อยู่มุมสวน
“ช่วงนี้ว่างค่ะพี่ เหลือพาหมาเดินเล่นตอนเย็น นี่ว่าจะเข้าห้องแอบไปเขียนคอลัมน์ส่งบอกอซะหน่อย” มัทนายิ้มอย่างอารมณ์ดี
มัทนาเดินสีหน้าใช้ความคิดเขียนคอลัมน์กลับมาที่ห้องพัก เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็ต้องชะงักเมื่อเห็นลลิสายืนกอดอกมองเยาะที่กำลังรื้อค้นข้าวของของตนอยู่ มัทนาว่าใส่เยาะ
“มารื้อของฉันทำไม”
เยาะตกใจ รีบขยับตัวห่างบอก
“ฉันเปล่า”
เยาะแอบชี้บอกว่าลลิสาสั่ง จังหวะที่ลลิสาหันไปจ้องหน้ามัทนา
ลลิสาหน้าตากวน พูดอย่างไม่แคร์
“ก็ฉันไม่ไว้ใจเธอ”
“แล้วเจออะไรมั้ยคะ อย่าบอกนะว่าเจอสร้อยเพชรของคุณในกระเป๋า เสื้อผ้าของหนู แล้วหาเรื่องไล่หนูออกเหมือนในละคร”
ลลิสาเหยียดปาก
“คิดว่าเธอมีความสำคัญขนาดนั้นเลยเหรอะ”
มัทนาหน้าตาย
“แล้วเจออะไรต้องสงสัยมั้ยคะ”
“ยังไม่เจอ เพราะยังค้นไม่เสร็จ” เยาะว่า
“ของฉันก็มีอยู่แค่นั้นแหละ”
“ค้นตัวมันดีมั้ยคะคุณลิซ่า”
มัทนาตั้งการ์ดสีหน้าเอาจริง
“ก็ลองเข้ามาสิ”
เยาะขยับถอย หน้าตาหวาดๆ
“ทำอวดเก่งไปเถอะ พรุ่งนี้แกเตรียมตัวย้ายที่อยู่ไว้ได้เลย”
ลลิสาจ้องหน้ามัทนาก่อนสะบัดหน้าเดินออกไป
เยาะเดินมาเทียบมัทนาแล้วบอก
“4 โมงเย็น พาหมาไปเดินเล่นด้วยนะยะ”
เยาะค้อนใส่ก่อนเดินตามนายออกไป
มัทนามองตามลลิสาไป สีหน้าครุ่นคิด ระแวงว่า ลลิสาจะเล่นงานตนยังไง
บรรยากาศชายหาดยามเย็น เยาะนั่งส่องกระจกพกพา สำรวจความสวยไปมา ปลาหมึกย่างบดน่ากินไม้หนึ่งยื่นมาขวางหน้าเยาะ เยาะมีสีหน้าอยากกินเล็กน้อย ก่อนเหลือบตามองมัทนาที่ยิ้มผูกมิตร
“ฉันซื้อมาฝาก”
“ฉันไม่ชอบ”
มัทนาหน้าจ๋อยจะดึงปลาหมึกคืน
“แต่ฉันไม่อยากให้เธอเสียน้ำใจ”
เยาะแย่งปลาหมึกมา เจ้าจุดวิ่งมาหาปลาหมึกในมือเยาะทันที
“มาทันทีเลยไอ้จุด จมูกไวจริงนะ”
มัทนาแบ่งปลาหมึกของตนป้อนให้เจ้าจุดกินไป
เยาะฉุกคิด
“ไอ้ด่างไปไหนซะล่ะ”
มัทนากวาดตามองหา แล้วตกใจมาก เมื่อเห็นเจ้าด่างนอนนิ่ง ลิ้นห้อย มีกองอาเจียนอยู่ข้างๆ
“ด่าง”
ในเวลาต่อมา เยาะหน้าตาตื่นรีบขึ้นไปนั่งที่รถคันเก่าของบ้าน มัทนาพยายามสตาร์ทเครื่องรถ ครั้งแรกแต่ไม่ติด
“รถเก่าคุณปอนจอดทิ้งไว้เฉยๆ ไม่รู้เสียรึยัง” เยาะบอก
มัทนาลองสตาร์ทอีกครั้ง รถก็ไม่ติด บริเวณนอกรถ ป้าหน่อยเปิดสมุดจดเบอร์โทรศัพท์มือไม้สั่น
เปี๊ยกยืนลุ้นอยู่ข้างๆ
“เจอรึยังป้า” เปี๊ยกถาม
“เอ็งอย่าเร่งข้าได้มั้ยไอ้เปี๊ยก มือข้าสั่นหายใจไม่ทันแล้ว”
มัทนาสตาร์ทรถติด เยาะดีใจเฮ ก่อนจะเก็บอาการ เดี๋ยวจะดูเป็นมิตรเกินไป มัทนารีบขับรถออกไปทันที
เปี๊ยกบ๊าย บาย ส่งยิ้มส่ง
“ระวังนะน้องมัท อย่าซิ่งมากนะจ๊ะพี่เปี๊ยกเป็นห่วง”
ป้าหน่อยถอนใจอย่างโล่งอก
“ค่อยยังชั่ว ขอให้เจ้าด่างรอดด้วยเถ๊อะ”
ป้าหน่อยฉุกคิดด้วยความสงสัย
“เอ๊ะ แม่มัทขับรถได้ด้วยเหรอะ”
มัทนาขับรถเร็วอย่างเร่งรีบ เยาะมีสีหน้าลุ้นๆ หันไปดูเจ้าด่างที่เบาะหลัง
“เร็วอีกหน่อยได้มั้ย ด่างมันนิ่ง ไม่กระดิกแล้ว”
มัทนาเลี้ยวรถปาดเร็ว จนเยาะโดนเหวี่ยงกระแทกมาข้างหน้าแล้วอุทานด้วยความเจ็บและตกใจ
“อั๊ยยะ จะฆ่ากันรึไง”
“ซอยข้างหน้าใช่มั้ย”
“ใช่”
เยาะฉุกคิดและสงสัยเหมือนกัน
“นี่เธอขับรถเป็นด้วยเหรอะ”
มัทนาเองก็ตกใจ ลืมสนิทด้วยอารามเป็นห่วงเจ้าด่าง...เธอรีบแก้ปัญหาด้วยความคิดชั่ววูบ ตัดสินใจหักรถเลี้ยวเข้าชนถังขยะริมทาง เยาะตกใจ ตาเบิกโพลง ร้องลั่นรถ
บ้านเขตต์ตวันตอนหัวค่ำ มัทนากับเยาะนั่งพับเพียบคู่กันกับพื้นข้างๆ ป้าหน่อยนั่งที่เก้าอี้ ชลบุษย์นั่งเก้าอี้ข้างๆ ป้าหน่อย เขตต์ตวันนั่งโซฟากลางหน้านิ่ง ปล่อยให้ลลิสาจัดการสอบปากคำ
ลลิสาจ้องหน้ามัทนาด้วยสีหน้าดูถูก
“ฉันไม่เชื่อหรอกนะว่าฐานะอย่างเธอ จะมีปัญญาไปหัดขับรถ เธอแฝงตัวเข้ามาในบ้านนี้ ต้องการอะไรกันแน่”
เขตต์ตวันชำเลืองมองมาที่มัทนาอย่างจับสังเกต มัทนาตีหน้าซื่อ อัดอั้นตันใจ
“ก็หนูบอกแล้วไงคะว่าหนูเคยขับรถอีแต๋นมาก่อน”
“รถอะไรยะ ฉันไม่เคยเห็น”
“แต่แม่นี่ก็ขับรถแย่มากจริงๆนะคะคุณลิซ่า ปาดไปปาดมา โยกเยกจนหนูจะอ้วก” เยาะบอก
“ใครถามเธอ”
เยาะสีหน้าแหยไป
“ก็หนูกลัวเจ้าด่างจะตายนี่คะ ป้าหน่อยก็หาเบอร์หมอไม่เจอซะที”
ป้าหน่อยกลัวความผิดบอก
“ตอนนั้นฉันตกใจมากจริงๆนะคะคุณ ทำอะไรไม่ถูกเลย กลัวเจ้าด่างมันจะตาย มันชักกะตุกด้วยนะคะ”
ลลิสาค้อนใส่ป้าหน่อย
“หนูทนเห็นเจ้าด่างตายต่อหน้าต่อตาไม่ได้หรอกค่ะ”
มัทนาแอบน้ำตาคลอๆ สงสารเจ้าด่างจริงๆ
“ตอนนั้นมันคิดอะไรไม่ทันจริง ๆ เห็นมีรถจอดอยู่ก็ขับออกไปเลย คิดว่าจะขับง่ายๆเหมือนรถอีแต๋นซะอีก”
“ฉันเชื่อเธอนะ” ชลบุษย์บอก
ลลิสาหันขวับไปจ้องหน้า
“เป็นฉันก็คงตัดสินใจเหมือนกับเธอ ฉันคงทนเห็นหมาที่คุณปอนรักตายไปต่อหน้าต่อตาไม่ได้หรอก” ชลบุษย์หันไปยิ้มให้เขตต์ตวัน ลลิสาค้อนใส่ชลบุษย์หนึ่งขวับ
“ขอบคุณค่ะคุณบุษย์”
ลลิสาหันมาจ้องหน้ามัทนา
“แต่ยังไงเธอก็ไม่พ้นข้อหาทำรถเสียหายอยู่ดี รู้มั้ยค่าซ่อมเท่าไหร่ ทำงานทั้งปีเธอก็ไม่มีปัญญาหาเงินมาใช้คุณปอนได้หรอก”
มัทนาชำเลืองมองหน้าเขตต์ตวันเล็กน้อย เขายังคงปั้นหน้านิ่ง
“เอางี้ก็แล้วกัน ฉันจะตัดสินแบบให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ฉันจะไม่เอาผิดเธอ เธอไม่ต้องชดใช้ค่าซ่อมรถอะไรทั้งนั้น”
มัทนายกมือไหว้
“ขอบคุณค่ะคุณลิซ่า”
เยาะพูดต่อแบบรู้ใจนาย ยิ้มเย้ยใส่มัทนา “...แต่...”
ลลิสาตาดุใส่เยาะเล็กน้อย ก่อนพูดต่อ
“ใช่ แต่ เธอต้องเก็บของออกไปจาก บ้านนี้เดี๋ยวนี้เลย”
มัทนาอึ้งไปปั้นหน้าให้ดูน่าสงสาร ป้าหน่อยชำเลืองมองด้วยความสงสาร เยาะมีสีหน้าสะใจสมน้ำหน้า
“คุณปอนคะ ทำยังงี้ ไม่ใจร้ายกับเด็กเกินไปหน่อยเหรอคะ” ชลบุษย์ว่า
ลลิสาสวนทันที
“จะให้เด็กอยู่ทำงานฟรีใช้หนี้งั้นเหรอะ ความคิดแบบนั้นเคี่ยวกว่ากันเยอะ เหมือนสัญญาทาส กดขี่เด็ก”
ชลบุษย์ค้อนใส่ลลิสา แล้วหันยิ้มหวานให้เขตต์ตวัน
“ตกลงทำตามที่ลิซ่าเสนอนะคะคุณปอน”
เขตต์ตวันค่อยๆ ยืนขึ้น สีหน้านิ่งขรึม มัทนามองลุ้น
“พรุ่งนี้เอกกลับมา ให้เค้าพิจารณาก็แล้วกัน เด็กของเค้านี่”
ลลิสาไม่พอใจ
“คุณปอน”
เขตต์ตวันเดินหน้านิ่งออกไปจากห้องโถงขึ้นชั้นบน ชลบุษย์แอบยิ้มสะใจอยู่ไปมาก่อนจะก้มหน้าเล่นสมาร์ทโฟนของเธอไป ลลิสาหงุดหงิดหัวเสียมากเหมือนโดนฉีกหน้า เดินฉับๆ ตามเขตต์ตวันขึ้นชั้นบนไป
เยาะค้อนใส่มัทนาตามนายก่อนลุกเดินออกไป
ป้าหน่อยยิ้มให้มัทนา
“คุณเอกใจดี ไม่ไล่เธอออกหรอก”
“มัทก็หวังยังงั้นล่ะค่ะป้า”
มัทนาถอนใจยาวออกมา ชลบุษย์เหลือบตามองมัทนา มีสีหน้าเขม่นหมั่นไส้อยู่ในที
เขตต์ตวันเดินกลับเข้าห้องนอนมา ลลิสาตามเข้ามาติดๆ
“ลิซ่าไม่เข้าใจ ทำไมคุณปอนไม่ไล่มันออก จะรอฟังคุณเอกทำไม หรือว่าจะถ่วงเวลาช่วยมันคะ”
“เด็กมันทำไปเพราะห่วงเจ้าด่าง”
ลลิสาหมั่นไส้บอก
“ตกลงใจอ่อนจะยอมให้มันทำงานที่นี่แล้วใช่มั้ยคะ”
เขตต์ตวันถอนใจเดินไปนั่งที่เก้าอี้นั่งเล่นของห้องนอน ลลิสาน้อยใจ
“รู้ยังงี้ก็ดี ต่อไปลิซ่าจะได้ไม่ต้องเสียสมองหาทางบีบมัน ออกไปจากบ้าน”
ลลิสาจะเดินออกไปจากห้อง เขตต์ตวันฉุกคิดแล้วถาม
“อย่าบอกนะว่าที่เจ้าด่างโดนวางยาเบื่อนี่เป็นฝีมือของเธอ“
ลลิสาชะงัก หันมาจ้องหน้า
“ลิซ่าไม่ใจโหดร้ายขนาดนั้นหรอกค่ะ”
ลลิสาสะบัดหน้าพรืดออกไปจากห้อง เขตต์ตวันมองตามลลิสาอย่างติดใจสงสัย
ลลิสาหัวเสียเดินกลับเข้าห้องนอนมา เยาะกำลังเอาเสื้อผ้าเข้าตู้ให้
“แจ๊สเอาเสื้อมาส่งแล้วเหรอะ”
“ค่ะคุณลิซ่า”
“แกตามประกบมันมาทั้งวัน มีอะไรผิดสังเกตมั่งมั้ย”
“ก็ไม่เห็นมีอะไรนะคะ”
“ไม่ได้เรื่องทั้งคนทั้งหมา”
เยาะจ๋อยสนิท ลลิสาเจ็บใจไม่หาย
“ฉันไม่เข้าใจ ไม่รู้จะห่วงไอ้หมาขี้เรื้อนสองตัวนั่นอะไรนักหนา หมาวัด คนเค้าเอามาทิ้งแท้ๆ”
ลลิสาเหยียดปากหมั่นไส้
“มาจากบ้านเกิดเดียวกันสิท่า ถึงได้เห็นอกเห็นใจกันนัก”
ลลิสาเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าดูชุดใหม่แก้เซ็ง เยาะเหล่มองตาม พึมพำ
“แรงนิ๊”
ภายในห้องพัก มัทนานั่งเขียนคอลัมน์อยู่ข้างเตียง สีหน้าใช้ความคิดแล้วยิ้มพอใจ
“นึกออกแล้ว ...เปิดตัว เพื่อนใจ เขตต์ตวัน”
มัทนาหยุดคิดบ่นพึมพำ
“เชยไปหน่อย … เอาไว้ก่อน”
มัทนาเริ่มเขียนคอลัมน์ต่อไป
มัทนาเขียนคอลัมน์ด้วยลายมือ
“ถึงจะประกาศอำลาวงการมานานกว่า 2 ปี”
เธอมองดูลายมือตัวเอง แล้วบ่นๆ
“ไม่ได้เขียนมานาน ลายมือน่าเกลี๊ยดน่าเกลียด”
เสียงเจ้าจุดร้องโหยหวนครวญครางดังขัดความเงียบยามวิกาลเข้ามา มัทนาตกใจ กลัวถูกวางยาเบื่ออีกตัว
“จุด...”
มัทนาทิ้งงานจะวิ่งออกจากห้องไปดู แต่ต้องหยุดกึกวิ่งย้อนกลับมาซ่อนงานเขียนไว้ใต้เบาะนอนก่อน
มัทนานั่งลูบหัวเจ้าจุดที่นอนหมอบนิ่งอยู่ที่ศาลาสนามหลังบ้าน
“ไม่ต้องห่วงนะจุด ด่างปลอดภัยแล้ว นอนบ้านหมอ 2วันก็กลับบ้านได้แล้วล่ะ คิดถึงเพื่อนจนนอนไม่หลับอ่ะ ดิฉันร้องเพลงกล่อมนอนให้ฟังเอามั้ยล่ะ”
“อย่าถึงขั้นนั้นเลยนะ”
มัทนาตกใจหันมอง เขตต์ตวันเดินหน้านิ่งๆ เข้ามาหา เขาแซวด้วยสีหน้านิ่ง
“เดี๋ยวเจ้าจุดจะหอน ได้ตื่นกันทั้งซอย”
“แหม...เสียงหนูไม่หลอนขนาดนั้นหรอกค่ะคุณปอน”
เขตต์ตวันยิ้มบางๆ มองหน้ามัทนา
“ฉันขอบใจเธอมากนะที่ช่วยชีวิตเจ้าด่างเอาไว้”
มัทนายิ้มรับอย่างปลื้มใจ
ชลบุษย์ใส่เสื้อคลุมชุดนอนเดินผ่านทางระเบียงบ้านเห็นเข้าพอดี ไม่อยากเชื่อสายตาจึงแอบหลบมองอยู่อย่างจับสังเกต เขตต์ตวันเดินมานั่งข้างๆ เว้นระยะห่างเล็กน้อย เขตต์ตวันลูบหัวเจ้าจุด
“ด่างกับจุดมันน่าสงสารมาก ถึงจะเป็นหมาสายพันธุ์ดีก็เถอะ แต่แม่มันเลี้ยงลูกไม่เป็น คลอดแล้วทิ้ง...เจ้าสองตัวนี่เลยโดนหมาอื่นกัดเอาเกือบตาย”
มัทนาแอบชำเลืองมองหน้าเขตต์ตวันที่เล่าไปด้วยสายตาอ่อนโยนพร้อมลูบหัวเจ้าจุดตลอดเวลา
“เจ้าของเค้าเลยเอามาทิ้งที่วัด ฉันไปทำบุญพอดีเลยขอหลวงพ่อท่านพาไปรักษาแล้วเอามาเลี้ยง”
“ไม่น่าล่ะคุณปอนถึงรักเจ้าสองตัวนี้มาก”
เขตต์ตวันยิ้มๆ ขยี้หัวเจ้าจุด
“ไม่ใช่ลูกก็เหมือนกับลูก”
มัทนายิ้มชื่นชม
“เป็นบุญของเจ้าสองตัวนี่นะคะ ที่เจอคนใจบุญอย่างคุณปอน”
“รวมทั้งเธอด้วย”
มัทนายิ้มเขิน
ชลบุษย์ที่แอบมองอยู่มีสีหน้าไม่พอใจด้วยความหึงหวง
“ถ้าไม่ใช่เธอมารับช่วงดูแลเจ้าสองตัวนี่ต่อ วันนี้เจ้าด่างอาจจะตายไปแล้วก็ได้ คงไม่มีใครกล้าบ้าบิ่นขนาดเธอหรอก ดีไม่รถชน ตายทั้งคนทั้งหมา” เขตต์ตวันพูดพลางส่ายหน้า
“นั่นสิคะ แยกไม่ถูกเลยชิ้นส่วนไหนของคนของหมา”
เขตต์ตวันหลุดขำออกมาบอก
“ก็เกินไป”
ชลบุษย์กัดฟันแน่นด้วยความหมั่นไส้มาก สีหน้าใช้ความคิดแผนการร้ายในใจ
เขตต์ตวันลุกขึ้นยืน ตบไหล่มัทนา
“ขอบใจมาก ไปนอนได้แล้ว”
เขตต์ตวันจะเดินกลับเข้าไป ชลบุษย์รีบผลุบหลบเข้าไปก่อน
มัทนาลุกตามและเรียกไว้
“เดี๋ยวค่ะคุณปอน”
เขตต์ตวันหันกลับมามอง
“คืนนี้หนูขอพาเจ้าจุดไปนอนในห้องด้วยได้มั้ยคะ มันจะได้ไม่ร้องอีก”
“ก็ตามใจ”
มัทนายิ้มดีใจ
“ขอบคุณค่ะ”
เขตต์ตวันเดินนำเข้าไปทางบ้าน มัทนาจูงสายจูงพาเจ้าจุดไปด้วยกัน
“ไปนอนด้วยกันนะจุด”
มัทนาเดินจูงเจ้าจุดไปทางเรือนลูกจ้าง เขตต์ตวันหยุดเดินหันกลับมามองตามมัทนาไป และยิ้มด้วยสายตาเอ็นดู
ภายในห้องนอน ลลิสากำลังลองเสื้อผ้าแบรนด์เนมชุดใหม่อยู่ในห้องนอน เยาะมองดูด้วยสีหน้าสงสัย
“ทำไมต้องซื้อชุดยี่ห้อฝรั่งด้วยคะคุณลิซ่า เสื้อผ้าที่เรามีอยู่ คุณลิซ่ายังใส่ไม่ครบเลย”
ลลิสาส่องกระจกไปตอบไป
“เสื้อผ้าแบรนด์ตวันถึงจะหรูจะแพง แต่ก็ยังไม่ใช่แบรนด์อินเตอร์ พูดตรงๆ เทียบกันแล้วก็ยังคนละเกรด”
เยาะยังไม่เข้าใจ มองดูชุด
“แต่ชุดแบบนี้เยาะก็เห็นเรามีเยอะแยะ”
ลลิสาสีหน้าดูถูก
“อย่างหล่อนจะรู้อะไร”
เสียงเคาะประตูห้องดังขัดจังหวะพอดี
“สงสัยจะคุณปอน”
ลลิสาตกใจบอก
“แกไปถ่วงเวลาไว้ก่อน ฉันจะรีบเปลี่ยนชุด”
ลลิสาคว้าเสื้อตัวเดิมเดินไปเข้าห้องน้ำ
เยาะเดินไปถามหน้าประตู
“ใครคะ”
“ฉันเอง เปิดประตูหน่อยสิ”
“รอเดี๋ยวนะคะ คุณลิซ่าเข้าห้องน้ำอยู่ค่ะ”
ลลิสาเปลี่ยนกลับเป็นชุดเดิมเดินออกมาจากห้องน้ำ รวดเร็วสมกับเป็นนางแบบ เยาะกระซิบบอก ฃ“คุณบุษย์ค่ะ”
ลลิสาสีหน้ารำคาญ เดินไปเปิดประตูให้แล้วจ้องหน้า
“มีธุระอะไร”
ชลบุษย์ทำหน้ากวนใส่
“คุณปอนล่ะ”
“ลงไปที่ห้องหนังสือ”
ชลบุษย์ยิ้มหยัน
“จริงเหรอะ แปลกจัง ทำไมฉันเห็นอยู่ที่สนามหลัง บ้านกับ...” ชลบุษย์ทิ้งปมหยุดพูดแล้วบอก
“ช่างเถอะ” ชลบุษย์ทำท่าจะเดินไป ลลิสารีบเดินปรี่ไปขวางหน้า
“จะพูดอะไรก็พูดมาให้หมด อุตส่าห์แบกน้ำหนักขึ้นบันไดมาถึงห้องฉัน คงไม่ได้คิดจะมาพูดครึ่งๆ กลางๆแค่นี้หรอกมั้ง”
ชลบุษย์จ้องหน้า ยิ้มเย้ย ทำเป็นขำใส่
“สวย เซ็กซี่ แค่ไหนก็คงสู้เด็กสาวเอ๊าะๆไม่ได้หรอก ว่ามั้ย”
ลลิสาจ้องหน้า
“เธอพูดมาตรงๆ เลย ฉันรำคาญ”
ชลบุษย์ยิ้มสะใจ
“ก็บังเอิญ ฉันเห็นคุณปอน แอบไปคุยกับนังเด็กมัทที่สนามหลังบ้าน เห็นหัวร่อต่อกระซิกกันคิกคัก ไม่น่าถึงไม่ยอมไล่ออก”
ลลิสาโกรธปรี๊ดขึ้นมา เดินกระแทกไหล่ชลบุษย์เดินออกไปทันที
ชลบุษย์มองตามแสยะยิ้มอย่างสะใจ
ลลิสาเดินหัวเสียเข้ามาในห้องหนังสือ เปิดประตูแรงเข้ามา เขตต์ตวันนั่งอ่านหนังสือเล่มหนึ่งอยู่ เหลือบตาขึ้นมอง
“คุณปอนลงไปไหนมาคะ”
เขตต์ตวันสีหน้านิ่ง
“ทำไม มีใครไปฟ้องอะไรอีก”
“แสดงว่าคุณปอนลงไปคุยกับนังเด็กนั่นมาจริงๆ”
“แล้วมันผิดตรงไหน”
“ไม่ผิดหรอกค่ะ ถ้ามันไม่เด็กไม่สวยยังงั้น”
“นี่คุณคิดว่าผมคิดไม่ดีกับเด็กลูกจ้างในบ้านเหรอะ”
ลลิสาแดกดันอย่างไม่ไว้ใจ
“อะไรก็เกิดขึ้นได้ค่ะ เห็นเอ็นดูกันจัง”
เขตต์ตวันถอนใจส่ายหน้า ลลิสาสีหน้าจริงจัง ไม่พอใจ
“ลิซ่าจะไม่ทนอีกต่อไปแล้ว ลิซ่าจะลงไปไล่มันออกเดี๋ยวนี้เลย”
เขตต์ตวันสวนทันที
“คุณจะให้ผมเสียคำพูดรึไง”
ลลิสาชะงักไป
“คุณทำแบบนี้ เท่ากับคำสั่งผมไม่เป็นที่สุด ต่อไปผมจะปกครองใครได้”
ลลิสามีสีหน้าหงุดหงิด ไม่ได้ดั่งใจ
“อย่างที่ผมบอก รอให้เอกกลับมาตัดสินพรุ่งนี้ก็แล้วกัน”
ลลิสาสะบัดหน้าพรืดจะเดินออกไป เขตต์ตวันก้มอ่านหนังสือพร้อมพูดตามไป
“คืนนี้นอนห้องคุณเองนะ ผมมีงานต้องคิดอีกเยอะ”
ลลิสาค้อนใส่เขตต์ตวันขวับใหญ่ ก่อนจะเดินปึงปังออกไปจากห้องหนังสือ เขตต์ตวันที่ได้แต่ถอนใจส่ายหน้าไปมา
เวลาเช้าที่สนามหลังบ้าน มัทนากำลังให้อาหารเจ้าจุดอยู่ เอกชัยเดินยิ้มแย้มเข้ามาหา มัทนายังไม่รู้ตัวนั่งดูเจ้าจุดกินอาหารไป
“นึกว่ากลับมาจะไม่ได้เห็นหน้าซะแล้ว”
มัทนาดีใจยกมือไหว้
“คุณเอก สวัสดีค่ะ”
เอกชัยยิ้มๆ
“ฉันไม่อยู่วันสองวัน สร้างวีรกรรมอะไรซะใหญ่โต”
“หนูก็ไม่ได้อยากสร้างปัญหาหรอกค่ะคุณเอก ตกลงหนูถูกไล่ออกมั้ยคะ”
เอกชัยยิ้มอารมณ์ดี
“ดีใจด้วยนะ เธอได้ไปต่อ”
มัทนาดีใจมาก ยกมือไหว้
“จริงเหรอคะ ขอบคุณคุณเอกมากค่ะที่ช่วยพูดให้หนู”
“ไปขอบคุณคุณปอนดีกว่า เค้าให้รางวัลที่เธอช่วยชีวิตเจ้าด่างเอาไว้ ฉันก็แค่ตัวช่วย...”
“งั้นหนูไปขอบคุณคุณปอนก่อนนะคะ”
มัทนาวิ่งดีใจไปทางหน้าบ้าน เอกชัยมองตาม ยิ้มเอ็นดู ส่ายหน้าไปมาก่อนจะเดินไปเล่นกับเจ้าจุด
“ไงจุด เหงามั้ย”
-ดีไซน์เนอร์คนหนึ่งกำลังนั่งคุยโทรศัพท์มือถือที่ม้าสนามหน้าบ้าน พร้อมกางงานออกดูอยู่ไปมา
“ต้องรอฉันพรีเซนต์คอลเล็กชั่นใหม่เสร็จก่อน... ไม่รู้เหมือนกัน ชอบก็เร็ว ถ้าโดนรื้อโดนแก้ก็นานหน่อย”
ลมพัดวูบใหญ่มา กระดาษที่ออกแบบเสื้อผ้าปลิวกระจาย
“ว้ายๆ บรรลัยแล้วฉัน”
ดีไซเนอร์ไล่เก็บกระดาษออกมาแบบที่ปลิวว่อน แบบเสื้อหนึ่งปลิวมาที่ข้างพุ่มไม้ มัทนาแอบเก็บกระดาษออกแบบแผ่นนั้นเอาไป
มัทนาแอบเอาแบบเสื้อผ้าชุดนั้นมากางดู เห็นลายเซ็นอ่านออกว่า “จันทิรา” กำกับอยู่ใต้ภาพชุดที่ออกแบบเอาไว้ เธออ่านข้อความที่จดโน้ตๆ ด้วยดินสอไว้พรีเซนต์ ออกเสียงเบาๆ
“ฟินาเล่แบบสอง เซอร์ไพรส์ ฉีกแนว ไม่โป๊ ดูลด วัยลงมา”
มัทนาเงยหน้าจากกระดาษออกแบบด้วยสีหน้าไม่เข้าใจนัก เธอใช้ความคิด รวบรวมเหตุการณ์ ปะติดปะต่อเรื่องราวในใจ
ติดตาม "มายาตวัน" ตอนที่ 3 พรุ่งนี้ 09.30 น.