มายาตวัน ตอนที่ 6
เขตต์ตวัน มัทนาและเอกชัย ก้มลงกราบหลวงพ่อจรูญพร้อมๆกัน หลวงพ่อมองมัทนา
“มาด้วยกันหรือนี่...เออแน่ะ โยมทำได้จริงๆด้วย เก่งจริงๆ นักข่าวสมัยนี้ไ
หลวงพ่อมองขำ หัวเราะชอบใจ
“กว่าจะทำได้ก็ลำบากสาหัสเอาการล่ะค่ะหลวงพ่อ”
เขตต์ตวันยิ้มๆ
“ลูกเล่นแพรวพราวครับหลวงพ่อ จับไม่ได้ไล่ไม่ทัน” เอกชัยบอก
“เค้าเรียกว่าฉลาด มีลูกล่อลูกชน”
“แต่ที่หนูทำให้คุณปอนยอมรับได้ ก็เพราะความจริงใจค่ะหลวงพ่อ”
“เห็นมั้ย เจ้าคารมน่าดู”
มัทนาก้มหน้าอมยิ้ม
“กระผมจะมาปรึกษาหลวงพ่อเรื่องสร้างเรือนนอนใหม่ของเด็กผู้ชายน่ะครับ ส่วนคุณมัทนา ต้องการจะคุยกับหลวงพ่อเรื่องการดูแลเด็กในวัดเพื่อไปทำสารคดีประกอบคำสัมภาษณ์ของผม”
“ไม่ใช่มาถามเรื่องอดีตของเราหรือเจ้าตวัน”
มัทนายิ้มแฉ่งแย่งตอบ
“ทั้งสองเรื่องเลยก็ดีค่ะหลวงพ่อ”
เอกชัยและเขตต์ตวันหันมองหน้ากัน ยิ้มๆ ส่ายหน้าอารมณ์เอ็นดูยัยตัวแสบ หลวงพ่อถาม
“โยมมีอะไรจะถามอาตมามั่งล่ะ”
เขตต์ตวันและเอกชัยหันมองมาที่มัทนา เธอดูอึกอักเล็กน้อย
“เจ้าตัวนั่งอยู่ที่นี่ ถามไม่ออกใช่มั้ยล่ะ”
มัทนายิ้มแหยๆบอก
“ค่ะหลวงพ่อ”
เขตต์ตวันยิ้มไหว้หลวงพ่อ
“งั้นผมกับเอกไปรอที่โรงอาหารก่อนนะครับ”
“เดี๋ยวคุยเสร็จแล้วหลวงพ่อตามไป”
เอกชัยตบไหล่กระเซ้ามัทนา ทั้งคู่ไหว้ลาหลวงพ่อแล้วล่าถอยออกไป มัทนาค่อยยิ้มออกหันมองตาม
เขตต์ตวันแกล้งทำหน้าดุกำราบใส่ มัทนาแหยไปเล็กน้อย
ในอดีต นายติ่งลากเขตต์ตวันในวัยวัย 5-6 ขวบเข้ามายังบริเวณวัด เขาสะพายเป้ใส่เสื้อผ้าของใช้ตวันติดมาด้วย เขาร้องไห้ดิ้นรนขัดขืน กระชากตัวจะออกไปจากวัด เขตต์ตวันร้องไห้ โวยวาย
“ปล่อยกู กูจะกลับบ้าน”
“อยากกลับไปอยู่ซ่องรึไงไอ้ตวัน” ติ่งว่า
“กูจะไปหาแม่กู ปล่อย”
“แม่มึงไม่เอามึงหรอก ไอ้ตัวปัญหา”
“ไอ้ติ่ง ไอ้ปากหมา”
“อ้าว ไอ้เด็กเวรนี่ เดี๋ยวกูเตะโชว์หลวงพ่อซะเลย”
เขตต์ตวันดิ้นรน
“ปล่อยกู บอกให้ปล่อย ไอ้...”
เขตต์ตวันจะด่าหยาบคาย ติ่งเอามือปิดปากทัน
“ในรั้ววัดนะมึง ด่าหยาบคาย เดี๋ยวก็กลายเป็นเปรตหรอก”
หลวงพ่อจรูญเดินออกมาดู
“มีอะไรกัน เสียงดังลั่นวัดไปหมด”
ติ่งกระชากตวันให้นั่งลง
ติ่งขู่ตวัน
“นั่งนิ่งๆ นะมึง ผีจับไปหักคอกูไม่รู้ด้วย”
เขตต์ตวันชะงักไป ความที่เป็นเด็กก็เลยกลัว หลวงพ่อส่ายหน้าไม่เห็นด้วยที่ขู่เด็กแบบนี้ แต่เดี๋ยวค่อยสอนกันทีหลัง
“ไหว้หลวงพ่อซะสิ”
เขตต์ตวันเหลือบตามองหลวงพ่อแล้วยกมือไหว้หลวงพ่ออย่างเกรงๆ ท่าทางดูกลัวๆ ติ่งพนมมือไหว้พร้อมพูด
“กระผมชื่อติ่งครับหลวงพ่อ เป็นคนครัวอยู่ในซ่อง”
หลวงพ่อจรูญถอนใจเดินไปนั่งฟัง ติ่งเหลือบตามองเขตต์ตวัน
“ผมเห็นเจ้านี่มาแต่เล็กแต่น้อย ยิ่งโตก็ยิ่งทโมน แม่มันก็ไม่ค่อยสนใจ ผมเลยอยากมาฝากหลวงพ่อเลี้ยง กลัวมันจะโตเป็นแมงดาคุมซ่องไปซะ”
“กูไม่อยู่ที่นี่”
ติ่งตบกลางกบาลเขตต์ตวันที่พูดสวนขึ้นมา
“ไม่อยากเรียนหนังสือให้อ่านออกเขียนได้รึไง”
เขตต์ตวันหันมองหลวงพ่อ
“อยาก”
“พูดจาให้มีหางเสียงหน่อยสิเอ็ง พูดกับพระกับเจ้านะโว้ย”
“ไม่เป็นไร ค่อยสอนค่อยฝึกกัน เจ้านี่ท่าทางจะเอาเรื่องใช่เล่น เราชื่ออะไรล่ะ”
เขตต์ตวันก้มหน้าเงียบ ติ่งผลักหัวเด็ก
“หูแตกรึไง หลวงพ่อท่านถาม ทำไมไม่ตอบ”
เขตต์ตวันทำหน้าเซ็งๆ ตอบห้วนๆ
“ตวัน”
หลวงพ่อจรูญยิ้มเมตตา เสียงของหลวงพ่อพูดกับมัทนาดังแทรกขึ้นมา
“พอเจ้าตวันปรับเนื้อปรับตัวกับที่นี่ได้ มันก็ชอบดูตะวันตกดินมาก ช่วงที่เค้าเรียกว่า ผีตากผ้าอ้อมน่ะโยม”
เขตต์ตวันวัย 5-6 ขวบวิ่งมาสุดเขตสวนของวัดเพื่อดูตะวันตกดิน เขากระโดดโลดเต้นชอบใจอยู่
คนเดียวหน้าแสงสีส้มอ่อนก่อนพระอาทิตย์จะตกดิน
“บางทีก็วิ่งมากระโดดโลดเต้นอยู่คนเดียว ไม่รู้มันชอบอะไรนักหนา”
หลวงพ่อจรูญเดินตามหลังตวันมา
“ได้ดูตะวันตกดินแล้วมีความสุขมากเหรอตวัน”
เขตต์ตวันหันมายิ้มแย้ม ก่อนหันไปยืนมองพระอาทิตย์ตกดินต่อ
“ครับหลวงพ่อ”
หลวงพ่อเดินเข้ามาหยุดยืนข้างๆ วางมือบนหัวหรือบนไหล่ของเด็กตวันเอาไว้
“หลวงพ่อจะตั้งชื่อจริงให้เราใหม่เอามั้ย”
เขตต์ตวันเหลือบตามองหลวงพ่อ อย่างดีใจ
“เอาครับหลวงพ่อ”
หลวงพ่อก้มลงมองด้วยสายตาเอ็นดูปนสงสาร
“หลวงพ่อจะตั้งชื่อให้เราใหม่ว่า เขตต์ตวัน ชอบมั้ย”
“ชอบครับหลวงพ่อ”
เขตต์ตวันย่อตัวลงนั่งกับพื้น กราบเท้าหลวงพ่อจรูญ หลวงพ่อก้มมองยิ้มบางๆ ในสีหน้าเมตตา
เขตต์ตวันในวัย 10 ขวบบุกเข้าไปช่วยน้องสาว ป่านในวัย 6 ขวบเพื่อพาหนีออกมาจากซ่องแมงดาหนุ่มท่าทางงัวเงีย ตื่นเดินออกมาพอดีแมงดาหนุ่มตกใจแทบหายงัวเงีย
“เฮ้ย จะทำอะไรวะ”
เขจจ์ตวันไม่พูดพล่ามทำเพลงโดดถีบแมงดาหนุ่ม แล้วรีบลากป่านพาวิ่งหนี...แมงดาหนุ่มลุกวิ่งไล่ตาม
“พอเจ้าตวันมันโตได้ซักหน่อย มันไปอาละวาดที่ซ่อง เอาตัวน้องสาวออกมาอยู่ด้วยกัน”
แมงดาหนุ่มไล่ตามไปกระชากตัวป่านเอาไว้ ป่านร้องกรี๊ดกร๊าดด้วยความกลัว ไม่คาดคิดนายติ่งเอากระทะฟาดลงกลางหัวแมงดาหนุ่มจนสลบเหมือด
เขตต์ตวันและป่านหันมองพ่อครัวติ่ง
“หนีไปซิ”
“ขอบคุณครับลุง”
เขตต์ตวันลากป่านพาวิ่งหนีออกไป
หลวงพ่อนั่งให้สัมภาษณ์มัทนาอยู่ที่กุฏิ มีเครื่องอัดเสียงวางอยู่ข้างๆ หลวงพ่อ มัทนานั่งพับเพียบสัมภาษณ์อย่างสำรวมอยู่ที่พื้น หลวงพ่อมีสีหน้าย้อนนึก
“ตวันมันว่าทิ้งน้องสาวให้โตในซ่องไม่ได้ ก็ถูกของเด็กมัน ตอนเล็กๆ มันร้าย เจ้าคิดเจ้าอ่าน ผู้ใหญ่โตๆ ยังไม่กล้าสู้ เพราะมันทำอะไรถวายหัว ไม่ค่อยคำนึงนักหรอกว่าจะเป็นจะตาย”
มัทนาถามยิ้มๆ
“แล้วตอนโตนี่ละคะ หลวงพ่อว่ายังไง”
“ดีขึ้นเยอะ ไอ้ความมุทะลุนี่ลดลงไปเยอะ อย่างว่าแหละโยม ประสบการณ์ชีวิตจะกล่อมเกลาให้คนรู้จักใช้สติและเหตุผลเอง”
มัทนาถามอย่างเกรงใจๆ
“หลวงพ่อพอจะทราบมั้ยคะว่า น้องสาวคุณปอนเธอเสียเมื่อไหร่ ดิฉันจะถามเค้าตรงๆก็เกรงใจ เพราะดูท่าทางเค้าเสียใจมาก”
หลวงพ่อพยักหน้ารับ มีสีหน้าเคร่งขรึมลงอย่างเห็นได้ชัด
หลวงพ่อจรูญนั่งอยู่ที่เก้าอี้ไม้ไผ่ที่ลานวัดตอนสาย ตอนนั้นเขตต์ตวันกับเอกชัยอยู่ในวัยหนุ่มอายุราว 18-19 ปี ขณะที่ป่านอายุเพียง 14-15 ปี ทุกคนนั่งพับเพียบกับพื้นพนมมือไหว้หลวงพ่อจรูญ
“แน่ใจแล้วเหรอะเจ้าปอน”
“ครับหลวงพ่อ ไหนๆ ผมกับเอกก็ได้ที่เรียนต่อที่กรุงเทพแล้ว”
“คิดว่าคงเรียนไปทำงานไปล่ะครับหลวงพ่อ” เอกชัยบอก
หลวงพ่อพยักหน้ารับทราบ แต่ยังมีสีหน้าเป็นห่วง
“จะพาเจ้าป่านไปด้วยจริงๆ เหรอะ”
“ครับหลวงพ่อ”
“คิดให้ดีๆ นะ จะไม่เป็นภาระเหรอเจ้าปอน เอ็งสองคนต้องเรียน งานการก็ยังหาทำไม่ได้ไม่ใช่เหรอะ”
เขตต์ตวันหันมองหน้าป่านที่มีสีหน้าไม่สบายใจเหมือนกัน กลัวพี่ชายจะลำบาก
“ผมมีน้องสาวอยู่แค่คนเดียว ผมทิ้งน้องไว้ไม่ได้หรอกครับ ไปไหน ก็ต้องไปด้วยกัน”
ป่านน้ำตาคลอๆ เลื่อนมือมาจับมือพี่ชายเอาไว้
“ถ้าเราไม่เลือกงานซะอย่าง ไม่มีวันอดตายหรอกครับหลวงพ่อ”
หลวงพ่อพยักหน้ารับ
“เมื่อมุ่งมั่นขนาดนี้ หลวงพ่อก็ไม่ขัดหรอก แต่มีปัญหาอะไร ต้องการความช่วยเหลือ ก็ติดต่อมา อย่าคิดว่าเป็นเรื่องน่าอาย หรือล้มเหลวอะไร เข้าใจมั้ยเจ้าปอน เจ้าเอก”
เขตต์ตวันกับเอกชัยยกมือไหว้
“ครับหลวงพ่อ”
“อยู่ที่ไหนแม้ไม่ใช่วัดแล้วก็ขอให้ลูกทั้งสามคนจงรักษาความดีเอาไว้ เป็นคนดีทุกที่ทุกเวลา ให้สมกับเป็นลูกศิษย์วัดสวนป่านะ”
เขตต์ตวัน เอกชัย และ ป่านก้มลงกราบเท้าหลวงพ่อที่มองเด็กทั้งสามคนด้วยสายตาเป็นห่วง
หลายปีต่อมา หลวงพ่อนั่งศึกษาพระธรรมคัมภีร์อยู่ในกุฏิ ศิษย์วัดเดินเข้ามาหา และวางจดหมายให้หลวงพ่อ
“มีจดหมายจากกรุงเทพครับหลวงพ่อ”
“ของเจ้าเอกล่ะสิ เที่ยวนี้หายไปนาน”
หลวงพ่อแกะซองจดหมายก่อนจะหยิบจดหมายภายในขึ้นมาอ่าน
“วันนึง เจ้าเอกมันก็จดหมายมาบอกว่าเจ้าป่านตายไปซะแล้ว”
อาทิตย์ต่อมา หลวงพ่อกวาดลานวัดไปอย่างมีสมาธิ ก่อนจะหยุดชะงักไป เมื่อเห็นมีคนหยุดยืนมองอยู่ห่างๆ หลวงพ่อเหลือบตามอง พบว่าคนผู้นั้นคือ เขตต์ตวัน เขาอยู่ในชุดไว้ทุกข์ ตาแดงกล่ำ เดินขาแทบหมดแรงมาก้มกราบเท้าหลวงพ่อ ก่อนจะยกมือขึ้นกอดขาหลวงพ่อ ร้องไห้สะอึกสะอื้นปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อาย หลวงพ่อสงสารลูบหัวเขตต์ตวันไปมาด้วยความรักและเอ็นดู
บนกุฏิหลวงพ่อจรูญ มัทนาน้ำตาเอ่อท่วมตาอีกแล้ว สาวน้อยรีบยกมือขึ้นซับออก ฟังหลวงพ่อพูดต่อไป
“เจ้าป่านมันยังเด็กแท้ๆ อายุยังไม่ถึงยี่สิบเลย อัฐิอะไรก็ฝังเก็บไว้กรุงเทพหมด เจ้าตวันกลับมาไม่พูดอะไรซักคำ หน้าตาหมองคล้ำ ก้มกราบอาตมาแล้วนั่งนิ่งเป็นชั่วโมงๆ”
“คุณตวันคงเสียใจมากที่ดูแลน้องสาวตัวเองไม่ได้”
หลวงพ่อพยักหน้ารับ
“เห็นว่าป่วยไข้ แต่ตอนนั้นมันเพิ่งเรียนจบ งานดีๆ ก็ไม่มีทำ ไม่มีเงินรักษา”
หลวงพ่อถอนใจออกมา มัทนามีสีหน้าสงสัย
“แล้วคุณแม่ของคุณตวันล่ะคะ ยังอยู่ที่ภูเก็ตนี่รึเปล่าคะ”
“อาตมาก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน ที่รู้มาล่าสุดเห็นว่าไม่ได้อยู่ที่ภูเก็ตแล้ว เคยถามตวันมันเหมือนกันว่ารู้ข่าวแม่มันบ้างมั้ย มันก็เฉย ไม่พูด เจ้านี่มันร้าย ถึงมันรู้ ถ้าไม่อยากพูด มันก็นิ่งเสีย ง้างปากก็ไม่ออก”
มัทนารับฟังอย่างตั้งใจ แต่ก็ไม่อยากซักถามเรื่องแม่ของเขตต์ตวันต่อ
ภายในโรงอาหาร เขตต์ตวันกำลังเล่านิทานให้เด็กเล็กๆ ที่ล้อมวงฟังอยู่... มีเด็กนั่งตักเขตต์ตวันอยู่คนหนึ่ง เอกชัยนั่งข้างๆ มีเด็กสองคนนั่งตักทั้งสองข้าง ส่วนโรสนั่งตักครูแดน อุ้มตุ๊กตาผมทองที่มัทนาซื้อมาฝากเอาไว้ด้วย
เด็กทุกคนตั้งใจฟังนิทานเรื่องโฉมงามกับเจ้าชายอสูรที่เขตต์ตวันเล่าอย่างสนุกสนาน
“ด้วยความรักที่หญิงสาวมอบให้ มันทำให้คำสาปทั้งหมดถูกทำลายไปจนหมดสิ้น”
มัทนาเดินมาที่โรงอาหาร เห็นภาพอบอุ่น ประทับใจ รีบหยิบกล้องออกมาจากเป้ทันที
“อสูรร้ายที่น่ากลัวได้กลับคืนร่างเป็นเจ้าชายรูปงามดังเดิม”
เด็กๆ ยิ้มดีใจไปอสูรร้าย มัทนาเดินถ่ายรูปมุมต่างๆไป อย่างรัว
“นับจากนี้ไม่มีเจ้าชายอสูรน่าเกลียดอีกต่อไปแล้ว มีเพียงเจ้าชายที่งดงามทั้งรูปกายและจิตใจ...ทั้งสองได้ครองคู่อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขตลอดกาล”
เอกชัยปรบมือนำ...ทุกคนปรบมือตาม เขตต์ตวันยิ้มแย้มให้กับเด็กทุกคน
มัทนาถ่ายภาพอบอุ่นต่อเนื่องอย่างไม่ให้พลาดซักช็อต เขตต์ตวันหันมามองทางมัทนาผ่านจอภาพดิจิตอล เธอเห็นเขตต์ตวันจ้องมาทางตนนิ่งๆ ก่อนจะยิ้มอบอุ่นให้
มัทนาค่อยๆ ลดกล้องลงมองตรงไปที่เขาแบบไม่ผ่านมุมมองจากกล้อง...ทั้งคู่มองหน้ากันแล้วยิ้มให้กันด้วยความรู้สึกดีๆ เอกชัยเหลือบตามองเห็นสายตาทั้งคู่ที่มองกันและยิ้มให้กันอยู่ เอกชัยแซวเพื่อน
“มีเจ้าชายรูปงามอีกคนก็กำลังจะเลิกใจยักษ์กะนักข่าวแล้ว”
เขตต์ตวันหันขวับมาจ้องหน้าเอกชัยที่ทำไม่รู้ไม่ชี้ ลุกขึ้นยืน
“ทานอาหารกันได้แล้ว ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้น”
เด็กๆ เฮลุกตามเอกชัยไปเข้าแถวรอรับอาหารกัน เขตต์ตวันรู้สึกเก้อเขินเล็กน้อย ไม่กล้ามองไปทางมัทนาอีก เขารีบลุกตามเด็กๆไป มัทนามองตามอย่างงงๆ เล็กน้อย
เวลาเย็น ทุกคนรวมทั้งหลวงพ่อจรูญด้วยมาส่ง เขตต์ตวัน มัทนาและเอกชัยที่ลานจอดรถ โรสมือข้างนึงกอดตุ๊กตาอีกข้างวกอดขามัทนาไม่ยอมปล่อย
“โรส ไม่เอา เย็นแล้ว ปล่อยโยมพี่เค้าก่อน โยมพี่เค้าต้องกลับบ้านแล้ว”
โรสได้ยินรึเปล่าไม่รู้ แต่ไม่ยอมปล่อยกอดขามัทนาแน่น มัทนาย่อตัวลงนั่งพูดด้วยดีๆ เธอพูดให้เด็กอ่านปากช้าๆ
“พี่อยู่กับโรสที่นี่ไม่ได้จริงๆ แต่พี่ให้สัญญาว่า จะกลับมาหาโรสอีกนะ”
โรสมองหน้ามัทนา คลายกอดลงบ้างเหมือนเข้าใจ
“พี่จะกลับมาจริงๆ พี่ไม่โกหกโรสหรอก”
มัทนาหอมแก้มโรสซ้ายขวาอย่างไม่รังเกียจ เขตต์ตวันมองเธอ สีหน้าแววตาชื่นชมประทับใจ
ครูแดนเข้าไปช่วยอุ้มโรส
“งั้นผมลากลับเลยนะครับหลวงพ่อ” เขตต์ตวันบอก
เอกชัยและมัทนาไหว้ลาหลวงพ่อตาม
“เออ ไปเถอะ เดี๋ยวจะมืดจะค่ำ ขับรถอย่าประมาทล่ะเจ้าตวัน”
“ครับหลวงพ่อ”
เด็กๆ บ๊ายบายส่ง ตวัน มัทนาและเอกชัย ทั้งสามคนบ๊ายบายตอบจนขึ้นรถขับออกไปด้วยสีหน้าอิ่มบุญมีความสุข
เขตต์ตวันขับรถไปตามถนนสวยงาม มีเอกชัยนั่งข้างๆ
“อ้าว จะไปไหนล่ะ ไม่ใช่ทางไปร้านนี่ไ เอกชัยบอก
เขตต์ตวันขับรถพร้อมตอบเสียงเรียบๆ
“พระอาทิตย์ใกล้ตกดินแล้ว แวะไปดูที่แหลมพรหมเทพก่อน”
มัทนาดีใจ
“ดีค่ะคุณปอน มัทเคยเห็นแต่ในภาพ ตั้งแต่มาอยู่ภูเก็ตยังไม่เคยไปเลย”
เอกชัยบอกขำๆ
“แหลมพรหมเทพต้องไปดูแบบสองต่อสองโว้ย ไปดูสามมันจะสวยอะไร”
“งั้นแกจะอยู่เฝ้ารถก็ได้ ฉันไม่ว่า”
“อ้าว เป่ากันซะงั้น”
มัทนาแอบขำๆ ก่อนจะเหลือบเห็นสายตาของเขตต์ตวันที่จ้องมองตนผ่านกระจกส่องหลัง สายตานิ่งๆ เดาอารมณ์ไม่ถูก จนเธอขำค้างไปกลายเป็นเจื่อน วางหน้าไม่ถูกเล็กน้อย
เขตต์ตวันละสายตากลับไปมองถนนแล้วขับรถไปด้วยหน้าตาเฉยๆ มัทนารู้สึกใจเต้นตูมตามแปลกๆ อย่างบอกไม่ถูก รีบหันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง เขินๆ แต่ก็แอบเหล่ๆมองไปที่กระจกส่องหลังอีกครั้งอย่างกล้าๆกลัวๆ
เขตต์ตวันเดินนำมัทนาและเอกชัยลัดเลาะไปหามุมปลอดคนเพื่อนั่งดูพระอาทิตย์ตกดินที่แหลมพรหมเทพ ขณะเดินก็ผ่านเด็กสาววัยรุ่น 2 คน ทั้งคู่เหมือนจำเขตต์ตวันได้ ต่างสะกิดให้กันดู แล้วมองตามไป
เขตต์ตวันพามัทนาและเอกชัยมาถึงมุมสงบนั่งชมพระอาทิตย์ตกดิน มัทนายิ้มปลาบปลื้ม
“สวยจังเลยค่ะ”
เอกชัยผายมือ
“จับจองที่นั่งตามอัธยาศัยเลยครับ นั่งก่อนได้ก่อน”
มัทนาขำๆ เดินนำไปนั่งก่อนใครเพื่อน ทอดสายตามองพระอาทิตย์กำลังตกดินที่ขอบน้ำทะเล ด้วยสายตาปลาบปลื้ม เขตต์ตวันและเอกชัยนั่งขนาบมัทนาคนละข้าง มัทนายิ้มแย้มหันพูดกับเขตต์ตวัน
“มายาตวันของคุณ”
เขายิ้มทอดสายตามองพระอาทิตย์ตกดินไปอย่างชื่นชม
“ครับ”
เอกชัยเหล่มองอย่างงงๆ ว่าทั้งคู่คุยอะไรกัน
“ไม่ถ่ายรูปเก็บไว้เหรอะ”
มัทนานึกได้ รีบหยิบกล้องออกมาจากเป้ ตั้งกล้องเล็งถ่ายภาพไป
“จริงด้วยค่ะ สวยจนลืมไปเลย”
เขตต์ตวันขยับมามองที่จอภาพดิจิตอลของกล้องมัทนา เอกชัยเหล่มองทั้งคู่ รู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนเกินชอบกล...จึงได้แต่อมยิ้มบางๆ แล้วค่อยๆ ขยับตัวออกไปนั่งห่างออกมา
ทั้งสองคนก็ไม่ทันได้สังเกต เขตต์ตวันก็ชี้ชวนให้มัทนาถ่ายรูปไปอีกมุม
มัทนาก็ขยับตัวไปถ่ายรูป เขตต์ตวันก็ขยับตัวมาดูมุมภาพจากจอภาพ ทั้งคู่ใกล้ชิดกันมากราวกับคู่รักอย่างไม่ได้ตั้งใจ เอกชัยลุกเดินมาหยุดมองห่างๆ แล้วยิ้มพอใจ แอบเปิดทางให้ เดินเลี่ยงนำกลับไปก่อนเงียบๆ
มัทนาสีหน้าอ้อนๆ บอก
“อยากถ่ายรูปคุณปอนกับบรรยากาศตะวันตกดินที่คุณชอบจังเลย จะได้ใช้ประกอบคำสัมภาษณ์ของหลวงพ่อ”
เขตต์ตวันยิ้ม
“เอาคำสัมภาษณ์ของหลวงพ่อมาแอบอ้างเลยนะ”
“แล้วได้ผลมั้ยคะ”
“ฉันก็ไม่เคยมีภาพคู่กับนายตะวันคนนั้นเหมือนกัน”
“งั้นมุมนี้เลยค่ะ”
เขตต์ตวันยอมไปนั่งมุมโขดหินให้เห็นพระอาทิตย์ดวงโตกำลังตกน้ำ มัทนาเล็งกล้องอย่างตั้งใจให้ได้ภาพออกมาดีที่สุด
“ภาพนี้บรรยายใต้ภาพว่า ทู ซันส์ ดีมั้ยคะ”
เขตต์ตวันยิ้มปนขำๆ สบายๆออกมา
มัทนาแชะภาพนี้ได้ทัน เขตต์ตวันดูเป็นธรรมชาติและมีเสน่ห์
“เท่ที่สุดเลยค่ะ”
“เธอมานี่สิ”
มัทนามองหน้าเขตต์ตวันอย่างงงๆ
“มาสิ”
มัทนายิ้มแย้ม ลุกเดินมาหา
“จะถ่ายรูปให้ฉันด้วยเหรอคะ ขอบคุณมากค่ะ”
“เอากล้องมา นั่งลง”
มัทนาส่งกล้องให้เขตต์ตวันแล้วนั่งลงที่ก้อนหินข้างๆ เขตต์ตวันกลับพลิกกล้องแล้วยื่นออกห่างตัว ก่อนจะขยับตัวชิดกับมัทนา โอบบ่ามัทนาเอาไว้หน้าตาเฉย มัทนาอึ้งๆไปเล็กน้อย นึกไม่ถึง
“ฉันอยากเก็บภาพนักข่าวตัวแสบที่ตื้อจนฉันยอมแพ้เอาไว้เหมือนกัน”
มัทนาอดขำๆ ออกมาไม่ได้ ตวันก็ยิ้มแย้มพร้อมกดชัตเตอร์ ภาพคู่ของทั้งสองเห็นพระอาทิตย์ตกดิน พอดี ช่างเป็นภาพที่สวยงามลงตัวทีเดียว
เขตต์ตวันและมัทนาเดินกลับมาตามทางที่เดินมา
“รูปเมื่อกี้ห้ามตีพิมพ์เข้าใจมั้ย”
“ฉันรู้หรอกน่ะ กลัวโดนแฟนคลับคุณมาดักตีที่สำนักพิมพ์”
“ไม่มีเหลือแล้วล่ะ... ไม่ให้ตีพิมพ์ แต่ฉันอยากได้นะ”
“ไม่ต้องห่วงค่ะ กลับไปโรงแรมเมื่อไหร่ ฉันจะอัดภาพมาให้คุณพรู๊ฟ ก่อนเลย...”
เจตตฺตวันกวาดตามองหา
“คุณเอกหายไปไหนเนี่ย”
สาววัยรุ่นกลุ่มใหญ่เข้ามาล้อมหน้าล้อมหลังเขตต์ตวันแบบไม่ให้ทันตั้งตัว
“ขอถ่ายรูปด้วยได้มั้ยคะ”
เขตต์ตวันยิ้มแย้ม ปฏิเสธอย่างนุ่มนวล
“อย่าดีกว่าครับ ผมไม่ได้แสดงหนังแล้ว”
วัยรุ่นสาวอ้อนวอน
“นะคะ รูปเดียวก็ยังดีค่ะ อยากเก็บไว้เป็นที่ระลึก”
เขตต์ตวันลังเล มัทนาลุ้นๆ ไม่แพ้เด็กสาวๆ
“ก็ได้ครับ”
วัยรุ่นสาวๆ เฮดีใจกันยกใหญ่
“แต่อย่าถ่ายมากนักนะครับ ผมเขิน”
เรียกเสียงหัวเราะครืนใหญ่ สาวๆวัยรุ่นมาล้อมรอบเขตต์ตวัน ผลัดกันเป็นคนถ่ายรูป มัทนาเห็นเป็นภาพที่น่ารักดีก็เลยยกกล้องขึ้นเก็บภาพไว้ด้วย มัทนาถ่ายภาพไปพร้อมพูดชื่นชม
“พระเอกเรายังป๊อปปูล่าเหมือนเดิม”
“ขอบคุณค่ะ”
เด็กสาววัยรุ่นยกมือไหว้ตวันแล้วพาเดินกันไปดูรูปที่ถ่ายมา เสียงวัยรุ่นชายเมาๆ ดังขัดความชื่นมื่นขึ้นมา
“เฮ้ยๆ ต้องหนีบตากล้องสาวประจำตัวมาด้วยโว้ย”
มัทนาและเขตต์ตวันหันมองมองวัยรุ่นชาย 3-4 คน ที่มีอาการมึนเมาแล้วเมาปากดี
วัยรุ่นชายคนที่สองเสียงเมาอ้อแอ้บอก แหม
“ก็ช่างภาพใสกิ๊กขนาดเนี้ย เป็นกูก็ไม่ยอมให้ห่าง จะหนีบไว้ให้แน่นเลยโว้ย”
วัยรุ่นชายเฮฮากิ๊วก๊าวกันยกใหญ่ เขตต์ตวันปรี่จะเข้ามาเล่นงานวัยรุ่นชายปากเสีย พวกวัยรุ่นถอยห่างไปเหมือนกัน มัทนารีบเดินเข้าไปขวางเขตต์ตวันเอาไว้
“อย่ามีเรื่องเลยค่ะ”
เขตต์ตวันยังมีสีหน้าโกรธ ไม่พอใจแทนมัทนา
“เดี๋ยวเป็นเรื่องใหญ่นะคะ ถ้าขึ้นโรงพัก คุณต้องเป็นข่าวหน้าหนึ่งแน่ๆ จะเอายังงั้นเหรอคะ”
เขตต์ตวันจ้องไปที่วัยรุ่นสีหน้าด้วยแววตาดุดันพร้อมๆ กับโดนมัทนาลากไป วัยรุ่นขี้เมาเห็นทั้งคู่ไปเลยทำเก่งโห่ฮากันสนุกสนานไป
มัทนาลากเขตต์ตวันมาสงบสติอารมณ์ที่มุมสวย แต่เจ็บใจไม่หาย
“เธอมาห้ามฉันทำไม น่าจะดีใจนะ ถ้ามีเรื่องขึ้นโรงพัก พวกนักข่าวอย่างเธอจะได้ไม่ว่างงานไงล่ะ”
มัทนาทำหน้าเฉย ไม่เต้นเร่าไปด้วย รู้ว่าเขากำลังหัวเสียเลยพาลประชด เขตต์ตวันถอนใจเดินไปทอดสายตามองวิวไกลๆ สงบสติอารมณ์ มัทนารอจังหวะเล็กน้อยก่อนเดินเข้าไปหา
“ใจเย็นขึ้นรึยังคะ”
“เธอไม่โกรธเหรอ ไอ้พวกปากเสียมันพูดถึงเธอเสียๆหายๆ”
มัทนายิ้มแย้มออกมา
“ขอบคุณมากนะคะที่คิดจะปกป้องฉัน แต่ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฉันไม่โกรธ”
เขตต์ตวันแปลกใจหันมามองหน้ามัทนา
“ที่จริงก็โกรธนิดหน่อย แต่ไม่ถึงกับเลือดขึ้นหน้า”
“ทำไม”
“มันไม่คุ้มกันหรอกค่ะถ้าจะไปมีเรื่องกับคนพวกนั้น เค้ายังเด็ก เมาด้วย ก็เลยคะนองปาก แล้วพวกนั้นก็มีตั้งหลายคน คุณคนเดียวจัดการไม่ไหวหรอกค่ะ ถ้าเกิดมีอาวุธมาด้วย ยิ่งไม่คุ้มเสีย คนเมาทำอะไรได้ทั้งนั้น อย่าว่าแต่แซวเลยค่ะ ตีกันตายยังไม่รู้สึกเลย”
เขตต์ตวันฟังมัทนาแล้วถอนใจออกมา เขาดูผ่อนคลายขึ้น
“แม่ฉันสอนเสมอว่าจะทำอะไร ตั้งสติให้ดีก่อน คิดหาทางหนีทีไล่ ไม่ใช่ทำตามอารมณ์”
เขตต์ตวันยิ้มๆ พูดกระเซ้า
“ขี้ขลาด”
“ไม่ใช่ค่ะ ฉลาดใช้ชีวิตตะหาก สมัยนี้คนบ้าเยอะ เรื่องอะไรจะเอาชีวิตเราไปเสี่ยงกับคนไร้สติแค่ไม่กี่คน”
“โอเค คราวหน้าฉันจะลองใช้หลักการของแม่เธอดูบ้าง”
เขตต์ตวันกอดอกมองหน้ามัทนา
“เธอเป็นผู้หญิงที่แปลกจริงๆ นะมัทนา ผู้หญิงที่ฉันเจอส่วนมากมักทำก่อนคิดเสมอ ไม่มีใครมานั่งนึกถึงเหตุถึงผลอย่างเธอหรอก”
มัทนาแขวะกลับ
“ผู้หญิงทั้งโลกไม่เหมือนกับนางแบบที่คุณเคย...”
มัทนาหยุดเล็กน้อย เขตต์ตวันจ้องหน้า เธอกลืนคำที่อยากพูดลงคอไป ก่อนพลิกลิ้น
“รู้จัก ไปทั้งหมดหรอกนะคะ อ๊ะ อย่าบอกนะคะว่าคุณรู้จักผู้หญิงดีทั้งโลก”
เขตต์ตวันหัวเราะออกมาเบาๆ
“เมื่อก่อนฉันก็คิดว่าฉันรู้จักผู้หญิงดีนะ แต่ช่วงที่ผ่านมานี่ ทำให้ฉันเปลี่ยนใจแล้ว”
เขากลั้นขำเอาไว้ เธอลอยหน้าลอยตาทำไม่รู้ไม่ชี้
“ดีค่ะ งั้นเรารีบกลับไปรถกันเถอะ เดี๋ยวคุณนกแก้วจะตามมาบ่นให้ยุ่งกันอีก”
มัทนาเดินนำกลับไปก่อน เขตต์ตวันยิ้มๆ เอ็นดูก่อนจะเดินตามไป
“จำทางได้เหรอะ เดี๋ยวได้หลงทิศจนได้”
มายาตวัน ตอนที่ 6 (ต่อ)
ภายในร้านอาหาร เวลาต่อมา บริกรสาวแจกเมนูกับทุกคนในโต๊ะแล้วล่าถอยไป เอกชัยมองตามบริกรสาวไป
“ร้านนี้โอเคนะ”
มัทนากระเซ้าถาม
“บริกรสวยเหรอคะ”
“ไม่ใช่ มารยาทเค้าดี ไม่ใช่แจกเมนูแล้วมายืนจ่อจ้องจะจดออเดอร์ซะเดี๋ยวนั้น ให้เรามีเวลาได้ดื่มด่ำเลือกอาหารหน่อยสิ”
“ที่เค้ารีบเดินไปเพราะรำคาญที่แกไปจ้องเค้าตาไม่กระพริบมากกว่า”
เอกชัยเหล่เพื่อนเล็กน้อย มัทนาขำเบาๆก่อนพูด
“มื้อนี้ฉันขอเป็นเจ้ามือเองนะคะ”
ทั้งเอกชัยและเขตต์ตวันละสายตาจากเมนูมามองหน้ามัทนา
“ไม่ได้หรอก ทานอาหารแล้วให้ผู้หญิงจ่าย รู้ไปถึงไหนอายไปถึงนั่น”
“โบราณไปแล้วล่ะค่ะ เดี๋ยวนี้ชายหญิงเท่าเทียมกัน แล้วคุณก็ทำอาหารเลี้ยงฉันมาไม่รู้กี่มื้อแล้ว ไหนจะค่ารักษา ค่าพยาบาลพิเศษอีก ฉันอยากเลี้ยงขอบคุณน่ะค่ะ”
“แต่ฉันยังล้าสมัยอยู่ซะด้วยสิ งั้นถือซะว่ามื้อนี้เราสองคนเลี้ยงฉลองให้เธอก็แล้วกัน”
มัทนางงๆ
“เลี้ยงฉลองเรื่องอะไรคะ”
“เมื่อเช้าฉันโทรไปหาหมอเสริม หมอบอกว่าเธอหายป่วยสนิทแล้ว กลับไปโรงแรมได้”
มัทนาดูอึ้ง ตกใจผสมใจหาย มากกว่าดีใจ
“อ้าว ไม่ดีใจเหรอะ”
มัทนารีบปั้นยิ้มบอก
“ดีใจค่ะ”
“พรุ่งนี้ยังอยากสัมภาษณ์อะไรฉันก็สัมภาษณ์ซะให้หมด เธอจะได้กลับบ้านกลับช่องที่กรุงเทพซะที”
มัทนาวูบวาบแอบน้ำตารื้นขึ้นมา รีบก้มหน้าลง เอกชัยพูดขัดขึ้นพอดี
“วันนี้นึกครึ้มดริ๊งกันหน่อยมั้ยปอน”
“ใครจะขับรถ เดี๋ยวได้ค้างที่นี่กันหมดหรอก”
“ตามใจ ดริ๊งคนเดียวก็ได้”
เอกชัยหันมองมัทนา
“มัท อยากทานอะไรสั่งเต็มที่เลย”
มัทนาเหมือนหูอื้อ ตาพร่า จมอยู่กับความคิดของตัวเอง
มัทนาเหมือนถูกผลักตกสระน้ำตูมสนั่นแล้วร่างดำดิ่งลงสู่ใต้สระ เสียงความคิดสับสนในใจของมัทนาดังก้องตลอดเวลา
“เราเป็นอะไรไป ทำไมใจมันเบาหวิว เหมือนจะขาดซะให้ได้”
มัทนาส่ายหน้าปฏิเสธใจตัวเองอยู่ใต้น้ำ เสียงความคิดมัทนาต่อต้าน
“ไม่จริง มันต้องไม่ใช่”
มัทนาแหวกว่ายน้ำเหมือนหนีความรู้สึกตัวเอง
“เสร็จงานก็กลับไม่ต้องเจอกันอีก ก็เท่านั้น มันไม่ใช่ความรัก ความรักต้องพัฒนาจากเพื่อน เรียนรู้กันก่อนจะเกิดความรู้สึกลึกซึ้ง ไม่ใช่ มันต้องไม่ใช่”
มัทนาจะหมดลมในปอด แหวกว่ายขึ้นสู่ผิวน้ำพร้อมส่ายหน้าปฏิเสธอยู่ไปมา
“เวลาแค่ไม่กี่อาทิตย์ ฉันไม่มีทางรักใครได้หรอก”
“สาวน้อย”
มัทนามีอาการทะลึ่งพรวดพ้นจากเมนูเหมือนสูดอากาศเฮือกให้เต็มปอด ก่อนจะมีสีหน้าอาการตกใจ หน้าเหวอๆ ยังปรับสีหน้าไม่ทัน
“เป็นอะไรไป หน้าซีดๆ” เขตต์ตวันถาม
มัทนาฝืนยิ้มแหยๆ
“หิวมั้งคะ”
“งั้นก็สั่งเลย”
เอกชัยหันไปยกมือเรียกบริกร เขตต์ตวันเปิดเมนูเลือกรายการอาหาร มัทนาแอบลอบมองเขาอยู่เงียบๆ เหมือนอยากจดจำภาพเค้าไว้ให้มากที่สุดก่อนจะหมดโอกาส
เอกชัยเมาหลับอยู่หลังรถตอนเดินทางกลับเมื่อตอนหัวค่ำ หน้ารถเขตต์ตวันขับรถนั่งคู่กับมัทนา
มัทนาหันกลับมาบอกเขตต์ตวัน
“คุณเอกหลับไปแล้วค่ะ”
“ดีแล้วล่ะ คืนนี้จะได้ทำงานได้ดึกๆ”
“กลัวจะหลับยันเช้าน่ะสิคะ”
เขตต์ตวันยิ้มขณะขับรถไป
“มีอะไรจะสัมภาษณ์ฉันตอนนี้ก็ถามมาได้เลยนะ”
“ก็ดีค่ะ”
มัทนาฉวยเป้ที่วางไว้กับพื้นรถขึ้นมาหยิบเครื่องอัดพร้อมทำงาน เขตต์ตวันเหล่มอง
“เธอนี่มืออาชีพจริงๆ นะ พร้อมทำงานทุกที่ทุกสถานการณ์”
“ได้แหล่งข่าวระดับนี้ ไม่พร้อมทุกวินาทีได้ยังไงล่ะคะ”
“มีอะไรก็ว่ามา”
“มีอะไรไหมคะที่คุณไม่อยากให้ฉันถามถึง เอ่อ ฉันหมายถึงเรื่องที่คุณไม่อยากเปิดเผยน่ะค่ะ”
เขตต์ตวันหน้าขรึมลง ก่อนจะเปิดไฟขอทางแล้วปาดรถเพื่อไปจอดยังสถานที่หนึ่ง เขตต์ตวันเดินนำลงจากรถไปที่ข้างทางสวยงาม มัทนารีบเก็บเครื่องอัดสัมภาษณ์ลงจากรถตามตวันไป ทิ้งให้เอกชัยนอนหลับอยู่ในรถคนเดียว
“มีสองเรื่อง เธอจะรับปากได้มั้ย”
มัทนารับปากทันที
“ได้ค่ะ เรื่องอะไรบ้างคะ”
เขตต์ตวันหันมองหน้ามัทนา
“ข้อแรก เรื่องแม่กับน้องสาวของฉัน เค้าตายไปแล้วทั้งคู่ ฉันไม่อยากเห็นพวกเค้าต้องตกเป็นขี้ปากของใครอีก”
“ได้ค่ะ ฉันรับปาก”
“ส่วนข้อสอง คดีเมื่อสองปีก่อน ฉันไม่อยากให้มีการขุดคุ้ยขึ้นมาอีก”
“ทำไมคะ”
“ฉันไม่มีอะไรจะพูดถึงมัน”
“ไม่แม้แต่จะยืนยันความบริสุทธิ์ของคุณเหรอคะ”
เขตต์ตวันหน้านิ่ง เสียงแข็ง
“ศาลตัดสินแล้วว่าฉันเป็นผู้บริสุทธิ์ และความจริงมันก็เป็นอย่างนั้น”
มัทนาเห็นแววเคือง แต่อยากรู้จึงซักต่อ
“คดีนี้ยังหาตัวฆาตกรไม่ได้ใช่มั้ยคะ”
เขตต์ตวันจ้องหน้า โกรธขึ้งขึ้นมาทันที
“ทำไม คิดว่าฉันเป็นคนฆ่ารึไง ถึงฉันจะเลว จะชั่วยังไง ก็ไม่ถึงขนาดไอ้สัตว์นรกตัวนั้นหรอก มันทรมานทุบตีผู้หญิงไม่มีทางสู้จนตายคามือได้ลงคอ”
มัทนาเสียงแข็งขึ้นมาบ้าง จ้องหน้ากลับ
“ฉันไม่ได้พูดว่าคุณเป็นคนฆ่าซักคำ จะบอกให้นะคะ ถ้าฉันคิดว่าคุณเป็นฆาตกรตัวจริง คงไม่กล้าเข้าไปอยู่บ้านคุณหรอกค่ะ ฉันก็รักตัวกลัวตายเหมือนกัน”
เขตต์ตวันถอนใจยาวออกมา รู้ว่าเหตุการณ์ร้ายครั้งนั้นทำให้เขาเกิดบันดาลโทสะขึ้นมาอีก เขาเดินไปยืนล้วงกระเป๋าหันหลังให้มัทนา
เธอมองตามลุ้นๆ ว่า เขตต์ตวันจะโกรธเธอรึเปล่า เขาพูดลอยๆขึ้นมา
“ฉันรู้จักยุพินได้ไม่นาน เธอเป็นคนดี”
มัทนาดีใจที่เขายอมพูดเรื่องนี้ เธอรีบเดินตามไปฟังใกล้ๆ เขตต์ตวันเล่าด้วยสีหน้าสงสาร
“บ้านเธออยู่ลำปาง พ่อแม่ขายให้นายหน้าเข้าซ่องตั้งแต่อายุ 13”
มัทนาตกใจ
“อายุ 13 เองเหรอคะ”
เขตต์ตวันพยักหน้ารับ
“จากมาเลย์ไปหาดใหญ่ เข้ากรุงเทพไปอุดร ท้ายสุดถูกส่งไปญี่ปุ่น”
เขามีสีหน้าแววตาเกลียดชังขึ้นมาทันที มัทนาสีหน้าเศร้าๆ เห็นใจยุพิน
“น่าสงสารจังเลยนะคะ”
เขตต์ตวันหันมามองหน้ามัทนา
“พอยุพินกลับมาเมืองไทย ฉันก็ได้พบกับเธอตอนนั้น”
สีหน้าของเขาย้อนคิดถึงเหตุการณ์ครั้งก่อน
ในอดีตเมื่อหลายปีก่อน เย็นวันหนึ่ง เขตต์ตวันเดินดูโน้ตในมือเพื่อหาที่อยู่ของร้านหนึ่งเพื่อสมัครงาน เขาเดินมาถึงย่านห้องแถว ไม่รู้ตัวว่ามีนักเลงเดินตามหลังมาห่างๆ เขาดีใจที่เจอห้องแถวตรงกับที่อยู่ที่ตนได้มา
เขตต์ตวันพูดผ่านช่องประตูเข้าไป
“สวัสดีครับ ผมมาสมัครงานครับ”
ภายในห้องแถว...มีนักเลงถือไม้กระชับมือ ดักฟาดเขตต์ตวันอยู่ข้างใน
“สวัสดีครับ มีคนอยู่มั้ยครับ”
นักเลงคนหนึ่งบอก
“เข้ามาเลย”
นักเลงอีกคนที่เดินตามมา รอจังหวะที่เขาเปิดประตูห้องแถวแล้วจะโดดถีบหลัง ยุพินที่หลบมองอยู่อีกฝั่ง มองอย่างสงสารและอดช่วยไม่ได้
“คุณ ระวัง”
เขตต์ตวันหันมองเลยหลบถีบนักเลงอีกคนได้ทัน นักเลงคนนั้นพลาดถีบประตูห้องแถวโครมใหญ่
นักเลงทั้งหมดออกมาจากห้องแถว เตรียมเล่นงานเขา
“ทางนี้...”
เขตต์ตวันวิ่งตามยุพินไป นักเลงวิ่งไล่กวดตามไป ยุพินรู้ทางหนีทีไล่ดีกว่า พาเขาลัดเลาะหลบได้ทันตลอด
“ยุพินช่วยเหลือฉันเอาไว้ ฉันถือว่าเธอเป็นผู้มีพระคุณ ฉันไม่สนใจว่าอดีตเธอจะเป็นยังไง ฉันรู้แต่ว่าเธอเป็นคนที่น่านับถือมากที่สุดคนนึง”
เขตต์ตวันและยุพินหนีมาหลบอยู่ในตรอกซอกซอยแห่งหนึ่งยามมืด นั่งกินน้ำกินข้าวกันอยู่อย่างรีบร้อนและหิวโหย นักเลงวิ่งไล่ล่าตามมาเจอ ทั้งคู่ทิ้งน้ำและอาหารกระจายวิ่งหนีเตลิดต่อไป
“ฉันรักในน้ำใจของเธอ เพราะความที่เธอช่วยฉันทำให้เธอถูกตามล่าจนต้องหนีหัวซุกหัวซุน”
ยุพินเดินนำเขตต์ตวันมาที่ท่าเรือ ตั้งท่าจะลงเรือก่อนหันมาเรียก
“เร็วค่ะคุณตวัน”
“เดี๋ยวยุพิน”
ยุพินหันไปมอง
“เราแยกกันตรงนี้ดีกว่านะ”
ยุพินตกใจเล็กน้อย
“คือผมเป็นห่วงน้องสาว น้องไม่ค่อยสบาย ผมไม่อยากหนีไปไหนแล้ว”
เขตต์ตวันสีหน้าเป็นกังวลใจมาก ยุพินถอนใจออกมาเห็นใจ
“ฉันเข้าใจ งั้นเราแยกกันตรงนี้ก็ได้”
“ขอบคุณคุณมากนะที่ช่วยผม คุณเลยต้องเดือดร้อนไปด้วย ผมจะไม่มีวันลืมบุญคุณคุณเลย”
ยุพินยิ้มแย้ม
“ไม่เป็นไรหรอก พวกมันไม่ใช่คนดี ฉันไม่อยากเห็นใครโดนพวกมันรุมรังแกเหมือนที่ฉันเคยโดน”
“คุณมีเบอร์โทรผมแล้ว เดือดร้อนอะไร โทรหาผมได้ตลอดเวลา”
“ค่ะ โชคดีค่ะ”
“เช่นกันครับ”
ยุพินรีบลงเรือไป ขณะที่ตวันรีบวิ่งหนีกลับออกไปจากท่าเรืออย่างเร็ว
“หลังจากนั้นไม่นานฉันก็ได้แสดงหนัง” เขตต์ตวันบอกมัทนา
ในอดีต … บนเวที พิธีกรชาย-หญิง กำลังประกาศรางวัล
“ตอนนี้ผลอยู่ในมือดิฉันแล้วนะคะ ตื่นเต้นจังเลย... รางวัลนี้ ดิฉันขอประกาศเองนะคะ ดารานำฝ่ายชายยอดเยี่ยมประจำปีนี้ได้แก่... จากภาพยนตร์เรื่องมายา...คุณเขตต์ตวัน”
เขตต์ตะวันยิ้มแย้มดีใจชูรางวัลให้ช่างภาพเก็บภาพ
“ได้ถ่ายโฆษณา เลี้ยงชีวิต”
เขตต์ตวันได้โฆษณา Perfect เฟอร์นิเจอร์
“ฉันเกลียดมัน แต่ก็เป็นทางเดียวที่จะหาเงินได้มากๆ แล้วมันก็มากพอที่ฉันจะทำอะไรตามความหวังได้” เขตต์ตวันบอก
ภายในคอนโดฯ เขตต์ตวันแต่งตัวหล่อ ดูดี มีออร่าสมกับเป็นดาราแล้ว นั่งอ่านบทหนังอยู่ที่โซฟารับแขก
“ฉันเป็นดาราได้ซักปีนึง ยุพินก็มาหาฉันที่คอนโด”
โทรศัพท์มือถือของเขตต์ตวันดังขัดขึ้น เขาดูเบอร์โชว์ ตื่นเต้นมากรีบร้อนรับสายทันที
“ยุพิน เป็นยังไงมั่ง ผมพยายามติดต่อไปหาไม่เคยรับสายเลย”
“ฉันอยู่ที่ล็อบบี้ พนักงานไม่ยอมให้ฉันขึ้นไปพบคุณ”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมจะลงไปหาคุณเดี๋ยวนี้เลย รอแป๊บเดียว”
เขตต์ตวันรีบร้อนหยิบของใช้จำเป็นเช่นกระเป๋าสตางค์ กุญแจโน่นนี่แล้วรีบออกไปจากห้อง
เขตต์ตวันลงมาที่ล็อบบี้คอนโดฯกวาดตามองหายุพิน
“คุณตวัน”
เขตต์ตวันหันไปมองยุพิน ตกใจมากกับภาพตรงหน้า
“ยุพินเปลี่ยนไปมาก ซูบผอม ดูแก่ขึ้นซัก 10 ปี เสื้อผ้าที่ใส่ก็เก่าขาด ฉันแทบจำไม่ได้”
เขตต์ตวันพายุพินเข้ามาในห้องอพาร์ทเมนท์เล็กๆ แห่งหนึ่ง แม้จะเล็ก แต่ก็ดูสะอาดสะอ้าน ยุพินเดินเข้ามากวาดตามองดูห้องพัก สีหน้าพึงพอใจ
“ห้องเล็กไปหน่อย แต่อยู่สบาย เหมาะกับการซ่อนตัวนะ” เขตต์ตวันบอก
ยุพินมีสีหน้าซึ้งใจ ยกมือไหว้ น้ำตาคลอ
“ไม่เล็กหรอกค่ะ ใหญ่เกินไปสำหรับอยู่คนเดียวด้วยซ้ำ ขอบคุณมากนะคะคุณตวัน”
เขตต์ตวันยกมือรับไหว้
“ด้วยความเต็มใจครับ ผมอยากจะช่วยคุณมากกว่านี้ด้วยซ้ำ”
“แค่นี้ก็ดีจนไม่รู้จะดียังไงแล้วค่ะ”
ยุพินน้ำตาไหล จะยกมือไหว้เขตต์ตวันอีก เขาต้องรีบจับเอาไว้แทบไม่ทัน
“ฉันดูแลส่งเสียยุพินตลอดหนึ่งปี คิดว่าเธอจะปลอดภัย แต่ไอ้สัตว์นรก มันไม่ยอมปล่อยเธอ”
เขตต์ตวันน้ำเสียงเจ็บแค้นบอกมัทนา
ภายในคอนโดฯ เขตต์ตวันกำลังคุยโทรศัพท์มือถืออยู่ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด โกรธจัด ไม่พอใจมาก
“ทำแบบนี้ได้ยังไง”
ผู้จัดการส่วนตัวบอก
“แต่มันจำเป็น พี่ต้องรักษาชื่อเสียงของตวัน ผู้หญิงคนนั้นสมควรจะเสียสละ เสียชื่อเพื่อตวันบ้าง ดูดเงินจากตวันไปเท่าไหร่แล้ว”
“รีบไปแก้ข่าวเดี๋ยวนี้เลย” เขตต์ตวันฟังก่อนตอบด้วยความไม่พอใจมาก
“ผมไม่สน ...พูดไม่เข้าใจรึไง”
“พี่ไม่รับปากนะ จะทำเท่าที่ทำได้” ผู้จัดการส่วนตัวกดตัดสายไป
“ฮัลโหล ฮัลโหล...”
เขตต์ตวันหงุดหงิด โกรธจัด เตะโซฟาดังโครมอย่างฉุนเฉียว
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขัดขึ้นมาอีก เขตต์ตวันยกโทรศัพท์ขึ้นมาดูอย่างหัวเสีย เห็นชื่อ “ยุพิน” จึงกดรับสายคุยโทรศัพท์ เสียงยังแข็งปรับอารมณ์ไม่ทัน
“มีอะไรครับ”
เสียงยุพินกรีดร้องอย่างเจ็บปวด เขตต์ตวันมีสีหน้าตกใจมาก
“ยุพินเป็นอะไร”
เชษฐ์ส่งเสียงหัวเราะเยาะอย่างสาแก่ใจเหมือนคนมีอาการทางจิต
“ฮัลโหล ฮัลโหล...”
โทรศัพท์ถูกตัดสายทิ้ง เขตต์ตวันร้อนใจ เป็นห่วงมากรีบเดินเร็วไปเปิดตู้เสื้อผ้า...
เขตต์ตวันรีบร้อนเปิดประตูห้องพักยุพินเข้ามา ตกใจแทบช็อกเมื่อเห็นยุพินถูกซ้อมปางตาย
นอนอยู่บนเตียง หน้าตาแตกยับดูไม่ได้ เนื้อตัวเขียวช้ำ ตาเหลือกโพลง หายใจอ่อนแรง
เขตต์ตวันรีบเข้าไปจับตัว
“ยุพิน เป็นอะไร ใครทำร้ายคุณ”
ยุพินไม่มีแรงจะพูดแล้ว ขยับปากไม่ไหวจ้องตาเขตต์ตวันนิ่ง
“ฉันจะพาไปโรงพยาบาล”
เขตต์ตวันจะเข้าไปประคอง ยุพินพยายามรวมแรงเฮือกสุดท้าย ชี้นิ้วบอกไปที่ใต้หมอน เขตต์ตวันมองอย่างงงๆ
“อะไรเหรอยุพิน จะบอกอะไรผม”
เขตต์ตวันล้วงมือไปใต้หมอนแล้วหยิบมีดเปื้อนเลือดออกมาจากใต้หมอน เขตต์ตวันมีสีหน้าตกใจ
ไม่คาดคิด ยุพินขาดใจตายคอพับไป
เขตต์ตวันสะดุ้งโหยงถอยตัวออกมาด้วยความตกใจ มองดูยุพินตายหน้าซีดเผือด พร้อมๆ กับ
มือถือมีดเปื้อนเลือดอยู่
ตำรวจกรูมาหน้าห้องแล้วถีบประตูห้องเปิดพังเข้ามา เขตต์ตวันหันไปมองด้วยสีหน้าตกใจ ในมือถือมีดเปื้อนเลือด มีศพยุพินนอนตายอยู่บนเตียง
ตำรวจเสียงดุ ดังสั่ง
“ยกมือขึ้น”
เขตต์ตวันตกใจรีบยกมือขึ้น
“โยนอาวุธมาข้างหน้า”
เขตต์ตวันทำตามอย่างว่าง่าย ตำรวจเข้ามาจับกุมตัวเขตต์ตวันทันที
หน้าตึกฝั่งตรงข้ามกับอพาร์ทเมนท์ของยุพิน ที่ห้องหนึ่งในระดับความสูงเดียวกันกับห้องยุพิน เชษฐ์ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ เชน นั่นเอง เชนใช้กล้องใช้ส่องทางไกลดูเหตุการณ์ทั้งหมด แล้วสะแหยะยิ้มแห่งความสะใจ
เขตต์ตวันเล่าถึงเหตุการณ์ดังกล่าวด้วยสีหน้าเจ็บปวด น้ำตารื้น
“ทั้งที่ฉันรับปากไว้แล้วว่าจะคุ้มครองเธอ แต่ฉันกลับทำไม่ได้”
“เธอไม่โกรธคุณหรอก ผู้หญิงจะไม่โทษ ไม่คิดร้ายกับคนที่เธอรักและไว้วางใจแน่นอนค่ะ”
เขตต์ตวันชำเลืองมองหน้ามัทนาเล็กน้อย
“ถ้าวิญญาณเธอยังอยู่ คงไม่มีความสุขที่เห็นคุณยังโทษตัวเองอยู่แบบนี้ เธอคงไม่ต้องการให้คนที่เธอนับถือเป็นทุกข์เพราะเธอเป็นต้นเหตุ”
เขตต์ตวันมองหน้ามัทนา คิดตามที่เธอพูด
“ทำใจให้สบายเถอะค่ะ จะได้ช่วยให้เธอสบายใจด้วย”
เขตต์ตวันไม่มั่นใจนัก
“ยุพินจะคิดอย่างที่เธอพูดจริงเหรอะ”
มัทนาพยักหน้ารับมั่นใจ
“ในฐานะผู้หญิงคนหนึ่ง ฉันคิดว่าอ่านใจเธอไม่ผิดหรอกค่ะ”
“ถ้ายุพินไม่ช่วยฉัน เธอก็คงไม่ต้องมาตายอย่างน่าอนาถแบบนั้น”
เขตต์ตวันถอนใจออกมา
“อย่าดูถูกผู้หญิงสิคะ เท่าที่ฟังคุณเล่า ฉันเดาว่าเธอคงเป็นผู้หญิงที่หนักแน่นมั่นคงพอสมควร ถึงได้เป็นคนดีทั้งๆที่คลุกอยู่กับสิ่งเลวๆ นับสิบปี ผู้หญิงอย่างเธอ ถ้าทำอะไรลงไปแล้วคงไม่เสียใจหรอกค่ะ”
เขตต์ตวันถอนใจยาวออกมา ก่อนจะพูดด้วยสายตาเจ็บแค้นใจแทนยุพิน
“ฉันเกลียดไอ้พวกหนังสือพิมพ์ มันขุดคุ้ยประวัติของยุพินขึ้นมา เธอตายไปแล้วก็ยังทำร้ายเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่า”
เขตต์ตวันน้ำเสียงแดกดันปนเจ็บช้ำ สีหน้าแววตาชิงชัง
“เมียลับเขตต์ตะวันมั่งล่ะ อดีตอีตัวชื่อดังมั่งล่ะ...ไอ้พวกผีเจาะปากมาพูด ฉันอยากจะหักคอให้ตายให้หมด”
มัทนาจ้องหน้า ซักต่อ
“คุณรู้ใช่มั้ยคะว่าใครเป็นคนฆ่าเธอ”
เขตต์ตวันเจ็บแค้นมาก
“ใช่ ฉันรู้อยู่เต็มอก แต่ทำอะไรมันไม่ได้ มันฉลาด มันทำลายหลักฐานทั้งหมด... รู้แล้วมีประโยชน์อะไร สู้ไม่รู้ซะดีกว่า ไม่ต้องมานั่งเจ็บใจอยู่ทุกวัน...คอยดูเถอะ สักวัน ฉันจะจัดการกับมันด้วยตัวเอง”
เขตต์ตวันเดินนำกลับไปขึ้นรถ
มัทนาตามไปถาม
“คุณบอกได้มั้ยว่าใครเป็นคนทำ”
“ไม่มีประโยชน์ อย่ารู้เลย เธอรู้เรื่องยังงี้แล้ว ยังจะไปเขียนลงหนังสืออีกมั้ย”
มัทนารีบตอบทันที
“ไม่ค่ะ ฉันให้สัญญา”
“ดี อย่าทำให้ฉันผิดหวังล่ะสาวน้อย”
เขตต์ตวันขู่ทีเล่นทีจริงว่า
“ไม่ยังงั้น รับรองว่าชีวิตของเธอไม่มีทางสงบจนกว่าจะตายแน่ ฉันให้สัญญา”
เขายิ้มให้มัทนาก่อนจะขึ้นรถปิดประตูโครมไป
แม้จะเป็นคำขู่ทีเล่นทีจริงแต่ก็น่ากลัวจนทำให้มัทนาสะท้าน ขนลุกซู่ไปทั้งตัว กลืนน้ำลายแทบ
ไม่ลงคอ ยืนนิ่งก้าวขาไม่ออกเลยทีเดียว เขตต์ตวันบีบแตรรถเร่ง
“มาแล้วค่ะ” มัทนารีบวิ่งไปขึ้นรถ
เขตต์ตวันขับรถกลับมาทางซอยเข้าบ้านเห็นรถตำรวจจอด มีผู้คนพลุกพล่าน เขาและมัทนาต่างรู้สึกแปลกใจ พร้อมๆ กับเอกชัยที่เพิ่งตื่นขึ้นมา หน้าตาตกใจกวาดตามอง
“เกิดอะไรขึ้นวะ”
มัทนาเพ่งมองไปที่บ้านเช่าที่ชายขี้ยาพัก มีเจ้าหน้าที่ขนศพคลุมผ้าออกมา
“มีคนตายด้วยค่ะ”
เขตต์ตวันรู้สึกไม่ค่อยสบายใจขึ้นมาแปลกๆ ขับรถเร็วขึ้นตรงไปที่บ้าน เปี๊ยกรีบเปิดประตูรั้วบ้านให้
เขาขับรถเลี้ยวเข้าไปจอดในบ้าน นายตำรวจรีบตามเข้ามาขวางก่อนเปี๊ยกจะปิดประตูรั้ว
“สวัสดีครับ ผมขอพบเจ้าของบ้านหน่อยครับ”
เปี๊ยกทำหน้าแหย มองไปทางตวัน ไม่รู้เจ้านายอยากพบมั้ย
“ข้างๆ บ้านมีเหตุฆาตกรรม ผมอยากจะถามอะไรซักหน่อย ไม่รบกวนเวลามากหรอกครับ”
เขตต์ตวันเดินตรงมาหาเจ้าหน้าที่ตำรวจ
“สวัสดีครับ มีปัญหาอะไรให้ผมช่วยครับคุณตำรวจ”
มัทนาและเอกชัยเดินตามมาด้วยความสงสัย
ตำรวจจำเขตต์ตวันได้ เขาทำความเคารพกริยาสุภาพ
“ขอรบกวนเวลาซักครู่นะครับ”
เขตต์ตวันหน้านิ่ง
“เชิญครับ”
เขตต์ตวันผายมือเชิญไปทางม้าสนาม ก่อนหันไปบอกมัทนา
“เธอขึ้นไปพักก่อน วันนี้เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว”
“ค่ะ” มัทนาเดินเลี่ยงไปทางตัวบ้าน สีหน้าเสียดายเพราะอยากรู้เรื่องตามวิสัยนักข่าว
เอกชัยและเขตต์ตวันเดินคุยกับตำรวจไปทางสนาม มัทนาเดินไปเข้าบ้านแต่ยังหันมองตามด้วยความอยากรู้
มัทนาเดินผ่านโถงบ้านไปขึ้นบันไดชั้นบนด้วยสีหน้าติดใจสงสัย เป็นจังหวะเดียวกับที่เยาะเดินถือถาดใส่น้ำเปล่าออกมาต้อนรับเจ้านาย ตกใจมากที่เห็นมัทนายังอยู่และเดินขึ้นชั้นบน
“อั๊ยย่ะ” เยาะตกใจ อุทาน
เยาะรีบยกมือปิดปาก ตกใจมาก เยาะค่อยๆ ย่องแอบมองตามที่บันได
“ใช่มันจริงๆ ด้วย ต้องสายด่วนคุณลิซ่า” เยาะรีบเอาถาดน้ำไปวาง แล้วหยิบโทรศัพท์กดโทรหาลลิสาทันที
มัทนาช่วยสาลินีจัดเตียงนอนของตนพร้อมซักถามไป
“ใครตายก็ไม่รู้นะคะ”
“ผู้ชายผอมๆ ที่บ้านเช่าก่อนถึงบ้านเรานี่ไงคะ” สาลินีบอก
“อ๋อ มัทก็เคยเจอค่ะ ผู้ชายไร้มารยาท”
“คนตายไปแล้ว อโหสิให้เค้าเถอะค่ะ”
มัทนาหน้าแหยไปเล็กน้อย ยกมือไหว้อย่างกลัวๆ
“ฉันอโหสิให้คุณค่ะ”
มัทนากวาดตามองซ้ายขวาเล็กน้อย เลือกที่จะอยู่ใกล้ๆ สาลินีเพื่อความอุ่นใจ
สาลินีถอนใจ
“คนสมัยนี้ใจร้ายนะคะ ปล้นแล้วยังฆ่าเจ้าทรัพย์อีก”
“แล้วเค้าตายยังไงคะ คุณสาลินีพอจะทราบมั้ย”
“ดิฉันเห็นสภาพศพแว๊บๆ นะคะ พวกคุณไม่อยู่บ้านก็เลยออกไปดู บอกเค้าว่าเป็นพยาบาล เลยได้เข้าไปช่วยอำนวยความสะดวกเล็กๆ น้อยๆ”
มัทนายิ้มถูกใจ
“เยี่ยมไปเลยค่ะ ตกลงตายยังไงคะ”
“เห็นตำรวจว่าโดนไม้ตีจนน่วมไปทั้งตัวเลยค่ะ ป้าเจ้าของบ้านเห็นไม่ออกมาซื้ออาหารสองวันก็เลยเอะใจ ไปเคาะประตูที่บ้านดูปรากฏว่าเป็นศพไปซะแล้ว”
มัทนารับฟังอย่างสนใจ
“เค้าฟันธงว่าเป็นขโมยเหรอคะ”
“ค่ะ เค้าว่าคงจะเป็นพวกตีนแมวมาลักของ เพราะข้าวของกระจายทั่วห้อง เบาะโซฟานี่มันกรีดขาดหมดเลย พอเจ้าของทรัพย์ตื่นขึ้นมาเห็นมันก็เลยฆ่าทิ้ง...นี่เห็นว่าตายมา 2 วันแล้วนะคะ”
“2 วันเหรอคะ”
เมื่อ 2 วันก่อน เอกชัยดักรอเขตต์ตะวันที่ระเบียงหน้าบ้าน เขาเดินกลับมาถึง เอกชัยก็ยิงคำถามทันที
“ไม่สนใจเหรอะ”
เขตต์ตะวันส่ายหน้า
“ไม่ ของร้อนแบบนี้ มันคงชอบแต่ฉันไม่ต้องการ”
เขตต์ตวันแววตาเริ่มแข็งกร้าว อาฆาต
“หรือถ้าจะเอา ก็ไม่จำเป็นต้องเสียเงินให้มันแม้แต่แดงเดียว” เขตต์ตวันเค่นขำด้วยเกลียดชัง แววตาฉายแววอาฆาตอำมหิต
มัทนาที่เกาะขอบประตูแอบมองอยู่ ตกใจกลัวมากที่เห็นแววตาคู่นั้นที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน
มัทนารีบผลุบกลับเข้าไป ใจเต้น ขนลุกเกรียวด้วยความกลัว กลืนน้ำลายแทบไม่ลงคอ
มัทนา สีหน้าไม่สบายใจ ไม่อยากเชื่อ พึมพำว่า
“ ไม่น่าเป็นไปได้”
“คุณจะอาบน้ำเลยรึเปล่าคะ”
มัทนาหลุดจากความคิดหันมองหน้าสาลินี
“ทานยาแล้วรีบนอนซะ พรุ่งนี้จะได้กลับโรงแรมอย่างคนแข็งแรงเต็มที่นะคะ” สาลินีพูดยิ้มแย้ม
“เค้าบอกคุณเหรอคะ ว่าฉันจะย้ายออกจากที่นี่พรุ่งนี้”
“คุณหมอเสริมโทรไปบอกฉันตอนสายๆ กำลังจะเข้านอนพอดี ดิฉันคงมาอยู่เป็นเพื่อนคุณได้คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายแล้วล่ะ”
มัทนายิ้มบางๆ คืนสาลินี
“ขอบคุณมากนะคะ คุณเป็นเพื่อนที่ดีจริงๆ”
“ขอบคุณค่ะ”
มัทนายิ้มแห้งๆ พร้อมถอนใจบางๆ
“รู้สึกเหมือนทุกคนจะรู้เรื่องการย้ายกลับโรงแรมของมัทกันหมด ยกเว้นคนเดียวที่ไม่รู้ ก็คือ เจ้าตัว “ มัทนาสีหน้าน้อยใจเล็กน้อย ลุกเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า
สาลินีหันมองตาม พูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“เค้าเป็นคนดีนะคะ เข้าอกเข้าใจอะไรดี”
มัทนาหันมองอย่างงงๆ
“ใครคะ”
“ก็คุณเขตต์ตวันไงคะ ดิฉันรู้นะคะ ความจริงคุณก็ไม่ได้ป่วยอะไรมาก ขนาดต้องมีพยาบาลพิเศษมาเฝ้า แต่เพราะเค้ากลัวคุณเสียชื่อเสียง กลัวจะถูกครหาว่าอยู่กับผู้ชายตามลำพัง เลยจ้างดิฉันมาเฝ้าคุณ คุณตวันช่างใส่ใจคุณจริงๆ เลยนะคะ”
มัทนาดูจ๋อยๆ รู้สึกผิดไปที่น้อยใจไม่เข้าท่า รู้ทั้งรู้
มายาตวัน ตอนที่ 6 (ต่อ)
ทางด้านเยาะเดินไปจิกเปี๊ยกออกมาจากป้อม ลากไปหลบมุมคุย
“ทำไมแกไม่บอกฉันว่านังมัทกลับมาอยู่บ้านเราแล้ว”
“ก็แกไม่ถาม” เปี๊ยกว่า
“ เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ไม่บอกฉันได้ยังไง...แล้วนี่มันนอนบนตึกใหญ่เลยเหรอะ”
“อืม ตั้งหลายวันแน่ะ”
“อยู่กัน สองต่อสองเหรอ”
“เปล่า 2 ต่อ 1 ตะหาก คุณเอกอีกคน”
“อั้ยยะ” เยาะตกใจมาก ยกมือขึ้นปิดปาก
ภายในห้องหนังสือ เวลาต่อมา เขตต์ตวันตบโต๊ะอ่านหนังสือดังโครม สีหน้าโกรธจัด จนแทบคุมอารมณ์ไม่อยู่
“ไม่ใช่ฝีมือมันแล้วจะใคร”
เอกชัยได้แต่ถอนใจหน้าเครียด
เขตต์ตวันแววตาแข็งกร้าว เกลียดชัง
“ไอ้สัตว์นรกนั่นมันทำได้ทุกอย่างนั่นล่ะ”
ในอดีต เย็นวันหนึ่ง ตะวันและเอกชัยในชุดนักศึกษา ตอนนั้นเรียนใกล้จบแล้ว ทั้งคู่กลับห้องพักมาพร้อมถุงใส่อาหาร และผลไม้...
เขตต์ตวันเข้าห้องแล้วพูดขึ้น
“ป่าน...หิวรึยัง”
เขาแปลกใจเล็กน้อยที่ไม่มีน้องสาวอยู่ในห้อง เอกชัยเดินไปดันประตูห้องน้ำเปิดออก
“ไม่มี”
เขตต์ตวันดูนาฬิกาข้อมือ ชักเริ่มเป็นห่วง
“ผิดเวลาไปหน่อยนะ”
เอกชัยเอาอาหารไปวางที่โต๊ะอาหารเล็กๆ ที่พอนั่งล้อมวงทานข้าวกัน 3 คน
“รถติดมั้ง” เอกชัยว่า
“เรากลับมาติดที่ไหนล่ะ”
เขตต์ตวันหยิบโทรศัพท์มาโทรหาน้องสาวทันที
ม้าสนามในสวนสาธารณะสวยแห่งหนึ่ง ป่านหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดู ชายหนุ่มที่นั่งข้างๆหันมามอง ที่แท้เป็น “เชน” เขาถามเธอสีหน้านิ่ง
“ปอนโทรมาเหรอะ”
ป่านตั้งท่าจะรับสาย...
เชนรีบห้าม
“อย่ารับเลย”
“ทำไมล่ะคะ”
“พี่อยากจะเซอร์ไพรส์มัน”
“ก็ได้ค่ะ...” ป่านหรี่เสียงโทรศัพท์ลง
เชนแอบจ้องหน้าป่าน สีหน้าแววตาเจ้าเล่ห์อย่างมีแผนการในใจ
“พี่นึกว่าจะไม่มีโอกาสได้เจอกับป่านแล้วซะอีก”
เชนจ้องป่าน สายตาหวานเชื่อม ป่านสะท้านกับตาหวานกรุ้มกริ่ม จนต้องหลบสายตาเล็กน้อย
“แต่ลองพี่อยากเจอป่านซะอย่าง ก็ไม่มีอะไรเกินความพยายามของพี่ไปได้หรอก”
เชนเอื้อมมือไปจับกุมมือป่านเอาไว้ ป่านเขินอายแต่ก็ยอมให้กุมมือเอาไว้ เชนถามอ้อน
“ป่านคิดถึงพี่มั่งมั้ย”
ป่านพยักหน้ารับอย่างอายๆ
“ป่านเปลี่ยนไปเยอะเลยนะ...สวยขึ้น”
“พี่เชษฐ์ก็ดูดีขึ้นเหมือนกันค่ะ”
“รวยขึ้นด้วย ไม่ใช่เด็กวัดเหมือนเดิมแล้ว”
“ดีใจด้วยค่ะ”
ป่านค่อยๆ ดึงมือออก
“ไอ้ปอนกะไอ้เอกยังกระจอกเหมือนเดิมสิ”
เชนพูดและมีสีหน้าดูถูกอยู่ในที
“กำลังจะจบปี 4 แล้วค่ะ ได้ทำงานเต็มเวลา ก็คงสบายขึ้น”
“ไอ้เด็กวัด 2 คนนี่รักกันดีนะ”
เชนเหลือบตาเห็นเขตต์ตวันพอดี จึงรีบลุกมาย่อตัวนั่งหลบหลังเก้าอี้ ป่านตกใจ
“มีอะไรคะ”
“ไอ้ปอนมา ป่านอย่าเพิ่งบอกนะว่าพี่กลับมาจากเมืองนอกแล้ว พี่อยากจะเซอร์ไพรส์มัน แต่ไม่ใช่ตอนนี้”
“ได้ค่ะ”
“แล้วพี่โทรหา”
เชนแอบยื่นหน้ามาหอมแก้มป่านแล้วรีบวิ่งหลบไปอย่างเร็ว ป่านขวยเขินไปมา เขตต์ตวันเดินตามหาป่านจนเจอ
“ป่าน”
ป่านลุกไปหา
“พี่ปอน”
“ทำไมไม่รับสายพี่”
“อ้าว พี่โทรมาเหรอคะ ป่านไม่ได้ยิน”
ตวันส่ายหน้าตำหนิ
“เรานี่ พี่ห่วงแทบแย่ ไปกินข้าว”
เขตต์ตวันกอดคอน้องสาวพาเดินกลับไปทางอพาร์ทเมนท์ที่พัก มุมหนึ่งของสวนสาธารณะ...เชนแอบจับตามองตาม สีหน้าแววตาร้ายๆ ดูมีแผนการเลวๆในใจ
เช้าวันหนึ่ง เขตต์ตวันหวีผมอยู่หน้ากระจก เอกชัยกำลังนั่งใส่รองเท้าอยู่ ป่านเปิดประตูห้องน้ำออกมาด้วยสีหน้าอิดโรย
“พี่ปอน ป่านปวดหัวจังเลย ป่านไม่ไปเรียนนะ”
ป่านเดินไปทิ้งนอนที่เตียง ทั้งเขตต์ตวันและเอกชัยห่วงมาก ลุกมาดูป่านที่เตียง
“ไปหาหมอมั้ย”
เขตต์ตวันจับหน้าผากและเนื้อตัวของป่าน
“ตัวไม่ร้อนนี่นะ”
“สงสัยจะปวดเพราะ...” ป่านอายที่จะพูด
“ปวดรายเดือน”
“ทำนองนั้น”
“งั้นก็นอนพักเถอะ กลางวันจะให้พี่ซื้อก๋วยเตี๋ยวมาฝากมั้ย”
ป่านรีบห้าม
“ไม่เป็นไรค่ะ ป่านโทรสั่งเอาก็ได้ พี่ปอนเรียนไปเถอะ”
เขตต์ตวันหันมองเอกชัย
“งั้นเย็นนี้ฉันไม่ไปเสิร์ฟดีกว่า เอก แกลางานให้ด้วยแล้วกัน”
ป่านมีสีหน้ารู้สึกผิดขึ้นมา
“โอเค พี่ไปเรียนก่อนนะป่าน”
“เป็นหนักมากก็โทรหาพี่ทันทีเลยนะ ไม่ต้องรอจนทนไม่ไหวล่ะ”
“เดี๋ยวป่านทานยาก็คงดีขึ้นค่ะ”
เขตต์ตวันพยักหน้าหน้ารับ หอมหน้าผากน้องสาวอย่างห่วงใย ก่อนเดินออกไปจากห้องพร้อมเอกชัย ป่านรอทุกคนไปหมดก็รีบลุกไปที่ตู้เสื้อผ้า สีหน้ายิ้มแย้มเป็นปลื้ม เลือกเสื้อผ้าชุดสวยอยู่ไปมา
ในเวลาต่อมา เชนยิ้มแย้มเปิดประตูห้องพักคอนโดฯให้ป่านเข้ามา เธอมีสีหน้าตื่นเต้นที่เห็นห้องคอนโดฯหรูหรา
“โอ้โห ห้องใหญ่จังเลยพี่เชษฐ์”
“พี่บอกแล้วไง ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว”
เชนปิดประตูห้องล็อกห้อง
“เดินไปสำรวจได้ตามสบายเลยป่าน คิดซะว่าเป็นห้องของป่านเอง”
ป่านเดินไปดูห้องโน้นห้องนี้ เชนสีหน้าเจ้าเล่ห์เดินไปเตรียมเครื่องดื่ม แล้วหยิบกล่องใส่อุปกรณ์บางอย่างออกมาจากตู้ลอยของครัว
ป่านเดินออกมาจากห้องน้ำพูดขำๆ
“ห้องน้ำคอนโดพี่ใหญ่กว่าห้องพักป่านซะอีก”
เชนยิ้มๆ เดินนำมานั่งที่โซฟาพร้อมพูด
“มานั่งนี่สิป่าน”
ป่านเดินมานั่งกับเชนที่โซฟา
“พี่อยากฟังเรื่องของเพื่อนๆ จังเลย ตั้งแต่พี่ไปอยู่เมืองนอก ทุกคนเป็นยังไงกันมั่ง”
“ต้องเล่ากันยาวเลยนะคะ เช้าจะจบมั้ยเนี่ย”
เชนส่งสายตาเจ้าชู้
“ก็ไม่เป็นไรนี่ ค้างกับพี่ที่นี่แหละ”
“ไม่ได้หรอกพี่เชษฐ์ พี่ปอนเล่นงานป่านตายแน่ๆ”
“ทำไมล่ะ กลัวมันมากเหรอะ ป่านโตแล้วนะ ต้องมีชีวิตของป่านเองได้แล้ว ป่านมีสิทธิ์ที่จะชอบใคร รักใครก็ได้ ไอ้ปอนไม่ใช่เจ้าของชีวิตป่านซะหน่อย”
ป่านเขินอายหลบสายตา เขาขยับตัวเข้าประชิด ป่านขยับตัวออก ระวังตัวเหมือนกัน
“ป่านว่าไปเดินเล่นห้างกันดีมั้ยคะ”
ป่านลุกขึ้น เชนจับมือป่านรั้งเอาไว้
“ป่านไม่ไว้ใจพี่เหรอ”
“คือ...”
เชนดึงป่านให้นั่งลงมาจนได้
“พี่มีอะไรให้ป่านลอง”
“อะไรคะ”
“ยาคลายเครียด แพงมากรู้มั้ย เผื่อป่านจะได้รีแลกซ์ขึ้นมั่ง”
เชนเปิดกล่องใส่ของที่เอามาจากครัว
“ไม่ดีกว่าค่ะ” ป่านบอก
“เชื่อพี่สิ แล้วป่านจะติดใจ”
เชนมีสีหน้าเจ้าชู้เชิญชวน ป่านลังเล เชนประชิดหน้าจนใกล้เกือบจูบปากป่าน
“ป่านไม่รักพี่แล้วเหรอ”
ป่านดูแพ้ทางแอบใจอ่อน
แววตาเชนดูร้ายๆ ซ่อนอยู่ในรอยยิ้มหล่อ
ผ่านเวลาซักพัก ป่านเต้นรำกอดซบกับเชนที่เสื้อผ้าหลุดลุ่ย ป่านหัวเราะร่วนอาการเหมือนเมายา
เขาจับเธอหมุนรอบตัวแล้วผลักล้มไปที่เตียง ป่านหัวเราะชอบใจ สนุกสนาน คึกคัก เชนเดินมาประชิดเตียง
“ถอดเสื้อออกสิป่าน ร้อนจะตายไป...พี่ก็ถอดเห็นมั้ย”
เชนค่อยๆ แกะกระดุมเสื้อนำ ป่านหัวเราะชอบใจ ค่อยๆ ปลดกระดุมจะถอดเสื้อตัวเองออก เชนสะแหยะยิ้ม สีหน้าแววตาร้าย
เย็นวันหนึ่ง เขต์ตวันถือถุงใส่อาหารรอเอกชัยไขประตูห้องพัก
“ฉันจะโดนไล่ออกรึเปล่าก็ไม่รู้” เขตต์ตวันบอก
“ถ้าแล้งน้ำใจขนาดนั้น ก็ไม่น่าทำงานให้หรอก” เอกชัยพูดแล้วเปิดประตูห้องเข้าไป
ภาพตรงหน้าของสายตาทั้งคู่คือป่านที่นอนขวางเตียง ห้อยหัวลงข้างเตียง มองมาทางตวันและเอกชัย ทั้งคู่ตกใจมาก เขตต์ตวันวางของกับพื้น วิ่งเข้าไปหา
“ป่าน เป็นอะไร”
ป่านยิ้มกว้าง ตาลอย เขตต์ตวันหันมองหน้าเอกชัย ป่านรีบขยับตัวไปนั่งหันหลังให้อีกฝั่งเตียง เธอนั่งเขย่าขาก้มหน้างุด พี่ชายมองอย่างเป็นห่วง
“ป่าน ไปหาหมอมั้ย”
ป่านก้มหน้า พูดกัดฟัน
“ป่านไม่เป็นอะไรค่ะ”
ป่านสูดจมูกเหมือนคนเป็นหวัด ก้มหน้า พูดไม่สู้ตาและนั่งเขย่าขาต่อเนื่อง
“ปวดหัวนิดหน่อยเดี๋ยวก็หาย”
เขตต์ตวันเดินไปนั่งข้างๆ น้องสาว เลื่อนมือไปแตะหน้าผากน้องสาว แล้วรู้สึกแปลกใจ
“ทำไมเหงื่อออกเต็มหน้าเลยล่ะป่าน”
ป่านก้มหน้างุด ไม่สู้ตา
เอกชัยเดินเข้ามากอดอกมองอย่างจับสังเกต
“อาการคุ้นๆ เหมือนแคชเชียร์ที่ร้านว่ามั้ยปอน”
เขตต์ตวันอึ้ง หันมองหน้าเอกชัยด้วยความไม่สบายใจ เขาฉวยคว้าแขนป่าน
“ไปหาหมอกับพี่เดี๋ยวนี้เลย”
ป่านเดินหนีเขตต์ตวันออกมาทางหน้าโรงพยาบาลตอนหัวค่ำ เขตต์ตวันหน้าตาโกรธจัดตามออกมาติดๆ ป่านปาดน้ำตาไปมา
“ป่านจะหนีพี่ไปไหน”
เขตต์ตวันโกรธจัด กระชากแขนเอาไว้ ป่านหันมามองพี่ชายทั้งน้ำตา เขตต์ตวันจ้องหน้า คาดคั้น ตะคอก
“บอกพี่มาเดี๋ยวนี้นะ ใครมันชักนำป่านไปลองยานรกพวกนั้น”
ป่านส่ายหน้า เอาแต่ร้องไห้ เขาทั้งโกรธและโมโหมาก จับไหล่ทั้งสองข้างของน้องสาวเขย่าตัวอย่างแรง
“หยุดร้องไห้แล้วบอกพี่มาเดี๋ยวนี้เลย”
เอกชัยรีบวิ่งตามออกมา
“ปอน ใจเย็นๆ ค่อยๆ พูดกับน้อง”
เขตต์ตวันยอมปล่อยป่าน เอกชัยเข้ามาจับมือป่าน พูดด้วยดีๆ
“ทุกคนก็เคยทำผิดพลาดกันทั้งนั้นล่ะป่าน เมื่อรู้ว่ามันไม่ดี ก็ไม่ควรทำผิดซ้ำอีกรู้มั้ย”
ป่านร้องไห้
“ค่ะพี่เอก ป่านจะไม่ลองมันอีก...ป่านเสียใจ”
“แล้วจะบอกพี่ได้รึยัง เพื่อนคนไหนที่มันแนะนำเรื่องเลวๆ แบบนี้ให้ป่าน”
ป่านร้องไห้ออกมาอีก เขตต์ตวันหน้าตาโกรธจัด
“ถ้าป่านยังปกป้องมันคนนั้น ไม่บอกความจริงกับพี่ ต่อไปเราก็ไม่ใช่พี่น้องกัน”
ป่านและเอกชัยตกใจมาก
“ไอ้ปอน”
“พรุ่งนี้พี่จะพาป่านกลับไปอยู่กับหลวงพ่อที่ภูเก็ต แล้วเราก็ไม่ต้องเจอหน้ากันอีกเลย” เขตต์ตวันสีหน้าเด็ดขาด เอาจริง แต่ก็มีน้ำตารื้นๆ เคลือบตา
ความจริง เขตต์ตวันรักน้องมาก ใจก็ไม่อยากทำยังงั้น
ในเวลากลางคืน เขตต์ตวันถีบประตูห้องพักเชนกระแทกเข้ามา เชนเดินเข้ามาหาด้วยความตกใจ
“ไอ้ปอน”
เขตต์ตวันสีหน้าโกรธเกลียด ไม่พูดพล่ามทำเพลงถีบเข้าที่กลางยอดอกจนเชนกระเด็นไปกระแทกโซฟา
ในเวลากลางคืน ภายในห้องพักของเขตต์ตวัน
“ฉันอยากจะฆ่ามันให้ตายคามือ”
ที่แท้... เรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อครู่คือ ภาพในความคิดของเขตต์ตวันที่อยากจะทำ
“มันไม่อยู่รอแกหรอก” เอกชัยพูดถอนใจหันไปมองที่เตียง
ป่านนอนหลับอยู่บนเตียงด้วยความอ่อนเพลีย
“ฉันอยากจะรู้นัก มันทำกับป่านแบบนี้ได้ยังไง ไม่คิดบ้างเหรอะว่าเราโตมาด้วยกัน ลำบากมาด้วยกัน เหมือนพี่เหมือนน้องกัน”
เอกชัยสีหน้าติดใจสงสัย
“นั่นน่ะสิ นี่ไอ้เชษฐ์มันกลับมาเมืองไทยแล้วเหรอะ”
“ป่านไม่กล้าโกหกหรอก”
เอกชัยมีสีหน้าติดใจสงสัยมาก
“มันทำแบบนี้เพื่ออะไรกันแน่”
เขตต์ตวันสีหน้าเจ็บแค้น
“ลองทำได้ขนาดนี้ ก็ไม่ถือว่าเป็นเพื่อนกันแล้วล่ะ”
เอกชัยหันมองเขตต์ตวันที่มีสีหน้าอาฆาตแค้น
“มันทำเลวกับน้องสาวฉัน มันก็ต้องได้รับผลตอบแทนเลวๆ สาสมกับที่มันทำ”
เอกชัยชักกังวล
“แกจะทำอะไรวะปอน”
เขตต์ตวันหน้านิ่งขรึมหันไปมองทางป่านที่นอนหลับสนิทอยู่บนเตียง
ตอนสายวันหนึ่ง ป่านมายืนรอเชนอยู่ที่มุมหนึ่งในห้าง เชนแอบมองป่านลงมาจากมุมสูง
ป่านมองหาไปมา ดูนาฬิกาข้อมือ เชนหยิบโทรศัพท์มือถือโทรหา ป่านดูเบอร์โชว์ กดรับสาย
“พี่เชษฐ์มาถึงรึยังคะ”
“เพิ่งมาถึง ป่านอยู่ชั้นไหน”
“ชั้น 2 ค่ะ”
“เราเปลี่ยนที่นัดมาเจอกันที่ชั้น 3 ดีกว่า ป่านขึ้นบันไดเลื่อนมาเลยนะ เดี๋ยวเจอกัน”
เชนกดตัดสาย
“พี่เชษฐ์ๆ” ป่านกดตัดสายไป สีหน้าไม่สบายใจนักแล้วเดินไปขึ้นบันไดเลื่อน
เชนจับตามองป่านตลอดเวลาจนแน่ใจว่าไม่มีใครตามมาแน่ๆ จึงเดินเลี่ยงหลบไป ทันทีที่เชนเบี่ยงตัวหลบไป พบว่า เขตต์ตวันจับตามองเชนอยู่ด้านหลังไกลๆ เขาสีหน้านิ่งเครียด จับตามองตามน้องสาวด้วยความเป็นห่วง
ป่านเดินขึ้นมาชั้น 3 เดินหาเชนไปเรื่อยๆ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจะโทรมาแต่กลับโดนเชนดึงไปหาจากมุมข้างๆ ป่านตกใจ
“พี่เชษฐ์ ป่านตกใจหมดเลย”
“มีธุระสำคัญอะไรถึงคุยทางโทรศัพท์ไม่ได้”
“ป่านกลัวโดนดักฟังโทรศัพท์น่ะค่ะ มีเพื่อนป่านสนใจอยากได้ยาคลายเครียดของพี่เชษฐ์ไปขายต่อ”
เชนยิ้มพอใจ
“เพื่อนเรากระเป๋าหนักรึเปล่า”
“ก็เห็นเค้าขายอะไรหลายอย่างนะคะ แต่พี่เชษฐ์ห้ามลืมสัญญาว่าจะให้ยานั่นกับป่านเป็นรางวัลนะคะ”
เชนขำๆ ลูบหัวป่านแล้วยิ้มมุมปากอย่างสะใจ
“พี่ไม่ลืมแน่นอนจ้ะ”
ในเวลากลางคืน ป่านพาเพื่อน ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจนอกเครื่องแบบปลอมตัวมาเจอเชนที่มุมมืดในสวนสาธาณะตอนกลางคืน เชนก็ระมัดระวังตัวใส่แจ็คเก็ตแบบสวมฮู๊ดเพื่อไม่ให้เห็นหน้าได้ชัดเจนนัก ป่านหน้าซีดเผือด มีสีหน้ากลัวๆ อย่างเห็นได้ชัด
ขณะที่กำลังยื่นหมูยื่นแมวกันอยู่ ทั้งเขตต์ตวัน เอกชัยและตำรวจก็แสดงตัวออกมา
เชนตกใจผสมโกรธมากกระชากของคืน
“ไอ้ปอน”
ทันใดนั้นเองเสียงปืนจากอีกด้านก็พุ่งเข้าใส่เพื่อนป่านอย่างถนัดจนฟุบไปกับพื้น ป่านกรีดร้องลั่นด้วยความตกใจ ตำรวจ เอกชัยและตวันย่อตัวลงหลบอย่างอัตโนมัติ ด้วยความตกใจ เขตต์ตวันวิ่งด้วยความเป็นห่วงไปหาน้องสาว
“ป่านหมอบลง”
ตำรวจที่มากับเขตต์ตวันและเอกชัย คนหนึ่งช่วยตำรวจที่บาดเจ็บ ที่เหลือไล่ตามเชนไป แต่ก็มีเสียงปืนยิงคุ้มกันให้เชนต่อเนื่อง จนตำรวจต้องหมอบหลบเป็นระยะๆ
เขตต์ตวันกอดป่านเอาไว้แน่น ป่านตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว ร้องไห้ออกมา
เขตต์ตวันยังคงคุยอยู่กับเอกชัยในห้องหนังสือด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ฉันยังจำที่ยุพินเล่าได้แม่น นึกไม่ถึงจริงๆ ว่ามันคิดจะเล่นงานฉันให้ถึงตาย”
“ฉันไม่เข้าใจ ไอ้เชษฐ์มันโกรธแค้นอะไรพวกเรานักหนาวะปอน”
เขตต์ตวันสีหน้ามั่นใจมาก
“ฉันคนเดียวมากกว่า”
เอกชัยสงสัยมาก
“นึกดีๆ ซิ แกเคยไปทำอะไรให้มันเจ็บช้ำน้ำใจรึเปล่าวะ ถึงได้ตามล้างตามเช็ดแกไม่เลิกแบบนี้”
“แกก็รู้จักฉันดีไอ้เอก คนอย่างฉันเคยไปทำร้ายอะไรใครก่อนบ้างวะ”
เอกชัยมีสีหน้าติดใจ อยากรู้
“แล้วมันเพราะอะไรกันแน่”
“มีมันคนเดียวเท่านั้นล่ะที่รู้”
เขตต์ตวันถอนใจออกมาอย่างหนักใจ สีหน้าเครียด เอกชัยคิดตามก็อดรู้สึกกังวลใจเป็นห่วงความปลอดภัยของเพื่อนขึ้นมาไม่ได้
ภายในห้องพักแขก มัทนาอาบน้ำเปลี่ยนชุดนอนใหม่กำลังขึ้นนั่งบนเตียงก็มีเสียงเคาะประตูขัดจังหวะขึ้นมา สาลินีกำลังพับผ้าคลุมเตียงให้อยู่ไปมา
“เชิญค่ะ”
เขตต์ตวันเปิดประตูเข้าห้องมาสีหน้ายิ้มแย้ม
“จะเข้านอนกันรึยังครับ”
“ยังหรอกค่ะ ฉันกำลังจะลงไปเอาน้ำดื่มข้างล่างพอดี ฝากน้องมัทไว้กับคุณก่อนนะคะ”
เขตต์ตวันยิ้มพร้อมพยักหน้ารับ สาลินียิ้มให้มัทนาก่อนเดินออกไปจากห้อง
“ตำรวจไปแล้วเหรอคะ”
“ซักครู่แล้วล่ะ...กลัวรึเปล่า มีคนตายข้างๆ บ้าน”
“ไม่หรอกค่ะ กลัวก็มีคุณสาลินีอยู่เป็นเพื่อน”
เขตต์ตวันนั่งลง
“ดีแล้ว”
“ดูคุณไม่แปลกใจเลยนะคะที่เค้าตาย”
เขตต์ตวันยักไหล่ ไม่ยี่หระ
“ไม่เห็นต้องแปลกใจอะไร คนเลวอยู่ได้ไม่นานหรอก จุดจบมันต้องเป็นยังงี้อยู่แล้ว”
มัทนาซักต่อตารมสัญชาติญาณทันที
“เค้าเลวยังไงเหรอคะ”
“มันเคยทำงานเป็นเอเย่นต์ส่งผู้หญิงออกนอก มันเป็นคนพาไปเอง พาผู้หญิงไปทีห้าคนสิบคน ไปไว้บ้านญาติมันก่อนแล้วค่อยกระจายไปอีกที”
“คุณรู้เรื่องดีนี่คะ เหมือนรู้จักเค้ามาก่อน”
“เคยชกกับมันครั้งนึง”
มัทนาอึ้งไปอย่างเก็บข้อมูล เขตต์ตวันตัดบท
“เอาล่ะ อย่ามาซักมากเลย เธอมาทำข่าวฉันไม่ใช่เหรอะ หรือว่าจะทำข่าวอาชญากรรมคู่ไปด้วย”
มัทนายิ้มแหยไปเล็กน้อย
เขตต์ตวันลุกขึ้น
“รีบนอนเถอะ พรุ่งนี้ฉันจะไปส่งเธอที่โรงแรม แล้วเราค่อยนัดกันอีกที ว่าจะสัมภาษณ์ส่วนที่เหลือกันเมื่อไหร่ดี”
เขตต์ตวันจะเดินออกไป มัทนาพูดประชดจนเขาต้องหันหลับมามอง
“ฉันอยู่ภูเก็ตจนแก่ไม่ได้หรอกนะคะ... สำนักพิมพ์ก็ยังไม่ได้ตั้งสาขาที่นี่ แล้วฉันก็ไม่ได้รับมอบหมายให้มาตั้งสาขาใหม่เองด้วย”
มัทนาทิ้งค้อน
“งอนเหรอ”
มัทนาทำหน้าปั้นปึง
“เปล่าค่ะ”
“แต่หน้าเธอมันฟ้อง ที่จริงฉันก็ให้สัมภาษณ์มาตั้งเยอะแล้ว แค่นั้นก็เขียนได้ถมเถ”
มัทนาทิ้งค้อนก่อนจะเลื่อนตัวลงนอน
“กู๊ดไนท์ค่ะ”
“งั้นเย็นพรุ่งนี้ฉันไปรับเธอทานข้าว แล้วเราค่อยสัมภาษณ์กันต่อ พอใจรึยังสาวน้อย”
มัทนายิ้มแป้นนั่งตัวตรง หน้าตาสดชื่นขึ้นอีกครั้ง
“จะไม่พอใจได้ยังไงล่ะคะ ฉันไม่มีทางเลือกอยู่แล้วนี่”
เขตต์ตวันถอนใจบางๆ พร้อมส่ายหน้าเดินออกไปจากห้อง มัทนายิ้มออกมาอย่างดีใจที่จะปิดจ็อบได้ซะที
มายาตวัน ตอนที่ 6 (ต่อ)
เวลาต่อเนื่องมา สาลินีเอาขวดน้ำออกมาจากครัว พร้อมๆ กับที่เอกชัยจะเดินเข้าครัว ทั้งคู่เผชิญหน้ากันพอดี สาลินีแอบยิ้มเขินๆ จะหลบซ้าย เอกชัยก็หลบซ้าย ครั้นเธอจะหลบขวา เขาก็จะหลบขวาให้ เลยยักแย่ยักยันไปมา เอกชัยปล่อยมุกเต้นสตรีทแดนซ์ขวางไปขวางมาซะเลย สาลินีหลุดขำๆ ออกมา
เอกชัยหยุดเต้น ยิ้มๆบอก
“พรุ่งนี้ก็ไม่ได้เจอกันแล้วสิครับ”
สาลินีเขินๆจะเดินหนี
“เสร็จงานแล้วนี่คะ”
เอกชัยมูนวอล์กตามไปขวาง หยุดพูดจ้องหน้า
“คุณสารับเฝ้าไข้คนไม่ป่วยด้วยรึเปล่าครับ”
เอกชัยส่งตาหวาน พร้อมยื่นนามบัตรให้
สาลินีเขินจัด
“ไม่ค่ะ อันตรายเกินไป”
สาลินีปากพูดไปอย่างงั้น แต่รับนามบัตรไป แล้วเดินก้มหน้าก้มตาขึ้นบ้านไปอย่างเร็วด้วยความเขินเอกชัยยิ้มแย้มเต้นต่ออีกสเต็ปสองสเต็ปด้วยความดีใจ
ภายในห้องนอน เขตต์ตวันอยู่ในชุดนอนกำลังนั่งลงบนเตียงสบายๆ จะล้มตัวลงนอน เสียงข้อความส่งเข้ามือถือดังขึ้น เขตต์ตวันหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดู เป็นข้อความส่งมาทาง whatsapp เป็นรูปหน้ายิ้มฉีกฟันเต็มปาก เขามีสีหน้างงๆ พิมพ์ถามกลับไป
“ใคร”
ในห้องพักแขก มัทนา ยิ้มๆ พิมพ์กลับไป
“มัทเองค่ะ”
ข้อความตอบกลับมาถามว่า “ได้เบอร์มาจากไหน”
“นกแก้ว” ตามด้วยการ์ตูนรูปนก
เขตต์ตวันยิ้มส่ายหน้า พิมพ์ตอบกลับไป
“นึกแล้ว...ไปนอนได้แล้วสาวน้อย”
ข้อความพิมพ์ตอบกลับมาว่า
“ไนท์ค่ะหนุ่มใหญ่”
เขตต์ตวันยิ้มๆ เลื่อนตัวลงนอน ข้อความดังตื้อมาอีก เขายกมือถือขึ้นดู เป็นรูปการ์ตูนหน้ายิ้มทะเล้นแลบลิ้นหลิ่วตา เขาส่ายหน้าอย่างเอ็นดูก่อนเลื่อนตัวลงนอน
มัทนาก็เลื่อนตัวลงนอนเช่นกัน ยิ้มแย้ม รู้สึกอบอุ่นใจยังไงบอกไม่ถูก
ภายในห้องพักแขก เวลาเช้า มัทนากำลังแต่งตัวอยู่หน้ากระจกในชุดที่เธอใส่มาล้มป่วยที่นี่ เสียงประตูห้องเปิดเข้ามา มัทนาหันไปพูดยิ้มแย้ม
“เสร็จแล้วค่ะพี่สา”
มัทนาเงยหน้าแล้วยิ้มค้างไป คนที่เข้าห้องมาคือลลิสาไม่ใช่พยาบาลสาลินี...ลลิสาจ้องมัทนาเขม็ง สีหน้าชิงชัง
“คุณลิซ่า”
ลลิสาเจอหน้าก็พายุใส่ทันที
“สะเออะขึ้นมานอนบนนี้ทำไม รึว่าถืออภิสิทธิ์ว่าเป็นนักข่าว”
“ไม่ใช่ยังงั้นค่ะ”
ลลิสาสวนขัดไปทันที
“ไม่ต้องมาแก้ตัว ฉันจะให้ทนายฟ้องสยามสารที่หาข่าวด้วยวิธีน่าเกลียด ไร้จรรยาบรรณที่สุด”
มัทนาหน้าจ๋อยไป
“สยามสารไม่รู้เรื่องด้วยหรอกค่ะ ฉันทำเรื่องทั้งหมดนี่เอง ผิดที่ตัวฉันคนเดียว”
ลลิสาแค่นขำ
“องค์กรดี แต่พนักงานมันร่าน ใจแตก”
มัทนาผงะไป สีหน้าไม่พอใจ
“พูดให้ดีนะคุณ”
ลลิสาเดินกรีดกรายเข้าหา สีหน้าเย้ยหยัน พูดจากวนประสาทไม่เลิก
“รึไม่จริงล่ะ รอจังหวะไม่มีคนอยู่ แล้วแล่นเข้ามาอยู่กับผู้ชายในบ้านตั้งกี่วัน จงใจจะหาข่าว หรืออยากจะกินแหล่งข่าวกันแน่ ใฝ่ฝันมาแต่เด็กแล้วนี่ อยากจะได้ขึ้นเตียงกับดาราคนโปรด แค่ครั้งเดียวจะไม่ลืมพระคุณ”
มัทนาเจ็บใจมาก โกรธจัด
“ถ้าคุณไม่หยุดพูดล่วงเกินฉันเดี๋ยวนี้”
ลลิสาเดินหน้าหาเรื่องเดินเข้าผลักไหล่มัทนา
“แกจะทำไมฉัน”
อลิสาผลักซ้ำอีก หน้าตากวนประสาท
“กล้าๆ หน่อย”
มัทนาขบฟันแน่น สีหน้าเหลืออด ลลิสาพูดกวนจะให้มัทนาทำร้ายตน ผลักไหล่ซ้ำท้าทายอีก
“ตบหน้าฉันเลยสิ...ตบซิ”
เสียงดุของเขตต์ตวันดังขึ้น
“หยุดเดี๋ยวนี้นะลิซ่า”
ลลิสาชะงักไป หันไปจ้องหน้าเขตต์ตวันที่เดินเข้าห้องมา
“คุณปอน ยังจะเข้าข้างมันอีกเหรอะ ได้กับมันแล้วสิ” ลลิสาน้ำเสียงโกรธผสมช้ำใจ น้อยใจ
มัทนาตกใจมากที่ลลิสาหยาบคายขนาดนี้
“หยุดพูดจาสกปรกได้แล้วนะลิซ่า มัทนาเป็นนักข่าว”
“อ๋อ เป็นนักข่าวแล้วบ้าผู้ชายไม่ได้เหรอคะ”
เขตต์ตวันสีหน้าไม่พอใจ
“ลิซ่า หัดฟังเหตุผลบ้างได้มั้ย”
ลลิสากอดอกจ้องหน้าเขตต์ตวัน หน้าตา แววตาหึงหวง
“มัทนาไม่สบายเพราะฉันเป็นต้นเหตุ ที่พักบนห้องนี้ก็มีพยาบาลดูแลตลอดเวลา”
ลลิสาหน้านิ่ง พูดชัดเน้นทีละคำ ก่อนเดินปึงปังออกไปจากห้อง
“ฟัง ไม่ ขึ้น”
เขตต์ตวันถอนใจออกมา มองหน้ามัทนา
“ฉันขอโทษ เธอลงไปรอที่รถก่อน”
“ค่ะ”
เขตต์ตวันเดินหน้าเครียดออกไปจากห้อง มัทนาบ่นพึมพำ สีหน้าเจ็บใจ
“อย่าให้เจอข้างนอกแล้วกันอีนมปลอม”
“ไม่มีอะไรจริงๆ ผมอยู่ด้วยตลอดเวลา”
เอกชัยอธิบายเรื่องราวให้ชลบุษย์ฟังที่สนามหลังบ้าน
“กลางคืนก็มีพยาบาลพิเศษมาเฝ้าตลอด ถ้าจะน่าห่วงก็ผมนี่แหละจะห้ามใจไม่ไหว ปล้ำพยาบาลซะมากกว่า”
ชลบุษย์ขำๆแล้วยิ้มออก
คุณเอก...ได้ยินยังงี้บุษย์ก็ค่อยสบายใจหน่อย”
“เค้าเป็นนักข่าวนะบุษ ปอนมันไม่โง่หรอก”
“ไม่มีอะไรกันก็ดีแล้วค่ะ เดี๋ยวปมจะแน่นจนแก้ไม่ออก”
เอกชัยยิ้มแต่พูดติดขี้เล่น ก่อนจะ เดินไปเล่นกับหมาหลังบ้าน
“ไม่มีอะไรกัน แต่แอบชอบกันรึเปล่า อันนี้ ผมไม่รู้นะ ด่างจุด มาหาพ่อเร็ว”
ชลบุษย์หน้าเสียไปทันที
เขตต์ตวันเดินกลับเข้ามาในห้องนอน เจอลลิสายืนกอดอกรออยู่ก่อนแล้ว
“คุณปอนถูกใจมันใช่มั้ย”
เขตต์ตวันหน้านิ่งเครียด
“ถูกใจใคร”
“ก็นังนักข่าวใจแตกนั่นน่ะสิ”
“เลิกพูดจาให้ร้ายเค้าเสียๆ หายๆ ซะทีเถอะลิซ่า”
ลลิสาแดกดัน
“ปกป้องกันเหลือเกินนะคะ ทำไมคะ เห็นเคยเกลียดนักข่าวยังกะไส้เดือนกิ้งกือ แล้วทำไมเดี๋ยวนี้ออกรับแทนกันได้ นังเด็กไร้สตินั่นมันมีดีอะไร”
เขตต์ตวันสูดหายใจลึก ตั้งสติ พยายามคุมอารมณ์ให้อยู่ เพราะชักจะรำคาญจนเหลืออดแล้ว
“ที่เค้ามี มันดีหรือไม่ ผมไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ มันทำให้ผมมองผู้หญิงเปลี่ยนไป”
ลลิสาขำหยัน
“เปลี่ยนไปในทางเลวลงน่ะสิคะ”
“คงใช่ เพราะมันทำให้ผมเห็นข้อเปรียบเทียบได้ชัดเจน ว่าอะไรดี อะไรเลว ผมทนคบผู้หญิงอย่างคุณอยู่ได้ยังไง”
เขตต์ตวันพูดพลางมองหน้าลลิสา ลลิสาอึ้ง หน้าชาไป
“จากนี้ไป ห้องนี้คือเขตหวงห้าม ห้ามเธอเข้ามาเด็ดขาด” เขตต์ตวันพูดหน้านิ่ง แต่น้ำเสียงเด็ดขาด
ลลิสาตกใจแทบช็อก นึกไม่ถึง เขตต์ตวันเดินไปหยิบกระเป๋าใส่โน้ตบุ๊ค ไอแพด เตรียมเอาไปด้วย ลลิสารีบเข้าไปขวาง เธอทั้งตกใจปนโกรธ
“คุณปอนจะทำยังงี้กะลิซ่าไม่ได้นะคะ ลิซ่าทุ่มเทให้กับคุณทั้งชีวิต ลิซ่าไม่ใช่ของเล่นชั่วคราวเหมือน
นางแบบที่ผ่านๆมาของคุณนะคะ”
เขตต์ตวันจ้องตา หน้าดุ
“ถ้าคุณยังไม่หยุดพูดแล้วหลีกทางผมไปเดี๋ยวนี้ จะไม่ใช่แค่ห้องนี้เท่านั้น แต่บ้านหลังนี้จะเป็นเขตหวงห้ามสำหรับคุณตลอดไป”
ลลิสาหน้าแหยผงะไป กลืนน้ำลายแทบไม่ลงคอ รีบขยับ หลีกทางให้ เขตต์ตวันเดินถือของหน้าตาบึ้งตึงออกไปจากห้อง ลลิสามองตามด้วยสีหน้าเจ็บใจมาก กำมือแน่นจนเล็บจิกเนื้อ
มัทนาสะพายเป้สวมรองเท้าผ้าใบคู่เก่งเดินออกมาจากบ้านมาที่โรงจอดรถ เปี๊ยกรีบวิ่งแถเข้ามาช่วย
“พี่เปี๊ยกช่วยถือจ้ะน้องมัท”
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ”
เยาะเดินกรีดกรายมาพูดจาเย้ยหยัน
“ลากกระเป๋าออกจากบ้านได้แล้วเหรอยะ”
มัทนายังอารมณ์ค้างจากลลิสา หยุดกึก หันเหล่มองตาขวางๆ เยาะเดินอ้อมมาจ้องหน้า
“อย่าฝันลมๆแล้งๆ เลยนะยะ ว่าจะมีใครโหวตให้หล่อนได้อยู่ต่อ”
เปี๊ยกกระซิบบอกมัทนา
“แต่พี่เปี๊ยกโหวตให้”
“ไอ้เปี๊ยก ฉันจะฟ้องคุณลิซ่า”
เปี๊ยกหน้าจ๋อยไป เยาะลอยหน้าลอยตาว่าใส่มัทนา
“เจ้าของเค้ากลับมาแล้วย่ะ ถามจริงเหอะ เธอมันนักข่าวจริงรึเปล่า หรือแค่อ้างบังหน้ามาล่า
ผู้ชายกันแน่ยะ”
มัทนาเหลืออดพุ่งหมัดชกเข้าเต็มหน้าเยาะอย่างถนัดจนหงายเงิบไป เปี๊ยกแกล้งล้อเลียนเยาะกลั้นขำ
“อั้ยย่ะ”
“ทำเจ้านายไม่ได้ ลงที่ลูกน้องก็ยังดี”
มัทนาสีหน้าสะใจ เยาะแค้นใจจัด
“วันนี้แกตาย”
เยาะพุ่งเข้าหามัทนา หน้าตาแค้นจัด จะบีบคอ เขตต์ตวันเดินออกมาจากบ้านพอดี เยาะตกใจ รีบปรับท่าทีเป็นช่วยถือของ ฉีกยิ้มแสนดี อ่อนหวาน
“ให้ฉันช่วยถือค่ะคุณมัท”
ไม่รอคำตอบ เยาะแย่งเป้จากมัทนา มัทนางงๆ ยื้อเอาไว้ไม่ให้ เยาะกระชากเป้ไปทันที แล้วรีบเดินจับหน้าเจ็บๆ เอาเป้ไปเก็บในรถ
มัทนาหันมองเห็นว่าเขตต์ตวันเดินออกมาเลยหายงงกับท่าทีของเยาะ
“คุณเอกล่ะ” มัทนาถาม
เอกชัยรีบวิ่งมาจากทางสนาม
“อ้าว พร้อมกันแล้วเหรอะ”
“รีบไปกันเถอะ ฉันมีนัด ไม่อยากเลท” เขตต์ตวันบอก
“มัทขอไปบ๊ายบายด่างกะจุดก่อนได้มั้ยคะ”
มัทนากลัวจะไม่ได้เจอด่างกับจุดอีก
“ไม่มีเวลาแล้วล่ะ ขึ้นรถได้แล้ว”
เขตต์ตวันขึ้นรถนำไปก่อน
“แป๊บเดียวค่ะ”
มัทนาวิ่งไปเลย เขตต์ตวันชักหงุดหงิด
“ดูสิ”
เอกชัยรีบตะโกนบอกมทันาก่อนหันมาพูดกับเพื่อน
“เร็วๆ นะมัท... ยังพอมีเวลาน่าปอน”
เขตต์ตวันถอนใจยาวออกมาด้วยความเครียด ในดวงตาเห็นแววเจ็บแค้นใจอยากแก้แค้นซ่อนอยู่
ลลิสามีสีหน้าเจ็บใจปนหมั่นไส้ ยืนกอดอกจับตามองทุกคนจากหน้าระเบียงโถง ชลบุษย์เดินยิ้มอารมณ์ดี กรีดกรายมาทางด้านหลังแล้วเริ่มกวนประสาท นับเลขไป
“1 2 3”
ลลิสาหันมาจ้องหน้า ชลบุษย์ยืนยิ้มกวนๆ อยู่ด้านหลังมองเลยไปหน้าบ้าน
“นับอะไรยะ”
ลลิสาค้อนใส่
“ก็ฉันนับ 1 เธอนับ 2 ยัยเด็กนักข่าวนั่นนับ3...เก่าไปใหม่มา”
ชลบุษย์พูดพลางยักไหล่
“คิดเหรอะว่าน้ำหน้าอย่างนังนักข่าวแถวหน้ากระดานนั่นจะเอาชนะฉันได้”
“เหรอจ๊ะ ได้ยินว่าบ้านเรามีเขตหวงห้ามเพิ่มขึ้นแล้วไม่ใช่เหรอ”
ชลบุษย์ขำเยาะใส่
“เรื่องสาระแนนี่ไม่มีใครเกิน ไม่รู้คุณปอนจะเสียเงินติดกล้องวงจรปิดทำไม”
ลลิสาทิ้งค้อนใส่
ชลบุษย์ยิ้มไม่แคร์ ตบไหล่ลลิสา
“ทำใจเถอะนะลิซ่า มันสัจธรรมของชีวิต”
ลลิสาสะบัดตัวออกจากมือชลบุษย์อย่างรังเกียจ
“ฉันอยากให้เธอทำความเข้าใจซะใหม่ให้ถูกต้องนะ เลิกหลงละเมอนับเพ้อๆ ว่าเธอเป็นอันดับ
1 ซะทีเถอะ”
ชลบุษย์จ้องหน้าลลิสา สีหน้าท้าทาย
“อย่างเธอกับนังนักข่าวแอ๊บนั่นไม่มีค่าพอที่คุณปอนจะนับหรอกย่ะ สำหรับคุณปอนฉันยังเป็นที่ 1 เสมอ” ลลิสายิ้มมั่นใจเดินกระแทกไหล่ชลบุษย์นำกลับเข้าไป ชลบุษย์ชอบใจเสียงดังออกมา
ลลิสาหยุดกึก หันกลับมามอง ชลบุษย์สีหน้ากวน
“ได้แต่ขำ พูดอะไรไม่ออก”
ชลบุษย์ชอบใจเดินกรีดกรายออกไปที่หน้าบ้าน ลลิสาขยับปากด่า พึมพำ
“อีบ้า” ลลิสาสะบัดหน้าพรืด เดินปึงปังกลับไปขึ้นชั้นบน
เขตต์ตวันขับรถมาส่งมัทนาที่หน้าโรงแรมอโณทัยแต่เช้า ท่าทางดูรีบร้อน มัทนายกมือไหว้
“ขอบคุณมากนะคะ”
“โชคดีนะน้อง อย่าไปเล่นน้ำกระแทกเซิร์ฟบอร์ดใครเข้าอีกล่ะ” เอกชัยบอก
“ไม่ต้องมาแซวกันเลยคุณเอก” มัทนาเหล่มองตวันเล็กน้อยที่ดูเฉยๆ ก่อนลงไปจากรถ
เขตต์ตวันกดกระจก หันบอก
“เย็นนี้รอฉันนะ”
มัทนาหันไปสบตากับเขานิ่งๆ เขามองตาเธอ
“จะมารับไปทานข้าว”
มัทนาชสบตาตวันราวต้องมนต์สะกด
“ค่ะ”
เขตต์ตวันกดปิดกระจกหน้าต่างแล้วขับรถออกไป เอกชัยหันมายกมือบ๊าย บาย มัทนาปั้นยิ้มยกมือบ๊ายบายตอบ มองตามรถไปจนลับสายตา
บริเวณล็อบบี้โรงแรม มัทนาแกะเมมโมรี่การ์ดออกจากกล้องมาใส่ซองพลาสติกเล็กๆ แล้วใช้ปากกามาร์คเกอร์เขียนชื่อ มัทนาและเบอร์ห้องพัก เธอส่งซองใส่เมมโมรี่การ์ดให้พนักงานต้อนรับ
“ฝากด้วยนะคะ อัดหมดทุกรูปเลย”
“ค่ะคุณมัท น่าจะได้พรุ่งนี้เช้านะคะ”
“เร็วกว่านั้นไม่ได้เหรอคะ อยากดูรูปเร็วๆ”
พนักงานต้อนรับสีหน้ายิ้มแย้ม
“ไม่ได้หรอกค่ะ ทางร้านเค้ามารับงานวันละครั้ง”
“โอเคค่ะ แต่ราคาพิเศษแน่นะคะ”
“แน่นอนค่ะ ลูกค้าวีไอพี”
“แพงกว่าคนอื่น” มัทนาตอบต่อทันที
พนักงานต้อนรับขำๆ บอก
“ไม่ใช่ค่ะ ได้แล้วดิฉันจะส่งขึ้นไปไว้ที่ห้องพักคุณเลยนะคะ”
“ขอบคุณค่ะ”
มัทนายิ้มแย้มให้พนักงานก่อนเดินไปขึ้นลิฟท์
มัทนาทิ้งตัวคว่ำลงนอนบนเตียง เธอพลิกหน้ามามองไปทางหน้าต่าง ยิ้มออกมาอย่างมีความหวัง
“มัทนา นักข่าวสายการเมือง อีกอึดใจเดียว สู้สู้ มัทนา”
มัทนายิ้มอย่างมีความหวังด้านการงานอยู่ก็ยิ้มแห้งลง เป็นหน้านิ่งเกือบซึมเมื่อเรื่องของเขตต์ตวันแว่บเข้ามาในใจว่า จะไม่ได้เจอกันอีกแล้ว มัทนาถอนใจ ลุกขึ้นนั่ง หมดอารมณ์จะนอนเล่นต่อแล้ว
ผ่านเวลาซักครู่ หน้าลิฟท์ของล็อบบี้ของโรงแรมเปิดออก มัทนาเดินออกมา เธอมองไปที่เคาน์เตอร์ต้อนรับ เห็นด้านหลังของเชนยืนอยู่ มัทนาเดินเข้าไปหา
บริเวณเคาน์เตอร์ต้อนรับ เชนดูรีบร้อน ลุกลี้ลุกลน พนักงานต้อนรับหยิบซองเอกสารให้ ถามด้วยความสงสัย
“เครื่องบินจะออกแล้วนี่คะ ทำไมคุณเชนยังไม่ไปสนามบินอีกคะ จะให้เรียกรถโรงแรมมั้ยคะ”
เชนรับซองเอกสารมาใส่กระเป่า ท่าทางรีบร้อน พร้อมตอบ
“ไม่เป็นไรครับ ผมเพิ่งกลับมาจากสนามบิน เผอิญนึกขึ้นได้ว่ามีธุระด่วน...ใครโทรมาหาผม อย่าบอกว่าผมกลับมาที่โรงแรมนะครับ”
พนักงานค้อนรับยิ้มแย้ม พร้อมทำตามคำสั่งลูกค้าอยู่แล้ว
“ค่ะ”
“ขอบคุณครับ”
“คุณเชน”
เชนสะดุ้งเฮือก หันมามองเห็นมัทนาก็ดีใจมาก
“มัท...ผมดีใจจังเลยที่เจอคุณ”
มัทนายิ้มหวานให้
“ทานข้าวกลางวันกันมั้ย”
“กำลังลงมาหาอะไรทานพอดีเลยค่ะ”
บริเวณร้านอาหารริมสระน้ำ บริกรยื่นบิลล์ค่าอาหารให้เชน
“เซ็นเข้าห้องพักเลยมั้ยครับ”
เชนสีหน้าใช้ความคิด
“ไม่เป็นไร จ่ายเงินสดดีกว่า”
เชนหยิบเงิน 2 พันให้บริกร มัทนาพูดยิ้มๆบอก
“กลับไปมัทคงมีเงินเหลือเยอะแยะ มาทำข่าวคราวนี้มีแต่คนเลี้ยง”
“ไม่ต้องห่วง ไว้คุณกลับกรุงเทพ ผมจะตามไปให้เลี้ยง”
“ได้เลยค่ะ นี่มัทเป็นหนี้เลี้ยงข้าวหลายคนแล้วนะคะเนี่ย” มัทนาพูดขำๆ
“มัทยังไม่ได้ให้นามบัตรผมเลย”
“จริงด้วยค่ะ”
มัทนาหยิบนามบัตรจากกระเป๋าสตางค์มาให้ เชนจับตามองตลอด รับนามบัตรมาอ่านเช็คอย่างละเอียดว่ามีทุกอย่างที่ตนต้องการมั้ย
“ขอบคุณมากครับ”
เชนเก็บนามบัตรไว้ในกระเป๋าเสื้อ ก่อนจะหยิบถุงกำมะหยี่ออกมาแทน
“ยื่นมือมาหน่อยสิครับ”
“อะไรคะ”
“ผมทำตามสัญญา”
มัทนาทำหน้างงๆ
“ยื่นมือมาสิครับ”
มัทนายอมยื่นมือแบออกมา เชนวางถุงกำมะหยี่ลงบนมือมัทนา
“อะไรคะ” มัทนาหยิบถุงเขย่ามือไปมาก็ได้ยินเสียงกระทบกันไปมา
“ไข่มุกไงครับ...ของขวัญสำหรับผู้หญิงที่น่ารักที่สุดคนนึงที่ผมรู้จัก”
“มัทรับไว้ไม่ได้หรอกค่ะ มันแพงเกินไป” มัทนาพูดด้วยความเกรงใจ
“ไม่ต้องกังวลหรอกครับ ราคามันก็ไม่ได้แพงมากมายอะไร ผมอยากให้มัทเอาไว้ไปทำเครื่องประดับใส่เล่นๆ”
มัทนาลังเลไปมา
เชนมีสีหน้าอ้อนวอน ขอร้อง
“รับไว้เถอะครับ ผมคงเสียใจมากถ้าคุณปฏิเสธ “
เชนสีหน้าแววตาดูเครียดๆ ขึ้นมา
“เก็บไว้เป็นที่ระลึกเถอะนะครับ ผมตั้งใจเลือกมาให้คุณเป็นพิเศษจริงๆ”
เชนมีสีหน้าลุ้นเหมือนกังวลมากถ้ามัทนาจะไม่รับ
“รับไว้นะครับ” เชนพูดย้ำ
มัทนาแปลกใจจนไม่กล้าปฏิเสธ
“ค่ะ”
เชนดีใจมาก หน้าที่แอบเครียดกลับยิ้มร่า ดีใจที่สุด
“ขอบคุณมากครับ”
เชนถอนใจออกมาอย่างโล่งอก มัทนามีสีหน้าแอบงงๆ เหลือบตามองซองกำมะหยี่ในมืออีกครั้ง
เชนเดินมาส่งมัทนาที่หน้าลิฟท์และกดลิฟท์ให้
“เอาไปเก็บไว้ในห้องก่อนก็ดีครับ”
“ไหนว่าของไม่แพงไงคะ”
“ไม่แพงแต่ก็กลัวหล่นหาย ผมอุตส่าห์ไปนั่งคัดมากับมือ” เชนสีหน้างอนๆแอบน้อยใจเหมือนมัทนาไม่ให้ความสำคัญกับไข่มุกที่ตนให้
มัทนายิ้มแย้ม
“โอเคค่ะ มัทจะเอาไปใส่กระเป๋าเดินทาง ล็อกเอาไว้อย่างดีเลย”
เชนยิ้มแย้ม
“ขอบคุณครับ...นี่มัทจะกลับกรุงเทพเมื่อไหร่”
“ถ้าคุณตวันไม่ลีลา วันนี้มัทสัมภาษณ์เสร็จ ก็อาจจะกลับพรุ่งนี้เลย”
ลิฟท์เปิดพอดี
เชนยิ้มแย้มบอก
“งั้นเจอกันที่กรุงเทพนะครับ”
“ค่ะ โชคดีนะคะ”
มัทนาเข้าลิฟท์ไปแล้วบ๊ายบายให้ เชนยิ้มโบกมือตอบ พอลิฟท์ปิดไป เชนยิ้มเหือดหายไปทันที สีหน้ากลับกลายเป็นกังวลมากขึ้นมา
มัทนานั่งบนเตียงเทไข่มุกในถุงกำมะหยี่ออกมาบางส่วนใส่ในมือ พบว่าเป็นไข่มุกดำหลายเม็ด สวยจับตามากจนเธอแอบตะลึง
“ว๊าว...ขนาดไม่ใช่มุกเกรดเอนะเนี่ย ยังงามขนาดนี้”
มัทนาเขี่ยไข่มุกดำในมือดูไปมาพลางบ่น
“แต่ให้ผิดคนแล้วล่ะคุณเชน”
มัทนาเทไข่มุกดำในมือใส่รวมกับไข่มุกที่เหลือในถุงกำมะหยี่ เธอรูดถุงกำมะหยี่ปิด ยกขึ้นมอง
“ใครจะเป็นผู้โชคดีเอ่ย”
มัทนายิ้มแล้วโยนถุงกำมะหยี่ไปใส่กระเป๋าเดินทางที่เปิดอ้าอยู่มุมห้องก่อนทิ้งตัวลงนอนสบายบนเตียง
เวลาเย็น เอกชัยเดินมาทางสนามข้างบ้านตวัน กดโทรศัพท์มือถือหามัทนา โทรศัพท์มือถือของมัทนาที่วางอยู่หัวเตียงดังต่อเนื่อง มัทนาใส่เสื้อคลุมอาบน้ำกลับเข้ามาถึงห้องพอดี รีบวิ่งไปรับโทรศัพท์
“สวัสดีค่ะคุณเอก”
“หลับเหรอ ไม่ยอมรับสายเลย”
“ไปว่ายน้ำเล่นมาค่ะ จะมาถึงกี่โมงคะคุณเอก”
เอกชัยสีหน้าขรึมๆ คุยมือถือ
“สงสัยวันนี้เธอจะรอเก้อแล้วล่ะ ปอนมันอารมณ์เสียมาก”
“มีปัญหาอะไรเหรอคะ เกี่ยวกับมัทรึเปล่า”
“ไม่ใช่หรอก ปอนมันจะเล่นเกมปิดประตูตีแมวซะหน่อย แต่พลาด แมวมันเก้าชีวิตสลัดหางหนีรอดไปได้”
มัทนา ยิ้มๆ
“สลัดหางทิ้งมันน่าจะจิ้งจกมากกว่าแมวนะคะ”
“เหรอ แล้วจะพูดว่าไง สะบัดตูดเหรอะ”
“มัทไม่เข้าใจเรื่องที่คุณปอนอารมณ์เสียหรอกนะคะ แต่สรุปว่าวันนี้ยกเลิกนัดใช่มั้ยคะ”
เอกชัยจะอ้าปากตอบมัทนา เสียงเขตต์ตวันดังมาจากด้านหลัง
“แกคุยกับมัทนาอยู่รึเปล่า”
เอกชัยหันมองไปด้านหลัง ดูตะลึงปนอึ้งเล็กน้อย
เอกชัยมองดูเพื่อน สายตาแปลกใจปนตะลึง
“ว้าว”
เขตต์ตะวันใส่กางเกงยีนส์สีซีดกับรองเท้าผ้าใบเตะใส่ขาเอกชัย
จบตอนที่ 6
อ่านต่อตอนที่ 7 เวลา 17.00น.