พล นิกร กิมหงวน เดอะมิวสิคัล ตอนที่ 5 ตอน วิวาห์สองเกลอ
พุทธศักราช 2481ถนนในแถบรองเมืองอันเป็นที่ตั้งของบ้านเจ้าคุณปัจจนึก เวลาเช้าตรู่
เจ้าคุณปัจจนึกลงมาจากบันไดบ้าน คงเข้ามารับ
"ไปเอารถออกมาตอนนี้เลยนะ ชั้นจะไปบ้านท่านเจ้าคุณวิจิตรบรรณาการที่ถนนเพชรบุรี"
"ครับ ใต้เท้า"
ภายในตลาดสดยามเช้าแห่งหนึ่ง มีแม่ค้าวัยกลางคนนั่งขายส้มฟักอยู่แผงหนึ่ง
"ส้มฟัก ปลาส้มลพบุรีค้า"
พล นิกรเดินมา
พลยิ้มถาม
"ขายยังไงครับคุณน้า"
แม่ค้ายิ้มตอบ
"อันละสิบสตางค์เจ้าค่ะ"
"ทั้งผักชีใบหอมถั่วลิสงงั้นหรือครับ" นิกรถาม
"ก็ยังงั้นน่ะซีคะคุณ"
"ถ้าชั้นไม่เอาเครื่องละ"
"แล้วคุณจะรับประทานยังไงกัน"
พลหัวเราะ
"ชั้นไม่ซื้อไปรับประทานเองหรอกน่า จะซื้อเอาไปหลอกคุณพ่อว่า ชั้นน่ะไปเที่ยวลพบุรี
กลับมา"
แม่ค้าหัวเราะชอบใจ หมูมาถึงปากแล้ว
"คุณต้องการสักกี่อันละคะ"
"เดี๋ยวคุณน้า พูดจาตกลงกันก่อน ถ้าชั้นเอาส้มฟักเปล่าๆคิดเท่าไร"
"อันละสิบห้าสตางค์เจ้าค่ะ"
"หา เมื่อตะกี้ทั้งเครื่องด้วย น้าบอกอันละสิบสตางค์ไง พอไม่เอาเครื่องกลับแพงขึ้นอีก"
แม่ค้าซ่อนยิ้ม
"แต่คุณบอกคุณจะซื้อไปหลอกคุณพ่อนี่เจ้าคะ ดิชั้นก็มีส่วนได้ส่วนผิดศีลเหมือนกัน ก็
ต้องขอขึ้นราคาสักนิดหน่อย"
สองคนสะดุ้ง
"อ้า คุณน้า ห่อส้มฟักให้ยี่สิบอันจ้ะ" นิกรบอก
"ได้ค่ะ ดิชั้นคิดอันละ ยี่สิบสตางค์นะคะ"
พลตะโกนลั่น
"อันละยี่สิบ เมื่อกี้ยังสิบห้าอยู่เลย"
"ของลพบุรีแท้ๆนะคะ ในตลาดนี้มีเจ้าเดียว ไม่ซื้อก็ตามใจเถอะค่ะ"
สองคนมองหน้ากัน
"เอ้า ชั้นเอายี่สิบอัน นี่เงินสิบบาท"
แม่ค้าเอาใส่ถุง
พลหยิบใบละห้าให้สองใบ
"ขอบคุณค่ะ แต่ยังขาดอยู่สิบสตางค์"
" บ๊ะ ขาดอะไรอีก"
"ค่าชะลอมค่ะ"
" ค่าชะลอม!"
"มีธรรมเนียมที่ไหน ชั้นซื้อของก็ต้องแถมชะลอมสิ" พลว่า
"ไม่ใช่ธรรมเนียมของดิชั้นค่ะ ถ้าไม่ให้อีกสิบตังค์ก็เอาชะลอมดิชั้นคืนมา"
สองคนแค้นมาก
นิกรถาม
"ไม่มีชะลอมแล้วจะเอาไปยังไง"
แม่ค้าลอยหน้าลอยตาตอบ
"ไม่ทราบค่ะ"
สองคนร้อง " ฮึ่ม"
บ้านการุณวงศ์ เช้าต่อเนื่อง นาฬิกาบอกเวลาเจ็ดโมงเช้า สาวใช้พาเจ้าคุณเข้ามา นันทาเข้ามาไหว้
"มาหาคุณพ่อหรือคะ"
" ใช่จ้ะ ชั้นพระยาปัจจนึกพินาศ ขอโทษด้วยที่มาเสียเช้าตรู่ป่านนี้ มันมีเรื่องจำเป็น"
"ไม่เป็นไรค่ะ คุณพ่อตื่นแล้วค่ะ" นันทาบอกกับสาวใช้ "ไปเรียนคุณพ่อนะว่ามีแขก"
" ค่ะ"
สาวใช้ออกไป
" เชิญทางนี้ค่ะ"
นันทาพาเจ้าคุณเดินไปทางห้องรับแขก
"หนูเป็นลูกสาวเจ้าคุณวิจิตรหรือ"
" ค่ะ"
" เอ้อ งั้นอาขอถามหน่อยว่า หนูน่ะ รู้จักคนชื่อนิกร การุณวงศ์ กับ พล พัชราภรณ์หรือเปล่า"
นันทาสะดุ้ง หยุดทันที
"นิกรเป็น น้องชายหนูเองค่ะ ส่วนพล เป็นญาติ ค่ะ ไม่ทราบสองคนนี่ไปทาอะไรพิเรนทร์ๆอีกหรือเปล่าคะ"
"เจ้าสองคนนี้ปลอมแปลงตัวไปอยู่บ้านอาสองสามวัน นิกรปลอมเป็นนายก้อนคนสวน ส่วนพลน่ะปลอมเป็นนางพันเมียคนสวน"
ตาก้อนและนางพันยังชัดเจนในความคิดเจ้าคุณ
" หา! ปลอมแปลงตัวขนาดนั้นเพื่ออะไรคะ"
" มันสองคนจ้องจะเต๊าะประภา ประไพ ลูกสาวของอาน่ะซี่ ชิชะ กลางคืนแอบนัดพบกันในสวน"
นันทาหึงพลขึ้นมาทันที
"จริงหรือคะ"
เจ้าคุณวิจิตรบรรณาการเดินมาพอดี
"อ้าว เจ้าคุณ เชิญทางนี้เลย มีอะไรหรือครับ"
สองคนเดินไป ทิ้งนันทาหน้าถมึงทึงอยู่
สักครู่ต่อมา เจ้าคุณปัจจนึกและเจ้าคุณวิจิตรนั่งคุยกันอยู่ในห้องรับแขก หลังทราบความจริง
"แหม ผมอยากจะเอาเลือดหัวมันออกจริงๆครับ" เจ้าคุณวิจิตรว่า
ปัจจนึกหัวเราะ
"ผมเองก็ไม่ได้โกรธเคืองอะไรหรอกเจ้าคุณ พลกับนิกรเป็นลูกหลานเจ้าคุณก็เหมือนลูกหลานผม"
"เดี๋ยวผมจะต้องจัดการกับมันให้กราบเท้าขออภัยเจ้าคุณ"
" ผมไม่ถือหรอกครับ ไอ้ลูกสาวผมมันก็พอกันละ เด็กหนุ่มสาวสมัยนี้มันไม่เหมือนสมัยเรายัง
หนุ่มๆ"
เสียงรถแล่นเข้ามา
"สงสัยไอ้เปรตสองตัวมันจะมากันแล้ว"
เจ้าคุณวิจิตรลุกไปดู
"นั่นไง รถแทกซี่มาส่งจริงด้วย เจ้าคุณครับ ผมอยากจะดูความกะล่อนของมันนัก เจ้าคุณหลบไปในห้องข้างนี้เสียก่อนนะครับ"
เจ้าคุณวิจิตรพาเจ้าคุณปัจจนึกไปแอบห้องข้างๆ
นันทานั่งหน้าบึ้งอยู่ พลและนิกรเดินถือชะลอมส้มฟักเข้ามา พอเห็นพล นันทาก็ค้อนขวับทันที
"นันจ๊ะ พลเพิ่งกลับมาจากลพบุรี นี่จ้ะ ของฝาก"
นันทามองชะลอมแบบรู้ทัน
"ขอบใจนะที่มีแก่ใจซื้อมาฝาก แต่ไม่ต้องการหรอกค่ะ"
"ดีเหมือนกันพล เค้าไม่เอาเราจะได้กินกันให้เปรม" นิกรบอก
" เสือก!"
นิกรวางชะลอม ยกมือเท้าสะเอว
"ว่าใครเสือก"
นันทาชี้หน้า
"ว่าแกนั่นละ ไม่ต้องมาทำตาเขียว แกจะกัดชั้นเหรอ"
นิกรคำราม ขบกรามแน่น
"พี่นัน ถอนคำพูดเดี๋ยวนี้!"
" ไม่ถอนแกจะทำไม"
"ชั้นบอกให้ถอน คำพูดว่าเสือกนั่นน่ะเป็นการดูหมิ่นชั้น"
นันทาลุกขึ้นยืน
"ประเดี๋ยวแม่"
"ทำไม จะทำไม"
" ตบหน้าแกน่ะซี"
"เอ้าตบสิ ใครไม่ตบไม่ใช่คน"
นันทาเงื้อมือตบหน้านิกรฉาดใหญ่
"อูย พี่นัน! พี่นันดูหมิ่นชั้นแล้วตบหน้าชั้น"
" เออ แกจะทำไมละ"
นิกรเสียงอ่อย
"ไม่ทำอะไรหรอก เพราะเห็นว่าเป็นพี่นะเนี่ย ไม่งั้นละก็..."
นันทาแค่นหัวเราะ
"โธ่ ไอ้ลิงล้างก้น"
" ชะๆ ยังดีกว่าพี่นันละ แม่ลิงไม่ล้างก้น"
นิกรกระโดดหนี
นันทาแค้นจะร้องไห้
"แก.. แกมาว่าชั้นเป็นลิงไม่ล้างก้น แกรู้ได้ยังไง"
"อุ๊ย จะร้องไห้ เอ้า แต่ช้าแต่"
" อ้ายผีบ้า อ้ายห้าร้อยละลายมะขามเปียก ไอ้..."
นันทาก้มลงหยิบรองเท้าที่ถอดวางไว้ข้างโซฟาขึ้นมา
พลคว้าข้อมือ
"อย่า นัน"
" ปล่อยจะพล นันจะขว้างกบาลไอ้เด็กนี่ บอกให้ปล่อยไง"
" อย่าปล่อยนะเว้ย"
เจ้าคุณวิจิตรเดินออกมาจากห้องรับแขกพอดี
"คุณพ่อ" นิกรทักเรียก
พลและนิกรทรุดตัวนั่งคลานแข่งกันมากราบเจ้าคุณ
วิจิตรยิ้มด้วยความหมายลึกซึ้ง
"ยังไงลูก เพิ่งมาจากลพบุรีเหรอ ไปคุยกับพ่อในห้องรับแขกเถอะ"
สองคนทำหน้าเลิ่กลั่กเดินตามเจ้าคุณไป
นันทาอารมณ์เสียเดินกระแทกเท้าออกจากห้องขึ้นบันไดไปข้างบน
ภายในห้องรับแขก พลและนิกรนั่งอยู่กับพื้น เจ้าคุณวิจิตรนั่งบนเก้าอี้ เจ้าคุณปัจจนึกแอบมองอยู่ที่ห้องเล็กข้างๆ
เจ้าคุณวิจิตรถามหลานชาย
"ไหนดูสิ พล ซื้ออะไรมาฝากลุง"
"นี่ครับ ส้มฟักลพบุรี"
วิจิตรยิ้ม
"กลับมากันยังไงละ"
"ทางเรือครับคุณพ่อ" นิกรบอก
"อ้อ ค่าเรือคนละเท่าไร"
นิกรกระสับกระส่าย
"บาท.. บาทเดียวครับ"
"อ้อ แล้วทำไมมาทางเรือกันละ"
"เราอยากชมภูมิประเทศทางน้ำครับ"นิกรบอก
"ค่าเรือเท่าไรนะ"
พลเลิกลั่ก นิกรแอบยกนิ้วขึ้นแทนเลขหนึ่ง
"สลึงเดียวครับ"
เจ้าคุณปัจจนึกที่แอบอยู่ อดนึกขันไม่ได้
นิกรโพล่งขัด
"ไอ้บ้า นั่นมันค่าเก้าอี้ผ้าใบ ค่าเรือน่ะมันหนึ่งบาทW
"ครับ จริงด้วยค่าเรือหนึ่งบาท"
วิจิตรถาม
" เรือผ่านบ้านแพนตอนกี่โมง"
"เอ้อ อ้า ห้าโมงครับ" นิกรว่า
"พลแกว่าไง" วิจิตรถาม
"เหมือนนิกรครับ มาเรือลำเดียวกัน"
"เรือชื่ออะไร เดินจากไหนถึงไหน พล"
"เรือเขียวบริษัทพิทักษ์พานิชครับ แต่ชื่ออะไรจำไม่ได้"
วิจิตรสั่นหัว แล้วหัวเราะ
"ไอ้จอมกะล่อน มึงสองคนโกหกเก่งที่สุดในโลก แกนึกว่าชั้นโง่เหรอ มีอย่างที่ไหน ชะชะ เรือจากลพบุรีไม่ผ่านบ้านแพนเว้ย ข้าจะบอกให้ เรือมาทางกรุงเก่า"
"นั่นละครับ ผมเรียกบ้านแพน" พลบอก
"ยังจะโกหกอีก ชั้นรู้นะว่าแกสองคนไม่ได้ไปบ้านแพน แกคงอยู่ในกรุงเทพใช่มั้ยละ"
นิกรทำขรึม
"โธ่คุณพ่อ ผมกับพลจะกล้าโกหกคุณพ่อเชียวหรือครับ ส้มฟักนี่ก็เป็นพยานอยู่"
"ให้มึงตายโหงตายห่า"
พล นิกรรับ "ครับ"
"ให้พระแก้วพระกาฬหักคอมึง"
"ครับ"
ให้มึงรากเลือดลงแดงตายก้าวไปธรณีสูบ
"ครับ"
อ่านต่อหน้า 2
พล นิกร กิมหงวน เดอะมิวสิคัล ตอนที่ 5 ตอน วิวาห์สองเกลอ (ต่อ)
เจ้าคุณวิจิตรอึ้งไป มองสองคนด้วยความประหลาดใจที่กล้าสาบาน พอดีสาวใช้คลานเข้ามา
"ท่านคะ คุณพระโกศลขอพูดด้วยค่ะ"
"พระโกศล"
เจ้าคุณวิจิตรออกไปรับโทรศัพท์
"คุณพระหรือครับ มีอะไร"
เจ้าคุณปัจจนึกแอบมองอยู่ เห็นสองคนท่าทางเลิ่กลั่ก พูดกันว่า
"ยังไงซะแล้วเว้ย หรือว่าอีตาเจ้าคุณกบาลเหน่งมาหาคุณพ่อ"
"นั่นสิ กันรู้สึกเหมือนได้กลิ่นเหม็นเขียวในห้องนี้"
เจ้าคุณปัจจนึก สะดุ้งด้วยความแค้น
"จริงว่ะ ได้กลิ่นจริงๆด้วย เหม็นเขียวชวนคลื่นไส้ราวกับแพ้ท้องเชียว" นิกรบอก
พลหัวเราะก๊าก
"หัวแกล้านผิดกับคนอื่นนิ มันแผล็บราวกับลูกแก้วใสเขียว แกลองนึกสิว่าเจ้าคุณอยู่ในหัวล้านประเภทไหน"
"มีกี่ประเภทวะ" นิกรถาม
"เจ็ด... ทุ่งหมาหลง ดงช้างข้าม ง่ามเทโพ ชะโดตีแปลง แร้งกระถือปีก ฉีกขวานฟาด ราชครึงเครา"
นิกรตบมือกระทืบเท้าหัวเราะลั่น
"เจ้าคุณเป็นแบบดงช้างข้ามโว้ย" นิกรบอก
สองคนหัวเราะกัน
เจ้าคุณปัจจนึก เหลือที่จะทนได้ จึงเดินออกมายืนข้างหลังสองคนนั่น ขมกรามแน่น
พลหันมาเห็นเจ้าคุณโดยบังเอิญ ใบหน้าซีดเผือดหัวใจแทบหยุด นัยน์ตาเจ้าคุณจ้องถลนเถลือกราวจะออกนอกเบ้า แต่นิกรไม่รู้เรื่องหันไปแกะชะลอมส้มฟัก
พลค่อยๆลุกขึ้น ถอยหลังออกไปจากห้องอย่างเงียบๆ
นิกรยังไม่รู้เรื่อง
"เออ จริงเว้ย อีตาเจ้าคุณหัวล้านคงมาฟ้องคุณพ่อแน่ๆ เอ้า ส้มฟัก แกะออกมาแล้ว"
นิกรส่งส้มฟักให้ เจ้าคุณนั่งลงกับพื้นและรับไว้
"กินซะสิลูกรักของพ่อ"
นิกรเอามือลูบหัวด้วยความคึกคะนอง แล้วก็สะดุ้งเฮือกเมื่อสัมผัสกับความล้านเลี่ยน นิกรหันขวับมา
"ตายห่า ใต้เท้าหรือนี่ ผม... โอย... เทวดาอารักษ์ ผมไม่ได้มีเจตนาเลย คือ..."
เจ้าคุณวิจิตรเข้ามาพอดี เห็นเจ้าคุณปัจจนึกนั่งกับพื้นก็สะดุ้ง
"อ้าว เจ้าคุณ ทำไมมานั่งที่พื้นละครับ"
ปัจจนึกหายใจถี่เร็ว
"ใครจะทนอยู่ได้ เจ้าลูกชายและหลานชายของเจ้าคุณมันนินทาผมป่นปี้ มิหนาซ้ำเจ้ากรนี่ยังลูบหัวผมเล่นอีก"
วิจิตรตะลึง หันมาทางนิกร
"มึงจับหัวท่าน"
เจ้าคุณวิจิตรเผ่นไปหยิบตะพดข้างโต๊ะพัดลมมาถือไว้
"ไอ้กร ทำไมมึงระยำอย่างนี้"
"ผม ผม เปล่าครับคุณพ่อ ผม นึก นึกว่าท่านเป็นพล เลยจับหัวเล่น ... อย่า อย่าตีผมนะครับ"
เจ้าคุณวิจิตรขยับตะพดไปมา เงื้อจะตีแต่ไม่กล้า กลัวลูกชายหัวจะแตก
"มัน..มันเจตนาหรือเปล่าครับ เจ้าคุณ"
"ง่า.. เห็นทีจะไม่เจตนาหรอกครับ เรื่องจับหัวนี้ผมให้อภัยได้นึกว่าเป็นช่างตัดผมแล้วกัน แต่ที่วิจารณ์ผมว่าผมหัวล้านแบบดงช้างข้าม ผมไม่ให้อภัยเด็ดขาด!"
"ไอ้พวกนี้เลวมาก ไอ้เด็กระยา นี่ไอ้พลหายไปไหน พล พลเว้ย"
ที่หน้าห้อง พลขานรับ
"อยู่นี่ครับ"
พลคลานเข้ามา ในมือถือพานกาไหล่ทอง ธูปเทียนพร้อม
"ผมกับนิกรไม่ได้ตั้งใจครับ ผมขอขมาใต้เท้าด้วย"
"เราสองคนไม่ควรล่วงเกินท่านเลย ถึงท่านจะล้านก็ล้านอย่างสง่า" พลว่า
วิจิตรเงื้อตะพด
"เฮ้ย ไม่ต้องวิจารณ์แล้วเว้ย"
พลและนิกรกราบเจ้าคุณปัจจนึก
"เอาเถอะ เรื่องแค่นี้อาอภัยให้ได้ ต่อไปอย่าพูดเรื่องที่ทำให้อาสะเทือนใจอีกแล้วกัน"
"ครับ ต่อไปผมจะไม่พูดเรื่องหัวล้านหัวเหลืองอีกแล้วครับ" พลบอก
ปัจจนึกกับวิจิตโพล่งพร้อมกัน " พอ!"
นันทานั่งงอนพลอยู่ที่เก้าอี้ริมหน้าต่างในห้องนอน พลเข้ามาที่หน้าประตู
"นันจ๊ะ"
นันทาหันขวับไป
"เข้ามาทำไมยะ ที่นี่ไม่มีความหวานหรอกย่ะ เชิญไปบ้านศิริสวัสดิ์เถอะ"
"โธ่ นัน พลนึกแล้วไม่ผิด ว่านันจะต้องเข้าใจไปทางอกุศล"
"ฮึ อย่ามาพูดเลย เค้ารู้หรอกน่า ว่าไปหลงเสน่ห์แม่ประภา"
"ไม่จริงเลย พลไปเป็นเพื่อนนิกรต่างหาก ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียเลย"
"สาบาน"
"ให้รากเลือกลงแดงตาย ให้ฟ้าผ่าธรณีสูบให้ตาย แล้วอย่าได้พบพระเจ้าร้อยกัลป์อนันตชาติให้ตกอยู่ในนรกอเวจีให้ ให้ตกน้ำป๋อมแป๋มเอ้า"
นันทาอดยิ้มไม่ได้ พลได้ทีจึงรีบจับมือแล้วก็ประคองกอดไว้
เพลง "พ่อแง่แม่งอน" (คำร้อง เกษม ชื่นประดิษฐ์ ทำนอง สมาน กาญจนะผลิน)
พล "พี่จากจอมขวัญ ไม่เห็นหน้าน้องวัน แสนจะเศร้า คิด เจ้าคิดถึง พี่บ้างหรือเปล่า เมื่อคราว ที่แรมร้างไกล"
นันทา "ไม่เคยคิด ถึงใคร"
พล "หัวใจพี่ยัง ห่วงบังอร"
นันทา "ไม่รู้ ไม่อยากฟัง"
พล "ช่างพกแต่ แง่งอน"
นันทา "ไม่ใช้มา ไหว้วอน"
พล " จะง้องอน ร่ำไป"
นันทา "อย่าคิดมา ห่วงใย"
พล "ไม่รัก พี่ไม่มา"
นันทา "ก็ใครไปเชิญ หรอกหนา เขาชังน้าหน้า เหลือดี"
พล "จริงรึ"
นันทา" จริงซิ"
พล "แน่นะ"
นันทา " อ๋อ แน่ซิ"
พล " อย่ายั่วนะ"
นันทา "ไม่ยั่วซิ"
พล "คนอวดดี"
นันทา " จะอวดดี"
พล " งั้น พี่ไป"
นันทา " จะไป แห่งใดหรือนี่"
พล "ก็อยากมาไล่ เขาดี"
นันทา " ขืนไปดูซี่ แล้วไม่ต้องมา"
พล " เจ้ารักพี่ ก็รู้"
นันทา " เจ้าชู้ ไม่สร่างซา"
พล "พี่รัก แต่แก้วตา"
นันทา "อย่าหวาน ประจบเลย"
พล " พี่รัก จนสุดเฉลย"
นันทา " เอ่ยเสีย จนเบื่อฟัง"
พล " เรามาลืม ความหลัง รักกันดังเก่า นะเอย"
พลก้มลงจูบนันทาเสียงดังฟอดใหญ่
ภายในห้องรับแขก เจ้าคุณปัจจนึกกำลังจะกลับ ลุกขึ้น
"งั้นผมกลับล่ะครับท่านเจ้าคุณ"
"ครับ"
ปัจจนึกออกเดิน วิจิตรตาม
สองคนเดินจากห้องรับแขกไปที่โถงด้านหน้า
"เจ้าคุณอย่าลืมเล่าความวิตถารของพลกับนิกรให้เจ้าคุณกับคุณหญิงประสิทธิ์ฟังนะครับ"
"อ๋อ แน่นอนเชียวครับ จะได้ขนาบกันซะบ้าง ไอ้ลูกหลานผ่าเหล่า ช่างไม่เอาถ่านเลยจริงๆ"
พลกำลังง้องอนนันทาต่อ
" นันจ๋า อย่าโกรธพลเลยนะ พลรับรองว่า ผู้หญิงในโลกนี้นอกจากนันแล้วพลไม่รักใครเลย"
"แล้วแม่ประภาละ"
"พลก็แค่ขโมยจูบไปหนเดียวเท่านั้น คือ ถ้ามีโอกาสได้จูบฟรี พลก็จูบทั้งนั้นละ ตั้งแต่สิบสาม
ขวบจนห้าสิบขวบ"
นันทาแค้น
"ผู้ชายอะไร เกิดมาไม่เคยพบ"
นันทาจะลุกขึ้นเดินออกไป พลเห็นนันทาจะโกรธจริงๆเลยใช้ลูกไม้หน้าด้านสะพานช้าง ย่อตัวลงแล้ววิ่งมาสกัดหน้า รำด้วยทำนองเพลงลิเก
"อนิจจายาหยี อันความผิดแค่นี้หรือจะผลักไส จงยกโทษให้สักที เพราะตัวพี่นี้ไวไฟ"
"บ้า หน้าด๊านหน้าด้าน คนอะไรเกิดมาไม่เคยพบ"
ทันใดนั้นนิกรในชุดโจรป่าก็รำเข้ามา นิกรใส่เสื้อเชิ้ตแขนสั้น แต่นุ่งผ้าข้าวม้า มีผ้าคาดแดงอยู่บนหัว หน้าผัดขาวว่อก มือถือดาบงานวัด
"ดูกรเจ้าหนุ่มน้อย เรานี้มีนามกระดิ่งทอง เป็นจอมโจรอยู่ในป่า เจ้าพาผู้หญิงเข้ามาในแคว้นแดนเรา เจ้าจะต้องเสียค่าไถ่เป็นเงินหนึ่งสลึง"
นันทาอดขำไม่ได้ หัวเราะแล้วนั่งลง
พลร้องต่อ
"เหม่ๆไอ้โจรกุ๊ย มาขู่เข็ญเอาซุ้ยกับตัวข้า จงหลีกไปให้พ้นทาง อย่าขัดขวางจะมรณา"
ทั้งสองฟันดาบกันแบบลิเก ปากร้องทำนองเพลงเชิดฉิ่ง
พลถูกนิกรขัดขาล้มลงกลางห้อง พลลุกขึ้นแล้วหยิบแก้วน้ำที่วางบนโต๊ะเครื่องแป้งสาดหน้าโจรทันที
นิกรก้มหัวหลบลง จังหวะนั้นเจ้าคุณวิจิตรเดินเข้ามาพอดี น้ำทั้งแก้วสาดเข้าไปที่หน้าเจ้าคุณวิจิตรเต็มรัก สองคนตกตะลึง
วิจิตรโกรธปากสั่น
"มึง หมด กูเปียกหมด ไอ้เวรนี่ไม่รู้จักเป็นผู้หลักผู้ใหญ่กันมั่งเลย"
พลคลานไปกราบ
" ผมขอประทานโทษครับคุณลุง ผมไม่เห็นคุณลุงจริงๆ"
"เลวมาก เลวทั้งคู่ ชั้นไม่เห็นว่าแกทั้งคู่จะทำอะไรนอกจากจะกินแล้วก็เที่ยวหาความเดือดร้อนให้พ่อแม่ เป็นลิงเป็นค่างไม่รู้จักโต"
นันทาเห็นหน้าเจ้าคุณแล้วหัวเราะกิ๊กกั๊ก
"หัวเราะอะไรนันทา แกนี่หน้าเป็นใหญ่แล้ว"
"ก็มันน่าขันนี่ค่ะ คุณพ่อ"
"ขันอะไร ชั้นไม่เห็นมีอะไรน่าขัน"
นันทาหัวเราะลั่น
"คุณพ่อส่องกระจกสิคะ น้ำในแก้วน่ะ ลูกละลายไว้ชโลมหน้าตอนเข้านอนค่ะ"
เจ้าคุณเดินไปส่องกระจก เห็นเงาตัวเอง แป้งขาวว่อกไปหมด
"เฮ่ย"
อ่านต่อหน้า 3
พล นิกร กิมหงวน เดอะมิวสิคัล ตอนที่ 5 ตอน วิวาห์สองเกลอ (ต่อ)
หลายวันต่อมา นิกรขับรถมาตามถนนเข้าบ้าน แล้วเดินจะขึ้นบ้านเพื่อมาหาพล เห็นเจ้าแห้วนั่งหงอยเหงาอยู่
"เฮ่ย พลล่ะ"
แห้ว จุ๊ๆ "อย่าเอ็ดไปคุณกร คุณพระกำลังฟังเทศน์"
"ใครเทศน์"
"ก็ท่านเจ้าคุณและคุณหญิงน่ะซีครับ"
"เรื่องอะไร"
"ก็เรื่องเอาแต่เที่ยวและไม่รับประทานถ่านน่ะซีครับ คุณก็โดนด้วย ผมคิดว่าตอนนี้ทะเลกำลัง
เกิดมรสุม หากท่านเห็นคุณเข้าท่าจะแย่"
นิกรลืมตาโพลง
"งั้นอั๊วแจวละเว้ย"
นิกรหันหลังกลับวิ่งเหยาะไป ได้ยินเสียงพระยามัจจุราชข้างหลัง
"กร มานี่เดี๋ยวนี้ อย่าหนีนะ ชิชะ บอกให้กลับมาไง"
นิกรหน้าซีด รีบกลับมา
"ไอ้แห้ว มึงเป็นคนบอกนิกรใช่มั้ยว่า ข้ากับเจ้าคุณกาลังดุเจ้าพล" วาดถาม
"ปละ..เปล่าครับผม"
"อย่าโกหก เดี๋ยวแม่ตบนัยน์ตาพลัด"
"รับประทานไม่ได้บอกครับ"
"รับไปเถอะวะไอ้แห้ว แกเป็นคนบอกชั้นจริงๆนี่หว่า"นิกรว่า
แห้วเคืองจัด วาดตะคอก
"ทำไมต้องโกหกข้า"
"รับประทานไม่ได้โกหกครับ แค่พูดปด"
วาดหัวเราะเสียงกร้าว
เคยสอนมึงไปกี่หนแล้ว ตั้งแต่ยังเล็กว่าไม่ให้โกหก นี่แน่ะ โทษที่โกหก"
คุณหญิงวาดเงื้อมือขึ้นสุดแขวนเหวี่ยงไปตรงหน้าแห้ว
แห้วหลบ มือคุณหญิงฟาดนิกรดังฉาด
"โอ๊ย"
แห้วเผ่นหนีไป
วาดยิ้ม
"ไม่ใช่ความผิดขออานะ"
นิกรแหกปากดังลั่น
"โอย แก้วหูจะแตกแล้วครับ คุณอา โอ๊ย"
"มาให้ตบแก้เสียอีกข้างจะได้หาย"
พลและเจ้าคุณเข้ามา
เจ้าคุณประสิทธิ์นิติศษสตร์ถาม " อะไรกัน"
"เป็นอะไรกร" พลถาม
"โอย พล... พล"
"อะไร"
"เผ่นเว้ย"
นิกรวิ่งนำ พลวิ่งตาม เจ้าคุณกับคุณหญิงเอะอะตามหลัง
เวลาต่อมา นิกรขับรถออกจากบ้าน พลนั่งข้างๆ หัวเราะกันดังลั่น
"ไปไหนดีวะ"
"ไปดูหนังที่โอเดียนกันเถอะ เรื่องโรบินฮู้ดผจญภัย เค้าว่าสนุกมาก"
กรุงเทพฯ ยามเย็น ท่ามกลางบรรยากาศของรถลาก รถเจ๊ก จักรยาน สามล้อ คนเดิน ที่ข้างถนนมีผู้หญิงสองคนยืนอยู่ คนหนึ่งคือ มยุรี รูปร่างสูงโปร่ง อีกคนท้วมๆหน่อย ชื่อลักษณา ทั้งสองแต่งตัวทันสมัย
รถของนิกร มีพลนั่งอยู่ด้วย แล่นมา ลักษณาโบกมือให้
"แท็กซี่"
พล นิกรใส่กางเกงสากล เสื้อแพรกระดุมทอง
"สนุกกันอีกแล้วเว้ย กร ของกันจองคนอ้วนนะ"
นิกรยักคิ้วให้ แล้วจอดรถ
"ไปโรงหนังโอเดียน เท่าไร" ลักษณาถาม
นิกรตอบนอบน้อม
"โอเดียนหรือครับ ขอสิบสตางค์ครับ"
มยุรีบอก
" อุ๊ย ทำไมถูกจัง"
สองคนเข้าไปในรถ นิกรออกรถ
ภายในรถ ลักษณาถาม
"นี่รถคันนี้น่ะ เช่าเค้ามาหรือรถของแกเอง"
"รถของผมเองครับ" นิกรบอก
"ที่จริงแกควรเรียกค่าโดยสารชั้นซักห้าสิบสตางค์เป็นอย่างน้อย เรียกค่าโดยสารแค่นี้จะซื้อข้าวกินได้ยังไง" มยุรีบอก
นิกรบอก
"อย่าว่าแต่ซื้อกินเลยครับ ซื้อมาทิ้งผมก็ทำได้ รถคันนี้ของผมเองครับ ไม่ใช่แท็กซี่"
สองคนเอามือทาบอก
"อุ๊ยตาย ขอโทษสักพันครั้งนะคะ อารามรีบน่ะค่ะ กลัวไม่ทันดูหนัง"
"ไม่เป็นไรหรอกครับ เราสองคนก็กำลังจะไปดูหนังเหมือนกัน"
"ดิชั้นลักษณาค่ะ แล้วนี่ก็มยุรีเพื่อนดิชั้น"
"ผม พล พัชราภรณ์แล้วนี่ก็นิกร การุณวงศ์ครับ เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รู้จักคุณทั้งสอง เฮ้ย กร จอดรถสิ กันจะไปนั่งกับคุณลักษณา"
นิกรจอดรถ พลลงจากรถไปนั่งหลัง
"เอางั้นดิชั้นไปนั่งข้างหน้าเองค่ะ" มยุรีบอก
มยุรีปีนข้ามเบาะไปข้างหน้า หน้าตาเฉย
พลและนิกรอ้าปากค้าง
ทั้งสี่คนเดินเข้ามายังโรงหนังมีป้ายโฆษณาหนังเรื่องโรบินฮู้ดผจญภัยอยู่
"เดี๋ยวผมสองคนไปซื้อตั๋วหนังนะครับ" พลบอก
พลและนิกรเดินไป ลักษณาและมยุรีมองตามแล้วหันมาสบตากันยิ้มแบบพอใจมาก
ภายในโรงหนัง หนังกำลังฉายอยู่ ลักษณากุมมือพลอยู่ ทั้งสองซบกัน คู่นิกรก็ทำแบบเดียวกัน
"อุ๊ย เสียวไส้จังเลยค่ะ กลัวจนน้ำตาไหลเลย" ลักษณาบอก
ลักษณาเข้าไปกอดพลแน่น พลเช็ดน้ำตาให้
นิกรก็เช็ดน้ำตาให้มยุรีเหมือนกัน
สี่คนเดินมา หลังจากหนังเลิก
"คุณสองคนรอตรงนี้ เดี๋ยวผมสองคนไปเอารถมารับคุณนะครับ" พลบอก
"ค่ะ เดี๋ยวเราไปทานอาหารจีนกันที่เยาวยื่นนะคะ เพื่อฉลองมิตรภาพ" ลักษณาบอก
"เราสองคนขอเป็นเจ้าภาพเองค่" มยุรีว่า
สองสาวยิ้มหวานชื่น พลและนิกรออกไป
มยุรียิ้มแป้นบอก
"หมูมาถึงปาก หวานเราแล้วลักษณา เดี๋ยวต้มซะให้เรียบเลยนะ"
ภายในร้านอาหารจีน เยาวยื่น ในกลางคืนต่อเนื่อง อาหารวางอยู่เต็มโต๊ะ มีวิสกี้หลายขวด
มยุรี ลักษณา ชนแก้วกับพล นิกร
"ดื่มกันนะคะ" ลักษณาบอก
พล นิกรดื่ม แต่สองสาวเอาเหล้าเทลงกระโถนใต้โต๊ะ จนเหล้าหมดไปหลายขวด พล นิกรเมามายไร้สติ
เพลง "ลูกไม้ยั่วผู้ชาย" (คำร้อง แก้ว อัจฉริยะกุล ทำนอง สริ ยงยุทธ)
มยุรี " อันไม้ยั่วผู้ชาย ยิ้มให้ตาลายเป็นเสร็จเรา ต้องคลำรู้เส้นเป็นหลงเมา เมื่อเขาให้เราต้องเอาพวกเราอย่าขอ"ลักษณา "ทำหลงเริงชายก็เหลิงย่ามใจ มีของให้เราเก็บไว้ให้พอ แกล้งทำเคล้าเคลียคลอ แล้วแสร้งแกล้งยอเดี๋ยวก็อยู่มือ"
รถของนิกรมาจอด ขับโดยมยุรี สองหนุ่มเมามายสลบอยู่ข้างหลัง มยุรีและลักษณาหยิบกระเป๋าเงินของสองหนุ่มออกมา ควักเงินออกมาหมด จากนั้นก็ปลดสายสร้อยทอง ปลดแหวน ปลด
กระดุมทองคำที่เสื้อ ปลดปากกา
มยุรี "เพียงน้อมนำด้วยคำหวานฉ่ำพูดจา บีบเอาน้ำตาเป็นสื่อ เอาน้ำตาต่อทุนเดี๋ยวก็อออือ ไม่จริงหรอกหรือไร"
ลักษณา "ยวนยิ้มยั่วพูดจา น้ำตาคือยาที่กล่อมใจ ผู้ชายใจเหล็กเป็นฉันใด ไม้ออดเข้าไปเดี๋ยวก็เสร็จเรา"
สองสาวหัวเราะเสียงใส ลักษณาเอาปากกาหมึกซึมขึ้นมาดู
"เรามาเขียนหนวดให้สองคนนี้ดีกว่า"
ลักษณาเขียนหนวดพลเป็นแบบโง้ง ส่วนมยุรีเขียนหนวดนิกรเป็นหนวดจิ๋ม
มยุรีออกความเห็น
"เอาอย่างนี้เถอะลักษณา ไหนๆเราก็ต้มเค้าแล้ว เราควรจะลอกคราบเค้าเลย ให้เหลือแต่กางเกงในกลับบ้าน"
สองคนหัวเราะชอบใจช่วยกันถอดเสื้อผ้านิกรและพล
แสงจันทร์สาดส่องให้เห็นเงาตะคุ่มๆของสองชีเปลือยสองคนที่เหลือแต่กางเกงชั้นในขาก๊วย เดินย่องๆไปทางประตูเข้าบ้าน
พลและนิกรค่อยๆเปิดประตูเข้ามา
บริเวณหัวบันได เจ้าคุณประสิทธิ์ในมือถือปืนย่องออกมาจากห้อง ยกปืนเล็งในความมืด
"นั่นใคร ไม่บอกพ่อยิงตายห่า"
พล นิกรสะดุ้งเฮือก
"โอ๊ย ผมเองครับคุณพ่อ อย่ายิง" พลบอก
"ผมน่ะหมาหรือคน"
"คนครับ"
พล นิกรรีบขึ้นบันได ไฟเปิด ทั้งคู่สะดุ้งเฮือก คุณหญิงยืนเปิดไฟที่หัวบันได
"คุณแม่"
นิกรเรียก " คุณอา"
"โอย ตายแน่ อกแตก ไอ้พล ไอ้กร แกไปทำอะไรกันมา หา อนิจจังทุกขัง พวกแกไปเที่ยวซุกซนที่ไหนมา มานี้ มานี่เดี๋ยวนี้"
สองคนขึ้นบันได พอไปถึงข้างบน เจ้าคุณจิกหัวพลและนิกรไว้
"โอย"
"อ้อ ไว้หนวดเครากันด้วย โก้จริง ไอ้ชาติหมา"
พล นิกรจะร้องไห้
ในห้องโถงกลาง ชั้นสอง เวลากลางคืน พล นิกรนั่งพับเพียบบนพื้น เจ้าคุณกับคุณหญิงนั่งบนเก้าอี้
"บอกมาเดี๋ยวนี้ แกไปเที่ยวผู้หญิงมาใช่มั้ย ไม่งั้นแม่แพ่นกบาลแยกเชียว โธ่ ทำไมระยำอย่างนี้"
พล นิกรมองหน้ากันจ๋อยสนิท
พลบอก "ผม ง่า ไม่ได้ซุกซนหรอกครับ"
"ประเดี๋ยวตบตาย ยังจะโกหกอีก เสื้อกางเกงหายไปไหนหมด หา โอย แหวนเพชรกับนาฬิกาข้อมือก็หายไป ยังไงกัน บอกมาเดี๋ยวนี้"
พลร้องไห้
"ผมสองคน ถูกผู้หญิงต้มครับ คุณพ่อคุณแม่"
นิกรร้องไห้
"จริงๆครับ เค้าหลอกมอมเหล้าเราแล้วลอกคราบเอาไปหมดเลย"
"โธ่ ไอ้ลาโง่ พวกแกมันไม่มีความดีอะไรเลย วันๆได้แต่กินแต่เที่ยว"
"ไอ้กร ชั้นจะต้องเรียนให้คุณพ่อแกทราบ ดูดู โดนผู้หญิงหลอก ไอ้เต่า ไอ้ลาโง่"
สองคนทาปากเบะสะอึกสะอื้นร้องไห้
"ถูกผู้หญิงหลอกแล้ว ยังมาถูกคุณพ่อคุณแม่ซ้ำเติมอีก" พลบอก
พลและนิกรร้องไห้
นิกรก้มหน้าร้องไห้ เอานิ้วทิ่มตาตัวเอง แถมเอาน้ำลายป้ายตาอีกต่างหาก
เจ้าคุณกับคุณหญิงมองหน้ากัน เริ่มสงสาร
"เอาเถอะ ไม่ต้องร้องแล้ว แต่แกสองคนจะทำตัวเหลวไหลแบบนี้ไม่ได้แล้ว ถึงเวลาเป็นผู้ใหญ่ได้แล้ว"
"นี่แน่ะ นิกร อาสองคนได้ปรึกษากับคุณพ่อของแกแล้ว ว่าแกสองคนถึงเวลาแต่งงานเสียที"
"แต่งงาน"
"ใช่ เจ้ากร คุณพ่อของแกจะไปสู่ขอแม่ประไพลูกสาวเจ้าคุณปัจจนึกให้ หากทางโน้นไม่ขัดข้อง
คุณพ่อของแกกับอาจะได้ประกอบพิธีมงคลสมรสให้แกกับประไพ แล้วก็เจ้าพลกับนันทา"
พลและนิกรเผ่นลุกขึ้น
"เราจะได้มีเมียแล้ว ดีใจจังเลย"
"ขอบคุณคุณพ่อคุณแม่มากครับ"
พล นิกรต่างร้อง "ไชโย" กระโดดออกมาจากห้อง
เจ้าคุณคุณหญิงมองตามยิ้มแป้น แล้วนึกขึ้นมาได้
"นี่เรายังด่ามันไม่จบเลยนะคุณหญิง"
"นั่นสิคะ เมื่อกี้ยังร้องไห้น้ำตาเป็นเผาเต่า มันต้มเราหรือเปล่าเนี่ยคะ เจ้าคุณ"
เจ้าคุณทำตาปริบๆ
อ่านต่อหน้า 4
พล นิกร กิมหงวน เดอะมิวสิคัล ตอนที่ 5 ตอน วิวาห์สองเกลอ (ต่อ)
วันแต่งงาน บ้านศิริสวัสดิ์ตกแต่งอย่างสวยงาม
แห้วแต่งกายสากล ผูกหูกระต่ายซะด้วย ยืนรับแขกอยู่คู่กับแม่สงวนสาวใช้ของประไพประภา รวมทั้งสาวใช้ภายในบ้าน ต่างมายืนรอรับแขก แขกผู้ใหญ่มากันหลายคน มีเจ้าคุณศรีวิศาล เจ้าคุณชำนาญ และ คนอื่นๆ
"รับประทานเชิญข้างในขอรับ"
พิศพาเดินไป
คุณท้าวใหญ่ท่าทางเป็นผู้ดีทุกกระเบียนนิ้ว รถเดินมา มีสาวใช้ถือเชี่ยนหมากตาม
"ใครกันน่ะ" สงวนถาม
แห้วบอก
"นั่นคุณท้าวใหญ่ พี่สาวของท่านเจ้าคุณวิจิตร กับคุณหญิงท่าน แต่เดิมน่ะ ท่านเป็นเจ้าจอม ชื่อเจ้าจอมแก่น"
แห้วถลาไปกราบ
"กราบบาทคุณท้าวพ่ะย่ะค่ะ รับประทานเชิญจรลีไปด้านใน"
"นี่ แกดูยี่เกมากไปหรือเปล่าไอ้แห้ว วันๆทำงานซะบ้างนะ"
แห้วสะดุ้ง เสด็จเข้าไป สงวนหัวเราะ
สองคู่นั่งบนตั่งรดน้ำ คุณท้าวรดน้ำก่อน ตามด้วย เจ้าคุณวิจิตร เจ้าคุณประสิทธ์ คุณหญิง และ เจ้าคุณปัจจนึก รวมทั้งแขกคนอื่นๆ นิกรและพลมีเพื่อนเจ้าบ่าวฝ่ายละสองคน นันทาและประไพก็มี เพื่อนเจ้าสาวสองคนคือ พิสมัย แน่งน้อย ยุพดี ยาใจ
เพลงชื่นชีวิต (คำร้อง แก้ว อัจฉริยะกุล ทำนอง เอื้อ สุนทรสนาน)
ประไพ นันทา "ชื่นชีวิตจิตใจรักคู่หทัยเร้าในอารมณ์ พี่กับน้องชื่นชมทุกสิ่งเกลียวกลมภิรมย์ฤทัย ชื่นในรักฝากคำฝังจิตใจจำน้อมนากันไป เธอมีฉันมั่นใจเราชื่นฉ่ำในฤทัยไม่จาง"
พล นิกร "แม้วันไม่สดชื่นแม้คืนจะเปล่าเปลี่ยว รักเธอคนเดียวรื่นรมย์กลมเกลียวทุกทาง แสงเงินไม่สาดส่องแสงทองไม่สุกสว่าง รักเรามีทางสดชื่นไม่จางไม่ร้างห่างกัน"
หมู่หญิง "แม้วันไม่สดชื่นแม้คืนจะเปล่าเปลี่ยว รักเธอคนเดียวรื่นรมย์กลมเกลียวทุกทาง"
หมู่ชาย"ชื่นชีวิตจิตใจรักคู่หทัยเร้าในอารมณ์ พี่กับน้องชื่นชมทุกสิ่งเกลียวกลมภิรมย์ฤทัย"
หมู่หญิง "แสงเงินไม่สาดส่องแสงทองไม่สุกสว่าง รักเรามีทางสดชื่นไม่จางไม่ร้างห่างกัน"
หมู่ชาย "ชื่นในรักฝากคำฝังจิตใจจำน้อมนากันไป เธอมีฉันมั่นใจเราชื่นฉ่ำในฤทัยไม่จาง"
หมู่ชาย "แม้วันไม่สดชื่นแม้คืนจะเปล่าเปลี่ยว รักเธอคนเดียวรื่นรมย์กลมเกลียวทุกทาง"
หมู่หญิง "ชื่นชีวิตจิตใจรักคู่หทัยเร้าในอารมณ์ พี่กับน้องชื่นชมทุกสิ่งเกลียวกลมภิรมย์ฤทัย"
หมู่ชาย "แสงเงินไม่สาดส่องแสงทองไม่สุกสว่าง รักเรามีทางสดชื่นไม่จางไม่ร้างห่างกัน"
หมู่หญิง "ชื่นในรักฝากคำฝังจิตใจจาน้อมนำกันไป เธอมีฉันมั่นใจเราชื่นฉ่ำในฤทัยไม่จาง
หมู่หญิง "แม้วันไม่สดชื่นแม้คืนจะเปล่าเปลี่ยว รักเธอคนเดียวรื่นรมย์กลมเกลียวทุกทาง"
หมู่ชาย "ชื่นชีวิตจิตใจรักคู่หทัยเร้าในอารมณ์ พี่กับน้องชื่นชมทุกสิ่งเกลียวกลมภิรมย์ฤทัย"
พล นิกร นันทา ประไพ "รักเธอเสมอมิ่งขวัญ ในฤทัยไม่จาง รักกันนิรันดรไป รักเธอเสมอมิ่งขวัญ
ในฤทัยไม่จาง รักกันนิรันดรไป"
บริเวณสนามถูกตกแต่งอย่างสวยงาม จัดเโต๊ะยาวมากแบบฝรั่งสองโต๊ะ ให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวนั่งหัวโต๊ะ ที่กาเซโบมีวงดนตรีไทยบรรเลง แขกเหรื่อต่างก็เริ่มเข้ามานั่ง เจ้าแห้ว แม่สงวนและคนอื่นๆคอยเสิร์ฟ
เพื่อนเจ้าสาวนั่งอยู่กันโต๊ะหนึ่ง ประไพ นันทากำลังคุยกับเพื่อนๆ ทั้งสองอยู่ในชุดสวยงามมีมาลัยคล้องคอ
โต๊ะแขกผู้ใหญ่ มีเจ้าคุณประสิทธิ์ คุณหญิง คุณท้าว เจ้าคุณปัจจนึก เจ้าคุณวิจิตรและคนอื่นๆ
คุณหญิงวาดมองไปเห็นเจ้าสาว แต่มองไม่เห็นเจ้าบ่าว จึงกระซิบกับเจ้าคุณวิจิตร
"คุณพี่คะ ตาพลกับตากรไปไหนละ"
"เห็นมันหายกันไปข้างบน ไปห้องแต่งตัวหรือเปล่า"
คุณหญิงลุกขึ้น
"งั้นเดี๋ยวดิชั้นให้ยายนันไปตามมาหน่อยดีกว่า ไอ้สองตัวนั่นชักช้าเหลือเกิน"
คุณหญิงเดินไปทางนันทา ประไพ
"ยายนันๆ"
ประไพกับนันทา เดินมาตามตัวนิกร
"เราจะต้องกำราบเค้าแต่ต้นมือนะน้องไพ"
"น้องไม่อยากจะทำอย่างนั้นหรอกค่ะพี่นัน สู้ต่างคนต่างเกรงใจกันเองไม่ได้"
นันทาทำตาโต
"อย่าโง่ไปเลยน้องไพ ผัวของเรา เราต้องเอาให้อยู่มือ ปราบเสียตั้งแต่ต้นจะได้หงอ"
"แล้วถ้าเค้าไม่กลัวเราละคะ"
"ฮึ ผัวไม่กลัวเมียจะใช้ได้เหรอ ผัวที่ต้องอยู่ในโอวาทเมียสิ ถ้าหากเราเลี้ยงผัวให้ดีไม่ได้ ใครๆก็จะนินทาเรา เชื่อพี่เถอะ เราต้องแสดงให้เค้าเห็นว่า เราคือผู้ปกครองและผู้นำชีวิตเค้า"
ภายในห้องแต่งตัวเจ้าบ่าว พลและนิกรอยู่ในชุดกางเกงแพร เสื้อราชปะแตนกระดุมทอง พลอยู่หน้ากระจกบานยาวสาหรับแต่งตัวเจ้าบ่าว ใช้ครีมแต่งผมแล้วหวีจนมันขลับ นิกรนั่งอยู่ที่เก้าอี้ ติดกระดุมเสื้ออยู่
"เราต้องไม่กลัว ต้องเข้มแข็ง การกลัวเมียไม่ใช่วิสัยของวีรบุรุษ หากอ่อนข้อให้ตอนแรก ต่อไป แกจะต้องยอมตลอด"พลบอก
ที่ประตูด้านหลัง นันทาและประไพปรากฏกายขึ้น
"เมียคือนางบาเรอ ไม่ใช่แม่ หากเถียงเราแจ๊ดๆเมื่อไร เตะเลยเพื่อน เอาซี่โครงเหน็บข้างฝาไว้ ต่อไปก็หงอเราเอง"
นันทาหัวเราะ
"จะเตะใครจ๊ะพล จะเตะใคร หา! บอกหน่อยสิ"
นิกรหัวเราะ
"ว่าไง ท่านอาจารย์"
พลทำขังขึง ยกมือห้ามนิกร
"มาทำไมรึจ๊ะ"
"พลยังไม่ได้ตอบคำถามนัน ได้ยินมั้ยที่ถามน่ะ ว่าจะเตะใคร"
"เปล่าจ้ะ เพียงแต่จะบอกกรว่า เมียที่ดีเค้าไม่ข่มผัวหรอก ผัวที่ยอมให้ข่มขู่ก็จะเสียสมรรถภาพ"
นันทาเค้นหัวเราะ
"ฮึ ขอให้จริงเถอะ แหม ไม่เท่าไรเอ่ยปากจะเตะจะต่อยแล้ว อุ๊ยหมั่นไส้"
นันทาทุบพลั่กเข้าให้
พลแกล้งทำขึงขัง
"อ้าว ทำไมรุนแรงกับชั้นอย่างนั้นะ อย่านะ เดี๋ยวเถอะ เกิดเรื่องหรอก"
นันทาแกล้งกลัว ยกมือไหว้
"อุ๊ย ขอประทานโทษค่ะ นันเผลอตัวไป อย่าถือโทษนันเลยนะคะ"
พลยักคิ้วให้นิกร
"ขึ้นมาทำไม นัน"
"ง่า... ขึ้นมาเชิญให้ลงไปรับประทานอาหารค่ะ แขกรออยู่แล้ว"
นันทาหัวเราะแล้วคว้ามือประไพไป
"เห็นมั้ย ขึ้นเสียงทีเดียว หงอเซียงซือเลย นี่ มันต้องอย่างนี้"พลบอก
เจ้าบ่าวเจ้าสาวนั่งที่หัวโต๊ะทั้งสอง โต๊ะของผู้ใหญ่ ได้แก่ เจ้าคุณทั้งสาม คุณหญิงวาด คุณท้าวใหญ่ เจ้าคุณศรี เจ้าคุณชำนาญ ส่วนที่โต๊ะเพื่อนเจ้าสาวโต๊ะหนึ่ง มีนันทาและประไพอยู่ด้วยด้าน เพื่อนเจ้าบ่าวโต๊ะหนึ่ง พลนิกรอยู่ด้วย
นอกนั้นเป็นแขกรับเชิญ เจ้าคุณวิจิตรลุกขึ้นยืน
"ท่านผู้มีเกียรติทุกท่าน ขอเชิญร่วมกันดื่มเพื่อถวายพระพรแด่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล พระราชชนนี พระพี่นางเธอ และ พระอนุชาด้วย"
ทุกคนยืนยกแก้วร้องไชโย ๆ ๆ
"และขอเชิญดื่มให้บ่าวสาวทั้งสองคู่"
พล นิกร และ นันทา ประไพ ยืนขึ้น
ทุกคน ไชโยๆๆ
วงดนตรีไทยบรรเลง เวลาผ่านไป ทุกคนเริ่มเมาๆ โต๊ะผู้ใหญ่ เหล้าเหมดไปเยอะ แต่ละคนเริ่มหน้าแดง โต๊ะบ่าวสาวก็หน้าแดง กินเหล้ากัน แห้วและสงวนยืนรอรับคำสั่งอยู่แถวนั้น
"แม่สงวน ว่าแต่ว่า วันนี้ไม่เห็นคุณภาเลย อยู่ไหนละ"
"ไม่อยู่ คุณภาเสียใจเรื่องคุณพลนั่นละ เลยไม่อยากเห็นหน้า คุณพลนี่เจ้าชู้ร้ายกาจนัก"
แห้วเกี้ยวทันที
"แต่แห้ว รักเดียวใจเดียวนะจ๊ะแม่สงวน"
"อย่ามาเกี้ยวชั้นเลย เห็นหน้าก็รู้แล้วว่าตอแหลเหมือนเจ้านายแกนั่นละ"
ที่โต๊ะผู้ใหญ่ ประสิทธ์ในอาการเมา
"ไอ้พลมันเลวสิ้นดี มันชอบล้อเลียนท่านเจ้าคุณปัจจนึกว่า หัวล้านบ่อยๆ พุทโธ่ มันลืมไปรึเปล่าว่า พ่อมันก็หลายแสนเหมือนกัน ถึงจะไม่ล้านเท่าท่านเจ้าคุณก็เถอะ"
ทุกคนหัวเราะแบบเมาๆ
ปัจจนึกบอก
"ผมไม่ถือหรอกครับ เพราะคนหัวล้านยังไงก็ดีกว่าคนหัวดีอยู่แล้ว จริงมั้ยเจ้าคุณ ใครเถียง มาโต้วาทีกันได้เลย"
"เอางั้นผมเป็นกรรมการเอง ญัตติว่าหัวล้านดีกว่าหัวไม่ล้าน" ศรีวิศาลบอก
ทุกคนตบมือ ฮา
ประสิทธิ์ลุกขึ้นยืนยกแก้วดื่ม
"ท่านทั้งหลายโปรดฟัง หัวล้านย่อมดีกว่าอยู่แล้ว ขอให้ท่านคิดดูเถอะ ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ นักวิทยาศาสตร์และนักปราชญ์ราชบัณฑิตทั้งหลายในโลกล้วนหัวล้าน ประมาณถึง 90 เปอร์เซนต์"
เสียงตบมือสนั่นหวั่นไหว
วิจิตรยืนขึ้น เมาเหมือนกัน
"ไม่เป็นความจริงเลย"
พลตะโกน
"ถูก หัวล้านจะมาสู้หัวดีได้ยังไง"
วิจิตรอ้อแอ้
"พวกหัวล้านกบาลใส สู้พวกหัวไม่ล้านไม่ได้เลย ไม่เชื่อดูผู้นำชาติต่างๆตอนนี้สิ ท่านมุสโสลินี ท่านฮิตเล่อร์ ท่านสตาลินท่าน โรสเวลล์ หรือท่านแชมเบอร์เลนเหล่านี้ล้วนหัวไม่ล้านทั้งสิ้น จริงหรือไม่"
ทุกคนตบมือ หัวเราะลั่น ตะโกนว่า จริง
เจ้าคุณวิจิตรก้มหัวคำนับแล้วนั่งลง
ปัจจนึกลุกขึ้น
"ไม่จริงเลย พวกผู้นำชาติที่ท่านเจ้าคุณว่ามานั้นจะรู้ก็แต่เรื่องการเมือง แต่ผู้ที่ประดิษฐ์ให้โลกเราสวยงาม มีตึกรามหรูหรา มีอาวุธยุทธภัณฑ์ทันสมัยล้วนหัวล้านทั้งสิ้น ดังนั้นข้าพเจ้าขอสรุปว่า โลกเรานี้อยู่ได้เพราะคนหัวล้านต่างหาก!"
ทุกคนตบมือ
พลตะโกน "เหม็นเขียว!"
ประสิทธิ์บอก
"ไอ้พล นี่มึงบังอาจด่าพ่อมึงเชียวเหรอ"
พลกระโดดขึ้น ร้องลำตัด รำป้อ นิกรลุกขึ้นรำประกอบเป็นลูกคู่
"ไอ้หัวล้านนอกครูหรือจะมาสู้หัวดี ผมส่งหวีให้หวี ท่านจะหวีได้อย่างไร หัวล้านเหม็นเขียวหน้าเบี้ยวปากบูด หน้าตาเหมือนตูด ผมขอพูดอย่างจริงใจ"
ทุกคนฮาจนน้ำตาเล็ด ต้องเอาฝ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำตา เจ้าคุณปัจจนึกและเจ้าคุณประสิทธิ์โมโหจนหนวดกระดิก
พลรำส่ายสะโพกไปด้วย นันทาจ้องหน้าตาถมึงทึง
"พระอาทิตย์สองดวงโชติช่วงแดงแจ๋ มองดูให้แน่พระอาทิตย์ใช่ไหม ทำไมมีกลิ่นเหม็นแลเห็นหยอมแหยม อ้อมีผมแซมช่างแฉล้มกระไร ล้านต่อล้านพบกันมันช่างน่าขันจริงเชียว ส่งกลิ่นเหม็นเขียวหน้าเซียวเหมือนกับไก่ ดูอาภัพอัปภาคย์หายากเส้นผม ยังจะมาโต้คารม จะสู้ผมเชียวหรือไร เป๊กพ่อ"
ทุกคนฮา นันทาทนไม่ไหวแล้วจึงปราดเข้าไปกระชากแขนพล
"นี่พล รู้ตัวมั้ยว่า พลน่ะหมิ่นประมาทคุณอาทั้งสองด้วยคำพูดที่ไม่ควร"
พวกแขกซุบซิบกันกิ๊กกั๊ก
พลทำเป็นเข้ม
"ก็เราโต้วาทีกัน ยุ่งอะไรด้วยละ อย่ามาทำขึ้นเสียงนะ"
นันทาพุ่งหมัดขวาเข้ากระแทกที่ตาของพล
"นี่แน่ะ"
พลเซแซ่ดๆ เอามือกุมตา แขกไชโยโห่ร้อง
"โอ๊ย"
พลเอามืออกมาจากตาเห็นเบ้าตาเขียวเป็นวงกลม
พลยังทำเป็นเข้ม
"นัน ...นัน"
นันทาเท้าสะเอ
"มีอะไร"
"ไม่มีจ้ะ เรียกเฉยๆ"
แขกตบมือเฮ หัวเราะกันดังลั่น ปี่พาทย์รับ
อ่านต่อตอนที่ 6 ตอน กลัวเมีย