เงาใจ ตอนที่ 4
บริเวณลานกว้างท้ายไร่เป็นสถานที่ซึ่งอังกูรกับชาติและลูกน้องใช้เป็นที่ฝึกยังปืน และในเวลานี้ ชาติกำลังปล่อยเป้าบินจากเครื่องดีดเป้า โดยมีอังกูรยืนสั่งอยู่ข้างๆ คอยยิง
“ปล่อยมาอีก”
ชาติปล่อยอีก อังกูรก็ยิงๆๆๆๆ จนกระสุนหมดก็พักบรรจุกระสุน
“วันนี้คุณกูรยิงแม่นนะครับ ไม่พลาดสักนัด”
“เพราะฉันไม่คิดว่ามันคือเป้าบินไง แต่ฉันคิดว่ามันคือคุณลุงกับไอ้วาทิต”
“อารมณ์เสียเรื่องที่พ่อเลี้ยงไปซื้อไร่ชาน้ำค้าง ให้คุณวาทิตกับคุณเมน่ะเหรอครับ”
“ก็ใช่น่ะสิ”
“แล้วเมื่อไหร่คุณกูรจะจัดการคุณวาทิตซะทีล่ะครับ”
“อีกไม่นานหรอก เราจะได้เห็นไอ้วาทิตตายและคุณลุงกระอักเป็นเลือดเพราะฉัน”
“แสดงว่าเวลาที่คุณกูรจะได้สมบัติใกล้มาแล้วสิครับ” ชาติยิ้มดีใจ
“ใช่ ใกล้เข้ามามาก...แค่อีกไม่กี่อึดใจ”
อังกูรบรรจุกระสุนเสร็จก็ไปยืนประจำที่ ชาติปล่อยเป้าบิน อังกูรก็ยิงๆๆๆ ระบายอารมณ์
อีกฟาก ที่มหาวิทยาลัยแม่โจ้ บริเวณหน้าฝ่ายทะเบียนคณะเกษตรฯ พลกับทิวเปิดประตูเดินออกมา เห็นไมตรียืนรออยู่แล้ว สองคนเดินไปหา
“พวกมึงจัดการเรื่องที่เรียนที่กรุงเทพฯ เรียบร้อยแล้วเหรอวะ” ไมตรีถาม
ทั้งสองพยักหน้ารับ
“พ่อแม่กูสองคนเขากลัวไอ้พวกนั้นมันย้อนกลับแก้แค้น” ทิวบอก
“ไอ้ไม...ทำไมไม่ย้ายไปเรียนด้วยกันวะ” พลเป็นห่วง
“กูคงไปกับพวกมึงไม่ได้หรอก อยู่กรุงเทพฯ ค่าใช้จ่ายมันแพง”
“เฮ้ย เป็นไรไป ก็กู้เรียนสิวะ” ทิวว่า
“ค่ากินค่าหออีกล่ะ กูทำให้แม่กับพี่สาวลำบากมาเยอะแล้ว กูไม่อยากก่อปัญหาให้เขาอีก”
“แล้วมึงจะอยู่ยังไง ตอนนี้ทั้งมหา’ลัยเขามองเราสามคนเป็นนักเลงไปแล้ว” พลว่า
“ช่างมันเหอะ กูอดทนเรียนไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็จบแล้ว”
“งั้นกูก็ขอให้มึงโชคดีนะ” ทิวบอก
“มีอะไรก็ติดต่อกันเว้ย” พลว่า
ไมตรียิ้มให้เพื่อน ทิวกับพลตบไหล่ให้กำลังใจไมตรี
ขณะที่ไมตรีนั่งทานข้าวอยู่ลำพังในโรงอาหาร ธีระกับพวกเดินเข้ามายืนตรงหน้าแล้วแซว
“ไงวะมือปืน โหดจนเพื่อนหายหมดเลยเหรอวะ”
“มึงเรียกใครมือปืน” ไมตรีจ้องหน้าถาม
ยงยุทธนักศึกษาอีกคนหันไปทางเพื่อน “เฮ้ย มันยังไม่รู้ตัวอีกว่ะว่าเขาเรียกมันมือปืนกันทั้งคณะแล้ว”
“พวกมึงไม่รู้จริง อย่าพูดดีกว่า”
ไมตรีตัดบทพยายามข่มใจ เพราะไม่อยากมีเรื่อง
“เรื่องอื่นไม่รู้ รู้แต่ว่ามือปืนมือใหม่อย่างมึงนอนห้องขังมาแล้วว่ะ นอนห้องขังตั้งแต่ปีหนึ่งจะจบปะวะเนี่ย” วิกรเย้ยหยัน
“กูจะนอนห้องขังกี่คืนแล้วมันเกี่ยวอะไรกับพวกมึงวะ” ไมตรีทนไม่ไหวลุกขึ้นจะเอาเรื่อง
ธีระยัวะ “เฮ้ย อย่ามาแจ๋วในนี้นะโว้ย”
ทั้งหมดทำท่าจะมีเรื่องกัน วารินโผล่พรวดเข้ามาแทรกกลางระหว่างไมตรีกับธีระ
“นี่พวกนายว่างมากเหรอ ถึงได้มาหาเรื่องคนอื่นแบบนี้ เอาเวลาไปอ่านหนังสือดีกว่าปะ เวลาสอบจะได้ไม่ต้องคอยาวคอยลอกชาวบ้าน”
ธีระเยาะ “แม่งมีบอดี้การ์ดใส่กระโปรงคอยคุ้มกันว่ะ”
วารินชูโทรศัพท์ขู่ “ไม่ใช่แค่ฉันนะ แต่รวมคลิปในนี้ที่ฉันถ่ายไว้หมดแล้ว จะให้ส่งอาจารย์ที่ปรึกษาพวกเธอเลยปะ”
“ไปเถอะโว้ยไม่อยากยุ่งพวกให้ผู้หญิงปกป้อง” ธีระบอกแล้วก็พาพวกเดินไปทางอื่น
วารินวางจานข้าวลงบนโต๊ะ แล้วนั่งลงตรงข้ามไมตรี พร้อมกับยิ้มให้
“เธออย่าไปสนใจพวกนั้นเลยนะไมตรี”
“ฉันอยากกินข้าวคนเดียว เธอจะไปนั่งโต๊ะอื่นหรือจะให้ฉันย้ายโต๊ะ” ไมตรีถามเสียงเข้ม
“นี่ฉันอุตส่าห์มาช่วยเธอนะ” วารินโมโห ทวงบุญคุณ
“แสดงว่าฉันต้องย้ายโต๊ะใช่มั้ย”
ไมตรีย้อนถามแล้วก็หยิบจานข้าวลุกขึ้นเดินหนีไป วารินเหวอไปเลย
ไมตรีเดินมานั่งอีกที่หนึ่ง วารินเดินมาตามนั่งด้วย
“นี่เธอจะไม่ขอบใจฉันเลยเหรอ”
“เธอไม่รู้จริงๆ เหรอว่าที่เธอทำมันไม่ได้เรียกว่าช่วย แต่เธอฉีกหน้าฉัน”
“อะไรนะ”
“แค่โดนล้อว่ามือปืนก็หนักแล้ว ต่อไปนี้ฉันคงโดนล้อเพิ่มว่าหลบใต้กระโปรงผู้หญิง”
วารินจ๋อย “ขอโทษที ฉันลืมคิดไป”
“ฉันรู้ว่าเธอทำอะไรไม่ค่อยคิด แต่จากนี้ไปก็คิดซะบ้าง จะได้ไม่มีคนเดือนร้อนเพราะเธอเหมือนฉันอีก”
ไมตรีบอกแล้วก็ลุกขึ้นเดินหนีไป
วารินมองตามรู้สึกเซ็งที่ทำดีไม่ได้ดี
ทางด้านอังกูรเข้ามาตามหาเมทินีในห้องรับแขก เจอกับกินรีที่นั่งอ่านนิตยสารอยู่ อังกูรไม่อยากจะสนใจ กินรีปิดหนังสือลงด้วยความน้อยใจ
ระหว่างนั้นเอื้องคำกับจั่นเป็งจะเข้ามาทำความสะอาดพอดี
“นี่เมเขาหายไปไหน เห็นบ้างมั้ยป้า” อังกูรหันไปถามเอื้องคำ
“ไปที่ไร่ชาน้ำค้าง ที่พ่อเลี้ยงเพิ่งซื้อให้คุณวาทิตกับคุณเม เป็นของขวัญแต่งงานค่ะ คุณวาทิตก็ไปด้วยนะคะ”
อังกูรได้ยินก็ไม่พอใจ
“จริงเหรอป้า แหม รู้อะไรดีๆ ก็ไม่บอกกันบ้างเลยนะ” จั่นเป็นว่า
“เอ็งต้องรู้ทุกเรื่องเลยเหรอ บางเรื่องพ่อเลี้ยงเขาก็อยากให้รู้กันแค่คนในครอบครัวเท่านั้นนะ”
อังกูรรู้สึกเจ็บ “จะไปทำงานก็ไปสิ”
เอื้องคำรู้ทันทีว่าพูดผิดหูรีบดึงมือจั่นเป็งออกไป
“คุณลุงนี่ฉลาดมากเลยนะคะซื้อไร่ชาน้ำค้างให้คุณวาทิตกับเม สงสัยมีแผน”
กินรีเปรยออกมา อังกูรกัดฟันด้วยความโกรธเพราะตรงกับที่ตัวเองคิดอยู่พอดี
อังกูรหนีมานั่งหัวเสียอยู่หน้าบ้านพัก กินรีเดินยิ้มเข้ามาหา
“อารมณ์เสียไปก็เท่านั้น”
“เธอไม่รู้อะไรอย่าพูดดีกว่า”
“จริงค่ะ นรีอาจจะไม่รู้ลึก แต่พอจะอ่านเกมคุณลุงออก”
“เกมอะไร”
“ก็ที่คุณลุงซื้อไร่ชาน้ำค้าง คงจะมีแผนให้สองคนนั่นแยกไปอยู่ไม่ยุ่งกับใคร ไม่งั้นคงบอกเรื่องนี้กับคุณกูรให้รู้บ้าง ไม่ใช่งุบงิบทำแบบนี้”
“ฉันไม่สนใจเรื่องพวกนี้หรอก”
“งั้นอารมณ์เสียทำไมล่ะค่ะ”
อังกูรโดนจี้ใจดำเข้าไปก็โกรธมาก จ้องหน้าจนกินรีเริ่มกลัวไม่อยากทำให้อังกูรโกรธ
“เอ่อ...นรีขอโทษค่ะ ที่นรีพูดก็แค่อยากให้คุณกูรตัดใจจากเม”
อังกูรรำคาญเดินหนีไปขึ้นรถขับออกไปเลย กินรีมองตามด้วยความเจ็บใจ หันหลังจะเดินกลับก็เจอชาติยืนจ้องอยู่ก็ตกใจ
“คราวนี้พ่อเลี้ยงให้คุณนรีมาดูแลอะไรคุณกูรอีกครับ”
“หัวหน้าคนงาน ต้องรู้เรื่องที่ไม่เกี่ยวกับในไร่ด้วยเหรอ”
“ครับ โดยเฉพาะเรื่องของคุณนรี ผมอยากรู้มาก” ชาติยิ้มมองตากรุ้มกริ่ม
กินรีโกรธ “ไอ้บ้า”
กินรีเดินหนีไป ชาติมองตามเริ่มคิดว่ากินรีจะชอบอังกูรหรือเปล่า?
อังกูรขับรถมาอย่างอย่างเร็วแรง จอดเกือบชนคนงานที่เดินทำงานอยู่ บีบแตรดังลั่นจนคนงานหนีกระเจิง อังกูรกำพวงมาลัยแน่นด้วยความเจ็บใจ
“คิดจะแยกให้ไปอยู่กันสองคนเหรอ ฝันไปเถอะไอ้วิทย์ ฉันจะส่งไอ้วาทิตไปลงนรกก่อนที่มันจะได้ไปอยู่ที่ไร่ชาน้ำค้างแน่”
อนุวัตรเข้ามาในสำนักงานโครงการหลวง เจอรุทรนั่งหน้าเครียดอยู่คนเดียว
“อ้าว ไอ้รุทร มีอะไรวะมาหาฉันถึงนี่”
“เมื่อวาน แกขอให้ฉันทำรายงานการบำรุงดินประจำสัปดาห์ไม่ใช่เหรอ”
“เออ...ลืมเลย ขอบใจนะ” อนุวัตรเดินไปหยิบแฟ้มมาส่งให้ “แกให้คนงานบันทึกก็ได้ อ่านรายละเอียดเองแล้วกันว่าต้องเช็คอะไรบ้าง”
รุทรรับไปแล้วนั่งนิ่ง
“อ้าว...ไม่กลับเหรอ”
รุทรพยักหน้ารับแล้วเดินไปอนุวัตรสังเกตเลยเดินตามไป
“แกเป็นไรวะ ดูแปลกๆ”
“ไม่รู้ว่ะ อยู่ๆก็นึกห่วงวาทิต มันเหมือนมีสังหรณ์อะไรไม่รู้”
“แกอย่าบอกว่าสัญชาตญาณฝาแฝดเพิ่งจะมาทำงานนะโว้ย เมื่อก่อนที่ไม่รู้ว่ามีแฝดไม่เห็นจะมีสังหงสังหรณ์อะไร”
“ฉันซีเรียสนะเว้ย”
“ซีเรียสแล้วแกจะทำยังไง แกจะรู้ได้ไงว่าที่แกมานั่งเป็นห่วง ไม่ใช่เพราะแกไปเห็นเมียน้องแกกับแฟนเก่าคุยกัน แล้วแกเก็บมาจิ้นเอาเองว่าเขายังไม่เลิกคบกัน หรือถ้าเขายังคบกันจริงๆ แล้วแกจะทำอะไรได้ อยู่ดีๆ โผล่ไปบอกน้องแกว่าเมียมีชู้งั้นเหรอ น้องแกได้ช็อกตาย เพราะทั้งรู้ว่ามีพี่ชายแล้วก็เมียมีชู้”
“แกพูดยาวไปหรือเปล่าวะ ไม่ช่วยคิดก็ไม่ได้ว่าอะไร จะพูดยาวไปไหน ขี้เกียจฟัง”
รุทรว่าแล้วก็หยิบแฟ้มลุกขึ้นเดินหนีไป
อนุวัตรมองตามถอนหายใจ บ่นเซ็งๆ
“ไอ้นี่ท่าจะบ้า”
เมทินีนั่งคุยปรับทุกข์กับทิปปี้ที่โต๊ะทำงานในออฟฟิศ ทิปปี้นั่งพิมพ์คอมพ์ไปด้วย
“แกก็รู้นี่ว่าฉันไม่อยากได้อะไรของวาทิตเขาทั้งนั้น ฉันแค่อยากทำหน้าที่ของฉันให้ดีที่สุดก็พอ”
“นั่นแหละ ในเมื่อแกตั้งใจแบบนั้น แกก็ควรได้ทุกอย่างจากการแต่งงานเหมือนคนอื่นๆ เขา ของสามีก็เหมือนของภรรยาตามกฎหมายนะแก”
“สามีภรรยาเหรอ” เมทินีส่ายหน้า “ยังไงฉันก็ยังรู้สึกเหมือนวาทิตเป็นเพื่อนอยู่ดี”
“เอาน่า แกจะรู้สึกยังไงก็ช่าง แต่ความจริงแกก็คือภรรยาวาทิต เพราะฉะนั้นรับสมบัติเขามาให้หมด ถ้ามันเยอะมากใช้ไม่หมดก็แบ่งๆ มาให้ฉันบ้างก็ได้ เพราะฉันคงมีหน้าที่หาเลี้ยงตัวเองไปจนตาย และตอนนี้แกก็ควรกลับไปทำหน้าที่ภรรยาได้แล้ว มาเม้าท์มอยกับฉันนานเดี๋ยววาทิตจะพาลมาโกรธลูกน้องอย่างฉัน”
ทิปปี้จบด้วยการตบมุกเพื่อไม่ให้เพื่อนเครียดไปกว่าที่เป็นอยู่ เมทินีขำแล้วลุกขึ้นจะออกไปแต่ชาติวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาพอดี
“คุณเมครับ คุณเม คุณกูรไม่สบายครับ ช่วยไปดูแกหน่อยนะครับ”
เมทินีตกใจ “พี่กูรเป็นอะไร”
“ไม่ทราบครับ แกสั่งงานผมอยู่ดีๆ ก็ล้มลง แกบอกให้ผมมาตามคุณเมไปดูครับ”
เมทินียิ่งตกใจ “ไปทิปปี้ไปด้วยกัน”
ทิปปี้จะไปด้วยชาติรีบขวาง “เอ่อ...คุณทิปปี้จะไปด้วยเหรอครับ”
“งั้นสิ ฉันไปด้วยอีกคนมีอะไรจะได้ช่วยกัน”
ระหว่างนั้นโทรศัพท์สำนักงานดังขึ้นพอดี ทิปปี้รีบไปรับสาย
“สวนส้มธนาธรสวัสดีค่ะ ค่ะ ได้ค่ะรบกวนจดเบอร์แฟกซ์นะคะ”
“คุณเมไปกันเถอะครับ” ชาติเร่ง
เมทินีส่งสัญญาณให้ทิปปี้รู้ว่าไปก่อนนะ ทิปปี้พยักหน้ารับ ชาติกับเมทินีรีบออกไป
อังกูรนอนซมอยู่บนเตียงในห้องนอน เมทินีเข้ามาหาด้วยความตกใจ
“เห็นชาติบอกว่าพี่กูรป่วยมาก เป็นอะไรคะ”
อังกูรดึงมือเมทินีมากุมไว้ “พี่เป็นอะไรไม่รู้ไม่มีแรงเลย”
“งั้นไปหาหมอนะคะ เดี๋ยวเมขับรถให้ก็ได้ ลุกไหวไหม”
เมทินีจะประคองอังกูรลุกแต่อังกูรขืนตัวดึงเมทินีให้ล้มลงในอ้อมกอด
เมทินีตกใจ “พี่กูร”
“พี่ดีใจนะที่เมยังเป็นห่วงพี่ เมยังรักพี่อยู่ใช่มั้ย”
“พี่กูรคะ ตอนนี้เมว่าพี่กูรไปหาหมอดีกว่านะ”
เมทินีตัดบทแล้วรีบผละออกจากอังกูรลุกขึ้น อังกูรรีบลุกตามมายืนจ้องหน้า เมทินีมองอังกูรเริ่มรู้แล้วว่าอังกูรไม่ได้ป่วยจริง
“พี่กูรไม่ได้ป่วยใช่ไหม”
ในห้องนั่งเล่นตอนนี้ วาทิตนั่งเล่นเปียโนอย่างอารมณ์ดี กินรีเดินเอายาก่อนอาหารมาให้
“ยาก่อนอาหารค่ะ”
วาทิตกินยา กินรีมองไปรอบๆ “เมหายไปอีกเหรอคะ”
“เขาขอไปคุยกับทิปปี้ที่ออฟฟิศน่ะ”
“ไม่กลัวเขาไปที่อื่นเหรอคะ”
วาทิตขำ “นรี...เธอนี่ท่าทางจะหึงเมมากกว่าฉันอีกนะ ตกลงแอบชอบเมหรือเปล่าเนี่ย”
“ทำเป็นเล่นเถอะค่ะ เดี๋ยวจะหาว่านรีไม่เตือน”
วาทิตหัวเราะแล้วเล่นเปียโนต่อ ทิปปี้เดินเข้าบ้านมา วาทิตยิ้มดีใจเพราะคิดว่าเมทินีคงมาด้วย
“พ่อเลี้ยงอยู่ไหมวาทิต ทางเกษตรจังหวัดส่งแฟกซ์ด่วนท่านผู้ว่าฯจะขอนัดประชุม”
“คุณพ่อยังอยู่ที่ไร่ชาน้ำค้าง เมล่ะทิปปี้”
ทิปปี้งง “เมยังไม่มาอีกเหรอ”
วาทิตเริ่มใจไม่ดี กินรีรู้ทันทีว่าเมทินีกับอังกูรต้องลอบไปพบกัน
“ก็ถ้ามาฉันจะถามเธอทำไม” ทิปปี้ไม่รู้จะตอบยังไง “นี่แสดงว่าเมแยกจากเธอมานานแล้วใช่ไหม”
“เห็นชาติมาตามเมที่ออฟฟิศ บอกว่าพี่กูรไม่สบายให้ไปดูหน่อย ฉันก็มัวแต่ยุ่งเรื่องแฟกซ์นี่เลยลืมไปเลย”
พอทั้งวาทิตทั้งกินรีได้ยินที่ทิปปี้บอกก็หูผึ่ง วาทิตนั้นใจเต้นรัวด้วยความหวง
“นี่แสดงว่าเมไปอยู่ที่บ้านพี่กูรใช่ไหม”
“ก็เห็นชาติว่าพี่กูรป่วยอยู่ที่บ้านนะ”
“เป็นไงล่ะคะคุณวาทิต เชื่อที่นรีเคยเตือนหรือยัง”
ทิปปี้ฉุน “นรีเธอพูดถึงอะไรน่ะ”
วาทิตไม่สนใจฟังสองสาวแล้ว เขาลุกขึ้นเดินออกไปจากห้องทันที
“นรี เธอพูดอะไร” ทิปปี้คาดคั้น
“ฉันก็บอกให้คุณวาทิตคอยจับตาดูเมน่ะสิ ไม่งั้นชอบแล่นไปหาคุณกูร”
“บ้า เธอนี่มันบ้าไปแล้ว โอ๊ย”
ทิปปี้เริ่มเป็นห่วงวาทิต
วาทิตเดินออกมาจากบ้านด้วยสีหน้าโกรธขึ้ง ทิปปี้กับกินรีรีบตามมา
“วาทิต ใจเย็นๆ นะ เมไม่ได้เป็นอย่างที่นรีว่านะ”
“ฉันถึงจะไปดูให้เห็นกับตาไง”
“โทร.เรียกเมกลับก็ได้” ทิปปี้บอก
“ไม่ แล้วเธอก็ห้ามโทร.ด้วยนะทิปปี้”
วาทิตตอบแล้วเดินไปที่รถ
“รอด้วยสิวาทิต”
ทิปปี้กับกินรีรีบกระโดดขึ้นรถ แล้ววาทิตขับออกไปอย่างเร็ว
ส่วนภายในห้องนอนอังกูรตอนนี้ อังกูรกับเมทินียืนคุยกัน
“พี่ขอโทษที่ต้องทำแบบนี้ เพราะพี่อยากให้เมมาดูแลพี่บ้าง ไม่ใช่อยู่แต่กับไอ้วาทิตคนเดียว”
“เมเป็นภรรยาวาทิตเมก็ต้องดูแลเขาสิ”
“แล้วพี่ล่ะเม”
“ไม่ว่าจะยัง พี่กูรก็ยังเป็นพี่ชายที่ดีของเมเสมอ”
“แต่พี่ไม่ต้องการเป็นแค่พี่ชาย”
“เราคุยกันในเรื่องที่เป็นไปได้ดีกว่านะคะ”
“นี่ละคือเรื่องที่พี่จะทำให้มันเป็นไปได้”
อังกูรเดินเข้าหาเมทินี
“ถ้าพี่กูรพูดจาไม่รู้เรื่องแบบนี้เมกลับดีกว่า”
เมทินีทำท่าจะเดินออกไป อังกูรรีบดึงเมทินีไว้แล้วจะกอดจูบ เมทินีดิ้นขัดขืน
“พี่กูร อย่านะ ปล่อยเมเถอะค่ะ”
“ไม่ วันนี้พี่จะต้องเป็นเจ้าของเม วาทิตมันจะได้รู้ว่ามันไม่มีวันแย่งเมของพี่ไปได้”
อังกูรปล้ำเป็นการใหญ่ เมทินีทั้งดิ้นทั้งห้ามแต่อังกูรไม่สนใจ เมทินีดิ้นจนเสียหลักล้มลงไปบนเตียงทั้งคู่
รถของวาทิตแล่นมาจอดที่หน้าบ้านของอังกูรอย่างแรง วาทิตลงมาด้วยความโกรธ ทิปปี้กับกินรีรีบตามลงมา ชาติรีบมาขวางไว้
“หลีกไป”
“คุณกูรสั่งไว้ไม่ให้รบกวนครับ”
“แกกล้าขวางฉันเหรอไอ้ชาติ”
วาทิตจ้องหน้าเอาเรื่องชาติจ้องตอบอย่างท้าทาย
สุดท้ายชาติยิ้มร้าย “ถ้าคุณวาทิตพูดขนาดนี้ ก็เชิญ คุณกูรกับคุณเมคุยกันอยู่ในห้องนอนนะครับ”
วาทิต ทิปปี้ และกินรี รีบเดินเข้าบ้านไป ชาติยิ้มสะใจ
ด้านอังกูรพยายามกอดจูบเมทินีพัลวัน เมทินีพยายามป้องปัดขัดขืน
“เม พี่รักเมมากนะ” อังกูรซุกไซ้ไม่ลดละ
“อย่าค่ะพี่กูร อย่าทำแบบนี้”
“ทำไมล่ะเม เราสองคนรักกันไม่ใช่เหรอ พี่รักเม ต้องการเมมากนะ”
“พี่กูรอย่าทำแบบนี้ เมขอร้องนะคะ”
อังกูรไม่ฟังพยายามกอดจูบ ซุกไซ้เมทินี เมทินีขัดขืน
ระหว่างนั้นประตูถูกเปิดออกอย่างแรง วาทิตและคนอื่นเข้ามาในห้อง วาทิตเห็นภาพเมทินีกับอังกูรเหมือนกอดกันก็อุทานด้วยความเสียใจ
“เม!”
ทิปปี้กับกินรีที่เห็นภาพนี้ก็ตกตะลึงไปเหมือนกัน
เมทินีอยากจะรีบผละจากอังกูรเข้าไปหาวาทิต แต่อังกูรยังไม่ปล่อย เมทินีผลักสุดกำลังแล้ววิ่งไปหาวาทิต
ทันที อังกูรยืนยิ้มร้ายให้วาทิต
“อ้าวไงวาทิต มาเยี่ยมพี่เหรอ”
อังกูรทำท่าทางกวนโมโหวาทิต ขยับจัดชุดคลุมอาบน้ำที่ใส่อยู่ให้เข้าที่ วาทิตยิ่งโมโห
เมทินีส่ายหน้า พยายามยืนยันความบริสุทธิ์ “วาทิต มันไม่จริงนะ ฉันอธิบายเรื่องทั้งหมดได้”
วาทิตมองหน้าอังกูรด้วยความโกรธ อาการหอบหนักขึ้นแทบจะยืนไม่ไหว แต่สายตาจ้องอังกูรไม่วางตา
“เมกลับไปก่อนผมมีเรื่องต้องคุยกับพี่กูร”
เมทินีดึงแขน ขอร้อง “ไม่นะ ถ้าฉันไปเธอก็ต้องกลับไปกับฉัน”
วาทิตหอบหนัก “ไม่มีอะไรหรอกเม ผมอยากเคลียร์กับพี่กูรหน่อย” เขาหันมาทางทิปปี้และกินรี “ทิปปี้ นรี พาเมกลับไป”
เมทินียึกยักไม่อยากไป แต่ขัดวาทิตไม่ได้ ทิปปี้จึงพาออกไปก่อน
กินรีมองหน้าอังกูรเหมือนอยากจะพูดอะไร แต่อังกูรมองตอบด้วยสายตาดุๆ กินรีเลยยอมเดินตามทั้งหมดออกไป
เมทินีเดินออกมานอกห้องนอนอังกูร แต่ก็ยังห่วงวาทิตไม่อยากกลับ
“ฉันกลัวว่าจะมีเรื่องไม่ดีจังเลยทิปปี้”
“ทีตอนทำล่ะก็ไม่กลัว เธอคงมีความสุขมากสินะเมที่ทำให้ผู้ชายดีดีสองคนหัวปั่นเพราะเธอได้
กินรีว่าด้วยความหมั่นไส้ปนหึง
“อ้าว นรี ทำไมพูดแมวๆแบบนั้นล่ะ เมเขาก็อยู่ของเขาเฉยๆ คนอื่นเข้ามาวุ่นวายเองเธอจะมาโทษเมได้ยังไง” ทิปปี้ออกตัวแทนเพื่อน
“ไม่โทษได้ไง ก็เห็นๆ กันอยู่ว่ากอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอยู่บนเตียง เธอตาบอดเหรอทิปปี้”
ทิปปี้เจอแบบนี้ไปก็เถียงไม่ออก
“นรี ฉันรู้ว่าทำให้ทุกคนเข้าใจผิด แต่ตอนนี้เรามาคิดกันก่อนดีกว่าว่าจะทำไงดี ฉันกลัวสองคนนั่นจะทะเลาะกันรุนแรง”
กินรียอมหุบปากเพราะเป็นห่วงอังกูร
“คงไม่มีอะไรมั้ง ยังไงสองคนนั้นก็เหมือนพี่น้องกัน น่าจะคุยกันได้” ทิปปี้ว่า
แต่ไม่เป็นดังนั้น เพราะอังกูรกับวาทิตยืนจ้องหน้าเอาเรื่องกันอยู่
“เมเป็นเมียผมพี่กูรก็รู้ ทำไมพี่ต้องทำแบบนี้”
“เมียเหรอ ผู้ชายครึ่งคนอย่างแกจะทำหน้าที่สามีได้ยังไง”
วาทิตโกรธมากขึ้นเริ่มหอบมากขึ้น
“แต่ยังไงเมก็เป็นเมียผมตามกฎหมาย”
“ฮ่าๆๆ เมียตามกฎหมาย ไม่ถามฉันสักหน่อยเหรอว่าเมเป็นเมียฉันตามอะไร”
วาทิตตกใจ “อะไรนะ...ไม่จริง พี่หลอกผม”
“แกต่างหากที่โดนหลอก ฉันคบกับเมมานาน แกคิดเหรอว่าเราจะไม่มีอะไรกัน”
“พี่หมายความว่าไง” วาทิตเริ่มหอบหนักขึ้น
“เมยอมแต่งงานกับแก ก็เพราะเงินยี่สิบล้านเพื่อช่วยน้อง แกมันได้แค่ใส่ชุดเจ้าบ่าวเท่านั้น แต่ที่ได้ตัวเมน่ะคือฉัน แล้วที่แกเห็นเมื่อกี้คือเมเค้ามาหาฉัน เค้าอยากอยู่ใกล้ฉัน ไม่ใช่ไอ้พิการอย่างแกจำไว้”
วาทิตทั้งหอบทั้งโกรธจัด เดินตรงเข้าไปบีบคออังกูร แต่ถูกอังกูรจับมือและผลักร่างของวาทิตไปชนกับแจกันหล่นลงพื้นอย่างแรงเสียงดังโครมคราม
เมทินี ทิปปี้ กินรี และชาติ ต่างตกใจที่ได้ยินเสียงดังมาจากด้านบน
สามสาวรีบวิ่งเข้าบ้านไป ชาติยืนอึ้งชั่วขณะ ก่อนจะรีบวิ่งตามขึ้นไป
อ่านต่อหน้า 2
เงาใจ ตอนที่ 4 (ต่อ)
เศษแจกันในห้องนอนอังกูรหล่นแตกเกลื่อนกล่น พร้อมกับร่างของวาทิตที่ฟุบลงไปกองกับพื้นอาการโรคหัวใจกำเริบ เขาหายใจหอบหนัก เมทินีและทุกคนวิ่งขึ้นมาชาติปิดท้าย
เมทินีตกใจที่เห็นวาทิตหอบหนัก ตวัดสายตายังคงมองอังกูรด้วยความโกรธ แล้วรีบเข้าไปดูอาการของวาทิตทันที ประคองให้ลุกขึ้น
“วาทิต เป็นอะไรหรือเปล่า”
วาทิตไม่ตอบ ประสานสายตากับอังกูรชนิดที่ต่างคนต่างไม่ยอมแพ้
เมทินีมองอังกูรอย่างไม่พอใจ อังกูรเห็นสายตานั้นของเมทินีก็รีบทำดีทันที
“เป็นยังไงบ้างวาทิต เจ็บตรงไหนหรือเปล่า มาพี่ช่วย”
อังกูรจะเข้าไปประคองวาทิต แต่วาทิตปัดมือ โกรธ ไม่พอใจ เริ่มมีอาการหอบหนัก
“วาทิตฉันว่าอาการเธอไม่ดีแล้ว กลับกันเถอะนะ”
วาทิตไม่ยอมไป สายตายังจดจ้องมองอังกูรไม่วางตา
“ฟังฉันนะ กลับไปด้วยกัน แล้วฉันจะเล่าทุกอย่างให้ฟัง แต่ถ้าเธอไม่กลับฉันจะถือว่าเธอไม่เชื่อใจฉัน ฉันขอร้อง”
เมทินีทั้งขู่ทั้งขอร้อง
วาทิตมองหน้าอังกูรเห็นรอยยิ้มเยาะ ก็ยังรู้สึกโกรธขึ้ง แต่พอมองหน้าเมทินีที่แววตาขอร้องก็ใจอ่อนพยักหน้ารับ
เมทินีรีบพยุงวาทิตออกไป ทิปปี้รีบตามออกไป
กินรีมองหน้าอังกูรเหมือนอยากจะพูดอะไร แต่อังกูรมองตอบด้วยสายตาดุๆ กินรีเลยยอมเดินตามทั้งหมดออกไป
ชาติเดินเข้ามาหาอังกูรจะอธิบาย ถูกอังกูรตบหน้าเต็มแรงด้วยความโมโหสุดขีด ชาติหน้าหัน
“แกปล่อยให้ขึ้นมากันได้ยังไง ไอ้วาทิตมันกำลังจะตายอยู่แล้ว”
ชาติน้อมรับความผิด สีหน้าอังกูรบึ้งตึงเสียดายที่พลาดโอกาสจัดการวาทิต
กลับถึงบ้านพ่อเลี้ยงวิทย์ สองคนนั่งคุยกันอยู่ที่ห้องนั่งเล่น เมทินีเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้วาทิตฟังจบแล้ว
“เรื่องมันก็เป็นแบบที่ฉันเล่าให้ฟังนี่แหละ เธอคงไม่คิดว่าฉันโกหกนะวาทิต”
วาทิตนั่งเงียบไม่ตอบ เมทินีใจไม่ดีที่เห็นวาทิตนิ่งไป จึงรีบยืนยันอีกครั้ง
“วาทิต ฉันกับพี่กูรเราไม่ได้มีอะไรกันเลยนะ”
“ผมไม่คิดเลยว่าพี่กูรจะวางแผนชั่วๆ ได้ถึงขนาดนี้ ต่อไปนี้เมอย่าไปใกล้พี่กูรอีกนะคะ”
วาทิตบอกเสียงเรียบโดยที่ไม่มองหน้าเมทินีเลยสักนิด
“ฉันจะดูแลตัวเองให้ดี ไม่ให้เธอต้องเป็นห่วงอีก แต่ตอนนี้เธอไปพักก่อนนะวาทิต”
“ผมไม่เป็นอะไร เมไปพักเถอะ”
“แต่ว่า...”
วาทิตพูดสวนขึ้นทันทีอย่างจริงจัง “ผมขออยู่คนเดียว”
เมทินีอึ้งไม่กล้าขัด วาทิตลุกเดินออกไปทางห้องทำงานของพ่อเลี้ยงวิทย์
เมทินีมองตามรู้สึกไม่ดี
วาทิตเปิดประตูห้องทำงานของพ่อเลี้ยงวิทย์เข้ามา นั่งลงท่าทางเครียดคิดมาก นึกถึงภาพที่เห็นอังกูรกับเมทินี กอดจูบกัน และคำพูดเยาะเย้ยของอังกูรเมื่อครู่นี้
“แกต่างหากที่โดนหลอก ฉันคบกับเมมานาน แกคิดเหรอว่าเราจะไม่มีอะไรกัน”
วาทิตมองไปเห็นรูปถ่ายสามคน ตนกับพ่อเลี้ยงวิทย์และอังกูรตั้งอยู่บนโต๊ะ วาทิตจ้องมองด้วยความโกรธน้ำตาไหลออกมา ด่าอังกูรในใจ
วาทิตโกรธจัดคว่ำรูปนั้นลง เปิดลิ้นชักเอารูปใส่ แล้วชะงัก เมื่อสายตาเห็นปืนอยู่ในลิ้นชัก วาทิตจ้องมองปืนเขม็งสีหน้าครุ่นคิด
“เรื่องแบบนี้มันจะไม่มีวันเกิดขึ้นอีก”
ไม่นานนัก วาทิตเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่นบ้านพักอังกูร ท่าทางเอาเรื่อง อังกูรกำลังนั่งคุยอยู่กับชาติ ชะงักมองวาทิต ประมาณว่าแกมาทำไมอีก
วาทิตบอกด้วยท่าทีจริงจัง “ผมมีเรื่องต้องเคลียร์กับพี่กูร”
วาทิตบอกแล้วปรายตาไปทางชาติ
“มีอะไรก็พูดมาเลยชาติมันคนสนิทพี่”
“แต่ไม่ใช่คนสนิทผม”
“มึงออกไปก่อนไอ้ชาติ”
อังกูรสั่ง ชาติมองหน้าวาทิตอย่างไม่พอใจ ก่อนจะเดินออกจากห้องไป
อังกูรกับวาทิตยืนจ้องหน้ากันเอาเรื่อง
“แกจะคุยเรื่องอะไร อ้อ...คงจะเรื่องเม ก็ตามที่แกเห็นนั่นแหละ”
“เมเป็นเมียผมพี่กูรก็รู้ ทำไมพี่ต้องทำแบบนี้”
“วาทิตฉันจะบอกอะไรแกนะ ถ้าแกจะขึ้นชื่อว่าเป็นสามีของเม แต่แกก็ไม่มีทางได้หัวใจของเมหรอก เพราะเมเขาไม่ได้รักแก”
“ผมไม่สนใจอะไรทั้งนั้น เมแต่งงานกับผมแล้วอย่างถูกต้อง และผมก็รักเม”
อังกูรจ้องหน้าวาทิตเขม็ง
“รักเหรอ ถามจริงแกรักเมแบบไหนวาทิต แกทำหน้าที่สามีได้เต็มร้อยเหรอ แกจะเอาเมเขามาทรมานกับแกทำไม”
“ทรมานตรงไหน ผมเห็นเมเขาก็มีความสุขดี”
“เหรอ แล้วเรื่องอย่างว่าล่ะ แกให้เขาได้ไหม” น้ำเสียงอังกูรเย้ยหยันเต็มที่
“ผมคิดว่ามันไม่จำเป็นสำหรับผมกับเม เพราะผมรักเมด้วยใจ ผมขอร้องเถอะพี่กูร เมเป็นเมียผมแล้ว พี่กูรอย่าพยายามแย่งเมของผมเลย”
“พี่คงให้ในสิ่งที่แกขอไม่ได้หรอก เพราะแกมาแย้งเมไปจากพี่ก่อน พี่จะทำทุกอย่างเพื่อเอาเมกับมาเป็นของพี่”
วาทิตเอาปืนออกมา เล็งไปที่อังกูร มือสั่น ท่าทีกล้าๆ กลัวๆ
“ถ้าพี่กูรไม่หยุดผมคงต้องหยุดพี่กูรด้วยวิธีนี้”
“แกจะทำบ้าอะไรวาทิต”
วาทิตเครียดจนเกิดอาการหอบหนักมาก ตัดสินใจยิงอังกูร แต่อังกูรหลบทัน รีบเข้าชาร์จตัววาทิต จนล้มลงไปทั้งคู่ และปืนร่วงกระเด็นไปทางหนึ่ง
วาทิตหอบหนักมากจะเอายามาพ่น แต่มือสั่น ยาพ่นร่วง พอจะหยิบ ถูกอังกูรเหยียบมือไว้ พร้อมกับใช้เท้าอีกข้างกระทืบยาพ่นแตก
วาทิตหายใจไม่ออก “ยา...ยาผม”
“โอ๊ะ ไม่มียา นายจะเป็นไงนะ หายใจไม่ออก” อังกูรยิ้มร้าย “งั้นก็รีบๆ ตายไปสิ ฉันจะได้อยู่กับเม”
วาทิตลงนอนพะงาบพะงาบ อังกูรยิ้มเหี้ยมเดินเข้าไปเตะอัดเข้าที่ท้องของวาทิต
“มึงกล้ายิงกูเหรอไอ้วาทิต มึงคิดว่าคนอย่างมึงจะมีปัญญาทำอะไรกูได้เหรอ”
อังกูรบันดาลโทสะ เตะเข้าที่ท้องของวาทิตอย่างแรงหลายทีด้วยความโกรธ วาทิตนอนตัวงอหายใจหอบ และหมดสติไป
“เก่งนักใช่มั้ยมึง คิดจะฆ่ากูใช่มั้ย”
อังกูรเห็นวาทิตนิ่งไปนาน รีบตะโกนเรียกชาติ “ไอ้ชาติ”
ชาติรีบเดินเข้ามาหา “ตายหรือเปล่าครับคุณกูร”
“ถ้ามันยังไม่ตายเดี๋ยวมันก็ต้องตาย”
อังกูรยิ้มร้ายเหี้ยมโหดผิดมนุษย์มนา
สองคนช่วยกันพยุงร่างไร้สติของวาทิตออกไปจากห้อง
นาฬิกาบอกเวลาประมาณตีห้าเศษๆ เมทินีเอื้อมมือเปิดไฟที่หัวเตียง มองไม่เห็นวาทิตก็สงสัย ดูที่นอนด้านที่วาทิตนอนประจำก็เห็นว่าเรียบกริบไม่มีร่องรอยการนอน
“วาทิตไม่ได้กลับเข้ามานอนเลยเหรอเนี้ย หายไปไหนของเขานะ”
เมทินีเดินหาตามหาวาทิต แต่ไม่พบ เมทินีมีสีหน้าเริ่มกังวล
เมทินีออกมาเดินหาวาทิตในห้องนั่งเล่น เจอกับจั่นเป็งที่ตื่นเช้าตามปกติกำลังดูแลความเรียบร้อยอยู่
“จั่นเป็ง เห็นวาทิตบ้างมั้ย”
“ไม่เห็นเลยค่ะ ปกติเวลานี้คุณวาทิตยังไม่ตื่นนี่คะ”
“อะไรกันจั่นเป็ง” เอื้องคำเดินเข้ามา ปากถามจั่นเป็งแต่ตามองไปที่เมทินี
“วาทิตไม่ได้อยู่ที่ห้องค่ะ ฉันหาจนทั่วแล้ว ไม่รู้ว่าหายไปไหน”
เอื้องคำอดตำหนิไม่ได้ “อะไรกัน นอนอยู่เตียงเดียวกันแท้ๆ แต่คุณวาทิตหายไปไหนคุณไม่รู้เรื่อง นี่เป็นเมียภาษาอะไรกัน จั่นเป็งไปบอกหนานให้เรียกคนงานมาช่วยกันหาให้ทั่วบ้าน ไปเร็ว”
เอื้องคำสั่ง ตาก็มองเมทินีอย่างไม่พอใจ เมทินียืนกระวนกระวายใจอยู่ที่หน้าบ้าน จนเห็นทิปปี้วิ่งเข้ามาหา
“เจอวาทิตหรือยังเม”
เมทินีกังวลมาก “ยังเลย แกว่าวาทิตหายไปไหนน่ะทิปปี้”
“แกใจเย็นๆ ไว้ วาทิตต้องอยู่ในแถวนี้แหละ ถ้าในบ้านไม่มี เราลองออกไปตามหาข้างนอกกันดีกว่า”
ทิปปี้บอก เมทินีพยักหน้าคล้อยตาม พากันออกไปตามหาวาทิต
อีกฟากหนึ่ง รถของอังกูรแล่นเข้ามาจอดริมแปลงดอกไม้ในไร่ แล้วปิดไฟหน้ารถ สองคนช่วยกันพยุงร่างวาทิตที่หมดสติลงจากรถ พยุงวาทิตไปตามทาง
อังกูรกับชาติพยุงวาทิตมาเรื่อยๆ มองซ้ายมองขวาด้วยความระมัดระวัง
จู่ๆ ก็เห็นแสงไฟจากรถสาดเข้ามาบริเวณนั้น อังกูรกับชาติรีบเอาตัววาทิตหลบเข้าในมุมมืด
เป็นรถของเมทินีกับทิปปี้ที่จอดลง เมทินีกับทิปปี้นั่งอยู่บนรถ สองสาวมองมาที่แปลงดอกไม้หาวาทิต
“ฉันว่าวาทิตไม่น่ามาอยู่ที่นี้หรอก ลองไปหาที่อื่นดูเถอะ”
ทิปปี้พยักหน้ารับก่อนขับรถออกไปหาวาทิตที่อื่นต่อ
ฝ่ายอังกูรกับชาติพยุงตัววาทิตออกมาจากมุมมืด พาร่างของวาทิตวางลงที่แปลงดอกไม้
อังกูรยิ้มสะใจ สักพักก็เห็นแสงจากไฟฉาย และเสียงเรียกวาทิตจากสองสาวดังใกล้เข้ามา
อังกูรกับชาติมองหน้ากันตกใจไม่คิดว่าสองสาวจะย้อนกลับมา รีบหลบทันที
“วาทิต...วาทิต” เมทินีกับทิปปี้เดินเรียกหาวาทิตไม่หยุดปาก
“วาทิต เธออยู่แถวนี้หรือเปล่า วาทิต”
“วาทิต ยู้ฮู ...สงสัยจะไม่อยู่อย่างที่แกว่าแหละ ไปเมไปหาที่อื่นต่อ”
ทิปปี้บอกแล้วทำท่าจะเดินกลับ แต่เมทินีดึงแขนเอาไว้
“เดี๋ยวแก นั่นมันเท้าคนนี่”
“ไหนๆ เออ ใช่ หรือว่าจะเป็นวาทิต”
ทั้งคู่รีบวิ่งเข้าไปดูปรากฏว่าเป็นวาทิตนอนอยู่ในแปลงดอกไม้จริงๆ
“วาทิต วาทิต อย่าเป็นอะไรนะ” เมทินีตกใจมาก
ทิปปี้ร้องตะโกนดังลั่นให้คนช่วย “ช่วยด้วย วาทิตอยู่ที่แปลงดอกไม้นี่ ช่วยด้วย”
“วาทิตแพ้เกสรดอกไม้ รีบเอาตัวออกไปจากตรงนี้ก่อนเร็ว”
เมทินีบอก ทั้งคู่ช่วยกับเอาตัววาทิตออกไปอย่างทุลักทุเล
อังกูรกับชาติเดินออกมาจากที่ซ่อน อังกูรมองตามอย่างสะใจ
วาทิตถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลทันที พ่อเลี้ยงวิทย์ซึ่งเพิ่งทราบข่าว เดินใช้ไม้เท้าหน้าตื่นเข้ามาที่หน้าห้องฉุกเฉิน ที่เมทินี กินนรี และทิปปี้ ยืนรอหมออยู่
“นี่มันเกิดเรื่องอะไรกัน ทำไมถึงได้เป็นแบบนี้” พ่อเลี้ยงวิทย์ถามเสียงขุ่น
กินรีฟ้องทันที “เมน่ะสิคะ ไม่รู้ว่ายังไงนอนกันยังไงถึงปล่อยให้คุณวาทิตหายตัวไป มาเจออีกทีคุณวาทิตนอนสลบอยู่ที่แปลงดอกไม้”
“เมขอโทษจริงๆ ค่ะคุณพ่อ ไม่รู้ว่าวาทิตออกไปตั้งแต่ตอนไหน”
“เอาเถอะๆ วาทิตก็ไม่ใช่เด็กๆ แล้ว จะไปไหนมาไหนคงห้ามไม่ได้หรอก”
พ่อเลี้ยงวิทย์ตัดบท ระหว่างนั้นหมอเปิดประตูห้องออกมาพอดี
“วาทิตเป็นไงบ้างครับ” พ่อเลี้ยงถาม สีหน้าเป็นกังวลมาก
“หมอขอคุยกับพ่อเลี้ยงหน่อยได้ไหมครับ”
พ่อเลี้ยงวิทย์นั่งอยู่ที่เก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานของหมอ
“คนไข้มีทั้งอาการหัวใจวายและโรคหอบกำเริบอย่างรุนแรง และยังพบว่าภายในร่างกายช้ำใน และกระดูกซี่โครงหัก รวมอยู่ด้วยครับ”
พ่อเลี้ยงวิทย์อึ้งตกใจ “อะไรนะครับหมอ ภายในช้ำใน กระดูกซี่โครงหักด้วยหรือครับ” พ่อเลี้ยงพูดกับตัวเองด้วยความสงสัย “แล้ววาทิตไปทำอะไรมาถึงได้เจ็บหนักขนาดนี้” แล้วจึงเงยหน้าไปพูดกับหมอ “แล้วยังจะพอมีหวังว่าวาทิตจะฟื้นไหมครับ”
หมอถอนหายใจหนักหน่วง ขณะมองหน้าพ่อเลี้ยง
“ถ้าจะฟื้นได้ก็ต้องมีปาฏิหาริย์เท่านั้น”
พ่อเลี้ยงวิทย์อึ้ง มองหน้าหมอแบบหมดหวัง
“อาการของคุณวาทิตหนักมาก และหมอขอเรียนกับพ่อเลี้ยงตรงๆ ว่าคุณวาทิตมีแนวโน้มที่จะกลายเป็น...เจ้าชายนิทราครับ”
พ่อเลี้ยงวิทย์อึ้งตกใจพูดไม่ออก
“ยังไงผมก็จะช่วยคุณวาทิตอย่างเต็มที่ครับ”
พ่อเลี้ยงวิทย์พยายามข่มใจตัวเองเอาไว้ “ผมขออะไรสักอย่างได้ไหมครับหมอ”
“อะไรหรือครับ”
“คุณหมออย่าเพิ่งให้ใครรู้อาการของวาทิตนะครับ สั่งงดเยี่ยมไปเลยก็ได้”
หมอพยักหน้ารับปาก พ่อเลี้ยงสงสารวาทิตจนน้ำตาคลอ
ขณะเดียวกัน เมทินีกับทิปปี้นั่งคุยกันที่ร้านกาแฟในโรงพยาบาล
“วาทิตจะเป็นอะไรมากหรือเปล่าก็ไม่รู้ ความผิดของฉันคนเดียว ถ้าฉันดูวาทิตดีดีเขาอาจจะไม่ไปสลบอยู่ที่แปลงดอกไม้” เมทินีปรับทุกข์กับเพื่อนรัก
“คิดมากน่าเม แกเป็นเมียวาทิตนะไม่ใช่ยาม จะได้นั่งเฝ้าเขาทั้งคืน อย่างที่พ่อเลี้ยงบอกวาทิตโตแล้วจะไปไหนมาไหนใครจะไปห้ามได้”
“แต่ฉันก็ควรดูแลวาทิตให้ใกล้ชิดกว่านี้” เมทินียังคงรู้สึกผิด
ระหว่างนั้นพ่อเลี้ยงวิทย์เดินมาหาสองสาว เมทินีรีบลุกขึ้นถามทันที
“วาทิตเป็นไงบ้างคะ”
“หมอบอกว่าอาการวาทิตยังไม่ดี วันนี้เธอสองคนกลับไปก่อน”
“เมขอไปดูวาทิตหน่อยได้ไหมคะ”
“ฉันบอกให้กลับก็กลับเถอะ มีข่าวคืบหน้าอะไรฉันจะบอกเอง”
พ่อเลี้ยงวิทย์พูดจบก็เดินไปเลย เมทินียืนนิ่งทำอะไรไม่ถูก ทิปปี้เห็นความผิดปกติก็รีบมาปลอบเพื่อน
“กลับกันก่อนเถอะ เม พ่อเลี้ยงท่าทางอารมณ์ไม่ดี อย่าไปขัดใจแกเลย”
เมทินีถอนใจเครียดก่อนเดินตามทิปปี้ไป
วาทิตนอนนิ่งอยู่บนเตียง มีสายระโยงรยางค์อยู่เต็มตัว พ่อเลี้ยงวิทย์นั่งอยู่ข้างเตียงมองดูวาทิตด้วยความรักและสงสาร น้ำตาไหลออกมา
“วาทิต พ่อรักลูกนะ ลูกต้องหาย และพ่อต้องหาตัวคนที่ทำร้ายลูกมาให้ได้”
พ่อเลี้ยงวิทย์ลูบหัวแล้วจับมือวาทิตปลอบนิ่งนาน
อีกฟาก แรมกำลังนั่งปอกผลไม้อยู่ตรงระเบียงบ้าน ทว่ามัวแต่เหม่อลอยจนโดนมีดบาดมือเข้า
“อุ๊ย”
รุทรเข้ามาพอดีเห็นแม่ร้องก็รีบเข้าไปหา
“อ้าว แม่ ใจลอยอีกแล้วใช่ไหม ไปผมใส่ยาให้”
รุทรพาแรมมานั่งที่มุมหนึ่ง แล้วหยิบกล่องยามาเปิดกล่องยาทำความสะอาดแผล
“แม่เป็นอะไรหรือเปล่าหมู่นี้เห็นใจลอยๆ เมื่อกลางวันก็หุงข้าวซะแฉะเลย”
แรมถอนใจ “ไม่รู้สิ ใจมันไม่สบายยังไงไม่รู้”
“มีเรื่องอะไรในใจหรือเปล่า”
“อยู่ๆ แม่ก็คิดถึงวาทิตน้องเราขึ้นมา ไม่รู้ทำไม”
รุทรชะงักไปนิดหนึ่ง แต่รีบทำให้เป็นปกติ “เพราะช่วงนี้เราพูดถึงเขาบ่อยมั้ง แม่ก็เลยเก็บเอามาคิดถึง”
“ตอนรุทรไปเห็นน้อง เขาดูสบายดีมีความสุขแน่นะ”
รุทรยิ้มกลบเกลื่อน “เอ่อ...แน่สิแม่”
“ก็คงจริง เพราะถ้ามีเรื่องอะไรพ่อเลี้ยงคงโทร.บอกแม่แล้ว”
ทำแผลเสร็จ รุทรเป่าเพี้ยง แรมอดยิ้มเอ็นดูไม่ได้
รุทรกอดแม่ “แม่ไม่ต้องห่วงนะครับ ถ้ามีใครทำอะไรน้อง ผมจะลุกมาปกป้องเค้าเอง”
แรมงง “นี่...ตอนนี้เราดูจริงจังกว่าแม่อีกนะรู้เปล่า”
รุทรยิ้มรับเจื่อนๆ แต่พอเห็นแม่ดูมีความสุข เขาก็ได้แต่แอบถอนใจเครียด
รุทรเข้ามาเอาของที่ห้องนอน เห็นกล้องถ่ายรูป อดหยิบขึ้นมาเปิดดูรูปเมทินีไม่ได้
“ไม่ใช่แค่แม่หรอกครับที่ห่วงน้อง” รุทรรำพึงกับตัวเอง
พ่อเลี้ยงวิทย์นั่งมองวาทิตที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงพร้อมสายระโยงรยางค์ แววตาของพ่อเลี้ยงเต็มไปด้วยความรักและความสงสารวาทิต
อังกูรเดินเข้าไปหยุดที่หน้าเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ของโรงพยาบาล เพื่อเลียบเคียงถามอาการวาทิต
พยาบาล 1 ยิ้มทักทาย “สวัสดีค่ะมีอะไรให้ช่วยคะ”
“ผมอยากทราบว่าคนไข้ที่ชื่อวาทิต วุฒิธรรม พักฟื้นอยู่ห้องไหนครับ”
พยาบาลมองหน้ากันอึกอัก
พยาบาล 2 บอกว่า “คือพ่อเลี้ยงเจ้าของไข้ให้ปิดเป็นความลับค่ะ”
“พ่อเลี้ยงวิทย์คือคุณลุงของผมเองครับ วาทิตเป็นน้องผม คุณลุงเป็นคนบอกให้ผมมาเยี่ยมแต่ผมลืมเลขห้อง คิดว่าตอนนี้คุณลุงคงอยู่กับวาทิตผมไม่อยากโทรศัพท์เข้าไปรบกวนนะครับ”
อังกูรอธิบายทั้งสีหน้าและน้ำเสียงดูน่าเชื่อถือ
พยาบาลสองคนมองหน้ากันว่าจะเอายังไงดี สุดท้าย พยาบาล 1 ตัดสินใจเปิดแฟ้มคนไข้ออกดู
ขณะที่พ่อเลี้ยงวิทย์กำลังนั่งเฝ้าไข้วาทิตอยู่ มีเสียงเคาะประตูห้องแล้วพยาบาลก็เปิดประตูเข้ามา
“พ่อเลี้ยงคะคุณหมอขอเชิญพบค่ะ”
พ่อเลี้ยงพยักหน้าให้พยาบาล แล้วลุกเดินตามออกไป โดยลืมโทรศัพท์มือถือไว้ที่ในห้อง
อังกูรยืนหลบดูเหตุการณ์อยู่มุมหนึ่ง จนพยาบาลเปิดประตูเดินนำพ่อเลี้ยงวิทย์ออกจากห้องพักฟื้น อังกูรรอให้พ่อเลี้ยงวิทย์เดินลับมุมไปแล้วจึงเดินเหลียวซ้ายแลขวามาที่หน้าห้องพักฟื้นของวาทิต
ขณะอังกูรจับลูกบิดประตูทำท่าจะเปิดออก แต่ก็มีมือของพ่อเลี้ยงวิทย์ที่กลับมาเอามือถือ ยื่นมาจับมืออังกูรเอาไว้
“จะทำอะไรกูร” พ่อเลี้ยงวิทย์ถามเสียงดุ
ที่มุมหนึ่งในโรงพยาบาล พ่อเลี้ยงวิทย์ยืนหน้าเครียดอยู่ตรงหน้าอังกูร
“ผมอยากเห็นกับตาครับว่าวาทิตไม่ได้เป็นอะไร ผมเป็นห่วงน้อง”
พ่อเลี้ยงวิทย์ดุ “ลุงสั่งแล้วไงว่าใครก็ห้ามเยี่ยมวาทิต ทุกคนทำตามมีแค่กูรคนเดียวที่พยายามขัดคำสั่ง”
“ทำไมล่ะครับ อาการป่วยของวาทิตทำไมมันต้องเป็นความลับขนาดนี้ด้วย”
“ลุงบอกได้แค่ว่า วาทิตไม่ได้เป็นอะไรมาก และจะกลับบ้านได้เร็วๆ นี้ ถ้ากูรห่วงน้องล่ะก็ให้น้องได้พักผ่อนอย่าทำแบบนี้อีก” พ่อเลี้ยงวิทย์สั่งเสียงเข้ม
“ครับคุณลุง” อังกูรรับคำทั้งๆ ที่ไม่เต็มใจนัก
แรมกำลังนั่งคุยกับพ่อเลี้ยงวิทย์ที่แวะมาหาอย่างร้อนใจภายในห้องรับแขกบ้าน แรมร้องไห้โฮเมื่อได้ยินข่าววาทิตป่วยหนัก
“ฉันขอโทษด้วยที่ปล่อยให้เกิดเรื่องไม่ดีกับวาทิต”
“มันไม่ใช่ความผิดของพ่อเลี้ยงหรอกค่ะ พ่อเลี้ยงทำดีที่สุด ถ้าไม่ได้พ่อเลี้ยงช่วยต่อชีวิตวาทิตอาจจะตายไปตั้งแต่เด็กๆ แล้วก็ได้ แล้วนี่มีหนทางรักษามั้ยคะพ่อเลี้ยง”
“ฉันจะหาทางทำให้วาทิตกลับมาเหมือนเดิมให้ได้ จะต้องเสียเงินทองเท่าไหร่ก็ยอม แต่ในระหว่างที่วาทิตรักษาตัว ฉันอยากจะขอให้แรมกับลูกช่วยอะไรฉันสักหน่อย”
“พ่อเลี้ยงจะให้ทำอะไรคะ”
“ไว้รุทรมาแล้วฉันค่อยบอกพร้อมกันดีกว่า”
“แม่โทร.เรียกผมมาทำไมเหรอครับ” รุทรเดินเข้ามาในห้อง
พ่อเลี้ยงวิทย์หันไปดู พอเห็นรุทรก็ตกตะลึงในความเหมือนวาทิต ราวกับเป็นคนเดียวกัน
“นี่รุทรเหรอเนี่ย”
แรมแนะนำลูก “รุทร ไหว้พ่อเลี้ยงวิทย์ซะสิลูก”
“พ่อเลี้ยงวิทย์ พ่อของวาทิต นี่วาทิตมีเรื่องใช่ไหม” วาทิตสังหรณ์ใจ
ผู้ใหญ่สองท่านนิ่งพูดไม่ออก รุทรเริ่มสังเกตเห็นว่าแม่ร้องไห้
“แม่ร้องไห้ด้วย ตกลงมันอะไรกันครับเนี่ย”
พ่อเลี้ยงวิทย์เอ่ยขึ้น “ตอนนี้วาทิตไม่สบายหนัก ลุงเลยอยากให้รุทรช่วยลุงสักหน่อย”
รุทรมองหน้าพ่อเลี้ยงงงๆ ครั้นพอหันไปมองแรม ก็เห็นว่าแม่มีสีหน้าเครียด ดูเป็นกังวลมาก
วาทิตนอนหลับอยู่บนเตียงคนไข้ในห้องวีไอพี ใส่ออกซิเจนครอบจมูกอยู่ มีเครื่องวัดระดับหัวใจชีพจร น้ำเกลือต่างๆ นานา ติดไว้ตามตัวระโยงรยางค์
รุทร และแรม ยืนดูวาทิตอยู่ แรมร้องไห้ที่เห็นสภาพลูกชายแฝดน้อง มีรุทรโอบไหล่ปลอบ พ่อเลี้ยงลูบหัววาทิตด้วยความสงสารลูก
“หมอยังบอกไม่ได้ว่าวาทิตจะต้องใช้เวลาเท่าไหร่ในการรักษา ช่วงที่วาทิตยังไม่ฟื้นลุงเลยอยากจะขอร้องให้รุทรเข้าไปเป็นวาทิตก่อนชั่วคราว”
“ทำไมครับ”
รุทรถามพร้อมกับหันมองดูวาทิต
พ่อเลี้ยงวิทย์กับรุทรคุยกันอยู่ในร้านกาแฟโรงพยาบาล มีคนนั่งอยู่ประปรายไม่มากนัก
“ถ้ายังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับวาทิตกันแน่ ลุงก็ยังไม่วางใจใครทั้งนั้น”
“หมายความว่า คุณลุงไม่เชื่อว่าวาทิตจะไปนอนสลบที่แปลงดอกไม้เอง”
“วาทิตเขาก็รู้ตัวดีว่าแพ้เกสรดอกไม้ ลุงไม่เห็นเหตุผลว่าเขาจะลงไปที่แปลงดอกไม้เพื่ออะไร และที่สำคัญหมอบอกกับลุงเองว่าภายในร่างกายของวาทิตช้ำใน กระดูกซี่โครงหัก ลุงว่ามันต้องมีอะไรที่ไม่ชอบมาพากลแล้วล่ะ”
“แล้วคุณลุงสงสัยใครบ้างหรือเปล่าครับ อย่างเช่นคนที่ใกล้ชิดวาทิตมากๆ”
รุทรนึกถึงภาพเหตุการณ์ในวันที่เห็นเมทินีอยู่กับอังกูรอีก
พ่อเลี้ยงวิทย์ถอนหายใจคิดหนัก “ลุงพูดตามตรงนะ ตอนนี้ลุงเองก็มืดแปดด้าน สงสัยมันไปหมด และก็ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร ก็เห็นมีแต่รุทรเท่านั้นที่ช่วยได้ รุทรช่วยไปเป็นวาทิตนะ เห็นแก่น้องนะรุทร”
รุทรนั่งคิดตัดสินใจ พ่อเลี้ยงลุ้นคำตอบ
“ดูคุณลุงจะรักวาทิตมากเลยนะครับ”
“ใช่ นับจากวินาทีแรกที่ลุงได้อุ้มวาทิตไว้กับอก ลุงไม่เคยคิดว่าวาทิตเป็นอื่นนอกจากลูกของลุง ลุงตั้งใจจะดูแลเขาให้ดีที่สุดเท่าที่ลุงจะทำได้”
รุทรซาบซึ้งไปกับความรักของพ่อเลี้ยงวิทย์ที่มีต่อน้องชาย “ผมดีใจนะครับที่วาทิตได้คุณลุงเป็นพ่อ วาทิตก็คงดีใจมากเช่นกัน” เขาหยุดไปนิดแล้วพูดต่อ “คุณลุงครับ...”
พ่อเลี้ยงวิทย์มองหน้ารุทร ทั้งคู่ประสานสายตากัน
“ผมตกลงจะเป็นวาทิตครับ”
พ่อเลี้ยงวิทย์ยิ้มรับอย่างมีความหวัง รุทรมองไปข้างหน้าด้วยแววตามุ่งมั่น จะจับคนที่ทำร้ายน้องชายให้ได้
อ่านต่อหน้า 3
เงาใจ ตอนที่ 4 (ต่อ)
ตกตอนค่ำ ทุกคนรวมตัวกันอยู่ภายในห้องรับแขก เมทินี กินรี เอื้องคำ จั่นเป็ง และ หนาน นั่งรอฟังข่าวอาการของวาทิต จากพ่อเลี้ยงวิทย์ที่นั่งเครียดเป็นประธานอยู่
“ตอนนี้อาการของวาทิตไม่สู้จะดีนัก” พ่อเลี้ยงบอก
เอื้องคำใจหาย “หนักกว่าทุกครั้งเลยเหรอคะ”
พ่อเลี้ยงวิทย์พยักหน้ารับแล้วมองเมทินี พยามทำท่าทางให้ปกติ
“ถ้างั้นฉันขอไปเฝ้าคุณวาทิตได้ไหมคะพ่อเลี้ยง ฉันดูแลคุณวาทิตมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย ก็รักเหมือนลูกของตัวเอง อยากจะดูแลให้ดีที่สุด ไม่อยากปล่อยให้ใครมาดูแลทิ้งๆ ขว้างๆ จนต้องมานอนเจ็บหนักแบบนี้”
พูดจบเอื้องคำก็ปรายตามองไปที่เมทินีอย่างไม่พอใจ เมทินีรู้สึกไม่ดีเลย
“เอาเป็นว่าพวกเรารู้แค่ว่าวาทิตจะต้องไปพักฟื้นที่กรุงเทพฯ สักพัก ให้ใกล้มือหมอที่เชี่ยวชาญด้านนี้ก็แล้วกันอย่างอื่นไม่ต้องถาม” พ่อเลี้ยงตัดบท
“แล้วแบบนี้นรีต้องไปอยู่ดูแลวาทิตที่กรุงเทพฯ ด้วยมั้ยคะคุณลุง”
“ไม่ต้องหรอก ลุงจะให้ทางโน้นเขาดูแลเองหมด นรีก็รอตอนที่วาทิตเขาหายดีกลับมาอยู่บ้านเหมือนเดิมแล้วกัน”
กินรียิ้มอย่างโล่งอกเพราะใจจริงไม่ได้อยากไปนักหรอก
“งั้นเมขอไปดูแลวาทิตเองนะคะ” เมทินีเอ่ยขึ้น
พ่อเลี้ยงวิทย์บอกเสียงเข้ม “เมเองก็ไม่ต้องไป”
“แล้ววาทิตจะอยู่ที่กรุงเทพฯ กับใคร” เมทินีท้วง
“หมอเขาบอกว่า ถ้าวาทิตได้พักผ่อนมากเท่าไหร่อาการก็จะดีขึ้นมากเท่านั้น”
เมทินีแย้ง “แต่เมคิดว่าเมควรจะไป...”
พ่อเลี้ยงวิทย์สวนขึ้น “พ่อไม่อยากให้วาทิตเครียด เมเข้าใจนะ”
คำพูดนั้นของพ่อเลี้ยงทำให้เมทินีรู้สึกว่า ตัวเองเป็นคนทำให้วาทิตลำบากจึงยอมรับปาก ทิปปี้เองก็ทั้งงงทั้งเห็นใจเพื่อน
“ค่ะ งั้นเมจะคอยที่นี่”
“เอาละ แยกย้ายกันได้แล้ว”
พ่อเลี้ยงวิทย์ตัดบทแล้วลุกเดินออกไป เมทินีมองตามพ่อเลี้ยงไป สีหน้าไม่สบายใจนัก
เมทินีกำลังจะเดินไปส่งทิปปี้ที่หน้าบ้าน กินรีเดินเข้ามาหา
“เธออยากไปดูแลวาทิตที่กรุงเทพฯ จริงๆ เหรอ”
“จริงสิ”
กินรีเปิดฉากแดกดัน “ก็ดี หวังว่าคงไม่จับปลาสองมือนะ มันบาป! สงสารคุณวาทิตด้วย”
เมทินีงง “เธอพูดเรื่องอะไรนรี”
“ไม่ต้องมาทำเป็นตีหน้าซื่อ คิดเหรอว่าคนอื่นเขาจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น เรื่องที่เธอแจ้นไปหาคุณกูร จนคุณวาทิตตามไปเจอ เธอทำให้พี่น้องเกือบจะฆ่ากันตายไม่รู้ตัวอีกเหรอ”
“ฉันว่า เธอกำลังจะพยายามโยงเรื่องสองเรื่อง ให้มันกลายเป็นเรื่องเดียวกันนะนรี เรื่องที่ฉันโดนพี่กูรหลอกให้ไปหาที่บ้าน ฉันกับวาทิตก็เคลียร์กันจนเข้าใจดีแล้ว มันเกี่ยวอะไรกับที่วาทิตไปนอนสลบที่แปลงดอกไม้”
“ใครจะไปรู้ บางทีคุณวาทิตอาจจะไม่สบายใจเรื่องนั้น จนต้องออกไปเดินเล่น แล้วใจลอยเผลอเดินไปจนถึงแปลงดอกไม้ก็ได้ ถ้าเป็นแบบนั้น เธอว่าเรื่องเดียวกันหรือเปล่าล่ะ ยังไงมันก็เกิดเรื่องเพราะเธอนั่นแหละ”
ทิปปี้ฉุน “เธอคิดของเธออยู่คนเดียวน่ะสินรี”
กินรีจ้องหน้าทิปปี้ “เธอแน่ใจเหรอว่าฉันคิดไปคนเดียว”
พูดจบกินรีก็ทิ้งหางตาไปที่มุมหนึ่ง ก่อนจะเดินเชิดออกไป เมทินีกับทิปปี้มองตามที่กินรีปรายตาไป ก็เห็นเอื้องคำ จั่นเป็ง และหนานยืนฟังด้วยสีหน้าไม่ชอบเมทินี จากนั้นทุกคนก็พากันเดินตามกินรีออกไป
ทิปปี้จับมือปลอบ “เม แกต้องเข้มแข็งนะ ฉันรู้ว่าแกเป็นคนยังไง ฉันเชื่อว่าวาทิตก็จะเข้าใจแก”
เมทินีนั่งที่ระเบียงห้องนอน มองเปียโน เห็นภาพวาทิตเล่นเปียโนอารมณ์ดี
พอมองไปที่เตียงก็เห็นภาพตอนที่วาทิตมาหอมมาห่มผ้าให้
เมทินีรู้สึกแย่มองไปที่รูปแต่งงานที่ติดในห้อง
“วาทิต ฉันเป็นคนทำให้เธอต้องเป็นแบบนี้ใช่มั้ย ฉันขอโทษนะ ฉันไม่ได้ตั้งใจทำร้ายเธอ”
เมทินีไม่สบายใจเอามากๆ ตัดสินใจมาหามณีเพื่อปรับทุกข์เรื่องที่เกิดขึ้นในเช้าวันต่อมา
มณีตกใจ “ตายแล้ว นี่พ่อเลี้ยงถึงกับต้องส่งตัววาทิตเข้าไปรักษาที่กรุงเทพฯ เลยเหรอ”
“ใช่ค่ะแม่ เมขอตามไปดูแลคุณพ่อก็ไม่ให้ไป”
“แสดงว่าอาการหนักมากน่ะสิ”
เมทินีถอนใจ “คุณพ่อไม่ยอมบอกรายละเอียดอะไรเลย คงยังโกรธเมมากที่ดูแลวาทิตไม่ดี ไหนจะเรื่องที่พี่กูรหลอกเมให้ไปหาที่บ้านอีกไม่รู้ว่าคุณพ่อจะคิดยังไง”
มณีกอดเมทินี “เข้มแข็งไว้นะเม แม่รู้ว่าเมกำลังลำบากใจ แม่เองก็ไม่อยากจะโทษเป็นความผิดของใคร อังกูรเองก็น่าเห็นใจ เขารักเมมากแต่ต้องเห็นเมแต่งงานกับน้องตัวเอง แต่ต่อไปเมก็ต้องห่างกับอังกูรหน่อยนะ เพื่อความสบายใจของทุกคน”
“เมก็คิดอย่างนั้น ปัญหาทั้งหมดเกิดจากเม เมจะต้องแกปัญหานี้ด้วยตัวเอง”
มณีถอนใจ “หวังว่าหลังจากเหตุการณ์นี้ อังกูรเองก็คงจะไม่ทำผิดพลาดอีกนะ ยังไงแม่ก็คิดว่าอังกูรเขาเป็นคนดีคนหนึ่ง”
มณียังไม่รู้ว่าตัวเองคิดผิดมหันต์
ตรงโต๊ะนักศึกษาหน้าตึกเรียนคณะเกษตรฯ วาริน แต และฝ้าย นั่งกินผลไม้กันอยู่บริเวณนั้น สามสาวอ่านหนังสือเรียนไปด้วย
ไมตรีเดินมาจากอีกมุม บรรดานักศึกษาหลายคนมองแล้วซุบซิบกัน ไมตรีเห็นแล้วเซ็ง แต่ไม่อยากสนใจเดินต่อไป จังหวะที่วารินเงยขึ้นมา เจอไมตรีกำลังโดนคนซุบซิบก็มองตามด้วยความสงสาร
“อุ๊ย ได้เวลาแล้ว เข้าเรียนกันเถอะ”
แตกับฝ้ายรีบเก็บของ แต่เห็นวารินมองเหม่อก็สงสัย
“ริน ไม่เข้าเรียนเหรอ” ฝ้ายถาม
“เอ่อ...ไปสิไป”
สามสาวรีบลุกเดินไป จนผ่านไมตรีที่กำลังเอาหนังสือจากล็อคเกอร์ วารินเดินไปหา แต่ไมตรีพอเห็นก็แยกเดินหนีไปเลย
วารินมองตามเซ็งๆ
ในห้องเรียนเวลานี้ วาริน แต และฝ้าย นั่งที่โต๊ะด้านหน้า โดยวารินเอาแฟ้มกับกระเป๋าจองที่ไว้หนึ่งที่
“แกจองที่ให้ใครอ่ะ” แตถาม
วารินไม่ทันจะตอบ ไมตรีเดินเข้าห้องมา แล้วมองหาที่นั่ง วารินรีบโบกมือเรียกให้มานั่งข้างเธอ ไมตรีมองวารินแว่บเดียว แล้วก็เดินไปนั่งด้านหลังที่ยังว่างอยู่ วารินมองอย่างขัดใจแล้วก็ตัดสินใจลุกขึ้น
“อย่าบอกนะว่าแกจะไปนั่งกับไมตรี” ฝ้ายงงเช่นเดียวกับแต
วารินพยักหน้ารับ “แกสองคนจดดีดีนะเผื่อฉันฟังอาจารย์ไม่รู้เรื่องจะได้ขอลอก”
วารินบอกแล้วก็หอบของเดินไปทางที่ไมตรีนั่ง แตกับฝ้ายมองหน้ากันงงๆ
วารินเดินมานั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆ ไมตรี โดยไมตรีเห็นวารินแต่ไม่สนใจ อาจารย์เดินเข้าห้องมา แล้วเตรียมเปิดคอมพ์ขึ้นจอ
“ทำไมเธอไม่ไปนั่งข้างหน้ากับฉัน” วารินถาม
ไมตรีมองวาริน โดยไม่ใส่ใจ และไม่ตอบ
“เอาละ คราวที่แล้วเราพูดถึงดินเปรี้ยวกันไปแล้ว จำได้หรือเปล่า”
วารินไม่ได้ฟังอาจารย์ มัวแต่คุยกับไมตรี
“มานั่งหลังห้องแบบนี้จะเรียนรู้เรื่องเหรอ”
“แล้วเธอมานั่งเนี่ยจะเรียนรู้เรื่องมั้ย” ไมตรีย้อนถาม
“ฉันนั่งตรงไหนก็เรียนรู้เรื่องทั้งนั้นแหละ”
“อ้อ...ลืมไปว่าเธอมันพวกหัวกะทิ” ไมตรีประชด
“ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้นสักหน่อย” วารินรีบแก้
อาจารย์มองมายังทั้งคู่ “นี่..ข้างหลังห้องน่ะออกไปคุยกันให้รู้เรื่องก่อนมั้ย คุยเสร็จเดี๋ยวค่อยเข้ามาเรียนก็ได้นะครูไม่ว่า แต่ถ้ามาคุยกันในนี้มันรบกวนคนอื่น”
นักศึกษาคนอื่นๆ หันมามองเป็นตาเดียว อาจารย์เองก็ผายมือเชิญออก
ไมตรีลุกขึ้นเดินออกไป วารินรีบตามไป
วารินรีบเดินจ้ำตามไมตรีมาติดๆ
“ทำไมต้องหลบหน้าฉันด้วย เธอเป็นอะไรไมตรี นึกว่าคุยกันรู้เรื่องแล้วซะอีก”
“ฉันบอกเธอแล้วไงว่าอย่ามายุ่งกับฉัน”
วารินสุดทน ดึงแขนไมตรีให้หยุดเดิน
“ฉันมันน่ารังเกียจขนาดเธอรับเป็นเพื่อนไม่ได้เลยเหรอ”
ไมตรีพูดใส่หน้าว่า “ใช่”
วารินอึ้งไปกับคำตอบเด็ดขาดนั้น ไมตรีเดินต่อวารินไม่ยอมแพ้เดินตามอีก
“นี่มันอะไรกันนักกันหนา โอเคฉันเคยไม่ชอบหน้าเธอ แต่เธอช่วยฉัน ฉันก็อยากตอบแทนบุญคุณเธอบ้าง”
ไมตรีหยุดเดิน “ถ้าอยากตอบแทนฉัน ก็ช่วยอยู่ห่างๆ ฉันอย่างที่ฉันต้องการ ทำได้ไหม”
วารินหยิบปึกชี้ตที่ซีร็อกมายัดใส่มือไมตรี
“ตอนมีเรื่องที่เธอขาดเรียน ฉันก๊อปปี้ให้เธอหนึ่งชุด”
วารินบอกแล้วก็เดินกลับไปทางห้องเรียน ไมตรีมองตามแล้วก็ส่ายหน้า
ขณะนั้น รุทรนั่งคิดเครียดอยู่ตรงม้านั่งกลางแปลงดอกเสี้ยน แรมเดินมานั่งด้วย
“คิดเรื่องที่จะเข้าไปที่ไร่เหรอลูก”
“ครับแม่”
แรมเตือน “รุทร แม่ว่ามันอันตรายนะ”
“แต่แม่ก็เห็นนี่ครับ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับน้อง”
“ก็เพราะแม่เห็นน่ะสิ แม่ถึงกลัวว่าจะเสียรุทรไปอีกคน อย่าไปเลยนะลูก”
รุทรนิ่งเงียบไป แรมจับแขนรุทรวิงวอน “รุทร แม่ขอร้อง”
“ผมขอโทษครับแม่ ผมเป็นพี่ ผมต้องปกป้องน้องของผม และผมก็จะทำเพื่อลุงวิทย์ผู้มีพระคุณต่อครอบครัวเรา”
แรมหมดหวังจะอ้อนวอน “โธ่...รุทร”
รุทรปลอด “ไม่ต้องห่วงนะครับแม่ ผมจะระวังตัว ฝากแม่ดูแลน้องนะครับ”
แรมถอนใจเครียด รุทรกอดปลอบแม่ แรมนั่งนิ่งคิดรู้ว่าห้ามไม่ได้แน่ จึงกอดตอบลูกให้กำลังใจ
รุทรกลับมาบ้านบ้านท้ายไร่ เล่าเรื่องทั้งหมดให้อนุวัตรและวารินฟังจนจบ
“ตกลงพ่อเลี้ยง จะให้แกเป็นนักสืบเข้าไปหาความจริงว่า ใครเป็นคนทำร้ายวาทิตกันแน่เหรอ”
“พี่วาทิตโดนทำร้ายเหรอ รินนึกว่าพี่เขาเดินละเมอไปที่แปลงดอกไม้เองซะอีก”
“ท่าจะดูหนังมากไปแล้วน้องรินใครจะเดินละเมอไปนอนที่แปลงดอกไม้แบบนั้น แถมตัวเองยังแพ้เกสรดอกไม้อีกต่างหาก” อนุวัตรหันมาถามรุทร “พ่อเลี้ยงสงสัยใคร หลานที่เป็นแฟนเก่าเมียวาทิตใช่มั้ย”
รุทรพยักหน้ารับ
“ก็ดีเหมือนกันนะ แกเข้าไปสืบว่าใครทำร้ายวาทิตแล้วก็ถือโอกาสกันๆ เมียน้องแกกับแฟนเก่าไปด้วยในตัว น้ำมันกับไฟ ปล่อยให้อยู่ใกล้กันนานๆ รับรองน้องชายก็โดนสวมเขาแน่ๆ อย่างน้อยแกก็ไปขวางๆ ไว้หน่อย” อนุวัตรนึกได้ “ว่าแต่ แกอย่าไปชอบซะเองนะ เขายิ่งสวยๆ ด้วย”
รุทรฉุน “ไอ้บ้า ฉันไม่สนคนแบบนี้หรอก”
“จริงอ่ะ ได้ข่าวว่าเคยปิ๊งไม่ใช่เหรอ”
“นั่นมันตอนที่ฉันไม่รู้ว่า เขายอมทิ้งแฟนมาแต่งงานกับน้องฉันเพื่อเงินโว้ย ตอนนี้อย่าว่าแต่ปิ๊งเลย หน้าฉันยังไม่อยากจะมองด้วยซ้ำ ยิ่งต้องมาอยู่ด้วยกันบอกตรงๆ ฉันแขยงว่ะ”
“ไม่อยากจะเชื่อเลยอ่ะ ว่าพี่คนนั้นจะใจร้ายแต่งงานโดยที่ไม่ได้รัก แล้วยังมาทำร้ายพี่วาทิตอีก” วารินฮึดฮัด
“คนเราน่ะ ดูแค่หน้าตามันไม่มีทางรู้ถึงจิตใจเขาได้หรอก” รุทรว่า
“ตอนพี่แพรแฟนเก่าพี่รุทรก็ทีแล้ว นี่ยังมาพี่เมแฟนพี่วาทิตอีก”
วารินพลั้งปากไม่ได้ตั้งใจ รุทรถึงกับชะงักซึม อนุวัตรรีบสะกิดมองวารินตาขุ่นตำหนิที่พูดไม่คิด
“พี่รุทร รินขอโทษ รินไม่ได้ตั้งใจ”
“ไม่เป็นไรหรอก แพรไม่มีผลอะไรกับชีวิตพี่แล้ว”
“แน่นะ” รุทรพยักหน้าให้แน่ใจ “งั้นพี่รุทรก็ต้องเดินหน้าช่วยพี่วาทิตนะ”
รุทรกับวารินพยักหน้าให้สัญญากัน
“ยังไงก็ระวังตัวให้ดีนะเว้ย เพราะตราบใดที่หลานชายของพ่อเลี้ยง ยังรักแฟนน้องชายแกอยู่ เขาคงไม่รามือง่ายๆ ดีไม่ดีจะหนักกว่าเดิม” อนุวัตรกังวล
“จริงด้วย รินลืมเรื่องนี้ไปเลย ไม่เอา ไม่เอาอ่ะ รินไม่ให้ไปแล้ว”
“ไม่ต้องห่วง อย่าลืมสิพี่แข็งแรงกว่าวาทิตนะ เขารังแกพี่ไม่ได้ง่ายๆ หรอก”
รุทรยิ้มปลอบแต่วารินก็ไม่วายรู้สึกเป็นห่วงพี่ชาย
อนุวัตรตบไหล่ปลอบเพื่อน รุทรนิ่งคิดด้วยสายตามุ่งมั่นไม่เกรงกลัวอันตรายใดๆ
คืนเดียวกัน กิจจากำลังต่อว่ากินรีเรื่องที่ไม่ได้ไปดูแลวาทิต
“พ่อไม่เข้าใจเลยว่า ลูกปล่อยโอกาสที่จะได้ไปอยู่กับวาทิตสองต่อสองที่กรุงเทพฯ หลุดไปได้ไง รู้ไหมถ้านรีไปอยู่กรุงเทพฯทำตัวดีๆ อาจจะชนะใจไอ้วาทิตกับไอ้วิทย์ก็ได้” กิจจายังเพ้ออยู่
“แล้วไงคะ”
“ยัยเมเมียมันก็จะตกกระป๋อง ดีไม่ดีอาจจะหย่าร้างกันก็ได้”
“โอ๊ยไม่เอาหรอกค่ะ ขนาดพ่อเลี้ยงไม่ยอมให้ใครเยี่ยมวาทิตเลยแม้แต่เมียวาทิต แสดงว่าต้องหนักเอาการ”
“พ่อถามจริงๆ หลังๆ ที่ลูกไม่ค่อยอยากช่วยพี่เนี่ย เพราะลูกแอบชอบใครหรือเปล่า”
กินรีชะงักไปนิด คิดหาคำตอบว่าจะตอบไงดี “แล้วถ้านรีเจอคนที่ดีกว่าวาทิตล่ะคะ”
“ถ้าลูกชอบคนอื่นที่ไม่ใช่วาทิต พ่อจะเอาลูกออกจากไร่นั้นทันที”
กินรีคิดหนัก เพราะกลัวไม่ได้เจอกับอังกูรอีก
“นรีไม่มีใครหรอกค่ะ ไม่ต้องห่วง”
กิจจาพอใจ “ดี งั้นเราจะเดินแผนของเราต่อ”
“ยังไงคะ ก็คุณลุงกับวาทิตไม่อยู่ จะให้นรีกลับไปที่นั่นเหรอคะ”
“เปล่า แต่พ่อจะให้นรีไปหาตัวช่วย”
กินรีงงอีก “ตัวช่วย”
“ใช่ พ่อเล็งไว้แล้ว”
กินรีมองกิจจางงๆ ไม่รู้ว่าพ่อคิดอะไรอีก
อีกฟาก ที่บริเวณทางออกด้านหลังของโรงพยาบาล บุรุษพยาบาลเข็นเตียงที่มีวาทิตนอนอยู่ออกมาขึ้นรถพยาบาล มีพ่อเลี้ยงวิทย์และหมอยืนดูอย่างใกล้ชิด
“พ่อเลี้ยงจัดการเรื่องอุปกรณ์ที่ผมเขียนใบสั่งไปให้แล้วนะ”
“น่าจะเรียบร้อยแล้วครับ ผมบอกให้เขาเอามาติดตั้งให้ด่วนตั้งแต่เมื่อคืน ป่านนี้น่าจะเสร็จแล้ว”
“ดีครับ”
“ผมรบกวนหมอเก็บเรื่องนี้เป็นความลับด้วยนะครับ”
พ่อเลี้ยงขอ หมอพยักหน้ารับ
พ่อเลี้ยงเดินไปขึ้นท้ายรถพยาบาลเพื่ออยู่กับวาทิต แล้วจับมือวาทิตที่นอนหลับลูบหัวด้วยความสงสารสุดๆ
สถานที่ที่พ่อเลี้ยงนำวาทิตมารักษาตัว คือบ้านท้ายไร่ของแรมและรุทรนั่นเอง เวลานี้แรมนั่งกุมมือวาทิตที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงกุมมทือลูกเอาไว้ น้ำตานองหน้า
“ไม่ได้เจอกันยี่สิบกว่าปี พอได้เจอหน้าก็มาเป็นเจ้าชายนิทรา นี่มันกรรมของแม่หรือลูกกันนะวาทิต”
รุทรเข้าไปโอบแรมเอาไว้ วารินก็แอบร้องไห้ไปด้วย
“พี่วาทิต พี่ต้องหายนะรินเอาใจช่วย”
“คุณลุงเขารับปากแล้วว่า จะรักษาน้องจนหาย แม่กับรินทำใจดีดีรอวันนั้นกันนะครับ”
“ตอนนี้ก็เอาตัววาทิตมาอยู่ที่เซฟเฮ้าส์แล้ว แผนต่อไปคือยังไงวะ”
อนุวัตรถาม รุทรไม่ตอบมองไปทางพ่อเลี้ยงวิทย์
“รุทรต้องกลับเข้าไปที่ไร่ส้มธนาธรในฐานะของวาทิต” พ่อเลี้ยงบอก
“ผมมีเวลาเท่าไหร่ครับที่จะเรียนรู้การเป็นวาทิต”
พ่อเลี้ยงวิทย์บอกทันทีว่า “สามวัน”
แรม รุทร วาริน และ อนุวัตรตกใจ อุทานพร้อมๆ กัน “สามวัน”
“รุทรต้องเข้าไร่ให้เร็วที่สุด เพราะถึงตอนนี้วาทิตก็รักษาตัวมาหลายวันแล้ว เดี๋ยวคนจะสงสัย ลุงจะพยายามให้ข้อมูลของวาทิตให้มากที่สุด ที่เหลือรุทรคงต้องช่วยลุง ด้วยการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าเอาเอง”
“เอาละวะ งานนี้ไม่ใช้เอฟเฟ็กท์ ไม่พึ่งสลิง ของจริงล้วนๆ”
อนุวัตรพูดจบก็ตบไหล่ปลอบ เพราะอดหนักใจแทนเพื่อนไม่ได้
แรมยืนนิ่งน้ำตาไหลริน ดอกเสี้ยนแสนสวยตรงหน้า ไม่อาจช่วยลบความทุกข์ในใจเรื่องลูกชายแฝดคนเล็กได้ พ่อเลี้ยงวิทย์เดินเข้ามาหาด้วยสีหน้ารู้สึกผิด
“ถึงตอนนี้ ฉันก็ไม่แน่ใจแล้วว่า ฉันทำถูกหรือผิดที่เอาวาทิตไปเลี้ยง”
แรมปาดน้ำตา “ถูกสิคะพ่อเลี้ยง ถ้าไม่มีพ่อเลี้ยง เขาอาจจะตายเพราะความจนของฉันไปตั้งนานแล้ว”
“ฉันขอโทษนะแรมที่ดูแลลูกไม่ดี ทำให้เขามีสภาพแบบนี้” พ่อเลี้ยงไม่วายโทษตัวเอง
แรมปาดน้ำตาอีกที “พ่อเลี้ยงอย่าโทษตัวเองเลยค่ะ มันไม่ใช่ความผิดของพ่อเลี้ยง มันคงเป็นเวรกรรมของเขามากกว่า ดีที่สุดคือฉันต้องทำใจ”
แต่พูดขาดคำก็ร้องไห้หนักมากจนพ่อเลี้ยงวิทย์สะเทือนใจ สงสารสุดๆ
“ไม่ต้องห่วงนะ ฉันสัญญานะว่าจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้วาทิตหายกลับมาหาเธอให้ได้แรม”
แรมพยามฝืนยิ้มรับ “ขอบคุณค่ะพ่อเลี้ยง ฉันคิดไม่ผิดจริงๆ ที่ยกลูกให้พ่อเลี้ยง พ่อเลี้ยงเป็นพ่อที่ดีที่สุดของเขาค่ะ”
พ่อเลี้ยงวิทย์ซาบซึ้ง “ขอบใจนะแรม ขอบใจที่เธอยังไว้ใจให้ฉันดูแลเขา”
ทั้งสองมองหน้ากันด้วยความซาบซึ้ง ในความดีของกันและกัน
ฝ่ายอังกูรเดินออกมาหน้าบ้าน กำลังจะไปทำงานแต่ก็เจอกับกินรีเข้าพอดี
“เธอมาวุ่นวายอะไรแถวนี้อีกนรี”
“คุณกูรไม่คิดจะพูดดีๆ กับนรีบ้างเลยเหรอคะ”
กินรีถามเป็นเชิงตัดพ้อเล็กๆ
“ฉันก็พูดของฉันแบบเนี้ย ฟังได้ก็ฟัง ฟังไม่ได้ก็ไม่ต้องฟัง เธอมีธุระอะไรก็ว่ามาเสียเวลาฉัน”
“นรีไม่กล้ามีธุระอะไรกับคุณกูรหรอกค่ะ แต่คุณพ่ออยากพบคุณกูร”
อังกูรงง “อากิจจาน่ะเหรอ”
กินรียิ้มรับ
กิจจา อังกูรและกินรี นั่งร่วมโต๊ะทานอาหารด้วยกัน ในบ้านกิจจา
“แล้วนี่วาทิตเป็นยังไงมั่งล่ะ”
“ผมไม่รู้เรื่องเลยครับ ตั้งแต่เกิดเรื่องก็ยังไม่เจอหน้าเลย”
“ท่าทางจะอาการหนักค่ะพ่อ เห็นลุงวิทย์บอกว่าจะพาไปรักษาตัวที่กรุงเทพฯ” กินรีแทรก
“จะไปทำไมให้มันสิ้นเปลือง หมอบ้านเราเก่งๆ ก็เยอะแยะ”
กิจจาบ่นๆ อังกูรมองหน้าอย่างสงสัย
“ผมนึกว่าคุณอากิจจาเอ็นดูวาทิตซะอีก”
“วาทิตก็เป็นเด็กดีนะ แต่ไม่รู้สึกยังไงอาก็ว่าเลือดมันควรจะข้นกว่าน้ำ หรือกูรว่ายังไง”
“คุณอากำลังจะบอกอะไรผม” อังกูรฉงน
“นั่นสิคะ ทำไมคุณพ่อพูดแปลก”
“บอกตรงๆ นะ ตั้งแต่สมัยที่อาทำงานให้ไอ้วิทย์ อาเคยขอหุ้นกับมัน แต่มันไม่ให้ เพราะมันต้องการจะเก็บสมบัติทั้งหมดให้วาทิต”
อังกูรฟังแล้วเจ็บจี๊ด กิจจาเห็นอาการอึ้งๆ นิ่งๆ ของอังกูร ก็มั่นใจว่ามาถูกทาง
“คุณอาเรียกผมมาฟังเรื่องนี้เหรอครับ”
กินรีเริ่มใจไม่ดี กลัวอังกูรไม่ชอบครอบครัวเธอ
“นั่นสิคะ คุณพ่อก็พูดอะไรไม่รู้ เปลี่ยนเรื่องคุยเถอะค่ะ”
“การที่ไอ้วิทย์เห็นเด็กจรจัดที่ไหนก็ไม่รู้ สำคัญกว่าอาที่เป็นทั้งเพื่อนสนิท และคนที่เคยช่วยทำให้กิจการมันขยายเติบโตมาจนทุกวันนี้ อารับไม่ได้ และอาก็เชื่อว่ากูรก็น่าจะอยู่ในสถานะที่อาเคยอยู่มาก่อน”
กิจจาทิ้งระเบิดลูกเล็กๆ เอาไว้ในใจของอังกูรแล้ว
อังกูรแกล้งเปลี่ยนเรื่อง “อาหารอร่อยนะครับ”
กิจจายิ้มเยือกเย็น “ถ้าชอบวันหลังก็มาทานกันอีกนะ”
อังกูรมองหน้ากิจจาหยั่งเชิง กิจจายิ้มให้อย่างสบายใจ คิดว่าเข้าทางแน่ กินรีมองกิจจาแล้วหงุดหงิดกลัวพ่อทำให้เธอดูแย่ลง
กิจจายืนคุมคนงานพ่นสารเคมีใส่ต้นส้มอยู่มุมหนึ่งในไร่ กินรีเดินหน้าตึงเข้ามาหา กิจจาพอเห็นลูกสาวก็ยิ้มอารมณ์ดี
“กูรกลับแล้วเหรอ”
“ใช่สิคะ ใครจะอยากอยู่นาน คุณพ่อเล่นพูดอะไรก็ไม่รู้ น่าเบื่อ”
“เหรอ...แต่พ่อว่ากูรเขาชอบคุยเรื่องนี้นะ”
“ฮึ คิดเอาเองสิคะ ถ้าชอบเค้าจะเปลี่ยนเรื่องทำไม”
“คงไม่อยากให้เราจับความรู้สึกได้มั้ง” กิจจาว่า
“นี่เล่นเกมอะไรกันคะ” กินรีงงอยู่ครู่หนึ่ง จนนึกได้ “เอ๊ะ หรือว่าตัวช่วยที่คุณพ่อเคยบอก...”
“การที่เกิดเรื่องคราวนี้ไง แสดงว่าไอ้วาทิตมันยังหึงมั่วซั่วอยู่ ถ้าอังกูรขยันเข้าหาเมทินีแบบนี้ วาทิตคงอยู่ได้หลักเดือนก็นานเกินไปแล้ว”
“แต่ถ้าวาทิตตาย แล้วคุณพ่อจะให้นรีไปจับใครล่ะคะ”
กิจจายิ้มมองลูกสาว กินรีเข้าใจทันที
“นี่หมายความว่า...” วูบหนึ่งหล่อนนึกเขิน
“เมื่อก่อนพ่อคิดว่า อังกูรกับเมทินีต้องแต่งงานกัน ยังไงนรีก็ไม่มีคู่แข่ง พ่อถึงให้นรีเรียนพยาบาลเพื่อดูแลใกล้ชิดกับวาทิต แต่พอสถานการณ์มันเปลี่ยน เมทินีกลายเป็นตัวจุดระเบิดชั้นดีที่จะช่วยให้วาทิตตาย ทายาทคนเดียวที่เหลือของวุฒิธรรมก็ต้องกลายเป็นอังกูร”
“ฮึ นรีกลัวว่าคุณกูรเค้าจะกลับไปหาเมทินีนะสิ ยัยนั่นก็ร้ายไม่เบาหรอก ขนาดจำใจแต่งงานกับคนที่ไม่รักได้ นรีก็นับถือล่ะค่ะ” กินรีพูดออกมาด้วยความหมั่นไส้
“นั่นมันก็ขึ้นอยู่กับว่า ลูกจะยอมแพ้เมทินีเป็นครั้งที่สองเหรอ เพราะครั้งนี้ลูกจะเสียคนที่ลูกรักให้กับเมทินีด้วยนะ”
กินรีคิดตามแล้วไม่มีทางที่จะยอมให้กับเมทินีได้
“ไม่มีทางค่ะ สำหรับคุณกูร ยังไงนรีก็ไม่ยอมเด็ดขาด”
อ่านต่อหน้า 4
เงาใจ ตอนที่ 4 (ต่อ)
มุมหนึ่งในไร่ส้มธนาธร อังกูรยืนคุยกับชาติอยู่ตรงนั้น
ชาติมีสีหน้าแปลกใจ “คุณกิจจาให้คุณนรีมาเชิญคุณกูรไปพบเหรอครับ แปลกแฮะ”
“ใช่ แปลกมาก สมัยทำงานที่นี่ไม่เห็นจะอยากคุยกับฉัน โอ๋แต่ไอ้วาทิต ขนาดวันแต่งงานไอ้วาทิตยังคุยกับฉันนับคำได้ แต่วันนี้มาทำดีกับฉัน คงมีแผนอะไรน่ะสิ”
“ยังไงครับคุณกูร”
“ฉันก็ไม่รู้หรอก”
“อย่างนี้ผมว่าไม่น่าไว้ใจนะครับ”
“ไม่น่าไว้ใจเหรอ” อังกูรคลี่ยิ้มร้ายออกมา “แต่ฉันว่าน่าไว้ใช้นะ อย่างน้อยอากิจจาก็มีศัตรูคนเดียวกันกับฉัน”
แต่ชาติยังแปลกใจไม่หาย “นี่คุณกิจจาเกลียดพ่อเลี้ยงกับไอ้คุณวาทิตเหรอครับ เป็นไปได้ไง พ่อเลี้ยงกับคุณกิจจาเป็นเพื่อนซี้มาตั้งแต่สมัยเรียนไม่ใช่เหรอ”
“ผลประโยชน์น่ะมันไม่มีคำว่าเพื่อนหรอก”
อังกูรยิ้มพอใจ
ฟากเมทินีนั่งเหม่อดูดอกไม้อยู่ตรงสวนที่วาทิตปลูกเซอร์ไพร้ส์ โดยเอาโทรศัพท์วางใกล้ๆ ตัว สักพักโทรศัพท์ดังขึ้น เมทินีรีบหยิบมาดูเผื่อมีข่าววาทิต แต่ก็ต้องผิดหวัง เพราะหน้าจอแสดงชื่อ “อังกูร” เมทินีตัดสินใจไม่รับสาย
เสียงอังกูรดังขึ้น “ทำแบบนี้พี่เจ็บมากนะเม”
เมทินีสะดุ้งหันไปตามเสียง ก็เห็นอังกูรเดินเข้ามาหา เมทินีลุกขึ้นจะเดินหนี อังกูรรีบมาดักหน้าไว้
“เม...จะหนีพี่เหรอ”
“เมไม่อยากมีเรื่องอีก”
“เมโกรธพี่เหรอ ที่พี่ทำไปก็เพราะ...”
เมทินีสวนขึ้น “พอเถอะพี่กูร เมขอล่ะ เราเป็นได้แค่เพื่อนกันเท่านั้น”
อังกูรเสียใจ “เม”
“จากนี้ไปไม่ว่าจะต่อหน้าหรือลับหลัง เมก็จะไม่ทำให้ผู้มีพระคุณของเม ทั้งวาทิตและคุณพ่อ ต้องผิดหวังในตัวเมอีก”
“แล้วพี่ล่ะ”
“ถ้าพี่กูรไม่เคยทำร้ายเม เราก็คงไม่ต้องหนีหน้ากันแบบนี้ ขอโทษนะคะ”
เมทินีเดินหนีไปเลย อังกูรมองตามด้วยความเจ็บปวดและแค้นใจ
เมทินีเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่น แล้วทิ้งตัวลงบนโซฟาด้วยความเหนื่อยใจ มองเห็นเปียโนเลยเดินไปเปิดเล่นจิ้มไปเรื่อยเปื่อย อดนึกถึงภาพตอนที่วาทิตสอนให้เล่นเปียโนไม่ได้
เมทินีดึงตัวเองกลับมา เห็นเอื้องคำกับจั่นเป็งเดินถือผลไม้เข้ามา เมทินีเลยลุกเดินเข้าไปหาสีหน้ายิ้มแย้ม
“ให้เมช่วยไหมจ๊ะป้า”
เอื้องคำเพียงมองด้วยหางตา “อย่าเลยค่ะ”
“แต่ฉันอยากช่วยนะ ปอกผลไม้นี่งานถนัดเลยนะ”
“เชื่อค่ะ เพราะเมื่อกี้ฉันกับจั่นเป็งเห็นกับตาว่าคุณทำอะไรที่แปลงดอกไม้”
“ฉันทำอะไร” เมทินีนึกออกก็ตกใจ “ถ้าเป็นที่ฉันคุยกับพี่กูร ก็...ก็แค่ทักทายกัน”
“คุณกูรกลับมา คนในบ้านยังไม่มีใครรู้ แต่คุณรีบไปนั่งรอทักทายซะแล้ว” เอื้องคำแดกดัน
“ป้า ฉันไม่ได้...” เมทินีจะอธิบาย
แต่เอื้องคำสวนขึ้นมา “จะพูดอะไรก็ระวังด้วยนะคะ คนที่นี่เขาไม่ชอบคนโกหก”
ทั้งน้ำเสียงและสายตาของเอื้องคำและจั่นเป็ง ทำให้เมทินีรู้ทันทีว่าไม่มีใครชอบเธอ
“งั้นฉันไม่กวนป้าแล้วนะ”
เมทินีเดินเซ็งๆ ออกไป แต่ก็ไม่วายได้ยินเสียงสองคนแว่วๆ มา
จั่นเป็งติง “แรงไปไหมป้า”
“ก็ที่เค้าทำน่ะแรงไม่ล่ะ”
เช้าวันนี้ พ่อเลี้ยงวิทย์นั่งดูแฟ้มอยู่ที่โต๊ะภายในห้องทำงาน มีทิปปี้นั่งอยู่ด้วย ในแฟ้มเป็นใบสมัครคนงานไร่พร้อมรูปถ่าย
“เรามีแต่คนงานเหรอ”
“ใช่ค่ะ คนงานที่เป็นลูกจ้างประจำเท่านั้นด้วยนะคะถึงจะมีประวัติพร้อมรูป ส่วนพวกที่มารายวันก็มีแต่ก๊อปปี้บัตรประชาชนค่ะ”
พ่อเลี้ยงวิทย์นิ่งคิดไปครู่
“เดี๋ยวทิปปี้ช่วยเรียกคนในไร่ทุกคนมาถ่ายรูปให้หน่อย ทุกคนเลยนะ”
ทิปปี้มองสงสัย พ่อเลี้ยงรีบกลบเกลื่อน
“ไม่มีอะไรหรอก คือฉันอยากทำทะเบียนลูกจ้างให้รัดกุมน่ะ เผื่อเวลาคนของกระทรวงแรงงานมาตรวจเราจะได้มีให้เขาดู”
“ได้ค่ะ ทิปปี้ขอเวลาสักอาทิตย์ก็คงเสร็จค่ะ”
พ่อเลี้ยงวิทย์เสียงเข้ม “ไม่ได้ ฉันอยากได้วันนี้”
ทิปปี้ตาโตตกใจ “วันนี้เหรอคะ”
ไม่นานต่อมา คนงานถูกตามตัวมาทั้งไร่ และพากันมายืนเรียงคิวเข้าแถวอยู่ที่หน้าอาคารสำนักงานไร่ธนาธร เพื่อถ่ายรูปทำประวัติ โดยมีทิปปี้เป็นตากล้อง
จั่นเป็งตั้งข้อสังเกต “แปลกเนอะ คุณทิปปี้บอกทำประวัติเผื่อมาตรวจ แล้วทำไมต้องรีบด้วย”
“เจ้านายเขาให้ทำอะไรก็ทำๆ ไปเถอะน่า จะมาบ่นทำไม นี่ดูสิฉันสวยไหม” เอื้องคำถาม
“สวยมากเลยป้า น้องจั่นเป็งของพี่หนานก็สวยที่สุด” หนานยิ้มกริ่ม
จั่นเป็งอายม้วน “บ้าอ่ะพี่หนาน แต่ว่าจริงเหรอที่ว่าฉันสวยที่สุด”
“จริงสิ แต่ที่สุดท้ายนะ” หนานแกล้ง
“พี่หนาน” จั่นเป็งโกรธ
“โอ๋ๆๆ พี่ล้อเล่น ถ้าไม่สวยน่ะพี่หนานไม่ปิ๊งหรอก”
ห่างออกมา แลเห็นอังกูรที่ยังมีผ้าพันแผลยืนคุยอยู่กับชาติ ท่าทีชาติดูออกว่าเริ่มกลัว ด้วยมีชนักติดหลังและใช้ชื่อปลอม
“คุณกูรครับ หรือพ่อเลี้ยงจะรู้ว่าผมปลอมเอกสารกับประวัติของผม ถึงได้สั่งทำประวัติใหม่ด่วน”
“ไม่ต้องห่วงน่า ก็ไอ้รักชาติที่แกสวมชื่ออยู่เนี่ยมันตายไปแล้วไม่ใช่เหรอ ถ้าแกไม่พูด ฉันไม่พูดใครจะรู้เรื่องนี้วะ”
“โธ่ ผมก็กลัวน่ะครับ บอกเราว่าทำประวัติใหม่เผื่อมาตรวจ แล้วทำไมต้องรีบทำให้เสร็จในวันเดียวด้วย มันแปลกๆ นะครับ” ชาติพูดชวนคิด
“นั่นสิ แถมเรื่องนี้คุณลุงสั่งตรงทิปปี้ ทำไมไม่ผ่านผู้จัดการอย่างฉัน”
อังกูรยังไม่หายสงสัย
รุทรนั่งอ่านประวัติวาทิตอยู่ที่โต๊ะทำงานในบ้านท้ายไร่ อนุวัตรใส่ผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องมา ตรงมาที่รุทร
“อ่านอะไรวะ”
“ประวัติวาทิตคุณลุงเค้าไปสรุปมาให้”
อนุวัตรเห็นกระเป๋ายาวางอยู่ก็หยิบมาเปิดดู
“เฮ้ย...นี่แกต้องกินยาของน้องแกด้วยเหรอไอ้รุทร เกิดช็อกตายทำไง” อนุวัตรตกใจ
“ไม่ใช่เว้ย” รุทรหยิบมาทีละอย่าง “ยาเม็ดพวกนี้ก็เป็นวิตามินทำหลอก ยาพ่นจมูกก็น้ำเกลือ แว่นตา ก็หลอกไม่ใช่แว่นสายตา”
“โอ้โห...พ่อเลี้ยงวิทย์นี่ดูหนังพวกเจมส์บอนด์เยอะไปหรือเปล่าวะ”
อนุวัตรยืนอ่านประวัติไปด้วยแล้วเบ้หน้า
“รายละเอียดเยอะขนาดนี้จะไหวมั้ยวะ”
“ไม่ไหวก็ต้องไหวละวะมาถึงขนาดนี้แล้ว”
รุทรบอก สีหน้ามุ่งมั่น
วาทิตนอนเป็นผักอยู่บนเตียง มีเครื่องช่วยหายใจ สายน้ำเกลือระโยงรยางค์ รุทรเดินเข้ามานั่งข้างเตียง
“นายไม่ต้องห่วงนะวาทิต พี่จะพยายามทำให้ดีที่สุด ถึงแม้เราจะไม่เคยเจอหน้า ไม่เคยพูดกันมาก่อน แต่ความเป็นพี่น้อง มันไม่ต้องใช้เวลาหรอกมั้ง เพราะแค่รู้ว่ามีนายเป็นน้องพี่ก็ดีใจแล้ว แต่พี่ขอต่อว่านายหน่อยนะ เล่นอะไรไม่เล่นดันเล่นเปียโน ยากชะมัดเลย”
คืนหนึ่ง แรมเข้ามาเช็ดตัวให้วาทิตซึ่งนอนเป็นเจ้าชายนิทราอยู่บนเตียง หลายครั้งที่เห็นแรมยกแขนขึ้นเช็ดน้ำตาด้วยความสะเทือนใจ แรมทาแป้งให้วาทิตที่หน้า ซอกคอ แล้วทรุดลงนั่งร้องไห้
“วาทิต แม่สาสารลูกแม่เหลือเกินแล้ว ไม่รู้ว่าชาติที่แล้วแม่สร้างบาปกรรมอะไรไว้ ลูกแม่ถึงได้เป็นอย่างนี้ เกิดมาก็ไม่สมบูรณ์เหมือนคนอื่นเค้า แล้วดูซิ พอจะดีจะมีความสุขบ้าง ก็ต้องมารับเคราะห์กรรมถึงขนาดนี้อีก เมื่อไหร่เวรกรรมมันจะผ่านพ้นไปเสียทีนะ แม่...แม่สงสารลูกแม่จริงๆ”
วารินเข้าประตูมา แรมได้ยินเสียงรีบเช็ดน้ำตา แล้วมาเช็ดเท้าให้วาทิตต่อ
สาวน้อยวารินถือจานข้าวโพดมาวางใกล้กับถาดข้าวต้ม โอวัลติน ที่อยู่ไม่ห่างนัก
“โธ่แม่ หมดกันข้าวต้มชืด โอวัลตินเย็น รินอุตส่าห์ทำเป็นพิเศษให้พยาบาลชั้นดี นี่อีก ข้าวโพดต้ม ตกลงแม่จะเอายังไงสงสัยต้องอุ่นอีกแล้ว”
“ไม่ต้องหรอกลูก แม่เช็ดเท้าพี่เค้าเสร็จแม่จะกินจ้ะ”
“งั้นแม่มากินซิ เดี๋ยวรินทำแทนแม่เอง”
“ไม่ต้องๆๆ แม่ทำของแม่เองจวนจะเสร็จแล้ว”
“งั้นรินไปเดินเล่นเดี๋ยวมานะแม่”
วารินจะเดินไปแล้วชะงัก หันมาคว้าข้าวโพดติดมือไปด้วย
การที่วาทิตถูกทำร้าย จนพ่อเลี้ยงวิทย์นำเขามารักษาตัวอยู่ที่ไร่ของแรม โดยได้ขอร้องแรมเพื่อให้รุทรเข้าปลอมตัวเป็นวาทิต ช่วยสืบหาตัวว่าใครเป็นผู้ทำร้ายลูกชาย แม้รุทรจะเต็มใจต่อคำขอของพ่อเลี้ยง แต่ก็ยังอดเป็นห่วงแรมไม่ได้ คนเดียวเท่านั้นที่รุทรจะฝากฝังได้คือวาริน
กองไฟใกล้แคร่ลุกโชน ลู่ไหวไปตามแรงลมหนาว ขณะรุทรนั่งรอวารินอยู่ตรงนั้น สักครู่หนึ่งวารินเดินกินข้าวโพดต้มมาหารุทร
“แม่นอนแล้วเหรอริน”
“โอ๊ย ยังหัวค่ำอยู่ จ้างคุณนายแรมจันทร์ก็นอนง่ายๆ หรอก ไหนจะห่วงพี่วาทิตไหนจะห่วงเรื่องพี่รุทรไหนจะห่วงเรื่องลูกค้าที่จะมารับของ..แต่รินก็มีวิธีพูดให้แม่สบายใจได้”
รุทรยิ้ม “ดีจริงๆ น้องพี่ ว่าแต่รินมีวิธีพูดยังไงกับแม่”
“รินก็พูดกับแม่ว่า พี่รุทรอยากคุยกับรินเรื่องแม่”
“เฮ้ย พูดยังงี้ได้ยังไงริน”
วารินหัวเราะขัน “รินพูดเล่นน่าพี่รุทร โธ่เอ๊ย กับรินแม่ไม่เคยสงสัยอะไรหรอก แค่บอกว่ารินจะออกมาเดินเล่นแม่ก็ไม่สนและ ว่าแต่พี่รุทรมีเรื่องอะไรจะพูดกับริน”
รุทรถอนใจ “เรื่องวาทิตไม่ใช่เรื่องง่ายๆ พี่ต้องทำอย่างจริงจังทุกอย่าง ฉะนั้นเวลาที่พี่จะมาดูแลแม่เหมือนแต่ก่อนคงหายากแล้ว พี่ถึงอยากจะให้รินเป็นตัวแทนพี่
วารินถอนใจตาม “เฮ้อ...พูดแล้วพูดอีก รินจัดให้เต็มๆ อยู่แล้ว พี่รุทร ยอหอ อย่าห่วง
“แม่ต้องรับความรู้สึกหลายด้าน” รุทรน้ำตาริน “ทั้งวาทิต ทั้งดูแลไร่ ทั้งพี่ ทั้งริน พี่สงสารแม่จริงๆ”
วารินพลอยร้องไห้ด้วย แต่พยายามฝืน “ก็รินรับปากพี่รุทรอยู่นี่ไง ว่ารินจะเป็นตัวแทนพี่รุทรทุกอย่าง อย่างสุดความสามารถด้วย แล้วจะมาร้องไห้ทำไม ลูกผู้ชายเค้าไม่ร้องไห้หรอก” วารินเช็ดน้ำตาให้พี่ชาย
“จ้ะๆๆ พี่เชื่อจ้ะ ลูกผู้หญิงเค้าก็ไม่ร้องไห้เหมือนกัน” เขาเช็ดน้ำตาให้น้อง “พี่ขอโทษจ๊ะริน พี่ขอโทษที่พูดเรื่องนี้กับรินซ้ำแล้วซ้ำอีกจนน่ารำคาญ” รุทรทอดถอนใจ “นายรุทรจะต้องเป็นคุณวาทิตยังไม่รู้เหมือนกันว่าผลมันจะออกมาท่าไหน”
วันนี้ พ่อเลี้ยงวิทย์ แรม รุทร อนุวัตร และวาริน นั่งคุยกันอยู่ที่ห้องรับแขก
“ตอนนี้รุทรก็เรียนรู้ที่จะเป็นวาทิตจนหมดแล้ว คราวนี้ก็ถึงขั้นตอนที่สำคัญอีกอย่างนึง”
“ขั้นตอนอะไรคะพ่อเลี้ยง”
“แปลงโฉมจากรุทรให้เป็นวาทิต”
ต่อมา รุทรกำลังถูกแปลงโฉมโดยสไตลิสต์ที่พ่อเลี้ยงวิทย์จ้างมาเป็นพิเศษ ทั้งพ่อเลี้ยงวิทย์ แรม อนุวัตร และวาริน คอยลุ้นคอยมองอยู่ใกล้ๆ จนในที่สุดก็เสร็จ
วารินยืนอยู่ที่ข้างๆ รุทรที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หันหลังให้ทุกคนอยู่
“ในที่สุดการแปลงโฉมแบบเมกโอเวอร์ของเราก็เสร็จสิ้นลงแล้ว ขอเชิญพบกับพี่รุทร เอ๊ย..ไม่ใช่สิ พี่วาทิตค่ะ”
วารินหมุนเก้าอี้หันมาทาง พ่อเลี้ยงวิทย์ แรม และ อนุวัตร
สามคนอึ้งกันทั้งแถบ เพราะรุทรดูเหมือนวาทิตเอามากๆ
อ่านต่อตอนที่ 5