ลีลาวดีเพลิง ตอนที่ 4
ปลัดมองลิลินเหมือนจะกลืนกิน ฝ่ายถูกจ้องเอง ก็รู้เจตนาของอีกฝ่ายดี
“ถ้าผมอยากให้คุณลินร้องเพลงให้ผมฟังสองต่อสอง ไม่รู้ว่าผมต้องทำยังไงครับ?”
ลิลินแกล้งยิ้มยั่วยวน
“ก็ต้องดูว่าท่านปลัดอยากให้ฉันร้องเพลงอะไร? ถ้าเป็นเพลงที่ฉันชอบด้วย ลินอาจจะร้องให้ท่านฟังถึงเช้าก็ได้นะคะ”
พูดจบก็ส่งสายตาหยาดเยิ้มให้ ทำเอาปลัดแทบละลาย
ทางด้านทิวัตถ์กับศักดิ์สิทธิ์เดินกลับมาที่โต๊ะ ก็ไม่เจอปลัดกับลิลินแล้ว พอเด็กเสิร์ฟยกถาดน้ำผ่านมา ศักดิ์สิทธิ์ก็เรียกตัวไว้
“เดี๋ยวก่อน ปลัดกับคุณลิลิน เขาไปไหนกันแล้ว?”
“ไม่ทราบครับ เห็นเพิ่งเดินออกไปด้วยกัน”
ศักดิ์สิทธิ์ตกใจ “ ไม่ได้การแล้วว่ะ”
ทิวัตถ์ทำหน้างง “อะไรของแก”
“เอ้า แกไม่รู้หรือไงว่าไอ้ปลัดนั่น มันซาดิสต์”
ทิวัตถ์แอบหวั่นใจขึ้นมาทันที
ปลัดยิ้มแย้มผิวปากอย่างมีความสุข ขณะเดินนำลิลินอกมาหน้าผับ ขณะที่ฝ่ายหลังฝืนยิ้มให้ พลางพยายามคิดหาทางเอาตัวรอด
“ท่านคะ ลินว่าไปที่อื่นไม่ดีกว่าเหรอคะ? ท่านคิดดูซิคะ ลินเป็นนักร้องที่นี่ ถ้าเกิดใครเห็นว่าลินขึ้นมากับท่าน ลินกลัวว่ามันจะไม่ดีน่ะค่ะ”
ปลัดรีบพูดอย่างวางอำนาจ
“จะไปสนใจทำไม? ถ้ามีใครพูดอะไรมาบอกผม ผมจะจัดการให้เอง”
“อย่าค่ะ ท่านเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ที่นี่ เดี๋ยวชาวบ้านจะเสียความนับถือนะคะ ลินว่าเราไปที่อื่นดีกว่า
ท่านไปรอที่รถ แล้วเดี๋ยวลินตามไป”
จังหวะนั้นลูกน้องก็เดินเข้ามาพร้อมกับยื่นกุญแจ และกระเป๋าใบย่อมให้กับปลัดก่อนจะเดินจากไป
ลิลินมองอย่างสงสัยว่าในกระเป๋าคืออะไร?
“ไปที่อื่นทำไมให้เสียเวลา ผมน่ะอยากได้ยินเสียงคุณลินใจจะขาดแล้ว”
ปลัดยิ้มหื่น ลิลินฝืนยิ้มตอบ พลางกระชับที่กระเป๋าสะพายของตัวเองเอาไว้แน่น
ศักดิ์สิทธิ์วิ่งวุ่นตามหาลิลินทั่วโรงแรมด้วยความเป็นห่วง จนทิวัตถ์ถึงกับอดปากไม่ได้
“ฉันว่าท่าทางแกจะห่วงเธอเกินไป หรือว่าแกชอบเธอจริงๆ วะ”
ศักดิ์สิทธิ์ทำเสียงเข้ม
“เงียบไปเลย ฉันรู้ว่าแกจะพูดอะไร? ฉันเป็นห่วงคุณลินในฐานะที่เป็นพนักงานของฉัน ไม่ได้คิด
อย่างอื่น”
ทิวัตถ์มองหน้าศักดิ์สิทธิ์แบบไม่อยากจะเชื่อ
“แกไม่ต้องมาทำหน้าแบบนั้นเลย แกนั่นแหละที่ต้องรับผิดชอบเรื่องนี้ ถ้าปลัดทำอะไรให้คุณลินล่ะก็
ฉันเลิกคบแกแน่”
พลันสายตาของทิวัตถ์ก็เหลือบไปเห็นตัวเลขที่หน้าลิฟต์จอดค้างอยู่ที่ชั้น 7
“ไอ้สิทธิ์”
ศักดิ์สิทธิ์หันมองตาม นึกรู้แล้วว่าลิลินกับปลัดอยู่ชั้นไหน?
ปลัดหื่นมองหน้าลิลินด้วยแววตากระหาย ก่อนจะรีบปิดประตู แล้วตรงเข้ามากอดอีกฝ่าย
“อุ๊ย! อย่าเพิ่งรีบซิคะท่าน”
“ผมอยากฟังเสียงร้องคุณลินแล้วนี่”
ลิลินฝืนยิ้ม “แหม ใจคอท่านจะไม่ให้ลินพักเหนื่อยบ้างเลยเหรอคะ?”
ปลัดเดินตรงไปที่เตียงพร้อมกับเอามือตบลงบนที่นอนเรียกลิลินมานั่งพัก
“งั้นผมนวดให้”
ลิลินแกล้งทำสายตายั่วยวน “ได้ไงคะ? ใครจะไปกล้าใช้ท่านปลัด”
ปลัดยิ้มหื่น ก่อนจะลุกขึ้นเดินเข้ามาหา ลิลินเผลอผลักออกไปเต็มแรงจนหงายหลังลงที่เตียง
“ท่านก็ เก็บแรงไว้ฟังลินร้องเพลงดีกว่าค่ะ”
พูดพลางยิ้มยั่วก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไป ปลัดมองตามอย่างอยากจะกลืนกินเข้าไปได้ทั้งตัว
ลิลินรีบล็อกประตูห้องน้ำ พยายามตั้งสติหาทางรอด พลางเปิดกระเป๋าถือออก ก่อนจะหยิบขวดยาเล็กๆ ออกมา พร้อมกับจ้องมองมันด้วยความคาดหวังว่าจะเป็นตัวช่วยที่ทำให้เธอรอดพ้นจากสถานการณ์นี้ได้
ทางด้านปลัดที่กำลังฟิตร่างกายเตรียมพร้อม ก็ถึงกับชะงักไปเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู
“ใครวะ?”
ทิวัตถ์ตะโกนตอบกลับมาจากหน้าประตู
“ท่านครับ ท่านปลัดครับ เรายังคุยธุระกันไม่เสร็จเลยนะครับ”
ปลัดได้ยินเสียงทิวัตถ์ก็ชะงัก
ฟากลิลินก็กำลังใช้ยาสลบแบบทา ทาที่ติ่งหูทั้งสองข้างอยู่ ก่อนจะชะโงกหหน้าออกไปดู เห็นปลัดยืนอยู่ตรงประตูห้อง
“ผมไม่มีอารมณ์คุยอะไรทั้งนั้น เอาไว้วันหลังคุณค่อยมานัดผมอีกที”
ลิลินหันมองไปที่หน้าต่างตรงระเบียง แล้วก็ได้ความคิด พลางค่อยๆ ย่องออกไปปลดล็อกกลอน
ทิวัตถ์กับศักดิ์สิทธิ์ได้ยินเสียงปลัดดังออกมาก็โล่งอกไปเปลาะหนึ่งที่มาถูกห้อง
“ผมใช้เวลาไม่นานหรอกครับท่าน”
“ผมบอกแล้วไงว่าไม่คุย ไว้พรุ่งนี้เดี๋ยวผมโทร. หา”
พูดพลางเดินกลับมาที่เตียงอย่างอารมณ์เสีย พลันหันมาเห็นลิลิน ที่กำลังจะออกไป เธอรีบทำตัวปกติเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายจับได้ว่ากำลังจะหนี
“มีอะไรหรือเปล่าคะท่าน?”
ปลัดเห็นลิลินก็ตาวาว
“ไม่มีจ้ะ พวกเด็กไม่รู้จักเวล่ำเวลาน่ะ คุณลินเรียบร้อยแล้วใช่มั้ยครับ”
“อีกแป๊ปนึงนะคะ”
ลิลินรีบวิ่งเข้าห้องน้ำ พลางปิดประตูจนเกือบกระแทกหน้าอีกฝ่าย
พอเข้ามาในห้องน้ำ ก็รีบหยิบที่ช็อตไฟฟ้าออกมาดูเพื่อความอุ่นใจ
ทิวัตถ์กำลังจะตัดสินใจพังประตูเข้าไป แต่จู่ๆ ศักดิ์สิทธิ์ก็คิดออก ก่อนจะรีบเดินเลี่ยงไปเอากุญแจสำรองจากหน้าเคาน์เตอร์
พอลิลินออกมาจากห้องน้ำ ปลัดก์ตรงเข้าจู่โจมทันที เธอพยายามเบี่ยงตัวเพื่อให้ติ่งหูใกล้จมูกอีกฝ่ายมากที่สุด พลางใส่จริตจะก้านเต็มที่ ก่อนจะตัดสินใจบอกตรงๆ
“ท่านคะ ท่านจะโกรธมั้ยคะ ถ้าลินจะบอกว่าไว้วันหลังได้มั้ยคะ ลินเบื่อๆ ไม่ค่อยมีอารมณ์น่ะค่ะ”
แต่กลับไม่เป็นผล เพราะอีกฝ่ายกลับยิ่งจู่โจมหนัก พร้อมกับทำท่าจะจูบปาก เธอเบี่ยงตัวหลบ พลางเอานิ้วไปเคาะที่ติ่งหู พร้อมกับทำตายั่ว
“ติ่งหูเหรอ? ไม่เอาซิผมไม่ชอบติ่งหู มันเหมือนอะไรก็ไม่รู้”
ลิลินอึ้ง พลางพยายามนึกหาตัวช่วยอย่างอื่น ทันใดนั้นปลัดก็จับมือลิลินขึ้นมา
“ผมไม่ชอบติ่งหู แต่ผมชอบผมชอบดูดนิ้ว”
พูดจบก็คว้านิ้วเข้าปาก ลิลินตกใจปนโล่งอก เพราะเพิ่งเอานิ้วแตะยาสลบที่ติ่งหูมา
ทิวัตถ์ยืนรออย่างกระวนกระวายอยู่หน้าห้อง พักใหญ่ศักดิ์สิทธิ์ก็วิ่งกลับมาพร้อมกับกุญแจห้อง แต่พอกำลังจะไขประตู กลับถูกอีกฝ่ายดึงมือไว้
“เดี๋ยว แล้วถ้าเปิดเข้าไปแล้วเจอ เอ่อ หนังกำลังฉาย”
“ไม่สนเว้ย”
ศักดิ์สิทธิ์กำลังพยายามไขกุญแจ แต่ไขยังไงก็ไขไม่ได้ พอหยิบกุญแจขึ้นมาดูชัดๆ ก็ตกใจ
“ผิดห้อง คุณปกติหยิบกุญแจแค่นี้ยังหยิบผิดห้องได้ไงเนี่ย?”
ทิวัตถ์ยืมมองดูศักดิ์สิทธิ์แบบเหนื่อยหน่าย ระหว่างนั้นก็ได้ยินเสียงดังโครมออกมาจากในห้อง
ร่างของปลัดหื่นล้มไปกองอยู่ที่พื้น เพราะฤทธิ์ยาสลบเริ่มทำงาน ลิลินแอบยิ้มสมใจ แต่ก็จำต้องเล่นละครต่อ
“ท่านคะ เป็นอะไรคะ?”
ปลัดพยายามทรงตัวยืนขึ้น “ไม่ได้เป็นอะไร ผมแค่ง่วงนิดหน่อย”
ทิวัตถ์รีบเคาะประตู “คุณ คุณเป็นอะไรหรือเปล่า?”
ลิลินได้ยินเสียงทิวัตถ์ก็ชะงัก
“ไม่ใช่เรื่องของคุณ”
ทิวัตถ์ได้ยินก็ยิ่งหมั่นไส้ รีบหันมาบอกศักดิ์สิทธิ์
“แกได้ยินแล้วใช่ไหม? เพราะฉะนั้นอย่ายุ่งดีกว่า”
“ทำไมคุณลินพูดแบบนั้นวะ หรือว่าคุณลินโดนบังคับให้พูดแบบนั้นแน่ๆ คุณลินปลอดภัยมั้ยครับ”
ศักดิ์สิทธิ์เคาะประตูรัว ลิลินมองปลัดที่ทำท่าโงนเงนใกล้จะน็อกเต็มที ก่อนจะตะโกนตอบกลับไป
“ปลอดภัยค่ะ ไม่ต้องห่วง”
“ชัวร์เลยว่ะไอ้วิน คุณลินต้องตกอยู่ในอันตรายแน่ๆ”
ทิวัตถ์ส่ายหน้าเซ็งๆ “แกคิดมากเกินไปหรือเปล่า? บางทีเธอจะชอบก็ได้”
“ไม่มีทาง แกไม่เคยดูหนังเหรอ? ส่วนใหญ่ที่ตอบอย่างนั้นเพราะกำลังโดนคนร้ายจี้อยู่”
ทิวัตถ์ชักจะไม่แน่ใจและเกรงว่าลิลินจะเป็นอันตรายเพราะเขา
“ถ้าอย่างนั้นฉันว่าเราพังประตูเข้าไปเลยดีกว่า”
“ไม่ได้ แกคอยคุมสถานการณ์ไว้ เดี๋ยวฉันมา”
ศักดิ์สิทธิ์พูดเสร็จก็รีบวิ่งจากไปอย่างเร็ว ก่อนที่เอาเรื่องปกติที่หยิบกุญแจให้ผิด อีกฝ่ายลนลาน รีบหากุญแจใหม่ พร้อมๆ กับที่ทิวัตถ์โผล่มายืนข้างๆ
“ไอ้วิน แกลงมาทำไมเนี่ย? ทำไมไม่อยู่คุมเชิงปลัดเอาไว้”
“ก็ฉันร้อนใจนี่หว่า ได้หรือยัง?”
ปกติยื่นกุญแจส่งให้ “ได้แล้วครับ รับรองคราวนี้ไม่ผิดห้องแน่”
ทิวัตถ์รีบดึงกุญแจมา พลางกำลังจะวิ่งออกไปพร้อมกับศักดิ์สิทธิ์ แต่แล้วเสียงของกฤษดาก็ดังขึ้น
“เต็มที่เว้ยพวกเรา”
ศักดิ์สิทธิ์กับทิวัตถ์เดินเข้าไปหากฤษดาที่ท่าทางเมาแอ๋กันมาทั้งกลุ่ม
“อ้าว นึกว่าใคร ที่แท้ก็คุณหนูศักดิ์สิทธิ์กับคุณหนูวินนี่เอง ไม่คิดว่าจะเจอนะเนี่ย เวลาอย่างนี้ คิดว่ากำลังให้แม่เล่านิทานก่อนนอนให้ฟังซะอีก อุ้ย ลืมไปว่าไม่มีแม่กันทั้งคู่เลยนี่”
ทิวัตถ์จ้องหน้าอย่างเอาเรื่อง “แกมาทำอะไรที่นี่?”
“ถ้าที่อื่นไม่ปิด ฉันก็ไม่ได้อยากมาเหยียบที่นี่หรอกเว้ย”
ศักดิ์สิทธิ์รีบบอก “แต่ตอนนี้ซิลเวอร์โคฟปิดแล้ว”
กฤษดามองไปที่ล็อบบี้
“ไม่เป็นไร อ้าวเฮ้ย หาที่นั่งซิวะ”
แล้วทั้งกลุ่มก็เดินไปนั่งที่ล็อบบี้กันอย่างไม่เกรงใจใคร ทิวัตถ์กับศักดิ์สิทธิ์หน้าเครียดขึ้นมาทันที
ปลัดหื่นฝืนยันกายลุกขึ้น ก่อนจะเดินไปหยิบกุญแจมือจากกระเป๋าถือออกมา พลางจับข้อมือลิลินล็อกไว้กับหัวเตียง
“ปลัด ปลัดจะทำอะไรคะ?”
ปลัดยิ้มหื่น “เอ้า ก็อุปกรณ์เสริม เพิ่มความเร้าใจไง”
ขาดคำ ร่างของปลัดก็น็อกลงไปกองกับพื้น ขณะที่ลิลินถูกล็อกข้อมือไปกับหัวเตียงไปไหนไม่ได้
ทางด้านศักดิ์สิทธิ์ก็รีบบอกให้ทิวัตถ์รีบไปช่วยลิลิน ส่วนเขาจะจัดการกับกฤษดาเอง แต่ฝ่ายหลัง กลับเซ้าซี้ให้ทิวัตถ์ดื่มเหล้าเป็นเพื่อน
“โทษทีฉันไม่ชอบดื่ม”
กฤษดาพูดด้วยน้ำเสียงอ้อแอ้
“อะไร หรือว่าโกรธที่ฉันบอกว่าแม่นายถูกชู้ฆ่าตาย”
ทิวัตถ์โกรธจะปรี่ไปเอาเรื่อง แต่ศักดิ์สิทธิ์รีบห้ามเอาไว้ กฤษดาชูขวดเหล้าขึ้นมา
“ถ้าอย่างนั้น ฉันจะดื่มเพื่อขอโทษแก”
พลางยกเหล้าขึ้นดื่ม ก่อนที่ยื่นต่อมาให้ทิวัตถ์
“ตาแก ถ้าแกไม่ดื่ม ฉันจะถือว่าแกไม่ยกโทษให้ฉัน”
ลิลินพยายามเอื้อมมือไปคว้าร่างของปลัดเพื่อควานหากุญแจ แต่พอควานเจอ ปลัดก็คว้ามือเธอไว้
จนลูกกุญแจร่วงหล่นห่างออกไป
ทางด้านกฤษดาก็ยังคงพูดพาดพิงเชิงดูถูกแม่ของทิวัตถ์จนเขาเหลืออดถีบเข้าที่ท้องเต็มๆ จนฝ่ายนั้นถึงกับล้มก้นจ้ำเบ้าไป ลูกน้องกฤษดาต่างลุกขึ้นเอาเรื่อง ศักดิ์สิทธิ์รีบหันมาบอก
“ไปไอ้วิน เดี๋ยวทางนี้ฉันจัดการเอง แกไปช่วยคุณลินก่อน”
ทิวัตถ์รีบวิ่งออกไป พร้อมๆ กับที่ลูกน้องพยุงกฤษดาลุกขึ้น
“ฉันว่าแกเมามากแล้ว กลับไปเถอะ”
ขาดคำศักดิ์สิทธิ์ก็โดนหมัดของกฤษณาซัดใส่หน้าเต็มๆ จนหงายหลังล้มตึงลงไป
“ไปจับมันมาเดี๋ยวนี้”
พวกลูกน้องรีบวิ่งกรูกันออกไป กฤษดาเดินตาม ปกติรีบเข้ามาดูศักดิ์สิทธิ์ที่นอนสลบอยู่
ทิวัตถ์ที่กำลังยืนรอลิฟท์อยู่ หันไปเห็นพวกกฤษดาวิ่งกรูกันมา ก็รีบวิ่งไปที่บันไดหนีไฟ พวกมันรีบวิ่งตาม
ลิลินพยายามเอื้อมมือจะไปหยิบลูกกุญแจที่หล่นอยู่ จู่ๆ ปลัดก็โผล่ขึ้นมาพร้อมกับขวดยา
“เจอแล้ว”
ลิลินมองอย่างสงสัย “ยาอะไรคะ?”
ปลัดหยิบยาขึ้นมาก่อนจะเอาเข้าปาก “ยาโด๊ปไง รอแป๊ปนะจ๊ะ”
แต่พอกลืนยาลงคอ ร่างของปลัดหื่นก็หงายหลังล้มลงกับพื้น
“ท่านคะ ท่าน หัวใจวายหรือเปล่าเนี่ย?”
ลิลินรีบเอาหูเข้าไปฟังที่หน้าอกทันใดนั้นปลัดก็ลืมตาโพลงขึ้น
“ฮั่นแน่”
ลิลินตกใจ “ท่าน เอ่อ ท่านไม่เป็นไรแล้วเหรอคะ?”
“เป็นซิ ผมรู้สึกว่าเลือดของผมกำลังพลุ่งพล่าน”
พูดพลางปรี่เข้ามาหาลิลินที่ถูกล็อกอยู่กับหัวเตียง
“มามะ มาให้กอดซะดีๆ คืนนี้คุณต้องร้องเพลงให้ผมฟังก่อน”
“อย่านะ ปล่อย ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้”
ลิลินร้องเสียงดังโวยวาย พลางพยายามหนีออกจากการกอดรัดฟัดเหวี่ยงของปลัด
ทิวัตถ์วิ่งพรวดออกมาที่ชั้นห้องพักที่ปลัดอยู่ ก่อนจะรีบล้วงลงไปในกระเป๋ากางเกง แล้วก็ตกใจ
“กุญแจ หล่นตอนมีเรื่องกับไอ้กฤษแน่ๆ”
พลางหันมองไปรอบๆ แล้วก็ได้ความคิดเมื่อเห็นสัญญาณเตือนไฟไหม้ เขารีบทุบไปอย่างแรง ทันใดนั้นเสียงกริ่งก็ดังลั่นขึ้นทั้งโรงแรม
ปลัดปล้ำจูบวิลินโดยไม่สนใจเสียงสัญญาณ เธอพยายามปัดป้อง พลางร้องโวยวาย ทิวัตถ์ได้ยินเสียงร้อง ก็ยิ่งกังวลใจ พลางหันมองไปก็เห็นห้องข้างๆ เปิดโล่งเอาไว้ เพราะแขกวิ่งหนีตายออกมา เขารีบวิ่งเข้าไปที่ห้องนั้นทันที ก่อนจะรีบพุ่งออกไปที่ระเบียง แล้วปีนออกไปทางหน้าต่าง
ทางด้านพวกกฤษดาก็ไล่ตามทิวัตถ์มาโดยไม่สนใจเสียงสัญญาณเตือนภัย จนมาถึงห้องของปลัดที่ปิดประตูเงียบอยู่ห้องเดียว
ลิลินกระทุ้งเข้าไปที่ท้องก่อนจะผลักตัวปลัดออกไป พลางพยายามเอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าถือ ก่อนที่จะเหลือบไปเห็นทิวัตถ์ที่กำลังปีนระเบียงเข้ามา แต่ยังไม่ทันจะพูดอะไร ปลัดก็เข้ามาจับขาเธอเอาไว้
ลิลินยันเท้าถีบออกไปเต็มแรง ก่อนจะใช้เท้าเขี่ยกระเป๋าเข้ามา พลางควานหยิบที่ช็อตไฟฟ้าออกมาจากประเป๋า
“อย่าเข้ามานะ”
ปลัดหัวเราะร่า “แหม ชอบใช้ของเล่นก็ไม่บอก”
พูดพลางเดินปรี่เข้าหาลิลิน ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูหน้าห้องก็ดังขึ้น พร้อมกับเสียงตะโกนของ
กฤษดา
“เฮ้ย! เปิดประตูเดี๋ยวนี้ เปิดซิวะ”
ปลัดชะงักไปอย่างหงุดหงิด “อะไรนักหนาวะ”
กฤษดายกเท้าถีบไปที่ประตู เป็นจังหวะเดียวกับที่ปลัดเปิดประตูออกมาพอดี เลยโดนประตูเข้าหน้าเต็มๆ ถึงกับมึน
กฤษดาเห็นปลัดก็ตกใจ “ปลัด”
“แกเป็นใครวะ?”
กฤษดาหน้าเสีย “ชิบ...แล้ว เอ่อ ขอโทษที่รบกวนครับ ไปเว้ยพวกเรา”
พูดจบก็รีบชิ่งออกไปพร้อมกับลูกน้องทันที ทิวัตถ์อาศัยจังหวะนั้นรีบเปิดหน้าต่างที่ลิลินเปิดทิ้งเอาไว้ตรงเข้ามาหาเธอทันที
“มาทำไม?”
“พูดอย่างนี้เดี๋ยวก็ปล่อยทิ้งเอาไว้เลย”
ลิลินมองค้อน “กุญแจอยู่นั่น”
พูดพลางชี้มือไป ทิวัตถ์กำลังจะเข้าไปหยิบ แต่ปลัดก็กลับเข้ามาในห้องพอดี
“เฮ้ย ! เข้ามาได้ยังไง?”
พูดพลางปรี่เข้ามาเหวี่ยงทิวัตถ์กระเด็นออกไปกระแทกกับผนังห้อง จนมือถือหล่นกระเด็นไปอยู่ใต้โต๊ะ ทิวัตถ์เหลือบไปเห็นที่ช็อตไฟฟ้าตกอยู่ ก็คว้าขึ้นมาก่อนจะจี้ไปที่ตัว จนปลัดแน่นิ่งลงไปนอนสลบ จากนั้นก็รีบเข้ามาหาลิลินที่ไขกุญแจมือหลุดพอดี
“ไปเร็วคุณ”
พูดพลางรีบดึงแขนลิลินวิ่งหนีออกมาจากห้อง
“มาช่วยฉันทำไม?”
ทำเอาเขาถึงกับชะงัก “คำแรกที่คุณควรพูดกับผมก็คือขอบคุณที่ช่วยฉันค่ะ”
“นั่นเป็นคำสุดท้ายที่คุณจะได้ยินจากฉัน”
ทิวัตถ์ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ
“ชักจะไม่แน่ใจแล้วซิว่าผมเข้าไปช่วยหรือเข้าไปขัดจังหวะการทำมาหากินของคุณ ดูคุณถึงได้โกรธขนาดนี้”
“อย่าลืมซิว่าที่ฉันยอมไปกับปลัดเพราะอะไร? เพราะฉันไม่อยากเจอคนที่ทุเรศอย่างคุณอีก”
ลิลินพูดจบก็จะเดินออกไป ทิวัตถ์มองตาม ก่อนจะหันไปเห็นลูกน้องปลัดวิ่งมา เขารีบดึงเธอเข้ามาหลบมุม
“อะไรของคุณอีก”
ทิวัตถ์ทำสัญญาณมือให้เงียบไว้ จนลูกน้องปลัดเดินผ่านไป ลิลินมองมือตัวเองที่ถูกอีกฝ่ายจับอยู่ก็รีบสะบัดมือทิ้ง
“ปล่อยได้แล้ว”
ทั้งคู่เดินอกมามุมที่ซ่อน พร้อมๆ กับที่ศักดิ์สิทธิ์วิ่งถือถังดับเพลิงเข้ามา
“อ้าวคุณลิน ไอ้วิน ไปทำอะไรกันตรงนั้นครับ?”
ลิลินรีบแก้ตัว
“ไม่มีอะไรหรอกคะ ยังไงฝากคุณศักดิ์สิทธิ์ดูแลท่านปลัดต่อด้วยนะคะ”
ลิลินพูดจบก็เดินออกไป ศักดิ์สิทธิ์มองตาม ก่อนจะหันมองหน้าทิวัตถ์เหมือนว่าอยากได้คำตอบ
“ทำอะไร? ก็หลบคนของไอ้ปลัดไง แล้วนี่แกจะไปไหน?”
“หูแกตึงหรือไงไอ้วิน สัญญาณเตือนไฟไหม้ดังขนาดนี้”
ทิวัตถ์รีบตบไหล่ขอโทษ พลางเล่าเรื่องให้ฟัง ทำเอาศักดิ์สิทธิ์ตกใจ
“ไอ้วิน! แกรู้มั้ยว่าแกทำอะไรลงไป ตาย แขกย้ายหนีหมดแน่”
ศักดิ์สิทธิ์ทำท่าอยากจะร้องไห้ ทิวัตถ์หันมองไปทางลิลินอย่างหมั่นไส้
ทิวัตถ์กลับมาถึงบ้านตอนดึก ก่อนจะพบว่าศุภารมย์ดักรออยู่ พลางแกล้งเลียบๆ เคียงๆ ถามเรื่องงานที่คุยกับปลัด ก่อนจะวกเข้าเรื่องของนักร้องสาวตามที่สิตาได้มาใส่ไฟไว้
“พอดีแม่ได้ยินว่าที่โรงแรมของศักดิ์สิทธิ์มีนักร้องมาใหม่ ก็เลยคิดว่าท่านน่าจะถูกใจ แล้วนักร้องคนนั้นลูกว่าเป็นยังไง?”
ทิวัตถ์อึ้งอีกเมื่อศุภารมย์ถามเหมือนรู้อะไรมา
“ก็ไม่เป็นยังไงครับ มีอะไรหรือเปล่าครับ?”
“แม่อยากรู้ว่าปลัดชอบนักร้องคนนั้นหรือเปล่า?”
“คงชอบแหละครับ”
ศุภารมย์ทำเป็นยิ้มดีใจ
“ท่านชอบก็ดีแล้ว แต่ลูกก็ควรต้องเก็บเป็นความลับ เพราะถ้าภรรยาท่านรู้ คงจะโกรธที่ท่านไปยุ่งกับ ผู้หญิงอย่างนั้น เข้าใจที่แม่พูดใช่มั้ย?”
ทิวัตถ์รับคำ ศุภารมย์หันหลังเดินกลับขึ้นไปก่อน พร้อมกับเปลี่ยนสีหน้าเป็นนิ่งอย่างคนใช้ความคิด
อ่านต่อหน้า 2
ลีลาวดีเพลิง ตอนที่ 4 (ต่อ)
ลิลินนั่งหวีผมอยู่หน้ากระจกในห้องพัก พลางนึกถึงเหตุการณ์ที่ทิวัตถ์ช่วยชีวิตเธอไว้ พลางลุกเดินไปหยิบกล่องไม้แห่งความทรงจำขึ้นมาดู พยายามจะเตือนใจตัวเองไม่ให้ใจอ่อนจนลืมความแค้น
“หนูขอโทษคะพ่อ หนูจะไม่ใจอ่อนให้กับคนพวกนั้นอีก”
ศักดิ์สิทธิ์ยืนคุยกับปกติอยู่ที่เคาน์เตอร์ หลังจากที่เคลียร์กับแขกเรื่องที่เกิดขึ้นเรียบร้อยแล้ว
“แล้วเรื่องปลัดล่ะ? ” ศักดิ์สิทธิ์ไม่วายกังวล
“ถ้าเรื่องที่ให้จัดหาที่นอนหมอนมุ้งละก็เรียบร้อยครับ แต่เรื่องอื่นคงจะยุ่ง”
“เรื่องอะไร?”
สิ้นคำพูดของศักดิ์สิทธิ์ เสียงของปลัดก็ดังขึ้นหลัง พร้อมกับพยายามกันเมียที่ทำท่าจะเดินขึ้นไปด้านบน
“เมียน้งเมียน้อยอะไร ไม่มี เมื่อคืนผมดื่มหนักไปหน่อยจริงจริ๊ง เอ๊า ! ถ้าคุณไม่เชื่อ ถามคุณศักดิ์สิทธิ์เจ้าของโรงแรมที่นี่เลย คุณศักดิ์สิทธิ์ คุณช่วยพูดให้ภรรยาสุดที่รักของหน่อยซิว่าเมื่อคืนผมอยู่คุยงานกับคุณทิวัตถ์”
ศักดิ์สิทธิ์รีบช่วยพูดเพื่อตัดปัญหา “เอ่อ ใช่ครับ”
“คุยกันทั้งคืนเลยเหรอ?”
“พอดีท่านรู้สึกง่วง ผมก็เลยเปิดห้องให้ท่านพักผ่อนน่ะครับ”
เมียปลัดมองศักดิ์สิทธิ์แล้วกลับมามองปลัด “อย่าให้จับได้ก็แล้วกัน”
“จับได้อะไรคุณ ผมน่ะรักเดียวใจเดียว”
เมียปลัดหน้าเครียดก่อนจะเดินออกไป ปลัดรีบเดินตาม ศักดิ์สิทธิ์ถอนหายใจโล่งอก พร้อมกับที่ลิลินเดินเข้ามาพอดี
“ยังดีนะครับที่คุณลินไม่เป็นไร ไม่งั้นผมคงรู้สึกผิดไปอีกนานเลยครับ”
ลิลินยิ้มให้ “ไม่ใช่ความผิดของคุณศักดิ์สิทธิ์หรอกค่ะ”
“โชคดีนะครับที่คุณปลัดจำเหตุการณ์เมื่อคืนไม่ได้ ไม่อย่างนั้นผมซวยแน่ๆ ว่าแต่เรื่องทั้งหมดนี่ต้องยกความดีความชอบให้กับเจ้าวินที่ไปช่วยคุณลินไว้ได้ทัน จริงๆ นะครับ ดูท่าทางเจ้าวินมันห่วงคุณลินมากจนไม่คิดหน้าคิดหลัง เล่นกดสัญญาณไฟไหม้จนแขกตกใจอย่างนี้ แต่เห็นว่าเจ้าวินมันคิดจะช่วยคุณนะครับ ไม่อย่างนั้นได้มีตัดเพื่อนกันแน่”
ลิลินฟังศักดิ์สิทธิ์พูดอย่างไม่อยากจะเชื่อ จังหวะนั้นโทรศัพท์ของเธอดังขึ้นมา
“ขอตัวก่อนนะคะ”
ศักดิ์สิทธิ์มองตามสงสัยกับท่าทางของลิลินกับทิวัตถ์ที่ดูแปลกๆ ต่อกัน
วิทยายืนคุยมือถืออยู่ที่หน้าบ้าน
“สวัสดีครับคุณลิน ผมโทร. มารบกวนคุณลินหรือเปล่าครับ”
“คุณวิทยามีอะไรหรือเปล่าคะ?”
“พอดีว่าวันนี้ผมจะไปลอยอังคารผงกระดูกลุงช่วยนะครับ เลยโทรมาบอกคุณลิน เผื่อคุณลินอยากจะไปด้วยกัน”
ลิลินรีบตกลง “ได้ค่ะ”
“งั้นเดี๋ยวผมไปรับแล้วกันนะครับ คุณลินพักอยู่ที่ไหนครับ?”
ทางด้านทิวัตถ์ก็กำลังง่วนกับการหามือถือที่นึกไม่ออกว่าไปทำหล่นหายอยู่ที่ไหน ? ครู่หนึ่งก็นึกขึ้นมาได้
วิทยามารับลิลินที่โรงแรม ก่อนจะเดินคุยกันออกมาด้านหน้า
“มาเร็วกว่าเวลาอีกนะคะ”
วิทยายิ้มรับ “ครับ ถ้าคนจังหวัดนี้ รู้จักโรงแรมรอยัลเพิร์ลกันทั้งนั้นแหละครับ คุณลินอยากพักที่อื่นมั้ยครับ?”
ลิลินทำหน้าแปลกใจ “ทำไมเหรอคะ?”
“เปล่าครับ ผมเห็นว่าคุณลินอยู่ที่นี่นาน เผื่อจะลองหาโรงแรมที่อื่นที่ราคาถูกกว่านี้ให้น่ะครับ”
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกค่ะ ลินเป็นนัก....”
ลิลินกำลังจะบอกว่าเธอเป็นนักร้อง แต่กลับต้องชะงักไปเมื่อเห็นทิวัตถ์เดินเข้ามา วิทยาหันมองตาม
“ใครเหรอครับ?”
“แค่คนไม่สำคัญน่ะค่ะ อย่าไปสนใจเลย”
ขาดคำทิวัตถ์ก็เดินเข้ามาทัก “กำลังจะไปไหนกันเหรอครับ?”
“ธุระส่วนตัว คงเข้าใจนะคะ”
ทิวัตถ์ยิ้มเยาะ “ไม่ยักจะรู้ว่าผู้หญิงส่วนรวมอย่างคุณมีธุระส่วนตัวกับเขาด้วย”
วิทยาได้ยินที่ทิวัตถ์พูดก็ไม่ค่อยพอใจ
“ผมไม่รู้หรอกนะที่คุณพูดหมายถึงอะไร แต่คุณก็ควรจะพูดจาให้เกียรติผู้หญิงมากกว่านี้”
“บางที สิ่งดีๆ คนเราก็ฉาบไว้ข้างหน้า เพื่อให้คนอื่นมอง โดยที่ไม่รู้ว่าเนื้อแท้ภายในเป็นยังไง?”
วิทยาโต้กลับนิ่งๆ “แต่ผมว่าคำพูดที่พูดออกมามันก็สะท้อนความคิดที่อยู่ภายใน”
“คุณอาจจะคิดว่าผมพูดจาไม่ดี แต่ที่จริงคุณควรขอบคุณผมมากกว่าที่พยายามจะช่วยลูกแกะอย่างคุณให้รอดพ้นจากปากนางสิงห์”
วิทยายิ่งฟัง ก็ยิ่งขัดใจ
“ผมไม่เข้าใจที่คุณพูด มีอะไรคุณพูดมาตรงๆ ดีกว่า”
ลิลินเห็นว่าเรื่องชักจะบานปลายก็รีบตัดบท
“ไปกันเถอะค่ะ”
จากนั้นทั้งคู่ก็เดินเคียงกันออกไป ทิวัตถ์มองตามด้วยสายตาหมั่นไส้
ทิวัตถ์เดินหงุดหงิดเข้ามาในโรงแรม ศักดิ์สิทธิ์หันมาเห็น ก็รีบหยิบมือถือส่งให้
“เป็นอะไร? เอาคิ้วผูกโบแต่เช้า”
ทิวัตถ์ทำหน้าเซ็ง “สงสัยฉันจะทำบุญกับคนไม่ขึ้น ก็แม่นักร้องของแก เรื่องเมื่อคืนที่ฉันช่วยเอาไว้แทนที่จะขอบคุณซักคำไม่มี ควงผู้ชายเดินไปโน่น”
“อ๋อ เห็นคุณปกติบอกอยู่เหมือนกัน แล้วจะเป็นอะไรวะ ก็เขาเป็นเพื่อนกันนี่หว่า”
ทิวัตถ์เบ้ปาก “เพื่อนเหรอ? หึ”
“เอ้า แล้วแกจะเป็นเดือดเป็นร้อนอะไรของแกนักหนา”
ทิวัตถ์นึกได้ รีบแก้ตัว
“เอ่อ ทำไม ก็ฉันเห็นว่าแกเป็นห่วงนักร้องของแกนักนี่ ฉันจะคอยเป็นหูเป็นตาให้ ก็เท่านั้น”
พูดจบก็รีบเดินออกจากโรงแรมไป ศักดิ์สิทธิ์มองตามหลังทิวัตถ์พร้อมกับตะโกนด่า
“เออ ทำบุญกับคนไม่ขึ้นเหมือนกัน ขอบคุณซักคำก็ไม่มี”
วิทยาโปรยเถ้ากระดูกของบุญช่วยและกลีบดอกไม้ล่องลอยไปตามสายน้ำ ลิลินยืนมองอย่างนิ่งสงบ
“ลุงช่วยแกไปสบายแล้วนะคะ”
“ครับ แต่ยังไง ผมก็ยังทำใจไม่ได้อยู่ดี มันเร็วจนผมตั้งตัวไม่ทัน”
ลิลินพยายามพูดปลอบ
“ฉันเองก็เคยผ่านการสูญเสียคนที่รักมาแล้ว ฉันเข้าใจดีว่าคุณวิทรู้สึกยังไง”
วิทยายิ้มตอบ ก่อนจะนึกขึ้นได้
“คุณลินครับ คุณลินเคยพูดเรื่องที่ลุงช่วยอาจจะโดนฆาตกรรม?”
“เรื่องนั้นไม่มีอะไรหรอกค่ะ ลินเห็นชาวบ้านเขาพูดกัน ก็เลยถามคุณวิทไปอย่างนั้น แล้วตำรวจบอกเรื่องผลการชันสูตรหรือยังคะ?”
“คงภายในอาทิตย์นี้ละครับ”
“เรามานั่งตั้งจิตอธิฐานส่งจิตให้ลุงช่วยไปสู่สุขคติกันดีกว่าค่ะ”
ลิลินพยายามเบี่ยงเบนความสนใจเพื่อไม่ให้วิทยาสงสัย
วิทยากลับมาส่งลิลินที่โรงแรม พลางหันไปเห็นโปสเตอร์ของเธอติดอยู่ ก็นึกแปลกใจ
“ลินกำลังจะบอกคุณวิทเมื่อเช้า แต่ก็ไม่ทันได้บอก ลินเป็นนักร้องที่นี่ค่ะ”
“นักร้อง ?”
ลิลินพยักหน้า “คุณวิทรู้สึกยังไงคะ? เรื่องที่ลินเป็นนักร้อง”
“ก็ดีนี่ครับ ผมว่ามันเป็นอาชีพที่ใครหลายๆ คนอยากจะเป็น ทำไมเหรอครับ?”
ลิลินนึกไปถึงทิวัตถ์
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ คือบางคนก็คิดว่าอาชีพนักร้องเป็นอาชีพที่ต้อยต่ำ หรือไม่ก็เป็นผู้หญิงที่ไม่ดี”
วิทยามองหน้าลิลิน ด้วยแววตาจริงใจ “แต่ไม่ใช่ผมครับ”
พลันเสียงมือถือของวิทยาดังขึ้น เขารีบกดรับสาย
“สวัสดีครับ คุณทิวัตถ์ถึงแล้วเหรอครับ?”
ลิลินได้ยินชื่อทิวัตถ์ก็สะดุดขึ้นมาทันที
“ได้ครับ ผมอยู่ใกล้ๆ นี่เองครับ”
พอวางสาย ก็รีบหันมาบอกกับลิลิน
“คุณลินครับ ถ้ายังไงเย็นนี้ผมมาฟังคุณลินร้องเพลงได้มั้ยครับ?”
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะคะ คุณวิทจะทานกลางวันด้วยกันมั้ยคะ”
“คงไม่ได้ครับ พอดีผมต้องไปคุยงานออกแบบสวนที่เอสพีคอนสตรัคชั่น เอาไว้ตอนเย็นผมมาใหม่แล้วกันนะครับ”
วิทยาพูดจบก็รีบเดินออกไป ลิลินมองตามอย่างเป็นกังวล
วิทยามาถึงที่บริษัทเอสพีคอนสตรัคชั่น เพื่อรอพบกับทิวัตถ์ ครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงดังขึ้นด้านหลัง
“คุณวิทยาใช่มั้ยครับ?”
“สวัสดีครับ ผมวิทยา สัจธรรม คุณทิวัตถ์ใช่มั้ยครับ?”
แต่กลายเป็นว่าคนที่อยู่อยู่เบื้องหน้าวิทยา คือทรงพล !!
ลิลินเดินกลับเข้ามาด้านในโรงแรม เจอกับศักดิ์สิทธิ์เข้าพอดี ฝ่ายหลังอึกอักอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจถามเรื่องที่คาใจ
“ทำไมเจ้าวินกับคุณลินถึงได้ดูแบบว่าไม่ค่อยถูกกันนะครับ? แบบไม่ชอบหน้ากันทั้งๆ ที่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่นาน เอิ่ม ขอโทษด้วยครับ ถ้าคุณลินไม่สะดวกตอบก็ไม่เป็นไรครับ”
ลิลินยิ้มอย่างให้เห็นเป็นเรื่องธรรมดา
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ที่จริงฉันก็ไม่ถือสาอะไรเขาหรอกค่ะ เพราะเข้าใจว่าเขาคงจะสติไม่ดี สงสัยจะเป็นโรคประสาทอ่อนๆ”
ศักดิ์สิทธิ์พยักหน้าเข้าใจ
“ผมก็คิดเหมือนกัน คนอะไรเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย แต่เอ๊ะ! เจ้าวินบ้า เราคบคนบ้า เราก็บ้า ไม่ใช่นะครับคุณลิน”
ลิลินเดินออกมาจากล็อบบี้ ตรงมาที่ริมสระว่ายน้ำ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ออกมาโทร. หาวิทยา
“ลินจะโทร. มาเปลี่ยนสถานที่น่ะค่ะ เพราะที่โรงแรมลินคิดว่าคงไม่สะดวก”
“ถ้าอย่างนั้นเป็นวันหลังก็ได้ครับ”
ลิลินฟังน้ำเสียงวิทยาที่ไม่ค่อยสู้ดี ก็ลองถามหยั่งเชิง
“เขาให้เริ่มงานเลยเหรอคะ? ”
“เอ่อ ยังหรอกครับ เขาคงไม่ชอบการจัดสวนสไตล์แบบของผมเท่านั้นเอง”
ลิลินได้ยินก็เข้าใจว่าเป็นฝีมือทิวัตถ์
“เอาไว้วันหลังผมจะนัดคุณลินใหม่แล้วกันนะครับ ขอโทษด้วยนะครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ เอาไว้คุณวิทว่างเมื่อไหร่ เราค่อยนัดกันอีกทีก็ได้ค่ะ”
“ขอบคุณนะครับ”
วิทยาวางสาย แล้วก็ยืนนิ่งไปด้วยความหนักใจ ขณะที่ลิลินนึกโมโห
“คนทุเรศ ใครรู้จักฉัน นายจะต้องแกล้งเขาทุกคนใช่มั้ย?”
ทิวัตถ์นั่งรอวิทยาอยู่ในห้องทำงานย่างกระวนกระวายใจ เพราะเลยเวลานัดไปมาก พอเรียกคฑาวุธเข้ามาถาม ฝ่ายนั้นก็ยืนอึกอัก ครู่หนึ่งพนักงานต้อนรับเดินเข้ามา
“คุณทิวัตถ์คะ มีคนมาขอพบคะ”
“คุณวิทยาใช่มั้ย?”
คฑาวุธทำหน้าไม่ถูกเพราะรู้ว่าวิทยาถูกทรงพลไล่กลับไปแล้ว
แต่เมื่อทิวัตถ์เดินออกมาที่มุมรับแขก กลับพบว่าผู้ที่มาเยือนคือลิลิน
“ใครให้คุณมาที่นี่?”
ลิลินสวนกลับทันที
“คุณไม่ต้องพูดเหมือนว่าฉันอยากมาเหยียบที่นี่นักหรอก ฉันไม่ได้อยากมา แต่ที่มาเพราะฉันอยากรู้ว่า.ที่คุณไม่รับคุณวิทเพราะอะไร?”
ทิวัตถ์ทำหน้างง “คุณพูดเรื่องอะไร? ผมไม่เห็นเข้าใจ”
“ถ้านายอยากแกล้งฉันก็ทำซิ ทำที่ฉัน แต่อย่าไปลงที่คนอื่น คุณวิทเขาไม่ได้ผิดอะไร“
ทิวัตถ์ยิ่งฟังยิ่งสงสัย
“เดี๋ยวคุณรู้จักคุณวิทยาด้วยเหรอ?”
“นี่คุณเป็นอะไร ทำเขาขนาดนั้น แล้วจะมาเล่นละครเป็นคนดีว่าไม่รู้เรื่องในสิ่งที่ตัวเองทำหรือไง?”
“ทำไม? ผมจะทำอะไรมันก็เป็นเรื่องของผม”
ทิวัตถ์พูดเสียงดังจนคนอื่นต่างหันมอง
“ดีแล้วที่คุณวิทไม่ได้ทำงานกับคนอย่างคุณ”
ลิลินพูดเสร็จก็เดินออกไป ทิวัตถ์มองตามอย่างนึกเคือง
ลิลินเดินมาตามทางเดินอย่างเจ็บใจ โดยไม่รู้ว่าคฑาวุธแอบตามมาห่างๆ ระหว่างนั้นเธอก็เหลือบเห็นทรงพลเดินเข้ามาพร้อมกับผู้บริหารอื่นๆ เธอจ้องมองทรงพลอย่างไม่วางตา
“พวกแกสุขสบายมามากพอแล้ว ต่อไปนี้ พวกแกจะต้องพบกับความทุกข์อย่างถึงที่สุด”
คฑาวุธแอบถ่ายรูปของลิลิน ก่อนจะรีบส่งไปรายงานศุภารมย์
“ผู้หญิงคนนี้มาหาคุณวิน”
“เอาแฟ้มคุณวิทยาเข้ามาให้ผมเดี๋ยวนี้”
ทิวัตถ์โทร. ไปสั่งคฑาวุธด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด ครู่หนึ่งฝ่ายหลังก็เดินเข้ามาพลางยื่นแฟ้มส่งให้ พอเขาเปิดดูก็เข้าใจได้ทันทีว่าทำไมลิลินถึงโกรธ
“อย่างนี้เอง ใครเป็นคนแคนเซิลงานคุณวิทยา?”
คฑาวุธอึกอักไม่กล้าบอก ทิวัตถ์จ้องมองไม่วางตาหมายมั่นต้องการคำตอบ
วิชนีกำลังวุ่นวายกับการทำอาหารอยู่ที่ร้าน ลูกมือแต่ละคนท่าทางเหนื่อยอ่อน ก่อนจะบอกว่าตั้งแต่เธอเข้ามาเป็นเชฟ ลูกค้าเพิ่มขึ้นมาหลายเท่าตัว จนทำแทบไม่ทัน ทำเอาวิชนียิ้มอย่างภูมิใจ
“งั้นเอางี้ คืนนี้ฉันเลี้ยงเอง”
พวกลูกมือต่างร้องดีใจ ทันใดนั้นเสียงผู้จัดการก็ดังขึ้น
“อะไร จะรีบเลิกงานแล้วหรือไง?”
ทุกคนหันไปเห็น ก็เงียบเสียงลง ผู้จัดการเดินเข้ามาหาวิชนีพร้อมยื่นกระดาษที่อยู่ในมือให้
“ครั้งนี้ขอสุดฝีมือ เอาให้นักชิมจากกรุงเทพตกใจกันไปเลย”
“นักชิมจากกรุงเทพงั้นหรอ?”
วิชนีก้มอ่านออเดอร์ด้วยแววตาที่เป็นประกาย
ลูกค้ากำลังทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อย วิชนีที่แอบยืนมองอยู่ที่ประตูครัวกับผู้จัดการร้านยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ จนผู้จัดการร้านหันมาแซว
“ฮะแฮ่ม ยิ้มอะไร?”
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ แค่มีความสุขเมื่อเห็นคนชอบกินอาหารของเรา”
“วินวินว่างั้น”
วิชนีไม่ตอบ ได้แต่พยักหน้ารับอย่างอารมณ์ดี
พลันลูกค้าอีกโต๊ะหนึ่ง ก็โวยวายเสียงดัง ผู้จัดการต้องรีบวิ่งเข้าไปดู
“มีอะไรครับ?”
“ยังจะถามอีก นี่ร้านคุณเอาอะไรมาให้ผมกิน คุณรู้มั้ยผมเป็นใคร? ผมนักชิมจากกรุงเทพ”
วิชนีรีบตามเข้ามาดู ขณะที่ลูกค้าในร้านเริ่มหันมอง
“มีอะไรรึเปล่าคะ? ฉันเป็นเชฟที่นี่ค่ะ”
ลูกค้าหันกลับไปตวาดใส่
“เชฟ? ทำอาหารอย่างนี้ ยังกล้าเรียกตัวเองว่าเชฟอีกเหรอ?”
“ทำไมคะ มันมีปัญหาตรงไหนเหรอคะ?”
ลูกค้าโวยเสียงดังลั่นร้าน
“ทุกตรงนั้นแหละ ความสะอาดก็ไม่มี จัดวางก็ไม่สวย สีก็จืดอย่างกับกระดาษขาว รสชาติยิ่งไม่ต้องพูดถึง เกิดมาไม่เคยได้กินอะไรแย่เท่านี้มาก่อน”
แต่พอวิชนีเหลือบมองที่จานอาหารบนโต๊ะ ทุกอย่างกลับดูขัดกับสิ่งที่พูด
“ขอโทษด้วยครับ เดี๋ยวทางเราจะ...”
“พอเลย เห็นเชฟแล้วก็ไม่แปลกใจที่อาหารจะออกมาสภาพนี้ เอาไปวางใส่ถาดทิ้งไว้ข้างถนนก็คงไม่มีเทวดา 4 ขาที่ไหนมาเลียด้วยซ้ำ”
วิชนีเหลืออด ตวาดกลับไป “นี่ มันจะมากไปแล้วนะ”
“อ้าว พูดอย่างนี้ได้ยังไง ไม่รู้หรือไงว่าฉันเป็นใคร? ฉันเป็นนักชิมจากกรุงเทพฯ รับรองว่าร้านนี้เจ๊งแน่”
ผู้จัดการพยายามพูดปรามให้วิชนีใจเย็น แต่เธอไม่ยอม
“นี่ ถ้าจะมาหาเรื่อง ฉันว่าคุณออกไปดีกว่า”
แต่ลูกค้ากลับจงใจผลักวิชนี ก่อนจะหันไปเรียกให้ลูกค้าคนอื่นหันมาฟัง
“ทุกคนดูไว้นะ ร้านนี้อาหารก็ห่วย บริการก็แย่ มารยาทก็....”
ยังไม่ทันขาดคำ จานไข่เจียวก็โปะเข้ามาที่หน้าลูกค้าพอดี
“ทนไม่ไหวแล้วเว้ย”
วิชนีเดือดพล่าน คว้าอาหารในจานปาใส่หน้าลูกค้าอย่างเหลืออด
อ่านต่อหน้า 3
ลีลาวดีเพลิง ตอนที่ 4 (ต่อ)
วิชนีเดินคอตก ถือกระเป๋าเสื้อผ้ามาตามทาง
“โธ่เอ๊ย! ฉันทำอาหารเรียกลูกค้าเข้าร้านแน่นทุกวันทำไมไม่เห็นความดีฉันบ้าง เจ้าของร้านเฮงซวย
ไอ้ลูกค้าปากไม่ถึง”
ระหว่างนั้นก็มีโจรขับมอเตอรไซค์ซ้อนกันมา 2 คนมา ปราดเข้ามากระชากกระเป๋า
“อ้าว เฮ้ย! ช่วยด้วยค่ะช่วยด้วย”
วิชนีร้องเสียงดัง ก่อนจะวิ่งตามโจรไปอย่างไม่ลดละ
อีกมุมหนึ่ง ลิลินเดินอารมณ์เสียมาตามทางเช่นกัน พอกำลังจะเดินพ้นมุม ก็มีมอเตอร์ไซค์วิ่งตัดหน้ามาจนเกือบจะชน
“อะไรเนี่ย?”
พอหายตกใจก็มองตามมอเตอร์ไซค์อย่างหงุดหงิด ก่อนจะหันมากำลังจะเดินต่อ แต่ทันทีที่เดินเลี้ยวพ้นมุม ก็เจอเข้ากับวิชนีที่วิ่งมาด้วยความเร็ว ร่างทั้งคู่ชนกันจังๆ จนล้มลงกองกับพื้น
วิชนีโวยวาย “โอ๊ย มายืนเกะกะอะไรขวางทางทำไมเนี่ย”
“ขอโทษค่ะ เจ็บตรงไหนหรือเปล่าคะ”
แต่พอต่างคนต่างเงยหน้าขึ้นมา ก็จำกันได้ทันที
“ฉัน ฉันโดนไล่ออก”
วิชนีเล่าให้ลิลินฟัง ขณะเดินคุยกันมาในสวนสาธารณะ
“แต่ฉันไม่ผิดนะ หมอนั่นต่างหาก เล่นมาหยามเกียรติเชฟอย่างฉัน แต่จะว่าไป ฉันรู้สึกแปลกๆ อยู่นะเหมือนหมอนั่นตั้งใจมาหาเรื่องชัดๆ”
“แล้วเธอจะทำยังไงต่อไป?”
วิชนีถอนใจ
“ยังไม่รู้เลย เงินทั้งหมดก็โดนไอ้พวกบ้านั่นวิ่งราวไปอีก เพราะเธอนั่นแหละ ไม่อย่างนั้นฉันก็ตามไอ้โจรพวกนั้นทันแล้ว”
ลิลินเห็นหน้าวิชนีเจื่อนๆ ก็รู้สึกผิด
“งั้นวันนี้เธอมานอนกับฉันที่ห้องก่อนก็ได้ แล้วจะเอาไงต่อค่อยว่ากัน”
จากนั้นก็ออกปากชวนให้ไปแจ้งความที่โรงพัก วิชนีมองลิลินอย่างซึ้งใจ ก่อนที่ทั้งคู่จะยิ้มให้กัน แม้จะเพิ่งผ่านเรื่องร้ายๆ มา
ทรงพลหันไปก็เห็นทิวัตถ์เดินรี่เข้ามา ก็นึกรู้เจตนาทันที
“จะมาคุยเรื่องคุณวิทยาใช่มั้ย?”
“ทำไมพ่อแคนเซิลงานคุณวิทยาล่ะครับ? ผมว่าเราคุยกันแล้วนะครับ”
ทรงพลตอบกลับเสียงเรียบ “ใช่ แต่มันก็ก่อนที่จะเกิดเรื่องเมื่อคืนนี้”
“เกี่ยวอะไรกับท่านปลัดหรือเปล่าครับ?”
“ถึงมันจะเป็นคนละโปรเจ็กต์ แต่ท่านปลัดก็มีส่วนในการล็อบบี้ พ่อคิดว่ามันคงไม่ค่อยราบรื่นเท่าไหร่”
ทิวัตถ์ตกใจ แต่พยายามคุมอารมณ์ให้เป็นปกติ
“ผมขอโทษครับ ผมยินดีที่จะไปอธิบายให้ท่านฟังทุกอย่าง”
ทรงพลโบกมือห้าม
“ไม่ต้องหรอก พ่อคิดว่าก็ดีเหมือนกัน ตอนนี้โครงการทำสวนสาธารณะคงต้องชะลอเพื่อรอความชัดเจนจากท่านผู้ว่าฯ ก่อน แล้วอีกอย่างพ่ออยากให้เราทำเรื่องที่สำคัญกว่า”
พูดพลางลอบสังเกตท่าทีของลูกชาย
“พ่ออยากให้แกไปดูที่ที่ยายน้อยเอามาให้ดูเมื่อวันก่อน เพราะถ้าที่มันสวยจริงๆ อย่างที่ยายน้อยพูด
ก็จะได้ซื้อเก็บเอาไว้ พ่อตั้งใจว่าจะทำโครงการบ้านจัดสรรอยู่พอดี ยายน้อยคงรู้ว่าอะไรควรไม่ควร แกคงไม่พาหนูวรรณิตมาให้เจอกับลูกหรอก วิน แกคือคนที่พ่อเลือกแล้วว่าจะทำงานนี้ได้ดีที่สุด”
ทิวัตถ์นิ่งไป เพราะไม่เข้าใจจุดประสงค์ของพ่อ
ทิวัตถ์เดินหน้าเครียดกลับเข้ามาในห้อง แล้วก็พบว่าอนันยชนั่งรออยู่ในห้อง
“วิน ได้ข่าวว่าคุณน้าให้ชะลอโครงการสวนสาธารณะก่อนเหรอ?”
ทิวัตถ์พยักหน้าเครียดๆ
“ระงับโครงการสวนสาธารณะ แล้วให้ฉันไปจัดการเรื่องที่กับยายน้อยแทน”
อนันยชได้ยิน ก็ได้ความคิดขึ้นมาทันที
“นี่คุณน้าไม่รู้หรือไงว่าถ้ายายน้อยมา ก็ต้องพาคุณณิตมาด้วย”
“อาจจะไม่เกี่ยวกันหรอก”
อนันยชเห็นท่าทีของอีกฝ่าย ก็รีบเสนอตัว
“ในเมื่อแกไม่อยากไปแล้วจะไปทำไม? เอางี้มั้ย ฉันไปเอง“-
ทิวัตถ์มองหน้าอีกฝ่าย แต่ไม่ทันได้เอะใจอะไร
“ก็ดีเหมือนกัน ขอบใจมาก”
อนันยชยิ้มรับ ก่อนจะเดินเลี่ยงออกไป แล้วก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มร้ายขึ้นมาทันที
ลิลินเดินนำวิชนีเข้าไปในห้องพัก ฝ่ายหลังมองไปรอบๆ ห้องประสาผู้มาเยือน
“ขอบใจมากเลยนะ ถ้าเธอไม่ช่วยฉัน วันนี้ฉันยังไม่รู้เลยว่าจะนอนที่ไหน ไม่น่าเชื่อเนอะ ว่าฉันจะได้เพื่อนใหม่เพราะไม่มีที่นอน”
วิชนีหันมามองด้วยแววตาขอบคุณอย่างจริงใจ ลิลินยิ้มรับ จากนั้นก็พากันหัวเราะอย่างสนุกสนาน
“เอ่อ ว่าแต่ตาศักดิ์สิทธิ์นั่นไม่ว่าแน่นะ”
“ไม่รู้สิ แต่คุณศักดิ์สิทธิ์คงไม่ใจร้ายขนาดนั้นหรอก แล้วต่อจากนี้เธอจะทำยังไง? ถึงตอนนี้คุณศักดิ์สิทธิ์จะยังไม่ว่าอะไร แต่ก็คงไม่ดีแน่ถ้าจะอยู่แบบนี้เฉยๆ”
วิชนีถอนหายใจเฮือก สีหน้าจริงจัง
“เอาจริงๆ มั้ย ตอนนี้ฉันก็ยังไม่รู้เหมือนกัน ขอตั้งหลักก่อนแล้วกัน”
“เออ แล้วทำไมไม่ลองกลับมาเป็นเชฟที่นี่ล่ะ” ลิลินเสนอ
“เฮอะ ถ้าเปลี่ยนเจ้าของโรงแรมก่อนค่อยมาคิดกันอีกที แต่ตอนนี้ถึงตายฉันก็ไม่ยอมทำงานให้คนบ้าอำนาจอย่างนายนั่นหรอก”
พุดแล้ววิชนีอารมณ์เสียขึ้นมาทันที
“ไม่เป็นไร ใจเย็นๆค่อยๆ คิดแล้วกัน โอเค. งั้นฉันไปซ้อมเพลงใหม่กับวงหน่อย ตามสบายนะ”
ลิลินยิ้มให้ก่อนจะเดินออกจากห้องไป วิชนีเหลียวมองไปรอบๆ พลางใช้ความคิดหนัก ครู่หนึ่งก็ตัดสินใจวิ่งตามลิลินออกไป อ้างว่าจะมาฟังเธอซ้อมร้องเพลง แต่พอหันไปเห็นปกติยืนมองมา ก็แกล้งทำทีเดินเลี่ยงไปเข้าห้องน้ำ
ศักดิ์สิทธิ์เดินมาตามทาง จังหวะเดียวกับที่วิชนีเดินพ้นจากมุมออกมาจากทางด้านหลัง พลางมองเขาอย่างคุ้นตา
“ตาศักดิ์สิทธิ์”
ฟากศักดิ์สิทธิ์ที่กำลังเดินอยู่ก็ชะงักนึกขึ้นมาได้ก่อนจะเอามือแตะที่กระเป๋ากางเกง
“ลืมได้ไงเนี่ย?”
บ่นพลางหันหลังกลับมาทางที่วิชนียืนอยู่ เธอรีบพาตัวเองไปหลบหลังแจกันที่วางประดับอยู่ข้างทาง จนฝ่ายแรกแปลกใจ
“อะไรของเขาวะ คุณครับ”
วิชนีไม่อยากหันหน้าไป แต่กลับหยิบดอกไม้จากแจกันค่อยๆ ย่องออกไป ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งแปลกใจหนัก รีบเดินเข้ามาหา
“เป็นไรหรือเปล่าครับ?”
พอเห็นหน้าวิชนี เขาก็ถึงกับสะดุ้ง
“เฮ้ย ! นี่เธอ มาทำอะไรที่โรงแรมฉัน?””
วิชนีแกล้งทำตัวปกติ เชิดหน้าแบบไม่แคร์
“นี่นายไล่ถามแขกแบบนี้ทุกคนเลยรึเปล่าฮะ? ทำไมฉันจะมาหาเพื่อนไม่ได้หรือไง?”
“เพื่อนอะไร? ฉันไม่เห็นเธอจะมีเพื่อนซักคน”
“ลินไง ฉันมาหาลิน”
ศักดิ์สิทธิ์แอบขำ “คุณลินเนี่ยนะ? เป็นเพื่อนกับคนอย่างเธอ แล้ววันนี้ไม่ทำงานเหรอ?”
วิชนีกลัวเสียฟอร์ม เลยต้องรีบโกหก
“ฉันสั่งงานลูกมือไว้หมดแล้ว ก็เลยว่าง”
ศักดิ์สิทธิ์ยิ้มเยาะ “เหรอ? ฉันนึกว่าโดนไล่ออกมาซะอีก นิสัยอย่างนี้น่ะ อยู่ที่ไหนไม่ได้นานหรอก”
วิชนีโดนจี้ใจดำ ก็ถึงกับปรี๊ดขึ้นมา
“ฉันลาออกเอง พอใจหรือยัง ไม่ต่างกันเลย บ้าอำนาจ กดขี่ข่มเหงใช้ความเป็นเจ้านายดูถูกคนอื่นนิสัยเหมือนเด็กไม่รู้จักโต”
พูดจบก็ยี้ปากหมั่นไส้ก่อนจะเดินออกไป ศักดิ์สิทธิ์ได้แต่ยืนงง เพราะอ้าปากเถียงไม่ทัน
ลิลินเดินมาถึงที่หน้าเวทีเพื่อจะซ้อมวง แต่กลับพบว่าศุภารมย์มายืนดักรออยู่ เธอแอบตกใจ เพราะคาดไม่ถึงที่อีกฝ่ายมาเยือนถึงที่ ขณะที่ฝ่ายนั้นมองด้วยรอยยิ้ม แต่แววตาแฝงความมีเลศนัยไว้จากนั้นทั้งคู่ก็เดินออกมาคุยกันบริเวณมุมที่มุมปลอดคน
“ฉันมาตอนกลางวันอย่างนี้ดีแล้วใช่มั้ย เพราะคิดว่าตอนกลางคืนเธอคงจะต้องทำงาน อ้อ ลืมไปฉันชื่อศุภารมย์ เป็นแม่ของวิน เธอรู้จักกับวินใช่มั้ย? ”
ลิลินอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะตั้งสติ แล้วตอบกลับไปแบบไม่กลัว
“ค่ะ ฉันว่าคุณพูดตรงๆ มาเถอะคะว่าคุณต้องการอะไร?”
ศุภารมย์มองหน้าลิลินแล้วยิ้มให้อย่างเย็นเยือก
อนันยชทำทีมานั่งรอวัดความดันอยู่หน้าห้องตรวจ พอพยาบาลขานชื่อ เขาก็รีบเดินตามเข้าไปในห้องตรวจ ทันทีที่ประตูปิดลง เขาก็รีบคว้าตัวพยาบาลมากอดทันที
“อย่าเพิ่งค่ะ ไม่ใช่ตรงนี้ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า”
อนันยชรีบพูดอ้อน “ ก็ผมคิดถึงคุณนี่”
“ทีงี้ทำมาบ่นคิดถึง ก็พี่วันไม่ยอมมาหาเองนี่นา หายไปไหนมาตั้งนาน นึกว่าจะลืมกันไปแล้วซะอีก”
“ผมจะลืมได้ยังไงพยาบาลสาวสวยขนาดนี้ สวยจนทำให้ผมอยากเป็นคนไข้ตลอดไป เอางี้แล้วกันคืนนี้ผมว่าง เดี๋ยวผมมารับนะ”
พยาบาลยิ้มหวาน “แน่ใจนะ อย่าปล่อยให้รอเก้ออีกล่ะ”
“แน่ใจสิ ผมคิดถึงคุณขนาดนี้ จะปล่อยให้คุณรอได้ยังไงกัน”
จังหวะนั้น ก็ได้ยินเสียงโคล้งเคล้งดังขึ้น
“มีคนมาค่ะ”
ทั้งคู่รีบผละออกจากกัน ทำทีเป็นวัดความดันตามปกติ ก่อนที่อนันยชจะเหลือบมองไปที่หน้าประตู แล้วก็ต้องอึ้งไปเมื่อเห็นว่าคนที่เดินผ่านไปคือวรรณิตนั่นเอง
“เดี๋ยวผมมานะ”
อนันยชหันมาบอกพยาบาล แล้วรีบผละตามออกไปทันที แต่ก็คลาดกันนิดเดียว เพราะอีกฝ่ายเปิดประตูเข้าไปในห้องคนไข้ห้องหนึ่งเสียก่อน
วาสนานั่งอยู่ข้างเตียงคนไข้ ขณะที่สุธีผู้เป็นสามีนอนเป็นอัมพาตอยู่บนเตียง
“ฉันเห็นแกเป็นอย่างนี้ก็กลัวแทน ไอ้คนแก่อย่างเรารึก็ผ่านอะไรมามากมาย ลูกหลานก็มีไม่ใช่น้อย แต่กลับต้องมานอนพะงาบๆ อยู่เฉยๆ อย่างนี้”
จังหวะนั้นวรรณิตก็เปิดประตูเข้ามาพอดี วาสนาหันไปมองค้อน
“มาซะป่านนี้ ไม่มาซะพรุ่งนี้ไปเลยล่ะ แล้วเอายาที่ฉันสั่งมารึเปล่า?”
“เอามาค่ะ ณิตไม่ลืมหรอก”
พูดพลางเดินมาที่โต๊ะวางของ และหยิบเอากระติกน้ำร้อนออกมา ยื่นให้วาสนา
“นี่ค่ะ ณิตต้มเอง ยังอุ่นๆ อยู่เลย”
“แกจะบ้าหรอ? จะให้กินจากหม้อเนี่ยนะ ไป๊ ไปเอาแก้วมาใส่สิ”
วรรณิตหน้าเจื่อน ก่อนจะรีบเทยาสมุนไพรจากกระติกใส่แก้ว แล้วยื่นให้วาสนาพร้อมช้อน ฝ่ายหลังรับมามองแล้วแปลกใจ
“ทำไมสีมันไม่เหมือนทุกครั้ง”
“เห็นร้านขายยาบอกว่าถ้าผสมกระชายดำจะทำให้เลือดลมสูบฉีดดีขึ้น ณิตก็เลย...”
วรรณิตยังพูดไม่ทันจบ ก็โดนวาสนาซัดเข้าให้
“สู่รู้จริงๆ แบบเดิมก็แพงจะตายอยู่แล้ว เพิ่มแค่อย่างสองอย่างมันคงไม่ลุกขึ้นมาวิ่งหรอกนะ แกนี่มันโง่จริงๆ โดนไอ้ร้านขายยานั่นมันหลอกแล้ว ต่อไปเปลี่ยนร้านเลย ไม่ต้องไปซื้อมันอีก”
พูดพลางยื่นแก้วทำท่าตักยาจะป้อนให้สามี สุธีเม้มปากหันหน้าหนี ส่ายหัวไปสายหัวมา จนยาเลอะไปหมด
“ยาย เบาๆ สิคะ เลอะคุณตาหมดแล้ว”
“แกกลับไปก่อนไป เดี๋ยวฉันจัดการเอง”
วรรณิตมองสุธีด้วยความสงสารอยากอยู่ดูแล แต่ก็จำต้องทำตามคำสั่ง ขณะที่วาสนามองสามี
อย่างเบื่อหน่าย
วรรณิตเดินมาตามทาง แล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นอนันยชเดินเข้ามาหา
“คุณณิต มาทำอะไรครับ?”
วรรณิตอึกอัก “เอ่อ ณิตไม่ค่อยสบายก็เลยจะมาหาหมอค่ะ”
“ไม่สบายเหรอครับ เป็นอะไรมากรึเปล่า มีไข้ไหมครับ?”
พูดพลางยกมือขึ้นจะแตะหน้าผากวรรณิต แต่อีกฝ่ายกลับเอามือจับแขนไว้
“ไม่เป็นไรค่ะ ณิตรู้สึกดีขึ้นแล้ว ณิตขอตัวกลับบ้านก่อนนะคะ”
วรรณิตกำลังจะหันเดินไป แต่อนันยชรีบจับมือไว้
“ผมว่าผมพาณิตไปหาหมออีกทีดีกว่า ผมจะได้สบายใจ ผมรู้จักพยาบาล เอ๊ย รู้จักหมอที่นี่น่ะครับ”
วรรณิตกลัวว่าอนันยชจะรู้เรื่องสุธีก็พยายามจะหาทางเลี่ยง
“ณิตไม่เป็นไรจริงๆ ค่ะ ขอตัวกลับก่อนนะคะ”
อนันยชยังจับมือไม่ยอมปล่อย “ให้ผมไปส่งนะ”
วรรณิตมองเข้าไปในโรงพยาบาล ก่อนจะรีบตอบตกลง
“ก็ได้ค่ะ”
ทางด้านวสานาก็พยายามบังคับจะให้สุธีดื่มยาสมุนไพรให้ได้ ทันใดนั้นนพกรก็เปิดประตูเข้ามา
“ชักจะไม่แน่ใจแล้วซิว่าที่อยากให้ตาอยู่ เพราะรักหรือเพราะอยากได้บำนาญของตากันแน่?”
วาสนาหันขวับไปจ้องหน้าอย่างเอาเรื่อง
“ไอ้นพกร ฉันน่าจะบอกให้แม่แกเอาขี้เถ้ายัดปากตั้งแต่ยังเดินไม่ได้”
“ฉันก็น่าจะบอกให้ตาหาเมียใหม่ตอนที่ยังมีแรงอยู่ จะได้ไม่ต้องช้ำใจเพราะเมียที่หวังแต่เงิน”
วาสนายิ้มหยัน
“หรือว่าแกไม่หวัง? อย่าบอกนะว่าที่แกมาอยู่ทุกวันเพราะเป็นห่วงจริงๆ หนอย มันก็ไม่ต่างกันล่ะวะ”
ทั้งคู่โต้เถียงกันโดยไม่เกรงใจสุธีที่นอนปวดใจแต่ก็ทำอะไรไม่ได้
“ใช่ ไม่ต่าง แต่อย่างน้อยฉันก็ไม่เคยคิดฆ่าตาตัวเอง”
“นพกร อย่ามาพูดพล่อยๆ นะ ไอ้หลานเลว แทนที่จะสำนึกบุญคุณ กลับมายืนต่อล้อต่อเถียงฉอดๆๆ ทำเป็นปากดีไปเถอะ ถ้าไม่มีฉันสักคน ดูซิพวกแกจะทำอะไรกันได้”
นพกรยืนเฉย ทว่าแววตามีลับลมคมใน
ทิวัตถ์เดินกลับเข้ามาในบ้านมาพร้อมทรงพล ทั้งคู่ถกเถียงกันเรื่องที่ดินของวาสนาที่ผู้เป็นพ่อมอบหมายให้ลูกชายเป็นผู้ดูแล
“พ่อครับ ผมอยากรู้ว่าทำไมพ่อถึงให้ผมทำงานนี้ครับ?”
ระหว่างนั้นป้าจวนเดินถือถาดที่มีแก้วน้ำผ่านมาพอดี ทรงพลได้จังหวะรีบเปลี่ยนเรื่อง
“ป้าจวน บ้านเงียบอย่างนี้ แล้วคุณผู้หญิงล่ะ?”
“อยู่ที่สวนกับครูสอนร้องเพลงน่ะค่ะ”
ทรงพลกับทิวัตถ์ขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินลงไปที่สวน แล้วก็ต้องแปลกใจยิ่งขึ้น เมื่อเห็นศุภารมย์กำลังฝึกร้องเพลงอยู่กับลิลิน ที่พยายามเก็บอารมณ์เคียดแค้น พลางยกมือไหว้ทรงพล
“สวัสดีค่ะ”
“เธอคือ ?”
ศุภารมย์รีบตอบแทน
“ครูสอนร้องเพลงของฉันค่ะ ได้ข่าวว่าเธอร้องเพลงเก่ง ก็เลยเอามาสอนร้องเพื่อที่ฉันจะได้ร้องให้ฟังในงานวันเกิดคุณไงคะ”
ทรงพลกับศุภารมย์มองหน้าแบบรู้กัน ลิลินยิ้มรับขณะที่ทิวัตถ์โพล่งขึ้นมา
“แม่ไว้ใจเธอได้แน่หรอครับ? ผมกลัวว่าเธอจะรับงานพิเศษเยอะจนไม่มีเวลามาสอนน่ะครับ”
ลิลินหันขวับมา แล้วจงใจพูดเหน็บ
“ถ้าเรื่องนั้นคุณวินไม่ต้องห่วงค่ะ ฉันรับปากใครแล้วก็จะทำให้ถึงที่สุด ไม่เอางานส่วนตัวมาปะปนกับงานประจำหรอกค่ะ”
ทิวัตถ์สะอึก นึกรู้ว่าอีกฝ่ายตั้งใจกระทบเขาเรื่องวิทยา
ครู่หนึ่งทั้งหมดก็เดินกลับเข้ามาในบ้าน ศุภารมย์แกล้งทำทีเป็นไหว้วานให้ทิวัตถ์เป็นคนไปส่งลิลิน
“ผมก็ว่าเธอคงจะกลับเองได้ ดีไม่ดี เดินออกไปอาจจะมีใครรอรับเธออยู่”
“นั่นซิ ลืมคิดไป สวยๆ อย่างหนู เป็นธรรมดาที่จะมีผู้ชายมาติด”
พูดพลางศุภารมย์ก็พยายามลอบสังเกตทีท่าของทั้งคู่
“หรือไม่ก็ติดผู้ชาย” ทิวัตถ์พูดต่อจากประโยคของศุภารมย์
ลิลินสวนกลับทันที
“ก็มีแหละค่ะ มีทั้งดีแล้วก็เลว แต่ส่วนใหญ่พวกเลวๆ นี่มักจะพูดรู้เรื่องนะคะ ผิดกับคนที่ดูดีกลับพูดไม่รู้เรื่อง”
พลันป้าจวนก็เดินนำหน้าหมอศรัณย์ ทิวัตถ์ถึงชะงักไป
“อาหมอ สวัสดีครับ”
ลิลินมองดูหมอศรัณย์อย่าสนใจ ขณะที่แอบสังเกตเห็นสีหน้าของทิวัตถ์ไม่ค่อยสู้ดีนัก
“สาวน้อยคนนี้คือ...?”
หมอศรัณย์เห็นลิลินมองอยู่ ก็หันมาถาม ศุภารมย์รีบบอก
“ครูสอนร้องเพลงค่ะ เธอกำลังจะกลับพอดี”
“ค่ะ ฉันขอตัวก่อนนะคะ”
ลิลินยกมือไหว้ พลางรีบเดินออกไป ศุภารมย์กับทรงพลมองตาม ก่อนจะหันมาลอบมองทิวัตถ์เพื่อสังเกตอาการ
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวก่อนนะครับ”
ทิวัตถ์รีบตัดบท จะเดินเลี่ยงไป แต่ทรงพลกลับท้วงไว้
“ใจคอจะไม่มานั่งคุยกับคุณหมอหน่อยเหรอวิน?”
“คุณพ่อก็รู้ว่าผมไม่ถนัดรับแขก”
ศรัณย์ยิ้มรับ “ไม่ต้องพิธีรีตองอะไรหรอก หมอแค่แวะมาเยี่ยมเฉยๆ”
“แวะมาเยี่ยมเอง หรือว่าพ่อโทร. ไปบอก ให้มาเยี่ยมครับ?”
ศรัณย์มองทรงพลกับศุภารมย์นัยว่ารู้กัน
“เรื่องนั้นไม่สำคัญหรอกคุณวิน แต่ได้ข่าวว่าพักนี้คุณเริ่มมีอาการปวดหัวอีกแล้วใช่มั้ย?”
“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ไอ้ที่ปวดก็ไม่ได้ปวดอะไรมากมาย”
หมอศรัณย์รีบเข้าเรื่องทันที
“อะไรที่ปล่อยเอาไว้นานๆ มันก็จะเพิ่มขึ้น ปล่อยให้ปวดหัวแบบนี้นานเข้ามันจะไม่ดี แล้วนอกจากปวดหัวแล้ว มีอาการอื่น เช่นมองเห็นภาพอะไรแทรกซ้อนขึ้นมาบ้างรึเปล่า?”
ทิวัตถ์เบื่อตอบคำถาม จึงทำท่าเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้
“อ้อ ผมลืมสนิทเลย พอดีผมต้องไปส่งของให้ศักดิ์สิทธิ์ ผมขอตัวก่อนนะครับ”
พูดพลางยกมือไหว้ลาศรัณย์แล้วรีบลุกเดินออกไปทันที ทรงพลพยายามตะโกนเรียกแต่หมอศรัณย์รีบห้าม
“ไม่เป็นไรครับ ผมว่าคุณอย่าบังคับให้คุณวินเกิดความเครียดจะดีกว่า แต่เรื่องอาการของคุณวิน
ผมก็ยังตอบไม่ได้”
“ไม่ต้องตอบค่ะ ฉันอยากให้คุณ ทำเหมือนทุกครั้งที่เคยทำก็พอ”
ศุภารมย์พูดด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง ไม่บอกอารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น
อ่านต่อหน้า 4
ลีลาวดีเพลิง ตอนที่ 4 (ต่อ)
อนันยชขับรถพาวรรณิตมาส่งที่บ้านของวาสนา ก่อนจะมองเข้าไปในบ้านอย่างแปลกใจ
“ทำไมบ้านเงียบจัง ยายน้อยไม่อยู่หรอ?”
วรรณิตรีบแก้ตัว “ไม่รู้เหมือนกันค่ะ คงมีธุระที่ไหนมั้งค่ะ ณิตก็ไม่แน่ใจ คุณวันกลับเถอะค่ะ ณิตขึ้นบ้านก่อนดีกว่า”
พูดพลางรีบเดินขึ้นบ้านไป อนันยชมองตาม พลางพยายามสูดหายใจลึกๆ เพื่อตั้งสติกับความใคร่ที่กำลังก่อตัวขึ้น
วรรณิตขึ้นมาบนบ้าน ระหว่างกำลังจะปิดประตูก็มีมือแทรกประตูมาขวางไว้ พอหันกลับไปมอง ก็ตกใจเมื่อเห็นว่าเป็นอนันยช
“คุณวัน ขึ้นมาทำไมคะ? ใครเห็นเข้าจะไม่ดีนะคะ”
“ก็จะมาอยู่เป็นเพื่อนณิตไง”
อนันยชเดินเข้าไปใกล้ พลางจับมือวรรณิตขึ้นมา อีกฝ่ายพยายามกระถดตัวหนี
“ณิตอยู่คนเดียวเหงาแย่ ให้ผมมาอยู่เป็นเพื่อนดีกว่า ณิต ผมรู้ว่าณิตรู้ว่า ผมคิดยังไงกับคุณ”
วรรณิตพยายามบ่ายเบี่ยง “คุณวัน อย่าทำอย่างนี้เลยค่ะ”
“ผมไม่คิดว่าผมจะมีวันได้เจอ ผู้หญิงที่สวยอย่างคุณอีกแล้ว”
“คุณวัน คุณทำให้ณิตกลัว”
อนันยชดึงวรรณิตเข้ามากอด “ผมรักคุณนะคุณณิต”
“แต่ณิตไม่ได้รักคุณ ปล่อย”
วรรณิตทั้งผลักทั้งดัน แต่อนันยชก็ไม่ลดละ
“ทำไม คิดว่าผมจะยอมปล่อยให้คุณเป็นของคนอื่นหรือไง?”
วรรณิตรวบรวมกำลังก่อนจะตบหน้าอนันยชจนหน้าหัน อีกฝ่ายหันหน้ากลับมามองด้วยแววตาที่พลุ่งพล่านเกินระงับแล้ว
“คุณต้องเป็นของผม”
พูดพลางกระชากดึงตัววรรณิตเข้ามากอด แต่จู่ๆ วาสนาก็เข้ามาขัดจังหวะพอดี
“ทำอะไรกันน่ะ”
อนันยชรีบปล่อยมือ พลางรีบเดินออกไป วาสนาหันมาถลึงตาโตใส่วรรณิต
“เกิดอะไรขึ้น? บอกฉันมาเดี๋ยวนี้นะ”
“ไม่มีอะไรค่ะ”
“หนอย ไม่ต้องมาโกหก ฉันเห็นเต็มสองลูกกะตาขนาดนั้น”
พูดพลางเดินเข้าไปทุบตีวรรณิต ที่เอาแต่ก้มหน้างุด
“คุณวันเจอณิตที่โรงพยาบาล ก็เลยมาส่ง แล้วเห็นว่ายายไม่อยู่บ้าน ก็เลยจะมาอยู่เป็นเพื่อนณิตค่ะ”
“แต่ที่ฉันเห็นมันไม่ใช่อยู่เป็นเพื่อนนะ ท่าทางจะอยู่เป็นผัวมากกว่า ไม่ต้องมาแก้ตัว ฉันขี้เกียจฟังเธอบรรยาย แกเห็นแล้วใช่มั้ยว่าพ่อวันคิดอะไรกับแก สงสัยต้องรีบลงมือซะแล้ว ถ้าปล่อยไว้อย่างนี้ แกคงโดนพ่อวันคาบไปรับประทานแน่ๆ”
ทั้งคู่ไม่ทันสังเกตว่าอนันยชแอบฟังอยู่ด้วยความโกรธ และคิดในใจว่าจะไม่ยอมเสียวรรณิตให้ใคร
ลิลินเดินมากำลังจะเข้าประตูโรงแรม ทันใดนั้นรถของทิวัตถ์ก็วิ่งเข้ามาด้านหลังเธอก่อนจะเบรกเอี๊ยด พร้อมกับที่เขารีบเดินตรงเข้ามาคว้าแขนเธอไว้
“คุณคิดจะทำอะไร?”
ลิลินรีบสะบัดแขนอย่างแรง “ฉันจะทำอะไรไม่ทราบ”
“ตีหน้าซื่อเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน บอกมาไปที่บ้านผมทำไม?”
“แม่คุณเชิญฉันไปเอง อ้อ ตามมาเชิญถึงที่ซะด้วยสิ”
ทิวัตถ์ยิ้มเยาะ
“โกหก แม่ผมไม่ลดตัวลงมาหาผู้หญิงอย่างคุณแน่ ผมรู้ว่าแม่ผมเป็นคนยังไง”
ลิลินเย้ยกลับ “แต่แม่คุณคงไม่รู้ว่าคุณเป็นคนยังไง ฉันไม่ได้โกหก ถ้าไม่เชื่อ ก็กลับไปถามแม่คุณดู”
“อย่ามาโยกโย้ คุณมีแผนอะไร? ถึงได้อยู่ๆ ก็ไปโผล่ที่บ้านผม”
ลิลินส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ
“ฉันไม่มีแผนอะไรทั้งสิ้น บางทีแม่คุณอาจเห็นคุณภาพในตัวฉันก็เลยลดตัวลงมาขอร้องฉันถึงที่นี่
คนเราก็แปลก พูดความจริงไม่เชื่อ ทีเรื่องโกหกล่ะเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง”
ทิวัตถ์จ้องหน้าลิลินด้วยแววตาจริงจัง พลางบีบแขนจนแน่น
“ฟังผมดีๆ ไม่ว่าคุณคิดจะทำอะไร เลิกซะ แล้วอย่าไปที่บ้านผมอีก”
“ถ้าอย่างนั้นคุณคงต้องไปบอกแม่คุณ เพราะที่จริงฉันก็ไม่ได้อยากจะไปเหยียบบ้านนั้นเท่าไหร่หรอกนี่ปล่อยนะ ฉันเจ็บ”
ทันใดนั้นก็มีมือหนึ่งจับที่ไหล่ของทิวัตถ์ก่อนจะดึงกลับมา
“ปล่อยเธอเดี๋ยวนี้”
ทิวัตถ์สะบัดมือที่จับออก ก่อนที่จะถูกอีกฝ่ายต่อยจนเซออกไป ลิลินหันมองมา พอห็นว่าปรมัตถ์ยืนอยู่ ก็ตกใจ
“มัต”
ปรมัตถ์ปราดเข้ามายืนบังลิลินไว้
“เป็นไรมั้ยลิน?”
ลิลินส่ายหน้า ขณะที่ทิวัตถ์เช็ดเลือดที่ซึมขอบปาก “นึกว่าใคร”
“เขารังแกคุณเหรอ?”
“เอาซิ บอกไปซิว่าเรื่องอะไร บอกให้หมดล่ะ”
ลิลินไม่อยากต่อความ รีบดึงตังปรมัตถ์ออกไป “ไปกันเถอะมัต”
ทิวัตถ์รีบเดินปราดเข้าไปดักหน้า
“หวังว่าคุณคงเข้าใจที่ผมพูดนะ”
แต่กลับโดนปรมัตถ์ผลักออก “ ถอยไป”
“คุณเองต้องการจะปกป้องคนที่คุณรัก ผมเองก็เหมือนกัน”
ทิวัตถ์กับปรมัตถ์ยืนประจันหน้ากัน สีหน้าเอาเรื่องทั้ง 2 คน ก่อนที่ฝ่ายแรกจะหันหลังแล้วเดินไปขึ้นรถก่อนจะขับออกไปอย่างเร็ว
ลิลินหันไปมองปรมัตถ์อย่างไม่ค่อยพอใจที่จู่ๆ ก็โผล่มาโดยไม่บอกกล่าว
“ผู้ชายคนนั้นเป็นใคร?”
“ลินรู้ว่ามัตคิดอะไร แต่เขาไม่ใช่แบบที่มัตคิดก็แล้วกัน”
ปรมัตถ์นิ่งไปเพราะรู้ว่าลิลินพูดอย่างนี้คงไม่ต้องการจะเล่าอะไรให้ฟัง
“ลินรู้มั้ย มัตเป็นห่วงลินแทบแย่ โทร. มาลินก็ไม่รับสาย มัตรู้ว่ามัตห้ามลินไม่ได้ แต่ลินก็รู้ว่ามัตไม่ยอมปล่อยให้ลินเจออันตรายคนเดียว”
ลิลินมองหน้าปรมัตถ์สีหน้าเหนื่อยใจ ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรกับเขาดี ตรงข้ามกลับอีกฝ่ายที่แววตาเป็นประกาย
“แต่ที่มัตมาที่นี่ ไม่ได้แค่เป็นห่วงลินอย่างเดียวนะ มัตเพิ่งได้รูปคดีของพ่อลินมา แล้วรู้มั้ยมัตเจออะไร?”
ลิลินตาลุกวาว ตื่นเต้นและดีใจสุดๆ
“รู้สึกว่าคำให้การของทุกคนมีอะไรแปลกไป มีบางอย่างไม่ตรงกัน โดยเฉพาะทุกคนยืนยันว่าวันที่เกิดเหตุ ไม่มีใครอยู่ที่บ้าน”
ลิลินนิ่งไม่แปลกใจ แต่กลายเป็นปรมัตถ์ที่แปลกใจแทน
“ลินไม่แปลกใจเหรอ?”
“ลินคิดอยู่แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ แต่มัตคงไม่คิดว่าลินโกหกใช่มั้ย?”
“โตมาด้วยกัน ลินไม่น่าถามมัตอย่างนี้นะ”
“ขอบใจนะมัตที่เชื่อลิน แล้วไหนล่ะเอกสาร”
ปรมัตถ์กำลังจะตอบ แต่แล้วเสียงของวิชนีก็ดังขึ้น
“ลิน”
ทั้งคู่ถึงกับชะงักไปปรมัตถ์รีบบอกกับลิลินก่อนที่วิชนีจะเดินเข้ามาถึง
“อยู่ในกระเป๋าเดินทาง มัตเก็บไว้ที่โรงแรม เดี๋ยวพรุ่งนี้มัตจะเอามาให้นะ”
ลิลินพยักหน้าก่อนที่วิชนีจะเดินเข้ามาถึงพอดี
“ใครเหรอลิน?”
“มัต เพื่อนที่กรุงเทพฯน่ะ มัต นี่วิชนี เพื่อนลินที่นี่”
ปรมัตถ์ยิ้มให้อย่างแกนๆ “ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
“ค่ะ เอ่อ นี่คุณมัตมาเที่ยวหรือตั้งใจมาหาลินคะ?”
“ก็ทั้งสองอย่างแหละครับ มัตไปก่อนนะ แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้มัตโทร. หา ไปก่อนนะครับ”
พอปรมัตถ์เดินออกไป วิชนีก็หันมาซักไซ้ลิลินทันที
“ท่าทางคุณปรมัตถ์จะไม่ค่อยชอบฉันนะ”
“ไม่หรอก มัตเขาก็เป็นอย่างนี้แหละ”
“รู้แล้วว่าทำไมคุณมัตเขาดูโกรธๆ ฉัน เธอต้องบอกเขาแน่ๆ เลยว่าตอนนี้ฉันพักอยู่กับเธอ”
ลิลินรู้ว่าวิชนีตั้งใจจะหมายความว่าทำให้ปรมัตถ์ไม่ได้พักห้องเดียวกับเธอ
“นี่ ฉันบอกแล้วว่าฉันกับมัตไม่ได้เป็นอะไรกัน ขอฉันขึ้นไปอาบน้ำก่อนนะ”
พูดจบลิลินเดินออกไป วิชนีมองตามอย่างครุ่นคิด
“ไม่ได้เป็นอะไรกัน ล้วถ่อมาจากกรุงเทพฯทำไม ?”
ศุภารมย์นั่งคุยกับทรงสีหน้าเคร่งเครียดอยู่กับทรงพล
“ก็ไม่แน่ บางทีสองคนนั่นอาจจะมีอะไรมากกว่าที่เราเห็นก็ได้”
ทรงพลนิ่งไปอย่างเห็นด้วย พอทิวัตถ์เดินเข้ามา ทั้งคู่ก็รีบหยุดการสนทนา พร้อมกับเหลือบเห็นรอยแผลที่ปากของเขา
“เดี๋ยววิน หน้าไปโดนอะไรมา”
“สงสัยจะทักทายกับศักดิ์สิทธิ์แรงไปหน่อยน่ะครับ ขอตัวขึ้นห้องนะครับ”
พูดจบ ทิวัตถ์ก็รีบเดินเลี่ยงไป ทรงพลกับศุภารมย์หันมองหน้ากัน สงสัย
“คุณคิดว่าวินไปหาศักดิ์สิทธิ์จริงๆ เหรอ? วินอาจจะไปหาที่รอยัลเพิร์ลจริง แต่คงไม่ได้ไปหาศักดิ์สิทธิ์”
ทรงพลคิดตาม ”วินไปหานักร้องคนนั้นเหรอ?”
ศุภารมย์พยักหน้าช้าๆ เหมือนว่าจะคิดอย่างนั้น ทำให้ทรงพลเริ่มหนักใจ
ลิลินร้องเพลงจบ ก็รีบลงจากเวที พร้อมๆ กับที่ศักดิ์สิทธิ์รีบเดินเข้ามาถามอย่างห่วงใย
“เรื่องที่คุณไปสอนแม่นายวินร้องเพลงน่ะ เป็นไงบ้าง?”
“ไม่รู้สิคะ ก็ไม่เห็นมีปัญหาอะไร ทำไมเหรอคะ?”
ศักดิ์สิทธิ์มองไปรอบๆ กลัวคนได้ยิน
“จะทำไมซะอีกครับ น้าต่ายน่ะใครก็รู้ว่า น้ำแข็งยังเรียกแม่เลยนะครับ อย่าว่าแต่พาคนนอกเข้าบ้านเลย แค่เดินมาทักคนธรรมดาๆ ทั่วไปยังยาก แต่นี่น้าต่ายลงทุนย่างเท้ามาตามตัวคุณลิลินถึงที่ แถมยังให้ไปสอนที่บ้านอีก แสดงว่าน้าต่ายต้องชอบคุณลิลินแน่ๆ เลยครับ”
ลิลินแอบยิ้มสมใจ
“ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดีซิคะ แล้วคุณศักดิ์สิทธิ์ขัดข้องอะไรหรือเปล่าที่ลินจะไปสอนร้องเพลงที่นั่น”
“ไม่เลยครับ ใครจะไปกล้า ถ้าน้าต่ายกำหนดวันแน่นอนแล้ว รบกวนคุณลิน แจ้งคุณปกติไว้ก็ได้ครับ”
พูดจบศักดิ์สิทธิ์ก็เดินเลี่ยงไป ขณะที่ลิลินแอบวิตกกังวล
ทิวัตถ์มองเงาตัวเองในกระจก กำลังสำรวจรอยแผลที่ถูกปรมัตถ์ต่อยด้วยความเจ็บใจ พอเห็นป้าจวนเดินถือยาเข้ามา เขารีบละสายตาจากรกะจก พลางหันมาถาม
“นักร้องที่แม่ต่ายพามา ยายเห็นอะไรผิดสังเกตหรือเปล่าครับ?”
ป้าจวนส่ายหน้า
“ไม่มีนี่คะ ถ้าจะมีก็ไอ้ความสวยที่ผิดสังเกตเนี่ยแหละคะ ถามทำไมคะ หรือว่าคุณวิน...”
“พอเลยยาย ผมก็แค่กลัวว่าแม่ต่ายจะโดนหลอกก็เท่านั้นเอง”
“คุณท่านเนี่ยนะคะจะโดนหลอก รับรองว่าใครทำอย่างนั้นได้ เอาหัวยายไปเลยค่ะ”
พูดจบป้าจวนเดินออกไป ทิวัตถ์ครุ่นคิดว่าลิลินต้องการเข้ามาทำอะไรในบ้านเขากันแน่ ?
เช้ารุ่งขึ้น ขณะที่ศุภารมย์ยืนกำกับป้าจวนให้จัดวางจานอาหารอย่างพร้อมเพรียง ครู่หนึ่งทรงพลก็เดินลงมาจากด้านบน
“วันนี้ลงมาเร็วนะคะ”
“ช่วงนี้ผมนอนไม่ค่อยหลับ ไม่รู้ทำไม?”
ศุภารมย์รีบบอกอย่างเป็นห่วง
“เครียดอะไรหรือเปล่าคะ? ถ้าเป็นเรื่องในบ้าน ฉันจัดการแทนคุณได้อยู่แล้ว คุณไม่ต้องเป็นห่วง”
ทั้งคู่หันมายิ้มเหมือนให้กำลังใจกัน จังหวะนั้นทิวัตถ์กับอนันยชก็เข้ามานั่งที่โต๊ะพร้อมๆกัน
“เออนี่คุณ แล้ววันนี้คุณจะเรียนร้องเพลงอีกไหม?”
ทรงพลหันมถามศุภารมย์ อนันยชมองแม่อย่างแปลกใจ
“โห นี่แม่เรียนร้องเพลงด้วยหรอครับ?”
ทิวัตถ์รีบบอก
“เรียนเอาไว้ร้องในงานวันเกิดพ่อน่ะ แต่ผมว่าแม่ต่ายไปหาคนอื่นมาสอนน่าจะดีกว่านะครับ”
“ทำไม? แม่ให้ใครมาสอน” อนันยชย้อนถาม
“จะใครซะอีก ก็นักร้องคนโปรดของไอ้สิทธิ์ไง”
“โห นี่แม่กล้ามากเลยนะครับ ก็คุณลินออกจะสวยเซ็กซ์เอ็กซ์บึมขนาดนั้น แม่ไม่กลัว...”
อนันยชเงียบไปเหมือนเพิ่งนึกได้ว่าไม่ควรพูด ซึ่งมันก็ตรงใจกับทิวัตถ์คิดเอาไว้ว่าเป็นแผนของลิลิน
ส่วนทรงพลยิ้มขำ
“ถ้าเรื่องนั้นน้าว่าวันไม่ต้องห่วง ยังไงน้าก็ไม่ทำให้แม่เราเสียใจอยู่แล้ว”
“แต่ผมว่าให้ผมหาครู ตามสถาบันมาสอนน่าจะดีกว่ายัยลิลินนั่น”
“วินพูด เหมือนวินจะรู้จักคุณลินนะ”
ศุภารมย์ยิงคำถามตรงเปรี้ยงจนทิวัตถ์ต้องชะงักไปก่อนจะรีบแก้ตัว
“ไม่เท่าไหร่หรอกครับ เจอตอนที่ไปหาเจ้าสิทธิ์บ้างเท่านั้น แต่หลักๆคงเป็นเรื่องที่วันห่วงน่ะครับ”
“พ่อเราก็บอกแล้วนี่ว่าไม่มีปัญหาอะไร อีกอย่างแม่ไม่อยากเรียนกับพวกเก่งแต่ทฤษฏี ปฏิบัติไม่ได้เรื่องพวกนั้น”
ทรงพลรีบพูดเสริม
“ไม่ต้องไปห่วงแม่เค้าหรอกวิน ห่วงตัวเองก่อนดีกว่า เดี๋ยวทานข้าวเสร็จก็เตรียมตัวพบอาหมอนะวินแกคงใกล้ถึงแล้ว”
“พ่อนัดหมอศรัณย์ให้ผมหรอครับ แล้วทำไม...” ทิวัตถ์ยังพูดไม่ทันจบ อนันยชก็พูดขัดขึ้นมา
“แต่วันนี้มีนัดดูที่ดินกับยายน้อยไม่ใช่เหรอวิน?”
จังหวะนั้นเสียงโทรศัพท์มือถือของทรงพลดังขึ้นมาพอดี
“พูดถึงก็โทร.มาเลย สวัสดีครับป้าน้อย ผมกำลังจะโทร. หาอยู่พอดี”
“แหม ใจตรงกันอย่างนี้ท่าทางจะเป็นนิมิตหมายที่ดี แสดงว่าพ่อพลยังไม่ลืมนัดกันใช่มั้ย?”
ทรงพลยิ้มตอบ เหมือนอีกฝ่ายอยู่ต่อหน้า
“จะลืมได้ยังไงครับ เอาเป็นว่าเวลาเดิมใช่มั้ยครับ”
“เอ่อ แล้วพ่อพลไปคนเดียวเหรอ?”
ทรงพลมองไปที่ทิวัตถ์ก่อนตอบกลับวาสนา
“ใช่ครับ ป้ามีอะไรหรือเปล่าครับ?”
วาสนาทำหน้าเสียดาย
“ไม่มี แค่ถามให้แน่ใจดี แล้วมากคนก็มากความ แล้วเจอกันที่นั่นเลยนะ”
พุดจบก็รีบวางสาย แล้วหันไปหาวรรณิต
“เดี๋ยวฉันจะออกไปดูที่ดิน ตอนแรกรึก็กะว่าจะพาพ่อวินไปด้วย งั้นแกก็อยู่บ้านนี่แหละ พาไปด้วยคงจะไม่ดี”
วรรณิตรับคำ พร้อมกับแอบทำสีหน้าผิดหวังเล็กน้อย
พอทรงพลวางสาย ทิวัตถืก็ท้วงขึ้นมาทันที
“ทำไมพ่อบอกยายน้อยว่าพ่อจะไปแทนผมครับ”
ศุภารมย์เป็นฝ่ายตอบแทน
“แม่อยากให้เราไปเจอหมอเขาหน่อย นี่มันก็ครึ่งปีแล้วนะวิน”
“แม่ต่ายครับ ผมไม่เป็นไรจริงๆ ถ้าพ่อกับแม่ต่ายยังให้ผมรักษากับอาหมออย่างนี้ แล้วเมื่อไหร่มันจะจบครับ”
“ไม่ไปก็ไม่ไปจ้ะ วินโตแล้ว ตัดสินใจเองได้แล้วนะ”
ทรงพลหันมามองหน้าลูกชาย
“งั้นลูกก็ไปทำงานปกติแล้วกัน ยังไงเรื่องที่ดิน พ่อบอกป้าน้อยไว้แล้ว เดี๋ยวพ่อไปเอง”
อนันยชแอบยิ้มดีใจ พร้อมกับแววตาที่แฝงไปด้วยแผนร้าย
ระหว่างที่ศักดิ์สิทธิ์นั่งหน้าเครียดหลังจากตรวจสอบบัญชี แล้วพบว่ายอดตกลงไปมาก
“ทำไมยอดมันตกแบบนี้วะ? เพราะครัวปิดนี่เอง”
จู่ๆ ปกติก็วิ่งหน้าตื่นเข้ามา “ยายเฟื่องครับ ยายเฟื่อง”
ศักดิ์สิทธิ์ตกใจ
“ยาเฟื่องเป็นอะไร?”
ยายเฟื่องนั่งเป็นลมอยู่ในห้องครัว มีพนักงาน 2 คน ช่วยกันปฐมพยาบาลกันวุ่นวาย ครู่หนึ่งศักดิ์สิทธิ์วิ่งพรวดนำหน้าปกติเข้ามา ด้วยสีหน้าเป็นห่วง
“ยาย ยายเป็นอะไรมากรึเปล่า? เอ้า ยืนมองอะไรกัน ช่วยกันหามยายไปโรงพยาบาลสิ เร็วเข้า”
พนักงาน 2 คน พยายามช่วยพยุงยายเฟื่องลุกขึ้น
“ไม่ไปค่ะคุณหนู ยายไม่ไป”
“จะไม่ไปได้ยังไงครับ อยู่ๆ ยายก็เป็นลมล้มลงไปแบบเนี่ย เกิดเป็นอะไรหนักขึ้นมา ก็แย่น่ะสิครับ”
“ยายไปไม่ได้หรอก ยายเป็นห่วงครัว”
ศักดิ์สิทธิ์ถอนหายใจ
“โธ่ยาย เป็นขนาดนี้แล้วยังจะมาห่วงงานอีก ยายครัวเราปิดอยู่ ยายจำไม่ได้หรือไง? เอางี้ยาย เดี๋ยวยายไปหาหมอก่อน แล้วกลับมาค่อยว่ากัน ไปๆๆ ไม่ต้องฟังแก”
พนักงานพยุงยายเฟื่องออกจากห้องไป พร้อมกับที่ปกติรีบหันมาบอกศักดิ์สิทธิ์
“คุณหนูครับ ผมว่าถึงเวลาที่เราน่าจะหาใครมาเป็นเชฟอย่างจริงจังแล้วล่ะครับ”
ศักดิ์สิทธิ์คิดหนัก ก่อนจะตัดสินใจเดินไปขอความช่วยเหลือจากลิลิน ให้ช่วยพุดกับวิชนี
“ไม่”
วิชนีตอบโดยไม่ต้องคิด เมื่อได้ยินสิ่งที่ลิลินพูด ศักดิ์สิทธิ์ที่ยืนลุ้นคำตอบอยู่ถึงกับผงะ ผิดหวัง
ลิลินพยายามโน้มน้าว
“ถือซะว่าช่วยยายเฟื่องก็ได้”
วิชนีหันไปจ้องหน้าศักดิ์สิทธิ์
“คนอย่างนาย ถ้าฉันไปทำอาหารให้ ก็คงตามมาสั่งโน่นสั่งนี้ไม่หยุด แต่ถ้าให้ฉันทำตามสูตรฉัน ฉันอาจจะคิดดูอีกที”
ศักดิ์สิทธิ์ไม่ยอม “ได้ไง ฉันเป็นเจ้าของที่นี่ ถ้าฉันสั่งไม่ได้ แล้วฉันจะเป็นเจ้าของทำไม?”
“แล้วถ้าฉันทำอาหารตามแบบของฉันไม่ได้ แล้วจะเรียกว่าเชฟได้ยังไง?.ถ้างั้นก็ไม่”
วิชนีย้อนกลับสีหน้าจริงจัง ศักดิ์สิทธิ์โกรธจนตัวสั่น แต่แล้วก็กลับจำยอม เพราะหมดหนทาง
“โอ๊ย ก็ได้ ครั้งนี้ฉันยอมเธอ”
วิชนียิ้มอย่างผู้ชนะ ลิลินถอนหายใจโล่งอก
อ่านต่อตอนที่ 5