xs
xsm
sm
md
lg

เสือ ตอนที่ 4

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เสือ ตอนที่ 4
บัวยืนอยู่ชิดผนังในมุมลับตา สีหน้าตื่นตกใจมาก พรหมพยัคฆ์กับลายเมฆยืนจ้องคาดคั้นอยู่

"บัวไม่รู้จริงๆคะ ว่าคุณณจันทร์อยู่ที่ไหน คุณณจันทร์บอกไว้แค่เธอไปต่างจังหวัดเท่านั้น"
"ไปทำไม" พรหมพยัคฆ์ถาม
"ไม่ทราบคะ"
"โกหก!" ลายเมฆบอกเสียงเกรี้ยวกราด
ลายเมฆทำท่าน่ากลัว บัวตกใจจนลนลาน
"โอ๊ย บัวไม่รู้จริงๆนะคะ ให้อมพระกี่องค์ๆมาพูดก็ได้ บัวเห็นแต่คุณณจันทร์โทร.บอกคนในออฟฟิศเท่านั้น แต่บัวไม่ได้ยินหรอกคะว่าไปไหน"
พรหมพยัคฆ์ชะงัก แล้วครุ่นคิด

เครื่องบินกำลังร่อนลงจอดที่หน้าสนามบินเชียงใหม่ คำแปงยืนอยู่ที่หน้ารถของไร่ กำลังชะเง้อมองณจันทร์
"คุณหนูคะ ทางนี้คะ"
ณจันทร์แบกกระเป๋าเดินเข้ามา คำแปงเข้าไปช่วย
"ทำไมคุณหนูไม่ให้คำแปงบอกคุณนวลละคะว่าคุณหนูจะมา"
"คราวนี้ฉันมาเรื่องธุระ เลยไม่อยากกวนใจป้านวล น้าคำแปงรีบพาฉันไปหาอาคำสูรย์เถอะ"
คำแปงมองเธออย่างแปลกใจ

คำสูรย์ถูกบุรุษพยาบาลพาตัวเข้ามาในห้อง ณจันทร์และคำแปงนั่งรออยู่แล้ว
"คุณหนู"
"อาคำสูรย์เป็นยังไงบ้าง"
"อาสบายดี แต่พวกนั้นหาว่าอาป่วย อาไม่ได้ป่วยนะครับคุณหนู"
"จ้ะ ฉันเชื่อ
คำสูรย์มองเขี้ยวเสือที่ณจันทร์สวมอยู่ที่คอแล้วก็ชะงัก
"คุณหนูใส่เขี้ยวเสือ มันมาหาคุณหนูแล้วใช่ไหม เสือผีตัวนั้น"
ณจันทร์พยักหน้ารับ
"ตอนนี้ฉันสับสนไปหมด ไม่รู้จะทำยังไงดี มีคนบอกว่าต่อไปนี้ทุกคืนเดือนเพ็ญฉัจะต้อง ... ต้องกลายเป็นสิ่งที่ไม่ใช่ฉัน"
"เหมือนที่อาคิดไว้เลย แต่ไม่ต้องห่วงนะครับคุณหนู ยังพอมีทางแก้ไข"
"แก้ไขยังไงคะ"
คำสูรย์เล่าความหลังเมื่อ 20 ปีก่อนให้ณจันทร์ฟัง
"หลังจากที่พ่อของคุณหนูตาย อาก็ฝันร้ายตลอด เสือผีตัวนั้น มันตามมาหลอกหลอนทุกค่ำคืน อาตัดสินใจหนีเข้าป่า พยายามทำทุกอย่างเพื่อที่จะลืมให้ได้"
ป่านั้น เห็นกวางกำลังกินหญ้าอยู่ คำสูรย์ในวัยหนุ่ม อยู่ที่พุ่มไม้ไม่ห่างมากนัก กำลังยกปืนขึ้นเล็ง แต่แล้วก็มีเสียงดังขึ้น เสียงพระธุดงค์ดังขึ้น
"หยุดพรากชีวิตผู้อื่นเถอะโยม"
คำสูรย์ชะงัก มองไปเห็นพระธุดงค์ยืนอยู่ ด้วยท่าทางสงบนิ่ง
"สัตว์โลกทุกตัวต่างรักชีวิตของมัน อย่าให้บาปกรรมของโยมเพิ่มขึ้นกว่านี้เลย อาตมาขอบิณฑบาตชีวิตนี้ด้วยเถิด"
คำสูรย์มองพระธุดงค์อย่างเลื่อมใส ก่อนที่จะทิ้งปืน และก้มลงกราบ
"การได้พบกับพระธุดงค์รูปนั้น เหมือนเป็นความหวังที่จะช่วยให้อาได้หลุดพ้นจากเงาร้ายของไอ้เสือผี หลังจากนั้น อาก็หยุดล่าสัตว์ทุกชนิด ติดตามพระท่านเข้าไปในป่าลึก แต่ดูเหมือนกรรมเก่ายังไม่หมดลงง่ายๆ"
คำสูรย์สะดุ้งตกใจตื่นขึ้นมากลางดึก เหงื่อแตกซิก พระธุดงค์ที่ปักกลดอยู่ใกล้ๆ ลืมตาขึ้นมอง
"ฝันร้ายอีกแล้วหรือโยม"
"ครับ หลวงพ่อ"
หลวงพ่อถอนหายใจ
"โยมเป็นพรานล่าชีวิตผู้อื่นมานาน เจ้ากรรมนายเวรยังไม่ลดแรงอาฆาต โดยเฉพาะเสือตัวนั้น เสือสมิงที่โยมฆ่าในคืนวันเพ็ญ"
คำสูรย์ตกใจ
"หลวงพ่อทราบด้วยหรือครับ"
"อาตมามองเห็นตั้งแต่วันแรกที่เจอโยมแล้ว"
"แล้วผมจะทำยังไงดีครับหลวงพ่อ"
"กรรมเก่าไม่อาจแก้ด้วยกรรมใหม่ได้ ยังไงก็ขอให้โยมตั้งใจสร้างกรรมดี เผื่อจะผ่อนหนักให้กลายเป็นเบา"
"ผมพยายามแล้วหลวงพ่อ พยายามนั่งสมาธิ ทำจิตให้สงบเหมือนที่หลวงพ่อบอก แต่ในใจมันเหมือนมีไฟสุมอยู่ นับวันผมก็ยิ่งฝันเห็นเสือผีตัวนั้นชัดเจนขึ้นทุกที มันกำลังตามมาแก้แค้นผม มันคงอยู่ไม่ไกลแล้วแน่ๆ"
หลวงพ่อครุ่นคิด ก่อนตัดสินใจบอก
"งั้นก็เหลือเพียงทางเดียว โยมเคยได้ยินชื่อ หมู่บ้านผาสมิง ไหม"
คำสูรย์ชะงัก
"หมู่บ้านในตำนาน ที่เล่ากันว่ามีวิธีแก้คำสาบของเสือสมิงนะหรือครับ"
พระธุดงค์พยักหน้าอย่างสุขุม จ้องมองไปที่เขี้ยวเสือที่คำสูรย์ห้อยคอไว้
"เขี้ยวเสือนั่น โยมได้มาอย่างไร"
คำสูรย์ก้มมองเขี้ยวเสือที่คอ จับมันขึ้นมาดู นึกย้อนกลับไป ก่อนจะตอบ

ครั้งนั้น พ่อใหญ่ใกล้ตายนอนอยู่ในอ้อมแขนของคำสูรย์ เค้าดึงมือคำสูรย์มากำไว้แน่น
"มันยังไม่ตาย เสือผีตัวนั้น ... ต้องยิงที่หัวใจ ยิงมันที่หัวใจเท่านั้น"
คำสูรย์พยายามจะห้ามเลือดให้และพยุงพ่อใหญ่ขึ้น แต่พ่อใหญ่ส่ายหน้า พร้อมดึงเขี้ยวเสือที่คอออก แล้วยัดใส่มือคำสูรย์
"ใช้ป้องกันอำนาจจากพวกมันได้ .. เขี้ยวเสือลงอาคมจากบ้านผาสมิง พวกมันจะไม่ได้กลิ่น ไม่ได้ยินเสียงเจ้า ใช้พลังของเสือกับผู้ครอบครองเขี้ยวเสือไม่ได้"
พ่อใหญ่กำชับคำสูรย์
"จำไว้ คืนจันทร์สีเลือดต้องฆ่ามัน ไม่งั้นพวกมันจะฆ่าเรา ฆ่าเราทุกคนจันทร์ สี .. เลือ ...ด"
พ่อใหญ่สิ้นใจตายไปแล้ว แต่คำสูรย์ยังมองเขี้ยวเสือในมือ กำมันไว้แน่น

คำสูรย์กำเขี้ยวเสือที่คอไว้แน่น
"พรานป่าคนหนึ่งให้ผมไว้ก่อนตาย กำชับนักหนาถึงคืนวันจันทร์สีเลือด"
"มันคือ เขี้ยวเสือลงอาคม จากหมู่บ้านผาสมิง ใช้ป้องกันพลังอำนาจของเสือสมิงได้ .... ครั้งหนึ่ง อาตมาเคยธุดงค์รอนแรมเข้าไปในป่าลึก และอาตมาก็ได้ไปถึงหมู่บ้านแห่งนั้น"
คำสูรย์ฟังหลวงพ่ออย่างตั้งใจ
"หลวงพ่อบอกอาว่า หมู่บ้านผาสมิง เป็นหมู่บ้านเก่าแก่อายุเกือบพันปี ในหมู่บ้านมีถ้ำที่แกะสลักฝาผนังเล่าเรื่องตำนานเสือสมิงทั้งหมด"
พิธีแก้คำสาปเสือ... ชาวบ้านถือคบไฟ อังกอล้อมรอบถ้ำในชุดขาว ปู่แถนท่องคาถาพึมพำ
"รวมถึงวิธีแก้คำสาป และที่นี่เคยทำพิธีแก้คำสาปเสือ"
ณจันทร์ตั้งใจฟังอย่างมีความหวัง เธอกำเขี้ยวเสือที่คอไว้แน่น
"หลวงพ่อได้อธิบายถึงคุณสมบัติเขี้ยวเสือลงอาคม บอกคาถาพรางตัวให้อา และกำลังจะอธิบายทางที่จะไปหมู่ผาสมิงให้อา แต่ก็เกิดเรื่องขึ้นก่อน"
หลวงพ่อเล่าให้คำสูรย์ฟังจนเกือบหมดแล้ว
"และเมื่อโยมเดินตามธารน้ำลึกเข้าไปจนเกือบถึงต้นน้ำ อีกไม่ไกลก็จะถึงทางเข้าหมู่บ้าน ที่ทางเข้าหมู่บ้าน โยมจะเห็น …"
เสียงเสือคำรามดังขึ้นมาจากป่า คำสูรย์สะดุ้งเฮือก
"มันมาแล้วหลวงพ่อ"
แล้วทันใดเสือโคร่งก็กระโจนมาจากพุ่มไม้จะเข้า คำสูรย์ร้องลั่น แต่พระธุดงค์ขวางไว้ เสือคำราม โฮก ! คำสูรย์ตกใจสุดขีด
"หลวงพ่อ!"
"ไม่ต้องห่วงอาตมา รีบหนีไป ไปที่หมู่บ้านนั่น"
คำสูรย์ตัดสินใจวิ่งหนีออกไป พระธุดงค์หันกลับมาจ้องตากับเสือสมิง เหมือนทั้งคู่สื่อสารกันผ่านจิต เสือเดินวนไปมาตรงหน้าพระธุดงค์
"เวรของผู้จองเวร ย่อมไม่ระงับไปได้ เวรของผู้ไม่จองเวร ย่อมระงับดับได้"
พระธุดงค์มองนิ่งก่อนหลับตาอย่างสงบ เสือคำรามกระโจนเข้ามากัดพระธุดงค์ จนสิ้นใจตาย คำสูรย์ซึ่งหลบซ่อนตัวอยู่หลังพุ่มไม้ ในมือกำเขี้ยวเสือแน่น ท่องคาถาพึมพำตามที่หลวงพ่อบอก
คำสูรย์ท่องคาถาพึมพำ ( อ้างอิงจาก พระคาถากำบังตน คาถาประจำตัวของหลวงพ่อทวีศักดิ์ หรือ หลวงพ่อเสือดำ วัดศรีนวล หนองแขม)
"ล้อมก็ไม่เจอ เดินผ่านไปก็ไม่เห็น
พุทธัง บังจักขุ มะอะอุ ไม่เห็นอิตัวกู
ธัมมัง บังจักขุ มะอะอุ ไม่เห็นอิตัวกู
สังฆัง บังจักขุ มะอะอุ ไม่เห็นอิตัวกู
ฆะเตสิท อะหังปิตตัง นะชานามิ
โจรา โจวา โจวา ปะรายันติ"

คำสูรย์มองดูเหตุการณ์อยู่ด้วยความหวาดกลัว เสือตนนั้นหันมาจ้องที่พุ่มไม้ที่เค้าหลบอยู่ แต่ก็ไม่ได้สนใจ ก่อนที่เสือจะได้กลายร่างเป็นชายในร่างเปลือยเปล่า
"อาท่องคาถาพรางตัวที่หลวงพ่อให้ได้ กำเขี้ยวเสือไว้แน่น อา ... อาเห็นชัดเจนด้วยสองตา เสือตัวนั้นมันกลายร่างเป็นคน ... อาพยายามวิ่งหนีออกมาอย่างไม่คิดชีวิต เกือบจะเอาชีวิตไม่รอด จนนึกถึงวิธีโบราณที่พรานป่าใช้กัน ขึ้นมาได้ ว่านพรางกลิ่น"
คำสูรย์ไปเด็ดว่านชนิดหนึ่งมา ขยำๆใส่ปากเคี้ยวอย่างร้อนรน ก่อนจะคายออกมาแล้วเอามาถูตามตัว
" อาใช้มันกลบกลิ่นตัว และหลบอยู่บนต้นไม้จนถึงเช้า ถึงรอดมาจากเสือผีตัวนั้นได้"

คำแปงมองอย่างทึ่ง
"เจอมาหนักขนาดนี้ มิน่าพี่ถึงได้ดูเพี้ยนๆ"
คำสูรย์มองคำแปงอย่างไม่พอใจ และหันไปบอกณจันทร์
"เขี้ยวเสือนั่น หลังจากออกมาจากป่า อาก็ฝากคำแปงไว้ ให้มอบให้คุณหนู ... อาดีใจที่มันช่วยคุณหนูไว้ได้"
คำสูรย์หันมองรอบตัวอย่างระแวง ก่อนหยิบกระดาษมาจดอะไรบางอย่าง แล้วยัดใส่มือณจันทร์
"แต่ตอนนี้ คุณหนูต้องรีบเข้าไปในป่านั้นให้เร็วที่สุด ต้องหาหมู่บ้านนี้ให้เจอ หลวงพ่อบอกว่าต้องทำพิธีก่อนขึ้นสิบห้าค่ำไม่งั้นการแก้คำสาปจะไม่เป็นผล"
เธอคลี่กระดาษออกดู เห็นว่าเป็นคาถาพรางตัว “ฆะเตสิท อะหังปิตตัง นะชานามิโจรา โจวา โจวา ปะรายันติ”
ณจันทร์กำกระดาษไว้แน่น หันกลับมาถามคำสูรย์
"แล้วฉันจะไปได้ยังไงละ"
"อีกสองวันหมอจะเข้ามาสอบอาการอา ตัดสินว่าจะให้อาอยู่ที่นี่ต่อไปอีกหรือเปล่า อาจะพยายามทำให้ดีที่สุด เพื่อหมอจะได้ปล่อยตัวอาไป แล้วเราจะเข้าป่าไปด้วยกัน"
คำสูรย์มุ่งมั่น ส่วนณจันทร์ยังรู้สึกไม่แน่ใจ

วันต่อมา ภายนอกบ้านวิฬาร์ เธอกำลังใส่ชุดลายเสือ กำลังตรวจเช็คโฆษณาทางวีดีโออยู่ เธอลุกขึ้นและเดินไปที่ตู้เย็น บรรยากาศในห้องวิฬาร์ เห็นหมอนและโซฟาลายเสือ อันเป็นภาพสะท้อนของคนที่อยากมีอำนาจอันยิ่งใหญ่
วิฬาร์เปิดตู้เย็น หยิบน้ำผลไม้ เสียงอะไรไม่รู้ดังขึ้นนอกบ้าน เธอหันไปมองแวบหนึ่ง แล้วก็ดื่มน้ำต่อ คราวนี้เสียงเหมือนมีคนเข้ามาในบ้าน เธอชะงัก หวาดระแวง วางแก้วลง มองหาอาวุธ หยิบไม้กอล์ฟขึ้นมา และเดินไปดู... จากห้องหนึ่ง ไปอีกห้องหนึ่ง จนพบคนที่นั่งอยู่ที่โซฟา ก็ตกใจมาก
"คุณพรหมพยัคฆ์"
"สวัสดีครับคุณวิฬาร์"
"คุณมาได้ยังไงคะ"
"จู่ ๆ ผมก็รู้สึกอยากพบกับคุณขึ้นมา"
วิฬาร์ยังงงไม่หาย
"แต่ คุณเข้ามาในนี้ได้ยังไงคะ"
"ไม่ยากหรอกครับ ถ้าผมต้องการจะพบใครสักคนแล้ว ผมก็ไม่เคยยอมที่จะให้อะไรหรือใครมาขวางได้"
พรหมพยัคฆ์สบตาวิฬาร์อย่างมีความหมาย

เวลาต่อมา ทั้งคู่ชนแก้วไวน์ พรหมพยัคฆ์สบตาวิฬาร์ จ้องและขยับเข้ามาใกล้กันมากขึ้นทุกที
"วันนี้คุณคงไม่ได้แค่มาทักทายฉันหรอกใช่ไหมคะ"
"ผมอยากจะมาแก้ตัว ที่ผมละเลยคุณไป วันนี้ผมเพิ่งรู้ว่าคุณมีความสามารถ เป็นคนพิเศษ ไม่เหมือนใคร"
พรหมพยัคฆ์คลอเคลียจนวิฬาร์เคลิบเคลิ้ม
"ฉันนี่เหรอคะพิเศษ พิเศษยังไงคะ"
"คุณรู้ในสิ่งที่ผมไม่รู้ คนอื่นก็ไม่รู้" พรหมพยัคฆ์ก้มลงจะจูบ " คุณรู้ว่าณจันทร์อยู่ที่ไหน"
วิฬาร์ชะงัก เบี่ยงตัว และถอยห่างมา
"แค่นี้เองเหรอที่คุณต้องการ"
"ผมถามคนในออฟฟิศมาหมดแล้ว ทุกคนไม่รู้เรื่อง เหลือแต่คุณคนเดียว ผมคิดว่าคุณรู้ว่าณจันทร์อยู่ที่ไหน"
" ฉันไม่รู้และก็ไม่สนด้วยว่ายายนั่นจะไปยั่วผู้ชายอยู่ที่ไหน ถ้าอยากจะเจอมากนัก คุณไปตามหาเอาเองสิคะ"
วิฬาร์หงุดหงิดจะลุกขึ้นจากไป พรหมพยัคฆ์กลับดึงตัวเธอลงมาชิด
"ผมรู้ว่าคุณต้องการอะไร และคุณก็รู้ว่าผมต้องการอะไร ผมจะไม่ไปไหนทั้งนั้นจนกว่าผมจะได้สิ่งที่ผมต้องการ"
วิฬาร์ยิ้มอย่างเชิญชวน
"คุณรู้แน่เหรอคะว่าฉันต้องการอะไร"
พรหมพยัคฆ์ยิ้ม และก้มลงจูบวิฬาร์ทันที

พรหมพยัคฆ์โอบกอบวิฬาร์ พลางเดินเข้ามาในห้อง และล้มไปที่เตียงด้วยกัน
พรหมพยัคฆ์ใช้กำลังปลุกปล้ำ วิฬาร์ไม่ขัดขืน แต่สนองตอบ
พรหมพยัคฆ์เกิดสัญชาตญานสัตว์ป่าเต็มที่ ดวงตาเปลี่ยนกลายเป็นสีเหลือง ครางแบบเสือ และแยกเขี้ยวก้มลงไปที่วิฬาร์ซึ่งกำลังเคลิบเคลิ้ม พรหมพยัคฆ์ทำท่าเหมือนจะกัดคอ แต่แล้วก็เปลี่ยนมากัดที่หัวไหล่ของวิฬาร์
วิฬาร์สะดุ้ง แต่แล้วกลับยิ้มพอใจ เพราะเธอเองก็มีรสนิยมชอบความรุนแรงเหมือนกัน
วิฬาร์โอบอยู่ที่หลังของพรหมพยัคฆ์และครูดที่หลังจนเป็นรอยด้วยความรัญจวนใจ
แต่ครู่หนึ่งวิฬาร์อารามณ์ค้างเมื่อพรหมหยุดเล้าโลมเธอ..เธอแปลกใจ
"คุณบอกผมก่อนว่าณจันทร์ไปไหน"
วิฬาร์เสียงสั่น
"คุณอยากรู้ไปทำไม"
พรหมพยัคฆ์ทำท่าจะผละไป วิฬาร์ตัดสินใจบอก
"ก็ได้คะ ณจันทร์ไปเยี่ยมญาติของเขา เห็นว่าป่วยเป็นอะไรสักอย่างนี่แหละคะ"
"รู้ไหมว่าที่ไหน"
วิฬาร์มองพรหมพยัคฆ์นาน ก่อนที่จะบอกว่า
"เชียงใหม่"
พรหมพยัคฆ์ครุ่นคิด วิฬาร์เล้าโลม แต่กลับถูกพรหมพยัคฆ์เหวี่ยง
"คุณ..อ้าว..คุณพรหมพยัคฆ์..คุณ"
วิฬาร์คว้าเสื้อผ้าวิ่งตามออกมา แต่พรหมพยัคฆ์หายไปแล้ว

บนสถานีตำรวจ อาชาเดินเข้ามา
"เชียงใหม่เหรอ แน่ใจนะ"
ลูกน้องกำลังรายงาน
"ครับ ผมตามเธอไปจนถึงที่สนามบิน ไฟลท์ของคุณณจันทร์ไปเชียงใหม่แน่ เธอไปตั้งแต่วันอาทิตย์แล้วครับ"
"อะไรนะ แล้วทำไมไม่รายงานให้ผมรู้"
"ก็ผู้หมวดไม่อยู่นี่ครับ"
"ผมไปราชการต่างจังหวัด ต้องไปติดตามนาย คุณก็รู้ น่าจะโทร.บอกกันบ้าง ไม่รู้ว่า ป่านนี้หล่อนบินปร๋อไปไหนต่อไหนแล้ว"
อาชาหงุดหงิด ขัดใจที่สุด

เสือยืนอยู่นอกกรง กำลังเดินไปมาด้วยท่าทางหงุดหงิด เจ้าหน้าที่ของมูลนิธิยืนอยู่ไกลๆ มีปืนเตรียมพร้อม แต่ก็ไม่กล้าเข้าไปทำอะไร
ปักษะเดินเข้ามาพร้อมกับเจ้าหน้าที่
ชาย1บอก
"เสือที่เราเพิ่งนำตัวมาจากพวกลักลอบ เกิดหลุดออกมาจากกรงน่ะครับ มันกำลังหงุดหงิดเต็มที่ ไม่มีใครต้อนให้กลับเข้ากรงได้เลย ผมกำลังเรียกหน่วยสัตวแพทย์ให้เขามายิงยาสลบอยู่"
"แล้วยังไม่มาใช่ไหม"
ชาย 1 พยักหน้า ปักษะเดินเข้าไปหาเสือนั้น
"อันตรายนะครับคุณปักษะ"
แต่ปักษะไม่กลัว เดินตรงไปหาเสือโคร่งตัวนั้น เสือโคร่งส่งเสียงคำราม ทุกคนมองด้วยความระทึกใจ ปักษะยังคงนิ่งสงบ
"ไม่เป็นไรแล้วนะ กลับกรงของแกไปเถอะนะ"
เสือโคร่งทำท่านิ่งไปครู่หนึ่ง ปักษะค่อยๆเข้าไปใกล้อีก เสือเอาอุ้งเท้าจะตะปบปักษะ เจ้าหน้าที่ร้องอย่างตกใจ พลางกระชับปืนในมือ
"คุณปักษะระวัง"
แต่แล้วเสือโคร่งกลับแค่ยื่นอุ้งเท้าให้ปักษะ ปักษะลูบขนมันสองสามที ก่อนที่จะจูงเสือตัวนั้นกลับเข้าไปอยู่ในกรง และล็อกเหมือนอย่างเดิม
เจ้าหน้าที่จะรีบเข้าไปหาปักษะอย่างยินดี ทุกคนต่างชมเชยถึงความเก่งของเขา ปักษะหันไปมองเห็นอาชายืนอยู่

อาชาเข้ามานั่งคุยกับปักษะในห้อง
"เพิ่งรู้ว่าแกมีความสามารถปราบเสือได้ มิน่าถึงได้กล้าอยู่ใกล้ผู้หญิงอย่างณจันทร์"
"แกมาหาฉันทำไมเหรอ"
"อะไรวะ เพื่อนมาหาดันพูดแบบนี้ โอเค ฉันมานี่ก็เพราะมีเรื่องอยากจะถามแก แกรู้ไหมว่า ตอนนี้คุณณจันทร์เขาไปอยู่เชียงใหม่"
ปักษะชะงัก
"อะไรนะ..เธอไปทำอะไรที่นั่น"
"นี่อย่าบอกนะว่าแกไม่รู้เรื่องนี้"
"ฉันไม่รู้ ตั้งแต่วันนั้นฉันไม่ได้ไปหาเขาอีก"
"วันไหนวะ"
"วันที่ฉันพาเขาไปทำบุญให้คนตายที่เป็นยามร้านป้าแอนน่ะ"
"เฮ้ย..แล้วแกทำไมไม่บอกฉันวะ"
"ถ้าบอก แกก็จะเข้าใจเขาผิดอีก แกก็จะตั้งข้อสันนิษฐานอีกว่าที่เขาไปเพราะเขารู้สึกผิดที่ทำให้ยามนั่นตาย เขาก็เลยไปเพื่อไถ่บาป จริง ๆ แล้ว"
"แกเก่งมากขึ้นทุกวันแล้วนะเว้ย นี่ฉันยังคิดไปไม่ถึงเลยด้วยซ้ำ แล้วแกไม่สงสัยบ้างเหรอว่าเขาไปทำไม ทั้งๆที่ไม่ได้รู้จักยามคนนั้นซะหน่อย แล้วทำไมถึงเร่งร้อนไปเชียงใหม่โดยไม่บอกลาแกเลย แม้แต่คนที่บริษัทบางคนก็ยังไม่รู้เรื่อง"
อาชาส่ายหน้าในความดื้อของเพื่อน
"สงสัยฉันคงจะต้องตามขึ้นไปเชียงใหม่แล้วว่ะ" อาชาบอก
ปักษะชะงักทันที
"ลูกน้องฉันบอกว่า คุณณจันทร์มีบ้านญาติคนเดียวอยู่ที่เชียงใหม่ เธอก็น่าจะหนีไปกบดานที่นั่นมากที่สุด"
ปักษะไม่พอใจ
"อย่าใช้คำว่ากบดานได้ไหม คุณณจันทร์เขาไม่ใช่ผู้ร้ายที่ไหน ถ้าแกไป ฉันก็จะไปด้วย"
"ว่าไงนะ"
"ก็คุณณจันทร์กำลังอยู่ในอันตราย จะให้ฉันอยู่ที่นี่เฉยๆได้ยังไง"
"นี่อย่าบอกนะว่าแกจะตามไปกันเขาจากตำรวจ ถ้าเขาทำผิดจริง แกก็ไม่มีทางปกป้องเขาได้หรอกวะ"
"ฉันก็ไม่เชื่ออยู่แล้วว่าเขาทำผิดจริง ฉันจะไปช่วยเขา เพราะฉันเป็นห่วงเขาเท่านั้นเอง"
ปักษะมุ่งมั่นเสียจนอาชาอึ้งไปเลย

คำสูรย์นั่งอยู่ที่เก้าอี้ มีหมอสามสี่คนนั่งอยู่ล้อมอย่างพิจารณา
หมอ1บอก
"คุณคงรู้ว่าพวกเรามาทำอะไรวันนี้ พวกเรามีหน้าที่ที่จะต้องสอบอาการคุณ เพื่อพิจารณาว่าคุณพร้อมที่จะออกจากที่นี่ไปอยู่ร่วมในสังคมปกติหรือไม่"
คำสูรย์ทำท่าสงบเหมือนเป็นปกติ
"เชิญเถอะครับคุณหมอ ผมพร้อมที่จะออกจากที่นี่แล้ว"
"งั้นผมจะเริ่มคำถามวัดผลทางจิตวิทยาละนะ ผมจะให้คุณดูภาพ แล้วตอบผมว่าคุณนึกถึงอะไร"
หมอชูภาพให้คำสูรย์ดู เป็นภาพเหมือนหยดหมึกลงไปในกระดาษ มีรูปร่างต่างๆกัน
"แจกันครับ"

ส่วนณจันทร์นั่งรออยู่ด้านนอกกับคำแปง อย่างใจจดจ่อ
"นี่พี่คำสูรย์จะมีหวังได้ออกมาหรือเปล่าคะ"
"มีสิ ก็อาคำสูรย์แกไม่ได้บ้าอย่างที่คนกล่าวหา ยังไงๆก็ต้องออกมาได้แน่"
คำแปงยกมือไหว้
"สาธุ อย่าให้พี่คำสูรย์แกเกิดของขึ้น อาละวาดขึ้นมาก่อนเลย"

คำสูรย์ยังมีสามารถตอบได้หมอได้อย่างนิ่งสงบ
"ดอกไม้กำลังบานครับ"
หมอจดผลในรายงาน และพลิกภาพต่อไป คำสูรย์มอง ภาพซ้อนขึ้นมาเป็นเครื่องบิน คำสูรย์ชะงัก
"เครื่องบิน"
อ่านต่อหน้าที่ 2


เสือ ตอนที่ 4 (ต่อ)
ขณะเดียวกัน เครื่องบินลำนั้นกำลังร่อนลงจอดที่สนามบินเชียงใหม่


ณจันทร์มีความรู้สึกบางอย่างขึ้นมาเหมือนกัน เธอลุกขึ้น ท่าทางกระวนกระวาย

ในห้องสอบอาการ หมอมีท่าทางพึงพอใจกับการตรวจคำสูรย์
"เหลือแค่ภาพเดียวแล้วนะครับ คุณคำสูรย์"
คำสูรย์ร้อนรน
"เร็วๆเถอะครับคุณหมอ ผมอยากจะออกไปจากที่นี่แล้ว"
หมอมีท่าทางแปลกใจ แต่พลิกภาพให้คำสูรย์ดู เป็นภาพของเสือที่กำลังคำราม คำสูรย์ตกใจมาก
"เสือ"

ลายเมฆและพรหมพยัคฆ์ออกจากสนามบินเชียงใหม่

คำสูรย์ผุดลุกขึ้น เริ่มคุ้มคลั่ง
"มันมาแล้ว มันตามมาแล้วจริงๆ"
หมอเริ่มเห็นท่าไม่ดี บุรุษพยาบาลเข้ามาประกบ
"ผมต้องไปแล้วคุณหมอ ผมต้องออกไปจากที่นี่"
"ใจเย็นๆนะครับคุณคำสูรย์"
"มันมาแล้ว หมอไม่เข้าใจเหรอ หมอต้องให้ผมออกไป"
คำสูรย์ตรงไปที่ประตู หมอเข้ามาขวาง
หมอบอกกับบุรุษพยาบาล
"จับตัวไว้"
บุรุษพยาบาลตรงเข้าจับตัวคำสูรย์
"ใจเย็น ๆ นะครับ"
"ไม่เข้าใจหรือไง มันมาถึงที่นี่แล้ว"
คำสูรย์ดิ้นรน พยายามจะทำร้ายบุรุษพยาบาล
"ปล่อยกู กูบอกให้ปล่อย"
" พาคำสูรย์กลับไปที่ห้อง ปล่อยให้ออกไปไม่ได้แล้ว"
บุรุษพยาบาลจับคำสูรย์จะพาออกไป คำสูรย์ดิ้นรนขัดขืน
"ไอ้พวกบ้า ปล่อยกู พวกมึงจะตายกันหมดมึงไม่รู้เหรอ ปล่อยกู"

ฝ่ายณจันทร์มีอาการเครียดอย่างเห็นได้ชัด รู้สึกขนลุกซู่ไปทั้งตัว

พรหมพยัคฆ์พยายามจะดมกลิ่นของณจันทร์ตามลม
"นายท่านเห็นเธอหรือยังครับ"
"ไม่ แต่เหมือนฉันได้กลิ่นเธออยู่เจือจางมาก…เธอจะต้องอยู่ที่นี่แน่"
พรหมพยัคฆ์ท่าทางมั่นใจ

ฝ่ายคำสูรย์คุ้มคลั่งสุด ดิ้นรนพยายามจะหนีการจับกุมของบุรุษพยาบาล ปากก็ร้องตะโกนโหวกเหวกโวยวาย
"ปล่อยกูๆ"
คำสูรย์สามารถดิ้นหลุดจากบุรุษพยาบาลได้ วิ่งมาที่โต๊ะของหมอ พวกหมอตกใจ คำสูรย์คว้าปากกาที่วางอยู่บนโต๊ะ แล้วกระชากคอหมอเข้ามาใกล้ เอาปากกาจ่อที่คอ
"ปล่อยผมเดี๋ยวนี้นะหมอ หมอไม่รู้อะไร มันมาแล้ว มันตามหาพวกเราเจอแล้ว พวกเราจะต้องตายกันทั้งหมด"
หมอหน้าซีดเผือก แต่แล้วบุรุษพยาบาลก็หาจังหวะ เข้าชาร์จ คำสูรย์ถูกจับล็อกแขนอยู่ที่พื้น ไม่สามารถดิ้นรนได้อีกต่อไป

ประตูห้องเปิดออก คำสูรย์ถูกบุรุษพยาบาลสองคนหิ้วปีกมา ณจันทร์และคำแปงเห็นก็ชะงัก
"อาคำสูรย์"
บุรุษพยาบาลกันไม่ให้ณจันทร์เข้าใกล้
"คนไข้มีอาการคุ้มคลั่ง ต้องถูกกักบริเวณครับ" บุรุษพยาบาลบอก
ณจันทร์มีท่าทางผิดหวัง คำสูรย์พยายามเตือน
"คุณหนูต้องไป ต้องหนีมันไป เร็วๆ มันมาแล้ว"
"อะไรนะ ใครมา"
"ไอ้เสือผีตัวนั้น มันมาแล้ว มันตามมา ... มันกำลังมาที่นี่ คุณหนูจะต้องหนี หนีไปเดี๋ยวนี้ ไป"
ณจันทร์ชะงัก หน้าซีดเผือก บุรุษพยาบาลพาคำสูรย์ออกไป
"นี่พวกมันตามฉันมาจริงๆ หรอเนี่ย"
"โธ่ แล้วเราจะทำยังไงดีละคะ คุณหนู"
ณจันทร์ครุ่นคิดก่อนบอกคำแปง
"ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว เราต้องหนี และเราต้องเอาตัวอาคำสูรย์ไปกับเราด้วยวันนี้"
คำแปงชะงัก มองณจันทร์อย่างไม่เข้าใจ

นวลเข้ามาในบ้าน มองไปที่เก้าอี้ ซึ่งคนนั่งหันหลังให้
"นั่นใครนะ"
คนๆนั้นลุกขึ้นยืน และหันมา นวลตกใจเมื่อเห็นพรหมพยัคฆ์ ลายเมฆก็ยืนอยู่ข้างๆ
"พวกคุณเป็นใคร เข้ามาที่นี่ได้ยังไง"
"ผมมาหาณจันทร์ เธออยู่ที่นี่ใช่ไหม ผมเป็นลูกค้าของเธอ อยากจะคุยเรื่องธุรกิจหน่อย"
นวลมองพรหมพยัคฆ์อย่างไม่ไว้ใจ
"หนูณจันทร์ไม่ได้อยู่ที่นี่หรอก ตอนนี้ เขาทำงานอยู่ที่กรุงเทพโน่น"
พรหมพยัคฆ์ ไม่เชื่อว่านวลพูดจริง
"ผมรู้ว่าเธออยู่ที่นี่ เรียกเธอมาพบผมเดี๋ยวนี้"
"เอะ คุณนี่ยังไง ก็ฉันบอกแล้วว่าหนูณจันทร์ไม่ได้อยู่ที่นี่ เชิญคุณกลับไปเถอะ"
"โกหก ถ้าฉันเดาไม่ผิด ณจันทร์ต้องอยู่กับไอ้คนนั้น ไอ้นายพราน ที่ชื่อคำสูรย์"
ป้านวลชะงัก
"คุณรู้จักไอ้คำสูรย์มันด้วยเหรอ โอ๊ย ไม่ต้องมาตามหามันที่นี่หรอก มันเป็นบ้า อาละวาดจนฉันต้องจับไปอยู่ที่โรงพยาบาลสวนดอกโน่นแล้ว"
พรหมพยัคฆ์ชะงัก ครุ่นคิด ลายเมฆเข้ามายืนค้ำคอนวล
"นายท่านต้องการพบคุณณจันทร์ บอกมาว่าเธออยู่ไหน"
"จะให้บอกอะไร ก็ฉันก็พูดไปหมดแล้ว พวกคุณสองคนออกไปจากบ้านฉันเลยนะ ก่อนที่ฉันจะแจ้งข้อหาบุกรุก นายแสงๆ"
ลายเมฆเข้ามาปิดปากไม่ให้ป้านวลร้อง ป้านวลดิ้นรน พรหมพยัคฆ์เข้ามาใกล้อย่างโกรธ จ้องตาของป้านวล
"ณจันทร์อยู่ที่นี่ใช่ไหม"
ป้านวลยังไม่ทันตอบ
เสียงคนงานดังขึ้น
"พวกแกทำอะไรนะ"
คนงานพยายามตรงเข้าตรงเข้ามาช่วย แต่ถูกลายเมฆปัดกระเด็นไป อีกคนตามมาเมื่อเห็นอย่างนั้นก็วิ่งกลับไปเอาปืน แล้วเล็งขึ้นยิง
"ปล่อยคุณนวลเดี๋ยวนี้นะ"
พรหมพยัคฆ์โกรธจัด พยายามจะใช้พลังของตน มองให้คนงานกระเด็นไป แต่แล้วกลับทำอะไรไม่ได้ เพราะคนงานๆนั้นห้อยเขี้ยวเสือ คนงานไล่ยิงอีกสองสามนัด จนพรหมพยัคฆ์ต้องหลบไป
"ถอยก่อน ลายเมฆ"
ลายเมฆทิ้งตัวนวล แล้วทั้งสองก็วิ่งออกไปจากบ้าน

คนงานตามไล่ยิงพรหมพยัคฆ์กับลายเมฆ ทั้งสองขึ้นรถแล้วขับหนีออกไป พรหมพยัคฆ์โมโหมากเสียฟอร์ม แผนเสีย และยังถูกไล่มาอีก
"เจ็บใจจริงๆ พวกมันต้องมีคนที่รู้วิชาอาคมแน่ๆ ถึงได้มีเขี้ยวเสือนั่น มันต้านทานอำนาจของเราได้ คงเป็นเพราะอย่างนี้เหมือนกัน ฉันถึงไม่เห็นณจันทร์"
"แล้วจะทำยังไงต่อดีครับท่าน"
พรหมพยัคฆ์ครุ่นคิดสักพัก ก่อนบอก
"ไปที่โรงพยาบาลที่ไอ้คนชื่อคำสูรย์มันอยู่ ฉันว่าณจันทร์จะต้องไปที่นั่นแน่"

รถของพวกณจันทร์มาจอดที่กำแพงด้านหลังโรงพยาบาล คำแปงชี้ห้องขังให้ณจันทร์ดู
"ตึกหลังสุดท้ายคะคุณหนู ห้องที่มีลูกกรงนั่นล่ะค่ะ"
ณจันทร์มองไปที่ห้อง เห็นว่าแต่ละชั้นมีระเบียงอยู่ บนห้องนั้น ตั้งอยู่ที่ชั้น 3 หน้าต่างห้องมีลูกกรงกั้นไว้
"เขาขังพี่คำสูรย์ไว้ที่ตึกด้านหลังคะ อยู่ชั้นสาม เป็นห้องสำหรับคนไข้อาการหนัก มีลูกกรงแน่นหนามากเลยค่ะ แล้วเราจะมีทางช่วยออกมาได้เหรอคะ"
ณจันทร์คิดหนัก เธอไม่แน่ใจว่าจะช่วยคำสูรย์ได้หรือเปล่า เธอมองไปที่สนาม จะเห็นคนไข้ 2-3 คน และรปภ.อยู่คนหนึ่งด้านหลังตึก

รถของพรหมพยัคฆ์แล่นมาจอดที่โรงพยาบาล เขามั่นใจว่าณจันทร์ต้องอยู่ที่นี่แน่ๆ

รถของพวกณจันทร์มาจอดที่กำแพงด้านหลังของโรงพยาบาล
"มันต้องมีสิ"
"คุณหนูมีแผนอะไรเหรอคะ"
"ฉันจะจัดการเอง น้าคำแปงแค่ช่วยเบี่ยงเบนความสนใจจากพวก รปภ.เท่านั้น"
"เบี่ยงเบนความสนใจ ยังไงเหรอคะ"

บริเวณป้ายชี้บอกสัญญาณฉุกเฉิน มีกระดาษติดไว้ข้างๆ เขียนว่า “ใช้ในกรณีฉุกเฉินเท่านั้น” คำแปงเดินทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ผ่านคนไข้และพยาบาลเข้ามา

พรหมพยัคฆ์และลายเมฆเดินเข้ามาในตึก มีรปภ.1อยู่ที่หน้าตึกหนึ่งคน พอเห็นทั้งสองจะเดินเข้าไปด้านใน รปภ.1ก็ร้องห้าม
"เดี๋ยวครับ เข้าไม่ได้นะครับ"
รปภ.1รีบเดินมาขวางทั้งสองไว้
"ตึกนี้เป็นเขตสำหรับผู้ป่วยพิเศษ ห้ามเข้านะครับ"
พรหมพยัคฆ์หันมามองอย่างไม่พอใจ
ลายเมฆบอก
"ท่านต้องการพบคนไข้ที่ชื่อคำสูรย์"
รปภ.1มองพรหมพยัคฆ์อย่างไม่ค่อยไว้ใจ
"คุณเป็นญาติของคนไข้หรือเปล่า ต้องติดต่อที่เคาน์เตอร์ด้านหน้าก่อนนะครับถึงเยี่ยมได้"
พรหมพยัคฆ์หงุดหงิด พยักหน้าให้ลายเมฆจัดการ ส่วนตนเดินเข้าไปข้างในต่อ
"เดี๋ยวครับคุณ"
ลายเมฆเข้ามาขวางไว้
"เมื่อนายท่านต้องการพบ ใครก็ขวางท่านไม่ได้"
รปภ.1เริ่มโมโห
"ก็บอกแล้วไงว่าเข้าไปไม่ได้ เอะ พูดไม่รู้เรื่องหรือไง"
รปภ. จะผลักลายเมฆถอยไป แต่กลับโดนลายเมฆผลักจนกระเด็น
"เฮ้ย อะไรวะ"
รปภ.1เริ่มเห็นท่าไม่ดี จะเอากระบองขึ้นมาจะตี แต่ลายเมฆหลบทัน และสวนกลับไป เกิดการต่อสู้ระหว่างลายเมฆกับรปภ.1

คำแปงเดินมาจนถึงที่กริ่งสัญญาณฉุกเฉิน คำแปงมองแล้วก็ลังเลนิดหน่อย แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจ
"เอาไงก็เอากันวะ"
คำแปงมองซ้ายมองขวาแล้วเข้าไปกดกริ่งสัญญาณทันที เสียงกริ่งสัญญาณดังขึ้น ลั่นไปทั้งตึก คำแปงตกใจมาก

หมอและพยาบาลได้ยินเสียงกริ่งสัญญาณต่างตกใจ คนไข้ที่ได้ยินก็ลุกขึ้นมาเต้นแร้งเต้นกาทำท่าบ้าๆบอๆ บางคนก็กลัวจนตัวสั่น
บุรุษพยาบาล รีบวิ่งมาตามอาคารและสั่งรปภ.
บุรุษพยาบาล1บอก
"คนไข้หนี ล็อกประตูให้ทั่วทั้งตึกเลย"
รปภ. รีบวอไปบอกคนอื่นๆ
"วอ2 เกิดเหตุคนไข้หนี มาประชุมที่ตึกกลางด่วน ทราบแล้วเปลี่ยน"

ณจันทร์ได้ยินเสียงกริ่ง ก็เดินเข้าไปชิดกำแพง ก่อนกระโดดทีเดียวข้ามไปอยู่บนกำแพงเธอมองเห็น รปภ. ของตึกวิ่งไปประชุม เธอโดดลงเข้ามาข้างใน

ข้างฝ่าย รปภ.1โดนลายเมฆตีจนสะบักสะบอม แล้วลายเมฆก็ชะงักเมื่อได้ยินเสียงกริ่งสัญญาณ รปภ.1ใช้จังหวะนั้น ฟาดไปที่หน้าจนลายเมฆล้มลง
รปภ.1ทำท่าจะไปจะซ้ำ แต่ลายเมฆก็ลุกขึ้นมาได้ โต้กลับไป และจะเอาของทุ่มใส่รปภ.1 แต่ทันใดนั้นก็มีคนๆหนึ่งตีหัวลายเมฆจนทรุดลง รปภ.1มองเห็น รปภ.2 เป็นคนมาช่วย
"ไอ้นี่มันบ้า จับมันไว้เร็ว"
รปภ.2จับลายเมฆไขว้หลัง แล้วเอากุญแจมือคล้องลายเมฆไว้กับตนเอง รปภ.1 รีบวอ.ต่อ
"วอ 2 เรียกคนมาที่ตึกหลังหน่อย มีผู้บุกรุกหนึ่งคน เป็นชาย ท่าทางอันตราย ย้ำ อันตราย เปลี่ยน" แล้วบอกกับรปภ.2 "แกรีบเอาไอ้นี่ไปขังไว้ก่อน ฉันจะตามอีกคนเข้าไป"
รปภ.1รีบวิ่งตามพรหมพยัคฆ์เข้าไปในตึก

ณจันทร์วิ่งไปที่ตึกที่คำสูรย์อยู่ แต่มีเสียงดังขึ้นจากด้านหลัง
" หยุดนะ "
ณจันทร์สะดุ้งตกใจ คิดว่าตนเองถูกจับได้แล้ว ณจันทร์ไม่กล้าหันไปมอง
"แกมาทำอะไรที่นี่"
"ฉัน เอ่อ ฉันหลงเข้ามานะคะ"
"โกหก ฉันรู้ว่าแกเป็นใคร แกเป็นคนของพวกพรรคมาร แกจะมาชิงกระบี่มังกรฟ้าไปจากข้าใช่ไหม"
ณจันทร์ชะงัก หันไปมอง เจอกับชายที่แต่งตัวชุดคนไข้ ใช้ผ้าคาดศีรษะ ทำท่าเหมือนพวกจอมยุทธในหนังจีน ถือไม้อันหนึ่งไว้เป็นดาบ เธอถอนหายใจที่รู้ว่าเป็นแค่คนบ้า เธอรีบวิ่งออกไปจากที่นั่น

เธอวิ่งมาจนถึงตึกที่คำสูรย์อยู่ มองขึ้นไปที่ชั้นสาม ชายบ้ายังคงวิ่งตามมา พร้อมกวัดแกว่งไม้ในมือ
"ย๊า!"
ชายบ้าวิ่งเข้าใส่ณจันทร์ แต่เธอหลบและใช้พลังกระโดดแบบเสือไปเกาะที่ระเบียงชั้นสอง ชายบ้าตกตะลึง ทิ้งไม้ที่ใช้เป็นดาบปลอม ร้องลั่นพลางวิ่งหนีออกไป ณจันทร์กระโดดต่อไปที่ชั้นสาม แล้วปีนระเบียงขึ้นไป

รปภ.1 เดินตรวจเข้ามาที่ชั้นสองของตึก สภาพของตึกไม่ค่อยมีคน ดูวังเวงเหมือนตึกของโรงพยาบาลเก่าๆ รปภ.เดินพลางมองรอบๆอย่างหวาดระแวง เหมือนมีเงาของใครบางคนผ่านวูบไปทางห้องด้านขวา รปภ.1ชะงัก ก่อนที่จะเดินตามเข้าไปที่ด้านนั้น

บรรดา รปภ.วิ่งเข้ามารวมที่ตึกกลาง บุรุษพยาบาล และนางพยาบาลต้อนคนไข้เข้ามาอยู่รวมกัน หมอรีบวิ่งเข้ามาถาม
"ใครเป็นคนกดกริ่งสัญญาณ"
ไม่มีคำตอบ ทั้ง รปภ. และพยาบาลต่างมองหน้ากันอย่างงงๆ
อีกด้านหนึ่ง คำแปง ฉวยโอกาสปะปนกับกลุ่มคน และออกมานอกห้อง สวนกับชายบ้าที่วิ่งเข้าไปข้างใน วิ่งเข้าไปหาหมอ
"ท่านอาจารย์ๆ มีคนกระโดดตึก"
หมอตกใจ
"อะไรนะ ใครโดดลงมา"
"ไม่ใช่โดดลง โดดขึ้นไปทีเดียวสองชั้นเลย วรยุทธมันล้ำเลิศจริงๆ"
หมอทำหน้าเซ็ง คิดว่าชายบ้าเพ้ออีกแล้ว
"ชอลิ้วเฮียง บอกแล้วไงว่าอย่าดูหนังจีนมากเกินไป"
หมอไม่สนใจอีกต่อไป ชายบ้ายังพูดต่อ
"จริงๆนะอาจารย์ มันใช้วิชาตัวเบาโดดขึ้นไป ตอนนี้มันไปอยู่ที่ชั้นสามแล้ว"
หมอรำคาญ หันไปเรียกบุรุษพยาบาล
"อย่าเพิ่งกวนตอนนี้น่า... บุรุษพยาบาลลากตัวชายบ้าที่ยังพร่ำเพ้อตลอดเวลาออกไป"

บริเวณชั้นหนึ่งพรหมหยัคฆ์เดินตรงไปเรื่อย ๆเพื่อขึ้นไปที่ชั้นสามที่ณจันทร์อยู่

ณจันทร์มาถึงหน้าต่างห้องคำสูรย์ พบว่ามีลูกกรง คำสูรย์ใส่เสื้อคนบ้า และถูกมัดไว้กับเตียง ขยับไม่ได้ ณจันทร์จับที่ลูกกรง แล้วค่อย ๆ ออกแรงดึงลูกกรง ครู่หนึ่งลูกกรงก็หลุดออกมา

คำสูรย์ได้ยินเสียงคน พยายามจะมอง ณจันทร์ก็โดดลงมาพอดี คำสูรย์เห็นณจันทร์ก็ดีใจ
"คุณหนู"
ณจันทร์รีบเข้ามาแก้มัดคำสูรย์ออก
"อานึกแล้วว่าคุณหนูจะต้องมาช่วยได้"
ทันใดนั้น มีเสียงคนดังเข้ามา
บุรุษพยาบาล 2ถาม
"นายคำสูรย์ เรียบร้อยหรือเปล่า"
ณจันทร์ชะงัก
ที่ประตู บุรุษพยาบาล 2 คนหนึ่งโผล่หน้ามาที่ช่องมอง แล้วมองลอดช่องเข้ามาในห้อง มองอยู่สักพัก ไม่เห็นสิ่งผิดปกติ ก็เดินจากไป
ครู่หนึ่ง ณจันทร์โผล่ออกจากใต้เตียง แล้วรีบแก้มัดให้คำสูรย์ต่อ

ณจันทร์พาคำสูรย์ออกมาที่ระเบียง มองไปข้างล่าง แต่ปรากฏว่ามีรปภ.หลายคนที่โดนวอเรียกมาเมื่อกี้ยืนตรวจอยู่ด้านล่าง
"คนเต็มไปหมด เราจะลงทางไหนกันนะคุณหนู"
ณจันทร์ลังเล ไม่รู้เหมือนกันว่าจะหลบไปทางไหนดี

บุรุษพยาบาล2คนเดิมเข้ามาหน้าห้องคำสูรย์ และก้มลงไปเก็บกระดุมที่ตกอยู่
"อยู่นี่เอง เสื้อเพิ่งตัดแท้ๆ กระดุมดันหลุดซะได้"
บุรุษพยาบาล2ทำท่าจะเดินออกไป แล้วรู้สึกแปลกใจว่าห้องคำสูรย์เงียบผิดปกติ และมองผ่านไปที่ช่องมอง เห็นไม่มีเงาของคำสูรย์อยู่ก็ตกใจสุดขีด
"เฮ้ย ซวยละสิ"

บุรุษพยาบาล2 ปีนออกมาที่ระเบียงชั้น3 เห็นพวกคำสูรย์กับณจันทร์ที่ยืนละล้าละลังอยู่ก็ร้องบอก
"หยุดนะ!" บุรุษพยาบาลตะโกนบอกรปภ.ด้านล่าง "คนไข้หนีๆ"
ณจันทร์และคำสูรย์ชะงัก หันไปมองอย่างตกใจ
"เอาไงดีครับ คุณหนู มันจะตามมาจับเราแล้ว"
"หลบเข้าไปข้างในตึกก่อน"
คำสูรย์และณจันทร์วิ่งมาตามระเบียงก่อนที่จะปีนเข้าไปที่หน้าต่างของห้องหนึ่ง บุรุษพยาบาล2รีบวิ่งตามไป

รปภ.1 ยังคงตรวจดูห้องถัดไปซึ่งค่อนข้างมืด เป็นห้องที่มีสัตว์สต๊าฟวางเรียงรายอยู่ เสียงวอดังขึ้น รปภ.1ยกขึ้นรับ
"ทราบแล้วเปลี่ยน"
"วอ2 มีคนไข้หนีจากชั้นสาม เป็นชายวัยกลางคนชื่อคำสูรย์ พร้อมผู้หญิงอีกหนึ่งคน ไม่ทราบชื่อ เปลี่ยน" บุษพยาบาลบอก
รปภ.1แปลกใจที่ลักษณะไม่เหมือนกับคนที่เขาตามอยู่เลย
"ผู้หญิงเหรอวะ? ที่ชั้นสองไม่มีอะไรผิดปกติ เปลี่ยน"
ระหว่างที่พูด รปภ.1ก็เดินและกราดไฟฉายไปที่ตัวสัตว์สต๊าฟที่วางเรียงรายอยู่ ผ่านเสือตัวหนึ่งไป ทันใดนั้นเขาก็ชะงัก หันกลับมามอง
"มีตัวนี้ตั้งแต่เมื่อไรวะ"
รปภ.1 เข้าไปมองใกล้ๆเสือตัวนั้น และเอาไฟฉายส่องไปทั่วตัว ก่อนจะมาหยุดที่หน้าของเสือ แววตาของเสือนิ่งอยู่สักพัก แล้วเคลื่อนลูกตาไปมามอง รปภ. ตกใจสุดขีดที่เห็นเสือมีชีวิต ทันใดนั้นมันก็คำรามลั่น รปภ.รีบวิ่งหนีแต่โดนเสือตัวนั้นกระโจนขึ้นคร่อมแล้วตะปบเข้าอย่างแรง จนเลือดสาดกระจาย

รปภ.3ที่กำลังวิ่งขึ้นบันไดมาบนตึก ได้ยินเสียงวอ.ขาดหายไป
"วอ2ๆ ยังอยู่หรือเปล่า ได้ยินแล้วตอบด้วย เปลี่ยน"
"อ๊ากส์!W
รปภ.3 ตกใจกับเสียงร้องโหยหวนผ่านวอนั้น

วอ.ตกอยู่ที่พื้นในห้องสัตว์สต๊าฟ มีเสียงเรียกให้ตอบ บนพื้นใกล้ๆกัน รปภ.นอนตายอยู่อย่างสยดสยอง

บุรุษพยาบาล2 วิ่งเปิดประตูห้องทุกห้องของชั้นสาม แต่ไม่พบ ภายในห้องหนึ่งคำสูรย์และณจันทร์หลบอยู่มุมหนึ่งในห้องนั้นเอง
บุรุษพยาบาลชะงัก รู้สึกเหมือนมีใครยืนอยู่ด้านหลังในเงามืด
"ใครน่ะ"
บุรุษพยาบาล2มองเห็นชายคนหนึ่งโผล่จากหลังเงามืดออกมาเป็นรปภ.1 แต่กลับไม่มีรอยบาดแผลอะไรเลย แต่แววตานิ่ง เลื่อนลอยผิดปกติ
"นึกว่าใคร นายคำสูรย์หนีไป มีผู้หญิงที่ไหนก็ไม่รู้อยู่ด้วย จะออกเวรแล้วแท้ๆ ยังมีเรื่องยุ่งอีก เอางี้ เดี๋ยวฉันแยกไปดูทางขวา ส่วนนายแยกไปดูทางซ้ายแล้วกันนะ"
รปภ.1พยักหน้ารับอย่างเย็นชา บุรุษพยาบาล1จึงหันหลังไป
รปภ.1 มองบุรุษพยาบาล2 ที่กำลังเดินออกไป ณ บริเวณนั้น คนที่ยืนอยู่ หาใช่รปภ. ไม่ แต่เป็นพรหมพยัคฆ์ที่กำลังยืนมองอยู่อย่างน่ากลัว

ณจันทร์และคำสูรย์วิ่งมาถึงที่บันไดหนีไฟ มีรปภ.สองสามคนอยู่แถวนั้น
"เดี๋ยวฉันจะล่อพวกนั้นไปอีกทางเอง อารีบออกไปเลยนะ ไม่ต้องห่วงฉัน"
ณจันทร์สั่ง ก่อนวิ่งไปอีกทางหนึ่ง รปภ.สังเกตเห็นแล้วรีบวิ่งตาม คำสูรย์รอจนคนไปหมดแล้วจึงวิ่งไปที่ประตูเปิดไปสู่บันไดหนีไฟ
อ่านต่อหน้าที่ 3


เสือ ตอนที่ 4 (ต่อ)
พวกรปภ.วิ่งตาม แต่ณจันทร์หลบอยู่ เมื่อเห็นว่าไม่มีคนแล้ว จึงวิ่งไปอีกทาง แต่กลับชนกับคนๆหนึ่ง

ณจันทร์ชะงัก มองบุรุษพยาบาล2ที่ยืนอยู่ อย่างตกใจ
บุรุษพยาบาล2 จับณจันทร์มัดอยู่ในห้องขังคนบ้า ณจันทร์พยายามดิ้นหนี
"ปล่อยฉันนะ ปล่อย!"
"ดิ้นอย่างนี้ สงสัยต้องให้ยาแล้วละมั้ง"
บุรุษพยาบาลไปหยิบยามา เป็นเข็มฉีดยาสลบ และกำลังจะฉีดให้ณจันทร์
"ไม่นะ ไม่!"
เสียงดังขึ้นที่หน้าประตู บุรุษพยาบาล2 ชะงัก วางเข็มฉีดยาลง แล้วเดินตรงไปที่ประตูซึ่งมีช่องมองอยู่ มองเห็นรปภ.1 ยืนอยู่ด้านนอก
"เจอพวกมันแล้วเหรอ"
บุรุษพยาบาล2บอก
"เจอแล้วคนหนึ่ง ผู้หญิงที่ไหนก็ไม่รู้ แรงเยอะชะมัด กว่าจะจับมัดตัวได้"
รปภ.1มองเข้าไปในห้อง เห็นณจันทร์ที่กำลังพยายามดิ้นจากที่มัดอยู่ เธอมองไปที่ข้างนอกแล้วก็ตกใจสุดขีด เมื่อคนที่เธอเห็นยืนอยู่คือ พรหมพยัคฆ์ !!
"เปิดประตูทีสิ เดี๋ยวฉันจะเข้าไปช่วย"
บุรุษพยาบาล2 ไขกุญแจ ณจันทร์รีบร้องตะโกนห้าม
"อย่าเปิดล็อกนะ เขาไม่ใช่เพื่อนของคุณ"
บุรุษพยาบาล2 ชะงัก มือที่กำลังไขกุญแจ หันมามอง
"พูดอะไรวะ เพ้อใหญ่แล้วยายนี่"
"อย่าให้มันเข้ามานะ มันไม่ใช่คน มันเป็นเสือ!"
บุรุษพยาบาล2 งงสิ่งที่ณจันทร์พูด เอามือจับประตูค้างไว้ พรหมพยัคฆ์ทนรอไม่ไหว ใช้พลังผลักประตูออกไป กระแทกบุรุษพยาบาล2 จนทรุดกับพื้น
"ไม่!"
บุรุษพยาบาล2 พยายามลุกขึ้นมา
"นี่แกเป็นบ้าอะไรวะ"
บุรุษพยาบาล2 พูดยังไม่ทันจบก็โดนพรหมพยัคฆ์จับคอ ก่อนที่จะบิดทีเดียวดังกร็อบ คอหักตายคาที่ ทรุดลงตรงนั้น
พรหมพยัคฆ์ยิ้มให้ณจันทร์อย่างเหี้ยมโหด
"เราเจอกันอีกแล้วนะ"
ณจันทร์มองหน้าพรหมพยัคฆ์อย่างหวาดหวั่น
พรหมพยัคฆ์ยืนตรงหน้า ณจันทร์ไม่ได้ถูกมัดไว้แล้ว
"คุณทำให้ผมเหนื่อยมากรู้ไหมณจันทร์ จะให้ผมบอกคุณกี่ครั้งกี่หนว่ายังไงคุณก็ไม่มีวันหนีผมพ้น ถึงคุณมาไกลแค่ไหน ผมก็จะต้องตามเจอจนได้"
"ฉัน เอ่อ ฉันแค่มาเที่ยวเท่านั้น ไม่คิดว่าคุณจะตามมา"
พรหมพยัคฆ์เสียงดัง
"โกหก แล้วไอ้พรานคนนั้นมันมาเกี่ยวอะไรด้วย คุณจะมาพามันออกจากโรงพยาบาลบ้าทำไม"
ณจันทร์อ้ำอึ้ง พรหมพยัคฆ์มองอย่างรู้ทัน
"คุณต้องการมันใช่ไหม คุณคิดว่ามันจะช่วยคุณได้ คุณคิดจะแก้คำสาปเสือสมิงใช่ไหม ณจันทร์"
"เปล่านะ คือฉันแค่อยากจะช่วยเขา"
"ผมไม่ชอบคนโกหก อย่ามาหลอกกัน ผมไม่ใช่คนโง่" พรหมพยัคฆ์จับแขนณจันทร์ดึงมาใกล้ "เห็นทีผมคงจะไว้ใจคุณไม่ได้อีกแล้ว คุณจะต้องไปกับผมเดี๋ยวนี้"
"คุณจะทำอะไรฉัน"
พรหมพยัคฆ์เสียงเหี้ยม
"ผมแค่จะเอาตัวคุณกลับกรุงเทพ ให้คุณไปอยู่ในปราสาทของผม ไม่ต้องออกไปไหนทั้งสิ้น รอเวลาที่จะเป็นราชินีของผม จนกว่าจะพ้นเพ็ญเดือนแปดผมจะไม่ให้คุณห่างหูห่างตาผมอีกแล้ว"
"ไม่นะ"
เธอพยายามดิ้นหนี ขัดขืนพรหมพยัคฆ์ ใช้กรงเล็บของเธอข่วนไปที่หน้าของเขา แต่พรหมพยัคฆ์กำลังแข็งแงกว่า รวบตัวเธอขึ้นมา แต่ทันใดนั้นก็มีมือหนึ่งเอาเก้าอี้ฟาดพรหมพยัคฆ์จากด้านหลัง
พรหมพยัคฆ์ชะงัก ไม่สะดุ้งสะเทือน แต่หันไปมองอย่างแค้น เห็นคำสูรย์ยืนอยู่
"ปล่อยคุณหนูไปนะไอ้เสือผี"
พรหมพยัคฆ์มองคำสูรย์อย่างครุ่นคิด
"นี่แกแก่ลงไปมาก ครั้งสุดท้ายที่ฉันเจอแก มันก็…เมื่อยี่สิบปีที่แล้วสินะ"
คำสูรย์มองพรหมพยัคฆ์อย่างไม่ไว้ใจ
"แกคงจำฉันไม่ได้ เพราะฉันไม่ได้อยู่ในสภาพนี้ ฉันอยู่ในร่างที่ศักดิ์สิทธิ์ ร่างของผู้ล่าที่เข้มแข็ง"
คำสูรย์นิ่งมองตาพรหมพยัคฆ์ แล้วก็เกิดภาพซ้อนของเสือที่เขาเจอเหมือนยี่สิบปีก่อน

คำสูรย์ลอบมองเหตุการณ์อยู่หลังพุ่มไม้ เห็นพระธุดงค์กำลังยืนประจันหน้ากับเสือ คำสูรย์ลังเลอยากจะออกไปช่วยแต่ก็กลัว

"เวรของผู้จองเวร ย่อมไม่ระงับไปได้ เวรของผู้ไม่จองเวร ย่อมระงับดับได้"
คำสูรย์ยกมือขึ้นกำเขี้ยวเสือที่คอไว้แน่น จังหวะนั้นเสือพุ่งกระโจนเข้ากัดพระธุดงค์ สิ้นใจตายแล้ว คำสูรย์ถอยตัวหลบหลังพุ่มไม้ทันที เค้ายกมือปิดปากตัวเองท่องคาถาพึมพำสั่นด้วยความกลัว อีกมือกำเขี้ยวเสือแน่น คำสูรย์ก็ค่อยๆ เห็นว่าเสือตนนั้นได้กลายร่างเป็นคนและค่อยๆหันหน้ากลับมา เป็นพรหมพยัคฆ์ในร่างเปลือยเปล่านั่นเอง

คำสูรย์ตกใจสุดขีด
"แก…แกคือเสือตัวนั้นเองเหรอ"
"แกจำฉันได้แล้วใช่ไหม ถ้าพระธุดงค์นั่น ไม่เข้ามายุ่งก่อน แกคงไม่มีชีวิตรอดมาถึงวันนี้หรอก ฉันไม่น่าปล่อยแกไว้จริงๆ ให้แกมาเอาณจันทร์ไปจากฉันอีกแต่ไม่ต้องห่วง วันนี้เป็นวันตายของแกแล้ว"
พรหมพยัคฆ์กางกรงเล็บออกมาแล้วก็เล่นงาน คำสูรย์พยายามปัดป้อง แต่โดนทำร้ายจนเลือดไหล
ณจันทร์ทำอะไรไม่ถูก หันไปมองเห็นเข็มฉีดยาที่วางอยู่ ตัดสินใจหยิบขึ้นมาและพุ่งไปหาพรหมพยัคฆ์ที่ด้านหลัง ขณะที่เขากำลังจะเงื้อมือจิกกรงเล็บไปที่คอคำสูรย์
เธอปักเข็มฉีดยาปักไปที่หลังพรหมพยัคฆ์ เขาทรุดลงเพราะโดนยาสลบเข้าไป
"ไปเร็วอาคำสูรย์"
ณจันทร์รีบลากเอาตัวคำสูรย์ออกไป

ณจันทร์พาคำสูรย์ออกมาที่ระเบียง เห็นไม่มีคนอยู่ด้านล่างแล้ว
"ไม่มีคนแล้ว โดดลงไปเลยลุง"
คำสูรย์มองเห็นระเบียงสูงจากพื้นมาก เริ่มหน้าซีด

บุรุษพยาบาลพาชายบ้าคนเดิมเข้ามาในห้องชั้น 2
"เดี๋ยวกินยาสักเม็ดแล้วกันนะ"
บุรุษพยาบาลหันไปเตรียมยา

ณจันทร์จับตัวคำสูรย์ไว้
"ไม่ต้องกลัวนะอา ฉันขึ้นมาได้ ฉันก็พาลงไปได้"
ณจันทร์จับแขนคำสูรย์พาดบ่าตัวเอง แล้วทั้งสองก็กระโดดลงจากชั้น 3

ชายบ้าเหม่อออกไปที่หน้าต่างชั้น 2 ทันใดก็มองเห็นณจันทร์กระโดดลงมาพร้อมคำสูรย์ ชายบ้าตกใจสุดขีด
"มันลงมาแล้ว! คราวนี้มันลงมาสองคนเลย เห็นไหม"
บุรุษพยาบาลส่ายหน้ากำลังจะหันมา ไม่เห็นอะไรที่หน้าต่าง
"สงสัยต้องขอหมอเพิ่มยาเป็นสองเม็ดแล้วละมั้ง"
"ไม่มีใครเห็นมันเลยเหรอ โธ่ นี่ฉันบ้าจริงๆเหรอวะเนี่ย"

คำแปงมาถึงบริเวณที่จอดรถพอดี มองข้ามรั้วไป เห็นณจันทร์กับคำสูรย์ล้มอยู่กับพื้น คำแปงมองขึ้นไปที่หน้าต่างชั้น 3 ที่เปิดอยู่ และมีเสียงคนไข้โหวกเหวก ก็อดชะงักไม่ได้
"คุณหนู ทางนี้คะ"
คำแปงมารอรับคำสูรย์ที่ปีนข้ามกำแพง ณจันทร์มาถึงกำแพง และกระโดดลงมา คำแปงอ้าปากค้าง
ณจันทร์หันกลับไปมอง กลัวพรหมพยัคฆ์จะตามออกมา
"รีบไปกันเถอะ น้าคำแปง"
ทั้งหมดรีบขึ้นรถออกไปกัน ที่สนาม ... เขี้ยวเสือที่คอณจันทร์หลุดอยู่กับพื้น

พรหมพยัคฆ์นอนทรุดอยู่ที่กลางห้อง ลายเมฆเข้ามาเห็น แขนของบายเมฆ มีกุญแจมือที่เปื้อนเลือดอยู่ เขาจัดการกับรปภ.แล้วหนีออกมา เขารีบเข้ามาประคอง
"นายท่าน"
"ฉัน…ถูกยาสลบ..ของพวกมัน"
ลายเมฆรีบดึงเข็มฉีดยาออกจากหลังของพรหมพยัคฆ์
"พาฉันออกไปจากที่นี่เร็ว"
ลายเมฆรีบประคองพรหมพยัคฆ์เดินออกไป

ภายในโรงพยาบาลตอนกลางคืน รถของตำรวจหลายคันวิ่งเข้ามา อาชาลงมาจากรถคันหนึ่งตามด้วยปักษะ อาชาเดินเข้ามาในโรงพยาบาล บ่นๆ
"อะไรวะ เพิ่งมาถึง ก็มีคดีเลย จะไม่ให้ฉันพักมั่งเลยเหรอวะเนี่ย"
"ช่วยไม่ได้ ก็ดวงแกจะสมพงษ์กับพวกคนตายนี่วะ ไปที่ไหน ก็ต้องมีคนตายที่นั่น"
"นี่แกหาว่าฉันเป็นตัวซวยเหรอวะ"
"ผู้หมวดครับ ทางนี้ครับ"
ตำรวจเรียกให้อาชาและปักษะ เดินไปทางตึกหลังของโรงพยาบาล

ภายในห้องสต๊าฟสัตว์ ในตึกของโรงพยาบาล มีศพของ รปภ.1 ที่นอนตายอยู่ เลือดนองพื้น ตำรวจสองสามนายยืนตรวจพื้นที่รอบๆ
อาชาและปักษะเข้ามาในห้อง ตำรวจพาเดินมาจนถึงศพที่นอนตายอยู่
"ขอโทษทีที่ผมรบกวนให้มา แต่พอดูสภาพศพแล้ว ผมก็นึกถึงคดีที่เกิดที่กรุงเทพ เลยคิดว่าผู้หมวดอาจจะช่วยให้ข้อมูลได้"
อาชาเข้าไปมองดูศพใกล้ๆ เห็นรอยกรงเล็บเสือที่คอของศพรปภ.
"เสืองั้นเหรอ"
"ใช่ครับ ผมเองก็ไม่อยากเชื่อเหมือนกัน กลางเมืองแบบนี้ จะมีเสือหลุดออกมาไล่ฆ่าคน ยิ่งที่นี่เป็นโรงพยาบาล มันยิ่งแทบเป็นไปไม่ได้"
"ผมก็เคยคิดเหมือนคุณ คุณว่ามีคนไข้หายไปด้วยใช่ไหม"
"ใช่ครับ คนไข้ชายชื่อนายคำสูรย์ มีคนพบเห็นว่าหลบหนีออกจากโรงพยาบาล พร้อมกับผู้หญิงคนหนึ่ง"
อาชาชะงัก
"ผู้หญิงงั้นเหรอ"
อาชาทำท่าครุ่นคิด ปักษะเหมือนจะรู้ทัน
"นี่แกคงไม่คิดว่าจะเป็น"
อาชาพูดแทรก
"มีทางเดียวแหละที่จะพิสูจน์ได้"

รปภ.3ที่เป็นพยาน ถูกนำตัวเข้ามาในห้อง อาชาและปักษะนั่งอยู่
"ผมอยากให้คุณชี้ตัวผู้หญิงที่พาตัวคนไข้หนีออกไปหน่อย"
อาชายื่นแผ่นกระดาษแผ่นหนึ่งซึ่งเป็นรูปขยายของณจันทร์ ซึ่งเป็นรูปเหมือนถ่ายของมาจากบัตรประชาชน รปภ.3 ดูแล้วก็ร้องบอก
"ใช่แล้วครับ ผู้หญิงคนนี้แหละครับที่ผมเห็น"
"คุณแน่ใจนะ"
"แน่ยิ่งกว่าแน่อีกครับ หน้าตาแบบนี้ ผมจำได้แม่นเลยครับ"
อาชามีท่าทางมั่นใจ หันมามองปักษะที่กำลังนิ่งอึ้ง ไม่เข้าใจ และไม่อยากเชื่อว่า ณจันทร์จะทำเรื่องแบบนี้ได้

คืนเดียวกัน ณ กระท่อมหลังหนึ่งอยู่เชิงเขา พรานสักที่มีอายุประมาณ 30 กว่าๆ เดินถือตะเกียงนำคำสูรย์ ณจันทร์ และคำแปงขึ้นมาบนบ้าน บรรยากาศดูเหมือนเป็นกระท่อมบ้านชาวเขาทั่วไป บนบ้าน เห็นพรานอีกคนหนึ่งนั่งรออยู่ที่เสื่อ ในมือกำลังสูบบุหรี่ไชโยอยู่ เขาชื่อพรานจุนเป็นชายสูงอายุอายุรุ่นราวคราวเดียวกับคำสูรย์
พรานจุนกับพรานคำสูรย์ต่างพูดคำเมืองใส่กัน
"ไม่เจอกันนานนะคำสูรย์ ตั้งแต่มึงเลิกจับปืน เข้าป่า กี่ปีมาแล้วละ"
" เกือบยี่สิบปีแล้ว" คำสูรย์หันไปพูดกับณจันทร์ เป็นภาษากลาง "นี่พรานจุนเพื่อนของอา เขาจะเป็นคนนำทางเราไปในป่า"
พรานจุนกวาดตามองณจันทร์และคำแปง

รถของพรหมพยัคฆ์ จอดอยู่ในที่รกร้างห่างออกไป เขานั่งพักอยู่จนท่าทางดีขึ้นแล้ว
"เป็นยังไงบ้างครับนายท่าน"
"ยาของพวกมนุษย์มันใช้ได้ผลกับฉันไม่นานหรอก ตอนนี้ฉันพร้อมแล้ว เดินทางต่อเถอะ"
"แล้วเราจะไปไหนกันดีครับท่าน"
พรหมพยัคฆ์นิ่งไปสักพัก แล้วหลับตาลงเหมือนพยายามรวบรวมสมาธิ ทันใดนั้นพรหมพยัคฆ์ก็เหมือนรู้สึกรุนแรงขึ้นมาทันที ร้องขึ้นอย่างยินดี
"ฉันเริ่มรู้สึกถึงเธอแล้ว"
"อยู่ไหนครับ"
"ไม่รู้ รู้แต่ว่าอยู่ไกล…ไกลมาก ออกรถเดี๋ยวนี้ลายเมฆ"
รถของพรหมพยัคฆ์แล่นออกไปอย่างรวดเร็ว

พรานจุนพ่นควันบุหรี่ มองพวกคำสูรย์อย่างครุ่นคิด
" ไอ้สักมันบอกกูหมดแล้ว มึงจะเข้าไปหาหมู่บ้านผาสมิง หมู่บ้านนักล่าเสือ นั่นจริงๆเหรอคำสูรย์ กูไม่เชื่อหรอกนะว่าตำนานเก่าโบร่ำโบราณนั่นมันจะเป็นเรื่องจริง"
" หลวงพ่อเป็นคนบอกกูเองว่าเคยไปที่หมู่บ้านป่าผาสมิง ท่านไม่โกหกหรอก"
" แต่มึงจะเข้าไปทำไม ป่าลึกออกอย่างนั้น ไม่รู้ต้องเดินเท้าไปอีกกี่วันจะถึง"
" หลานกูเขาทำหนังสือ เขากำลังจะเขียนเรื่องตำนานของหมู่บ้านนี่ เลยอยากจะเห็นมันกับตาของเขาเอง แต่กูจะต้องไปถึงที่นั่นก่อนคืนวันเพ็ญเดือนหน้านะ"
"ต้องรีบส่งต้นฉบับน่ะค่ะ"
"กูแก่กว่าเมื่อยี่สิบปีก่อนมาก ขาก็ล้า ตาก็ฟาง ไม่แน่ใจว่าจะนำทางไกลขนาดนั้นไหวหรือเปล่า"
คำสูรย์เหมือนจะรู้ทัน หัพยักหน้ากับณจันทร์ แล้วเธอก็หยิบเงินจากกระเป๋ามาปึกหนึ่งและวางลง
พรานจุนและพรานสักมองเห็นเงินก็เริ่มตาวาว
"เท่านี้ ขากับตาของมึงคงจะทำงานได้ดีเหมือนเดิมใช่ไหม"
พรานสักจะเอื้อมมือไปหยิบเงิน แต่พรานจุนเอามือกั้นไว้ ท่าทางสงสัย
"เดี๋ยว แค่อยากไปเห็นแน่นะ แน่ใจนะว่ามึงไม่มีจุดมุ่งหมายอื่น"
คำสูรย์ชะงัก นิ่งไป

รถของพรหมพยัคฆ์วิ่งมาถึงถนนทางแยก มีทางไปทั้งซ้ายและขวา
"ทางไหนครับนายท่าน"
พรหมพยัคฆ์ตั้งสมาธิ แล้วก็บอกลายเมฆ
"ไปทางซ้าย เดี๋ยวนี้เลย"
ลายเมฆเลี้ยวรถไปตามที่พรหมพยัคฆ์บอกทันที

คำสูรย์เงยหน้ามองพรานจุน ท่าทางเหมือนปรกติ
"ไม่มี"
" พรานนำทางต้องรู้ว่าคนที่เข้าป่าไป ไม่ได้คิดจะทำผิดผี ไม่เช่นนั้นผีป่าผีดอยจะลงโทษ ไม่ให้กลับออกมาได้อีก"
คำสูรย์นิ่งไปนิดหน่อย ก่อนพูดต่อ
" ไม่มีอะไรหรอกนะ หลานกูแค่อยากจะได้ภาพหมู่บ้าน นั่นเท่านั้นเองจริง ๆ"
พรานจุนเริ่มวางใจ หยิบเงิน และหันไปพยักหน้ากับพรานสัก

คำสูรย์พาณจันทร์และคำแปงเข้ามาในห้องหนึ่งในกระท่อม
" คุณหนูนอนที่นี่นะครับ เดี๋ยวผมจะไปเอาหมอนมุ้งมาให้"
คำแปงไปเปิดหน้าต่าง แต่แล้วณจันทร์ก็ชะงัก ทำท่าเหมือนหนาวเยือกขึ้นมา
"คำแปงคุณหนูหนาวเหรอคะ"
คำแปงรีบปิดหน้าต่าง
"ไม่ใช่ ... อาคำสูรย์ ฉันรู้สึก"
คำสูรย์มองหน้า เข้าใจ และเริ่มกลัว
"พวกมันเหรอครับคุณหนู นี่มันตามมาอีกแล้วเหรอ"
คำแปงเริ่มเข้าใจ แย้งขึ้นมา
"ไม่จริงหรอกคะ พวกมันจะรู้ได้ยังไงละคะ ในเมื่อคุณหนูยังใส่เขี้ยวเสืออยู่"
ณจันทร์จับที่คอตัวเองตามสัญชาตญาน แล้วก็ต้องตกใจเมื่อรู้ว่าเขี้ยวเสือไม่ได้อยู่ที่คอแล้ว มองไปที่คำสูรย์ซึ่งตกใจเหมือนกัน

พวกของณจันทร์เข้ามาในห้องพระ บนหิ้งพระ มีพระพุทธรูป และสิ่งศักดิ์สิทธิ์วางอยู่ และพานซึ่งใส่ห่อของอยู่หลายห่อ
คำสูรย์พยายามจะค้นของขลังที่มีอยู่ แต่ก็ยังไม่เจอสิ่งที่ต้องการ
"ต้องมีสิ มันต้องมี"
คำสูรย์ค้นไปเรื่อยๆ จนแกะห่อมาห่อหนึ่ง ซึ่งมีเขี้ยวเสือเส้นหนึ่งอยู่ในนั้น
คำสูรย์รีบหยิบเขี้ยวเสือออกมา แล้วพนมมือท่องมนต์ ก่อนที่จะเอาคล้องใส่ให้ณจันทร์

พรหมพยัคฆ์ชะงัก รู้สึกไม่เหมือนเดิม
"เธอหายไปอีกแล้ว ณจันทร์ต้องรู้ตัวแล้วแน่ๆว่าฉันกำลังตามหาเธออยู่"
พรหมพยัคฆ์หงุดหงิดมาก
"แล้วจะเอายังไงต่อไปดีครับนายท่าน"
"ฉันจะลองดูอีกครั้ง"
พรหมพยัคฆ์หลับตาลง พยายามเพ่งกระแสจิตมากขึ้นกว่าเดิม เหงื่อเริ่มผุดขึ้นที่หน้าผาก
"มีหมอกอยู่เต็มไปหมด แต่มีช่องเล็กๆอยู่ ฉันเริ่มจะมองเห็นเธอแล้ว"
พรหมพยัคฆ์ลืมตาขึ้น หอบหายใจอย่างรู้สึกเหนื่อยอย่างเห็นได้ชัด
"ตามไปทางนี้เรื่อยๆ"

คำแปงโล่งใจ เมื่อเห็นณจันทร์ใส่เขี้ยวเสือ
"เฮ้อ โล่งอกไปที"
"คุณหนูยังไม่พ้นจากอันตราย"
"อ้าว แต่…"
"เขี้ยวเสืออันใหม่นี่ ไม่ใช่ของที่ปลุกเสกตามพิธีจริงๆ มันไม่มีอำนาจแรงพอที่บดบังคุณหนูจากพวกมันได้ แค่ช่วยถ่วงเวลาให้พวกมันต้องใช้พลังมากในการตามหาคุณหนูเท่านั้น"
คำแปงโอดครวญ
"โธ่ แล้วทำไมพี่ไม่ปลุกเสกเยอะๆกว่านี้ละ มัวแต่เอาเวลาไปกินเหล้าหมด"
"แล้วเราจะทำยังไงดีละ"
"มันต้องใช้เวลาในการตามหาเรา ยังไงมันก็คงยังไม่มาถึงวันนี้แน่ แต่พรุ่งนี้เราจะต้องรีบออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุด"
พรานสักเดินเข้ามาในห้องอย่างแปลกใจ
"เกิดอะไรขึ้น เข้ามาในนี่ทำไมกัน"
คำสูรย์รีบตอบ
"ไม่มีอะไรหรอก หลานกูนอนไม่หลับเพราะแปลกที่ กูเลยพามาไหว้พระไหว้เจ้าซะก่อน"
พรานสักทำท่าไม่สงสัยอะไร และเดินออกไป พอเห็นว่าอยู่ตามลำพังแล้ว คำสูรย์จึงหันมาพูดกับณจันทร์
" จำไว้นะครับคุณหนู ก่อนที่จะไปถึงหมู่บ้านผาสมิง คุณหนูจะให้ใครรู้เรื่องคำสาปเสือสมิงไม่ได้ โดยเฉพาะไอ้พรานสองตัวนี่ ไม่งั้นมันจะเป็นอันตรายต่อตัวคุณหนูเอง"
ณจันทร์พยักหน้ารับ แต่ก็กังวล ไม่รู้แผนจะสำเร็จหรือไม่

ภายในห้องพักของโรงแรม อาชากำลังนอนหลับอยู่เตียงหนึ่ง ส่วนปักษะกำลังยืนอยู่ที่ระเบียง ครุ่นคิด สับสนกับเรื่องทั้งหมด
ปักษะมองขึ้นไปบนท้องฟ้าเห็นดวงจันทร์ครึ่งดวง

ในกระท่อม ณจันทร์และคำแปงนอนอยู่ในมุ้ง คำแปงหลับไปแล้ว แต่ณจันทร์ยังพลิกตัวนอนไม่หลับ ในใจนึกถึงแต่ปักษะ เธอพึมพำกับตัวเองเบาๆ
"คุณไม่เข้าใจหรอกปักษะ..ฉันมันไม่เหมาะกับคุณ"
ณจันทร์หลับตาลง
นอกหน้าต่างของกระท่อม พระจันทร์ครึ่งดวง ทอแสงลงมา

เช้าวันต่อมา พรานจุน คำสูรย์ ณจันทร์ คำแปง อยู่หน้ากระท่อม ทุกคนแต่งตัวทะมัดทะแมงพร้อมที่จะเดินทาง
พรานสักเดินออกมาจากกระท่อมพร้อมกับของห่อใหญ่ วางลงและคลี่ผ้าออก เป็นอาวุธ และอุปกรณ์สำหรับเดินป่าหลายชิ้น
คำสูรย์เอื้อมมือจะไปเลือกอาวุธและอุปกรณ์ แต่พรานจุนเอามือมาขวางไว้ คำ
"อาวุธเป็นของพรานนำทาง ... มึงไม่ต้องพกหรอกคำสูรย์"
พรานจุนคว้าปืนมาสะพาย พรานสักก็เช่นกัน คำสูรย์มองอย่างไม่พอใจนัก
"แต่ป่ามันอันตราย ข้าก็ควรมีอะไรไว้ป้องกันตัวบ้างนะ"
พรานจุนกับสักหันมอง คำสูรย์สีหน้าจริงจัง ทั้งคู่หันมองหน้ากัน ก่อนที่สักจะพยักหน้าให้จุน จุนยักไหล่ช่วยไม่ได้ เค้าก้มหาอาวุธในห่อ คำสูรย์ยิ้มดีใจจะได้อาวุธ แล้วจุนก็โยนไม้ง่ามเล็กๆที่ไว้ยิงนกให้ คำสูรย์รับมามอง ไม่พอใจนัก จุนกับสักหัวเราะ
"ข้ามีให้ได้แค่นั้นล่ะ คงพอจะป้องกัน นก กระต่ายป่าได้บ้าง"
คำสูรย์ทำท่าจะเดินไปเอาเรื่อง ณจันทร์เอื้อมมือมาจับแขนเตือนไว้ คำสูรย์หยุด หันมองณจันทร์ก่อนจะพยักหน้ายอมอย่างไม่เต็มใจเท่าไรนัก เค้าก้มมองไม้ง่ามในมือ ถอนหายใจเซ็งๆ
"ทางข้างหน้าทั้งไกลทั้งลำบาก น้าคำแปงกลับไปตอนนี้ก็ยังทันนะ"
"มาจนถึงป่านนี้แล้ว จะให้น้าไปไหนกันละคะ น้าขอตามไปปกป้องคุณหนู จะเดินขึ้นเขากี่ลูกๆ น้าก็ไม่บ่นหรอกคะ"
"จอดรถไว้ที่นี่ จากนี้เราจะต้องเดินเท้าเข้าไปกัน"
"หา เริ่มเดินตั้งแต่ตอนนี้เลยเหรอ" คำแปงถาม
"ไหนบอกว่าไม่บ่นไง"
คำแปงทำหน้ามู่ แต่ก็เดินตามพรานจุนและพรานสักไป ทั้งหมดมุ่งหน้าขึ้นเขาเข้าไปในป่า

อ่านต่อหน้าที่ 4 


เสือ ตอนที่ 4 (ต่อ)
หน้าบ้านนวล รถของปักษะจอดอยู่ ทั้งคู่กำลังนั่งคุยกับนวล

"ป้าไม่รู้จริงๆคะ ว่าณจันทร์มาที่นี่ คิดว่าเขายังทำงานอยู่ที่กรุงเทพ"
"คุณป้าไม่ทราบเลยเหรอครับว่าคุณณจันทร์ขึ้นมาเชียงใหม่ตั้งแต่เมื่อไร"
"โธ่ ถ้าป้าทราบ ป้าก็ไม่ร้อนใจแบบนี้หรอก นี่หลานป้าคงถูกไอ้พวกบ้านั่นตามตัวอยู่แน่ ถึงต้องหนีมาถึงที่นี่"
อาชาชะงัก
"พวกไหนครับ"
"ก็ไอ้พวกที่มาจากกรุงเทพ เมื่อวันก่อนมันมาตามหาณจันทร์ที่นี่ ป้าบอกว่าไม่อยู่ มันก็บีบคอป้า จะถามให้ได้ว่าณจันทร์ไปอยู่ไหน นี่ดีนะว่าพวกคนงานเข้ามาเห็นเสียก่อน ถึงไล่ให้พวกมันกลับออกไปได้"
ปักษะร้อนใจ
"คุณป้ารู้ไหมครับว่าพวกมันเป็นใคร"
"ป้าไม่เคยรู้จักมันมาก่อน แต่เคยเห็นหน้ามันตามหนังสือพิมพ์ ก็ไอ้เศรษฐีที่เพิ่งมาเปิดบริษัทขายเหล้าในเมืองไทย เอ…ชื่ออะไรนะ"
"พรหมพยัคฆ์"
"เออใช่ ไอ้นั่นแหละ"
ปักษะทำท่าร้อนใจขึ้นมาทันที เมื่อรู้ว่าพรหมพยัคฆ์มาตามหาณจันทร์
"เท่าที่รู้เขาเป็นลูกค้าของคุณณจันทร์..แล้วเขาตามมาที่นี่ทำไม"
"บางทีเขาทั้งสองคนอาจจะนัดพบกันที่นี่ก็ได้ ทั้งสองคนอาจมีธุรกิจอะไรบางอย่างร่วมกันที่ทั้งแกและฉันไม่มีวันรู้"
นวลได้ยินเริ่มโมโห
"คุณพูดแบบนี่หมายความว่าไง หลานฉันจะไปรู้จักคุ้นเคยกับไอ้คนเลวๆแบบนั้นได้ยังไง ตาบอดหรือไง ถึงมองไม่ออกว่า คนไหนเป็นคนดี คนไหนเป็นคนร้าย"
"แล้วคุณณจันทร์คนดีของป้าไปเอาตัวคนไข้ออกจากโรงพยาบาลบ้าทำไมละครับ"
"ฉันไม่รู้ แต่ฉันเชื่อว่าหลานของฉันต้องมีเหตุผล"
"เหตุผลที่ต้องหลบตำรวจงั้นเหรอครับ"
ป้านวลลุกขึ้นจะเดินออกไป ในที่สุดปักษะก็ตัดสินใจ
"คุณป้าครับ บอกมาเถอะครับว่าณจันทร์อยู่ที่ไหน ผมจะไปช่วยเธอเอง"
ทั้งอาชาและนวลต่างนิ่งอึ้งกับท่าทีมุ่งมั่นของปักษะ

ภายในกระท่อมนายพราน มุ้ง ที่นอน กับผ้าห่มที่ณจันทร์นอนอยู่เมื่อคืนถูกเหวี่ยงกระเด็นออกมาข้างนอก
พรหมพยัคฆ์กับลายเมฆเดินออกมา พรหมพยัคฆ์ถือหมอนที่ณจันทร์นอนหนุนอยู่เมื่อคืนยกขึ้นดม
"เราตามมาถูกทางแล้ว เมื่อคืนเธออยู่ที่นี่จริงๆ"
พรหมพยัคฆ์จิกหมอน นุ่นกระจายเต็ม ดวงตามุ่งมั่นจะตามหาณจันทร์ให้จนเจอ

ปักษะกับอาชา เดินจากบ้านนวลมาที่รถซึ่งจอดอยู่หน้าบ้าน
"แกหวังมากเกินไป เห็นชัด ๆ อยู่แล้วว่าเขากลัวว่าฉันจะเอาหลานเขาเข้าคุก เรื่องอะไรเขาจะบอกว่าหลานเขาอยู่ที่ไหน"
" นั่นซี ถ้าแกไม่อยู่ด้วยเขาอาจจะบอกฉัน"
ทั้งสองเดินมาจนถึงรถ แล้วปักษะก็หยุดคิด

นวลงคุยอยู่กับแสงในห้องรับแขก อย่างหงุดหงิดมาก
"หมู่บ้านผาสมิง ...คำสูรย์มันบอกแกอย่างนั้นเหรอ"
"ครับ ตอนแรกผมก็คิดว่าน้าแกเพ้อไปเหมือนที่เคยเป็น แต่ลองหายไปแบบนี้ ผมว่าแกต้องพาคุณหนูไปที่หมู่บ้านผาสมิงนั่นแน่ ๆ"
นวลบ่นอย่างไม่พอใจ
"ต้องตายกันให้หมดหรือยังไง ถึงจะเลิกคิดเรื่องนี้"
"คิดเรื่องอะไรครับ" เสียงปักษะดังถามเข้ามา
นวลชะงักหันไปมองที่ประตู ปักษะยืนอยู่ที่นั่น เขาเดินเข้ามา
"แล้วหมู่บ้านผาสมิงนี่มันอะไร"
นวลยังไม่ยอมพูดอะไร
"ณจันทร์กำลังเดือดร้อนใช่ไหมครับ ทำไมไม่เล่าทุกอย่างให้ผมฟัง ผมอยากจะช่วยณจันทร์จริง ๆ นะครับ"
"ณจันทร์น่ะ เขาถูกคำสาปเสือสมิง แล้วคำสูรย์ก็กำลังพาณจันทร์ไปถอนคำสาปที่นั่น"
ปักษะชะงัก ไม่อยากจะเชื่อว่าจะได้ยินคำนี้ แต่ก็สงวนท่าทีไว้
"อะไรนะครับ...คำสาปเสือสมิง"
"มันเป็นความเชื่อของพวกเราที่นี่ ถ้าคุณไม่เชื่อคุณก็ไม่ต้องมาถามอะไรอีก"
นวลจะเดินออก แต่ปักษะรั้งเอาไว้
"เดี๋ยวครับป้า..แล้วหมู่บ้านผาสมิงที่ว่ามันไปยังไงครับ"
นวลมองปักษะแล้วยิ้มน้อย ๆ อย่างมีความหวัง

ปักษะกำลังเก็บเสื้อผ้าลงกระเป๋า อาชามองอยู่ ทำหน้าไม่เห็นด้วย
"แกเชื่อเรื่องเสือสมิงอะไร ที่ป้านวลนั่นเล่าจริง ๆ เหรอ ถึงจะตามเขาเข้าไปในป่าน่ะ"
"ฉันก็คิดเหมือนแกนั่นแหละ ก็แค่ความเชื่อของชาวบ้าน แต่ที่ฉันเป็นห่วง คือ นายพรพหมพยัคฆ์นั่นมากกว่า อาจจะตามไปทำอะไรณจันทร์ที่นั่น"
"แต่ฉันว่าแกไม่น่าห่วงนะ นายพรหมพยัคฆ์หุ้นส่วนค้าสัตว์ป่าของณจันทร์ของแก เขาต้องคอยดูแลอย่างใกล้ชิดอยู่แล้ว"
ปักษะชะงัก
"เลิกพูดให้ร้ายณจันทร์ได้แล้ว ณจันทร์บริสุทธิ์"

ปักษะรูดซิปกระเป๋าจะเดินออกไป แต่อาชามาขวางไว้
"ฉันไม่ได้ให้ร้าย เมื่อวาน ก่อนที่ฉันจะไปหาแก ฉันได้รับรายงานเกี่ยวกับขบวนการค้าสัตว์ป่าของ สส.คนดัง สายบอกว่าตอนนี้พวกมันมีนายทุนคนใหม่เป็นมหาเศรษฐีจากต่างประเทศ เพิ่งจะเข้ามาทำธุรกิจในเมืองไทย ตรงกับลักษณะของนายพรหมพยัคฆ์เปี๊ยบ"
"แล้วไง มันเกี่ยวข้องกับคุณณจันทร์ตรงไหน"
"ก็คุณณจันทร์เองต้องสงสัยว่าเลี้ยงเสืออยู่แล้ว การที่นายพรหมพยัคฆ์ตามเขามาถึงนี่ มันก็ชัด ๆ อยู่แล้วว่าต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกัน"
ปักษะส่ายหน้าไม่เชื่อสิ่งที่อาชาพูด
"รู้ไหม ไอ้เรื่องณจันทร์ค้าสัตว์ป่าของแกน่ะ มันก็เรื่องเพ้อเจ้อพอ ๆ กับเรื่องเสือสมิงของป้านวลนั่นแหละ ฉันไม่อยากเสียเวลากับแกแล้ว"
แล้วปักษะก็หิ้วกระเป๋าออกจากห้อง อาชาตามออกมาด้วยแล้วหยิบกระเป๋าที่เตรียมไว้แล้ว
ปักษะมอง งง ๆ
"ฉันก็แค่อยากพิสูจน์ให้แกเห็นว่าสมมุติฐานของฉันมันถูกต้อง"
อาชาเดินนำออกไป ปักษะเดินตาม

พรหมพยัคฆ์กับลายเมฆพยายามตามณจันทร์เข้ามาในป่า สูดกลิ่นแล้วยิ้ม
"เธอไปทางนี้แน่...ลายเมฆ"
ทั้งคู่เดินออกไป

ภายในในป่า พรานจุนกำลังล่าสัตว์ แต่ได้ยินเสียงสัตว์วิ่งหนีกันไปหมด พรานสักเล็งสัตว์ตัวหนึ่งอยู่ แต่พอจะลั่นไกสัตว์ตัวนั้นก็หนีไปได้

พรานสักเดินออกมาจากพุ่มไม้พร้อมปืนอยู่ในมือ
"วันนี้มันวันอะไรกันวะ หาสัตว์ล่าไม่ได้สักตัว แม้กระทั่งหนูซักตัวก็ยังไม่โผล่หน้ามาเลย สงสัยฤกษ์จะไม่ดี" พรานสักหงุดหงิด
"แกหมายถึงอะไรวะ จุน" คำสูรย์แกล้งถาม
"ป่าเงียบอย่างนี้มีเหตุอยู่ 2 อย่าง ไม่สิงโตก็เสือ"
ณจันทร์สะดุ้ง ขณะที่พรานสักกับนายจุนตั้งท่าระแวดระวัง
คำสูรย์บอกกับณจันทร์
"สัตว์พวกนั้นมันได้กลิ่นเสือร้าย ถึงพากันหนีเข้าป่าลึก"
"พวกมันกลัวฉัน"
"ไม่ ไม่ใช่ จากสัญญาชติญาณ มันไม่ใช่คุณหนู แต่มันเป็น...เสือ อีกตัว"
"อะไรนะ นี่หมายความว่า"
"ไอ้เสือผีนั่น กำลังตามเรามา"
ณจันทร์รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาทันที คำสูรย์เองก็ไม่สบายใจนัก แล้วทันใดหูของณจันทร์เริ่มรู้สึกผิดปกติ เธอตกใจ
"อาคำสูรย์ ฉันได้ยินเสียงคน"
คำสูรย์ชะงัก เอื้อมมือไปควานหาอาวุธ แต่ก็มีแค่ไม้ง่ามเล็กๆ คำสูรย์ขมวดคิ้วหงุดหงิดใจ สักกับจุนเตรียมพร้อม ทันใดนั้น ก็มีเสียงใบไม้ดังกรอบแกรบ พุ่มไม้ไหว คำสูรย์ลุกขึ้นยืน เอาตัวเป็นกำบังให้ณจันทร์ไว้ ทุกคนต่างมองไปที่พุ่มไม้ ทุกอย่างเงียบไปชั่วครู่ แล้วทันใดพุ่มไม้ก็แหวกออก คำสูรย์ตั้งท่าพร้อมสู้
แต่คนที่เดินออกมา กลายเป็นเจ้าหน้าที่ป่าไม้สองคนที่ไม่ใส่เครื่องแบบ เจ้าหน้าที่ชะงักเมื่อเห็นกลุ่มคำสูรย์
เจ้าหน้าที่1 บอก
"ใจเย็น ๆ พวกเราเป็นเจ้าหน้าที่ป่าไม้"
คำสูรย์ชะงัก ณจันทร์ทำท่าโล่งใจ ในที่สุดก็คำสูรย์ถอนหายใจ

เวลาผ่านไป เจ้าหน้าที่กำลังคุยกับคำสูรย์และคนอื่น ๆ
เจ้าหน้าที่1บอก
"พวกคุณไม่ควรจะเดินลึกเข้าไปกว่านี้นะ อีกไม่ถึงกิโล ก็จะเข้าเขตป่าดงดิบแล้ว ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น เจ้าหน้าที่จะเข้าไปช่วยเหลือได้ลำบาก"
"ครับ ก็คงมากันแค่นี้แหละ เดี๋ยวพอนั่งพักให้หายเหนื่อย เราก็จะกลับกัน"
"พวกเราต้องไปตรวจพื้นที่ต่อ ยังไงขากลับก็ระวังด้วยก็แล้วกัน"
เจ้าหน้าที่ป่าไม้เดินแยกตัวไป
"ขอบคุณมากนะครับ"
เมื่อเจ้าหน้าที่ป่าไม้ไปแล้ว พรานจุนก็เดินเข้ามาหาคำสูรย์
"แกไม่น่าโกหกเจ้าหน้าที่ มีอะไรที่แกไม่ได้บอกฉันหรือเปล่า"
"โกหกอะไร ฉันแค่รำคาญไม่อยากจะตอบคำถามให้วุ่นวายเท่านั้นเอง ตกลงเราจะพักกันที่นี่ใช่มั้ย"
"ขืนเดินต่อกลางคืนมีหวังเป็นเหยื่อเสือแน่ ๆ"

ในป่าอีกมุมหนึ่งเป็นกลุ่มของปักษะ แสงลงมาจากต้นไม้ ปักษะรีบถาม
"เห็นพวกเขาไหม"
"ไม่เห็นครับ คงทิ้งกันไกลแล้ว ผมว่าเราพักกันก่อน แล้วพรุ่งนี้ตรงไปที่หมู่บ้านผาสมิงเลยก็แล้วกัน ต้องเจอพวกเขาที่นั่นแน่"
"ก็ดี"
แล้วกลุ่มของปักษะก็ก่อกองไฟ ให้ลุกโชนในยามค่ำ

อีกมุมในป่า พรหมพยัคฆ์เดินอย่างมุ่งมั่นไปเรื่อยๆ ดูไม่เหน็ดเหนื่อย แล้วทำท่าสูดกลิ่น แล้วพูดอย่างดีใจ
"ฉันได้กลิ่น…กลิ่นควันไฟ ฉันเจอเธอแล้ว ณจันทร์"
พรหมพยัคฆ์มีท่าทางยินดี เร่งฝีเท้า วิ่งไปสู่เป้าหมาย ลายเมฆตามไป

ณ บริเวณแค้มป์ที่พักในป่า กองไฟกำลังคุอยู่ เปลวไฟลามเลีย ใกล้ๆกองไฟ เห็นภาพคนเบลอ ๆ นั่งอยู่ แต่ยังไม่เห็นหน้า พรหมพยัคฆ์วิ่งผ่านป่าอย่างรวดเร็ว ผ่านป่า ต้นไม้ต่างๆ ระยะทางประมาณหนึ่งกิโลเมตร ในชั่วพริบตา แสงสว่างจากกองไฟ ใกล้เข้ามาทุกที

ที่แคมป์ ทันใดพรหมพยัคฆ์ก็ออกมาจากพุ่มไม้ พุ่งตรงไปที่ร่างของคนที่นั่งอยู่ใกล้กองไฟ พร้อมกับเสียงร้องคำรามของเสือดังก้อง
คนที่นั่งอยู่ใกล้กองไฟคือเจ้าหน้าที่ป่าไม้ พรหมพยัคฆ์ตรงเข้าไปใช้มือจับที่คอของเจ้าหน้าที่ ยกขึ้นสูง จนเจ้าหน้าที่ลอยขึ้นมา
เจ้าหน้าที่ 1 พยายามร้องออกมา "ช่วยด้วย"
"ณจันทร์อยู่ไหน"
เจ้าหน้าที่ 1 พยายามดิ้นรนร้องของความช่วยเหลือ ที่เต้นท์ข้าง ๆ เจ้าหน้าที่ 2 ออกมาจากเต้นท์พร้อมกับปืนยาวในมือ
"เฮ้ย แก ทำอะไร"
เจ้าหน้าที่ 2 ลั่นไกจะยิงใส่พรหมพยัคฆ์ แต่ลายเมฆก็เข้ามาจับปืนยกขึ้น กระสุนจึงไม่ถูกพรหมพยัคฆ์ แล้วลายเมฆก็กระชากปืนออกจากมือเจ้าหน้าที่ 2 โยนปืนทิ้งไป
เจ้าหน้าที่ 1 ดิ้นรน พรหมพยัคฆ์กดเล็บคม ๆ ลงไปที่คอเจ้าหน้าที่ 1 จนเลือดไหลออกมา แล้วพรหมพยัคฆ์ก็โยนตัวเจ้าหน้าที่ 1 ที่ตายแล้วทิ้งไป พรหมพยัคฆ์ก็หันมาทางเจ้าหน้าที่ 2 ที่ถอยหลังกรูด และตรงเข้าบีบคอเจ้าหน้าที่ 2
"ณจันทร์อยู่ไหน"
เจ้าหน้าที่ 2 ดิ้นรน
"ผมไม่รู้ ปล่อยผม"
พรหมพยัคฆ์จ้องเขม็งอ่านใจ เจ้าหน้าที่ 2 ยังคงร้องดิ้นรนขอชีวิต
"อย่าทำอะไรผมเลย ผมไม่รู้จริง ๆ"
พรหมพยัคฆ์แน่ใจว่าไม่รู้แน่ ก็จัดการหักคอเจ้าหน้าที่ 2 แล้วโยนศพทิ้งไป
"พวกมันไม่รู้เรื่องเหรอครับ"
พรหมพยัคฆ์ส่ายหน้า
"มันไม่ได้มากับเธอ แต่ฉันเห็นณจันทร์อยู่ในความทรงจำของมัน ... อย่างน้อยฉันก็รู้ว่าฉันมาถูกทางแล้ว"
ลายเมฆมองไปที่เจ้าหน้าที่ทั้ง 2
"แล้วจะเอายังไงกับพวกมันดีครับ"
"แกหิวไม่ใช่เหรอ นั่นแหละ อาหารค่ำของแก"
พรหมพยัคฆ์ก็เดินออกไป

อาชากับแสงเดินเข้ามาด้วยกัน ในมือมีปืนทั้งคู่ ทั้งคู่กลับจากตรวจตราเมื่อได้ยินเสียงปืน
"ว่าไง ตกลงเมื่อกี้มันเสียงอะไร"
"นายแสงเขาบอกว่าเป็นเสียงปืนไรเฟิ้ล อาจจะเป็นของพวกพรานที่มาล่าสัตว์ในป่า หรือเจ้าหน้าที่ป่าไม้"
"แล้วถ้าไม่ใช่ล่ะ"
แสงมองแล้วตอบกลัว ๆ
"ก็อาจจะเป็นพวกปล้น...โจรกลุ่มน้อย หรือไม่ก็... ผีป่า ผีเจ้า มันหลอกเราให้ได้ยินเสียงปืนนั่น"
"นี่นายแสง เชื่อเรื่องนี้ด้วยเหรอ" ปักษะถาม
"ผมเกิดที่นี่ รู้ดีว่าอะไรเป็นอะไร ถ้าคุณ 2 คน ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่"

ยามเช้า อีกสามวันต่อมา กลุ่มของณจันทร์เดินทางมาเรื่อย ๆ ท่าทางคำแปงดูอ่อนแรง แต่คนอื่น ๆ ยังพอมีแรง จนในที่สุดก็ผ่านพ้นป่าดงดิบออกมา ทั้งกลุ่มหยุดยืนมองไปข้างหน้า
ที่ตรงหน้า เขาสูงตระหง่าน มีทางแยกไปได้สองทาง ทางหนึ่งเป็นทางที่ขรุขระและชัน แต่อีกทางค่อนข้างเรียบ มีต้นไม้อยู่ประปราย
คำแปงถาม
"จะไปทางไหนละเนี่ย"
"ไปได้ทั้งสองทางนั่นแหละ แต่ทางที่ชันน่ะเป็นทางขึ้นเขา อีกทางที่เรียบกว่าเป็นทางอ้อมเขา"
คำแปงหันไปหาคำสูรย์
"ฉันว่าอ้อมไปดีกว่านะพี่ ขาของฉันมันจะได้ไม่บวมมากไปกว่านี้"
คำสูรย์มองไปที่สองทาง และครุ่นคิด

พรหมพยัคฆ์ย่ำตามทางมาเรื่อย มุ่งมั่นตามหาณจันทร์ แต่ลายเมฆดูเหนื่อยล้า เดินช้าลง จนพรหมพยัคฆ์หันมาดุ
"แกนี่เป็นตัวถ่วงจริง ๆ ถ้าณจันทร์แก้คำสาปได้ทันละก็ ฉันไม่ปล่อยแกไว้แน่"
ลายเมฆเร่งฝีเท้าขึ้นอย่างกลัวๆ
เวลาผ่านไป ทั้งคู่มาถึงจุดเดียวกับที่ณจันทร์มาถึงเมื่อครู่ พรหมพยัคฆ์ พยายามสูดลมหายใจ แต่ก็ไม่ได้กลิ่นชัดเจน
" จะไปทางไหนดีครับ นายท่าน"
พรหมพยัคฆ์มองไปทั้งทางชันและทางที่เรียบกว่า แล้วชะงัก เหมือนเห็นอะไรบางอย่าง
เขาเคลื่อนตัวมาถึงต้นไม้อย่างรวดเร็ว เห็นกิ่งไม้หักอยู่ และมีรอยฟันหญ้าถางทางรอบๆ พรหมพยัคฆ์ดมกลิ่นแล้วยิ้มออกมา
"พวกมันเดินอ้อมเขาไป"
พรหมพยัคฆ์รีบเดินไปตามทางอ้อมเขา ลายเมฆก็ตามไป

พวกณจันทร์กำลังไต่เขาลงทางช่องเล็ก ๆ พรานจุนไต่ลงไปก่อน ตามด้วยณจันทร์ และพรานสัก ต่อด้วยคำแปง และสุดท้ายคือคำสูรย์ที่แวะข้างทาง เพื่อเก็บว่านบางอย่างยัดใส่ย่าม
พรานสัก พรานจุน และคำสูรย์ค่อนข้างคล่องกว่า ณจันทร์ก็ไต่เขาได้ดีด้วยพลังของเสือในตัวเธอ ไม่มีใครสังเกตว่าคำสูรย์ไต่เขาไปพร้อมกับกวาดตามองหาว่านไปด้วย เค้าเอื้อมมือเก็บใส่ย่ามเป็นระยะ มีคำแปงอยู่คนเดียวไต่เขาด้วยความยากลำบาก ปากก็บ่นคำสูรย์ไปด้วย
"ไม่คิดเล้ยว่าจะต้องมาลำบากลำบนแบบนี้ รู้งี้ฉันไม่เอาพี่ออกมาจากโรงพยาบาลบ้าหรอก ฉันว่าพี่น่ะ บ้าอย่างที่คนเขาเชื่อกันแน่เลย "
"นี่ เก็บแรงที่แกใช้ด่าฉันเอาไว้ปีนเขาดีกว่านะคำแปง"
คำแปงจึงหยุดไป แต่ยังทำปากขมุบขมิบตลอดเวลาที่เหนื่อยหอบจากการปีนเขา

พรานจุนลงมาได้ถึงพื้น เตรียมรอรับณจันทร์ ณจันทร์ค่อย ๆ จับเถาวัลย์ไต่ลงมาเรื่อย ๆ แม้จะยังไม่เหนื่อยมาก แต่ความชันของหน้าผาก็ทำให้ณจันทร์ปีนลงมาอย่างลำบาก แล้วทันใด ณจันทร์ก็พลาดไปคว้าเถาวัลย์เส้นเล็ก เถาวัลย์เส้นนั้นขาดทันที ณจันทร์ร้อง "ว้าย"
"ระวัง!"ช
เธอลื่นไถลลงจากหน้าผาตกลงมาที่พื้น พรานจุนรีบเข้าไปช่วย
"เป็นยังไงบ้าง"
ณจันทร์พยายามลุกขึ้น
"ไม่เป็นไรคะ"
พรานจุนพยุงณจันทร์ขึ้นยืน เห็นที่แขนและมือมีแผลเลือดออก
"คุณเลือดออก"
พรานจุนมองไปเห็นใกล้ๆนั้นมีห้วยเล็กอยู่
"ไปล้างแผลที่ตรงโน้นก่อนดีกว่า"
พรานจุนพาณจันทร์เดินออกไป

ณจันทร์ทรุดนั่งลงใกล้ลำธาร และก้มลงล้างเลือดที่แผล เลือดของเธอไหลไปตามลำธาร

ในป่าใกล้กัน พรหมพยัคฆ์บอก
"ฉันได้กลิ่นเธอใกล้มา เธอต้องอยู่แถวนี้แน่ เธอต้องอยู่ที่ไหนสักแห่ง"
ลายเมฆพยายามสูดกลิ่นหาด้วย

ขณะที่เธอล้างเลือดที่น้ำตกอยู่ ครู่หนึ่ง คำสูรย์ก็มาดึงมือเธอขึ้น
"คุณหนู! คุณหนูทำอย่างนี้ได้ยังไง"
"ฉันพลาดตกลงมาน่ะ มันมีเลือดออก เลยมาล้างแผล มีอะไรเหรอ"
"คุณหนูทำอย่างนี้ไม่ได้ ไม่รู้เหรอว่าคุณหนูจะทำให้พวกมันรู้แล้วว่าเราอยู่ที่ไหน"
" อะไรนะ"
"ป่านนี้มันคงได้กลิ่นเลือดคุณหนูแล้ว หนีเร็ว"

ที่ตีนเขาอีกด้านหนึ่ง พรหมพยัคฆ์หัวเสียเพราะไม่เห็นใคร แต่ลายเมฆซึ่งมีท่าทางอิดโรย กลับรู้สึกดีใจที่ได้เห็นลำธาร
"น้ำ นายท่านครับ ขอพักหน่อยนะครับ ผมไม่ไหวแล้ว"
พรหมพยัคฆ์พยายามสูดกลิ่นตามลม แต่ก็ไร้ผล สุดท้ายก็เดินตามมา และวักน้ำขึ้นมาล้างหน้า และดื่มกินแบบเสือ แต่ทันใดนั้นเขาก็ชะงักขึ้นมาทันที
"กลิ่นเลือด ฉันเจอแล้ว ฉันเจอเธอแล้ว"
ลายเมฆตื่นเต้นขึ้นมาด้วย พรหมพยัคฆ์มองขึ้นไปทางต้นน้ำ
"ไปทางโน้น เร็วลายเมฆ เธออยู่ทางต้นน้ำนั่น"
พรหมพยัคฆ์รีบวิ่งกระโจนไปทางต้นน้ำ ลายเมฆวิ่งตามไปด้วย

ป้าอีกด้านหนึ่ง คำสูรย์เร่งให้ทุกคนวิ่งเร็วขึ้น
"เร็วเข้าๆ พวกมันจะตามมาแล้ว"
พรานสักและพรานจุนวิ่งตาม ทั้งที่ยังสงสัยอยู่
"นี่ เรากำลังหนีอะไรกันแน่เนี่ย ลุงบอกฉันก่อนสิ" สักถาม
"ไอ้คำสูรย์ มึงมีอะไรที่ไม่ได้บอกกูใช่ไหม มึงหนีใครมา" จุนว่า
"ตอนนี้กูไม่มีเวลาอธิบายหรอก มึงต้องหนีก่อน ถ้ามึงไม่อยากจะตาย"
คำสูรย์รีบวิ่งไปเรื่อย พรานสักและพรานจุนก็ตามไปด้วย

ฝ่ายพรหมพยัคฆ์และลายเมฆมาถึงจุดที่พวกณจันทร์ปีนขึ้นเขา พรหมพยัคฆ์สูดกลิ่น
แผดเสียงแบบเสือดังลั่นป่า
อ่านต่อตอนที่ 5

กำลังโหลดความคิดเห็น