ใยกัลยา ตอนที่ 4
พุธกันยาในร่างหอมน้ำหันมามอง ศวัสตรงเข้ามาลากแขนหอมน้ำดึงออกมาจากหน้าห้องบุรีโดยไว
“เธอจะทำบ้าอะไร”
“แม่จะคุยกับคุณพ่อ”
ศวัสลากหอมน้ำมาที่หน้าห้องเขา เปิดประตูออกแล้วผลักเข้าข้างในห้องตัวเอง
ศวัสปิดประตูห้องนอน หันมาจ้องหอมน้ำด้วยท่าทีฉุนเฉียว
“จะบ้าไปใหญ่แล้ว ทำไมต้องไปเคาะประตูห้องคุณพ่อ”
“ลูกไม่ยอมฟังแม่...แม่ก็เลยจะลองพูดกับคุณพ่อดู”
ศวัสกุมขมับหงุดหงิด เดินมาทิ้งตัวลงนั่งบนเตียง
หอมน้ำเดินมานั่งข้างๆ โอบศวัสมากอดไว้
พูดเสียงอ่อนโยน “แม่รู้ว่ามันเชื่อยาก...แต่ถ้าลูกลองเปิดใจ”
ศวัสกระชากแขนหอมน้ำออกจากตัวทันที พร้อมกับลุกขึ้นยืน
“อย่ามาแตะต้องตัวฉัน”
หอมน้ำลุกตาม “ศวัส” พลางขยับจะเดินเข้าหา
ศวัสถอยหลัง แล้วชี้หน้า “หยุดอยู่ตรงนั้น”
พุธกันยาในร่างหอมน้ำหยุดชะงัก มองลูกชายด้วยความน้อยใจ
“ออกไปจากห้องฉันเดี๋ยวนี้”
“หอมน้ำไม่มีวันรู้ว่าลูกมีปานที่แก้มก้นด้านขวา...ไม่มีวันรู้ว่าห้องไหนเป็นห้องคุณพ่อ” พุธกันยาบอกอีก
ศวัสไม่เชื่อ “เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับพวกมิจฉาชีพหรอก โดยเฉพาะถ้าทำเป็นขบวนการอย่างพวกเธอ”
“หอมน้ำเป็นเด็กดีนะลูก”
“ไม่ต้องมาชมตัวเองให้ฉันฟัง”
หอมน้ำถอนใจเฮือก “แม่ไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว”
“ออกไปจากห้องฉัน! แล้วห้ามแวะเข้าห้องคุณพ่อฉันเด็ดขาด”
พุธกันยาในร่างหอมน้ำน้อยใจสุดๆ แล้วเหมือนวิ่งออกมาจากร่างหอมน้ำออกจากห้องไปเลย
ร่างหอมน้ำทรุดลง โดยศวัสยืนกอดอกมอง หอมน้ำค่อยๆ ลืมตาขึ้นมองไปรอบตัว สายตาเลยเรื่อยมาสะดุดที่เท้าศวัส เธอชะงัก ค่อยๆ เลื่อนสายตาขึ้นไปเรื่อยๆ จากขากางเกงจนถึงใบหน้าบูดบึ้งของศวัสซึ่งยืนกอดอกก้มลงมองหอมน้ำอยู่
หอมน้ำสะดุ้งเฮือกผุดลุกขึ้นยืนทันที
“คุณหมอฟันทันตแพทย์”
ขณะเดียวกันเขน กับทับทิมเดินเข้ามาในตัวบ้าน มองหาหอมน้ำ
“น้องหอม น้องหอมขา”
“หอม! หอมน้ำ”
เสียงขุ่นเขียวของเยาวภาดังขึ้น “เข้ามาเอะอะอะไรในนี้”
สองคนสะดุ้ง หันไปมอง เห็นเยาวภาเข้ามายืนมองอย่างเงียบกริบ สีหน้าเรียบสนิทไร้ชีวิตราวกับสวมหน้ากาก
“มาหาหอมน้ำค่ะ...คุณป้าเห็นเขาไหมคะ” เขนถาม
“พวกเราหาข้างนอกจนทั่วแล้วค่ะ” ทับทิมบอก
“ผีลักซ่อนมั้ง” พูดเท่านั้นเยาวภาหันหลังเดินออกไป
“สงสัยเมื่อเช้าลืมกินยา” ทับทิมค่อนขอด
แจ่มซึ่งแอบมองอยู่ตั้งแต่ตอนเยาวภาเข้ามา ออกมาจากที่ซ่อน
เขนหันไปเห็น “พี่แจ่ม! เห็นหอมน้ำหรือเปล่า”
“เมื่อกี้อยู่ด้านโน้นนะคะ พี่แจ่มยังไปขอถ่ายรูปด้วยเลย” แจ่มชี้ไปทางโถงบันได
เขนขอบคุณนะคะ
“ขอบคุณค่ะ”
สองคน พากันเดินไปตามที่แจ่มชี้ โดยมีแจ่มเดินตาม
ส่วนในห้องนอนศวัส หอมน้ำจะร้องไห้เสียให้ได้
“หอม...หอม...ไม่ได้ทำอะไรน่าเกลียดใช่ไหมคะ”
ศวัสท่าทางเริ่มสบายๆ คลายเครียด
“คิดว่ายังไงล่ะ”
หอมน้ำก้มศีรษะ ส่ายหน้าน้ำตาไหล
“เธอกอดฉันไม่ยอมปล่อย...” ศวัสบอก
หอมน้ำสะดุ้งเงยหน้ามอง
ศวัสจ้องเขม็ง “เธอโชคดีที่ฉันไม่ใช่ผู้ชายประเภทฉวยโอกาส”
หอมน้ำยกมือไหว้ “ขอบคุณมากค่ะ ต่อไปนี้เรื่องแย่ๆ แบบนั้นจะไม่เกิดขึ้นอีก เพราะหอมจะไม่ยอมให้คุณแม่คุณสิงอีกแล้ว หอมขอโทษอีกครั้งค่ะ”
หอมน้ำไหว้แล้วเดินไปที่ประตู
ศวัสพูดลอยๆ “คนตายพูดอะไรไม่ได้”
หอมน้ำชะงัก หันกลับมามองสบตาศวัส
“โดยเฉพาะคุณแม่ของฉันที่ไปสู่สุคติตั้ง20 กว่าปีมาแล้ว”
หอมน้ำมีอาการกระตือรือร้นขึ้นมา “ยังค่ะ! ยังไม่ได้ไป! ท่านยังคงวนเวียนอยู่ในบ้านนี้ เป็นห่วงคุณหมอกับคุณลุง...” เธอนึกบางอย่างได้ “เอาอย่างนี้ คุณหมอลองถามเขนกับพี่ทับที่เป็นคอสตูมก็ได้ค่ะ”
“ให้ถามพวกที่ร่วมอยู่ในขบวนการของเธอเนี่ยนะ”
หอมน้ำอัดอั้นตันใจ “หอมจะพูดยังไงดีคุณหมอถึงจะเข้าใจ”
“ก่อนอื่น...ออกไปจากห้องฉันได้แล้ว” หมอหนุ่มขี้เก๊กบอกสีหน้าเย็นชา
“ค่ะ” หอมน้ำอายสุดๆ ตัดสินใจพูดอย่างกล้าหาญ “หอมสาบานว่าหอมไม่ได้เข้ามาเองแน่นอนค่ะ”
หอมน้ำรีบเปิดประตูออกไป ศวัสมองตามด้วยสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด
เขน ทับทิม กับแจ่ม เดินกลับเข้ามาในห้องรับแขกด้วยสีหน้ากังวล
“ไม่รู้ไปอยู่” เขนพูดแล้วชะงักร้องขึ้นเมื่อตามองเห็นเพื่อน “หอม”
หอมน้ำซึ่งกำลังจะเดินออกไปทางหน้าบ้าน หันมามอง เขนกับทับทิม รีบดิ่งมาหา
“น้องหอมไปอยู่ที่ไหนมา”
หอมน้ำเฉไฉ “ก็...แถวๆ นี้แหละค่ะ”
“แล้วทำไมพวกเราถึงหาไม่เจอ” เขนจ้องหน้าเพื่อนเลิฟ
“ค่อยกลับไปคุยกันที่หอ”
เขนพยักหน้ารับ แล้วหันไปที่แจ่ม “ขอบคุณนะคะพี่แจ่ม”
“ไม่เป็นไรค่ะ” แจ่มยิ้ม
“บ๊าย...บาย...พรุ่งนี้ไม่เจอกัน 1 วัน” ทับทิมยิ้มตอบ พลางโบกมือให้
ทั้งสามคนเดินออกไป แจ่มเดินกลับเข้าข้างใน
โค้กยืนพิงรถอยู่หน้าบ้าน ชะเง้อมองเข้าไป แล้วยิ้มออกเมื่อเห็น 3 สาวเดินตรงมา
“โห! พี่โค้กอุตส่าห์รอ” เขนมองเหล่
“รถพี่อูม่ายังอยู่นี่...แล้วตัวหายไปไหน” ทับทิมมองหา
โค้กพยักพเยิดไปทางบ้านกนกรัตน์
“เจ้าของบ้านนั้นเขาชวนเข้าไปคุยข้างใน! ไปกันเถอะ”
โค้กเปิดประตูให้ทุกคนขึ้นรถ โดยทับทิมรีบขึ้นนั่งข้างหน้าคู่คนขับ เป็นการปกป้องหอมน้ำ
“เดี๋ยวมีเรื่องอะไรจะบอก” หอมน้ำพูดขณะเขนดันให้ขึ้นไปก่อน
เขนพยักหน้ารับ แล้วดันหอมน้ำให้เข้าไปในรถ โค้กขับออกไป
อุมา หรือูม่า ช่างแต่งหน้ากอง และฟ้า ยังนั่งอยู่ในห้องรับแขกบ้านกนกรัตน์ กำลังถามเจ้าบ้านด้วยหน้าตาตื่นเต้น
“คุณป้าเห็นกับตาจริงๆหรือคะ”
กนกรัตน์ค้อนขวับ “ฉันยังไม่พร้อมจะให้เรียกป้าย่ะ”
“ขอโทษค่ะพี่”
กนกรัตน์ยิ้ม “ค่อยโอเคหน่อย”
“คุณพี่แน่ใจนะคะว่า เป็นวิญญาณพุธกันยา” อุมาถามอีก
“อู๊ย! รูปร่างหน้าตาการแต่งตัวเหมือนเปี๊ยบ”
วันทนายืนกอดอกฟังอยู่ อดรนทนไม่ได้
“เห็นมืดๆ ไกลๆ เนี่ยนะคะ”
กนกรัตน์ย้อน “แล้วคนบ้าที่ไหนมันจะออกมาเดินมืดๆดึกอย่างนั้น”
กนกรัตน์มองอุมา กับฟ้าซึ่งเงียบไปอย่างพอใจ
“นั่นไง เถียงไม่ออกละซี้”
“แหม! อยากเห็นจังเลย” ฟ้าว่า
“พี่กำลังจะชวนค้างอยู่พอดี” กนกรัตน์เอ่ยปากชวน
วันทนาอ้าปากจะค้าน
กนกรัตน์ชิงพูดก่อน “วัน คืนนี้ทำผัดไทยกุ้งสดรอไว้เลย! เราจะจับผีกัน”
“พูดไปก็ไอ้เท่านั้น”
วันทนาเดินส่ายหัว แล้วเข้าข้างในไป ขณะที่สามคนตั้งวงเม้าท์เรื่องผีกันต่อ
บริเวณอาณาเขตคอนโดหอพักในช่วงเวลาตอนหัวค่ำ ยังคึกคัก นักศึกษาส่วนใหญ่ยังไม่เข้านอน สามคนเดินตรงมายังหน้าห้องพักสินีนุช โดยทักทายกับเพื่อนๆ ที่ผ่านไปมาในบริเวณนั้น ทั้งหมดเดินมาจนใกล้จะถึงห้องเขน
“เดี๋ยวก่อน”
เขนกับทับทิมหยุดหันมามองหอมน้ำ
“ห้ามใครพูดเรื่องผี เอ๊ย! วิญญาณต่อหน้าพ่อกับแม่เด็ดขาด”
“แบบว่า...เผลอล่ะฮะ” ทับทิมว่า
“ใครเผลอก็ขอให้ผีหลอกค่ะ”
“แร้งส์”
หอมน้ำเดินนำไปที่หน้าห้อง เคาะประตูเบาๆ สักครู่ประตูเปิดออก เกสรยิ้มแฉ่งเมื่อเห็นว่าเป็นใคร
“ลูกหอม”
“แม่ขา”
หอมน้ำโผเข้ากอดเกสร โสภณเดินออกมาสมทบ หอมน้ำไหว้แม่ไหว้พ่อ ทั้ง 3 กอดกันด้วยความคิดถึง
“หอมคิดถึงพ่อกับแม่จังเลย”
“แม่ก็คิดถึงหอมลูก เลยชวนพ่อเขาลงมาเยี่ยม! นี่ก็ว่าพรุ่งนี้จะไปตลาดแต่เช้า”
“ไม่ต้องไปหรอกฮ่ะ แม่อยากทานอะไร ทับจะไปซื้อมาให้เอง” ทับทิมว่า
“แม่เขาจะทำแกงไก่ไปให้คุณหมอฟันน่ะ” โสภณบอก
หอมน้ำหันมาสบตาเขนงงๆ
ขณะที่ทั้งหมดเดินเข้ามาภายในห้องเขน หอมน้ำรีบบอก
“ไม่ต้องทำหรอกค่ะ...เดี๋ยวหอมจะซื้อไปให้เอง”
“ไฮ้ ซื้อมันไม่อร่อยเหมือนทำเองหรอก...หอมเอ๊ย” เกสรท้วง
“แม่เขาจะทำเครื่องแกงเองด้วย” โสภณอวด
“แล้วจะไปเอาเครื่องไม้เครื่องมือที่ไหนคะ”
“ของพี่ทับมีฮ่ะ พรุ่งนี้ไปทำที่บ้านพี่ทับกันแต่เช้าเลย จะได้ทันมื้อกลางวันของคุณหมอฟันทันตแพทย์”
เขนจัดการล้วงไอโฟนขึ้นมา “ต้องโทร.ไปนัดกับคุณลุงก่อน เดี๋ยวเกิดจะไปไหน พรุ่งนี้วันหยุดด้วย”
พ่อแม่พยักพเยิดเห็นด้วย
ทับทิมแปลกใจ “น้องเขนมีเบอร์คุณลุงด้วยหรือฮะ”
“พี่หนกแกให้ไว้ค่ะ” สาวอวบกดโทร.ออก “สวัสดีค่ะคุณลุง นี่เขนเองค่ะ...พรุ่งนี้คุณลุงอยู่บ้านหรือเปล่าคะ”
ขณะเขนพูดโทรศัพท์ หอมน้ำมีสีหน้าอึดอัดไม่สบายใจ
ทับทิมโอบไหล่ปลอบ “ไม่เป็นไรฮะน้องหอม ทุกอย่างจะต้องเรียบร้อย”
เขนคุยสายกับบุรีต่อ “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ แค่คุณพ่อคุณแม่หอมเขาจะทำขนมจีนแกงไก่ไปให้คุณลุงกับเฮีย...เอ๊ย! คุณหมอฟันทันตแพทย์รับประทานกลางวันน่ะค่ะ”
เกสรเอ่ยขึ้น “มีไข่เค็มดาวด้วย”
“มีไข่เค็มดาวด้วยค่ะ” เขนพูดตาม เว้นระยะฟังคู่สนทนาสักครู่หนึ่ง “อ้าว ว้า...น่าเสียดายจัง”
ทุกคนมองหน้าเขนอย่างสนใจ
“ไม่เป็นไรค่ะ แบ่งไว้ให้ทานตอนกลับมาก็ได้! ค่ะ ค่ะ แล้วเขนจะบอกให้”
เขนปิดโทรศัพท์แล้วหันมาทางทุกคน
“พรุ่งนี้อาเฮียเขาไม่อยู่บ้าน”
ทุกคนร้อง “อ้าว”
“สงสัยจะไปเที่ยวกับแฟนมั้ง” ทับทิมว่า
“บอกให้เขาชวนแฟนกินด้วยก็ได้นี่” หอมน้ำบอก
โสภณ กะเกสร พยักพเยิดเห็นด้วยกับลูกสาวดาวรุ่ง
“ใช่ๆ เพราะเราจะเลี้ยงขอบใจเขา”
“ไม่เป็นไร ถ้าไม่อยู่เราก็แบ่งไว้ให้เขากินตอนเย็น”
ทุกคนพยักพเยิดเห็นพ้องต้องกันหมด
อีกฟาก ภายในห้องทานอาหาร สองพ่อลูกกำลังกินข้าว โดยไม่รู้ว่ามีวิญญาณพุธกันยานั่งอยู่ตรงข้ามลูกชาย
“พรุ่งนี้พ่อแม่หนูหอมเขาจะทำแกงเขียวหวานไก่กับไข่เค็มดาวมาเลี้ยงมื้อกลางวัน เสียดายที่แกไม่อยู่” บุรีเอ่ยขึ้น
ศวัสบอกว่า “อยู่ก็ได้ครับ!
พุธกันยามองลูกอย่างเพ่งพิศ
“อ้าว! แล้วธุระของแกล่ะ”
ศวัสไหวไหล่นิดๆ “ก็ไม่ได้สำคัญอะไรมากมาย”
พุธกันยาเอ่ยขึ้น “ศวัสชอบเด็กคนนั้นหรือลูก”
“อ้าว! ก็ไหนทีแรกว่าสำคัญ”
“ผมชอบกินขนมจีนแกงไก่...คุณพ่อก็ทราบ”
“ชอบมากกว่าธุระสำคัญอีกเรอะ”
“ครับ”
บุรีมองศวัสพลางส่ายหน้า “ไอ้ขี้เก๊ก”
ตรงซุ้มดอกพุดซ้อนหลังบ้าน ดอกพุธซ้อนแย้มบ้าง บานบ้าง สะพรั่งเต็มต้น เห็นได้ชัดจากแสงสว่างจากโคมไฟในบริเวณนั้น ศวัสเดินออกมาบริเวณนั้นด้วยท่าทางเรื่อยๆ ท่ามกลางอากาศเย็นสบาย
หมอหนุ่มยกมือล้วงกระเป๋า ทอดสายตามองไปข้างหน้า
พุธกันยาปรากฏตัวขึ้น “ศวัส”
ศวัสไม่เห็น ถอนหายใจเบาๆ
พุธกันยาพูดอยู่คนเดียว “ศวัสชอบเด็กคนนั้นไม่ได้นะลูก เขาเป็นร่างทรงของแม่”
ในขณะที่พุธกันยาพูด เหมือนมีสายลมพัดเย็นเยือกเบาๆ จนทำให้ศวัสต้องยกมือกอดอกด้วยความรู้สึกถึงความเย็นนั้น
“แม่ต้องใช้ร่างเขาติดต่อกับลูก ติดต่อกับคุณพ่อ”
ศวัสยังคงยืนนิ่งอยู่ในอิริยาบถเดิม ส่วนพุธกันยามองลูกชายสีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล
ด้วยยังเป็นตอนหัวค่ำ บรรยากาศในคอนโดแห่งนี้จึงดูคึกคักด้วยผู้คน และนักศึกษาที่อาศัยในนี้
หอมน้ำพาพ่อแม่เข้ามาในห้องตัวเองแล้ว
“พ่อกับแม่นอนบนเตียงนะคะ...หอมจะนอนหน้าเตียง”
“เตียงแคบนิดนึง ให้พ่อนอนคนเดียวเถอะ เรานอนคุยกันข้างล่าง” เกสรว่า
โสภณเดินไปเปิดตู้เย็น รินน้ำดื่ม
“พ่อกับแม่รู้จักพุธกันยาไหมคะ”
คำถามของหอมน้ำ ทำให้โสภณมีสีหน้ากระตือรือร้นขึ้นทันที
สองคนตอบทันทีว่า “รู้จัก”
เกสรยิ้มแย้ม “พ่อเขาเป็นแฟนคลับเลยละ!เคยเขียนจดหมายไปหาเขาด้วย”
โสภณยืด สีหน้าภาคภูมิใจ “แล้วเขาก็ตอบมานะ เสียดาย...ไม่น่าอายุสั้น”
“เขาคิดสั้น ปิดบังประชาชนมาตั้งนานว่าเป็นโสด ทั้งๆ ที่มีลูกมีผัวแล้ว...พอถูกจับได้เลยฆ่าตัวตาย”
“น่าสงสาร” เกสรหน้าเศร้า
“ไม่น่าเล้ย มีลูกมีผัวจะเป็นไรไป ไม่มีซิแปลก...คนสวยขนาดนั้น”
“เฮ้ย! สมัยนั้นเขาต้องปกปิดกันเพราะประชาชนรับไม่ได้”
“คุณหมอฟันทันตแพทย์ที่แม่ไปหาน่ะ เป็นลูกชายของคุณพุธกันยาเขาค่ะ”
สองคนคาดไม่ถึงร้อง “ฮ้า” พร้อมกัน
หอมน้ำพยักหน้ายืนยันอย่างหนักแน่น
ดวงจันทร์ข้างแรมทองแสงสลัวอยู่เหนือหลังคาบ้านศวัส เมื่อมองลงมาในบริเวณอาณาเขตบ้านซึ่งสว่างด้วยแสงไฟที่อยู่เหนือประตูรั้วบ้าน ถึงกระนั้นบรรยากาศก็ยังดูเงียบสงัดและวังเวง
บริเวณหน้าต่างห้องนอนกนกรัตน์ยามนี้ สามสาวแอบดูความเป็นไปอยู่ โดยวันทนายืนหาวพิงประตูมองด้วยความรู้สึกเซ็งๆ
“ไม่มีผีสางนางไม้อะไรหรอกค่ะ แยกย้ายกันไปนอนดีกว่า”
“ไม่ได้ ถ้าคืนนี้ผียังไม่พร้อมจะมา...พวกเราก็จะไม่นอน” กนกรัตน์บอก
“งั้นวันไปนอนก่อนละค่ะ! ง่วง”
จู่ๆ อุมาทำสุ้มเสียงตกใจ “คะ คะ...คุณ...คุณหนก...ดะ...ดะ...ดู...ดูโน่น”
กนกรัตน์หันกลับมาขณะที่อุมาและฟ้า ต่างอยู่ในสภาพเดียวกัน คือเบิกตากว้างด้วยความตกใจกลัว ส่วนวันทนาเดินออกไปแล้ว
สายตาของทั้งสามคนเห็นร่างผู้หญิงในชุด และทรงผมของพุธกันยาเดินช้าๆ เหมือนกำลังชมสวนด้วยความรื่นรมย์โดยเห็นหน้าไม่ชัดด้วยเป็นเวลาดึก และร่มเงาของต้นไม้ใหญ่
สามคนไม่มีทางรู้ว่านั่นเป็น เยาวภา ที่ใส่วิกและสวมชุดสวยของพุธกันยาออกมาเดินเล่นทุกคืน
กนกรัตน์หันไปเรียกสาวใช้ “วัน มาดูให้เห็นกับตา” แล้วหันขวับมา “อ้าว! หายไปไหนแล้ว”
อุมาพึมพำ “เหมือนคนเลย”
ฟ้าร้องขึ้น “อ้าว! ก็เขาเคยเป็นคนมาก่อนนี่”
“แหม! อยากให้ยัยวันมาเห็นกับตานัก” กนกรัตน์บ่น
เยาวภาเดินลับเหลี่ยมตึกไป
“พี่อูม่า! หายตัวไปแล้ว” ฟ้าบอก
“แบบนี้ละคะ ที่คุณหนกเห็นบ่อยๆ”
“ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ” ฟ้าว่า
อุมาพยักพเยิด แล้วหันไปทางนอกหน้าต่างอีก แล้วเบิกตากว้าง
“ดูนั่น”
ทุกคนหันขวับไปมองใหม่...คราวนี้มีไอเย็นจางๆ ลอยออกจากทางจมูกและปากของอุมา
สายตาสามคู่ เห็นเงาๆ หนึ่งทาบอยู่บนผนังชั้นบน และเห็นชัดว่าเป็นเงาผู้หญิง ท่าทางเหมือนกำลังใจลอย
อุมาชี้เงานั้น “งะ...งะ...เงา”
เงานั้นเหมือนรู้สึกตัว ค่อยๆ หันกลับมาในสภาพเงา ก่อนจะเลือนหายไป กนกรัตน์รีบปัดมืออุมาซึ่งยังคงชี้อยู่ลง
“อย่าชี้ค่ะ! โบราณเขาห้าม”
อุมาหน้าเสีย “ชี้ไปแล้ว...เป็นอะไรหรือเปล่าคะ”
“ไม่เป็นไรหรอกน่า” ฟ้าบอก
“อีกวันสองวันก็คงรู้! เตรียมพร้อมไว้เหอะย่ะ”
คำพูดเจ้าบ้าน ทำเอาอุมาหน้าเสียลงไปอีก ขณะมองกนกรัตน์และฟ้าเหมือนจะขอความมั่นใจและคำปลอบใจ
ส่วนเยาวภากำลังเก็บวิก แล้วเดินไปหยิบเสื้อนอนจะเปลี่ยน จู่ๆ มีเสียงเหมือนมีคนเดินเบาๆ ผ่านหน้าห้อง
เยาวภาชะงัก หันไปมองที่ประตู
“ใครน่ะ”
มีเสียงเหมือนคนทอดถอนใจ เยาวภาเดินไปที่ประตูเปิดออก ร่างวิญญาณพุธกันยายืนอยู่ แต่เยาวภามองไม่เห็น แถมชะโงกหน้าไปมองซ้ายมองขวา ทั้งสองข้างว่างเปล่า ทั้งๆ ที่พุธกันยามองเยาวภาเขม็งอยู่
แม่บ้านสาวใหญ่บ่นกับตัวเอง “สงสัยหูแว่ว”
เยาวภาหันหลังกลับ จะเดินเข้าห้อง แต่ยังมีเสียงเหมือนคนถอนใจดังมาจากทางด้านหลัง เยาวภาหันขวับไปมอง พร้อมกับมีไอเย็นจางๆ ออกจากปาก เยาวภารู้สึกหนาวยะเยือกขึ้นมา จนต้องยกแขนขึ้นกอดอกห่อตัว ทั้งๆ ที่บริเวณนั้นว่างเปล่า เยาวภารีบเดินเข้าห้อง ปิดประตูลง
“สงสัยจะหลอนไปเอง”
“นังตัวดี! กล้าปลอมเป็นฉัน”
นัยน์ตาพุธกันยาวาวโรจน์เต็มไปด้วยความโกรธขึ้ง
อ่านต่อหน้า 2
ใยกัลยา ตอนที่ 4 (ต่อ)
ในบรรยากาศยามเช้าแสนสดชื่นนั้น เสียงกรีดร้องด้วยความตกใจถึงขีดสุดของอุมาดังขึ้น มันดังมาจากในห้องนอนกนกรัตน์
โดยภายในห้อง กนกรัตน์ กับฟ้า มองอุมาด้วยความตกใจ ปนสยดสยอง เพราะนิ้วชี้ของอุมาที่ชี้เงาเมื่อคืนตรงปลายนิ้วเป็นหนอง มีหนอนโผล่ดิ้นดุ๊กดิ๊กออกมา
อุมาสะบัดมือเร่าๆ “ไป๊ ไปให้พ้น”
หนอนนั้นกระเด็นตกลงบนพื้นห้อง กนกรัตน์กับฟ้าร้องกรี๊ดๆๆ พร้อมกระโดดหนีพัลวัน
จังหวะนี้ วันทนาเปิดประตูเข้ามา “อะไรกันคะ” แล้วร้องลั่นเมื่อเห็นชัดว่าอะไรเป็นอะไร “ว้าย”
อาคารคอนโดมิเนียมของเจค ภายนอกดูใหญ่โตหรูหราสมฐานะเจ้าของค่ายหนังสร้างศิลป์
ส่วนภายในห้องพักเวลานี้ เจคนั่งนิ่วหน้าอยู่ตรงห้องรับแขกเมื่อฟังฟ้าเล่าจบ สีหน้าของฟ้ายังมีความสยดสยองให้เห็น
“เหลวไหล ผีสางที่ไหน นิ้วไปโดนอะไรมาแล้วอักเสบมั้ง” เจคว่า
ฟ้าโต้ “แล้วหนอนล่ะคะ ทำไมมีหนอนออกมาด้วย”
โค้กซึ่งอยู่ด้วยสะกิดฟ้า แล้วหันมาพูดแทน “คงจะเป็นอย่างที่คุณเจคพูดนั่นแหละครับ”
“แล้วตอนนี้อยู่ที่ไหน” เจคหมายถึงอุมา
“อยู่ที่ออฟฟิศครับ” โค้กบอก
ที่ออฟฟิศบริษัทสร้างศิลป์ พิไล คัมภีร์ และคนอื่นๆ กำลังล้อมวงฟังอุมาเล่าเรื่องผีด้วยความสยดสยอง นิ้วของอุมาพันผ้าพันแผลแน่นหนา
“ถ้าไม่ใช่ผีทำ แล้วใครจะทำ ว่ามั้ย...ผีพุธกันยาชัวร์”
พิไลออกอาการไม่พอใจ “อย่ามั่ว ป่านนี้พุธกันยาไปเกิดแล้วละ ตั้งยี่สิบกว่าปีแล้ว อย่าใส่ร้ายคนตาย”
อุมายืนกรานคำพูด “งั้นก็ไปถามคุณหนกดู คุณหนกเขาเคยเห็นพุธกันยา เขายืนยันว่าเป็นพุธกันยาแน่”
คัมภีร์ล้อพิไลเล่นๆ “พี่พิไลไปรอขอลายเซ็นคืนนี้ซิ เป็นแฟนคลับมาตั้งนาน”
“ไอ้บ้า ล้อเลียนดีนัก...คืนนี้ขอให้เขามาหักคอ”
คัมภีร์ตกใจที่เห็นพิไลโมโหขนาดนี้ “เฮ้ย”
ทุกคนรีบหยุดการสนทนาเมื่อเห็นเจคเดินเข้ามาตามด้วยโค้กและฟ้า
“เป็นไงบ้าง...อุมา”
อุมาร้องไห้ออกมาทันทีด้วยความเครียดและหวาดกลัว
ทาวน์เฮาส์หลังไม่เล็ก แต่ไม่ใหญ่โตนักของทับทิม เช้าวันนี้มีแขกมาเยือน ภายในครัว โสภณ และ เกสร กำลังช่วยกันทำกับข้าว โดยมีหอมน้ำ กับสินีนุชเป็นลูกมือ
ทับทิมเดินเข้ามา ด้วยสีหน้าตื่นเต้นตกใจ ขณะพยักพเยิดเรียกหอมน้ำกะเขน หอมน้ำหันไปบอกพ่อแม่
“เดี๋ยวมานะคะ”
สองสาวรีบเดินออกไป
เกสรฉงน “อะไรของเขานะ”
ทับทิมเล่าพลางเดินนำสองสาวออกมาหน้าบ้าน
“จริงค่ะ ป้าพิไลเพิ่งโทร.มาบอกเมื่อกี้นี้เอง”
เขนหันมามองหอมน้ำ “ว่าไง”
“ไม่รู้ซิ แค่ชี้ก็นิ้วเน่าเลยเหรอ”
“อู๊ย ไม่ได้เน่าค่ะ แค่อักเสบ” ทับทิมท้วง
“ว่าไม่ได้ค่ะ ผีทำอะไรได้ตั้งหลายอย่าง...หอม ลองเรียก She มาซิ” เขนว่า
ทับร้องลั่น “ว้าย! อย่านะคะ”
“เดี๋ยวค่อยเรียกตอนไปที่บ้านนั้นละกัน” หอมน้ำบอก
ทั้งสามคนเห็นพ้องต้องกัน แล้วพากันเดินกลับเข้าข้างใน
ตอนสายวันเดียวกัน บุรี และ ศวัส ซึ่งมีเยาวภากับแจ่มยืนอยู่เยื้องๆ ออกมารับคณะของหอมน้ำ ต่างคนต่างไหว้ รับไหว้ตามอาวุโส
บุรีเยื้อนยิ้มด้วยไมตรี “ขอบคุณมากครับ ขอบคุณ เอ้า ภา...แจ่ม ช่วยยกของเข้าไปหน่อย”
แจ่ม กับเยาวภาช่วยกันยกหม้อแกง ภาชนะใส่ไข่เค็มดาวเข้าไป โดยเยาวภายังคงมีสีหน้าบึ้งตึงไม่เป็นมิตร ตวัดสายตามองคณะของหอมน้ำอย่างไม่พอใจ
“เชิญข้างในครับ พรุ่งนี้คุณอาคงถอนฟันได้แล้ว” ศวัสทักเกสรกะโสภณ
เกสรอิดออด “หายปวดแล้วไม่ต้องถอนก็ได้ค่ะ”
“ต้องถอนครับ ไม่อย่างนั้นจะปวดอีก”
ทั้งหมดพูดพลางเดินเข้าข้างใน
หอมน้ำหันมาทางบุรี “คุณลุงคะ หอมขออนุญาตไปดูดอกพุดซ้อนหน่อยนะคะ”
“เอาเลยหนู”
ศวัสนิ่วหน้ามองฉงนหอมน้ำ ที่เดินไปทางสวนหลังบ้าน
บุรีและศวัสเชื้อเชิญให้ทุกคนนั่ง ทับทิมกับเขน มีสีหน้ากังวลเห็นชัด สองคนลอบสบตากันเป็นระยะๆ ขณะแจ่มยกน้ำมาเสิร์ฟ
โสภณเอ่ยขึ้นอย่างปลาบปลื้ม “ผมเพิ่งทราบว่า พุธกันยาเป็นแม่คุณหมอ”
ศวัสยิ้มนิดๆ
เกสรพยักพเยิดไปทางโสภณ “เขาเป็นแฟนคลับพุธกันยาค่ะ”
บุรียิ้มชื่นใจ “ขอบคุณมากครับ...ขอบคุณมาก”
เกสรบอก “ส่วนฉันชอบขวัญอนงค์ค่ะ ตามดูละครทุกเรื่อง ขนาดแก่แล้วยังสวย”
ขณะที่ทุกคนคุยกัน ศวัสเดินเลี่ยงออกไปทางหลังบ้าน
หอมน้ำกำลังพูดอยู่กับพุธกันยาตรงซุ้มดอกพุดซ้อน พุธกันยามีท่าทางสบายๆ ไม่สะทกสะท้าน
“ก็อยากมาชี้ฉันทำไมล่ะ”
“อ้อ แปลว่าคุณเป็นคนทำจริงๆ ได้โปรดเห็นแก่บาปบุญคุณโทษเถอะค่ะ อย่าให้พี่อุมาต้องมือเน่ามือหนอนเลย ไม่อย่างนั้นหอมจะไม่ให้คุณสิงอีกแล้ว”
พุธกันยาขู่กลับ “เธอไม่ให้สิง ผู้หญิงคนนั้นจะมือเน่า หลังจากที่มือมีหนอนไปแล้ว”
ศวัสเดินเข้ามาเงียบๆ ขณะหอมน้ำยกมือไหว้พุธกันยา แต่ในสายตาศวัสไม่เห็นใคร จึงดูเหมือนหอมน้ำไหว้ต้นพุดซ้อน
“อย่าใจร้ายนักเลยนะคะ” เด็กสาวขอร้อง
ศวัสทนดูอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยขึ้นว่า “เป็นเอามาก”
หอมน้ำสะดุ้งเฮือก รีบเอามือลงขณะที่หันขวับมามอง
“คุณหมอฟันทันตแพทย์”
ศวัสบอก “เธอต้องไปหาหมอ! ฉันจะพาไปเอง”
“หอมพูดกับคุณแม่คุณหมอฟัน เอ๊ย! คุณหมอจริงๆนะคะ”
ศวัสเหลียวหา “ไหนล่ะ”
หอมน้ำหันไปบุ้ยใบ้ทางที่พุธกันยายืนอยู่
“นั่นไงคะ”
ศวัสถอนใจเฮือก เมื่อมองเห็นแต่ความว่างเปล่า
“ถ้าเธอบอกว่ามาขอหวยยังจะเข้าท่ากว่า”
หอมน้ำอัดอั้นตันใจ “หอมไม่รู้ว่าจะทำไงให้คุณหมอเชื่อ”
พุธกันยาเอ่ยขึ้นว่า “เอาสร้อยพระออกซิ! ฉันจะได้อธิบายให้เขาฟังเอง”
หอมน้ำไม่ยอม “ยังค่ะ ทำไมคุณถึงทำให้คุณหมอเห็นไม่ได้ล่ะคะ”
“เพราะเขาไม่ยอมรับฉันน่ะซิ ใครที่ไม่เชื่อและปฏิเสธเรื่องผี เอ๊ย วิญญาณ...เขาก็จะมองไม่เห็น” ผีซุปตาร์บอก
หอมน้ำรีบหันมาทางศวัส ท่าทีกระตือรือร้น
“คุณแม่คุณบอกว่า คนที่ไม่เชื่อและปฏิเสธเรื่องผี...”
พุธกันยาฉุน ขัดขึ้น “วิญญาณ”
หอมน้ำรีบเปลี่ยน “ค่ะ วิญญาณ ก็จะมองไม่เห็น...คุณหมอต้องทำใจให้ยอมรับ”
ศวัสเน้นคำ “ฉันไม่เชื่อและไม่ยอมรับ มีอะไรมั้ย”
“มีค่ะ คุณหมอก็จะมองไม่เห็นคุณพุธกันยา”
ระหว่างนี้เขนเดินเข้ามากระแอม ทั้งสองหันมามอง เขนรีบพูด
“คุณลุงให้มาตามไปทานข้าวค่ะ”
ขณะเดียวกันกนกรัตน์รีบร้อนเดินเข้ามาภายในครัว วันทนาอยู่ในนั้น
“วัน พวกน้องหอมเขาไปที่บ้านคุณบุรี”
“ก็ช่างเขาเป็นไรล่ะคะ”
“ฉันอยากรู้ว่าเขารู้เรื่องคุณอุมานิ้วเน่าหนอนหรือยัง”
“อาจจะรู้แล้วมั้งคะ”
“แล้วเขาจะว่ากันยังไง”
วันทนาถอนใจ หันกลับมองกนกรัตน์อย่างอ่อนใจ
“คุณหนกขา เขาจะจัดการยังไงมันก็เป็นเรื่องของเขานะคะ...ไม่ใช่เรื่องของคุณหนก!”
“ทำไมจะไม่ใช่ ในเมื่อเหตุเกิดขึ้นในบ้านหลังนี้ ซึ่งเป็นบ้านของฉัน”
กนกรัตน์สะบัดหน้า จะเดินออกไป
“เดี๋ยว จะไปไหนคะ”
“บ้านคุณบุรี” กนกรัตน์เดินปร๋อออกไป
วันทนาส่ายหัวบ่มงึมคำเดิม “พูดไปก็ไอ้เท่านั้น”
ภายในห้องทานข้าวบ้านศวัส ทุกคนกำลังท่านมื้อกลางวันด้วยกัน กินขนมจีนบ้าง ข้าวบ้าง กับแกงเขียวหวานกันไข่เค็มดาวอย่างเอร็ดอร่อย
“อร่อยมาก เผ็ดกำลังดีเลยครับ” บุรีชมจากใจ
“ดีใจจังเลยค่ะ ที่กิน เอ๊ย! รับประทานกันได้” เกสรยิ้มชื่น
“พูดกินก็ได้ครับ แปลว่าเอาอาหารเข้าปากเคี้ยวแล้วกลืน” บุรีว่า
ทุกคนหัวเราะ โดยเฉพาะเกสรน้ำหูน้ำตาไหล
“อูย...จะขำตาย เมียเป็นนางเอก ผัวเป็นตลก”
หอมน้ำสะดุ้ง “อุ๊ย...แม่ค่ะ”
เสียงกนกรัตน์แหลมเข้ามา “คุณบุรีคะ”
ทุกคนเห็นเพื่อนบ้านติ่งดาราเดินเข้ามา
“คุณบุรีคะ”
เห็นทุกคนหันมามองเป็นตาเดียวกัน ทำให้กนกรัตน์ชะงัก
“อ้าว คุณหนก มาพอดีเลย ทานข้าวด้วยกันครับ” บุรีทักทาย
“หนกกินเรียบร้อยมาแล้วค่ะ คุณบุรีรู้เรื่องหรือยังคะ”
หอมน้ำ เขน และทับทิม มองหน้ากัน
บุรีฉงน “เรื่องอะไรครับ เชิญคุณหนกนั่งก่อน”
ศวัสอิ่มแล้ว ลุกขึ้น ขยับเก้าอี้จะให้กนกรัตน์นั่ง แต่ผู้มาเยือนโพล่งออกมาก่อน
“เรื่องผีภรรยาคุณ...คุณพุธกันยาน่ะค่ะ”
ศวัสนิ่วหน้าฉุนนิดๆ เช่นเดียวกับบุรี ขณะที่โสภณ เกสร เบิกตากว้าง สบตากันงงๆ
ส่วนหอมน้ำ เขน ทับทิม นั่งกันนิ่ง
พ่อลูกนั่งอยู่ห้องรับแขกกันสองคน ศวัสหงุดหงิดเรื่องเมื่อครู่นี้มาก
“ผมไม่เข้าใจว่าทำไมคนพวกนี้ถึงได้เกิดจะรื้อฟื้นเรื่องคุณแม่ขึ้นมาอีก หรือว่าจะโปรโมตละคร”
บุรีถอนใจเฮือก พร้อมๆ กับที่พุธกันยาปรากฏตัวขึ้น
“ผมว่า คุณพ่อบอกเลิกเถอะครับ ไม่งั้นกว่าจะถ่ายจบ ไม่รู้ว่าจะปั้นเรื่องคุณแม่ไปไกลอีกแค่ไหน”
“ทำอย่างนั้นไม่ได้ พ่ออนุญาตเขาไปแล้ว” บุรีตบไหล่ลูก “อดทนอีกหน่อยเถอะลูก พอจบเรื่องนี้แล้วพ่อจะไม่อนุญาตให้ใครมาถ่ายหนัง ละคร ที่บ้านเราอีก”
ศวัสตำหนิบิดา “คุณพ่อไม่ควรอนุญาตตั้งแต่แรก”
“ก็มันอนุญาตไปแล้ว จะทำยังไงได้”
“ถ้าอย่างนั้น ผมขออะไรอย่างได้ไหมครับ”
บุรีมองหน้าลูก รอฟัง
“อย่าให้พวกเขาอยู่เกิน 3 ทุ่ม ผมไม่อยากกลับบ้านดึกกว่านี้”
บุรีอึ้ง “ศวัส”
“ผมไม่อยากเห็นหน้าคนพวกนั้นอีก”
ศวัสลุกเดินออกไป บุรีมองตามอย่างหนักใจ วิญญาณพุธตามลูกออกไปด้วย
หมอศวัสเดินฉุนเฉียวเข้ามาในห้องปิดประตูลง ด้วยสีหน้าและแววตาที่ยังคงโกรธขึ้น และหงุดหงิดไม่คลาย พุธกันยาปรากฏตัวขึ้น มองลูกด้วยสีหน้าตื้นตันใจ
“ศวัส”
ศวัสไม่เห็นเช่นเคยเดินกลับไปกลับมาอย่างหงุดหงิด แล้วหยุดมองไปรอบห้อง ตะโกนพูดด้วยความอัดอั้นตันใจ
“คุณแม่ครับ วิญญาณของคุณแม่ยังวนเวียนอยู่ในบ้านจริงหรือเปล่า ถ้าจริง ทำไมผมไม่เห็นคุณแม่! ทำไมคนอื่นถึงเห็น แต่ผมไม่เห็น”
“ศวัส ก็ลูกไม่เชื่อว่าแม่ยังวนเวียนอยู่ แม่พยายามแล้ว แต่ลูกก็ไม่ยอมเชื่อ”
ศวัสทรุดตัวลงนั่งกุมขมับด้วยความเคร่งเครียด พุธกันยาเดินมาทรุดตัวลงนั่งข้างๆ ยกมือขึ้นจับแขนลูก แต่ก็คว้าไปในความว่างเปล่า
พุธกันยาทอดถอนใจ “ศวัส ตั้งใจฟังแม่หน่อยนะลูกนะ”
ศวัสลุกขึ้น หยิบกระเป๋าสตางค์ และกุญแจรถตรงโต๊ะ แล้วเดินออกไป พุธกันยามองตามอย่างผิดหวังและเศร้าใจ
ศวัสเดินลงบันไดมาอย่างรวดเร็ว บุรีซึ่งกำลังจะเดินสวนขึ้นไป มองอย่างแปลกใจ
“จะไปไหนหรือลูก”
“ยังไม่ทราบครับ คุณพ่อไม่ต้องรอทานข้าวเย็นนะครับ ผมอาจกลับดึก”
หมอหนุ่มเดินไป บุรีมองตามอย่างกลัดกลุ้ม แล้วเดินเลยขึ้นบันไดไป
พุธกันยาซึ่งยืนอยู่ มองตามสามีซึ่งเดินเข้าห้องไปด้วยสีหน้าและแววตาหมองจัด
วิญญาณพุธกันยาเดินผ่านประตูเข้ามาในห้องแต่งตัวของเธอ แล้วทรุดตัวลงนั่งบนเตียงด้วยความหมดอาลัยตายอยาก พุธกันยา วูบไปมาอีกหลายมุมในห้อง แล้วมีสีหน้าคล้ายตัดสินใจบางอย่างได้
อีกฟาก หอมน้ำกำลังอ่านหนังสือ “ชิดขอบบันเทิง” ด้วยความหงุดหงิด
“อะไรน่ะ! เขียนแบบนี้ได้ยังไง” มีควันจางๆ ลอยออกจากปากและจมูกหอมน้ำในจังหวะนี้
เสียงพุธกันยาดังขึ้น “ยิ่งกว่านี้เขาก็เขียนได้”
หอมน้ำสะดุ้ง เงยหน้าขึ้น เจอพุธกันยานั่งอยู่ตรงข้าม
“คุณพ่อคุณแม่ไปไหนล่ะ”
“ไปบ้านเพื่อนค่ะ...คุณมาหาหอมทำไมคะ”
พุธกันยาอ้าปากพูด หอมน้ำรู้ทันดักคอทันที “วันนี้ไม่มีถ่ายละครก็ไม่มีการสิงค่ะ”
พุธกันยาหน้าหมอง ถอนใจ นิ่งไปครู่หนึ่ง “ทำยังไงศวัสถึงจะยอมฟังฉันบ้าง เขาปิดสนิทเสียทุกทางเลย”
หอมน้ำนิ่งมอง พุธกันยาลุกขึ้นเดินกลับไปกลับมาอย่างใช้ความคิด
หอมน้ำพูดขึ้นในที่สุด “ลูกชายของคุณไม่เชื่อว่าผี เอ๊ย! วิญญาณมีอยู่จริงนี่หอมพอจะเข้าใจ...แต่สามีของคุณน่าจะเชื่อนะคะ เพราะท่านรักคุณมาก...คุณน่าจะทำให้ท่านเห็นคุณได้”
พุธกันยาส่ายหน้า “ฉันเคยลองมาหลายครั้ง แต่เขาก็ไม่เคยมองเห็น...ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะอะไร”
“หอมก็อยากจะช่วยคุณ แต่วันนี้หอมเหนื่อยมาก แล้วการเข้าสิงของคุณแต่ละครั้ง...”
“ฉันรู้...มันทำให้เธอเหนื่อย นั่นเธอกำลังอ่านอะไรอยู่”
หอมน้ำถอนใจ “ชิดขอบบันเทิงค่ะ! โจมตีใส่ร้ายหอมตามเคย”
นัยน์ตาพุธกันยากร้าวขึ้นมาทันที “มันเป็นสันดานของนังวดี ที่ชอบทำลายล้างชีวิตคนที่ไม่ยอมลงให้มันมาหลายคนแล้ว แต่ก็ยังมีคนนิยมยกย่องมัน...ทั้งยังมีเกียรติมีหน้ามีตาอยู่ในสังคม ไม่ยุติธรรม” น้ำเสียงพุธกันยาดังสะท้อน ก้องกังวาน นัยน์ตาแดงวาบด้วยความเคียดแค้น ร่างพุธจางหายไปพร้อมกับเสียงสะท้อนนั้น
หอมน้ำลุกขึ้นทันที “คุณพุธกันยาคะ คุณพุธกันยา”
ทุกอย่างเงียบสนิท หอมน้ำถอนใจยาว
ที่ออฟฟิศชิดขอบบันเทิง วดีพูดโทรศัพท์กับเจค ด้วยเสียงอ่อนเสียงหวานน่าหมั่นไส้อยู่ในห้องทำงาน
“ต๊าย จริงหรือคะ วดียังไม่ได้อ่านเลย เดี๋ยวต้องเรียกมาถามแล้วว่าใครเป็นคนเขียน ต้องลงโทษให้เข็ด”
เจคอยู่ที่ห้องทำงาน ออฟฟิศสร้างศิลป์ “เลิกเสแสร้งเสียที! ผมรู้จักคุณดี”
วดีหัวเราะลั่น “เจค...เจค...ใจเย็นๆ ค่ะ วดียอมรับผิดที่ไม่ได้ตรวจทานดูให้ดีก่อน เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน พรุ่งนี้วดีจะไปกราบขอโทษคุณจนถึงกองถ่ายเลย”
“ไม่ต้อง ผมจะขอบคุณมากถ้าหนังสือของคุณจะไม่เขียนถึงผมและหนังของผมอีก”
เจควางโทรศัพท์อย่างหงุดหงิด
วดีหัวเราะระรื่น ขณะวางโทรศัพท์ลงอย่างสบายใจ
“ได้ไงคะเจค เรื่องคาวๆ น่ะขายดีจะตาย”
วดีเลื่อนสายตาลงมาดูพาดหัวข่าวบนปก “ผู้กำกับใหญ่ กิ๊กนักแสดงหน้าใหม่”
สีหน้าวดีสะใจเป็นที่สุด
อ่านต่อหน้า 3
ใยกัลยา ตอนที่ 4 (ต่อ)
ค่ำวันเดียวกันนี้ ที่โต๊ะมุมเด่นสุดภายในร้านอาหารแห่งหนึ่ง เพื่อนๆ ของเอิง กำลังร้องเพลงแฮปปี้เบิร์ธเดย์ให้หล่อน พร้อมกับที่เพื่อนมนกลุ่มยกเค้กจุดเทียนสวยงามมาวางกลางโต๊ะ
พอเพลงจบลง เอิงก้มลงเป่าเทียน ทุกคนในร้านตบมือ เพื่อนๆ อวยพร กอด หอม และพากันมอบของขวัญให้เอิง บรรยากาศเต็มไปด้วยความสุข สดชื่น รื่นเริง
ศวัสเดินเข้ามาในนั้น พร้อมกับเพื่อนร่วมก๊วนกอล์ฟ และเอิงหันมาเห็นพอดีหล่อนเบิกตากว้างดีใจ
“คุณหมอ”
เพื่อนๆ ทุกคน หันไปมองตาม แล้วร้องกิ๊วก๊าวกันยกใหญ่ ขณะที่เอิงเดินปรี่เข้าไปจับแขนศวัสซึ่งวางสีหน้าไม่ถูกอยู่
“เชิญที่โต๊ะเอิงหน่อยค่ะ” เจ้าหล่อนหันไปแจกยิ้มบอกเพื่อนศวัส “ทุกคนด้วยนะคะ วันนี้วันเกิดเอิง...ให้เกียรติเอิงหน่อยนะคะ”
ศวัสจำต้องเดินมาที่โต๊ะเอิงพร้อมกับเพื่อนๆ ตามมารยาท ทุกคนทำความรู้จักกันอย่างรวดเร็ว ตามประสาหนุ่มสาวสมัยใหม่ โดยเอิงซึ่งวางตัวตีเนียนราวกับเป็นแฟนของศวัสกระนั้น
เพื่อนๆ พากันถ่ายรูปเป็นที่สนุกสนาน แน่นอนว่าเอิงโพสท่าสนิทสนมกับศวัสเป็นพิเศษ
บริเวณในซอยละแวกหมู่บ้านเงียบสงัด ด้วยเป็นเวลาดึก
พุธกันยานั่งอยู่ที่เก้าอี้สนาม รอการกลับมาของลูก สักพักหนึ่ง มีเสียงรถแล่นตรงมา
พุธกันยาลุกขึ้นทันที เดินมาที่บริเวณประตู ซึ่งเปิดออกด้วยระบบรีโมทคอนโทรล
ศวัสขับรถเข้ามาจอด เปิดประตูก้าวลงมา
“ทำไมวันนี้กลับดึกนักล่ะลูก”
ศวัสเดินตรงไปที่ประตูบ้าน กดรหัสประตูบ้านเปิดออก หมอหนุ่มเดินเข้าไป พุธกันยาเดินตาม
ศวัสแปลกใจที่เป็นเยาวภาแทนที่จะเป็นแจ่มคอยอยู่
“อ้าว แจ่มล่ะครับ”
“น้าภาให้ไปนอนแล้ว น้าภารอเปิดประตูให้คุณศวัสได้”
“ขอบคุณครับ”
“ไม่ต้องไปขอบอกขอบใจมัน! มันพยายามจะแทนที่แม่” พุธกันยามองเขม่นเยาวภา
“คุณศวัสหิวหรือเปล่า...น้าจะได้...”
“ไม่หิวครับ”
พุธกันยาหมั่นไส้ “คนบ้าที่ไหนจะหิวตอน ตี 1”
“ผมไปนอนละครับ”
“ค่ะ”
“ขึ้นไปเลยลูก ไม่ต้องไปคุยกับมัน”
ศวัสเดินขึ้นไป เยาวภายืนมองด้วยความชื่นชม พึมพำอาการเพ้อๆ ว่า
“ลูกรักของแม่”
พุธกันยาโมโห “อะไรนะ ศวัสเป็นลูกฉัน! ไม่ใช่ลูกแก”
“แม่เลี้ยงศวัสมาตั้งแต่เท้าเท่าฝาหอย”
“จะบ้าเรอะ นังคนนี้ต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ”
“คุณพุธกันยาคลอดลูกไม่เท่าไหร่ก็ต้องไปเล่นหนังเล่นละคร แม่นี่แหละ เลี้ยงดูอุ้มชูศวัสมายิ่งกว่าแม่แท้ๆ”
พุธกันยานิ่งอึ้ง มองดูเยาวภาซึ่งเดินพร่ำรำพันออกไป ด้วยสีหน้ารำลึกถึงเรื่องราวในอดีต
วันนั้น เยาวภากำลังอาบน้ำให้ศวัสในวัยทารก ประมาณ 7-8 เดือน
ประตูเปิดออก พุธกันยาซึ่งแต่งตัวจะออกไปทำงานเข้ามา
“จ๊ะเอ๋ ลูกรัก” พุธกันยาก้มลงจูบลูกอย่างรักใคร่
“อยู่กับน้าภานะลูก แม่ต้องไปทำงาน ภา ฉันปั๊มนมไว้ อยู่ในตู้เย็นนะ”
“ค่ะ”
ตกกลางดึก พุธกันยากลับจากถ่ายหนัง ค่อยๆ เปิดประตูชะโงกหน้าเข้ามาดูในห้องลูก
เยาวภาซึ่งกำลังกล่อมศวัสให้หลับ หันมามอง
พุธกันยาพูดถามเบาๆ “หลับหรือยัง”
“ยังค่ะ” เยาวภาอุ้มศวัสขึ้น ส่งให้พุธกันยา “คุณแม่มาหานะคะ”
พุธกันยาเข้ามาอ้าแขนรับลูก ทารกน้อยร้องไห้ ไม่ยอมให้อุ้ม แถมดิ้นใหญ่จะหาเยาวภาท่าเดียว
“โอ๋...นิ่งนะคะ...นิ่ง...นิ่ง...”
พุธกันยามองภาพนั้นด้วยความสะเทือนใจ
พุธกันยาหวนคิดถึงอดีตเรื่องนี้แล้ว ถึงกับทรุดตัวลงนั่งอย่างหมดแรง น้ำตารื้นขึ้นมา รู้สึกอับจนหนทาง และเศร้าสะเทือนใจใหญ่หลวง และที่สำคัญรู้สึกผิดต่อลูกชายยิ่งนัก
ดวงจันทร์คืนข้างแรมแก่ๆ ค่อยๆ ลอยหายเข้าไปหลังกลุ่มเมฆฝนซึ่งกระจายอยู่เหนือหลังคาบ้านศวัส ฟ้าเริ่มร้องครืนครั่น แสงแลบแปลบปลาบ ก่อนที่สายฝนค่อยๆ โปรยปรายลงมา
ศวัสยืนอยู่ที่ประตูด้านหลังบ้าน เปิดไปเจอซุ้มต้นพุดซ้อน ทอดสายตามองออกไปราวกับกำลังครุ่นคิดถึงบางสิ่งบางอย่าง
ในที่สุดศวัสขยับตัว จะหันหลังเดินเข้ามา เขาเห็นเงาๆ หนึ่งปรากฏอยู่บริเวณต้นพุดซ้อน ศวัสชะงัก เพ่งมองไปที่นั้น เงานั้นเหมือนกำลังมองตรงมาที่ศวัสเช่นกัน
ศวัสเพ่งมองออกไป ราวกับจะยืนยันกับตัวเองว่าไม่ได้ตาฝาด เขาตะโกนถามออกไปในที่สุด
“นั่นใคร”
เงานั้นค่อยๆ เลือนหายไป
ศวัสลืมตาตื่นขึ้นพบว่าตัวเองอยู่ในห้องนอน เสียงฟ้าร้องครืนครัน แสงแลบแปลบปลาบผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง หมอหนุ่มลุกขึ้น เดินไปที่หน้าต่าง ฝนกำลังโปรยปรายเหมือนในฝันไม่มีผิด ศวัสมียืนนิ่ง สีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด
ไม่นานต่อมาศวัสเดินเข้ามาในบริเวณประตูด้านหลังบ้าน ด้วยสีหน้าเหมือนยังลังเล แกมลุ้น เขาเดินมาหยุดที่ประตู ยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งราวกับจะเตรียมตัวเตรียมใจกับสิ่งที่กำลังจะปรากฏตรงหน้า
ศวัสค่อยๆ เอื้อมมือไปเปิดล็อกลูกบิดช้าๆ ราวกับจะกลั้นใจ
มือศวัสจับลูกบิดประตูเปิดออก สีหน้าลุ้นเต็มที่
พอประตูเปิดออกเต็มที่ สายตามองไปท่ามกลางสายฝนโปรดปรายนั้น มีเพียงต้นพุดซ้อน ต้นไม้อื่นๆ เห็นเป็นเงาตะคุ่มๆ
ศวัสถอนใจยาวเหมือนโล่งใจ แล้วดึงประตูปิด
เสียงพุธกันยาเบาหวิวแทรกเสียงลมฝนมาว่า “ศวัส”
ศวัสนิ่วหน้า แล้วหันกลับไปเปิดประตู มองออกไปอีกที พบว่าทุกอย่างเหมือนเดิม
ศวัสส่ายหน้าท่าทางเหมือนขำตัวเอง แล้วปิดประตูลง
บรรยากาศยามเช้าบริเวณหน้าคอนโดหอพักกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ขณะหอมน้ำ โสภณ เกสร และเขน เดินตรงมายังรถโค้กซึ่งจอดรออยู่ และโค้กออกมายืนรอข้างนอก
ทั้งสองฝ่าย ไหว้ และรับไหว้ กันตามอาวุโส
โค้กรีบเปิดประตูให้ “เชิญครับ...เชิญครับ”
โสภณ เกสร หอมน้ำ ขึ้นด้านหลัง ส่วนเขนเปิดประตูขึ้นด้านหน้าด้วยรูปร่างที่ไม่เหมาะจะไปนั่งเบียดด้านหลัง
“ขอบใจมากนะ คุณโค้ก” โสภณยิ้ม
“ไม่เป็นไรครับ คุณพ่อคุณแม่น้องหอมก็เหมือนคุณพ่อคุณแม่ของผมเอง”
หอมน้ำยังไหวตัวไม่ทัน ขณะเขนรีบขัดคอ
“เอาแค่ญาติผู้ใหญ่ก็พอมั้งพี่โค้ก”
โค้กออกอาการเขินๆ แล้วขับรถออกไป
สักครู่หนึ่ง โค้กขับรถเลี้ยวออกจากซอย
“พี่อุมาเป็นยังไงบ้างคะ พี่โค้ก” หอมน้ำถามขึ้น
“เมื่อคืนเห็นโทร.มาบอกว่า เช้านี้จะไปทำสังฆทานให้เจ้ากรรมนายเวร”
หอมน้ำพยักหน้ารับรู้
เกสรไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวด้วย “เดี๋ยวส่งหอมแล้ว แม่ต่อแท็กซี่ไปโรงพยาบาลเองก็ได้นะคุณโค้ก คุณโค้กต้องทำงาน”
“ไม่เป็นไรครับ โรงพยาบาลอยู่ใกล้บ้านถ่ายหนังนิดเดียว เสร็จเมื่อไหร่คุณพ่อโทร.บอกผมได้เลย ผมจะไปรับ”
“เฮ่ย! รบกวนคุณโค้ก” โสภณเกรงใจ
เขนทำหน้าเจ้าเล่ห์ “โอ๊ย ไม่รบกวนเลยค่ะ พี่โค้กเขาฟินสุดขีดจี๊ดสุดขั้วเลยด้วยซ้ำ”
โค้กขึ้นเสียง “ไอ้เขน”
โสภณกะเกสรหัวเราะ โดยไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรกะเขาด้วย
อีกฟาก ทับทิมกำลังยืนคุยกับกนกรัตน์ตรงหน้าบ้าน หน้าตากนกรัตน์ซีเรียสมาก
“ทับยังไม่ได้คุยกับเขาเลยฮ่ะ รู้แต่ว่าเมื่อเช้าพี่ฟ้าพาไปถวายสังฆทาน”
“แล้วเธอไม่ได้ถามเหรอว่า นิ้วเน่าไปถึงไหนแล้ว”
ทับทิมค้อนขำๆ “แหม! คงไม่ถึงขนาดนั้นหรอกฮ่ะ”
รถโค้กแล่นมาจอดหน้าบ้าน หอมน้ำกับเขน หันมาโบกไม้โบกมือให้ทับทิมและกนกรัตน์
“คุณน้องหอมมากันแล้ว! ทับไปก่อนนะฮ่ะ”
“เดี๋ยวค่ะ! คุณหนกไปด้วยคน”
โค้กจอดรถ ขณะที่ทับทิม และกนกรัตน์วิ่งตามกันมา
ในระหว่างนั้นศวัสกำลังเดินมาที่รถกำลังกดรีโมท มองไปเห็นภาพหอมน้ำ และเขนกำลังเปิดประตูรถก้าวลงมา
ศวัสกดรีโมตประตูเปิดออก ทุกคนหันมามอง หอมน้ำ เขน และทับทิม หันมายกมือไหว้ พร้อมๆ กับโสภณและเกสร ที่เปิดประตูออกมาอย่างตื่นเต้น
“คุณหมอ สวัสดีค่ะ”
ศวัสรีบยกมือไหว้สองคนแทบไม่ทัน กนกรัตน์มองทางโน้นที ทางนี้ที พยายามจะพูด แต่ทุกคนดูเหมือนไม่ได้สนใจ
“คุณโค้กเขากำลังจะไปส่งอาที่โรงพยาบาล” โสภณยิ้มเรี่ยราด
“ไปกับผมน่าจะสะดวกกว่า คุณโค้กจะได้มีเวลาดูแลดารา”
ศวัสประชดในที ประโยคท้ายนัยน์ตาหมอหนุ่มมีแววยั่วยิ้ม เมื่อมองหอมน้ำแวบหนึ่ง แล้วเบือนมาที่โค้กด้วยแววตาเดียวกัน
“จริงไหมครับ”
โค้กเขินด้วยอ่านแววตาล้อเลียนนั้นออก แล้วหันไปทางหอมน้ำ
“เอายังไงดีครับน้องหอม”
โสภณกะเกสรสบตากัน
หอมน้ำเอ่ยขึ้น จริงใจที่สุด “ไปกับคุณหมอก็สะดวกดีค่ะ แต่หอมเกรงใจ”
ศวัสทำท่าเหมือนรำคาญ แล้วหันไปทางโสภณและเกสร
“คุณอาไปกับผมก็แล้วกันนะครับ”
สองคนพยักหน้า
“ขอบใจคุณหมอ” โสภณหันไปทางโค้ก “คุณโค้กจะได้ไม่ต้องขับไปขับมา”
“ไม่ต้องน้อยใจนะคุณโค้ก ถ้ายังไง! เดี๋ยวเสร็จแล้วแม่จะโทรให้ไปรับ” เกสรว่า
โค้กหน้าชื่นขึ้น “ครับ...แล้วโทร.มานะครับ! คุณพ่อคุณแม่”
โสภณ เกสร รับ “จ้ะ” พร้อมกัน
ศวัสทำหน้าเหมือนรู้สึกขัดหูเมื่อโค้กย้ำคำว่า “คุณพ่อคุณแม่” อีก
“เชิญครับ”
โสภณ เกสร เดินตามศวัสไปขึ้นรถ มีสายตาทุกคู่มองตาม จนกระทั่งศวัสขับรถพาทั้ง 2 คน ออกไป
โสภณกะเกสร โบกมือให้ลูกสาว หอมน้ำโบกมือตอบอย่างแจ่มใส ศวัสเหลือบมองหอมน้ำทางกระจก
การจราจรบนท้องถนนเช้านี้ ไม่ติดขัดมากนัก คนขับรถตู้กองถ่ายซึ่งคัมภีร์นั่งคู่มาตอนหน้าคุยกันไป
ส่วนตอนหลัง อุมากำลังเปิดแผลให้ทุกคนดู สีหน้าแต่ละครประหลาดใจ ที่พบว่านิ้วข้างเน่าหนอนแห้งลงอย่างเห็นได้ชัด
“เห็นหรือยังว่าถ้าที่พี่อูม่าชี้ไม่ใช่ผีแล้วจะเรียกว่าอะไร” ฟ้าว่า
พิไลลูบแขน “ขนลุกเลยค่ะ”
อุมารีบปิดแผลยกมือไหว้ท่วมหัว
“เจ้าประคู้ณ ต่อไปนี้ลูกช้างจะไม่ชี้มั่วไปหมดอีกแล้ว”
น้อยธุรกิจกองบอกว่า “อาจจะเป็นเรื่องบังเอิญก็ได้” ท่าทีน้อยไม่เชื่อนัก “ผีเผอมีที่ไหน”
“ทำพูดดีเดี๋ยวได้ปากเน่าหนอนหรอก” พิไลยกมือไหว้บ้าง “เจ้าประคู้ณ...ณถ้าวิญญาณพุธกันยา ยังวนเวียนอยู่ที่บ้านนั้นจริง ขอให้มาปรากฏให้ฉันเห็นด้วย เทิ้ด...”
คนอื่นๆ บุ้ยใบ้ “บ้า”
พิไลสีหน้าจริงจัง บอกด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“พูดจริงๆ พี่น่ะชอบเขามาตั้งแต่เข้าวงการ เป็นนางเอกที่สวยที่สุดตอนนั้นเลย เล่นหนังเล่นละครก็เก่ง! ถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครสู้ได้”
ถึงตอนนี้พิไลเริ่มน้ำตาคลอ
“ตอนเขาตาย พี่ร้องไห้เสียใจตั้งหลายวัน ไว้ทุกข์ให้ด้วย”
พิไลเช็ดน้ำตา ขณะทุกคนมองอึ้งๆ
ฟ้ากระซิบชาวคณะว่า “เป็นเอามาก”
อ่านต่อหน้า 4
ใยกัลยา ตอนที่ 4 (ต่อ)
ที่บริเวณหน้าบ้านศวัสตอนนี้ กนกรัตน์กำลังถ่ายรูปกับ ลูกนัท และ ธันวา ด้วยสีหน้าระรื่น โดยมีแฟนคลับคอยต่อคิว แฟนคลับอีกส่วนก็ไปรุมล้อมถ่ายรูปกับเพลินพิศ และ อธิป
แฟนคลับสลับกันถ่ายรูปไปมาด้วยความสุขที่ได้ถ่ายรูปกับดาราคนโปรด ดาราเองก็ยิ้มแย้มเอาอกเอาใจบรรดาแฟนคลับเต็มที่
ส่วนหอมน้ำกำลังนั่งให้ช่างแต่งหน้าลงรองพื้นให้ มีเขนและทับทิม กำลังเลือกเสื้อผ้าให้อยู่
“ชุดนี้ดีมั้ยฮะ...น้องหอม”
หอมน้ำลืมตาขึ้น หันไปมอง
“ไหนคะ”
พอมองไปหอมน้ำถึงกับสะดุ้ง มีไอจางๆ ออกจากลมหายใจ พบว่าพุธกันยายืนอยู่ข้างหลังทับทิมขณะที่เขนชะงักมองตามสายตาเพื่อน
เขนดูอาการออก ทำปากขมุบขมิบถาม “อยู่ตรงหน้าเหรอ”
หอมพยักหน้า ขณะที่ช่างผมมองงงๆ
ทับทิมเลิกลัก “อะ...อะ...ไร...เหรอฮ้า”
หอมน้ำค่อยๆ ลุกขึ้นยิ้มให้ช่างที่งงอยู่
“อะ...อะไรคะ น้องหอม”
พุธกันยาเดินมาที่ประตู หายวับไป
หอมน้ำบอกช่างหน้าว่า “เดี๋ยวหอมมานะคะ”
หอมน้ำรีบเดินเปิดประตูออกไป
ทับทิม กับเขน มองตาม แล้วหันมาสบตากัน
ช่างหน้ายังงงๆ อยู่ “มีอะไรคะ” ช่างชะงักนึกได้ “หรือว่า...ผี”
ลมพัดประตูปิดปัง ทั้ง 3 สะดุ้งเฮือก...โผเข้ากอดกันกลม
หอมน้ำเดินเข้ามาในบริเวณซุ้มพุดซ้อน โค้กเดินตามมาด้วยสีหน้าแปลกใจที่หอมน้ำเดินลิ่วๆ
“น้องหอมน้ำ”
หอมน้ำซึ่งกำลังมองหาพุธกันยาหยุดนิ่งเหมือนชะงัก
“น้องหอมน้ำ”
หอมน้ำค่อยๆ หันกลับมา มีไอเย็นลอยออกจากจมูก พริบตานั้นเองสีหน้าท่าทางเปลี่ยนไปเป็นพุธกันยาแล้ว
“เป็นอะไรหรือเปล่า”
“อย่ามายุ่ง”
หอมน้ำเดินตรงเข้าไปในบ้าน ทางหลังบ้าน
“น้องหอม”
ในห้องแต่งตัวภายในบ้าน เขนหันมาทางทับทิม “ตายแล้ว! พี่ทับ”
“ทำไมฮะ” ทับทิมหน้าตาตื่น
“สร้อยพระของหอมอยู่กับเขน”
“ว้าย! ทำไงดีล่ะฮ่ะ”
“นี่มันเรื่องอะไรกัน...พี่งงไปหมดแล้ว” ช่างหน้างงอยู่อย่างนั้น
ระหว่างนี้ประตูเปิดออก ลูกนัทเดินเข้ามา ตามด้วยเพลินพิศ ธันวา อธิป อุมา และน้อย พอดีกับที่เขนรีบพรวดพราดออกไป จนชนกับเพลินพลิศอย่างจัง
“ว้าย” เพลินพิศเซถลาล้ม “ไอ้บ้า”
ธันวาทรุดตัวลงจะช่วย “ลุกไหวมั้ย”
“จะรีบไปไหน...น้องช้าง”
ลูกนัทช่วยประคองอีกข้าง เมื่อเห็นเพลินพิศนิ่วหน้าโอดโอย ลุกไม่ขึ้น
“พี่น้อย พี่ทับ ช่วยกันหน่อย”
สองคนหายตกตะลึง ตรงเข้ามาช่วย
เพลินพิศตวาด “ไม่ต้อง”
เพลินพิศกัดฟันยันตัวลุกขึ้นโดยธันวา และลูกนัทช่วยประคอง
“ขาหักหรือเปล่าก็ไม่รู้”
“อกหักมากกว่ามั้ง...เจ๊” อธิปแซว
“บ้า! ไอ้ไก่บ้า”
บรรยากาศชุลมุนวุ่นวายกันไปพอประมาณ
ฝ่ายหอมน้ำเดินเข้ามาในบริเวณห้องทานอาหารช้าๆ บุรีซึ่งกำลังตักข้าวต้มเข้าปาก เงยหน้ามองอย่างประหลาดใจเล็กๆ ขณะที่เยาวภาซึ่งยืนคอยปรนนิบัติหยิบโน่นหยิบนี่ให้บุรี มีใบหน้าเย็นชา โค้กเดินตามเข้ามา
บุรีขยับตัวยิ้มอย่างใจดี “หนูหอมน้ำ คุณโค้ก มาทานข้าวต้มด้วยกัน เยาวภา ขอข้าวต้มเพิ่มอีก 2 ที่”
โค้กเกรงใจ “ไม่เป็นไรครับ”
ขณะโค้กพูดอยู่นั้นหอมน้ำเดินเข้ามานั่งด้านขวาของบุรีด้วยท่าทีคุ้นเคย ด้วยกิริยาของพุธกันยาโดยไม่มีการขอบคุณ บุรีไม่ทันสังเกต พยักหน้าเรียกโค้ก
“มาซิ คุณโค้ก...ไม่ต้องเกรงใจ”
โค้กพึมพำเบาๆ แล้วเดินมาจะทรุดตัวลงนั่งข้างๆ หอมน้ำ แต่หอมน้ำหันมาทางโค้ก
“ไปนั่งด้านโน้น”
โค้กก้นยังไม่ถึงเก้าอี้ ชะงักมองหอมอย่างแปลกใจ
หอมน้ำยังคงมองโค้กนิ่ง แล้วพยักหน้าให้ไปนั่งด้านตรงข้าม
โค้กเดินอ้อมไปนั่งงงๆ ขณะที่เยาวภาเดินนำแจ่มซึ่งยกถาดมีข้าวต้ม 2 ชาม มาวางตรงหน้าหอมน้ำ และโค้ก แล้วออกไป แต่เยาวภายังยืนสังเกตการณ์โดยถอยไปยืนข้างหลังบุรี
บุรีหันมามองหอมน้ำซึ่งยังคงมองบุรีตลอดเวลาด้วยสีหน้าแววตาคุ้นเคยตื้นตัน จนทำให้บุรีชะงักไปนิดหนึ่ง
“เอาเลย! ข้าวต้มกำลังร้อน! เชิญ! คุณโค้ก”
หอมน้ำยิ้มในมาดพุธกันยาแล้วตักข้าวต้มกิน โค้กกินตาม บรรยากาศสงบเงียบ
เยาวภามองหอมน้ำอย่างเพ่งพิศ หอมน้ำเบือนหน้ามาสบตาโดยเร็ว จนเยาวภาหลบไม่ทัน
“เดี๋ยวขอกาแฟด้วยนะ ภา”
บุรีกะโค้ก ชะงัก
“จำได้หรือเปล่า ใส่น้ำตาลก้อนเดียว ไม่ใส่คอฟฟีเมท”
เยาวภาสะดุ้งเช่นเดียวกับสองคน
หอมน้ำก้มลงกินต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น บุรีรู้สึกตัวหันไปบอกเยาวภาซึ่งยังคงยืนนิ่ง งงอยู่
“ไปซิ ภา”
เยาวภารับคำเบาๆ แล้วเดินออกไป
โค้กเรียกเบาๆ “หอม”
หอมน้ำบอกราวกับป็นเจ้าบ้าน “ข้าวต้มบ้านนี้อร่อย ทานให้หมดเลยนะ”
โค้กกลืนน้ำลาย ขณะที่หอมน้ำยิ้มกับบุรี
“ของคุณเป็นกาแฟดำไม่ใส่น้ำตาลใช่มั้ยคะ”
บุรีสะอึกอึ้งไป ตามองหอมน้ำเหมือนไม่เคยเห็นมาก่อน
บุรีเดินมาที่ห้องชั้นบน ด้วยสีหน้าสับสนต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สักครู่เยาวภารีบเดินตามมา
“คุณบุรีคะ”
บุรีหยุดเดินหันมา เยาวภามีสีหน้าเคร่งเครียดแทนเฉยชา
“เมื่อกี้นี้...เอ้อ”
“มันบังเอิญน่ะ”
บุรีพูดจบเปิดประตูเข้าห้องไป ทิ้งเยาวภายืนนิ่ง สีหน้ายังคงเคร่งเครียดอยู่ตรงนั้นลำพัง
บุรีทรุดตัวลงนั่ง สีหน้ายังตระหนกกับสิ่งที่เกิดขึ้น เหตุการณ์เมื่อครู่ ผุดเข้ามาในห้วงความคิด
“ขอกาแฟด้วยนะ ภา” / “จำได้หรือเปล่า ใส่น้ำตาลก้อนเดียว...ไม่ใส่คอฟฟี่เมท” / “ของคุณเป็นกาแฟดำ ไม่ใส่น้ำตาลใช่ไหมคะ”
คิดแล้ว บุรีส่ายหน้า “เป็นไปไม่ได้”
สองคนเดินมาที่บริเวณประตูจะออกด้านหลังมุมที่จะไปยังซุ้มต้นพุดซ้อน โค้กก้าวมาขวางหน้าหอมน้ำไว้
“นี่มันอะไรกัน หอมน้ำ”
“ถอยไป” น้ำเสียงหอมน้ำเบา แต่หนักแน่น
“พี่ไม่เข้าใจ”
หอมน้ำมีสีหน้าไม่พอใจ ผลักโค้กให้พ้นทาง ถึงแม้จะไม่แรงมาก แต่ด้วยพลังของวิญญาณทำให้โค้กตัวลอยกระเด็นไปไกล ก้นกระแทกค่อนข้างแรง
โค้กร้องลั่น “โอ๊ย”
หอมน้ำเดินไปต่อโดยไม่สนใจ
โค้กงงมากกว่าเจ็บ “หอมน้ำ”
เขนเดินสวนมาจับแขนไว้ “หอม”
แต่หอมน้ำสะบัด “ฉันจะรีบไปแต่งหน้าแต่งตัว” แล้วเดินไปอย่างไม่สนใจ)
โค้กลุกขึ้น ยังมีท่าทางเหมือนยังเจ็บ “อูย! เรียวแรงยังกับยักษ์”
เขนหันขวับมามอง “เขาทำอะไรพี่โค้กหรือคะ”
“พี่ถามว่าเขาเป็นอะไร...เขาเหวี่ยงพี่กระเด็นเลย”
“เฮ้อ” สาวอวบเดินไป
“เดี๋ยว เขน หอมเป็นอะไรไป”
เขนไม่ตอบ โค้กรีบเดินตาม
ในห้องแต่งตัว ลูกนัท เพลินพิศ ธันวา และ อธิป กำลังแต่งหน้าทำผมกันอยู่
น้อย ธุรกิจกอง นั่งโทรศัพท์นัดกับดาราที่ยังมาไม่ถึง ขณะที่ทับทิมกำลังจัดเสื้อผ้า แต่ตาคอยมองไปที่ประตูอย่างกังวล
ประตูเปิดออก หอมน้ำเดินเข้ามาด้วยสีหน้าท่าทางของพุธกันยา แล้วลงนั่งอย่างสง่า
“อุมา! มาแต่งหน้าพี่ให้เสร็จ” หอมน้ำเรียก
ทุกคนในที่นั้นชะงัก ทับทิมยกมือทาบอก เพลินพิศหน้าหงิก
น้อยอึกอัก “เอ้อ...”
“ไม่เห็นเหรอว่าอุมากำลังแต่งหน้าให้ฉัน” เพลินพิศแหวใส่
“หอมน้ำ เราเป็นเด็กใหม่ ควรรอให้พี่เพลินเขาแต่งให้เสร็จก่อน” ลูกนัทว่า
หอมน้ำผินหน้าสายตามองมาที่ลูกนัทอย่างเย็นชา
“เธอนั่นแหละเด็กใหม่”
เขนเปิดประตูเข้ามา ตามด้วยโค้ก
“หอมน้ำ” หอมน้ำมองไปที่เขน “เชิญทางนี้หน่อยค่ะ”
พุธกันยาในร่างหอมน้ำทำท่าจะปฏิเสธ เขนจับสร้อยพระดึงออกมา จ้องหอมน้ำเขม็ง
“เชิญค่ะ” เขนเน้นเสียงหนักแน่น เดินนำออกไป หอมน้ำลุกเดินตามออกไปอย่างหงุดหงิด
โค้กขยับตามไป เพลินพิศด่าไล่หลัง
“พวกวัวลืมตีน ทำท่าทำทางยังกับเป็นนางเอกเบอร์หนึ่ง”
“แต่ท่าทางเขาแปลกไปนะ! ดูเป็นผู้ใหญ่ไม่ใช่เด็กใสๆแบบเดิม” ธันว่าตั้งข้อสังเกต
“สงสัยเขาจะเป็นบ้าไปแล้วมั้ง” อุมาหัวเราะ
ทับทิมกระแอม “เมื่อคืนนิ้วเน่านิ้วหนอนไปแล้วนะคะ พี่อูม่า”
อุมาสะดุ้ง ขณะที่เพลินพิศ ลูกนัท อธิป ธันวา
คนที่ยังไม่รู้เรื่องหันมามองนิ้ว พลางซักถามอุมากันวุ่นวาย
ตรงมุมตึกบ้านศวัส หอมน้ำที่ถูกสิงและเขนกำลังถกเถียงกันเคร่งเครียดอยู่บริเวณนั้น โดยระหว่างคุยเขนจับสร้อยพระไว้แน่นเอากำลังใจ ขณะที่หอมน้ำยืนห่างออกมาอย่างระมัดระวังตัวเช่นเดียวกัน
“ถ้าคุณอยากจะสิงหอมต่อไป คุณต้องระวังตัวอย่าให้ใครสงสัยว่าทำไมหอมเปลี่ยนไปเด็ดขาด”
“ฉันเป็นตัวของตัวเอง”
“ถ้าอย่างนั้นก็อย่ามาสิงหอม” เขนโกรธ
หอมน้ำหงุดหงิด “ขู่ฉันเรอะ”
“เขนพูดจริงๆ ค่ะ แค่นี้หอมก็เดือดร้อนพอแล้ว อย่าให้ชีวิตของเขาต้องยุ่งยากวุ่นวายมากไปกว่านี้เลย เขนไหว้ละค่ะ” สาวอวบยกมือไหว้
“ฉันทนให้ดารารุ่นใหม่ๆมาอวดดีพูดจาข่มขู่ฉันไม่ได้”
“พวกเขาไม่รู้นี่คะว่าคุณเป็นใคร”
“เพราะอย่างนั้นฉันถึงต้องแสดงให้รู้”
เขนสวนคำทันที “ไม่ได้ค่ะ หอมเสียสละให้คุณสิงเพราะเห็นใจคุณ อยากช่วยคุณ คุณก็ต้องช่วยไม่ให้เขาดูเหมือนคนบ้าในสายตาของคนอื่น…เขนขอแค่นี้เอง...คุณจะให้ได้ไหมคะ”
หอมน้ำเม้มปาก มองไปอีกทาง
โค้กซึ่งยืนรออยู่บริเวณหน้าห้องแต่งตัว อย่างกระวนกระวาย จนกระทั่งเห็นหอมน้ำและเขน เดินตรงมา โค้กรีบเข้าไปถาม
“หอมเป็นอะไรหรือเปล่า”
หอมน้ำทำท่าจะพูด แต่เขนกระแอมเบาๆ
หอมน้ำพูดแบบถนอมปากถนอมคำ “เปล่าค่ะ”
เขนต่อให้ “หอมเขาเวียนหัวน่ะค่ะ”
“แล้วหายหรือยังคะ”
หอมน้ำชักสีหน้ารำคาญใส่ แต่ก็รีบปรับเมื่อเขนมองเขม็ง
“หายแล้วค่ะ เอ้อ...ฉัน...เอ้อ...หอมต้องเข้าไปแต่งหน้า แต่งตัวละค่ะ”
หอมน้ำยิ้มให้โค้กแล้วเดินไปที่ประตู เปิดเข้าไป เขนถอนใจเฮือก
“ยังไงพี่ก็ยังเป็นห่วงหอม”
เขนตบแขนโค้กเบาๆ “ไม่ต้องเป็นห่วง หอมเค้า โอเค ค่ะ”
จากนั้นเขนเดินตามเข้าไปข้างในห้องแต่งตัว โดยโค้กมองตามด้วยสีหน้าครุ่นคิด
อธิปแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว “น้องหอมหิวหรือยังคะ...พี่ไก่จะไปเอากระเพาะปลามาให้”
เพลินพิศค้อนขวับ ขณะธันวาซึ่งทำผมแต่งหน้าเสร็จแล้วเช่นกันลุกขึ้น
“ถามแต่น้องหอมคนเดียวหรือยะ” ลูกนัทพูดแบบล้อๆ
“แล้วน้องลูกนัทล่ะคะ หิวไหม...พี่ธันวาจะบริการเอง”
“ไม่ต้อง! เดี๋ยวเอาอะไรใส่มาให้ฉันกิน”
ธันวาเกาหัว “ไม่โรแมนติกซะเล้ย ไป..ไก่ เราไปกินกัน 2 คนก็ได้”
“เดี๋ยว...น้องหอมจะทานกระเพาะปลาไหมคะ” อธิปเอาใจ
เขน ทับทิมมองหอมน้ำเขม็ง โดยทับทิมมองแบบกล้าๆกลัวๆ
หอมน้ำทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ “ไม่ค่ะ มีคนจุดธูปเชิญให้กิน ตั้งแต่ตอนเช้ามืดแล้ว”
ทุกคนหัวเราะ ยกเว้นเขนกับทับทิมซึ่งหันมาสบตากัน
เพลินพิศทำหน้าดูถูก “ขำตายละ”
ธันวาผลักอธิปให้เดินออกไป ตัวเองเดินตาม โดยอธิปไม่วายหันมาพูดหวานเอาใจหอมน้ำ
“เดี๋ยวพี่ไก่จะเอากระเพาะปลามาให้นะคะ”
หอมน้ำมีสีหน้าเหมือนรำคาญ แล้วหันหน้ามาสบตาอุมาโดยบังเอิญ มองจ้องนิ้วอุมาแล้วยิ้มด้วย
“นิ้วเป็นยังไงบ้างคะ”
“ค่อยยังชั่วขึ้นเยอะเลยค่ะ พี่อูม่าไปทำสังฆทานให้เจ้ากรรมนายเวรแต่เช้า”
“มิน่า ถึงได้รู้สึกอิ๊ม...อิ่มบุญ” หอมน้ำว่า
เขนหัวเราะพร้อมกับคนอื่นๆ ขณะที่ทับทิมกลืนน้ำลายเอื้อก
“พูดดีไปเถอะ เดี๋ยวได้เป็นผีจริงๆ”
หอมน้ำสบตาเพลินพิศ แล้วยิ้มเยือกเย็นให้ ทำเอาเพลินพิศชะงักงันไป เมื่อสบสายตาที่ไร้แววนั้น
บริเวณหอพักช่วงหัวค่ำ ยังคงดูคึกคักด้วยนักศึกษาหญิงชาย ส่วนภายในห้อง หอมน้ำและเขน เดินเข้ามาหลังเลิกกอง
“เฮ้อ! เลิกกองเร็วแบบนี้ดีจังเลย”
“หอมน่ะอยากให้ถ่ายจบเรื่องไปด้วยซ้ำ ไม่น่าตบปากรับคำไปเล้ย”
“เอาน่า! ในเมื่อเราแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว ก็ต้องทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด”
หอมน้ำเย้า “เอ๊! วันนี้พูดจามีสาระแฮะ”
“แหม! จะให้ไร้สาระตลอดไปได้ยังไง! จบเทอมนี้ก็จะได้ปริญญาแล้ว เขนไปห้องละนะ”
หอมน้ำพยักหน้าแล้วเดินมากอดเพื่อน
“ขอบใจนะจ๊ะที่ช่วยไปส่งพ่อกับแม่ให้”
เขนกอดตอบ แล้วตบหลังเพื่อน
“โธ่เอ๊ย แค่ส่งขึ้นรถเอง...ไม่ได้ไปจนถึงบ้านสักหน่อย!...ไปละ”
เขนเดินไปเปิดประตู แล้วยังมีแก่ใจหันมายักคิ้วให้ ล้อๆ
“อยู่คนเดียวได้แน่นะ”
หอมน้ำดึงสร้อยพระจากปกเสื้อออกมา
“ชัวร์”
หอมน้ำเดินเข้าห้องตัวเองปิดประตู เดินไปที่ตู้เสื้อผ้า หยิบชุดนอนออกมา
หอมน้ำถอดสร้อยพระไหว้แล้ววางไว้บนโต๊ะเครื่องแป้ง แล้วเดินเข้าห้องน้ำไป
ด้านเขนก้าวออกมาจากห้องน้ำในชุดนอน เดินมาที่เตียง หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทร.หาหอมน้ำ มีแต่เสียงเพลงรอสาย แต่ไม่มีใครรับสาย
โทรศัพท์หอมน้ำมีเสียงเพลงแต่ไม่มีใครรับ จนเงียบไป ประตูห้องน้ำเปิดอยู่แต่ในนั้นไม่มีใครอยู่ ชุดนอนก็ยังอยู่ที่เดิม
เขนทำท่าจะโทร.อีกแต่แล้วก็เปลี่ยนใจ วางโทรศัพท์ลง
“สงสัยจะเหนื่อยมาก เลยหลับไปแล้ว”
เขนขึ้นเตียง คลี่ผ้าห่มออก เอื้อมมือปิดไฟหัวเตียง แล้วล้มตัวลงนอน
ศวัสนั่งทานอาหารอยู่ในร้านอาหาร ขณะที่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ศวัสหยิบขึ้นมาดูเป็นเบอร์ไม่คุ้น ไม่มีชื่อ
“สวัสดีครับ”
เอิงอยู่ที่คอนโดนัยน์ตาเป็นประกาย “พี่หมอขา! นี่เอิงเองค่ะ! ดีใจจนบอกไม่ถูกเลยที่พี่หมอรับสายเอิง”
ศวัสนิ่วหน้าเล็กน้อย “คุณเอิง”
“เอิงขอโทษค่ะที่ไปสืบเบอร์โทร. ของพี่หมอมา”
เสียงศวัสถามว่า “คุณเอิงมีธุระอะไรหรือครับ”
“พรุ่งนี้เอิงจะไปหาพี่หมอที่โรงพยาบาล เอ้อ...เอิงไม่ได้เป็นอะไรหรอกค่ะ...แต่จะเอาขนมอร่อยมากๆไปฝาก”
“อย่าลำบากเลยครับ...ผมไม่ชอบขนม”
เอิงไม่ยอมแพ้ “แต่ที่เอิงจะเอาไปให้นี่ พี่หมอต้องชอบแน่...เอิงรบกวนแค่นี้นะคะ...พรุ่งนี้เช้าค่อยพบกัน”
เอิงวางโทรศัพท์อย่างพออกพอใจ ส่วนศวัสถอนใจเฮือก
รถยนต์แล่นเข้าออกซอยไม่มากนัก ด้วยเป็นเวลา 3 ทุ่มกว่าแล้ว ศวัสขับรถเข้ามาในซอย แล่นไปเรื่อยๆ เพื่อตรงไปยังบ้าน
ศวัสมองไปใครคนหนึ่งเดินอยู่ข้างหน้าช้าๆ เหมือนไม่สนใจอะไร
ศวัสไม่ได้เปิดไฟสูง กดแตรเพื่อให้ใครคนนั้นหลบเข้าข้างทาง
ใครคนนั้นยังคงเดินเรื่อยๆ เอื่อยๆ เหมือนไม่ได้ยิน หรือได้ยินก็ไม่สนใจ
ศวัสหงุดหงิดเล็กๆ กดแตรซ้ำ จนร่างนั้นหยุดแล้วหันกลับมาช้าๆ จนเห็นว่าเป็นหอมน้ำ
ศวัสรีบเบรกรถทันที แล้วเปิดประตูลงมาอย่างหงุดหงิดยิ่งขึ้น
“นี่มันถนน...ไม่ใช่สวนสาธารณะ”
“แม่...เออ...หอมมีเรื่องสำคัญมากจะบอกคุณหมอ”
ศวัสมองสีหน้าเคร่งขรึมนั้นอย่างแปลกใจ
สองคนอยู่ร้านกาแฟเงียบๆ หน้าซอยบ้าน บริกรยกน้ำผลไม้มาเสริฟให้ทั้ง 2 คน แล้วเดินไป ศวัสนิ่วหน้าเมื่อหอมเฝ้ามองหน้าตนตลอดเวลา
“เธอจะบอกอะไรฉัน”
หอมน้ำผินหน้าออกไปนอกถนนครู่หนึ่งแล้วหันกลับมา
“เรื่องคุณแม่ของคุณหมอ”
ศวัสขัดทันที “พอที”
“ทำไมคุณหมอไม่เชื่อ”
“เพราะฉันไม่เชื่อ ถ้าไม่มีอะไรแล้วก็กลับบ้านไป”
“ศวัส”
“อ้อ! นี่แม่ฉันเข้าสิงแล้วละซิ” ศวัสแดกดัน
หอมน้ำถอนใจยาว “ทำยังไง...ศวัสถึงจะเชื่อแม่”
ศวัสขยับมุมปาก ยิ้มเยาะ “นั่นซิ จะทำยังไงดี คุณแม่เป็นผี คุณแม่ย่อมรู้ดีว่าคน”
ศวัสทั้งเยาะทั้งเย้ย ทั้งถากถาง
“แม่ไม่ใช่ผี...แม่เป็นวิญญาณ”
ศวัสส่ายหน้าเซ็งๆ แล้วเงยหน้าขึ้นอย่างใคร่ครวญครุ่นคิด
“อย่าทำหน้าอย่างนั้นซิลูก”
ศวัสมองหน้าหอมน้ำอย่างตัดสินใจ “คุณแม่เชื่อผมหรือเปล่าครับ”
หอมน้ำกระตือรือร้นขึ้นทันที “เชื่อซิลูก… แม่รักลูก...เชื่อลูก”
“งั้นคุณแม่ต้องไปหาหมอกับผม”
หอมน้ำน้อยใจ และผิดหวัง “ศวัสก็ยังคิดว่าแม่เป็นบ้าอยู่นั่นเอง”
“คนที่ไปหาจิตแพทย์ไม่ได้หมายความว่าเขาเป็นบ้า”
ศวัสตัดสินใจเอื้อมมือไปจับมือหอมน้ำคิดในใจ “ตกใจจนมือไม้เย็นไปหมด”
แต่พูดออกมาว่า “ตกลงนะครับ ผมจะนัดเพื่อนให้ เขาเป็นจิตแพทย์ที่เก่งมาก”
หอมน้ำทอดถอนใจยาว
บรรยากาศค่อนข้างดึกแล้ว แต่ยังมีผู้คนเดินไปมาพอสมควร ศวัสขับรถพาหอมน้ำมาส่ง จอดบริเวณใกล้ทางขึ้นหอ
ภายในรถ ศวัสเบือนหน้ามามองหอมน้ำ ซึ่งนั่งนิ่งดวงตามองไปตรงไปข้างหน้าตลอดทาง
“หอมน้ำ เอ๊ย! คุณแม่ ถึงแล้วครับ”
หอมน้ำถอนใจยาวหันกลับมามองศวัส
“พรุ่งนี้ศวัสจะมารับแม่กี่โมง”
“หกโมงเช้า เธอ...เอ๊ย! คุณแม่จะได้กลับไปถ่ายละครทัน”
หอมน้ำพยักหน้ารับ แล้วดึงตัวศวัสมากอด จูบหน้าผาก หอมผม
“แม่รักศวัสมากนะลูก อะไรที่ทำให้ศวัสพอใจ แม่ก็จะทำ”
หอมน้ำกอดศวัสนิ่งอยู่ครู่หนึ่งราวกับจะถ่ายทอดความรักทั้งหมดให้
ศวัสนิ่งไปเหมือนทำอะไรไม่ถูกครู่หนึ่ง แล้วจึงโอบหอมน้ำไว้ด้วยความรู้สึกเหมือนตื้นตันใจอย่างประหลาด
ในที่สุด หอมน้ำคลายแขนออกจากศวัส เปิดประตูรถ ก้าวลงไป
หอมน้ำยิ้มอ่อนโยนให้ศวัส แล้วเดินเข้าไปในหอ
ศวัสมองตามจนลับตา เอนหลังพิงเบาะรถด้วยสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด แล้วจึงขับรถออกไป
หอมน้ำเดินเข้ามาในห้อง ล็อกประตูเรียบร้อย แล้วเดินมาที่เตียง ล้มตัวลงนอน พุธกันยาลุกขึ้นออกจากร่างหอม
“ขอโทษนะ หอมน้ำ ฉันคงต้องมาอาศัยเธออีกนาน”
วิญญาณพุธเลือนหายไป หอมน้ำนอนหลับสนิทไม่รู้เรื่องรู้ราวใดๆ
อ่านต่อตอนที่ 5