แหวนทองเหลือง ตอนที่ 4
ดวงใจวิ่งมาถึงวัดร้างในป่า มีพระพุทธรูปองค์ใหญ่ ดวงใจวิ่งมาที่พระพุทธรูป ลงนั่งคุกเข่าพนมมือร้องไห้น้ำตาไหลเงียบๆ หนานอุย วิ่งกระหืดกระหอบตามมากับสายคำ หนานอุยลงนั่งหอบหมดแรงข้างๆ ดวงใจ
"ดวงใจจ๋า ทำไมต้องมาไหว้พระไกลถึงนี่ด้วยจ้ะ"
"ไอ้ดวง...อยู่ดี ๆ มาไหว้พระทำไม" สายคำถาม
"ฉันจะมาขอให้คุณพระคุ้มครองคุณกฤษดา...ให้รอดพ้นจากอันตราย เจ้าประคู้น คุณพระคุณเจ้า คุ้มครองคุณกฤษดาด้วยเถิด"
หนานอุยเห็นท่าทางดวงใจที่ร้องไห้เป็นทุกข์ก็เริ่มไม่พอใจหน่อย ๆ
"ทำไมเอ็งต้องเป็นห่วงคุณกฤษดาซะขนาดนี้ด้วย"
ดวงใจหันมา
"ไม่ใช่เรื่องของเอ็งไอ้หนานอุย...ใครใช้ให้เอ็งตามมา ถ้าพูดมากก็กลับไปเลย"
สายคำสะกิดหนานอุยให้หยุดพูด หนานอุยจึงจำใจไหว้พระด้วยอย่างเสียไม่ได้ ทั้งสามคนพนมมือไหว้พระ ใบหน้าดวงใจฉายความทุกข์ชัดเจน
ค่ำแล้ว บริเวณใต้ถุนบ้านกำนันปาน เป็นมุมนั่งกินข้าว บัวแก้ว กับ สายคำ จัดสำรับอาหารเย็น กำนันปานอาบน้ำแล้วเดินลงมาจากบนบ้าน เต่าถือใบตองห่อปลาย่างเข้ามา
"ไอ้เต่า...เอาอะไรมาวะน่ะ"
"พ่อให้เอาปลากดย่างมาให้ลุงกำนันจ้ะ"
เต่าส่งห่อปลาให้บัวแก้ว ปานเดินมาที่สำรับ
"พ่อเอ็งรู้ว่าข้าชอบปลากด ไปบอกว่าข้าขอบใจมากนะ"
ปานมองหาดวงใจ
"แล้วนี่ไอ้ดวงหายไปไหน"
บัวแก้ว กับ สายคำ มองหน้ากัน
"ฉันก็มัวแต่ทำกับข้าว...สายคำ เอ็งเห็นไอ้ดวงไหม"
"ไปไหว้พระกลับมา ฉันก็มาช่วยพี่น่ะ...ไม่รู้มันไปไหนเหมือนกัน"
"ไปไหว้พระทำไม" ปานถาม
สายคำไม่ยอมบอกความจริง เพราะกลัวกำนันปานจะเอาเรื่องดวงใจ
"เอ้อ...เอ้อ ฉันก็ไม่รู้จ้ะลุง...เดี๋ยวฉันจะไปตามมันก่อนนะ" สายคำบอก
"เอ็งจะไปตามที่ไหนมืดค่ำอย่างนี้...ไอ้ลูกคนนี้อะไรของมัน"
"ก่อนพลบฉันเห็นมันเดินไปเรือนใหญ่น่ะ" เต่าบอก
สายคำพยายามแก้ตัว
"น่ะ...ดวงคงลืมของไว้บ้านใหญ่น่ะลุงกำนัน...ฉันจะไปตามเองจ้ะ"
สายคำรีบวิ่งออกไป กำนันปานตะโกนไล่หลัง
"เอ้อ...ให้มันมากินข้าวเร็ว ๆ เด้อ"
บนบ้านพระยาดำรง จุดเทียนไว้สวยงาม ดวงใจนั่งมองรูปกฤษดา
"คุณกฤษดา คุณกฤษดาเจ้า คุณกฤษดาจะต้องปลอดภัย คุณกฤษดาจะต้องแข็งแรง คุณกฤษดา เป็นคนดีที่สุด พระต้องคุ้มครองถ้าคุณเป็นอะไรไป ดวงจะอยู่ได้อย่างไร ถึงจะไม่มีหวังจะได้พบกัน ดวงก็ขอให้คุณปลอดภัยนะเจ้า"
สายคำเดินเข้ามาเงียบๆ ฟังดวงใจพูด เห็นดวงใจน้ำตาไหลกับแสงไฟสวยๆ
"ไอ้ดวง"
ดวงใจสะดุ้ง หันไปเห็นสายคำ ดวงใจเช็ดน้ำตาโดยเร็ว
"พี่สายคำ"
สายคำเดินมานั่งข้างๆ
"นี่เอ็งเป็นห่วงคุณกฤษดาเขามากขนาดนี้เลยเหรอ"
"ก็คุณกฤษดาเค้าดีกับฉันมากนะพี่สายคำ ฉันก็ต้องเป็นห่วงเขาซิไม่เคยมีใครดีกับฉันอย่างคุณกฤษดานี่...ฉันจะสวดมนต์ให้คุณพระคุ้มครองคุณกฤษดาให้ปลอดภัยจากข้าศึกศัตรูนะ พี่สายคำ...ฉันจะสวดมนต์ทุกคืนเลย"
ดวงใจมองรูปกฤษดาด้วยสายตารักใคร่ สายคำมองดวงใจอย่างพิจารณา
"อย่าบอกนะว่าเอ็งน่ะ หลงรักคุณกฤษดา"
ดวงใจสะดุ้งโดนใจดำ อายมากแต่พยายามกลบเกลื่อน
"พี่สายคำ...เอาอะไรมาพูด ไม่ใช่สักหน่อย"
"ก็ท่าทางเอ็งมันบอกอยู่ชัดๆ น่ะ...ใครก็ดูออก"
ดวงใจยิ้มอาย
"จริงเหรอพี่สายคำ"
สายคำยิ้มปลอบใจ
"เอ็งก็ได้แต่หลงเพ้อกับรูปคุณกฤษดาท่านั้นละไอ้ดวงเอ้ย...จะได้เจอกันหรือเปล่าก็ไม่มี....แล้วเค้ากับเราน่ะ มันคนละชั้นกันเลยวะเค้าคงไม่สนใจคนบ้านนอกอย่างเราหรอก...เค้าว่าผู้หญิงบางกอกน่ะสวยนักนะไอ้ดวง"
"ฉันรู้จ้ะพี่สายคำ คุณกฤษดาน่ะเป็นนาย ฉันก็เป็นแค่บ่าวเท่านั้น แต่ฉันก็จะรักเทิดทูนคุณกฤษดาของฉันจนชั่วชีวิต ถึงจะ พบเจอกันก็เถอะนะ"
"ตามใจเอ็งเถอะนะ...อยากจะเพ้อของเอ็งอย่างนี้ก็ตามใจ ข้าว่า ต่อให้เอ็งแก่ตายก็คงไม่ได้เจอตัวคุณกฤษดาหรอกวะ ไป ไปกินข้าวได้แล้ว..ลุงกำนันรอกินข้าวหิวแล้ว"
สายคำลุกขึ้นฉุดดวงใจให้ลุกขึ้นดึงดวงใจออกไป ดวงใจยังหันกลับมามองรูปกฤษดา
ในห้องทำงานผู้บังคับการหัวหน้าของกฤษดา - พอ.เกรียงศักดิ์
เกรียงศักดิ์ปิดแฟ้มประวัติของกฤษดา ด้วยสีหน้าชื่นชม
"ขอแสดงความยินดีด้วยนะ กฤษดา"
กฤษดา ยืนระวังตรงอยู่
"คุณได้รับคำชมมากมายจากการรบครั้งนี้ นอกจากจะได้เหรียญเชิดชูเกียรติแล้ว ผู้ใหญ่ยังพิจารณาให้ขั้นเลื่อนยศให้คุณด้วย"
"ขอบพระคุณมากครับผู้การ"
"ผมหวังว่าคุณจะช่วยงานด้านเสนาธิการได้เป็นอย่างดี"
"ผมจะพยายามอย่างดีที่สุดครับ"
ร้อยเอกกฤษดา ดำรงธรรม กึ่งเดินกึ่งวิ่งมาที่สโมสรนายทหารด้วยสีหน้ามีความสุข หยุดรับตะเบะทหารบ้างตามทางที่เดินบริเวณสโมสรมีนายทหารนั่งอยู่บ้าง กฤษดาถอดหมวกวางไว้บริเวณที่วางหมวก มีทหารรุ่นน้องที่นั่งอยู่ลุกขึ้นยืนตรงก้มหัวให้ แสงธรรมนั่งอยู่มุมหนึ่ง มีหญิงสาวนั่งอยู่ด้วยคนหนึ่ง กฤษดาเห็นแสงธรรมก็รีบเดินมาหา แสงธรรมโบกมือให้กฤษดา
"แสงธรรม....ขอโทษนะที่ต้องให้รอ"
"ไม่เป็นไรผู้กอง...นี่มีคนเค้าอยากมาพบด้วย จำได้หรือเปล่า"
หญิงสาวหันมายิ้มให้กฤษดา และ ยกมือไหว้อย่างเรียบร้อย กฤษดา มองอย่างพิจารณา
"น้องปิ่นแก้ว"
ปิ่นแก้วหัวเราะดีใจ กฤษดาลงนั่งใกล้ ๆ แสงธรรม
"เห็นไหมพี่ธรรม ปิ่นบอกแล้วว่าพี่กฤษดาต้องจำปิ่นได้"
"ถ้าไม่เห็นพร้อมแสงธรรมพี่ก็คงจำไม่ได้เหมือนกัน แล้วน้องปิ่นเรียนจบจากปีนังแล้วเหรอคะ"
"ยังค่ะ เหลืออีกปีนึง แต่คุณพ่อกลัวเรื่องสงครามเลยให้ปิ่นกลับมา"
แสงธรรมบอก
"ปิ่นก็อยากกลับมานั่นแหล่ะ เรื่องสงครามพี่ว่ามันยังไม่เกี่ยวกับปีนังหรอก"
กฤษดาสีหน้านิ่งไปนิดหนึ่ง
"ดีแล้วละแสงธรรม สั่งอาหารหรือยัง วันนี้พี่ขอเป็นเจ้ามือเลี้ยงต้อนรับน้องปิ่นเอง"
ปิ่นแก้วเริ่มมองกฤษดาอย่างพอใจ
"ก็ได้ค่ะ แต่วันหน้าพี่กฤษดาต้องเลี้ยงใหญ่ให้ปิ่นที่เหลานะคะ"
"ได้คืบจะเอาศอกอยู่เรื่อยนะเรา"
ปิ่นแก้วค้อนแสงธรรม กฤษดาหัวเราะ
"ได้เลยครับ"
กฤษดาหันไปเรียกบริกร พอดีเห็น พนม กับ รอ.สุวัฒน์ เดินเข้ามากับ มณี ก็มองนิ่ง จนแสงธรรมมองตาม
"คนรู้จักเหรอ"
"เพื่อนสมัยโรงเรียนน่ะ....น่าจะใช่นะ.. ขอตัวเดี๋ยวนะ นายกับน้องปิ่นสั่งอาหารกันเลย"
บริกรเข้ามาเอาใบเมนูมาส่งให้ แสงธรรม เลือกอาหาร ส่วนปิ่นแก้วแอบมองกฤษดาที่เดินไปหาเพื่อน
อีกมุมหนึ่งของสโมสร รอ.สุวัฒน์ กับ พนม กำลังยืนคุยกัน โดยมีมณี ยืนมองสถานที่รอบ ๆ อย่างสนใจ กฤษดาเดินเข้ามาใกล้ มณีเห็นกฤษดาก็สะดุดตาสะดุดใจทันที กฤษดาไม่ได้สนใจมณี แต่เดินเข้าไปใกล้พนมสุวัฒน์ซึ่งเป็นรุ่นพี่ยืนอยู่ กฤษดาโค้งคำนับให้สุวัฒน์ ก่อนจะทักพนม
"ขอโทษครับ...พนม"
พนมซึ่งกำลังคุยกับ สุวัฒน์ หันมาเห็นกฤษดาก็จำได้ ดีใจรีบเข้ามาหา
"โอ้...กฤษดา ไม่ได้เจอตั้งนาน...โอ้โห นายเป็นทหารเท่ห์ชะมัด"
"ดีใจจริง ๆ ที่เห็นนาย...พี่สุวัฒน์รู้จักกับพนมเหรอครับ"
"พนมมันเป็นน้องพี่"
"เราเป็นลูกพี่ลูกน้องกันน่ะกฤษดา"
มณีซึ่งสนใจกฤษดามากพยายามเดินเข้ามาร่วมวงสนทนายิ้มแย้มอย่างผู้หญิงที่เก่งเข้าสังคม มณีเดินมาเบียดพนม
"เอ้า...ขอแนะนำ..นี่คุณมณี สาวสังคมชื่อดังของบางกอก"
มณียื่นมือให้กฤษดาจับ ทิ้งสายตาหยาดเยิ้ม
"ยินดีที่รู้จักค่ะ ผู้กองกฤษดา"
กฤษดาจับมือมณี อดมองความสวยของมณีไม่ได้เหมือนกัน
"กฤษดาเค้าเพิ่งกลับจากอินโดจีน ได้ซิลเวอร์สตาร์มาด้วยนะ"
พนมยิ้มปลื้มใจมาก
"ผมไม่แปลกใจเลยครับพี่วัฒน์ กฤษดาเก่งทุกอย่างตั้งแต่อยู่โรงเรียนแล้ว"
"แต่ก็สอบแพ้นายทุกทีน่ะพนม"
"ได้ข่าวว่านายไปเวสต์ปอยด์ กลับมาก็ไปรบเลยเหรอเพื่อน" พนมถาม
"พนมก็เพิ่งกลับจากฮาวารด์ สองคนนี่เรียนเก่งทั้งคู่เลยนะ" สุวัฒน์บอก
"แหม...วันนี้โชคดีจริงๆ นะคะ ที่ได้มารู้จักวีรบุรุษสงครามตัวจริง ขอแสดงความยินดีด้วยนะคะคุณกฤษดา" มณีบอก
"ขอบคุณมากครับ...เอ้อพนม กันมีเพื่อนรออยู่ ต้องขอตัวก่อน นายรีบกลับหรือเปล่า"
"เอาอย่างนี้ดีกว่า...กันยังจำบ้านนายได้ดี พรุ่งนี้กันจะไปขอข้าวเย็นกินซักมื้อก็แล้วกัน จะได้ไปกราบเจ้าคุณพ่อนายด้วย"
"ยินดีอย่างยิ่งพนม"
อ่านต่อหน้า 2
แหวนทองเหลือง ตอนที่ 4 (ต่อ)
ปิ่นแก้วมองมณีด้วยสีหน้าไม่ค่อยพอใจ บริกรเอาเครื่องดื่มมาสิร์ฟ
"พี่ธรรมดูผู้หญิงคนนั้นซิคะ มองพี่กฤษดาซะตาแทบจะห้อยออกมานอกเบ้า"
แสงธรรมพูดเสียงพยายามปราม
"ปิ่น...เค้าเป็นเพื่อนรู้จักกันนะ"
"ปิ่นว่าปิ่นเคยเห็นผู้หญิงคนนี้ที่ไหนมาก่อนนะคะ นึกไม่ออก"
"อย่าไปยุ่งกับเค้าเลยน่า."
ปิ่นแก้วขัดใจ
"พี่ธรรม...ถ้าผู้หญิงคนนี้เป็นคนไม่ดีล่ะคะ เราก็ต้องช่วยพี่กฤษดาถึงจะถูกนะ"
แสงธรรมอดขำน้องสาวไม่ได้
"ช่วยหรือยุ่งกันแน่"
กฤษดาเดินกลับมานั่งที่โต๊ะแสงธรรม
"ขอโทษด้วยนะ...เพื่อนผมตั้งแต่เรียนประถมน่ะ เราเป็นเพื่อนรักกัน ไม่เจอกันเลยเป็นสิบปีแล้ว"
"ผู้หญิงคนนั้นเป็นแฟนเพื่อนพี่กฤษดาเหรอคะ....หน้าตาดี"
ปิ่นแก้วพูดชมอย่างเสียไม่ได้ แสงธรรมรู้ทัน
"พี่ก็ไม่รู้จ้ะ...แต่พรุ่งนี้คงจะรู้"
"ทำไมจะรู้พรุ่งนี้ล่ะคะ"
"ก็พรุ่งนี้พนมจะไปทานข้าวเย็นที่บ้านพี่...ถ้าเค้าเป็นแฟนกัน คุณมณีก็คงไปด้วย"
ปิ่นแก้วรู้สึกคุ้นชื่อมณี
"มณี"
"ดีนะครับ ได้เจอกับเพื่อนสมัยเรียน ผมว่าเพื่อนที่คบกันมาตั้งแต่เด็กๆ คบง่ายสบายใจกว่าเพื่อนใหม่ ๆ นะ"
"ก็จริง...แต่ทหารเราก็มีวินัยผูกพันกันใช้ชีวิตด้วยกัน มันก็เป็นเพื่อนกันอีกแบบหนึ่ง...มันเป็นแบบหนึ่งเดียวกันที่ตายแทนกันได้" กฤษดาบอก
"ฟังแล้วอุ่นใจแบบทหารจริงๆ ครับ"
ปิ่นแก้วทำหน้าใสซื่อ
"พี่ธรรม...เราน่าจะขอพี่กฤษดาไปทานข้าวพรุ่งนี้ด้วยนะคะ"ปิ่นแก้วบอก
"ตลกน่าปิ่น กฤษดาเค้าจะคุยกับเพื่อน"
"เราก็เพื่อนนี่คะพี่ธรรม เพื่อนพี่กฤษดาตั้งแต่เด็ก ๆ เหมือนกันนะ แล้วเราก็จะได้รู้จักกับเพื่อนพี่กฤษดาซะด้วยกัน....พี่ธรรม เพื่อน กับ เพื่อน ก็จะได้เป็นเพื่อนกันไงคะ"
แสงธรรมงงกับข้ออ้างของน้องสาว กฤษดาหัวเราะ
"จริงของน้องปิ่น ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้ตอนเย็นขอเชิญธรรม กับน้องปิ่นไปทานข้าวที่บ้านผมด้วยนะครับ จะได้แนะนำให้รู้จักกับพนม พวกเราจะได้คบหาเป็นเพื่อนกัน"
"ดีจ้ะ เป็นความคิดที่ดี"
บริกรนำอาหารมาเสิร์ฟ กฤษดาเริ่มลงมือทานอาหาร ปิ่นแก้วยิ้มถูกใจสีหน้าเจ้าเล่ห์ หันไปเห็นสายตาแสงธรรม ที่มองอย่างรู้ทัน...
บ่ายคล้อยเย็น หน้าโรงครัวบ้านพระยาดำรง ทุ่งมหาเมฆ อิ่ม เขียว จำปา กำลังช่วยกันเตรียมอาหาร
“นังเขียว เอ็งละไปกวนกะทิบนเตาให้ข้าก่อน เดี๋ยวเป็นลูกหมด” อิ่มบอก
เขียวรีบไปกวนกะทิ แล้วบอก
“กะทิจวนได้แล้วป้า”
“เบาไฟไว้ก่อนเลย ข้ายังสับกุ้งไม่เสร็จเลย”
กฤษดาเดินเข้ามาดู
“ทำอะไรกันใหญ่....เหนื่อยไหมอิ่ม”
“ไม่เหนื่อยเลยเจ้าค่า....รู้สึกคึกคักได้กลับมาเหมือนเมื่อก่อน ตอนที่คุณหญิงท่านยังอยู่ พวกเราก็ทำกับข้าวเลี้ยงแขก นายท่านนึกถึงตอนนั้นแล้วสนุกจริงๆนะคะ”
กฤษดามองอาหารที่วางไว้หยิบขึ้นมาชิม
“นี่หมูโสร่งใช่ไหม....อร่อยเหมือนเดิมเลย”
อิ่มปลื้มใจมาก “แหมก็ ของโปรดคุณนี่คะ.”
กฤษดามองไปที่สำรับอาหารว่างที่เตรียมไว้ให้พระยาดำรง เป็นซุปกับขนมปังกรอบชิ้นเล็กๆกับผลไม้เท่านั้น
“แล้วนี่สำรับขอบใคร”
อิ่มซึ่งกำลังสาละวนทำกับข้าว หันมามองแล้วตอบไปอย่างไม่ทันคิด
“ก็ของว่างนายท่านเจ้าค่ะ”
กฤษดามองอาหารในสำรับอย่างพิจารณา อิ่มหันมาเห็นกฤษดายืนมองอาหารในสำรับก็คิดขึ้นมาได้ว่าไม่ควรพูด
“คุณพ่อไม่สบายเหรออิ่ม”
อิ่มก้มหน้าสีหน้าเป็นทุกข์ สมรเดินเข้ามาอิ่ม
“เออ”
“อ้าว..คุณกฤษดา แหม..ถึงกับมาตรวจตราอาหารเองเลยเหรอคะ สงสัยแขกคืนนี้จะพิเศษมากนะคะ..ออกไปข้างนอกเถอะค่ะ เดี๋ยวจะเหม็นตัวซะหมด”
กฤษดามองสมรไม่พูดอะไรเดินออกไป สมรอดค้อนตามไม่ได้ อิ่มเห็นท่าทางสมรก็ไม่พอใจ ด่าลอยๆ สับกุ้งอย่างกระแทกกระทั้น
“เบื่ออีพวกคางคกขึ้นวอจริงๆ”
สมรหันขวับตาวาว
“พูดกับใครยายอิ่ม...ฉันเดินเข้ามาแกทำพูดลอยๆ ปากเสียว่าใคร”
“ใครอยากรับก็รับไปซิ....ฉันไม่ได้เอ่ยชื่อใครนี่”
“แก่แล้วพูดจาหมา ๆ ระวังจะหน้ามือจนหน้าทิ่มหม้อไม่รู้นะ”
“อีคนหน้าทิ่มหม้อน่ะไม่ใช่ข้าหรอกโว้ย...เป็นอีพวกวัวลืมตีนน่ะ ไม่แน่”
สมรถลาเจ้ามาหาอิ่มมือคว้าทัพพีที่วางแถวนั้นเงื้อใส่อิ่ม
“อีแก่นี่ปากคอร้ายนักนะแก...เดี๋ยวแม่”
อิ่มชูอีโต้ที่กำลังสับกุ้งขึ้นมาใส่สมรอย่างเอาเรื่องเหมือนกัน
“จะทำไม....อย่ามาทำแสล๋นกับข้านะ ลืมหรือไงเมื่อก่อนเป็นแค่ช่างเสริมสวยมายืนเป็นหมาหอบแดดขอข้าวข้ากินน่ะ อย่านึกว่านายท่าน เอามาเลี้ยงแล้วจะมาทำลอยหน้าด่าข้าได้นะโว้ย คนอย่างนังอิ่มไม่ยอมให้คนอย่างแกมาข่มกันหรอกนะ... รีบๆ ออกไปไกลๆ ก่อนที่อีโต้ชั้นจะลอยไปเฉาะหน้าแก”
สมรชี้หน้าอย่างแค้นโยนทัพพีทิ้งใส่อิ่ม อิ่มเอาอีโต้ ปัดทัพพีกระเด็นไป
“จำไว้นะนังอิ่ม...แกจะต้องเสียใจที่ทำอย่างนี้กับกู”
สมรเดินออกไป อิ่มตะโกนด่าไล่หลัง
“กูไม่จำ...แกน่ะแหล่ะจำ...อย่ามาปากหมากับคนอย่างกูโว้ย นังจำปา..แกรีบเอาสำรับนายท่านขึ้นไปเร็ว ๆ แล้วไปคอยดูด้วยว่า อีหมอนมันไปตอแหลฟ้องนายท่านหรือเปล่า”
จำปาขานรับ
“ได้เลยป้า”
จำปาเดินไปยกสำรับจะเดินออก ป้าอิ่มยกอีโต้ขึ้น เขียวเก็บทัพพีที่ตกอยู่ ยกขึ้นกันหน้าตัวเอง
“รู้จักนังอิ่มน้อยไปอีหมอน”
กฤษดายืนสีหน้าเป็นทุกข์อยู่ใกล้ๆ เตียงนอนพ่อ หมออิศรากำลังตรวจอาการของดำรง ตรวจเสร็จบอกฮารุให้จัดยา กฤษดาเดินไปนั่งข้างพ่อ
“คุณพ่อเป็นอย่างไรบ้างครับ...ผมเห็นหมออิศรามาตรวจคุณพ่อบ่อยๆ แต่ไม่นึกว่าคุณพ่อจะเป็นอะไรมากเพราะคุณพ่อก็ดูแข็งแรงดี”
พระยาดำรงพยายามทำสีหน้ายิ้มแย้ม
“พ่อก็ไม่ได้เป็นอะไรมากนักหรอก....อย่าห่วงเลยกฤษดา”
“ไม่ห่วงได้ยังไงครับคุณพ่อ”
หมออิศราหยิบยา เดินเข้ามาหากฤษดา ส่งยาให้
“ผมคิดว่า...ท่านน่าจะบอกคุณกฤษดานะครับ เพราะถ้าเป็นอะไรปุบปัปจะไม่มีคนรู้เรื่อง”
กฤษดาตกใจ
“ปุบปัปอะไรครับหมอ...แปลว่าคุณพ่อไม่สบายมากเหรอครับ”
“ไม่มากขนาดนั้นหรอก”
ทุกคนนิ่งมอง พระยาดำรงพยักหน้าน้อยๆ ให้หมอเป็นเชิงอนุญาต
บริเวณหน้าประตูห้องนอน สมรค่อยๆ เปิดประตูแอบฟัง ฮารุซึ่งยืนหันหลังให้ประตูรับรู้ หันไปมองนิดหนึ่งแล้วก็ทำปรกติ สมรไม่ทันเห็นที่ฮารุหันมาดู
“หัวใจท่านไม่ดีครับ....กล้ามเนื้อหัวใจท่านผิดปรกติ เกิดจากท่านความดันสูงมานาน แต่ไม่ได้ตรวจแต่แรก ๆ”
“ร้ายแรงแค่ไหนครับหมอ”
“ถ้ารักษาตัวดี ๆ อาการก็จะไม่กำเริบครับ ตอนนี้หมอให้ยาลดความดันกับยาที่ช่วยการทำงานของหัวใจไว้แล้ว แต่ยาที่จะรักษาท่านเป็นยาต่างประเทศหาซื้อยาก...ราคาก็แพงมาก”
สมรตกใจปิดปากหน้าเสีย
“แพงแค่ไหนก็ต้องพยายามหาซื้อให้ได้ครับ”
“ที่สำคัญที่สุดจะต้องอย่าให้ท่านเครียด หรือคิดมาก พักผ่อนให้มากๆ ทานอาหารอ่อนๆ เท่านี้ก็พอจะช่วยได้บ้างครับ”
“ไอ้อาหารอ่อนๆ นี่แหล่ะมันน่าเบื่อ เย็นนี้ที่บ้านจะมีแขกมาปาร์ตี้กันนิดหน่อย”
“ท่านดื่มเหล้าไม่ได้เลยนะครับ ชา กาแฟก็ห้ามเหมือนกัน”
“แหม...หมอห้ามแต่ของชอบทั้งนั้น”
ฮารุพยายามสังเกตกฤษดา ตลอดเวลา
“คุณพ่อต้องพยายามนะครับ ถ้าอย่างนั้นคืนนี้คุณพ่อทักทายแขกแล้วพักผ่อนดีกว่านะครับ”
“เห็นไหมล่ะหมอ...พอบอกแล้วอดหมดเลย”
จำปายกถาดสำรับอาหารของพระยาดำรง ขึ้นมา จะเข้าไปในห้อง เกือบจะชนกับสมรที่ แอบฟังอยู่หน้าห้อง
“ตาเถรหกตกหมด”
สมรตกใจโมโหหันมาดุ แต่ไม่กล้าเสียงดัง
“ตาเถรพ่อแกน่ะซิ เอามานี่ ฉันจะเอาเข้าไปเอง”
สมรแย่งถาดสำรับดันประตูเปิดเข้าไปในห้องพระยาดำรง
สมรถือถาดสำรับอาหารเข้ามาในห้องนอน ทุกคนที่อยู่ในห้อง หันมามอง
หมออิศราบอก
“ยกมาเองเลยเหรอครับคุณสมร”
สมรหันมายิ้มแบบตั้งใจให้เก๋กับทุกคน เอาสำรับไปวางบนโต๊ะมุมห้องที่จัดเหมือน โต๊ะน้ำชาสวยๆ
“พวกเด็กๆ ไม่ค่อยรู้เรื่องค่ะไม่ได้ดั่งใจ”
จำปาที่แอบฟังอยู่ สีหน้าหมั่นไส้มาก
“เรื่องของท่านหมอนชอบทำเองหมดค่ะ หมอนไม่ไว้ใจให้คนอื่นทำ เกิดพลาดพลั้งอะไรขึ้นมาก็แย่สิคะ”
สมรวางสำรับแล้วก็เดินมาร่วมกลุ่มสนทนา ปากก็พูดไปเรื่อย
“ยิ่งตอนนี้สุขภาพท่านไม่ค่อยจะดีหมอนยิ่งต้องดูแลท่านเป็นพิเศษนะคะ ท่านจะรับของว่างเลยไหมคะ กำลังอุ่นพอดี”
“ขอบใจนะ...เธอไปดูแลจัดบ้านสำหรับรับแขกของกฤษดาเค้าคืนนี้ให้ดีเถอะฉันกับหมอกำลังคุยกับคุณกฤษดาอยู่...ของว่างก็เอาไว้อย่างนั้นแหล่ะ”
ทุกคนเงียบไม่มีใครพูดต่อ...เป็นความเงียบที่น่าอึดอัดสำหรับสมรที่เหมือนเป็นส่วนเกิน สมรเริ่มน้อยใจ
“เจ้าค่ะ...หมอนจะไปดูแลไม่ให้ขาดตกบกพร่องเลย”
สมรหมุนตัวเดินออกไป
สมรเปิดประตูห้องออกมาอย่างเร็วด้วยความรู้สึกน้อยใจ ยกมือปาดน้ำตาที่ไหลออกมาด้วยสีหน้าคับแค้น พอสมรเดินไป จำปาก็ออกมาจากที่ซ่อนยืนมองไปทางสมรด้วยสีหน้าสะใจ
อ่านต่อหน้า 3
แหวนทองเหลือง ตอนที่ 4 (ต่อ)
ในห้องนอนสมร เป็นห้องเล็ก ๆ แต่เตียงนอนเป็นเตียงคู่ สมรจัดห้องด้วยสีสันฉูดฉาดแต่มีรสนิยม มีของใช้อย่างดีครบ มีแจกันดอกไม้ประดิษฐ์สีสดแจกันใหญ่
สมรเดินเข้ามาในห้อง ร้องไห้สะอึกสะอื้นหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ยิ่งเสียใจมากขึ้นลุกขึ้นปาข้าวของ ก่อนมองตัวเองในกระจกค่อย ๆ สงบสติ เช็ดน้ำตาทาแป้งทาปากเชิดหน้า สีหน้าถือดีมุ่งร้าย
ตอนหัวค่ำ แสงธรรมขับรถเข้ามาในบ้านพระยาดำรง สวนสวยประดับโคมไฟสวยงามแต่ไม่มากนัก เขาจอดรถที่ด้านหน้าตึก เปิดประตูรถลงมา กฤษดาเดินลงมาเปิดประตูรถให้ปิ่นแก้วที่นั่งด้านหน้าคู่กับแสงธรรม มิ่งวิ่งมารับกุญแจรถของแสงธรรมแล้วขับออกไปเก็บ กฤษดาดีใจ
"โอ้โห...น้องปิ่นแก้ว วันนี้สวยจริง ๆ ค่ะ" กฤษดาบอก
ปิ่นแก้วเขินอาย
"ขอบคุณค่ะพี่กฤษดา"
แสงธรรมบอก
"ก็แต่งตัวตั้งแต่เช้าน่ะ...นี่แค่มาทานข้าวบ้านธรรมดานะ"
ปิ่นแก้วค้อนน่ารัก
"อย่าขายน้องสิคะพี่ธรรม"
แสงธรรมยิ้มขำกับกฤษดา
"เจ้าคุณลุงล่ะ"
"คุยกับพนมอยู่...ไปเชิญข้างในดีกว่า"
ปิ่นแก้วแอบกระซิบกระซาบกับแสงธรรม
"อยากรู้จริงๆ ว่ายัยมณีจะมาไหม"
แสงธรรมทำหน้าดุ ทั้งสามคนเดินเข้าไปในบ้าน
กฤษดา พาแสงธรรมกับปิ่นแก้วเข้ามาในห้องรับแขก พระยาดำรงกำลังนั่งคุยกับพนมด้วยท่าทางสบายๆ
"คุณพ่อครับ...แสงธรรม กับ ปิ่นแก้ว ครับ"
แสงธรรม กับ ปิ่นแก้ว ลงไปนั่งคุกเข่าข้าง ๆ พระยาดำรง แล้วไหว้อย่างเรียบร้อย พระยาดำรงหันมามองด้วยสีหน้าชื่นชม
"ไหน..ไหน...ปิ่นแก้ว โตเป็นสาวสวยน่ารักเชียวนะ"
ปิ่นแก้วยิ้มแย้ม พยายามมองหามณีไปรอบ ๆ พอไม่เห็นก็ยิ่งมีสีหน้าพอใจ
"กราบสวัสดีเจ้าคุณลุงครับ...คุณพ่อให้มากราบเรียนว่าฝากความคิดถึงมา"
"อื้อ ฝากความระลึกถึงคุณพ่อด้วยนะ เอ้าลุกขึ้นมานั่งคุยกันก่อนลูก รู้จักกับพนมแล้วหรือยัง พนมก็เป็นเพื่อนกับกฤษดาตั้งแต่เด็ก เรียนหนังสือมาด้วยกัน"
แสงธรรม กับ ปิ่นแก้ว ลุกขึ้นมานั่งเก้าอี้ชุดรับแขกนั้น กฤษดาเดินไปรินเหล้าจากโต๊ะวางเหล้าสวยๆ
"ยินดีที่ได้รู้จักครับ...กฤษดาเล่าให้ฟังเรื่องที่เชียงใหม่ ฟังแล้ว น่าไปนะครับ" พนมบอก
"ผมก็ชวนกฤษดาอยู่เหมือนกันครับ"
กฤษดาเดินเอาแก้วเหล้ามาส่งให้แสงธรรม ปิ่นแก้วยังมองหามณีอยู่
"น้องปิ่นมองหาอะไรหรือเปล่าคะ"
ปิ่นแก้วสะดุ้ง ทำยิ้มหวานกลบเกลื่อน
"บ้านพี่กฤษดาสวยจังคะ ปิ่นเพิ่งเคยมาเป็นครั้งแรกเลยอยากดูให้ทั่ว"
มณีเดินถือแก้วเหล้าเข้ามาในห้อง
"จริงค่ะ...ดิฉันยังต้องขออนุญาตท่านเดินชมบ้านซะเพลิน"
ปิ่นแก้วพยายามซ่อนสีหน้าไม่พอใจเต็มที่ ฝืนยิ้มให้กฤษดา
"ถ้าอย่างนั้นพี่กฤษดาต้องพาปิ่นเดินชมบ้านแล้วละค่ะ"
"ได้เลยค่ะน้องปิ่น แต่พี่ว่าเราทานข้าวกันก่อนนะ"
กฤษดาสั่นกระดิ่งเล็ก ๆ
มณีถาม
"เอ...เราเคยรู้จักกันมาก่อนหรือเปล่าคะ"
ปิ่นแก้วยิ้ม
"ไม่เคยหรอกค่ะ"
เขียวเดินมานั่งคุกเข่ารอคำสั่งหน้าห้องรับแขก
"อาหารพร้อมแล้วใช่ไหม"
"เรียบร้อยแล้วค่ะ...ป้าอิ่มให้เรียนคุณว่าจัดเตรียมเรียบร้อยหมดแล้ว"
พระยาดำรงถาม
"แม่สมรหายไปไหน"
"ไม่เห็นแม่สมรเลยค่ะ"
พระยาดำรงพยักหน้าน้อย ๆ แล้วลุกขึ้นยืน
"ไปทานข้าวกันเถอะ พ่อจะขึ้นไปพักละนะ"
พนมถาม
"เจ้าคุณพ่อไม่ทานกับพวกเราหรือครับ"
"เชิญตามสบายกันเถอะ พ่อเรียบร้อยแล้ว คนแก่น่ะต้องทานเร็วๆ ไม่อย่างนั้นท้องอืด ให้หนุ่มๆ สาวๆ คุยกันดีกว่านะ"
แขกทุกคนยกมือไหว้พระยาดำรงอย่างเรียบร้อย เจ้าคุณไม่ได้รับไหว้แต่ยกมือรับด้วยท่าทางอย่างสง่า กฤษดาจะเดินไปส่ง
"ไปดูแลเพื่อนๆ เถอะลูก พ่อจะขึ้นไปเอง"
"ครับ"
พระยาดำรงเดินออกไปจากห้องรับแขก
"เอ้าเชิญครับ"
ทุกคนเดินออกมา ปิ่นแก้วและมณีเชิดใส่กัน ต่างวิ่งไปคล้องแขนกฤษดาคนละข้าง
สมรแต่งตัวชุดวาบหวามเบาบางอยู่ในห้องนอน แต่งหน้าสวยอยู่ที่โต๊ะเครื่องแป้งในห้อง มีวิทยุเปิดเพลงรัก เสียงเคาะประตูดัง สมรเดินมาเปิด
พระยาดำรงยืนอยู่ สมรทำเป็นงอนหันกลับมาในห้องแต่ก็แอบทำสีหน้าดีใจ พระยาดำรงเดินมาแล้วปิดประตูห้อง
"หมอนนึกว่าท่านลืมห้องนี้ไปเสียแล้ว"
"ทำไมไม่ลงไปดูแลรับแขก"
สมรทำงอนแต่ให้ท่า
"หมอนว่าหมอนไม่ได้มีความสำคัญอะไรนี่คะ"
สมรพยายามทำเสียงเศร้า
"ถึงมีหมอนก็ไม่มีความหมายอะไร"
"ถูกของเธอ"
สมรตกใจหันมา
"ท่าน"
"แต่ฉันก็ชุบเลี้ยงเธออย่างดี ถ้าเธอคิดถึงความจริงข้อนี้ได้ เธอก็ไม่จำเป็นจะต้องเรียกร้องอะไรอีก"
สมรเข้ามาคลอเคลีย
"ถ้าไม่มีท่านซะคน หมอนก็ไม่รู้จะทำยังไง"
"ก็มีผัวใหม่ซิ"
"ไม่เอาหรอก....ผู้ชายที่ไหนก็สู้ท่านคนนี้ของหมอนได้"
พระยาดำรงพยายามแกะมือสมร เพราะรู้ว่าตัวเองสุขภาพไม่ดี
"เธอต้องรู้อยู่ รู้หน้าที่ อย่าพยายามทำเกินตัว ก็จะไม่มีใครว่า"
สมรพยายามจะปล้ำพระยาดำรงให้ได้
"รักท่านมากค่ะ หมอนจะขึ้นกับท่านเท่านั้น คนอื่นหมอนไม่สนใจ"
พระยาดำรงนิ่งไปจนสมรรู้สึก
"เธอคิดผิดอย่างมาก...เธอจะต้องสนใจทุกคนในบ้าน และต้องทำดีกับเขา ถึงฉันจะชุบเลี้ยงเธอเป็นเมียในบ้าน เธอก็ไม่มีสิทธิ์เรียกร้องอะไรกับใครทั้งนั้น"
สมรงอนลุกขึ้นยืน แต่เป็นการลุกขึ้นยืนอวดทรวดทรงตรงหน้าพระยาดำรง
"เป็นเมียท่าน....แต่ไม่มีสิทธิ์ ไม่มีเสียงอะไรในบ้านซักอย่าง..อย่างนี้เรียกว่าเป็นเมียท่านเหรอกเจ้าคะ"
พระยาดำรงกลืนน้ำลาย ลุกขึ้นยืนถอยออกห่างอย่างเยือกเย็นแต่ก็ตัดสินใจ
"ถ้าเธอไม่พอใจ ฉันก็จนใจ บางที ถ้าเธอไม่อยากอยู่กับฉัน ฉันก็ไม่ว่า"
สมรตกใจโผเข้ากอด
"ไม่ค่ะท่าน...หมอนรักท่านคนเดียว หมอนจะไม่ไปจากท่าน ท่านอย่าพูดอย่างนี้นะเจ้าคะ...หมอนยอมแล้ว ยอมทุกอย่าง ขอแต่ให้ท่านเมตตาหมอนเท่านั้น"
สมรดึงพระยาดำรงไปที่เตียงจนได้
เฉลียงหลังบ้านถูกตบแต่งเป็นมุมนั่งเล่นอย่างสวยงาม มีหมู่เก้าอี้ และ บาร์เครื่องดื่ม มีมุมเครื่องเล่นจานเสียงและมุมที่จัดวางของทานเล่นอย่างสวยงาม ตรงกลางโต๊ะของชุดรับแขก มีชุดน้ำชาชุดใหญ่จัดวางไว้มณี กับ ปิ่นแก้ว กำลังช่วยกันเลือกแผ่นเสียง กฤษดา แสงธรรม พนม นั่งคุยกันอยู่ที่หมู่ชุดรับแขก
พนมบอก
"สถานการณ์สงครามในยุโรปดูจะเลวร้ายลงทุกที"
"ผมว่าฮิตเลอร์คิดผิดที่โจมตีรัสเซีย" แสงธรรมว่า
"ใช่...ฮิตเลอร์จะต้องรับศึกสองด้านเพราะอังกฤษก็ยังไม่แพ้" กฤษดาบอก
"เยอรมันนี่น่ากลัวจริง ๆ นะ" พนมว่า
"แต่ผมว่าตอนนี้มีน่ากลัวกว่าเยอรมันนะ" แสงธรรมบอก
กฤษดาขานรับ
"ญี่ปุ่น"
พนมตบเข่าตัวเอง มณี กับ ปิ่นแก้วเลือกแผ่นเสียงได้แล้ว เปิดเพลงเสียงดัง
"ผมว่าไอ้ยุ่นมันกำลังคิดจะทำอะไรสักอย่างแน่ ๆ ดูมันขยายแสนยานุภาพมันไปทั่วน่ะ....ได้ข่าวว่ามันจะวางกองกำลังใกล้ๆ บ้านเรา" พนมบอก
"ที่ฟิลิปปินส์" กฤษดาว่า
มณีเดินเข้ามาฉุดกฤษดา
"คุณกฤษดามาเต้นรำกันดีกว่าค่ะ คืนนี้ห้ามคุยเรื่องสงครามนะคะ"
ปิ่นแก้วเดินมาดึงแขนกฤษดาอีกข้าง
"คุณมณีไปเต้นกับแฟนตัวเองสิคะ ปิ่นจะเต้นกับพี่กฤษดา"
มณีทำหน้าเหรอหรา
"ใครคะแฟนมณี...อ๋อ พนมน่ะเหรอ เราเป็นเพื่อนกันค่ะ พนมไม่ได้เป็นแฟนดิฉันหรอกค่ะ...ไปค่ะคุณกฤษดา"
มณีดึงกฤษดาออกไปเต้นจนได้ กฤษดาจำใจต้องรักษามารยาทเจ้าของบ้าน ปิ่นแก้วหน้างอ ดึงแสงธรรมจะให้ออกไปเต้น แสงธรรมโวยวาย
"ไม่เอาปิ่นพี่ไม่ชอบเต้นหรอก"
ปิ่นแก้วกระซิบ
"อย่าทำปิ่นเสียหน้าซิพี่ธรรม"
"ปิ่นก็รู้ว่าพี่ไม่ชอบเต้นรำนี่ ชวนคุณพนมดีไหมล่ะ"
พนมยิ้มแหย
"ผมก็ไม่ค่อยได้เรื่องครับ"
ปิ่นแก้วไม่พอใจ
"ปิ่นไม่ง้อก็ได้ทั้งสองคนเลย"
ปิ่นแก้วเดินออกไปทำท่ายักย้ายเต้นกับกฤษดา ในขณะที่กฤษดาเต้นอยู่กับมณี เขาจึงหันมาเต้นกับปิ่นแก้วด้วย มณีจับให้เขาหันกลับไปเต้นกับตัว ปิ่นแก้วทำเป็นแกล้งเข้าไปแทรกกลางระหว่างมณี กับเขา ปิ่นแก้วมองมณีอย่าท้าทาย มณีก็ยิ้ม เขาเห็นท่าไม่ดีเลยวิ่งหนีออกมา ผู้หญิงสองคนเลยเต้นประชันกันด้วยท่าทางที่แข่งกันอย่างน่าดู แสงธรรมมองปิ่นแก้วอย่างไม่เชื่อสายตา
"ไปหัดเต้นท่าอย่างนี้มาจากไหนนี่"
พนมหัวเราะบอก
"ผู้หญิงมักจะมีความลับซ่อนอยู่เสมอ"
"ผมว่าผมเข้าใจเรื่อสงครามได้ดีกว่าเข้าใจผู้หญิงนะครับ" กฤษดาบอก
"นั่นสิ" แสงธรรมว่า
ทั้งคู่ยังเต้นรำประชันกันต่อไป
อ่านต่อหน้า 4
แหวนทองเหลือง ตอนที่ 4 (ต่อ)
ร้านขายวัสดุก่อสร้างในตลาด เป็นห้องแถวเรือนไม้ เมียเถ้าแก่ฮวงกำลังยืนสั่งการให้เสาวรส ช่วยคนงานผู้ชาย 2 คนช่วยขนอิฐไปเรียงหน้าร้านด้วยกิริยาเกรี้ยวกราด
เถ้าแก่เนี้ยพูดไทยไม่ชัด
"เร็ว ๆ หน่อยเสาวรส มัวแต่ชักช้าก็ไม้ทันกินหรอก"
เสาวรสหยุดทำ หันไปยืนเท้าเอวเถียง
"ก็มาช่วยฉันขนซิจะได้เร็วทันใจ"
"อย่ามาพูดมากนะ ถ้าลื้อขืนย้อนอั้วนะ...ไม่ต้องกินข้าว"
เสาวรสทำหน้าเบื่อเรียงอิฐไปเถียงไปไม่ลดละ
"ถ้าเจ๊ไม่ให้ฉันกินข้าว ฉันจะเอาแรงที่ไหนมาทำงานล่ะ"
"บอกกี่หนแล้วไม่ให้เรียกเจ๊ เรียกเจ๊ เจ๊อยู่ได้พูดไม่รู้เรื่องหรือไง"
มิ่งเดินเข้ามาขัดจังหวะพอดี
"เอะอะลูกเลี้ยงแต่เช้านะ เถ้าแก่เนี้ย"
"ก็ลื้อดูมันซิ...อีนี่มันเลี้ยงเสียข้าวสุกจริงๆ วันๆ ขี้เกียจสันหลังยาว"
เสาวรสไม่พอใจโยนอิฐทิ้งเดินหนีไป
"พูดมาก น่ารำคาญ...ไม่ทำแล้วโว้ย"
เถ้าแก่เนี้ยโวยวาย
"จะไปไหน...กลับมานี่เดี๋ยวนี้ พูดสอนนิดๆ หน่อย ๆละไม่ได้ ดูมันนะอามิ่ง อั้วจะฟ้องเตี่ยมันให้ตีให้ตาย"
"ใจเย็น ๆ น่า...ลื้อก็อย่าไปเอาเรื่องกับมันนักซี่ มันยังเด็กอยู่ ค่อยๆ สอนกันไป เสาวรสมันไม่มีแม่ ลื้อเป็นแม่เลี้ยงก็อย่าไปดุด่ามันนักน่ะ"
"เด็กที่ไหน...ลูกอาหลิวในตลาดอ่อนกว่ามันอีก มีลูกไปแล้วตั้งสองคน อย่างมันน่ะ ไม่มีใครเค้าเอาไปทำเมียหรอก....แล้วนี่ลื้อจะเอาอาไร"
"เจ้านายให้มาสั่งของ...เอ้านี่รายการ จัดไปตามนี้นะ"
เถ้าแก่เนี้ยรับใบรายการมาดู
"โอ้โห...ทั้งทราย หิน ไม้ เจ้านายลื้อจะปลูกบ้านอีกหลังหรือไง ทำไมสั่งของเยอะแยะงี้"
"ฉันก็ไม่รู้ เจ้านายเขียนรายการให้ฉันมาสั่งของ ฉันก็มาสั่ง จะเอาไปส่งเมื่อไหร่ล่ะ"
ฮวงเดินออกมาจากร้าน เห็นมิ่งก็ทัก
"ว่าไงอามิ่ง วันนี้มาสั่งอะไร"
เถ้าแก่เนี๊ยส่งใบรายการให้ฮวงดู
"อีมาสั่งของเยอะแยะจะเอาไปปลูกบ้านให้เมียน้อยละม้าง"
ฮวงดูรายการอย่างพิจารณา
"เอ...หมู่นี้มีคนสั่งของรายการแบบนี้บ่อยๆ นา..เห็นเค้าว่าจะเอาไปทำหลุมหลบระเบิดหรือไงเนี่ยะ"
"ฮ้า...ระเบิดที่ไหน ใครจะมาทิ้งระเบิดกันเนี้ยะ"
"ฝรั่งมันรบกันโครมๆ น่ะ เมืองจีนก็ยังรบกับญี่ปุ่น....นี่มันจะมาถึงเมืองไทยแล้วเหรอ...เก็กซิม...หนีมายังจะมาเจออีก"
"คงไม่ใช่มั้ง...แล้วจะไปส่งได้เมื่อไหร่"
"อีกสองสามวัน ต้องรอของใหม่"
"ของมาแล้วรีบไปส่งเร็ว ๆ เลยนะ"
ฮวงถาม
"เสาวรสอีอยู่ไหน"
"ใช้ทำงานนิดๆ หน่อยๆ หนีไปเที่ยวไหนแล้วก็ไม่รู้"
ฮวงเชื่อเมียทำหน้าเบื่อหน่าย
"ใช้ไม่ได้...ถ้ามันกลับมาบอกอั้วนะ"
ฮวงเดินกลับเข้าร้านอย่างโมโห มิ่งมองหน้าเถ้าแก่เนี้ยอย่างนึกตำหนิ แต่เถ้าแก่เนี้ยไม่สนใจ เชิดใส่เดินไปสั่งคนงานทำงานต่อ...
เสาวรสเดินมาหายายประคอง บ้านไม้ยายประคองหลังเล็ก ๆ มีเพิงหน้าบ้านขายข้าวแกง ในย่านนั้นมีบ้านไม้หลังเล็กๆ ของชาวบ้านปลูกใกล้ๆ กันสองสามหลัง
ยายประคองเป็นคนปากร้ายใจดี เสาวรสเดินมาหายายประคองที่กำลังกวนห่อหมกในหม้อเตรียมจะนึ่งอยู่ เสาวรสเห็นอาหารที่วางอยู่ก็กลืนน้ำลายเพราะหิว
"ยาย...ทำห่อหมกเหรอ"
ประคองเห็นเสาวรสเดินมาก็ด่าไว้ก่อน
"มาอีกแล้ว...เดี๋ยวเตี่ยเอ็งก็มาด่าข้าอีกหรอก"
"เค้าไม่มาหรอก...เค้าไม่สนใจซะด้วยซ้ำว่าฉันจะเป็นจะตายยังไง"
"วันก่อนเค้าก็ให้คนมาถามหาเอ็งทีแล้ว....พ่อแม่ก็ห่วงลูกทั้งนั้นละว้า เอ็งมานี่ก็ไม่ใช่ใกล้ๆ นะ เป็นผู้หญิงไปโน่นไปนี่ คนเดียวไกลๆ มันไม่ดี"
ประคองหยุดกวนห่อหมก มองเสาวรสด้วยความสงสาร
"แล้วนี่เอ็งกินข้าวมาหรือยัง....ยังละซิ เอ้านี่ อยากกินอะไรก็ตักเอา"
ประคองหยิบจานข้าวส่งให้ เสาวรสรับมาตักข้าวแกงกินด้วยความดีใจ ประคองเหลือบตามองอย่างเวทนาที่เห็นเสาวรสกินอย่างหิวโหย
"ค่อยๆ กิน .....เดี๋ยวก็ติดคอตายหรอก"
เสาวรสยิ้มประจบ
"ขนมจีนยายน่ะ อร่อยที่สุดเลย...ฉันพูดจริงๆ นะ ไม่ได้ยอด้วย"
"แม่เอ็งเค้าก็แอบมากินขนมจีนข้าแทบทุกวันน่ะแหล่ะ ก็อย่างว่าล่ะว่ะ แม่เอ็งมันคนไทย โดนเอาไปขัดดอกให้เตี่ยเอ็งน่ะมันถึงอกแตกตายอยู่ไม่ได้"
"อย่าพูดเรื่องนี้เลยยาย....ฉันฟังหลายหนแล้วนะ..อยู่โน่นก็เบื่ออีเจ้มันด่าทั้งวัน มานี่ยายก็ยังพูดถึงแม่ฉันอีก"
เหมี่ยวกระเดียดกระด้งใส่ใบตองออกมาจากในบ้าน
"เอ้า...มาแต่เมื่อไหร่เสาวรส หิวโซมาทุกที"
"ฉันถึงมานี่ไง...ยังไงก็ไม่อดตายนะพี่เหมี่ยว...ยาย ฉันขอห่อหมกกลับไปกินซักห่อนะ อีเจ้มันคงเทข้าวให้หมากินหมดไม่เหลือไว้ให้ฉันแล้วละ"
"ก็เอาไปซิ...เหมี่ยวเอ็งห่อข้าวไปให้มันด้วยนะ"
เสาวรสยกมือไหว้ประคองท่วมหัว
"ขอบคุณจ้ะยาย....ขอให้ยายอายุยืน ๆ นะ ฉันจะได้กินข้าวแกงยายไปอีกนานๆ"
เหมี่ยวหัวเราะ
"ดูมัน....ขนาดมันอวยพรให้ป้ายังมีเรื่องกินมันด้วยนะ"
เสาวรสยิ้มมีความสุข ดำเดินเข้ามา
"ป้า ห่อหมกที่สั่งไว้ได้หรือยัง...แม่ช้อยให้มาเอาแล้วนะ"
"โอ้ย...ไหนว่าจะมาเอาเย็นๆไงล่ะนี่มันเลยเพลมาหน่อยเดียวเองนะ ไอ้ดำ"
"ก็วันนี้แขกเยอะ..แม่เค้าจะเอาไปขาย เอ้ย เลี้ยงแขกน่ะ"
"มาเอาเย็นๆ พูดคำไหนคำนั้นไอ้ดำ"
"โหป้า...ต้องให้ฉันเทียวมาอีกเหรอ...เสียเวลา นะ นั่นไงมีตั้งเยอะ เอามาก่อนซิ"
"ไม่ได้...นี่เค้าจองหมดแล้ว เดี๋ยวเค้าก็มาเอา ของเอ็งได้ตอนเย็น ถ้าเอ็งไม่อยากรอ...ไม่เอาก็ตามใจถ้าไม่เอาก็บอก ข้าจะได้ขายคนอื่น"
ประคองพูดอย่างหยิ่งแต่จริงจัง ดำตัดบทแบบเบื่อๆไม่อยากเสี่ยงโดนด่า
"เอา...ก็ได้ เย็นๆ ฉันมา ทำให้เสร็จนะ"
"เออน่า ข้ารับปากก็เสร็จสิวะ"
ดำเดินบ่นออกไป เสาวรสมองตาม
"ยาย...ฉันว่านังช้อยน่ะ มันเอาห่อหมกยายไปขายเอากำไรต่อแหงๆ เลย"
"นั่นสิยาย...มันมาสั่งทีละเยอะๆ ด้วยนะ" เหมี่ยวว่า
"ช่างมันเถอะ มันอยากจะเอาไปทำอะไรก็เรื่องของมัน"
เสาวรสทำท่าคิด
"จริงๆ นะยาย ถ้ามันไปขายต่อเอากำไร มันก็ขายแพงน่ะซิ อย่างงี้ เราหาบไปนั่งขายหน้าซ่องมันเองไม่ดีเหรอ..ได้กำไรเยอะดีด้วย"
ประคองหัวเราะ
"เอ็งนี่มันหัวเซ็งลี้เหมือนพ่อเอ็งไม่มีผิด...ใครจะไปนั่งขายล่ะ เดี๋ยวไอ้พวกแมงดามันก็หาเรื่องเอาหรอก"
"เออจริงนะ"
"จะยากอะไร เราก็ให้มันกินฟรีวันละจาน ขี้คร้านมันจะชอบ...ไปน่ะ พี่เหมี่ยว ยาย เอานะ ฉันจะไปขายเอง"
"เตี่ยเอ็งจะได้มาอาละวาดข้าน่ะซิ อยู่ๆ ก็ไปเอาลูกเค้ามาใช้น่ะ"
เสาวรสหน้าเศร้า
"ฉันยังไม่รู้เลยว่าฉันจะอยู่กับเค้าได้นานแค่ไหน...เค้าไม่เคยเห็นหัวฉันเลย ฟังแต่อีเจ๊เมียเค้าน่ะ นี่เค้าก็มีลูกกับมัน ผู้ชายซะด้วย ฉันมันก็หมาหัวเน่าละยาย"
ประคองมองหน้ากับเหมี่ยว นึกเห็นใจเสาวรส
กฤษดาเดินคุยกับสุวัฒน์ด้วยท่าทางรีบร้อน
สุวัฒน์บอก
"พี่ว่าสถานการณ์ไม่ค่อยดีเลยน่ะ ผบ.ให้เตรียมพร้อม ระดับ 4 แล้วนะ แต่ถ้าเราต้องเข้าร่วมสงครามจริง ๆ ก็ไม่ดีเลย"
"พี่คิดว่ากองทัพเรายังไม่พร้อมใช่ไหมครับ"
"คนของเราน้อย"
ทั้งสองคนหยุดเดินสีหน้ากังวล
"เรายังฝึกคนของเราไม่พอ"
"เราเพิ่งกลับจากสงครามอินโดจีนได้ไม่นาน...แต่ยังไงก็ตามเราต้องพยายามจัดทัพเราให้เข้มแข็งที่สุด แต่ผมคิดว่าถ้าเราเข้าสงคราม พันธมิตรต้องช่วยเรา"
"ตอนนี้เราต้องเตรียมพร้อมทุกอย่าง เริ่มตุนเสบียงได้แล้วนะ"
"ก็เริ่มบ้างแล้วครับ...ผมขุดหลุมหลบภัยไว้หลังบ้าน เพราะคุณพ่อสุขภาพไม่ค่อยดี ถ้าเกิดอะไรขึ้นจะออกไปไหนไม่ไหว"
"ภาวนาอย่าให้เกิดสงครามเลย...ผู้คนจะเดือดร้อนไม่มีทางไป"
"ทหารอย่างเราก็ต้องป้องกันประเทศ กับประชาชนจนถึงที่สุดละครับ...ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราก็ต้องเป็นหลักให้คนของเรา"
สุวัฒน์ชื่นชม
"สมกับที่เป็นนักรบจริงๆ กฤษดา"
อ่านต่อตอนที่ 5