xs
xsm
sm
md
lg

เงาใจ ตอนที่ 1

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เงาใจ ตอนที่ 1

ไร่ธนาธร ของพ่อเลี้ยงวิทย์ วุฒิธรรม นักธุรกิจผู้มั่งคั่ง ดำเนินกิจการจำหน่ายส้มมานาน ชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่รู้จักว่า เป็นอันดับต้นๆ ในจังหวัดแม่ฮ่องสอน ไม่เพียงแต่ปลูกส้มเท่านั้น ไร่ธนาธร ยังปลูกใบชาคุณภาพดีอีกด้วย

แสงแดดยามเช้าสาดส่องต้นส้ม ที่กำลังออกผลสีเหลืองทองงดงามอร่ามทั่วอาณาเขตกว้างขวางสุดลูกตา บริเวณด้านหลังเรือนหลังใหญ่โตโอฬาร บ่งบอกฐานะเจ้าของ ด้วยเรือนหลังเล็กหลังน้อยของคนใช้ และ เหล่าคนงานของไร่ ที่กระจายตัวอยู่ไม่ห่างกัน

ที่หน้าบ้านของพ่อเลี้ยงเช้าวันนี้ ทั้งพ่อเลี้ยงวิทย์ เอื้องคำ จั่นเป็ง และ หนาน กำลังรอ วาทิต ลูกชายพ่อเลี้ยงเพื่อที่จะไปวัดด้วยกัน อันเป็นธรรมเนียมปฏิบัติทุกวันอาทิตย์ ที่พ่อเลี้ยงวิทย์ เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงชวนคนเข้าวัดฟังธรรม
รอกันนานแล้ว แต่ยังไม่เห็นวาทิตมาสักที จน พ่อเลี้ยงหันมาทางหนาน พลางเอ่ยขึ้น
“หนาน ไปดูวาทิตสิ ทำไมยังไม่มาอีกป่านนี้ คนงานรอกันแย่แล้ว”
“ครับพ่อเลี้ยง”
หนานยังไม่ทันได้ออกไป ก็เห็นวาทิตก็เดินหน้าตาหงุดหงิดมาพร้อมกับกินรีพยาบาลประจำตัว
“ไปกันลูก เดี๋ยวจะไม่ทันพระเทศน์” พ่อเลี้ยงวิทย์ว่า
วาทิตขอร้อง “ผมไม่ไปไม่ได้เหรอครับคุณพ่อ”
“จะได้ยังไงล่ะลูก เราสนับสนุนให้คนงานเข้าวัดฟังธรรมทุกวันอาทิตย์แต่เราเองกลับไม่ไปแล้วมันจะเป็นตัวอย่างที่ดีได้ยังไง ไปๆ หนานเอารถออก”
พ่อเลี้ยงวิทย์ตัดบท วาทิตเลยต้องจำใจเดินตามไปขึ้นรถ

วัดที่ทุกคนมาทำบุญ อยู่ไม่ไกลจากไร่ส้มธนาธรนัก บรรยากาศภายในวัดสงบร่มรื่น พ่อเลี้ยงวิทย์นั่งเป็นประธานอยู่ภายในโบสถ์ นำวาทิต กินรี เอื้องคำ หนาน จั่นเป็ง และคนงานฟังหลวงพ่อเทศน์
วาทิตซึ่งนั่งข้างๆ พ่อ ท่าทางร้อนรนนั่งไม่ติด จู่ๆวาทิตก็ทำท่าจะลุกขึ้น พ่อเลี้ยงวิทย์รีบดึงมือเอาไว้
“จะไปไหนวาทิต”
“ผมขอออกไปเดินข้างนอกนะครับ คือมันรู้สึกหายใจไม่ออกครับ”
วาทิตลุกขึ้น แล้วเดินออกไป พ่อเลี้ยงมองตามแล้วก็หันมาหากินรี ด้วยสีหน้าแปลกใจ
“วาทิตเขาเป็นอะไรนรีดูใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลย”
“นรีไม่ทราบเหมือนกันค่ะ”
จั่นเป็งสะกิดเอื้องคำยิกๆ เอื้องคำปัดมือแล้วทำหน้าดุๆ เดินหลุดไปทางหน้าโบสถ์
พ่อเลี้ยงหันไปมองยังทั้งคู่ แล้วตามออกไป

พ่อเลี้ยงวิทย์กับเอื้องคำและจั่นเป็ง ยืนอยู่ที่หน้าโบสถ์ มองไปเห็นวาทิตยืนหงุดหงิดอยู่ตรงม้านั่งใต้ต้นไม้ไม่ไกลกันนัก ข้างในโบสถ์กินรี หนาน และคนงานรวมทั้งชาวบ้านยังคงฟังหลวงพ่อเทศน์อยู่
“ตกลงใครจะบอกฉันได้หรือยังว่าวาทิตเป็นอะไร”
เอื้องคำกับจั่นเป็งมองหน้ากัน
“บอกไปเถอะป้ายังไงพ่อเลี้ยงก็ต้องรู้อยู่ดี” จั่นเป็งว่า
ชายชราจ้องหน้าเอื้องคำ รอฟัง
“คือวันนี้ คุณอังกูรแกไปช่วยคุณเมทินีจัดดอกไม้ที่งานพืชสวนโลกน่ะค่ะ”
พ่อเลี้ยงวิทย์พยักหน้ารับรู้ ก่อนจะหันไปมองวาทิตอย่างเห็นใจ

อีกฟากหนึ่ง ที่งานพืชสวนโลก เชียงใหม่ แลเห็นหอคำหลวงเด่นตระหง่าน รายรอบบริเวณจัดแต่งด้วยซุ้มดอกไม้นานาพรรณ จากบรรดาเจ้าของสวน และนักแต่งสวนจากทั่วประเทศ หนึ่งในนั้นเป็นซุ้มดอกไม้ของเมทินี
พันธุ์ไม้ดอกและไม้ใบอวดความงาม เสริมให้หอคำหลวงสวยงามอลังการทบทวี
“ทำไมที่ซุ้มไม่มีดอกเสี้ยน” เสียงดุๆ ของหัวหน้าดังขึ้นมา
ที่บริเวณจัดซุ้มดอกไม้ที่เมทินีรับผิดชอบ เมทินียืนหน้าเสียอยู่ต่อหน้าหัวหน้า มีลูกมือสองคนยืนหน้าจ๋อยๆ อยู่ข้างๆ โดยมีอังกูรยืนคอยเอาใจช่วยอยู่ใกล้ๆ กัน ส่วนทิปปี้กำลังคุยโทรศัพท์อยู่อีกมุมด้วยหน้าตาอันเคร่งเครียด
“ไหนคุณเมรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าได้ดอกเสี้ยนมาแน่ๆ” หัวหน้าตำหนิ
“คือรถที่ขนดอกเสี้ยนมาให้เกิดอุบัติเหตุดอกไม้เลยเสียหายหมดเลยค่ะ ดิฉันต้องขอโทษจริงๆ นะคะ”
เมทินีพยายามอธิบายแต่ดูเหมือนหัวหน้าไม่ฟัง
“ถ้าซุ้มเราไม่มีดอกเสี้ยนมันก็ไม่ตรงคอนเซ็ปต์ที่วางเอาไว้ แล้วนี่คุณจะแก้ปัญหาให้ฉันยังไง”
ทิปปี้เดินเข้ามาหาเมทินี
“เม ฉันโทร.เช็คตามเบอร์ที่แกให้มาแล้ว เขาบอกว่าตอนนี้ที่มีและสวยที่สุดก็ต้องไปถึงแม่ฮ่องสอน”
อังกูรเอ่ยขึ้นว่า “ไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่ขับรถพาเมไปก็ได้”
เมทินีเกรงใจ “อย่าเลยค่ะเดี๋ยวพี่กูรจะเสียงานเปล่าๆ เห็นทิปปี้บอกว่าบ่ายนี้พี่กูรมีนัดคุยกับเซลส์ขายปุ๋ยเอาไว้ไม่ใช่เหรอ”
“แต่พี่เป็นห่วงเมนี่”
“นั่นสิเม แกเป็นผู้หญิงขับรถไปแม่ฮ่องสอน ถนนไต่เขาร้อยโค้งพันโค้งแบบนั้นเนี่ยนะ”
“ขอให้ได้ดอกเสี้ยนมาก็พอ เรื่องการเดินทางเดี๋ยวฉันจัดการให้” หัวหน้ามองไปบนท้องฟ้าราวกับจะดูสภาพอากาศ และประเมินเวลา

เครื่องบินเล็กลำนั้นบินทะยานขึ้นจากรันเวย์สนามบินเชียงใหม่ พริบตาเดียวก็ลอยลำอยู่เหนือน่านฟ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอนแล้ว ทิปปี้มองดูบรรยากาศนอกหน้าต่างอย่างตื่นตาตื่นใจ ก่อนจะหันมาหาเมทินี
“เป็นคนรวยนั่งเครื่องบินส่วนตัวมันรู้สึกดีแบบนี้นี่เองเนอะแกเนอะ สงสัยฉันต้องหาสามีรวยๆ สักคนแล้ว”
“แกจะแต่งงานเพราะแค่อยากนั่งเครื่องบินส่วนตัวเนี่ยนะ”
“ฉันก็พูดของฉันไปเรื่อยแหละ อย่างฉันไม่ต้องรวยหรอกไม่พิการก็เอาแล้วละ เออ...พูดถึงเรื่องนี้ ตกลงแกกับพี่กูรนี่ยังไงอ่ะ ฉันเห็นพี่กูรเขาตามจีบแกมาตั้งกี่ปีแล้ว แต่แกก็เช้ยเฉย”
“ฉันยังมีแม่มีน้องที่ต้องดูแลมีอะไรที่ต้องจัดการอีกเยอะ ขี้เกียจคิดเรื่องอื่น”
“ก็ดี งั้นก็มาอยู่เชียงคานเป็นเพื่อนกัน ไอ้ฉันน่ะอยากมีแฟนจะตายแต่ไม่มีใครเอาเลยต้องเกาะคานหนึบเป็นตุ๊กแกแบบนี้ เฮ้อ”
ทิปปี้บอกปลงๆ เมทินีมองเพื่อนรักที่จริงจังกับเรื่องความรักแล้วอดขำไม่ได้ ทิปปี้ค้อนใส่หนึ่งวง แล้วรู้สึกเหมือนเครื่องกำลังลดระดับลง
“เครื่องลดระดับลงแล้วนี่ สงสัยใกล้ถึงแล้วมั้ง”
เมทินีมองไปนอกหน้าต่างเครื่องบิน ทิปปี้ชะโงกดูวิวด้วย
“จริงด้วย” ชี้ไป “อุ๊ย...นั่นไงดอกเสี้ยน เอ๊ะ..แล้วที่มีคนกำลังทำงานนั่นดอกอะไรอ่ะ กลมๆแปลก”
เมทินีไปที่แปลงดอกเสี้ยนที่อยู่ด้านล่างไกลออกไป แล้วแลเห็นบ้านแรม เจ้าของสวนดอกไม้ที่จะมาซื้อ ต่อด้วยสวนผักที่มีคนทำงานเต็มสวน เมทินียิ้มดีใจ
“อ๋อ...ที่อยู่ใกล้ๆ บ้านหลังนั้นน่ะเหรอ อันนั้นแปลงผัก”
“ตอนแรกดูๆ ฉันนึกว่าดอกไม้เหมือนกันซะอีก แสดงว่าที่นี่ต้องอากาศดีมากนะ ปลูกดอกไม้ก็สวย ปลูกผักก็สวย”
“ฉันว่าคนที่นี่ต้องมีความสุขมากเลย อากาศก็ดีแถมยังเงียบสงบ ถ้าฉันได้มาอยู่ที่นี่ก็คงดีเนอะ”
ทิปปี้ไม่เห็นด้วย “ไกลซะขนาดนี้อ่ะนะ”

เมทินีไม่ได้ตอบ แต่มองภาพกลุ่มคนงาน และสวนผักเขียวขจีข้างล่างด้วยแววตามีความสุข

แปลงผักเขียวขจี สวยงามตามธรรมชาติ เปิด Sprinkle เป็นละอองโปรยปราย กลางแสงสวย เห็นรุทรกำลังคุมคนงานเก็บผักในสวน มีอนุวัตรก็ยืนคุมด้วยใกล้ๆ กัน

อนุวัตรแหงนดูเครื่องบินเล็กที่บินต่ำจนรู้สึกได้ด้วยความสงสัย
“วันนี้วันหยุดทำไมมีเครื่องบินเล็กมาตั้งแต่เช้าเลย”
“คงจะเป็นพวกคนรวยที่เงินเหลือเยอะ เลยเอามาซื้อเครื่องบินๆ ชมวิวมั้ง จะวันหยุดหรือสนามบินปิด แต่มีเงินซะอย่างสั่งเปิดได้อยู่แล้ว”
“ไอ้รุทร แกกำลังคุยเรื่องเครื่องบินใช่ไหม ไม่ใช่ด่ากระทบใครอยู่นะ” อนุวัตรนึกหมั่นไส้
รุทรกลบเกลื่อน “ก็เออซิวะ แค่นี้ก็ไม่เข้าใจ”
รุทรมองเครื่องบินจนบินลับเหลี่ยมเขาไป แล้วเดินไปทำงานต่อ อนุวัตรมองตามเพื่อนแล้วส่ายหน้าขำๆ
“นึกว่าฉันไม่รู้หรือไงว่าแกคิดอะไร”

แรมกับวาริน พร้อมคนงานหญิงจำนวนหนึ่ง ช่วยกันดึงใบเสียของผัก แล้วคัดแยกลงเข่ง
แรมเห็นคนงานคนหนึ่งดึงผักแรง หักกาดไม่สุดโคน
เอ็ดด้วยภาษาเหนือ “เบาๆหน่อยสิละอ่อน ผักช้ำหมด ดึงเฉพาะใบเสีย แล้วดึงให้สุดก้านมันเลย”
สักพักก็เห็นรถยนต์แล่นมาจอดที่หน้าบ้าน
วารินมองเห็นก่อนใคร “ใครมาน่ะแม่”
แรมมองตามไปด้วยความสงสัยก็เห็นเมทินีกับทิปปี้ลงมาจากรถเดินตรงมาที่หน้าบ้าน พอสองสาวเห็นแรมเป็นผู้ใหญ่ก็ยกมือไหว้ไว้ทักก่อน
“สวัสดีค่ะ คือหนูอยากมาติดต่อเจ้าของสวนดอกเสี้ยนที่อยู่ใกล้ๆนี่น่ะค่ะ ไม่ทราบคุณป้าพอจะรู้จักเจ้าของสวนไหมคะ หนูอยากคุยกับเขา”
“อ๋อ...เป็นของลูกชายป้าเองจ้ะ หนูจะติดต่อเรื่องอะไรเหรอ”
“หนูอยากจะขอซื้อไปแต่งบูธดอกไม้ที่งานพืชสวนโลกค่ะ นี่นามบัตรหนู”
เมทินียื่นนามบัตรให้ แรมรับมาดู วารินวางงานแล้วมาร่วมวงสนทนาด้วย
“นี่มาจากเชียงใหม่กันเลยเหรอหนู”
“พี่สองคนทำงานจัดดอกไม้เหรอคะ เท่ห์จัง” วารินยิ้มเป็นมิตรให้
“ขอบคุณจ้า แต่พี่เมคนเดียวนะ พี่น่ะแค่มาช่วยเฉยๆ” ทิปปี้ยิ้มบอก
“ก่อนมานี่หนูเช็กหลายที่แล้วมีแต่คนบอกว่าดอกเสี้ยนที่นี่สวยที่สุด ไม่ทราบว่าลูกชายคุณป้าอยู่หรือเปล่า หนูอยากจะขอคุยด้วยค่ะ”
แรมกับวารินมองหน้ากันเหมือนไม่แน่ใจ สองสาวเริ่มใจไม่ดีมีลุ้น
“นะคะคุณป้า มันสำคัญกับหนูมากจริงๆ”
“งั้นเดี๋ยวป้าจะไปตามลูกชายให้นะ” แรมหันมาอู้คำเมืองกับวาริน “รินพาพี่สองคนไรอที่แปลงดอกเสี้ยนนะ”
“ได้เลยแม่” วารินหันมาทางสองสาว “ไปค่ะพี่ เดี๋ยวรินเป็นไกด์เอง”

แรมขี่รถเครื่องมาตามทางในสวนผัก แล้วมาจอดตรงที่อนุวัตรกับรุทรกำลังทำงานอยู่
แรมอู้คำเมืองกับผู้เป็นลูกชาย “รุทร เสร็จงานหรือยังลูก”
“ก็จะเสร็จแล้วครับ แม่มีอะไรเหรอ”
“พอดีมีคนเขามาติดต่อจะขอซื้อดอกเสี้ยนของรุทรไปแต่งงานพืชสวนโลกน่ะ” พลางยื่นนามบัตรให้ “นี่นามบัตรเขา”
รุทรหยิบนามบัตรมาดูแว่บเดียวแล้วคืนให้แรม
“แม่บอกไปเลยครับว่าผมไม่ขาย” เขาอู้คำเมืองกับผู้เป็นมารดา
“ไม่ลองไปคุยกับเขาหน่อยเหรอลูก เขาอุตส่าห์บินมาจากเชียงใหม่แน่ะ”
“เครื่องบินลำเมื่อกี้น่ะเหรอครับ” อนุวัตรทึ่ง
“ใช่จ้ะ ท่าทางเขาก็ดูดี สวยน่ารักพูดจาก็ดีนะ แม่ถึงอยากให้รุทรไปคุย ไปนะเขารออยู่ที่แปลงดอกเสี้ยนแล้ว”
แรมพยามโน้มน้าว แต่รุทรก็ยังนิ่งคิดว่าจะเอาไงดี ไม่อยากขายแต่ก็ไม่อยากขัดแม่
เสียงบุษบันดังขึ้น “ถ้ารุทรเขาไม่อยากไปคุยก็อย่าไปขัดเขาเลยจ้ะแม่แรม”
ทุกคนหันไปตามเสียงก็เห็นบุษบันยืนยิ้มอยู่ บุษบันเดินเข้ามาหาทุกคน
“เดี๋ยวบุษจัดการให้เอง เรื่องช่วยเหลือคนนี่บุษชอบนัก”
“เจ๊เนี่ยนะ ชอบช่วยคน” อนุวัตรค่อน
บุษบันค้อนใส่อนุวัตรวงใหญ่ “ก็ใช่น่ะสิ โดยเฉพาะเวลารุทรมีปัญหาบุษเต็มใจช่วย”
“แม่บุษจะทำยังไง” แรมถาม
“แหม...แม่แรมขา บุษเป็นเจ้าของตลาดนะคะ แค่สั่งแม่ค้าแผงดอกไม้นิดเดียวขี้คร้านจะแห่มาส่งกัน ไม่ต้องไปยุ่งกับรุทรเขาด้วย” เจ้าหล่อนหันมาทางรุทร “ดีไหมรุทร”
แรมทักท้วง “แต่ว่า...”
รุทรขัดขึ้นมาทันที “งั้นผมรบกวนคุณบุษด้วยก็แล้วกันครับ”
แรมกับอนุวัตรพอได้ยินคำตัดสินจากปากรุทรก็เหวอไปทั้งคู่
“แหม....เรียกซะห่างเลย คุณเคินอะไร บอกให้เรียกบุษ รุทรต้องเรียกบุษก่อนไม่งั้นไม่ช่วยน้า”
“เอ่อ...ครับ บุษก็บุษ”
บุษบันดีใจ รีบวิ่งไป รุทรเดินกลับไปทำงานต่อ
อนุวัตรพูดลอยๆ “เจ๊บุษมันจะช่วยจริงเหรอ แค่แม่ค้าจ่ายค่าแผงช้าวันเดียวยังปรับเลย”
แรมมองรุทรด้วยสายตาตำหนิแต่พูดไม่ออก

รุทรไม่กล้าสบตาแม่ เสไปทำงานต่อ

กลางแปลงดอกเสี้ยน วารินเดินนำเมทินีกับทิปปี้ชมดอกเสี้ยนมาในบริเวณนั้น เมทินีมองดอกเสี้ยนทุกดอกอย่างละเอียด

“ทุกดอกสวยได้คุณภาพดีมาก แสดงว่าพี่ชายของน้องรินต้องดูแลรักษาดีมาก”
“เขาก็ต้องดูแลดีสิคะ พี่รุทรเขารักเขาหวงของเขามากนี่”
เมทินีกับทิปปี้พอได้ยินว่าหวงก็เริ่มใจคอไม่ดี
“ถึงขั้นหวงเลยเหรอ แสดงว่าไม่เคยขายเลยสิ”
วารินส่ายหน้า “มีคนมาติดต่อเยอะนะคะ แต่ไม่เห็นพี่รุทรเขาจะยอมขายสักคน” วารินว่า
เมทินีใจแป้ว “แล้วพี่จะมีหวังไหมเนี่ย”
“ไม่ต้องห่วงค่ะ รินชอบพี่เมกับพี่ทิปปี้ เพราะรินก็ชอบจัดดอกไม้เหมือนกัน ถ้ามีทั้งแม่กับรินพูด พี่รุทรอาจจะยอมขายให้พี่สองคนเป็นรายแรกก็ได้ค่ะ
เมทินีกับทิปปี้ยิ้มดีใจ มีความหวัง
เสียงบุษบันดังขึ้น “แต่น่าเสียดายที่เราจะไม่ขายดอกไม้ให้พวกคุณ”
เมทินี ทิปปี้ และวารินหันไปตามเสียง ก็เจอบุษบันยืนหน้าตึงจ้องทั้งสามอยู่ เมทินีกับทิปปี้มองงงๆ เพราะไม่รู้จัก
ทิปปี้ถามขึ้นว่า “ขอโทษนะคะ คุณเป็นใคร”
“ฉันนี่แหละเจ้าของแปลงดอกไม้”
เมทินีกับทิปปี้มองหน้ากันงง แล้วเมทินีก็ถามวาริน
“น้องริน ไหนบอกว่าแปลงดอกไม้นี่เป็นของพี่ชายไงคะ”
วารินจะอ้าปากพูดแต่บุษบันเดินไปดึงแขนวารินมาอยู่ข้างหลังตัวเองแล้วรีบพูดดัก
“น้องริน เรื่องของผู้ใหญ่ อยู่เฉยๆดีกว่า” จากนั้นหันกลับไปหาเมทินีกับทิปปี้ “ฉันเป็นแฟนเจ้าของแปลงดอกไม้นี่ก็เท่ากับเป็นเจ้าของ ชัดไหม เอาเป็นว่าพวกคุณกลับไปได้แล้ว ยังไงเราก็ไม่ขายดอกไม้ให้แน่นอน”
“ถ้างั้นฉันขอพบเจ้าของแปลงดอกไม้และได้ยินจากปากเขาเองได้ไหมคะ” เมทินีขอร้อง
บุษบันโมโห “เอ๊ะ...ตกลงพูดภาษาคนไม่รู้เรื่องหรือไง”
เมทินีพยามพูดดีด้วย “เราสองคนแค่ขอคุยกับเจ้าของ ทำไมถึงต้องกันด้วยล่ะคะ”
บุษบันรำคาญ “ฮึ นี่ไงอย่างที่ฉันนึกไว้ไม่มีผิด ที่แท้ก็ไม่ได้มาซื้อดอกไม้อะไรหรอก แต่คิดจะมาอ่อยผู้ชายใช่ไหมฉันละเบื่อจริงๆพวกอ้างโน่นอ้างนี่ สุดท้ายก็วางแผนมาหาผั...”
บุษบันทำปากคำว่าผัวเบาๆ ไม่ให้มีเสียงออกมา เมทินีกับทิปปี้ได้ยินก็เหวออึ้งไปครู่ ไม่คิดว่าบุษบันจะก้าวร้าวขนาดนี้ ทิปปี้สุดจะทนเดินไปจ้องหน้าเอาเรื่องทันที
“ผัวฉันก็อยากได้หรอกนะ แต่ตอนนี้อยากตบชะนีปากดีมากกว่า ขอสักทีเถอะ”
ทิปปี้ทนไม่ไหวทำท่าจะพุ่งเข้าใส่แต่เมทินีรีบดึงเอาไว้
“อย่ามีเรื่องกันเลยทิปปี้ เจ้าของเขาไม่อยากให้เราก็ไม่ต้องเอาก็แค่นั้นเอง กลับกันเถอะ”
วารินเรียกไว้ “เดี๋ยวสิคะพี่เม พี่ทิปปี้ ไม่คุยกับพี่รุทรก่อนเหรอคะ”
บุษบันหันขวับมาหาวาริน “น้องริน คิดหน่อยสิ ถ้าพี่รุทรเขาอยากเจอสองคนนี่ เขาคงไม่ให้พี่มาไล่แทนเขาหรอก”
“ขอบคุณมากนะคะน้องริน พี่ฝากขอบคุณคุณแม่ด้วย”
เมทินีบอกอย่างสุภาพ แล้วก็ดึงทิปปี้ให้ออกเดินตาม
“พูดง่ายๆ แบบนี้ก็ดี แต่ไม่ใช่แอบย้อนมาอ่อยแฟนฉันใหม่วันหลังนะ ทำเป็นหงิมๆ ร้ายนักพวกนี้”
บุษบันว่าไล่หลัง เมทินีได้ยินก็หยุดกึก หันหลังกลับทันที
“ฉันไม่รู้หรอกนะ ว่าคุณมีปัญหาอะไรกับระบบสมองหรือเปล่า ถึงฟังไม่เข้าใจที่ฉันบอกว่ามาขอซื้อดอกไม้ หรือไม่คุณก็หมกมุ่นอยู่แต่กับเรื่องรักๆ ใคร่ๆ จนสติฟั่นเฟือน ฉันเคยรู้จักคนแบบคุณหลายคนเหมือนกัน ฉันฟันธงได้เลยว่าคุณไม่ได้เป็นอะไรกับเจ้าของแปลงดอกไม้นี่หรอก คงจะแอบชอบเขา ก็เลยทำตัวเป็นหมาหวงก้างพาลคนอื่นไปทั่ว ขอให้มีความสุขนะคะ”
เมทินีว่าจบก็หันหลังกลับควงแขนทิปปี้เดินออกไป วารินมองบุษบันอย่างสะใจ
บุษบันโดนจี้ใจดำถึงกับพูดไม่ออกเลยทีเดียว
“อีบ้า อย่าให้ฉันเจอแกอีกนะ”
วารินพึมพำ “ร้ายแบบนี้ใครจะไปอยากเจออีก”
บุษบันเหลียวขวับมามองตาขวาง

แต่วารินตัดรำคาญรีบเดินหนีไป

ทางด้านแรม ยืนรอด้วยความเป็นห่วง รุทรกับอนุวัตรช่วยกันขนผักเสร็จเดินมาหาแรม

“นี่แม่บุษไปคุยตั้งนานแล้วหายเงียบไปเลย เป็นไงบ้างก็ไม่รู้”
ระหว่างนี้ ยินเสียงเครื่องบินดังมา และเสียงนั้นค่อยๆ ห่างออกไป ทุกคนหันไปมองตามเสียง แล้วเห็นเครื่องบินๆ ผ่านขึ้น
“สงสัยจะได้อย่างที่เขาต้องการแล้วมั้งครับ” รุทรว่า
อนุวัตรไม่คิดอย่างนั้น “เอ...แต่ฉันสังหรณ์แปลกๆ นะ”
“คิดมากน่า นั่นไงมากันโน่นแล้ว ถามดูเองเองแล้วกัน”
บุษบันเดินมากับวาริน พอใกล้ๆ ถึงที่แรม อนุวัตร รุทร อยู่ บุษบันก็ตีหน้าเศร้าถลามาหา
“รุทร”
“ว่าไงเกิดอะไรขึ้น” แรมเป็นฝ่ายถาม
“สองคนนั่นร้ายมากเลยนะแม่ บุษไปบอกดีๆ ว่าเจ้าของเขาไม่ขายก็มาด่าว่าหาเรื่องบุษ...แย่จริงๆ”
แรมฟังแล้วไม่อยากจะเชื่อ จึงขอความเห็นวาริน
“จริงอย่างที่แม่บุษเขาว่าเหรอริน ทำไมตอนที่เขาอยู่กับแม่ออกจะเรียบร้อย”
วารินจะอ้าปากบอก บุษบันก็รีบพูดแทรก
“แม่กับน้องรินน่ะซื่อๆ ก็ไม่ทันใครเขาหรอก บุษน่ะคนค้าคนขายพวกเจ้าเล่ห์แบบนี้ดูปราดเดียวก็รู้ ฮึ...ทำเป็นมาซื้อดอกไม้บังหน้าที่แท้ก็มาจับผู้ชาย”
“คุ้นๆ นะเจ๊ มาซื้อผักบังหน้าเพื่อมาหาผู้ชาย เคยเจอที่ไหนหว่า”
อนุวัตรเหน็บแนม ลอยๆ บุษบันมองอนุวัตรตาเขียวปั้ด
“รุทร ที่บุษยอมโดนด่าเสียๆหายๆ ก็เพราะรู้ว่ารุทรไม่อยากให้ใครมายุ่งกับแปลงดอกเสี้ยนของรุทรนะ”
“ยังไงผมก็ขอบคุณมากนะครับ”
บุษบันยิ้มดีใจ แต่แรม วาริน อนุวัตรมองรุทรด้วยความไม่พอใจ

ในเครื่องบินเล็กที่ลอยลำอยู่เหนือท้องฟ้า เทินีและทิปปี้ยังอารมณ์เสียกับบุษบันไม่หาย
“ฉันละอยากเห็นหน้านายรุทรลูกชายป้าแกจังเลยว่าหล่อแค่ไหนยายนั่นถึงได้ทำตัวเป็นหมาบ้าไล่งับเราซะขนาดนั้น”
“แกอยากเจอจริงๆ เหรอผู้ชายแบบนี้ ไม่มีมารยาท จะไม่ขายดอกไม้ก็มาบอกเราดีดีก็ได้ ไม่เห็นต้องส่งแฟนมาไล่เราเลย ดูสิ เสียเวลา เสียอารมณ์มาก”
“เอ๊ะ แต่เมื่อกี้แกเพิ่งตอกหน้ายัยนั่นว่าไม่ใช่แฟนไม่ใช่เหรอ”
“เป็นแฟนไม่เป็นแฟนฉันไม่สนใจหรอกแต่ถ้าหมอนั่นไม่บอกให้มาใครจะกล้ามาเอง อยากปฏิเสธแต่ไม่กล้า ใช้ผู้หญิงบังหน้า เกลียดนัก รุทร ฉันจะจำชื่อนี้จนวันตายเลยคอยดู” เมทินีขุ่นเคืองเอามากๆ
“เฮ้อ...บินมาเสียเที่ยวแท้ๆ เลย แล้วนี่แกจะทำไงดี พรุ่งนี้เช้าลูกค้ามาตรวจงานแกคงเอาตาย”
เมทินีได้แต่ทอดถอนใจ มองออกไปนอกหน้าต่างเครื่องบินด้วยสีหน้าเครียดเคร่ง คิดไม่ตก

โต๊ะอาหารค่ำนั้น แรม อนุวัตร และวาริน นั่งรอที่โต๊ะแล้ว ส่วนรุทรอาบน้ำแต่งตัวอยู่ในชุดใหม่เดินมาสมทบ พอเห็นอาหารบนโต๊ะก็ยิ้มดีใจ
“โห...แกงขนุนของโปรด”
แต่เมื่อลงนั่งก็เริ่มเห็นความผิดปกติคือ แรม อนุวัตร วารินนั่งนิ่งเงียบ
“เป็นอะไรกัน ทำไมเงียบกันหมด อย่าบอกว่าพร้อมใจกันงอนผมเรื่องไม่ขายดอกไม้นะ”
แรม อนุวัตร และวารินประสานเสียง “ใช่” ออกมาดังลั่น
รุทรสะดุ้งหน้าเจื่อนพูดไม่ออก
“รินเล่าให้แม่กับพี่วัตรฟังหมดแล้ว เรื่องที่ยัยเจ๊บุษนั่นไปอ้างว่าเป็นแฟนพี่รุทร แล้วก็ไล่พี่เมกับพี่ทิปปี้ไป”
“เป็นไงล่ะไว้ใจแม่บุษบันจนได้เรื่อง มันสมควรมั้ยที่แม่จะงอนรุทร”
แรมมองรุทรไม่พอใจ พอรุทรหันไปทางน้องสาว วารินก็จ้องหน้าเอาเรื่อง เมื่อรุทรหันไปหาเพื่อน อนุวัตรก็จ้องด้วย รุทรจนมุ่งนั่งนิ่งคิดอยู่ครู่แล้วตัดสินใจพูดออกมา
“เอ้า อยากให้ขายผมขายให้ก็ได้ พอใจกันไหมครับทุกคน”
แรม อนุวัตร และวาริน มองหน้ากันยิ้มดีใจที่รุทรใจอ่อน
“ในที่สุดดอกไม้บ้านเราก็จะได้ไปอยู่ในงานพืชสวนโลก” แรมปลื้มปริ่ม
อนุวัตรตบไหล่รุทร น้ำตาจะไหล “แกเป็นลูกที่ดีที่สุดเลยว่ะไอ้รุทร”
“ไม่เป็นไร ฉันยอมสละเพื่อความสุขของทุกคน แต่พรุ่งนี้ตีสามรินกับแกต้องลงไปช่วยฉันตัดดอกเสี้ยนนะ”
อนุวัตร กะ วารินร้องพร้อมกัน “ตีสาม”
รุทรยิ้มกวน “จะได้เอาไปส่งให้เขาที่เชียงใหม่แต่เช้าไง”
“เอ่อ...รินเปลี่ยนใจอยู่ข้างพี่รุทรได้มั้ยอ่ะ”
คราวนี้รุทร แรม และอนุวัตร เปลี่ยนวงประสานเสียง “ไม่ได้”

วารินจ๋อยสนิท หาเรื่องใส่ตัวแท้ๆ ทุกคนขำกัน

อ่านต่อหน้า 2

เงาใจ ตอนที่ 1 (ต่อ)

เย็นจวนค่ำ รุทรยืนทอดสายตาดูแปลงดอกเสี้ยนเหมือนจะสั่งลา แล้วก็ถอนหายใจลึกสุดใจ ด้วยดอกไม้สีสวยเบื้องหน้านี้ มีความหลังฝังใจเขามากมาย

แน่นอนมันเกี่ยวกับเธอคนนั้น...แพรวา ผู้หักอกเขาจนพังยับเยิน

เช้ามืดวันนั้น ในอดีต
พระอาทิตย์ขึ้นบนยอดดอยสวยงามแสงแดดอ่อนอุ่นสาดไปทั่วหุบเขา รุทรเปิดประตูเต็นท์ออกมายืนชม ดื่มด่ำวิวทุ่งดอกเสี้ยน สักครู่หนึ่งแพรวาก็ตามออกมายืนข้างๆ เขา
“บรรยากาศดีจังเลยนะรุทร”
“นี่เป็นจุดชมวิวที่ดีที่สุดแถวนี้เลยนะแพร”
แพรวากวาดสายตามองบรรยากาศรอบข้างเหมือนจะดื่มด่ำความงาม แพรสะดุดตากับทุ่งดอกเสี้ยนที่อยู่มุมหนึ่ง
“นั่นดอกอะไรน่ะรุทร สวยจังเลย”
รุทรหันมองตาม “ดอกเสี้ยน แพรชอบเหรอ”
รุทรถามเมื่อเห็นว่าหญิงคนรักมองทุ่งดอกเสี้ยนไม่วางตา แพรวาหันมายิ้มให้แล้วพยักหน้า
“ถ้าแพรตื่นมาแล้วเห็นดอกเสี้ยนทุกวันคงดีนะ”
แพรวาบอกด้วยอารมณ์พาไป

ยามเย็นอีกวันหนึ่ง กลางแสงแดดสวยงามตา รุทรใช้ผ้าปิดตาแพรวาแล้วพาเดินมาที่หน้าบ้านของเขา บริเวณหน้าบ้านถูกจัดแต่งไว้อย่างน่ารัก มีรั้วเล็กๆ พร้อมด้วยเก้าอี้สนามขนาดยาว
“รุทรเล่นอะไรเนี่ย” หญิงสาวตื่นเต้นไม่น้อย
“รุทรมีอะไรจะเซอร์ไพร้ส์แพร รับรองแพรต้องชอบ”
รุทรบอกแล้วก็ค่อยๆ เปิดผ้าคาดตาแพรวาออก
“อะไรกันเนี่ย” แพรวามองแปลงดอกเสี้ยนแล้วถามรุทรงงๆ
“ดอกเสี้ยนไง ที่แพรเคยบอกว่าอยากตื่นมาเห็นทุกวัน”
“แพรเคยพูดเหรอ”
รุทรพยักหน้ารับ “รุทรได้ยินทุกคำที่แพรพูด แพรรออีกนิดนะ ขอรุทรพร้อมกว่านี้อีกนิด แล้วรุทรจะไปขอแพรแต่งงาน”
แพรวาอึ้ง “แต่งงาน...แล้ว”
“แล้วเราก็จะมาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันที่นี่ สร้างครอบครัวด้วยกันที่นี่”
รุทรพูดพร้อมกับเข้าไปกอดแพรวาเอาไว้ โดยไม่เห็นสีหน้าเหมือนครุ่นคิดไม่แน่ใจของสาวเจ้า

ในเวลานี้ รุทรนั่งนิ่งอยู่ในกระท่อมหลังเล็ก ตรงหน้ามีกล่องที่ใส่ทุกอย่างเกี่ยวกับแพรวาไว้ในนั้น รุทรหยิบรูปของเธอขึ้นมาดู พร้อมกับของโน่นนี่ จนมาเจอกับการ์ดแต่งงาน ชายหนุ่มหยิบขึ้นมาถือ แต่แล้วก็ไม่กล้าเปิด วางลงในกล่องเหมือนเดิม

หวนนึกถึงอีกเหตุการณ์ในอดีต

วันนั้น รุทรขี่รถมอเตอร์ไซค์มาถึงหน้าบ้าน เจอแพรวานั่งรออยู่ที่เก้าอี้สนามใกล้แปลงดอกเสี้ยน รุทรรีบจอดรถแล้วลงไปหาด้วยความดีใจ

“แพร มาไงเนี่ย น่าจะโทร.บอกรุทรจะได้ไปรับ”
“แพรมาธุระแป๊บเดียว”
“ธุระ...กับรุทรหรือเปล่า”
รุทรงง เนื่องเพราะแพรวาไม่เคยใช้คำว่าธุระกับเขา แพรวาพยักหน้า
“ดีเหมือนกัน ที่จริงรุทรก็มีเรื่องอยากจะคุยกับแพร ที่รุทรขอเวลาแพรไว้รุทรพร้อมแล้วนะ เดือนหน้ารุทรจะให้แม่ไปคุยกับพ่อแม่แพร”
รุทรบอกด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นดีใจ แต่แพรวานิ่งจนรุทรผิดสังเกต
“แพรเป็นอะไร ไม่ดีใจเหรอ”
“รุทร ถ้าความพร้อมของรุทรคือเท่าที่รุทรมีตอนนี้ มันคงไม่พอสำหรับแพร”
“ทำไมล่ะแพร เรามีอาชีพ มีบ้าน ไม่ต้องมีหนี้สิน แค่นี้มันก็ทำให้เรามีความสุขได้นะ”
“ถ้าอย่างนั้น คำว่าพร้อมของเราสองคนคงไม่เหมือนกันแล้วล่ะ แพรขอโทษนะ”
แพรกำลังจะเดินหนีแต่รุทรชิงพูดขึ้นมาก่อน
“ที่แพรเพิ่งจะมาบอกรุทรตอนนี้ เพราะแพรได้เจอคนใหม่ที่ดีกว่าใช่ไหม”
แพรวาพยักหน้ารับ “เวลาปีกว่าๆ ที่รุทรไปดูงานเมืองนอก มันนานพอที่จะทำให้แพรรู้ว่า ชีวิตแพรต้องการอะไร”
รุทรใจหล่นวูบ เข้าไปกอดแพรวาเอาไว้
“รุทรยังพอมีโอกาสแก้ไขอะไรได้บ้างไหมแพร”
“แพรกับพี่เอกคุยกันแล้วว่าหลังแต่งงานเราจะย้ายไปอยู่กรุงเทพฯด้วยกัน”
รุทรตะลึงตะไล “แต่งงาน”
แพรวาผละถอยออกมา แล้วหยิบการ์ดแต่งงานส่งให้เขา รุทรรับมาถือนิ่งอึ้งไปไม่กล้าเปิดออกดู
“พ่อแม่พี่เอกเขาจะเปิดบริษัทตกแต่งภายในให้ แพรคงต้องไปช่วยงานพี่เอก แพรขอโทษนะรุทร”
แพรวาบอกด้วยน้ำเสียงติดเศร้าเล็กๆ รู้สึกใจหายอยู่เหมือนกัน ก่อนจะลุกขึ้นเดินออกไป
รุทรมองตามแพรวาจนสุดสายตา น้ำตาลูกผู้ชายไหลรินออกมาเงียบๆ อย่างเจ็บปวด

แรม อนุวัตรและวารินนั่งคุยกันเรื่องดังกล่าวกันอยู่ที่ระเบียงบ้าน เบื้องหลังเป็นวิวสวยงามยามเย็น วารินเอ่ยขึ้น
“นี่พี่รุทรยังไม่ลืมพี่แพรอีกเหรอแม่”
“จะให้เราลืมใครโดยเฉพาะคนที่เรารักมากมันทำไม่ได้หรอกริน ไม่ต้องลืมแต่อย่าเก็บเอาไว้จนมาทำร้ายตัวเอง”
“แต่ลูกชายแม่ทั้งไม่ลืมทั้งเก็บมาทำร้ายตัวเองครบเลยนะครับ” อนุวัตรว่า
“รุทรเขาเป็นคนจริงจัง รักก็รักมากเกลียดก็เกลียดมาก นี่แม่ก็ห่วงอยู่ว่าเขาจะไม่ยอมเดินไปข้างหน้าเพราะมัวจมอยู่กับเรื่องหนูแพร คนเราถ้าไม่ยอมปล่อยมือจากอดีตแล้วจะเอามือที่ไหนไปคว้าอนาคตกันล่ะ”
แรมบอกด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงลูกชาย

ภายในกระท่อมหลังเล็ก รุทรตัดสินใจหยิบการ์ดแต่งงานขึ้นมาเปิดออกดู ชื่อของ แพรวา-เอกรงค์ มันกระแทกแทงเข้าไปในความรู้สึกเขาจมมิด รุทรใช้นิ้วไล้ไปที่ชื่อแพรวาเบาๆ ด้วยความเจ็บปวด ในที่สุดรุทรก็ปิดการ์ดเอาใส่กล่องแล้วนั่งสงบสติอารมณ์
รุทรมองกีตาร์ที่วางอยู่ข้างๆ แล้วคว้ามันมาลุกเดินออกไป

รุทรพกความช้ำพาตัวเองมานั่งอยู่ที่ริมหน้าผาสวยอันแสนเวิ้งว้างนั้น บรรยากาศแม้ดูสวยแต่กลับยิ่งอ้างว้างเปลี่ยวเหงา ยิ่งกับเขาผู้ที่กำลังมีทุกข์โดยเฉพาะเรื่องความรัก รุทรเกากีตาร์เบาๆ ราวกับจะบรรเทาความทุกข์ในใจ

เสียงกีตาร์แสนเหงาเศร้านั้นของรุทร ลอยล่องไปในอากาศ

ขณะที่อีกฟากหนึ่ง มีเสียงเปียโนบ่งบอกอารมณ์รุนแรง ของผู้เล่น เสียงนั้นดังออกมาจากห้องนั่งเล่นในบ้านพ่อเลี้ยงวิทย์

เป็นวาทิตนั่นเอง ที่กำลังเล่นเปียโนเพลงคลาสสิก รัวเร็วอย่างระบายอารมณ์
เอื้องคำเดินนำหน้าจั่นเป็งที่ถือแก้วน้ำลำไยมาด้วย แต่ยังไม่ทันเข้าห้องเสียงที่วาทิตกระแทกนิ้วลงบนเปียโนจนจั่นเป็งสะดุ้งตกใจเครื่องดื่มในแก้วเกือบหก เอื้องคำหันมามองดุๆ
กินรีที่ถือถ้วยยาก่อนอาหารเข้ามา หันมาถามเอื้องคำกับจั่นเป็ง
“นี่คุณวาทิตเค้ายังเครียดไม่หายอีกเหรอ”
“เมื่อกี้คุณวาทิตให้ป้าไปตามคุณอังกูรค่ะ พอรู้ว่ายังไม่กลับเท่านั้นแหละ ก็อย่างที่เห็นเนี่ยล่ะค่ะ”
กินรีรำคาญขึ้นมา “ทำตัวอ่อนแอแบบนี้ ผู้หญิงที่ไหนจะชอบ”
เอื้องคำเห็นด้วย “นั่นสิคะ โดยเฉพาะไปชอบคนเดียวกับที่พี่ชายชอบนี่ยิ่งไปกันใหญ่”
กินรีท้วง “ไม่หรอกมันขึ้นอยู่กับคุณวาทิตจะสู้หรือเปล่า”
จั่นเป็งแทรกขึ้นมา “อุ๊ย...คุณนรีจะให้คุณวาทิตแย่งแฟนคุณกูรเหรอคะ”
“ของแบบนี้ใครดีใครได้สิ” กินรีเอาถ้วยยาใส่ในถาดของจั่นเป็งแล้วดึงถาดไปถือเอง “เดี๋ยวฉันจัดการเอง”
กินรีถือถาดเดินเข้าห้องนั่งเล่นไป เอื้องคำกับจั่นเป็งยืนแอบดู
“คุณนรีพูดแปลก เหมือนเข้าข้างคุณวาทิต แต่ก็เหมือนจะทำให้พี่น้องทะเลาะกัน” เอื้องคำบ่น
“แล้วเราควรเห็นด้วยหรือคั้นค้านล่ะป้า”
“ไม่รู้สิ ข้าเลี้ยงมาทั้งคุณวาทิตคุณกูร ข้าเลือกไม่ถูกจะเชียร์ใคร”

เอื้องคำมีสีหน้าหนักใจ

วาทิตขึ้นอินโทรเพลง จะเล่นเปียโนเพลงใหม่แต่ไม่มีสมาธิต้องหยุดเล่น กินรีเดินมาแล้ววางถาดเครื่องดื่มกับถ้วยยา

“ยาก่อนอาหารค่ะ”
วาทิตหยิบยามากินแล้วกินน้ำตาม แต่ไม่กินน้ำลำไย
“ขอบใจนะ”
“คุณวาทิตอารมณ์ไม่ดีเพราะคุณอังกูรไปบ้านเมใช่ไหมคะ”
วาทิตถอนใจพยามเปลี่ยนเรื่อง “ถ้าป้าเอื้องคำทำอาหารเย็นเสร็จแล้วก็ตั้งโต๊ะได้เลยนะ ฉันหิวแล้ว”
“คุณวาทิตคะ ปัญหามีไว้แก้ ไม่ได้มีไว้กลุ้มนะคะ”
วาทิตมองหน้ากินรี “เธอก็รู้ว่าฉันไม่มีทางสู้พี่กูรได้”
“คุณหาทางหรือยังล่ะคะ นรีเห็นวันๆ คุณก็เอาแต่อยู่บ้านคอยเช็คว่าคุณกูรไปหาเมหรือเปล่า แต่ตัวคุณน่ะไม่เคยลุกไปทำอะไรเลย”
“แล้วเธอจะให้ฉันทำยังไง”
“ทำเท่าที่คุณกูรทำได้สิคะ แต่ต้องทำนะคะไม่ใช่มานั่งยอมแพ้อยู่อย่างนี้ ไม่อย่างนั้นคุณจะเสียใจไปตลอดชีวิตถ้าสิ่งที่คุณต้องการหลุดมือไป”
วาทิตคิดตาม “เธอพูดถูกนรี”
กินรียิ้มพอใจที่คำพูดของเธอ ทำให้วาทิตลุกขึ้นสู้ได้

ราวตีสาม ทั่วบริเวณนั้นยังมืดอยู่ และอากาศหนาวเย็นมากด้วย บ้านของแรมเปิดไฟขึ้น ก่อน ไล่ๆ กันส่วนบ้านของรุทรไฟก็เปิดขึ้น
ไม่นานต่อมา ที่แปลงดอกเสี้ยน เห็นแรมยืนคุม รุทร อนุวัตร วาริน ช่วยกันตัดดอกเสี้ยนใส่กระบะใส่ดอกไม้ อนุวัตรกับวารินนั้นหน้าหงิกงอและง่วงจัด อนุวัตรมือไม้สั่นงันงกตลอดเวลา
“เฮ้ย ไอ้วัตร ดีๆ สิ เดี๋ยวดอกไม้เสียหมด”
“ทำไมแกไม่ตัดสินใจขายเขาไปตั้งแต่เมื่อวานวะไอ้รุทร ไปๆ มาๆ เลยลำบากใหญ่เลยต้องแหกตาตื่นมาตัดดอกไม้ตั้งแต่เช้ามืด” อนุวัตรบ่น
วาริน พยักพเยิด บ่นบ้าตาม “นั่นสิ คิดผิดหรือเปล่าก็ไม่รู้ที่อยู่ข้างแม่กับพี่วัตร”
รุทรขำ “เอาน่าไม่ต้องบ่น ก็ถือว่าตัดสินใจร่วมกันก็ช่วยๆ กันสิ”
รุทร อนุวัตร และวาริน ช่วยตัดดอกไม้หมดแล้วเข็นกระบะจะไปใส่ท้ายรถกระบะ แรมเดินมาหาแล้วยื่นนามบัตรให้รุทร
“นี่นามบัตรของหนูคนนั้น ไปถึงแล้วก็โทรหาเขาก็แล้วกัน รีบไปส่งกันนะ” แรมปิดปากหาว “แม่จะไปนอนต่อละ”
อนุวัตร กับ วารินจะเดินตามแรมไปแต่รุทรดึงแขนไว้ทั้งคู่
“จะไปไหนกันจ๊ะเพื่อนรักและน้องรัก”
“ก็ไปนอนน่ะสิ ง่วงจะตายอยู่แล้ว หนาวด้วย” วารินว่า
“ไม่ดีมั้ง ไหนๆ ก็ช่วยกันตัดแล้วก็ต้องไปช่วยกันส่งด้วยสิ”
“นี่แกจะให้ฉันกับรินไปเชียงใหม่ด้วยเหรอ”
“แน่นอน อยากสนับสนุนให้ขายดีนักนี่จะให้ฉันขับร้อยโค้งไปคนเดียวได้ไง ไม่ต้องเรื่องมากทั้งคู่ไปด้วยกันนี่แหละ”
อนุวัตรหน้าเสียอยากจะร้องไห้ วารินเข้ามาทำทีตบไหล่ปลอบ
“ถูกของพี่รุทรนะพี่วัตร เราร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาขนาดนี้แล้วจะทิ้งกันได้ไง”
“เฮ้ย ตกลงเราอยู่ข้างไหนวะริน เมื่อวานข้างแม่ เมื่อกี้ข้างพี่ ตอนนี้ข้างรุทร เดี๋ยวจะอยู่ข้างไหนอีก”
“อ๋อ...เดี๋ยวนะเหรอ รินก็จะอยู่ข้าง....ข้างในบ้านไง”
วารินฉวยจังหวะเผลอดึงมือออก แล้ววิ่งปรู๊ดเข้าบ้านไปเลย
อนุวัตรโวยวายตามหลัง “เฮ้ย ไอ้ริน เอาตัวรอดได้ไงวะ ไอ้รุทร ปล่อยฉัน ฉันจะไปตามไอ้รินเอง”

“ไม่ต้องมาฟอร์ม ปล่อยแกอีกคน ฉันได้ไปคนเดียวแน่ ไปเลย อย่าเยอะ”

ประตูห้องน้ำภายในห้องนอนรุทรถูกเปิดออก อนุวัตรนุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียวเพิ่งอาบน้ำเสร็จเดินออกมาหนาวสั่นเวอร์ ส่งเสียงร้องครางตลอด

รุทรนุ่งผ้าเช็ดตัวเช่นกัน ยืนโกนหนวดเคราอยู่หน้ากระจกหัวเราะขัน “แค่วิ่งผ่านน้ำมันไม่หนาวถึงขนาดนั้นหรอก อย่าให้มันเวอร์เลยไอ้วัตร”
อนุวัตรแต่งตัวไปบ่นไป “วิ่งผ่านน้ำ พูดงี้ได้ไงวะ”
“อ้าวก็เข้าห้องน้ำนับหนึ่งสองสามประตูก็เปิดแล้ว แกอาบน้ำแบบไหนล่ะ”
“เกิดเป็นคนมันต้องรู้จักประหยัดโว้ย ค่าน้ำค่าไฟถ้าไม่จำเป็นไม่ต้องใช้ก็ได้ อาบน้ำเสร็จปลุกด้วยนะ”
อนุวัตรแต่งตัวเสร็จก็พุ่งตัวลงไปนอนที่เตียง พร้อมกับห่มผ้าหลับทันที
“เฮ้ยๆๆ ไม่ได้นะ ปลุกแกแต่ละทีพังบ้านยังง่ายกว่า เฮ้ย...ลุกๆๆ” รุทรขว้างหมอน สิ่งของใกล้มือใส่ “โน่นไปนอนรอในรถโน่น”
อนุวัตรลุกงัวเงียบ่นบ้าออกไป “ไอ้บ้ารุทร มึงเอ้ยเกิดชาติหน้ามึงจะต้องชดใช้บาป หน็อย มีเพื่อนที่แสนดีอย่างนี้ยังชอบทรมานอีก” เจอข้าวของปาใส่อีกดอก “โอ้ย...ไปก็ไปโว้ย”
อนุวัตรเผ่นแน่บออกจากห้องพร้อมบ่นไปตลอด รุทรส่ายหน้ามองตามแล้วเดินเข้าห้องน้ำไป

รถของรุทรจอดที่ลานจอดรถหอคำ ทั้งคู่ลงมาจากรถ อนุวัตรยกมือปิดปากหาวหวอดๆ
อนุวัตรบ่นไม่เลิก “เฮ้อ...ตกลงฉันขึ้นมาเหนือเพื่อทำงานโครงการหรือมาเป็นลูกจ้างสวนผักแกวะเนี่ย ใช้งานหนักกว่างานในหน้าที่อีก”
อนุวัตรกำลังบ่นๆ อยู่ รุทรรำคาญเอานามบัตรเมทินีปิดปากทันที
“บ่นจัง เอาไป”
“ให้ฉันทำไมวะ”
“โทร.หาเขา แล้วก็เอาดอกไม้ไปส่ง”
“แล้วแกล่ะ”
“ฉันจะไปเดินเล่น” รุทรหยิบกล้องมาเตรียม “ไม่ต้องห่วงฉันหรอก”
“เออ..ดูแลตัวเองด้วยแล้วกัน” อนุวัตรนึกได้ “เฮ้ย...ได้ไงวะไอ้รุทร แกน่ะต้องห่วงฉันสิ จะให้ฉันขนคนเดียวได้ไง”
“ไม่ใช่ฉันไม่อยากช่วย แต่ฉันก็ไม่อยากส่งดอกไม้พวกนี้ให้คนอื่น ฉันให้แกทำต่อดีกว่า ฝากด้วยนะ”
รุทรพูดจบแล้วเดินไปเลย อนุวัตรบ่นตามหลัง “ไอ้นี่ พิลึกคนเว้ย”
อนุวัตรมองตามเพื่อน ส่ายหน้าแล้วก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทร.ตามเบอร์ในนามบัตรเมทินี

บรรยากาศการจัดงานพืชสวนโลกคึกคักแต่เช้า
ที่ซุ้มดอกไม้ที่เมทินีจัด มีเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น ขณะทิปปี้กำลังยืนสีหน้ากังวลอยู่หน้าซุ้ม เพราะไม่ได้ดอกเสี้ยน กลัวลูกค้ามาแล้วไม่รู้จะพูดว่าอะไร
ทิปปี้มองหาที่มาของเสียงโทรศัพท์จนเจอว่าเป็นของเมทินีที่วางทิ้งเอาไว้
“โทรศัพท์มีไว้ให้ถือก็ดันไม่ถือ ยายเมนี่ ถ้าคุณสุนิสาโทร.เข้ามาแล้วฉันจะบอกยังไงล่ะเนี่ย” บ่นเสร็จทิปปี้ก็ฉีกยิ้มกดรับสาย “สวัสดีค่ะ ไม่ใช่ค่ะ ฉันเป็นเพื่อนคุณเมทินีค่ะชื่อทิปปี้ค่ะ ทิปปี้ค่ะไม่ใช่ยาลดไข้ อ๋อ...ใช่ค่ะ ที่เมื่อวานฉันกับเพื่อนไปขอซื้อดอกเสี้ยนที่แม่ฮ่องสอน อะไรนะคะ คุณเอาดอกเสี้ยนมาส่งให้เหรอคะ ตอนนี้อยู่ที่หอคำแล้วเหรอคะ” ทิปปี้หันมายิ้มกับลูกมือของเมทินีเป็นเชิงบอกว่ารอดตายแล้ว “เดี๋ยวฉันบอกทางให้นะคะ”

ถัดจากนั้น ทั้งทิปปี้และอนุวัตรกำลังเดินหากันไปโทรศัพท์ไปด้วย
“คุณอยู่ไหนแล้วเนี่ย” ทิปปี้ถาม
“ผมก็อยู่ตรงที่คุณบอกนั่นแหละ คุณน่ะอยู่ตรงไหน”
“ก็ตรงนี้แหละ เอางี้คุณดูผู้หญิงที่กำลังคุยโทรศัพท์”
อนุวัตรมองไป เห็นมีแต่ผู้หญิงเดินคุยโทรศัพท์เต็มไปหมด
“โห..คุณ ผู้หญิงที่ผมเห็นคุยโทรศัพท์กันทุกคนเลย คุณบอกจุดเด่นของคุณมาหน่อยสิ”
“ฉันก็เด่นทั้งตัวแหละย่ะ ที่แค่นี้ทำไมหายากหาเย็นนักนะ”

ทิปปี้บ่นบ้าไปมา เป็นจังหวะที่ทั้งคู่เดินหากันและกันจนหันมาเจอกันพอดี
“คุณ” / “คุณ” ต่างคนต่างชี้หน้ากัน
“โธ่เอ๊ย แค่บอกว่าผู้หญิงตัวดำคุยโทรศัพท์ผมก็หาเจอนานแล้วเนี่ย ไปๆ ช่วยผมขนดอกเสี้ยนเลย”
อนุวัตรว่าขำๆ แต่ทิปปี้ไม่ขำด้วย ทำปากด่าขมุบขมิบ แต่ก็เดินตามไปแต่โดยดี เพราะจะเอาดอกเสี้ยนของเขา

รุทรเดินถ่ายรูปดอกไม้ตามซุ้มไปเรื่อยๆ อย่างเพลิดเพลิน จังหวะหนึ่งรุทรมองผ่านเลนส์เห็นเมทินีกำลังยืนคุยกับคนจัดซุ้มดอกไม้อยู่ ท่าทางทะมัดทะแมงแต่ก็แฝงความอ่อนหวานน่ารักและดูมั่นใจ รุทรลดกล้องลงมองให้ชัดๆ แล้วก็ตัดสินใจถ่ายรูปของเมทินีเอาไว้
เมทินีเดินดูดอกไม้อยู่หลายซุ้ม โดยมีรุทรคอยตามแอบถ่ายรูปทุกระยะ จนมีจังหวะหนึ่งที่เมทินีหันมาทางรุทร ชายหนุ่มเลยรีบเสหันถ่ายอย่างอื่นจนชนของแถวนั้นล้ม เมทินีมองงงๆ เพราะเข้าใจว่าเป็น วาทิต
“ขอโทษครับ”
รุทรบอกแล้วก็รีบเก็บของตั้งคืนให้เขา

พอหันมาอีกทีก็ไม่เห็นเมทินีแล้ว

อ่านต่อหน้า 3

เงาใจ ตอนที่ 1 (ต่อ)

เมทินีเดินกลับเข้ามาที่ซุ้มด้วยสีหน้าเศร้าๆ

“ไม่มีใครเอาดอกเสี้ยนมาจัดซุ้มเลยแก สงสัยต้องยอมโดนคุณประภพเฉ่งอีกรอบแล้วละ”
“อย่าเพิ่งสิ้นหวังสิแก ปาฏิหาริย์เกิดขึ้นได้เสมอ งงล่ะสิ มาดูนี่ก่อน แอ่นแอนแอ๊น...”
ทิปปี้ผายมือให้ดูดอกเสี้ยนที่วางกองกันอยู่หน้าซุ้ม
เมทินีตาโต “แก เอามาจากไหนน่ะ”
“ก็ลูกชายป้านั่นแหละเอามาให้”
“นายรุทรอะไรนั่นน่ะเหรอ”
เมทินีก็ยังตะขิดตะขวงใจ และขุ่นเคืองรุทรอยู่
ทิปปี้หงุดหงิด “ใช่ที่ไหนล่ะ อีตานี่บอกว่าชื่ออนุวัตร กวนโมโหเป็นบ้า ป้าแกกับน้องรินก็ออกจะดูดีนะ แต่ทำไม๊ทำไมมีลูกชายแต่ละคนบ๊องๆ ทั้งนั้น”
“จะใครเอามาส่งก็ช่างเถอะ มีดอกเสี้ยนมาเสริมซุ้มก็พอแล้ว แบบนี้ลูกค้าจะได้แฮปปี้ เราก็แฮปปี้ไปด้วย”
เมทินีรีบลงมือจัดดอกเสี้ยนเข้าซุ้มทันที

ด้านรุทรเดินกลับมาที่รถเจออนุวัตรรออยู่แล้ว
“เรียบร้อยแล้วใช่ไหม งั้นก็กลับ”
รุทรจะเปิดประตูรถ แต่อนุวัตรเดินมายื่นซองให้ตรงหน้า
“ค่าดอกไม้ ฉันไม่รู้ว่าแกจะเรียกเท่าไหร่เลยบอกให้เขาใส่ตามจิตศรัทธา”
รุทรมองซองนิ่งๆ “ไม่เอาหรอก ฉันให้แกแบ่งกับวารินสองคนแล้วกัน”
อนุวัตรยิ้มทะเล้น “ฮันแน่...ป๋าซะด้วย”
“ไม่เอาใช่ไหมจะได้เอาคืน”
อนุวัตรรีบเก็บซองแล้วใส่ในอกเสื้อทันที เหมือนผู้หญิงยัดแบงก์เก็บในเสื้อชั้นใน รุทรเห็นแล้วขำส่ายหน้า

ในระหว่างนั้นหนานก็ขับรถเข้ามาจอดไม่ห่างกันนัก จังหวะที่วาทิตก้าวลงจากรถ เป็นจังหวะที่รุทรกำลังจะก้าวขึ้นรถพอดี

หากมีใครมาเห็นทั้งคู่ จะพบว่า สองหนุ่ม วาทิต และ รุทร หน้าตาเหมือนกันราวฝาแฝด

แต่ก็ไม่มีใครเห็นรวมทั้งพวกเขาสองคนด้วย

รถของรุทรแล่นออกไป ประตูรถตู้วาทิตเปิดออก อังกูร กินรี ทยอยก้าวลงจากรถตามกันมา
“หนานรอที่รถนะ หรือจะไปเดินดูอะไรก็ได้ แต่อย่าไปไกลนัก เพราะคงจะอยู่กันไม่เกินครึ่งชั่วโมง” อังกูรบอก
“อะไรกันครับคุณอังกูร มางานพืชสวนโลกทั้งทีเดินอะไรกันแค่ครึ่งชั่วโมง งานนี้เขาเดินกันเป็นวันๆ นะครับ ยิ่งเรามาก่อนวันเปิดคนน้อยๆ ผมขอเดินดูนานๆ นะครับ” หนานท้วงด้วยความซื่อ
อังกูรเสียงดุ “ไม่ได้หรอก ก็รู้ๆ อยู่ว่าคุณวาทิตแพ้เกสรดอกไม้เกิดไม่สบายขึ้นมาจะได้พากลับทัน”
หนานจ๋อย ส่วนวาทิตฟังแล้วขัดหูมาก
“ผมคงไม่เป็นอะไรมากหรอก นรีก็อยู่นี่ทั้งคน หนานจะไปไหนก็ไปเถอะ” วาทิตว่า
“ใช่ค่ะ คุณกูรอย่าห่วงเลยนะคะ ให้คุณวาทิตแกอยู่นานเท่าที่อยากอยู่เถอะค่ะ จะได้คุยกับเมให้คุณวาทิตหายคิดถึง ดีไหมคะคุณวาทิต”
วาทิตยิ้มตอบ “ใช่” แล้วบอกกับอังกูร “รีบเข้าไปเถอะครับพี่กูร ผมอยากเจอเมจะแย่แล้ว”
วาทิตรีบเดินเข้าไปอย่างอารมณ์ดี อังกูรตามไปด้วยสีหน้าหงุดหงิด กินรีมองตามแล้วยิ้มพอใจ ก่อนจะตามเข้าไป

ซุ้มดอกไม้ที่เมทินีจัด ออกมาสวยงาม หัวหน้ากับลูกน้องยืนดูด้วยความพอใจ
“มันต้องแบบนี้สิ ถึงจะตามที่คุยกันเอาไว้ แบบนี้ปีหน้าเราคงต้องจ้างคุณอีก”
เมทินีกับทิปปี้ยิ้มดีใจ หัวหน้ากับลูกน้อง พากันเดินตามกันออกไป
“ได้ยินแล้วใช่ไหมทิปปี้ ปีหน้าแกเตรียมลางานมาช่วยฉันอีกนะ”
“งั้นแกก็ขอลาล่วงหน้ากับเจ้านายฉันเลยแล้วกัน มาโน่นแล้ว”
เมทินีหันไปตามที่เมทินีบอก ก็ต้องแปลกใจที่เห็นวาทิตเดินยิ้มนำลิ่วมา มีอังกูร กินรี และหนานเดินตาม
“นี่วาทิตเขามานี่ได้เหรอเนี่ย ไม่กลัวไม่สบายเหรอ” เมทินีฉงน
“สงสัยกลัวไม่ได้เจอแกมากกว่านะ” ทิปปี้หัวเราะหยอกล้อ

เมทินีหยิกอย่างหมั่นไส้ความปากมากของเพื่อน

วาทิต อังกูรและกินรีรวมทั้งหนานพากันเดินเข้ามา วาทิตรีบตรงไปหาเมทินี

“เม เป็นไงบ้าง ผมกลัวว่าวันเปิดงานคนจะแน่น เลยมาให้กำลังใจเมวันนี้”
“ขอบใจนะ”
ทิปปี้เย้า “ให้กำลังใจเมคนเดียวเหรอ ฉันก็มาช่วยเมนะวาทิต”
“โอเค ให้เธอด้วยทิปปี้”
เพื่อนทั้งสามหัวเราะกันสนุกสนาน อังกูรเดินเข้ามาหาเมทินีอีกข้าง
“ตกลงเมได้ดอกเสี้ยนเหรอ ไหนเมื่อวานโทร.คุยกันบอกพี่ว่าไม่ได้”
“พอดีเจ้าของเขาเปลี่ยนใจ ขนดอกไม้มาให้เมื่อเช้าแบบเฉียดฉิวเลยค่ะพี่กูร” เมทินีว่า
“สงสัยเพราะความเก่งของเม เจ้าของเลยยอมเปลี่ยนใจ”
วาทิตเริ่มจ๋อยที่เห็นอังกูรกับเมทินีคุยกันอย่างสนินทสนม กินรีดูอยู่ไม่พอใจแอบสะกิดวาทิตเป็นเชิงบอกให้สู้สิ
“เม พาผมเดินดูดอกไม้ได้ไหม”
“ได้สิ แต่ฉันให้เธอเดินห่างๆ แล้วกัน เพราะเดี๋ยวเธอจะแพ้”
“แหม...เม เธอนี่ดีจังนะ ห่วงคุณวาทิตด้วย” กินรีเหน็บเมทินี แล้วหันมาทางวาทิต “คุณวาทิตจะไปสองคนก็ได้นะคะ นรีกับคุณกูรรอที่นี่แล้วกัน”
อังกูรหันมองกินรีตาขวาง ด้วยความไม่พอใจที่สาระแนจัดการเสร็จสรรพ แต่ยังไม่ทันที่เมทินีจะพาวาทิตไป วาทิตก็จามอีกและเริ่มหายใจลำบาก
ทิปปี้ตกใจ “อุ๊ย...วาทิต หายใจไม่ออกเหรอ”
กินรีรีบเข้าแล้วส่งยาพ่นให้แต่วาทิตไม่รับเพราะกลัวเสียหน้า
“ผมไม่ได้เป็นอะไร แค่คันจมูกนิดหน่อย ใครๆ เขาก็เป็นกัน”
วาทิตยังดื้อแพ่งแต่อาการก็แย่ลงเรื่อยๆ จนเริ่มหายใจไม่ออก สุดท้ายต้องรับยาพ่นจากกินรี
“ฉันว่าเธอกลับเถอะวาทิต ท่าทางจะไม่ค่อยดีแล้ว”
“ผมอยาก...มา...คุยกับเม”
วาทิตพูดติดๆ ขัด เมทินีไม่ได้สนใจฟัง รีบประคองวาทิต
“พี่กูรรีบพาวาทิตออกไปเถอะค่ะ”
“หนานรีบไปสตาร์ตรถรอเร็ว” อังกูรหันมาบอกกับเมทินี “เมไม่ต้องไปหรอก เดี๋ยวพี่ไปส่งวาทิตที่รถแล้วจะกลับมานะ”
อังกูรรีบเข้าไปประคองวาทิต ซึ่งวาทิตทำท่าจะปัดมือออกแต่ตัวเองก็ไม่มีแรงเลยต้องยอมให้อังกูรประคอง
กินรีมองวาทิตคว้าน้ำเหลวตั้งแต่ออกสตาร์ต ก็ได้แต่กลอกตาเซ็งๆ แล้วรีบเข้าไปช่วยประคองวาทิตกับอังกูรและหนาน

วาทิตถูกประคองมาที่รถ พาขึ้นนั่ง โดยกินรีไปนั่งด้านหลัง
วาทิตพูดไปหอบไป “ผมบอกว่าไม่เป็นไรก็ไม่เป็นไรสิพี่กูร” เขาหันมาทางกินรี “นรีช่วยบอกพี่กูรหน่อยสิ”
“ถ้าคุณวาทิตมีอาการแพ้แบบนี้นรีเองก็คงปล่อยให้คุณอยู่ไม่ได้ค่ะ”
วาทิตเริ่มหายใจไม่ออกมากขึ้น หนานรีบเข้าประคองขึ้นรถไปนั่ง กินรีคอยดูแลส่งยาพ่นให้
“กลับบ้านไปพักเถอะวาทิต อย่าฝืนเลย เอาสุขภาพร่างกายของนายก่อนดีกว่า เรื่องอื่นค่อยว่ากัน” อังกูรยิ้ม หันมาทางหนาน “พี่เป็นห่วงนายจริงๆ นะ หนานฝากด้วยนะ ถ้าเห็นท่าไม่ดีตรงไปโรงพยาบาลเลยนะ แล้วโทร.บอกฉันด้วย”
“ได้ครับคุณอังกูร ไม่ต้องห่วงเดี๋ยวผมดูแลให้เอง”
อังกูรจะปิดประตูรถ แต่วาทิตจับประตูไว้ “แล้วพี่กูรไม่กลับด้วยกันเหรอครับ”
“ไม่ได้หรอก พี่ต้องอยู่ช่วยเม เย็นนี้นัดกันแล้วว่าจะทานข้าวบ้านเม”
อังกูรปิดประตูรถลง หนานค่อยๆ ออกรถไป มีอังกูรยืนส่งด้วยรอยยิ้มสาสมใจ

เมื่อกลับถึงบ้าน หนานกับกินรีช่วยกันประคองวาทิตมาที่ห้องนอน ซึ่งเป็นเตียงเดี่ยวนอนคนเดียว กินรีจับให้วาทิตนั่งพิงพนักเตียง วาทิตอาการดีขึ้นส่งยาพ่นคืนให้กินรี
“คุณวาทิตดีขึ้นแล้วใช่ไหมครับ เฮ้อ...ค่อยโล่งใจหน่อย”
วาทิตส่งยาคืนกินรี “ฉันไม่เป็นไรแล้ว ขอบใจมากนะหนาน”
“มีอะไรก็โทร.เรียกผมนะครับ ผมจะอยู่แถวๆ นี้”
“ไม่ต้องหรอก หนานมีอะไรก็ไปทำเถอะ” หนานรับคำแล้วเดินออกไป “แค่เริ่มต้นฉันก็ล้มซะแล้ว”
“ยังหรอกค่ะ คุณวาทิตบอกเองว่าแค่เริ่มต้น ถ้าคิดจะยอมแพ้น่ะเขายอมกันตอนจบเกมนะคะไม่ใช่ตอนเริ่มต้น เว้นแต่ใจคุณจะไม่สู้”
“ไม่...ฉันจะสู้ ฉันจะไม่ยอมแพ้”

วาทิตพูดด้วยสีหน้ามุ่งมั่นไม่ยอมแพ้ กินรียิ้มให้กำลังใจ

ในบรรยากาศสวยงามของทุ่งดอกเสี้ยนยามเย็น ที่มุมหนึ่ง รุทรนั่งดูรูปเมทินีในกล้อง สักพักก็ได้ยินเสียงคนเดินมา รุทรรีบเก็บกล้อง อนุวัตรเดินเข้ามานั่งด้วย
“เฮ้ย...ไอ้รุทร ตั้งแต่กลับมาทำไมนั่งนี่คนเดียววะ”
“ก็ไม่มีอะไร นั่งดูรูปที่ถ่ายเมื่อกี้เพลินๆ”
อนุวัตรมองด้วยสายตาคาดคั้น “จริงเหรอวะ เมื่อกี้ขับรถมาแกก็เงียบตลอดทาง”
“รู้ได้ไง แกต่างห่างที่หลับตลอดทาง”
“อ้าวเหรอ...เออว่ะ แต่ฉันก็ว่าแกดูแปลกๆ อยู่ดี ยอมรับมาดีกว่า แกเสียดายดอกเสี้ยนเหรอ ตัดใจเถอะวะ ไอ้ที่ผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไป”
รุทรพยักหน้ารับอือๆ ออๆ ไป อนุวัตรรู้ทันทีว่าเพื่อนคิดเรื่องอื่น
“นี่แกไม่ได้คิดเรื่องดอกเสี้ยนนี่ แกคิดเรื่องอะไร” รุทรเพียงยิ้มไม่ยอมตอบ “เฮ้ย...หรือว่าเมื่อกี้แกไปเจอสาวสวยคนใหม่แล้วใช่ไหม แกถ่ายรูปมาด้วยหรือเปล่าขอดูหน่อยดิ”
รุทรกลบเกลื่อน “เฮ้ย ไม่มี แกก็รู้ว่าฉันน่ะเข็ดแล้วไอ้เรื่องความรัก”
“เข็ดทำไมวะ ผู้หญิงทุกคนไม่ได้เหมือนแพรสักหน่อย”
“แล้วอะไรจะเป็นตัวบอกล่ะว่าถ้าฉันเจอคนใหม่ เขาจะต่างจากแพร”
อนุวัตรหมั่นไส้ “ไอ้รุทรเอ๊ย...นี่แกจะเป็นเจ้าบ่าวที่กลัวฝนไปทั้งชีวิตเหรอวะ”
“โห...ทำเป็นพูดดี แล้วแกล่ะที่หอบผ้าหอบผ่อนหนีตามมาอยู่กับฉัน ไม่ใช่เพราะน้องยุ้ยเขาทิ้งแกเหรอ”
“อ่ะ...ของฉันไม่เหมือนกัน เพราะฉันได้งานที่โครงการหลวง น้องยุ้ยเขาก็เลยทิ้ง”
“แล้วมันต่างกับฉันตรงไหนวะ ฟังแล้วงง”
“ต่างที่ฉันไม่ปิดกั้นที่จะเจอคนใหม่น่ะสิ”
“ไม่เอาแล้วเว้ย ขี้เกียจคุยกับแกแล้ว”
รุทรลุกขึ้นเดินหนีไปดื้อๆ อนุวัตรเกาหัวเซ็งๆ
“ไอ้นี่มันอะไรวะ วันนี้เดินหนีจังเลย” พอลุกขึ้นแล้วนึกได้ “แล้วเราเป็นอะไรวะ เมียมันก็ไม่ใช่ ทำไมวันนี้เดินตามมันจัง” พลางอนุวัตรเปลี่ยนเสียงเป็นผู้หญิง “ผัวขารอด้วย...”
อนุวัตรวิ่งตูดบิดตามรุทรไป

ริมสวนดอกไม้แสนสวย มณีสวมบทแม่บ้านจัดโต๊ะอาหารที่ระเบียงบ้านมุมสวยงามมุมนั้น มี เมทินี อังกูร ทิปปี้ และไมตรีร่วมโต๊ะ ระหว่างนี้เมทินีหยิบซองใส่เงินยื่นให้มารดา
“นี่จ้ะแม่ เงินค่าทำงาน เมให้แม่หมดเลย”
“ดีแล้วลูก เงินทองหายากได้มาต้องใช้ให้มันเป็น หนี้สินเราก็ยังมีอีกเยอะ งานคราวนี้ประสบความสำเร็จก็ดีแล้วคราวหน้าเราจะได้ขึ้นค่าตัวได้ ทำงานอย่าย่ำอยู่กับที่ มันต้องพัฒนาทั้งฝีมือแล้วก็ค่าแรงรู้มั้ย”
“เม แม่แกนี่นักธุรกิจหญิงชัดๆ ฉันละนับถือจริงๆ”
ทิปปี้กระซิบแซวกับเมทินี มณีได้ยินแว่วๆ ก็หันมามองแววตาดุเล็กๆ ทิปปี้ยิ้มแหยๆ แล้วหันไปคุยกับอังกูร
ที่นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่มองเมทินีตาหวานเชื่อม ไมตรีที่สังเกตเห็นก็ส่งสัญญาณให้ทิปปี้
“งานนี้ดูเหมือนจะมีคนอิ่มอกอิ่มใจไม่น้อยกว่าเจ้าของงานนะพี่ทิปปี้”
“อุ๊ย...ใครเหรอไมตรี”
“ผมเห็นแว่บๆน่ะครับ ลองถามพี่กูรดูดีกว่า”
ไมตรีโยนลูกไปให้ อังกูรเขินหน้าแดง แต่ก็ดีใจที่น้องและเพื่อนของเมทินีมองเห็น
“ไมตรีนี่ เป็นเด็กเป็นเล็กไปแซวพี่เขา ทะเล้นใหญ่แล้วเรา”
“ไม่เป็นไรหรอกคุณป้า ผมไม่ถือ ดีซะอีกถ้าทุกคนในครอบครัวนี้จะเห็นผมเป็นสมาชิกอีกคน”
อังกูรพูดจบก็มองไปยังเมทินีแล้วยิ้มด้วยแววตามีความหมาย
ทิปปี้ร้อง “ว้าว” พลางกระแซะเมทินี “นี่พี่กูรมาแบบไม่ติดเบรกเลยนะแก”
ทิปปี้ มณี ไมตรีหัวเราะแซวเมทินีแต่เมทินีได้แค่ยิ้มรับเจื่อนๆ
“ไม่ต้องเบรกแหละดีแล้วพี่กูร...ผมไฟเขียว”
“จะมาไฟเขียวไฟแดงอะไรกัน เราเป็นไฟจราจรเหรอยะ”
เมทินีดุน้องแก้เก้อ

มุมหนึ่งในบ้านของมณี อังกูรกับมณีนั่งคุยกันอยู่
“ป้าน่ะไม่ขัดข้องนะ เห็นๆ อยู่ว่าอังกูรก็เป็นคนดี เอาการเอางาน ว่าแต่ได้คุยเรื่องนี้กับเมเขาบ้างหรือยัง”
“ก็เคยเกริ่นๆครับ แต่เมเขาบอกว่ายังไม่พร้อมจะคิดเรื่องพวกนี้”
“เรื่องทางนี้ถ้าถึงเวลาแล้วป้าจัดการให้เอง อังกูรก็ไปจัดการด้านตัวเอง พร้อมเมื่อไหร่ก็บอก หรือจะให้พ่อเลี้ยงวิทย์เป็นคนมาพูดกันเลยก็ตามใจ”
มณีเองก็เปิดทางให้ เพราะเห็นว่าอังกูรเป็นคนดีคนหนึ่ง
“ขอบคุณมากครับคุณป้า”
ขณะที่อังกูรยิ้มดีใจอยู่นั้น เมทินีเดินเข้าพอดี “พี่กูรแอบหลบมาคุยอะไรกับแม่เนี่ย”
“เรื่องของผู้ใหญ่น่า เดี๋ยวถึงเวลาก็รู้เองแหละ ตั้งโต๊ะแล้วใช่ไหม ไปๆ อังกูรไปทานข้าวกัน”
มณีตัดบทดุๆ เมทินีมองหน้ามณีทีอังกูรทีชักสงสัยขึ้นมาจริงๆว่าคุยอะไรกัน

ขณะเดียวกัน ที่หน้าบ้านพักของอังกูร ผู้จัดการไร่
ชาติถูกวาทิตมองด้วยสายตาไม่พอใจ
“อะไรกัน พี่กูรจะกลับกี่โมงไม่ได้บอกไว้เหรอ”
ชาติมองตอบวาทิตด้วยท่าทีไม่ค่อยจะเกรงกลัวนัก
“เปล่านี่ครับ คุณไม่ลองโทร.เข้ามือถือคุณกูรละครับ”
“ฉันโทรแล้วแต่ปิดเครื่อง”
“งั้นผมก็ช่วยไม่ได้ อ้อ...แต่ผมพอจะทราบว่าคุณกูรจะกินข้าวบ้านคุณเม”
“เรื่องนั้นฉันก็รู้”
“คุณวาทิตรู้เหรอครับว่าเขาจะคุยเรื่องอะไรกัน” ชาติย้อนเอา
วาทิตชะงัก สีหน้าฉงน “เขาจะคุยอะไร”
“ไม่ทราบครับ ทราบแต่ว่าเป็นเรื่องสำคัญ”
“เรื่องสำคัญ”
วาทิตเริ่มใจไม่ดี รีบเปิดโทรศัพท์พยามกดโทร.ออก ในระหว่างนั้น รถอังกูรก็แล่นมาจอดหน้าบ้าน
“คงไม่ต้องโทรแล้วครับ มาโน่นแล้ว”
อังกูรขับรถมาจอดที่หน้าบ้าน ลงจากรถผิวปากอารมณ์ดี พอเดินมาถึงหน้าบ้านก็เจอกับวาทิตที่รออยู่
“อ้าว...วาทิต อาการดีขึ้นแล้วเหรอ”
“ผมมีเรื่องจะคุยกับพี่”
“เรื่องอะไร” อังกูรงง
“แต่พี่กูรบอกมาก่อนว่าเรื่องสำคัญที่พี่ไปคุยกับเมคืออะไร”
วาทิตเริ่มตื่นเต้นอยากรู้ อังกูรรู้ทันทีว่าชาติจงใจแกล้งวาทิต เลยรับลูกแกล้งดุลูกน้องคู่ใจ
“ชาติ ปากสว่างนะแก ใช้ไม่ได้”
“ขอโทษครับคุณกรู ผมอดดีใจไม่ได้จริงๆ”
วาทิตยิ่งอยากรู้ “พี่กูร ตกลงมันเรื่องอะไรกัน”

“ใจเย็นๆ ก่อนดีกว่านะ มีอะไรไปคุยกันในบ้าน”

ขณะเดียวกัน พวกคนงานนั่งกินข้าวเย็นกันที่โรงอาหารของไร่ จั่นเป็งตักข้าวจานให้คนงานคนสุดท้ายเสร็จ ก็ตักให้ตัวเอง แล้วยกเดินมานั่งกินกับหนาน

แต่ยังไม่ทันจะตักเข้าปากคำแรก ชาติก็เดินหงุดหงิดเข้ามาหาจั่นเป็งที่โต๊ะ เบ่งใส่ตามประสา
“ไปตักข้าวให้ฉันหน่อยสิ”
จั่นเป็งบ่น “แปลกแฮะ จะมากินให้มันตรงเวลาก็ไม่ได้”
ชาติโวย “เฮ้ย...จั่นเป็ง ตกลงใครเป็นหัวหน้าคนงาน รู้ไหมว่าฉันมาช้าก็เพราะคุยกับคุณวาทิต อย่าเรื่องมากได้ไหม ไปตักแล้วก็ยกไปให้ฉันด้วย”
พูดจบชาติก็เดินไปนั่งที่โต๊ะคนเดียว จั่นเป็งหน้างอ
“หืม...ที่กร่างได้ทุกวันนี้ก็เพราะเป็นคนสนิทคุณอังกูรหรอก”
“เอาน่าจั่นเป็ง ยังไงพี่ชาติเขาก็เป็นหัวหน้าคนงาน อย่าไปมีเรื่องดีกว่า”
“พี่เป็นห่วงฉันเหรอ”
หนานยิ้มกรุ่มกริ่ม “ก็นิดนึง”
หนานกับจั่นเป็งเขินอายใส่กัน ชาติที่คอยอยู่นานจึงทุบโต๊ะเสียงดัง สองคนสะดุ้งรีบเดินไปตักข้าวใส่จานไปให้ จั่นเป็งกลับมานั่งกับหนานแล้วจะตักข้าวอีก เอื้องคำก็เดินจ้ำมาหา แล้วจับมือจั่นเป็งที่กำลังจะได้ข้าวเข้าปากให้หยุดไว้
“จั่นเป็งทำข้าวต้มเครื่องร้อนๆให้สักถ้วยสิ เมื่อตอนมื้อเย็นคุณวาทิตไม่ยอมทานอะไรเลยเดี๋ยวต้องหิวแน่ๆ”
จั่นเป็งโวย “โอ๊ย...ตกลงอิชั้นจะได้กินข้าวไหมเนี่ย”
“เดี๋ยวค่อยกินก็ได้ ไปทำข้าวต้มก่อน”
ชาติพูดเสียงดังข้ามโต๊ะมา
“ทำไปตอนนี้ก็เย็นเปล่าป้า คุณวาทิตคุยกับคุณอังกูรอยู่ที่บ้านพักผู้จัดการแน่ะ ท่าทางจะยาว”
เอื้องคำ หนาน กับจั่นเป็ง มองหน้ากันงงๆ ว่าวาทิตไปที่บ้านอังกูรทำไม
“คุณวาทิตน่ะเหรอ ไปบ้านผู้จัดการ ร้อยวันพันปีไม่เห็นจะไป” เอื้องคำฉงน
“แรงหึงพาไปไง ไม่เชื่อป้าก็ไปดูสิ” ชาติเปรย

วาทิตนั่งอยู่ที่โซฟามองไปตามผนังห้องรับแขกบ้านพักอังกูร บนตู้โชว์ในห้องนั้น มีรูปที่อังกูรถ่ายกับเมทินี ในวันที่เมทินีเรียนจบมหาวิทยาลัย รูปไม่เยอะมาก แต่ละรูปดูห่างเหิน กันไม่ได้สนิทสนมอย่างคนเป็นแฟนกัน หรือเป็นทางการนัก มีรูปในวันเปิดร้านดอกไม้ของเมทินี และใบหนึ่งเป็นรูปที่ถ่ายร่วมกันสามคน เมทินี อังกูร และวาทิตด้วย
อังกูรปิดตู้เย็น เดินมาส่งเครื่องดื่มเย็นๆ ให้วาทิต แต่วาทิตใจร้อน
“ตกลงเรื่องของพี่กูรคืออะไร”
“มันไม่ได้สำคัญอะไรมากมายหรอก ไอ้ชาติมันก็พูดเว่อร์ เอาของนายก่อนดีกว่ามาหาพี่มีธุระอะไร”
วาทิตรวบรวมความกล้า “คือผมขอพูดตรงๆ เลยนะ พี่กูรก็รู้ว่าผมรักเมมาตั้งแต่สมัยเด็กๆ ที่เรียนโรงเรียนเดียวกัน แต่พี่กูรเพิ่งมาเจอเม...ผม...ผม..ผมอยากให้พี่กูรถอย”
อังกูรนั่งนิ่งเงียบไม่ตอบ
วาทิตคาดคั้น “ว่าไงล่ะพี่กูร”
“เรื่องแบบนี้ให้เมเขาเป็นคนตัดสินใจเองดีกว่ามั้ย”
“แต่ผมรักเม ผมขาดเขาไม่ได้”
“แล้วนายจะให้พี่ทำยังไง ถึงพี่จะเพิ่งเจอเมไม่นาน แต่พี่ก็รักเขาเหมือนกัน และวันนี้พี่ก็เพิ่งตัดสินใจพูดขอเมกับน้ามณีไปแล้ว”
วาทิตช็อก “อะไรนะครับ นี่ใช่ไหมคือเรื่องที่ชาติมันจะบอกผม”
“ใช่”
อังกูรเดินไปที่โต๊ะทำงาน แล้วหยิบตัวอย่างการ์ดแต่งงานที่อังกูรออกแบบเอาไว้มาให้วาทิตดู พอเห็นว่าเป็นชื่อ เมทินี-อังกูร วาทิตก็เริ่มหายใจไม่ออก เจ็บแน่นหน้าอกขึ้นมาเป็นริ้วๆ
“วาทิต นายโอเคไหม”
“ไม่...ไม่...ไม่จริง”
วาทิตช็อกหายใจไม่ทัน ตะกุยตะกายของบนโต๊ะหล่นระเนระนาด ก่อนที่ตัวเองจะล้มลงที่พื้นแล้วผลักเก้าอี้ให้ล้มตามไปด้วย
อังกูรยืนมองภาพนั้นด้วยความสะใจ เพราะทนมานานแล้ว

ชาติ เอื้องคำ จั่นเป็งซึ่งถือโถใส่ข้าวต้มมาด้วย เดินมาหยุดที่หน้าบ้าน
“คุณวาทิต คุณอังกูร อยู่หรือเปล่าคะ”
ขณะที่เอื้องคำร้องเรียก ยินเสียงเก้าอี้ล้มดังโครมใหญ่
“เสียงอะไรน่ะป้า” จั่นเป็งถามด้วยความตกใจ
ทั้งหมดมองหน้ากันแล้วก็รีบวิ่งเข้าไป

เมื่อ เอื้องคำ ชาติ จั่นเป็ง เข้ามาที่ห้องรับแขกก็เห็นวาทิตนอนแน่นิ่งอยู่ที่พื้น จั่นเป็งตกใจปล่อยโถข้าวต้มหลุดมือ
“ตายแล้ว คุณวาทิต”
อังกูรหันมาเห็นทั้งสามคนก็รีบเข้าไปทำเป็นช่วยวาทิต
“ไอ้ชาติโทร.เรียกรถพยาบาล”
อังกูรอุ้มวาทิตขึ้นมา ชาติรีบวิ่งนำออกไป เอื้องคำกับจั่นเป็งเดินตามอังกูรไปติดๆด้วยสีหน้าเป็นห่วง
ยินเสียงไซเรนรถพยาบาลดังตามมาในเวลาไม่นานจากนั้น

พ่อเลี้ยงเดินเวียนดูที่ประตูกระจกของห้องฉุกเฉิน โรงพยาบาลด้วยความเป็นห่วงลูกชาย โดยมีหนานยืนอยู่ใกล้ๆ อังกูรนั่งที่เก้าอี้ด้านหน้าสีหน้านิ่ง พ่อเลี้ยงวิทย์หันมาทางอังกูร
“วาทิตช็อกได้ยังไง”
“ผมก็ไม่ทราบครับ คุยกันอยู่ดีๆ เขาก็ล้มลง”
ระหว่างนี้ด้านในห้องฉุกเฉิน ทั้งหมอและพยาบาล กำลังทำการช่วยชีวิตวาทิตสุดกำลัง จนเวลาผ่านไปอีกสักระยะ หมอเจ้าของไข้ เปิดประตูห้องฉุกเฉินออกมา พ่อเลี้ยงวิทย์รีบถลันเข้าไปหาทันที
“วาทิตเป็นยังไงบ้างครับหมอ”
“คนไข้ปลอดภัยแล้วครับ” หมอบอกพร้อมรอยยิ้มบางๆ
พ่อเลี้ยงวิทย์ถอนหายใจสีหน้าคลายกังวลลง

ที่ห้องพักฟื้นตอนเย็นวันนั้น พ่อเลี้ยงนั่งอยู่ข้างเตียงคนไข้ อังกูรยืนอยู่ใกล้ๆ กัน วาทิตค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา
“ฟื้นแล้วเหรอลูก ปลอดภัยแล้วนะ”
พ่อเลี้ยงวิทย์บอกลูกชายด้วยความรัก วาทิตมองหน้าพ่อก่อนจะเลยไปมองอังกูรด้วยแววตาโกรธแค้น
“ตอนนี้รู้สึกยังไงบ้าง เหนื่อยไหม” พ่อเลี้ยงถาม
“ผมอยากคุยกับพ่อสองคน”
พูดจบวาทิตก็มองหน้าอังกูรเอาเรื่อง
พ่อเลี้ยงวิทย์หันไปสั่งหนาน “หนาน เดี๋ยวกลับไปกับคุณกูรนะ”
“ได้ครับพ่อเลี้ยง”
ทันทีที่อังกูรกับหนานเดินพ้นห้องไป พ่อเลี้ยงถามลูกชายขึ้นทันที
“มีเรื่องอะไร บอกพ่อมาสิ”

พ่อเลี้ยงวิทย์กลับถึงบ้านสักครู่แล้ว เวลานี้ยืนอยู่ตรงบาร์ข้างสระว่ายน้ำด้วยสีหน้าโกรธขึ้ง อังกูรเดินเข้ามาหา
“คุณลุงเรียกหาผมเหรอครับ”
พ่อเลี้ยงมองหน้าอังกูรนิ่งๆ ไม่พูดอะไร
“วาทิตอาการดีขึ้นแล้วใช่มั้ยครับ” อังกูรถามอีก
“แกยังเป็นห่วงน้องอีกเหรอ แกทำแบบนี้แกอยากจะฆ่าน้องใช่มั้ย”

ขาดคำ พ่อเลี้ยงวิทย์ตบหน้าอังกูรฉาดใหญ่

อ่านต่อหน้า 4

เงาใจ ตอนที่ 1 (ต่อ)

พ่อเลี้ยงวิทย์ จ้องหน้าอังกูรที่เวลานี้ยังคงก้มหน้าหลบตาด้วยความเจ็บใจ ที่โดนลุงตบหน้า และโทษว่าเขาผิด

“แกก็รู้ว่าวาทิตรักเมทินีมาตั้งแต่มัธยม ถ้าแกคิดจะแต่งงานกับหนูเมมันก็ไม่ต่างกับแกคิดจะฆ่าวาทิต”
“วาทิตเป็นโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด ยังไงก็ทำหน้าที่สามีไม่ได้ และที่สำคัญคุณลุงกับวาทิตก็รู้อยู่ว่าเมไม่เคยรักวาทิต แล้วทำไมผมจะไม่มีสิทธิ์ที่จะรักกับเมครับ”
อังกูรย้อนแย้ง พลางจ้องหน้าประสานตาสู้กับวิทย์ด้วยความรู้สึกที่จะไม่ยอมถอยกับเรื่องความรัก
“แล้วถ้าสิทธิ์ของแกมันทำให้โรคของน้องแกกำเริบจนเครียดแล้วช็อกตายล่ะ”
อังกูรนิ่งงันไป พ่อเลี้ยงลุ้นว่าอังกูรจะเปลี่ยนใจยอมยกเลิกการแต่งงาน
“ดีที่สุดที่ผมจะทำให้วาทิตได้คือ ผมจะย้ายออกไปหลังจากผมแต่งงานกับเม”
พ่อเลี้ยงวิทย์ตวาดลั่น “อังกูร”
“ผมขอโทษที่ทำในสิ่งที่คุณลุงกับวาทิตต้องการไม่ได้ครับ”
อังกูรเดินออกไป ท่าทีเหมือนไม่อยากจะสนใจความรู้สึกลุง พ่อเลี้ยงทรุดตัวลงนั่งด้วยความเครียด และกลุ้มใจเป็นที่สุด

เสียงมอเตอร์ไซค์ ดังขึ้น พร้อมๆ กับถุงมือหนังสีดำของผู้ขี่บิดแฮนด์เพื่อเร่งความเร็ว เป็นอังกูรในชุดหนังสีดำ ใส่หมวกกันน็อคขี่มอเตอร์ไซค์อยู่ เขาขับขี่รถอยู่บนถนนเปลี่ยวบนเขาด้วยความเร็วสูงในบรรยากาศใกล้มืด
รถมอเตอร์ไซค์ของอังกูรแล่นมาราวกับจะบิน แล้วมาบิดจอดฝุ่นตลบตรงหน้าผาชัน อังกูรถอดหมวกกันน็อกออก แล้วลงจากรถมายืนที่หน้าผา
“วาทิต ไอ้น้องนอกไส้ แกแย่งทุกอย่างของฉันไปหมดแล้ว แต่ฉันจะไม่ยอมให้แกแย่งเมของฉันเด็ดขาด”
อังกูรกำมือแน่นด้วยสีหน้าเจ็บใจสุดๆ

อีกด้าน บริเวณหน้าบ้านหลังใหญ่แต่ดูไม่มั่งคั่งนัก แลเห็นป้ายเด่นตระหง่านว่า “ไร่กิจจา”
ส่วนที่ระเบียงสวยนอกบ้าน เห็นกิจจายืนจ้องกินรี ผู้เป็นลูกสาวด้วยสายตาไม่พอใจ กินรีนั่งหน้างอเป็นจวัก
“เวลาสำคัญแบบนี้ลูกน่าจะอยู่ทำคะแนนข้างๆ วาทิตนะ”
“ขอนรีพักบ้างเถอะ พ่อให้นรีไปดูแลวาทิตทุกวันๆ ละ 24 ชั่วโมงมันน่าเบื่อ ทำงานโรงพยาบาลยังไม่หนักเท่านี้เลย”
“หนักกว่านี้ก็ต้องทำ นรีก็รู้ว่าพ่อไม่ได้ต้องการให้เป็นแค่พยาบาลส่วนตัวของมัน”
“แต่นรีไม่อยากแต่งงานกับวาทิตนี่”
“ลูกก็อย่าไปคิดว่าลูกแต่งงานกับมันสิ คิดซะว่าเราแต่งกับหุ้นในส่วนที่พ่อเคยขอไอ้วิทย์มันลงทุน แต่มันไม่ยอม หรือไม่ก็คิดว่าแต่งกับสมบัติมันทั้งหมดก็ได้ เพราะยังไงวาทิตมันก็เป็นลูกคนเดียว เกิดพลาดพลั้งหัวใจวายตายไปทุกอย่างของไอ้วิทย์ก็ต้องเป็นของเรา”
กิจจามองหน้าเป็นเชิงบังคับ กินรีถอนใจเซ็งๆ
“นรีต้องช่วยพ่อนะ เราต้องเอาสิ่งที่ควรจะเป็นของเรากลับคืนมา” กิจจาสำทับ

คืนนั้น กิจจาเปิดลิ้นชักโต๊ะทำงานหยิบหนังสือสัญญาซื้อหุ้นออกมาดู ที่กระดาษสัญญาเห็นว่าเก่าเก็บหลายสิบปี หัวกระดาษเขียนว่า “หนังสือสัญญาจะซื้อจะขาย” หรือ “สัญญาซื้อขายหุ้น” ทุกอย่างถูกพิมพ์แล้วโดยกิจจาเป็นผู้ขอซื้อ วิทย์เป็นผู้ขาย แต่ไม่ต้องเห็นชัดมาก
สีหน้ากิจจามองมันนิ่งนาน ด้วยความแค้นใจที่เก็บสะสมมานับสิบปี

เหตุการณ์ในอดีต เกิดขึ้นภาย ห้องทำงานวิทย์ ที่สำนักงานไร่ส้ม ธนาธร
เวลานั้นพ่อเลี้ยงวิทย์ นั่งอ่านหนังสือสัญญา โดยมีกิจจานั่งยิ้มมีความสุขอยู่ตรงข้าม พออ่านเสร็จก็วางหนังสือลงสีหน้าเครียด
“แกน่าจะปรึกษาฉันก่อน ไม่ใช่พิมพ์มาเสร็จเลย”
“ฉันเคยบอกแกแล้วไงว่าฉันอยากจะหุ้นกับแก แกเองก็ยินดีไม่ใช่เหรอ”
“นั่นมันตอนที่ฉันได้มรดกที่ดินแถวนี้ใหม่ๆ มันยังรกร้างไม่มีอะไร ทุนฉันก็ไม่มีมากฉันถึงอยากให้แกหุ้น แต่แกก็ไม่หุ้น”
กิจจาเยื้อนยิ้ม “ก็นี่ไง...ฉันก็ช่วยเป็นผู้จัดการให้แกจนทุกอย่างมันเจริญเติบโตขนาดนี้”
“ฉันเข้าใจ และไม่ได้รังเกียจแกนะกิจ แต่ตอนนี้ผลประโยชน์ทุกอย่างมันเพิ่มพูนมาจนไม่รู้กี่เท่าตัวแล้ว ฉันคงขายหุ้นให้แกในราคาเท่ากับตอนที่เริ่มต้นไม่ได้”
“เฮ้ย...วิทย์ แกก็ต้องเข้าใจฉันนะ ตอนนั้นทั้งแกทั้งฉันก็ไม่มีใครรู้ว่าไร่ส้มนี้มันจะไปรอดหรือเปล่า ฉันจะลงทุนฉันก็ต้องคิดเยอะ แต่ถึงฉันจะไม่ลงเงินกับแกตอนนั้น ฉันก็ลงแรงให้แกเต็มที่”
พ่อเลี้ยงวิทย์ย้อนแย้ง “แกรับจ้างเป็นผู้จัดการ ฉันจ่ายเงินเดือนแก”
กิจจาโกรธถึงกับขึ้นเสียง “ไอ้วิทย์”
“ฉันขอโทษ แต่ฉันขายในราคานี้ไม่ได้จริงๆ มันเสียเปรียบมากเกินไป”
“นี่แกหาฉันจะชุบมือเปิบเหรอ ถ้าไม่ได้ฉันช่วยไร่แกจะเจริญแบบนี้ไหม”
“แต่ฉันก็ให้สวัสดิการแกเต็มที่ รวมทั้งส่งเสียนรีเรียนให้สูงที่สุดเท่าที่เค้าอยากจะเรียนไง”
กิจจาดึงหนังสือสัญญากลับพยามข่มใจไม่โกรธ
“ไม่เป็นไร ถ้าแกไม่ขายฉันก็จะไปหาซื้อไร่ทำเอง”
พ่อเลี้ยงวิทย์ตกใจ “ไอ้กิจ นี่แกจะลาออกเหรอ”
“ไม่มีใครอยากเป็นลูกจ้างเค้าไปจนตายหรอก โดยเฉพาะการเป็นลูกจ้างของ...เพื่อน”
“ฉันเข้าใจ แต่ก็หวังว่าเราจะยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันนะ ถ้าแกมีอะไรให้ฉันช่วยฉันก็ยินดีเสมอ”
กิจจาพยักหน้ารับพยามไม่แสดงอาการโกรธให้เห็น

กิจจานิ่งดูหนังสือสัญญาครู่หนึ่ง แล้วดึงตัวเองออกมา ยิ้มร้ายเจ้าเล่ห์ เก็บหนังสือสัญญากลับที่เดิม

กินรีเดินเข้าห้องนอนมาแล้วทิ้งตัวนั่งด้วยความเซ็งถอนใจเครียด เธอหยิบโทรศัพท์มากดดูแล้วยิ้ม ภาพหน้าจอโทรศัพท์เป็นรูปอังกูรในอิริยาบถต่างๆ ทั้งใกล้และไกลที่กินรีเคยแอบถ่ายไว้ รูปถูกเลื่อนไปเรื่อยๆ
กินรีมองหน้าจอไปเรื่อยๆ จากยิ้มแล้วใบหน้าก็กลายเป็นเศร้า พูดกับภาพ
“รู้ไหมคะคุณกูร ที่นรีต้องยอมฝืนทนอยู่ที่นั่นทุกวันนี้ก็เพราะคุณ”

ขณะเดียวกัน ที่หน้าห้องผู้ป่วยในพยาบาล พ่อเลี้ยงวิทย์ยืนมองจากด้านนอกห้อง ผ่านกระจกประตูเข้าไป เห็นวาทิตนอนลืมตาอยู่บนเตียงใส่เครื่องช่วยหายใจอยู่ และมีเครื่องจับการเต้นของหัวใจติดตามจุดบนตัว
ครู่ต่อมา พ่อเลี้ยง หมอ และพยาบาลยืนอยู่ด้วยกัน หมอยืนอ่านกราฟรายงานผล แล้วจดบันทึกลง Plate มีพยาบาลยืนข้างๆ หมอจดเสร็จก็ส่ง Plate ให้พยาบาล เดินมาหาพ่อเลี้ยง
“ตอนนี้อาการคุณวาทิตดีขึ้นมากเพราะยา แต่ทางที่ดีผมอยากให้พ่อเลี้ยงแก้ปัญหาที่ต้นเหตุที่จะส่งผลกระทบกับอาการของแกครับ”
พ่อเลี้ยงวิทย์ฉงน “ปัญหาที่ต้นเหตุหรือครับ”
“ใช่ครับ พ่อเลี้ยงพอจะทราบใช่ไหมครับว่าอะไรที่ทำให้คุณวาทิตเครียดจนช็อก เพราะถ้าเกิดขึ้นอีกผมก็ไม่แน่ใจว่าคราวหน้าเราจะช่วยชีวิตแกได้ทันหรือเปล่า”
พ่อเลี้ยงวิทย์มองกลับเข้าไปในห้องแล้วถอนใจเครียดหนัก

พ่อเลี้ยงเปิดประตูเดินเข้ามา พอวาทิตเห็นพ่อก็หันไปมองแต่สีหน้ายังนิ่งเหมือนหมดอาลัยกับชีวิต
พ่อเลี้ยงเดินเข้ามาแล้วลูบหัวด้วยความเอ็นดู
“วาทิต ลูกต้องทำตามที่หมอสั่งนะ อย่าเครียดอย่ากังวลอะไรทั้งนั้น จะได้กลับบ้านเร็วๆ ดีไหม”
วาทิตหน้าเศร้า “จะกลับบ้านหรือตายอยู่ที่นี่ สำหรับผมมันก็ไม่ต่างกันหรอกครับ”
พ่อเลี้ยงอึ้ง “วาทิต อย่าพูดอย่างนั้นสิ ลูกไม่รักตัวเองแล้วเหรอ”
วาทิตส่ายหน้า “ผมเกลียดตัวเองด้วยซ้ำ ผมควรจะตายตั้งแต่ตอนที่ผมเกิด ผมไม่รู้ว่าผมจะรอดมาเพื่อจะมาเป็นคนพิการทำไม จะทำอะไรเหมือนคนปกติก็ไม่ได้...แม้แต่จะรักคนที่ผมรักก็ทำไม่ได้ ถ้าเป็นแบบนี้ให้ผมตายซะดีกว่า”
ระบายจบวาทิตก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ จำต้องปล่อยให้ไหลออกมา พ่อเลี้ยงเห็นแล้วสงสารเอามือปาดน้ำตาให้ลูกชาย ราวกับจะบอกว่าจะปัดเป่าความทุกข์ให้ลูกด้วยมือเค้าเอง
“ไม่นะวาทิต ยังไงพ่อจะไม่ปล่อยให้ลูกตาย พ่อสัญญาว่าจะทำทุกอย่างเพื่อรักษาชีวิตลูกของพ่อ”
วาทิตได้ยินคำสัญญาของพ่อก็มองหน้าด้วยความสงสัย
“พ่อหมายความว่ายังไงครับ”
“พ่อจะไปสู่ขอหนูเมให้ลูก”
วาทิตยิ้มกว้าง “จริงเหรอครับ”

พ่อเลี้ยงยิ้มเหมือนจะให้เป็นคำมั่นสัญญากับลูกชายสุดที่รัก

ที่บ้านแรมตอนเช้ามืดวันนี้ ยินเสียงไก่ขันดังแว่วมา ก่อนจะเห็นไฟในบ้านเปิดสว่างขึ้น

รุทรเพิ่งตื่น และกำลังเก็บที่นอนเตียงตัวเอง โดยท่อนบนเปลือยเปล่า ส่วนอนุวัตรเพิ่งอาบน้ำเสร็จออกมาจากห้องน้ำพันผ้าเช็ดตัวทั้งบนและล่างแต่ก็ยังหนาวตัวสั่นรีบเดินไปที่เตียงตัวเองเพื่อจะใส่เสื้อผ้า แต่เห็นรุทรนั่งเหมือนไม่หนาวก็สงสัย
“ฉันละนับถือแกจริงๆ หนาวขนาดนี้ถอดเสื้อนอน แถมตื่นมาอาบน้ำเย็นอีก”
“สงสัยชาติที่แล้วฉันเป็นฝรั่งเลยชอบเย็นๆ”
ระหว่างนั้นวารินในชุดนักศึกษาเคาะประตูแล้วเปิดผลัวะเข้ามา พอเห็นอนุวัตรกำลังก้มใส่กางเกงก็ตกใจ
วารินปิดหน้ากรี๊ด “อ๊ายยย... พี่วัตรอ่ะ”
อนุวัตรตกใจกรี๊ดกลับ “อ๊ายยย” และอายรีบยกผ้าเช็ดตัวที่นุ่งขึ้นปิดหน้า “รินเข้ามาทำไมพี่โป๊”
รุทรขำเดินไปดึงผ้าของอนุวัตรกลับมาปิดท่อนล่าง
“อายก็ปิดข้างล่างสิวะ”
อนุวัตรยิ้มแหยนึกได้รีบหยิบเสื้อมาใส่ แต่กางเกงยังคาที่หัวเข่า
“รินมีอะไรเหรอ”
วารินค่อยๆ เปิดหน้ามาแต่ไม่หันไปทางอนุวัตร “พี่รุทรพารินไปซื้อดอกไม้ทำพานไหว้ครูหน่อยเพื่อนรินรอที่กาดดอกไม้ ซื้อเสร็จแล้วก็ไปที่มหาลัยด้วยนะ”
วารินพูดรัวเป็นชุดแล้ววิ่งออกไปเลย รุทรขำวารินแล้วหันกลับมาหาอนุวัตร
“แกอย่ามามองคุกคามฉันด้วยสายตาแบบนั้น” อนุวัตรโวย
“ถ้าฉันรอส่งผักให้เจ๊บุษคงไปไม่ทัน เอาเป็นว่าฝากแกดูแลก่อนไปทำงานแล้วกัน”
อนุวัตรบ่นเซ็งๆ “ไอ้รุทร ไม่เอานะเว้ย แกก็รู้ถ้าเจ๊บุษมาไม่เจอแก สงสัยอาละวาดผักเหี่ยวแน่”
รุทรทำท่าปาดคอแล้วยิ้มร้ายก่อนเดินไปหยิบเสื้อพาดบ่า เดินออกไปเลย
“เฮ้ย ไอ้รุทร อย่าเพิ่งไป แกมาช่วยฉันหาวิธีรับมือเจ๊บุษก่อน”
อนุวัตรจะวิ่งตามไป แต่ดันติดขากางเกงตัวเองที่ยังใส่ไม่เสร็จล้มลงพื้น ร้องกรี๊ดเสียงแปร๋นขาชี้ฟ้าท่าทางน่าขบขัน

เช้าตรู่วันเดียวกัน เพียงแต่ต่างสถานที่ ที่ร้าน เมทินี ฟลอร่า - Metinee Flora ร้านดอกไม้ของครอบครัวเมทินี
สวนดอกไม้แปลงเล็กๆ หลายแปลง ที่บริเวณด้านหลังบ้านเมทินี เห็นเมทินีกับอังกูรช่วยกันตัดดอกไม้ใส่กระบะรถเข็น ระหว่างที่เมทินีกำลังตัดดอกไม้ก็หยุดเพราะรู้ว่าอังกูรมองอยู่
“มีอะไรเหรอคะพี่กูร”
“เม...แต่งงานกับพี่นะ”
เมทินีตกใจ “อะไรนะคะ”
“พี่คุยเรื่องนี้กับน้ามณีแล้ว น้ามณีไม่ขัดข้อง เดี๋ยวเราไปส่งดอกไม้แล้วไปไหว้พระครูบาขอให้ท่านหาฤกษ์ให้นะ”
เมทินีติง “พี่กูร เรื่องแบบนี้พี่กูรน่าจะถามเมก่อน”
“ทำไมล่ะ เราก็คบกันมาตั้งนาน เมก็รู้ว่าพี่รักเมและตอนนี้พี่ก็พร้อมแล้วที่จะดูแลเมกับครอบครัว เราก็น่าจะแต่งงานกันได้สิ”
“แต่เมยังไม่แน่ใจ”
คราวนี้อังกูรชะงักนิ่งงันไปในทันที “ไม่แน่ใจ เมหมายความว่ายังไง”
“เมขอบคุณพี่กูรที่ดีกับเมมาก ขอเวลาให้เมคิดสักหน่อยได้ไหมคะ เรื่องนี้มันใหญ่มากสำหรับเม เมยังตั้งตัวไม่ทัน”
“ก็ได้ แต่พี่ไม่อยากรอนาน เพราะพี่รักเมมากเมรู้ใช่ไหม”
อังกูรดึงมือเมทินีมากุมแล้วยิ้มให้ เมทินีมองหน้าอังกูรด้วยความรู้สึกอึดอัด ไม่แน่ใจความรู้สึกตัวเอง

ถัดมา อังกูรกับไมตรี ช่วยกันมัดดอกไม้ในห่อกระดาษ ห่อละ 100 ดอกสำหรับขายส่งเสร็จ ก็เอาห่อดอกไม้ไปใส่ในเข่งสมทบกับห่ออื่นๆ ได้ประมาณ 7-8 เข่ง จากนั้นช่วยกันยกดอกไม้ใส่ท้ายรถกระบะของอังกูร
อีกมุมห่างออกมา เมทินีกับมณียืนมองการทำงานของอังกูรกับไมตรีอยู่ มณีใส่ชุดเตรียมไปทำงานที่โครงการ เมทินีเอ่ยถามขึ้น
“พี่กูรกับแม่แอบคุยกันเรื่องแต่งงานแล้วเหรอ”
“อ้าว กูรบอกเมแล้วเหรอ แหม ใจร้อนจริง แม่ก็นึกว่าน่าจะอีกระยะนะกว่าจะมาขอ” มณียิ้มเอ็นดู “แล้วเราล่ะดีใจไหมที่เขาขอแต่งงาน”
“เมยังไม่ได้ตอบตกลงกับเขาหรอกค่ะ”
มณีงง “ทำไมล่ะลูก แม่เห็นกูรเขาก็รักและดูแลลูกแม่ดีออก”
“ปัญหาไม่ได้อยู่ที่พี่กูร แต่ตัวเมเองที่ไม่แน่ใจว่าเมรักพี่กูรหรือเปล่า”
มณีลูบหัวลูกสาวอย่างเอ็นดู “ถ้างั้นก็ดูๆ กันไปก่อนแล้วกัน เรื่องแต่งงานมันเรื่องใหญ่คิดเยอะๆ ก็ดีเหมือนกัน”
“ขอบคุณที่แม่เข้าใจเมค่ะ”
“แต่อย่าคิดนานนักนะ เดี๋ยวกูรเขารอไม่ไหวทิ้งเราไปจะเสียดาย”
เมทินีขำ “งั้นก็ดีสิ เมจะได้นอนกอดแม่จนแก่เลย”
“ว้าย ไม่ได้ พวกที่กาดเข้าได้นินทาว่าลูกแม่ขายไม่ออก”
เมทินีโผเขากอดมณีแน่นจนมณีหัวเราะจั๊กจี้
“โอ๊ยๆๆ ไม่เอาแล้ว แม่ไปทำงานก่อนดีกว่า”
มณีจับหัวเมทินีโยกเขย่าเบาๆ ด้วยความเอ็นดู พลางหอมแก้มหนึ่งที แล้วเดินไปขึ้นรถเครื่องขี่ออกไป เมทินีมองตามแม่ยิ้มๆ แต่พอหันกลับมาก็เห็นอังกูรกับไมตรีใส่ดอกไม้เสร็จหันมาพยักหน้ายิ้มๆ ให้ เมทินีจึงเดินไปขึ้นรถ

ไม่นานต่อมา รถอังกูรจอดที่ลานจอดรถด้านหน้ากาดดอกไม้ อันเป็นตลาดค้าส่งและจำหน่ายดอกไม้ขนาดใหญ่ของเชียงใหม่ อังกูรกับไมตรีและเมทินีกำลังช่วยกันขนเข่งใส่ดอกไม้ใส่ในรถเข็นสองคัน จากนั้นไมตรีก็แยกจับรถเข็นคันหนึ่งจะเข็นไป แต่เมทินีจับแขนไว้
“ไมไปมหา’ลัยเถอะ สายแล้ว”
“ไม่เป็นไร ผมช่วยพี่เมแป๊บเดียวผมว่าทันเข้าเรียนครับ”
ไมตรีรีบเข็นรถออกไป เมทินีหันกลับมาก็เจออังกูรที่ยกเข่งดอกไม้ใส่รถเข็นเสร็จแล้วรออยู่ อังกูรยิ้มให้แล้วเข็นรถเดินไปกับเมทินีไปคนละทางกับที่ไมตรีไป

ระหว่างนั้น ตรงทางเข้าลานจอดรถ แลเห็นรถของรุทรแล่นเข้ามาช้าๆ ชายหนุ่มสอดตาหาที่จอดรถ
โดยในรถวารินคุยโทรศัพท์กับเพื่อนนักศึกษา พร้อมกับกวาดตามองหาไปทั่วๆ
“ตกลงอยู่ไหนกันล่ะ หาไม่เจอเลย”
รุทรเห็นช่องวางตรงข้างๆ รถของอังกูรจอดอยู่ก็เปิดไฟเลี้ยวจะเข้าจอด
“อะไรนะไปรอหลังกาด โอเคๆเดี๋ยวเจอกัน” วารินกดวางสาย หันมาบอกพี่ชาย “พี่รุทรไปจอดหลังกาดนะ”
“เช้าๆ อย่างนี้ที่จอดรถหายาก พี่ว่าจอดตรงนี้แล้วเดินไปดีกว่า”
“ไม่ได้ แต่มันบอกว่าร้านขายดอกไม้ไหว้ครูจะอยู่ตรงนั้นเยอะนะๆ ไปนะ จะได้ไม่ต้องเดินไกล”
“สรุปขี้เกียจเดินว่างั้น”
วารินยิ้มรับแหยๆ เหมือนยอมจำนน รุทรขำแล้วถอยรถออก

ในเวลาต่อมา รถกระบะของรุทรแล่นเข้ามาแล้วไปจอดตรงหน้าฝ้ายกับแตเพื่อนนักศึกษาของวาริน ที่ยืนรออยู่ วารินกับรุทรเปิดประตูลงมา ฝ้ายกับแตพอเห็นรุทร สองสาวก็ตะลึงอ้าปากค้าง
“ทำไมไม่บอกว่าพี่รุทรจะมาด้วย ฉันจะได้แต่งหน้ามา” ฝ้ายว่า
“หวัดดีจ้ะสาวๆ รีบไปซื้อดอกไม้กันเถอะ เสร็จแล้วพี่ไปส่งที่มหา’ลัย” รุทรยิ้มทัก
“ส่งแล้วอยู่รอรับพวกหนูกลับตอนเย็นเลยหรือเปล่าคะ” แตยิ้ม
“นี่...มากไปแล้ว พี่ชายฉันนะพวกเธอยังกล้าชอบเหรอ” วารินโวยเพื่อน
ฝ้ายกับแตรีบพยักหน้ารับทันทีจนวารินตกใจ เอามือกุมขมับปวดหัว พลางหยิบหนังสือเรียนเพื่อนทั้งสองส่งให้รุทร ส่วนตัวเองไปจับข้อมือเพื่อนทั้งสองไว้
“พี่รุทรรอที่นี่แล้วกันนะ”
วารินลากเพื่อนทั้งสองที่ไม่ค่อยอยากจะเดินจากรุทรไป และไม่วายหันมาโบกมือให้ก่อนเข้าตลาดไป รุทรมองขำๆ แล้วเอาหนังสือเรียนไปใส่รถ ตั้งใจจะขึ้นไปนั่งในรถรอ แต่เปลี่ยนใจมองรอบๆ ตัดสินใจหยิบกล้องถ่ายรูปเดินชมดอกไม้ตามร้านต่างๆ

มือถือรุทรในรถสั่นขึ้นมาในจังหวะนี้ หน้าจอแสดงชื่อบุษบันเป็นคนโทร.เข้า

อีกฟาก ที่สวนผักตอนสาย อนุวัตรยืนคุมคนงานยกลังผักขึ้นท้ายรถกระบะ ขณะที่รถของบุษบันแล่นมาจอดใกล้ๆ

บุษบันลงมาจากรถพร้อมกับกดมือถือโทร.ออกไปด้วย ตาก็มองหารุทรไปรอบๆ แต่ไม่เห็น เลยเดินไปหาอนุวัตร
“หวัดดีเจ๊ ถ้ามาสายอีกสิบนาทีผมไปทำงาน ไม่รอเจ๊แล้วนะ”
“ใครใช้ให้รอล่ะ แล้วนี่ เลิกเรียกเจ๊ซะทีได้ไหม ไม่ชอบ เรียกธรรมดาๆ ว่าคุณบุษ คุณนายบุษ หรือคุณผู้หญิงบุษก็ได้”
“โห....ที่ไอ้รุทรให้เรียกว่าบุษเฉยๆ”
บุษบันมองหน้าอนุวัตรด้วยสายตาเหยียดหยาม “ชื่อรุทรเหรอ” อนุวัตรส่ายหน้า “ถึงไม่ให้เรียกไงตาบ๊อง”
“ได้...งั้นผมก็จะเรียกว่าเจ๊เหมือนเดิม...มีไรปะ”
อนุวัตรยักคิ้วกวน บุษบันกัดฟันด้วยความโกรธ พลางเชิดหน้าใส่ไม่อยากสุงสิงด้วย
“รุทรล่ะ”
“ไม่อยู่”
“ไปไหน”
“เชียงใหม่”
บุษบันชักหงุดหงิดที่อนุวัตรถามคำตอบคำ “โอ๊ย...ตอบให้มันยาวๆ ครบๆ ได้ไหม”
อนุวัตรล้อเลียน “โอ๊ย...ก็ถามให้มันยาวๆครบๆด้วยสิ จะได้รู้ว่าอยากรู้อะไร”
บุษบันสุดจะทนรีบถามรัวเร็วกวนๆ “รุทรไปเชียงใหม่ทำไม แล้วจะกลับเมื่อไหร่ เอาโทรศัพท์ไปไหม ฉันโทรไปทำไมไม่รับ”
เจอบุษบันรัวเป็นชุด อนุวัตรก็สะดุ้งตกใจ พยามคิดถึงคำถามเพราะเยอะมาก
อนุวัตรล้อเลียนนางงามตอบคำถามกรรมการ “เอ่อ...ขอทวนคำถามอีกครั้งค่ะ”
คราวนี้บุษบันโมโหเงื้อมือขึ้นจะฟาด อนุวัตรรีบยกมือกั้น บุษบันยกค้าง อนุวัตรรีบตอบรัวเร็ว
“เฮ้ย...ตอบก็ได้ มันพาวารินไปซื้อดอกไม้ไหว้ครู กลับเมื่อไหร่ไม่รู้ไม่ได้บอกโทรศัพท์ก็เอาไปด้วย แต่ที่ไม่รับคงไม่อยากรับโทรศัพท์หรือรำคาญเจ๊มั้ง”
บุษบันฟังจบก็ตบบ้องหูผัวะ จนอนุวัตรหน้าหัน
“เฮ้ย...เจ๊ตบทำไม ก็ตอบไปแล้วนี่”
“อันอื่นโอเค แต่ที่บอกว่ารุทไม่อยากรับโทรศัพท์ของฉันหรือรำคาญนี่ผิด เขาไม่เป็นอย่างนั้นแน่ ฉันรู้ว่ารุทรเขามีใจให้ฉันเสมอทุกนาที”
อนุวัตรแอบเบ้ปากหมั่นไส้ในความมั่นของอีกฝ่าย บุษบันเดินไปที่เข่งผักที่วางอยู่หลายเข่งยืนมองนิ่งสักพักแล้ว เดินไปที่ท้ายรถกระบะของอนุวัตรบอกคนงานของรุทร
“ย้ายพวกนี้ไปใส่รถฉัน”
“เฮ้ย...เจ๊...ไม่ได้อันนี้เป็นผักที่ผมจะไปส่งศูนย์วิจัย ของเจ๊อยู่นั่นไง
“ก็วันนี้จะเอาผักพวกนี้นี่ อย่าเรื่องมากได้ไหม รุทรแฟนฉันเขาไม่ว่าหรอก” หล่อนหันไปสั่งคนงาน “ขนสิ”
คนงานช่วยกันยกเข่งผักสามเข่งย้ายไปใส่ท้ายรถบุษบัน บุษบันจะเดินไป
“เจ๊...ค่าผักล่ะ”
“ไว้ผัวเมียเขาเคลียร์กันเอง”
บุษบันขับรถออกไป อนุวัตรมองตามส่ายหน้า
“เฮ้อ...ไอ้รุทรนะไอ้รุทร ทำฉันไปทำงานสายแล้วยังโดนขโมยผักของโครงการอีก เจ้านายด่าเปิงแน่”

ขณะเดียวกัน ไมตรีเข็นรถมาอย่างเร็ว ด้วยท่าทีคล่องแคล่วมาก เขาตรงไปที่ร้านดอกไม้ร้านหนึ่ง ส่งดอกไม้ให้หลายห่อบริการยกไปวางให้ถึงที่อย่างดี เด็กหนุ่มยืนรอรับเงินไหว้อย่างนอบน้อม พอเสร็จแล้วก็รีบซิ่งวิ่งไปร้านอื่นต่อ
“ขอทางด้วยครับ...ขอทางนะคร๊าบ”
อีกมุม วารินกำลังจ่ายเงิน แล้วรับถุงดอกรักมา มีฝ้ายกับแตที่ถือถุงใส่พาน ธูปเทียนแพเดินมาสมทบ สามสาวเดินดูดอกไม้ไปเรื่อยๆ
ที่ร้านดอกไม้ ไมตรียืนรอเจ๊เจ้าของร้านนับตังค์ส่งให้ พอรับมาไมตรีไหว้จับรถเข็นรีบวิ่งไปอีกทาง ไมตรีเข็นรถมาอย่างเร็ว ในขณะที่วารินกับเพื่อนๆ ยืนอยู่ที่ร้านดอกไม้อีกมุม
“ขอทางด้วยนะคร๊าบ...ขอบคุณคร๊าบ”
วารินดูดอกไม้แล้วยังไม่ชอบ มองไปอีกด้านเห็นดอกไม้สวยเลยสะกิดเพื่อน
“ไปดูร้านนั้นไหม เหมือนจะมีดอกไม้แปลกๆ นะ”
พูดจบวารินก็รีบเดินไป ฝ้ายกับแตเดินตามไป ทันใดนั้นวารินก็ได้ยินเสียงไมตรีร้องขอทาง
“ขอทางด้วยคร๊าบ”
วารินหันไปตามเสียง เป็นจังหวะที่ไมตรีเลี้ยวมาจากหัวมุมตรงที่วารินยืนพอดี ทั้งสองมองหน้ากันแล้วเหวอตกใจ ร้องออกมาพร้อมๆ กัน
“เฮ้ย”
ไมตรีหักหลบอย่างแรง วารินกระโดดหลบไปชนเสาใกล้ๆ จนล้มลงกับพื้น ดอกไม้ลอยกระจายแล้วค่อยๆ ตกลงมา หล่นโปรยปรายลงมาใส่ตัววารินเป็นสาย ไมตรีเองก็ตกใจยืนอึ้ง อ้าปากหวออยู่อย่างนั้น

ด้านรุทรเดินเล่นดูดอกไม้ พร้อมกับถ่ายรูปไปด้วย มีทั้งช็อต Close up ที่ดอกไม้ ภาพมุมกว้างทั้งร้าน ชายหนุ่มสอดตามองผ่านเลนส์ไปเรื่อย เพื่อหามุมถ่ายรูป แล้วต้องหยุดชะงัก เมื่อเห็นเมทินีกำลังส่งห่อดอกไม้ให้เจ้าของร้าน
รุทรเอากล้องลงด้วยความรู้สึกอึ้ง พบว่าเธออยู่ไม่ไกลนัก ส่วนเมทินีกำลังเดินออกจากร้าน รุทรยืนลังเลจะเดินข้ามไปหา แต่แล้วก็พยามตัดใจหันกลับจะเดินไปที่อื่น
สุดท้ายก็เกิดเปลี่ยนใจหันกลับไปมองอีกที แต่ไม่เห็นเมทินีแล้ว เขานึกเจ็บใจตัวเอง สักพักก็ตัดสินใจเดินไปทางที่คิดว่าเมทินีจะเดินไป

ส่วนวารินนั่งเจ็บข้อเท้าและที่แขนอยู่ที่พื้น ตามองจ้องไมตรีด้วยความเจ็บใจ มีแตและฝ้ายนั่งดูอาการวาริน เหล่าไทยมุงอยู่รอบๆ
“เธอเป็นไงบ้าง”
“ก็เจ็บน่ะสิ เข็นรถยังไงไม่ดูทางเหรอดูสิชนฉันเจ็บเนี่ย” วารินโวยวาย
ไมตรีเสียงอ่อยๆ “คือฉันรีบน่ะ แต่ฉันยังไม่ได้ชนเธอนะ”
“ก็ถ้าฉันไม่กระโดดหนีจนล้มชนเสาอ่ะ เธอก็ชนฉันจังๆ แล้ว ยังจะมาเถียงแบบปัญญาอ่อนว่าไม่ได้ชนอีกเหรอ”
ไมตรีเริ่มโกรธ “มากไปมั้ง แค่นี้ต้องว่าปัญญาอ่อนเลยเหรอ”
“ก็จริงไหมล่ะ”
“ถ้าฉันปัญญาอ่อน เธอก็ปัญญาอ่อนมากกว่าฉันอีก ที่ตั้งกว้างกระโดดไปชนเสาซะงั้น เสียดายไม่น่าเรียนคณะเกษตรเหมือนกันเลย”
“เป็นคนผิดไม่ขอโทษแล้วยังมาด่าฉันอีกเหรอ” วารินนึกได้ “เดี๋ยวนะ เธอบอกว่าอยู่คณะเดียวกับฉันเหรอ”
แต กับ ฝ้ายรีบกระซิบข้างหูวาริน
“อ๋อ...ที่แท้ก็เธอนี่เองที่เป็นคนเดียวในสาขาพืชสวนประดับของปี 1 ที่ตกภาษาอังกฤษ”
“คิดว่ารู้จักฉันคนเดียวเหรอ ฉันก็จำเธอได้ว่าอยู่สาขาพืชไร่ แล้วไงเธอกับฉันจำหน้ากันได้มันเป็นยังไง”
“ไม่ยังไงหรอก เพราะฉันจะหารหัสของเธอแล้วไปฟ้องอาจารย์ที่ปรึกษาได้ไม่ยาก ดังนั้นเธอต้องจ่ายค่าดอกไม้ที่เสียหายทั้งหมดของพวกฉัน”
“ได้...ถ้าฉันจ่ายให้เธอ เธอก็ต้องจ่ายค่าดอกไม้ที่ฉันไปส่งร้านไม่ได้เหมือนกัน”
คราวนี้วารินกับเพื่อนอ้าปากเหวอ ไมตรียักคิ้วกวนให้
“เธอ...” วารินพูดไม่ออกไปชั่วครู่ “เธอนี่มันสมควรแล้วที่ตก ฉันขอให้เธอเรียนไม่เก่งไปตลอดชาติ ตกทุกวิชาจนไม่จบ”
“กลัวตายละ งั้นฉันก็ขอแช่งให้เธอเรียนเก่งไปตลอดชาติ”
วารินกับเพื่อนมองหน้ากันงงว่าไมตรีบ๊องหรือเปล่า แล้วก็พากันหัวเราะขำ ไมตรียืนขึ้นแล้วไปเก็บเข่งกับรถเข็น
“คำแช่งของเธออาจจะทำให้ฉันเลิกเรียนมาหางานทำเร็วขึ้น แต่คำแช่งของฉันจะทำให้เธอเรียนไปเรื่อยๆหางานทำไม่ได้ เรียนจนตายเลยก็แล้วกัน”
พูดจบไมตรีก็เข็นรถออกไป วารินคิดได้ก็โกรธ
“กลับมาก่อน มาถอนคำแช่ง อย่าหนีนะ” ไมตรีไม่ย้อนกลับมาแล “ทุเรศ เธอมันทุเรศ คอยดูนะฉันจะเอาคืนให้แสบเลย”
ฝ้ายกับแตสะกิดเตือนวารินให้ดูว่าอายคนเขา

วารินค่อยหุบปาก แล้วมองของที่เสียหายอย่างเซ็งๆ

เมทินีมายืนคอยไมตรีตรงหน้าร้านดอกไม้ร้านหนึ่ง เจ้าของร้านตรวจดูดอกไม้เสร็จแล้วก็เอาเงินออกมานับ

อีกด้านเห็นรุทรเดินตามหา พอเห็นเมทินียืนอยู่ไกลๆ ก็ยิ้มออกมารีบเดินเข้าไปหา แต่พอถึงใกล้ๆ ก็ไม่กล้าได้แต่ยืนจดๆ จ้องๆ
เมทินีรับเงินจากเจ้าของร้านแล้วยืนคุยกันต่อ
รุทรตัดสินใจเด็ดขาด เป็นไงเป็นกัน จะเดินเข้าไปหา แต่พอถึงใกล้ๆ ก็เห็นอังกูรเดินเข้ามาหาเมทินี รุทรเลยชะงัก
“เม...พี่ส่งดอกไม้ร้านพี่หวินแล้วนะ แกบอกว่าขอจ่ายรวมงวดหน้านะ พี่จดไว้แล้ว”
“ขอบคุณค่ะ”
“แหม...คู่นี้นี่น่ารักจัง เมื่อไหร่จะแจกการ์ดล่ะ เขาลุ้นกันทั้งกาดเลยรู้ไหม” เจ้าของร้านแซว
เมทินีรีบบอก “เอ่อ...เรายังไม่...”
อังกูรรีบชิงสวนขึ้น “ไม่นานหรอกเจ๊ ถ้าแจกการ์ดน่ะเจ๊ต้องไปงานของเรานะ”
เจ้าของร้านอวยส่ง “รีบๆ แต่งกันนะเจ๊จะตัดชุดรอ”
พูดจบอังกูรก็ยิ้มหวานให้เมทินี แต่เมทินีไม่ค่อยพอใจนักขณะเดินนำไป มีอังกูรเดินตาม
รุทรที่ยืนแอบฟังอยู่รู้สึกเซ็งๆ ที่รู้ว่าเมทินีมีแฟนแล้ว สุดท้ายอมยิ้มขำตัวเอง
“เกือบไปจีบแฟนชาวบ้านแล้วไหมล่ะไอ้รุทร”

เมทินีเดินนำมาท่าทางหงุดหงิดระคนฉุนเฉียว อังกูรรีบเดินมาจับมือเมทินีไว้
“เมโกรธพี่เหรอ”
“พี่กูรไม่น่าพูดแบบนั้น”
“ที่พี่พูด เพราะพี่มั่นใจและแน่ใจว่าพี่จะแต่งงานกับเมแน่นอน เมจะได้มั่นใจในตัวพี่ไง แต่ถ้าพี่ทำให้เมโกรธ พี่ก็ขอโทษด้วยนะ”
“ช่างมันเถอะค่ะ เรากลับไปที่รถดีกว่า ป่านนี้ไมคงมาแล้ว”
พอเมทินีหันตัวจะเดินไปก็เห็นรุทรที่เดินถ่ายรูปดอกไม้อยู่ไกลๆ เมทินีชะงักจ้องทันที
“มีอะไรเหรอ”
“นั่นวาทิตนี่”
อังกูรเหลียวขวับมองไปทางที่เมทินีมองตอนแรก แต่เป็นช่วงที่รุทรหันหลังให้พอดี และเดินเลี้ยวไปทางอื่นแล้ว
“เป็นไปไม่ได้ ก็วาทิตนอนอยู่ที่...” อังกูรนึกได้ไม่อยากบอกเรื่องโรงพยาบาล
“ที่ไหนคะ”
“ที่บ้านไง พี่ว่าเมตาฝาด” อังกูรตัดสินใจโกหก
“ก็เป็นไปได้ วาทิตแพ้เกสรดอกไม้นี่แล้วจะมาเดินนี่ได้ไง”
พออังกูรกับเมทินีพากันเดินไป รุทรออกมาจากที่ซ่อน แล้วจะยกกล้องจะถ่ายรูปแต่เกิดเปลี่ยนใจไม่ถ่ายดีกว่า

ด้านหน้าศูนย์วิจัยแห่งนี้ แลเห็นป้ายเด่นชัดว่า “ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตร” ที่หน้าประตูทางเข้า
อนุวัตรทำงานเป็นนักวิจัยของที่นี่ และเวลานี้เขากำลังเอาตัวอย่างผักมาดูรากแล้วลงบันทึกในเครื่องคอมพ์ รุทรเปิดประตูเข้ามาด้วยความร้อนใจ เมื่อเดินมาถึงโต๊ะของอนุวัตรก็ตบโต๊ะทันทีจนอนุวัตรสะดุ้ง
“ฮั่นแน่ จะมาจ่ายค่าผักที่เจ๊บุษขโมยไปให้ฉันถึงที่นี่เลยใช่ไหมเพื่อนรัก”
“แม่ไปไหน”
อนุวัตรงง “อะไรของแกวะ”
“ฉันกลับมาถึงไร่ คนงานบอกว่ามีรถมารับแม่ไป แม่บอกอะไรแกไว้หรือเปล่า”
“ไม่มีนี่ ก็พอส่งผักให้เจ๊บุษเสร็จ ฉันก็ออกมาทำงานไม่เห็นแม่สั่งอะไรไว้ แกโทร.หาแม่หรือยัง”
“โทร.แล้วไม่ติด แม่ปิดเครื่อง”
“แม่แรมแกคงไปกับเพื่อนมั้ง แล้วแบตโทรศัพท์ก็อาจจะหมดหรือลืมชาร์จ”
รุทรถอนใจ สีหน้าเครียด “ขอให้เป็นอย่างที่แกบอกเถอะวะ”
สองหนุ่มต่างมีสีหน้าเครียดเป็นห่วงแรม ด้วยไม่เคยหายไปโดยไม่บอกใครแบบนี้

อีกฟาก เหมือนว่าแรมกำลังแอบดูใครบางคนจากหน้าห้องผู้ป่วยในโรงพยาบาลนี้ เมื่อมองเข้าไปก็เห็นร่างวาทิตนอนซึมอยู่บนเตียงสีหน้าเครียดเคร่ง
วาทิตรู้สึกตัวว่ามีคนแอบดูตัวเองอยู่ที่ประตูแว้บๆ แต่พอหันไปมองพบว่าไม่มีใคร วาทิตหันกลับมาหยิบมือถือมากดเปิดรูป รูปพักหน้าจอเป็นภาพเมทินีที่ถ่ายกับวาทิต สมัยเรียนมหาวิทยาลัย

“ฉันขอโทษนะแรมที่ดูแลเขาไม่ดี” เสียงพ่อเลี้ยงวิทย์เอ่ยขึ้น
พ่อเลี้ยงผู้มั่งคั่ง นั่งคุยอยู่กับแรมในสวนหย่อมของโรงพยาบาลด้วยสีหน้าเศร้าทั้งคู่
สองคนนี้คือ พ่อ และ แม่ ของ แฝดพี่ รุทร และ แฝดน้อง วาทิต นั่นเอง
“พ่อเลี้ยงอย่าโทษตัวเองเลยค่ะ แค่เขามีชีวิตที่ดีจนทุกวันนี้ก็เป็นบุญของเขามากแล้ว ส่วนเรื่องความรักนี่มันไม่ใช่ความผิดของพ่อเลี้ยงนะคะ”
“แต่ฉันก็ทนเห็นเขาเจ็บปวดจนตายไม่ได้เหมือนกันนะแรม”
“แล้วหลานพ่อเลี้ยงจะยอมเหรอคะ ไหนจะหนูคนนั้นอีก” แรมรับรู้เรื่องราวทั้งหมดแล้ว
“ฉันก็ต้องลองดู หวังว่าฉันจะทำสำเร็จเพื่อให้วาทิตมีชีวิตยืนยาวนะ”
“พ่อเลี้ยงจะทำยังไงคะ”
พ่อเลี้ยงวิทย์ใช้ความคิดหนัก ขณะที่แรมรอฟังคำตอบ

ไม่นานต่อมา ที่ร้านดอกไม้ Metinee Flora มีแขกมาเยือน มณีกับเมทินีตกใจมากเมื่อฟังคำพูดแขกท่านนั้นพูดจบลง
“พ่อเลี้ยงมานี่ เพื่อจะขอให้หนูแต่งงานกับวาทิตงั้นเหรอคะ” เมทินีถามย้ำ
พ่อเลี้ยงวิทย์นั่งอยู่ตรงหน้าสองแม่ลูก และพยักหน้ารับ
“พ่อเลี้ยงรู้หรือเปล่าว่ากูรก็มาขอเมกับฉันแล้ว”
“ฉันรู้ ฉันถึงต้องรีบมาวันนี้ไง”
มณีกับเมทินีมองหน้ากันงงๆ
“ฉันรู้ว่าวาทิตกับอังกูรต่างก็รักหนูเมมาก แต่ตอนนี้วาทิตกำลังแย่ ฉันอยากจะขอร้องให้หนูเมช่วยชีวิตของเขาได้ไหม ฉันยินดีจะยกทรัพย์สินของวาทิตให้กับหนูครึ่งหนึ่ง เพื่อตอบแทนที่หนูแต่งงานกับวาทิต”
มณีโกรธ “มันจะดูถูกกันมากเกินไปแล้วนะพ่อเลี้ยง ฉันกับลูกไม่ใช่พวกหน้าเงินนะ”
“ฉันขอโทษนะคุณมณี แต่ทั้งหมดที่ฉันทำก็เพื่อรักษาชีวิตลูกชายฉัน”
มณีมองหน้าวิทย์ด้วยความรู้สึกไม่พอใจ
“ฉันว่าพ่อเลี้ยงกลับไปเถอะ บ้านนี้ไม่ต้อนรับพ่อเลี้ยง”
พ่อเลี้ยงมองเมทินีด้วยสายตาวิงวอน แต่เห็นเมทินีนั่งนิ่ง จนพ่อเลี้ยงวิทย์เริ่มท้อใจลุกขึ้น
“ไม่เป็นไร ฉันเข้าใจ”
“พ่อเลี้ยงคะ พรุ่งนี้หนูจะไปหาวาทิต”
มณีทักท้วง “เม ลูกจะทำอะไร”
“ยังไงวาทิตก็เพื่อนของหนู หนูจะทำเท่าที่หนูพอจะทำได้”
ทั้งพ่อเลี้ยงวิทย์ และมณี มองเมทินีในอาการงวยงง ด้วยยังตามไม่ทันว่าเมทินีคิดจะทำอะไรแน่

เย็นนั้น รุทร อนุวัตร และวาริน เดินวนคอยในบ้าน จนเห็นรถตู้สุดหรูแล่นมา ทั้งสามรีบลุกยืนมองไปนอกหน้าต่าง แล้วรีบวิ่งออกไป
โดยที่หน้าบ้าน แรมลงจากรถ แล้วรถแล่นออกไป สามคนวิ่งออกมาหา
“แม่ไปหาเพื่อนคนไหนมากลับซะเย็นเลย” วารินถามแทนอีกสองคน
“แม่...เอ่อ...แม่ไปเชียงใหม่มา”
รุทรฉงน “แม่มีเพื่อนอยู่เชียงใหม่ด้วยเหรอ ใครครับ”
“บอกไปก็ไม่รู้จักหรอก” แรมบ่ายเบี่ยง
“แล้วทำไมแม่ไม่เชิญเพื่อนเข้าบ้านล่ะ” รุทรว่า
“เขาไม่ได้มาแค่ให้รถมาส่ง”
“โห...เพื่อนแม่แรมนี่ไฮโซนะเนี่ย มีการให้รถมาส่งด้วย” อนุวัตรเย้า
แรมอึกอักพูดไม่ออก ยิ่งเห็นสายตาคาดคั้นของรุทรกับวารินก็ยิ่งไม่อยากบอก จึงตัดบทเพียงว่า
“เข้าบ้านกันเถอะ แม่เดินทางมาเหนื่อย”
พูดจบแรมก็เดินเข้าบ้านไปเลย รุทร อนุวัตร และวารินมองตามด้วยแววตาสงสัยทั้งแถบ
“แม่ดูแปลกๆ นะพี่รุทร” วารินว่า
“จริงว่ะ แม่แรมทำตัวเหมือนกับเป็นคนละคนเลย แกว่าไหม” อนุวัตรตั้งข้อสังเกต
รุทรเองก็ครุ่นคิด สงสัยมากเช่นกัน

พระอาทิตย์ตกดินไปสักพักใหญ่แล้ว แรมในชุดนอนหนาๆ นั่งดื่มน้ำชาร้อนๆ มองเหม่อ รุทรเปิดประตูห้องนอนเดินออกมาเห็นก็เดินมานั่งด้วย
“แม่มีอะไรในใจหรือเปล่า”
แรมหลบตา “เปล่านี่ แม่แค่อยากหาอะไรร้อนๆ ดื่ม”
รุทรเข้ากอดแม่
“แม่ครับ ถ้าแม่มีอะไรไม่สบายใจอยากบอกผมเมื่อไหร่ก็บอกนะครับ เรามีกันอยู่แค่สามคน ผมอยากให้เรามีแต่ความสุขครับ”
แรมลูบหัวลูกชาย “ใช่ลูก...เรามีกันอยู่สามคน แม่ รุทร แล้วก็น้อง”
แรมพูดด้วยความรู้สึกคิดถึงวาทิตที่เป็นน้องชายฝาแฝดของรุทร แต่รุทรไม่รู้เรื่องนี้
“ถึงรินมันจะเป็นลูกน้ารุ้ง แต่ผมกับแม่ก็เลี้ยงมันมาตั้งแต่เกิด จนแม่เชื่อไหมว่า บางทีผมยังลืมเลยว่ามันเป็นลูกน้ารุ้ง”
แรมยิ้มเศร้า “แต่สำหรับหัวอกคนเป็นแม่ แม่ไม่เคยลืมว่ามีลูกกี่คน”
รุทรงงมาก “แม่หมายความว่าไงครับ”
“เอ่อ ไม่มีอะไรหรอก แม่ก็คิดเหมือนรุทรน่ะ แม่เลี้ยงรินมาจนลืมไปเลยว่ามันเป็นลูกน้องสาวตัวเอง”
รุทรพยักหน้าเข้าใจ “แม่รู้ไหมครับว่าการมีน้องมันทำให้ผมมีความสุขมาก ตอนเด็กๆ ผมจำได้ว่าเวลาเห็นเด็กคนอื่นต้องดูแลน้องผมอยากจะมีน้องมาก ไม่อยากเป็นลูกคนเดียว จนวันที่แม่พารินมาให้ผมเลี้ยง ผมดีใจมากเลยรู้ไหมครับ”
แรมฟังรุทรแล้วเริ่มน้ำตาไหลเงียบไป รุทรมองแม่ด้วยสายตาสงสัย
“แม่เป็นอะไรครับ”
“เปล่าน่ะ แม่ฟังแล้วดีใจที่รุทรรักน้อง ดึกแล้วแม่ไปนอนนะ”

แรมลุกเดินเข้าห้องนอนไปเลย รุทรมองตามทั้งสงสัยและงุนงงกับคำพูด และท่าทีแปลกๆ ของแม่ในวันนี้

อ่านต่อตอนที่ 2
กำลังโหลดความคิดเห็น