ลมซ่อนรัก ตอนที่ 2
อัณณากลับเข้ามาในห้องทำงานของปราณด้วยท่าทีเซื่องซึม ใบหน้าหงอยๆ
“อ้าว อัณ วันนี้มาสาย ไม่สบายหรือเปล่า” ปราณถาม
“เปล่า”
“แล้วทำไมมาสาย ไปไหนมา”
ทันใด พสุวัฒน์ก็เปิดประตูพรวดเข้ามา
“ปราณ!! กรรมการบริษัทรู้เรื่องการทุจริตแล้ว” พสุวัฒน์บอก
“รู้ได้ยังไงครับ” ปราณถาม
“มีคนแฟ็กซ์จดหมายสนเท่ห์ถึงกรรมการทุกคน เรื่องการทุกจริตที่เกิดขึ้นในทุกบริษัท ตอนนี้ฝ่ายตรวจสอบไปเก็บรวบรวมหลักฐานที่โรงงานอยุธยาแล้ว”
ปราณอึ้งเพราะยอมไม่ได้
“อัณ ให้คนเตรียมรถแล้วคุณไปกับผม”
พูดจบปราณก็เดินออกไปทันที พสุวัฒน์กับอัณณาเดินตามไป
ปราณเดินนำมาที่ด้านหน้าบริษัทที่รถของปราณจอดรออยู่แล้ว
พสุวัฒน์เดินจ้ำตามมา “ปราณจะไปไหน”
“อยุธยาครับ” ปราณบอก
“พ่อไปด้วย”
“พ่ออยู่ที่นี่ดีกว่าครับ เผื่อมีอะไร จะได้ส่งข่าวถึงกันได้”
ปราณรีบขึ้นรถ อัณณาตามขึ้นไปด้วย
พสุวัฒน์ยืนส่ง “ระวังตัวด้วย”
ปราณขับรถออกไป
สินธรยืนมองอยู่ที่มุมหนึ่ง เขาหยิบมือถือขึ้นมาแนบหูเพื่อโทรหาใครบางคน
ภัทรินนั่งหน้าซีดอยู่ต่อหน้าชมนาดและผู้จัดการ
“ทางสำนักงานใหญ่เขาเสียใจ แล้วก็เสียดายคุณมากนะคุณภัทริน เขาสรุปกันแล้ว ว่าจะไม่เอาคุณขึ้นศาล แต่ขอให้คุณใช้หนี้ที่โกงไปทั้งหมด” ชมนาดว่า
ภัทรินมึน “ทั้งหมด..มันเท่าไหร่เหรอคะ”
“17ล้าน..จะผ่อนเป็นงวดๆ หรือยังไงก็ให้บอกมา” ชมนาดถาม
ภัทรินตกใจ “17ล้าน บ้าไปแล้ว”
“ก็เอามาคืนเขาซะสิ เธอคงยังไม่ใช้หมดหรอกน่า..ใช่ไหม เงินตั้งเยอะตั้งแยะ”
ภัทรินแค้นใจ เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วกดไปเบอร์ธนาฒน์ที่เม็มไว้ เสียงที่ดังมา คือ ไม่มีหมายเลขที่ท่านเรียก ภัทรินอึ้ง
ชมนาดยื่นเอกสารมาตรงหน้า “คุณต้องเซ็นยอมรับผิด และสัญญาว่าจะชดใช้เงินคืนให้บริษัท..ไม่อย่างนั้น ทางเราจะส่งเรื่องขึ้นฟ้องศาล เป็นคดีความ แล้วคุณจะมีประวัติทุจริต หมดทางทำมาหากินได้อีกเลย”
ภัทรินซีดอย่างไม่มีทางเลือก เอกสารถูกยื่นมาตรงหน้า พร้อมปากกา
ชมนาดพูดนิ่งๆ “เซ็น..”
รถของปราณแล่นมาตามทางระหว่างถนนสายยาว ปราณนั่งขับมาอย่างเงียบขรึม
“ถ้าทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นแผนที่ปูมาเพื่อเขี่ยผมออกจากตำแหน่งผู้บริหาร..ผู้หญิงคนนั้น..ภัทริน..อาจมีส่วนได้ส่วนเสีย..ถ้าเราได้ตัวภัทรินมาเจรจาต่อรอง บางทีคดีนี้อาจพลิกก็ได้”
“แต่..เราจะได้ตัวภัทรินก่อนคนพวกนั้นได้ยังไง”
ปราณไม่ตอบ แต่เหยียบคันเร่งให้เร็วขึ้น
“ใครกัน ใครที่คิดหักหลังปราณกับพ่อได้” อัณณาถาม
“ถ้าผมพูด..อัณจะเชื่อไหม”
“ปราณรู้เหรอ”
“ผมมีหลักฐานบางอย่าง แต่ผมยังไม่แน่ใจ”
“ปราณมีหลักฐานเหรอ...เค้าเป็นใครคะ”
ทันใดนั้นทั้งสองก็ได้ยินเสียงเครื่องยนต์สี่สูบจากบิ๊กไบท์ที่ขี่ไล่ตามท้ายรถมา รถคันนั้นเบิ้ลเครื่องให้เสียงท่อดังฮึ่มๆ ดุดันน่ากลัว รถบิ๊กไบท์ตีขึ้นมาขนาบข้างคนขับ ปราณหันไปมองก็รู้สึกไม่ดีจึงเร่งความเร็วของรถขึ้นอีก บิ๊กไบค์เร่งเครื่องตามประกบอย่างไม่ลดละ
ภัทรินเซ็นลายเซ็นลงไปเรียบร้อยก็ทิ้งปากกาแล้วร้องไห้หนัก ชมนาดดึงเอกสารมาดูด้วยอาการพอใจมากโดยไม่ได้มีท่าทีแยแสหรือเห็นใจภัทรินเลย
ชมนาดพูด “เรื่องการชำระหนี้ ชั้นจะให้ทีมกฎหมายของบริษัทประเมินราคาทรัพย์สินที่เธอมี เอาขายทอดตลาด แล้วเหลือหนี้เท่าไหร่ค่อยมาผ่อนจ่าย”
ภัทรินร้องไห้ ปาดน้ำตา ก่อนจะหยิบมือถือมากดโทรออกหาธนาฒน์ แต่สายยังคงไม่ว่างเช่นเดิม
“คุณทำอะไรอยู่ธนาฒน์”
“ตอนนี้คุณไม่ใช่พนักงานในเครือของจีแอลเอสอีกแล้ว กรุณาไปเก็บของๆคุณออกไปด้วยนะคะ” ชมนาดว่า
“คุณ..คุณรู้จักธนาฒน์..ฝ่ายขายมั้ยคะ..เขาจะอธิบายเรื่องทุกอย่างนี้ได้แน่ คุณช่วยติดต่อเขาให้ชั้นได้มั้ย”
“อย่าเสียเวลา เอาเวลาไปคิดหาเงินคืนบริษัทดีกว่านะ”
ชมนาดรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่น่าตลกสิ้นดี เธอหัวเราะแล้วก็เดินออกไป
ภัทรินพยายามเรียกไว้
“เดี๋ยวสิคุณ”
ชมนาดถือเอกสารเดินแยกออกมาด้านนอกโรงงาน รถของชมนาดขับเข้ามาจอดตรงหน้าเพื่อรอรับชมนาดขึ้นรถ
ชมนาดเปิดประตู แต่ยังไม่ทันขึ้นไป ภัทรินก็วิ่งตามออกมาก่อน
“คุณคะ..ถ้าสมติ..ชั้นมีหลักฐาน..ที่ยืนยันได้ว่าชั้นไม่ได้ทำ..คุณจะ..”
ภัทรินชะงักไป เพราะเหลือบมองผ่านเข้าไปในรถของชมนาดก็เห็นว่าธนาฒน์เป็นคนขับรถคันนั้น
ภัทรินตกใจ “ธนาฒน์”
ภัทรินอึ้ง งง และไม่เข้าใจ เธอมองธนาฒน์กับชมนาดสลับกัน
“ทำไม..คุณ.. มันหมายความว่ายังไงธนาฒน์”
ธนาฒน์อึกอัก “เอ่อ..คือ..”
ภัทรินจะปราดเข้าไปหาธนาฒน์ แต่ชมนาดขวางเอาไว้
“ธนาฒน์เป็นผู้รวบรวมหลักฐานกลโกงทั้งหมดของคุณ มาแจ้งกับทางสำนักงานใหญ่” ชมนาดบอก
ภัทรินอึ้ง “อะไรนะ..”
เจ้าหน้าที่ตรวจสอบที่วิ่งตามมาช่วยกันภัทรินออกไป
“ทำไมคุณทำอย่างนี้..ธนาฒน์.. ไม่จริงใช่มั้ย..บอกทุกคนสิว่ามันไม่จริง..คุณไม่ได้ใส่ร้ายแพต..ธนาฒน์”
ชมนาดขึ้นรถไปก่อนจะหันมายิ้มกับธนาฒน์อย่างอ่อนโยน ธนาฒน์หน้าเจื่อนๆเล็กน้อย เหมือนไม่สบายใจนัก รถกำลังจะแล่นออกไป
ภัทรินร้องเรียก “ธนาฒน์”
ภัทรินผลักพวกเจ้าหน้าที่ออกแล้ววิ่งไปขวางหน้ารถไม่ยอมให้ไป
ภัทรินร้องไห้ “ธนาฒน์..คุณบอกความจริงกับทุกคนสิ บอกเขา.แพตไม่ได้โกง.แพตไม่ได้โกง”
ธนาฒน์ลังเลและทำหน้าเจื่อนๆ
ชมนาดสั่ง “ออกรถ”
ธนาฒน์ค่อยๆขับรถกดดันภัทรินให้ออกไปพ้นทาง ภัทรินวิ่งไล่ตาม จนส้นรองเท้าหัก ภัทรินเสียหลักล้มลงไปคลุกฝุ่น แล้วเธอก็นั่งร้องไห้อย่างหมดสภาพสุดๆ
รถปราณเร่งเครื่องหนี บิ๊กไบท์ยังขี่ขนาบข้าง คนซ้อนทำท่าเหมือนจะชักปืนออกมา
อัณณาตกใจ “ปราณ..ทำยังไงดี”
“อัณ โทรหาพ่อ” ปราณบอก
อัณณามือสั่นแล้วพยายามหยิบมือถือออกจากกระเป๋า บิ๊กไบค์พยายามเร่งเครื่องเพื่อตีคู่คนขับให้ได้
อัณณากดมือถือโทรหาพสุวัต ปราณเหยียบเบรคกระทันหันทำให้บิ๊กไบค์ขี่เลยหน้ารถปราณไปไกล แล้วปราณก็เข้าเกียร์ถอยหลัง รถบิ๊กไบท์กลับรถแล้วขี่ตามมา คนซ้อนถือปืนเล็งตรงมาที่รถปราณ
อัณณาเห็นปืนก็ตกใจ
“ปราณ..”
“อัณ ก้มต่ำไว้”
อัณณาก้มหัวแล้วหลับตา ปราณเหยียบคันเร่งสุดตีนเพื่อให้รถถอยหลัง คนร้ายเล็งปืนแล้วยิงเปรี้ยง
กระจกด้านหน้ารถแตกเป็นรูห่างจากหน้าปราณไปเพียงไม่กี่นิ้ว ปราณตกใจทำให้รถเป๋ลงข้างทางไปเล็กน้อย
อัณณากรีดร้องด้วยความตกใจ
“ว้าย”
เสียงพสุวัตดังจากปลายสาย “ฮัลโหล หนูอัณ”
คนร้ายระดมยิงตลอด
อัณณาก้มต่ำลงไปนอนกับพื้น ปราณขับรถถอยหลังไปก็พยายามก้มหลบไป
พสุวัต ตกใจที่ได้ยินเสียงปืน
“เกิดอะไรขึ้น หนูอัน ปราณ ฮัลโหล”
เสียงโทรศัพท์เป็นสัณญาณตัดสาย พสุวัตเครียดและคิดว่าต้องเกิดเรื่องชัวร์
จังหวะที่ปราณก้มหลบทำให้รถเสียหลักไหลลงข้างทางมากขึ้น
อัณณาตกใจ “ปราณ”
“ก้มหัวไว้” ปราณบอก
รถไถลลงข้างทาง ปราณพยายามหักพวงมาลัยไปทางขวาและเดินหน้า แต่ถนนข้างทางไม่อำนวย
รถปราณหยุดนิ่งในสภาพที่มีล้อขวาหน้าล้อเดียวที่ยังอยู่บนถนน ส่วน 2 ล้อหลังหมุนฟรีเพราะหล่นลงในดินแฉะๆ บิ๊กไบค์ขี่เข้ามาใกล้มากขึ้น
ปราณตกใจมากเพราะไม่รู้จะทำยังไงดี
มือปืนก้มลงเปลี่ยนแมกกาซีนปืน ปราณตัดสินใจหันไปบอกอัณณา
“อัณคุณหนีไป เมื่อกี้มีบ้านคนเค้าน่าจะช่วยอัณได้ ผมจะล่อพวกมันไปอีกทาง”
“ไม่ เราต้องไปด้วยกัน ปราณไม่ไปอัณก็ไม่หนี”
ประตูฝั่งคนขับเปิดออก ปราณลงมาย่อตัวเอาประตูบังตัวไว้แล้วรอรับอัณณาที่ข้ามมาลงฝั่งเดียวกัน ทั้งคู่จับมือกันวิ่งหนีลงไปในทุ่งข้างทาง
บิ๊กไบค์ขี่เข้ามาจอดด้านหน้ารถ มือปืนก้าวลงมาจากรถแล้วยกปืนเล็งแล้วยิง กระสุนเฉียดด้านขวาของอัณณาไปโดนต้นไม้แถวนั้น
อัณณาร้องลั่น “ว้ายย”
“วิ่งต่อไปอัณ วิ่งต่อ” ปราณบอก
ปราณเปลี่ยนเป็นดันอัณณาให้วิ่งนำหน้าเขาไป มือปืนวิ่งพร้อมยิงต่อ กระสุนถากต้นขาข้างขวาของปราณ
ปราณร้อง “โอ้ย” พร้อมกับที่ร่างของเขาล้มลง
อัณณาหันมาเห็นปราณโดนยิงก็ตกใจจึงเข้ามาก้มลงประคอง
“ปราณ...”
“ผมไม่เป็นไร วิ่งต่อไป อย่าหยุด อย่ามองกลับมา”
ปราณพยายามลุกแล้วดึงอัณณาให้ลุกวิ่ง ปราณหันหน้าเข้าหามือปืน แต่อัณณาหันหลังให้มือปืน
ปราณมองเห็นมือปืนวิ่งใกล้เข้ามา มือปืนยกปืนเล็งอย่างใจเย็น ปราณจับตัวอัณณาเหวี่ยงมาเพื่อเอาตัวบังอัณณาไว้
มือปืนยิงแบบหวังผลในนัดเดียวก่อนจะลั่นไก..ปัง หัวปราณสะบัดอย่างแรงแล้วทรุดลง อัณณายืนช๊อก คนร้ายกำลังจะตามเข้าไปเช็กผลงาน ทันใดนั้นก็มีรถกระบะชาวบ้านแล่นมาบีบแตร เปิดไฟสูงไล่ แล้วจอด พลเมืองดีลงมาจากรถเพื่อช่วยเหลือ คนร้ายตัดสินใจถอยหนีไป
คนร้ายรีบกลับไปที่มอเตอร์ไซค์แล้วขี่หนีไป พลเมืองดีรีบลงจากรถแล้วเข้าไปช่วย อัณณาทรุดตัวลงประคองศรีษะของปราณที่มีเลือดเต็มไปหมดเอาไว้
“ปราณ..ปราณได้ยินมั้ย..อย่าเป็นอะไรนะปราณ”
ปราณสลึมสลือ ลมหายใจรวยริน ใกล้สิ้นใจ แล้วก็คอพับไป
อัณณาตกใจ “ปราณ”
พระอาทิตย์เจิดจ้า ภัทรินกำลังเดินสะโหลสะเหลมาตามทาง เท้าข้างนึงของเธอสวมส้นสูงส่วนอีกข้างสวมส้นหักจึงทำให้เดินกระย่องกระแย่ง
ภัทรินร้องไห้สะอึกสะอื้น “สิบเจ็ดล้าน..ชั้นจะไปเอามาจากไหน”
ภัทรินกระทืบเท้าจนส้นรองเท้าอีกข้างที่เหลือหักเช่นกัน
“โอ้ย”
ภัทรินล้มลงแล้วก็หงุดหงิดรองเท้าจึงถอดออกมาเพื่อจะเขวี้ยงทิ้ง แต่แล้วชะงัก
เหตุการณ์ในอดีตตอนที่ธนาฒน์เอารองเท้าคู่นี้มาให้ภัทรินลองสวมย้อนกลับมา ธนาฒน์ก้มลงนั่งตรงหน้าแล้วค่อยๆยกเท้าภัทรินมาสวมราวกับว่าเธอเป็นเจ้าหญิง
ภัทรินฉุนจึงเขวี้ยงรองเท้าทิ้งสุดแรง แต่รองเท้าไปชนกับเสาไฟแล้วกระเด้งกลับมาใส่เธออีก ภัทรินยิ่งเศร้าและเจ็บปวด เธอร้องไห้และตีอกชกหัวตัวเอง
“ทำไมคุณทำกับชั้นอย่างนี้..ทำไม..ทำไม”
เหตุการณ์ตอนที่ธนาฒน์ขอเธอแต่งงานย้อนกลับมา
ธนาฒน์พูดกับเธอ “ต่อให้นานเพียงใด รักแท้ก็ยังคงเป็นรักแท้ไม่มีวันจะแปรหรือน้อยลงไปตามเวลาถึงแม้บางครั้งชีวิตต้องเจออะไรกระหน่ำแต่ก็ไม่เคยทำให้รักเราเปลี่ยนแปลงไป”
ธนาฒน์คุกเข่าลงกับพื้น “แพ็ตครับ..แต่งงานกับธนาฒน์นะครับ”
ธนาฒน์สวมแหวนให้เธอที่นิ้วนาง
เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในอดีต ภัทรินก็เริ่มโวยวาย
“ชั้นมันโง่..โง่ที่สุด..” ภัทรินพยายามถอดแหวนออกจากนิ้ว “คุณหลอกใช้ชั้น..คนชั่ว คนเลว ชั้นเกลียดคุณ” ภัทรินเขวี้ยงแหวนทิ้งไป
ภัทรินเขวี้ยงแหวนทิ้งเพื่อระบายแค้น แต่แล้วสักพักพออารมณ์เย็นลง สติกลับมา เธอก็นึกขึ้นได้ว่านั่นคือแหวนเพชรที่มีมูลค่า
“แหวน..แหวนเพชร..ไม่ๆๆ”
ภัทรินรีบตะกุยตะกายร่างเพื่อไปหาแหวนที่ทิ้งไปเมื่อครู่
เวลาผ่านไป เจ้าของร้านเพชรกำลังพิจารณาแหวนเพชร ภัทรินรอลุ้นอยู่ว่าจะได้กี่บาท
“ถึงสองแสนมั้ยคะ” ภัทรินถาม
คนขายวางแหวนคืน “โทษนะคะ..นี่มันเพชรปลอมค่ะ”
“อะไรนะ”
“เราไม่รับซื้อของปลอม เสียใจด้วยค่ะ”
“ของปลอม”
ภัทรินแทบปรี๊ดแล้วก็กำหมัดด้วยความแค้น เธอกลับหันหลังจะเดินออกจากร้านไปทันที
“คุณคะ! แหวนค่ะ” คนขายเรียกให้เอาแหวนคืนไปด้วย
ภัทรินชะงักแล้วหันหลังกลับมา
“ของปลอมจะเอาไปทิ้งหรือเอาไปปาหัวหมาที่ไหนก็เชิญเถอะค่ะ” ภัทรินบอก
คนขายงงว่าภัทรินมาเหวี่ยงเขาทำไม
ภัทรินเดินออกไปแล้วเดินกลับเข้ามาใหม่
“ขอคืนนะคะ” ภัทรินบอก
หมาขี้เรื้อนนอนอยู่ที่หน้าร้าน ภัทรินเดินออกมาเอาแหวนปาใส่หัวหมา หมาตกใจวิ่งหนีไป
ภัทรินยืนกรี๊ดอยู่คนเดียวหน้าร้าน
“ธนาฒน์! ไอ้...เลวว”
ชมนาดดูเอกสารแล้วปิดแฟ้ม
“17ล้านบาท..จำนวนเงิน..ที่มีหลักฐานชัดๆ ว่ายัยภัทรินโกงไป..แสดงว่า...ธนาฒน์.. ฉันบอกให้เธอโกงแค่ขำๆ แต่นี่..เธอเอาไป17ล้านเชียวเหรอ”
ธนาฒน์นั่งลงตรงหน้า
“เปล่านะครับ คุณชมนาด ยัยภัทรินตะหาก ที่เอา ผมไม่ได้อะไรเลย แถมเสี่ยงอีก”
“หา..แปลว่า..มันโกงจริง..ไม่ใช่เป็นแพะรับบาปแทนเธอหรือไง” ชมนาดว่า
“รับบาปอะไร..เขาเป็นบัญชี มีเขาคนเดียว..ที่แตะเงินในแบ๊งค์ได้ แถมสร้างเอกสารหลักฐานเองครบตามหลักฐานที่ผมหามาให้คุณนี่ไง..ผมจะไปได้อะไร..” ธนาฒน์พูดด้วยหน้าซื่อๆ และจริงจังมาก
“โอ้โห..แสดงว่า..ถึงมันจะถูกไล่ออกไป..มันก็ต้องรวยไม่ใช่น้อยสินะ”
“ผมว่า..เขาต้องเอาไปตั้งตัวได้เลยล่ะ..คุณชม อย่าลืมนะครับที่คุณจะช่วยฝากผมให้เป็นผู้ช่วยคุณสินธรน่ะ”
“ชั้นไม่ลืมเธอแน่” ชมนาดว่า
ภัทรินที่ตกต่ำขีดสุดแล้วอยู่ในสภาพเยิน เดินเท้าเปล่า ถือรองเท้าแบรนด์เนมที่ไม่มีส้นเดินไปอย่างไร้จุดหมาย เสียงมือถือดังตลอดเวลาแต่ภัทรินไม่สนใจ
ภัทรินมาหยุดยืนอยู่ที่หน้าถนนใหญ่ เธอมองรถที่แล่นผ่านไปมาด้วยความเร็วสูง เสียงธนาฒน์ที่พูดขอแต่งงานดังซ้ำๆ ในหัวอย่างหลอกหลอน
สีหน้าของภัทรินดูหมดอาลัย เธอวางรองเท้าลง วางแหวนข้างรองเท้า แล้วเงยหน้ามาด้วยท่าทางพร้อม ภัทรินข่มใจก่อนจะก้าวเท้าออกไปที่ถนน ทีละก้าว ทีละก้าว
รถยนต์ยังแล่นผ่านหน้าเธอไปด้วยความเร็วสูง ภัทรินยังก้าวต่อไป รถตู้แล่นตรงมา ภัทรินยังก้าวต่อไป รถตู้ใกล้เข้ามาแล้วบีบแตรสนั่น ภัทรินหันไปเห็นรถตู้ก็ตกใจสุดขีดแล้วร้องเสียงดัง
“อ๊าย”
ภัทรินกระโดดกระเด้งถอยหนีกลับมา
รถตู้แล่นผ่านไป ร่างภัทรินฟุบลงไปกับพื้น มือถือในกระเป๋าสะพายใบเล็กกระเด็นออกมาตรงหน้า ภัทรินมองไปที่หน้าจอก็เห็นว่ามีมิสคอลจากแม่ 13 missed call ภัทรินเห็นมิสคอลจากแม่ก็ถึงกับบ่อน้ำตาแตก ร้องไห้โฮออกมา
วันนี้ ชมนาดยืนอยู่ เหล่ากรรมการนั่งอยู่เต็มที่ด้านหลัง สินธรเดินเข้ามา ชมนาดรีบเดินเข้ามาหา
“กรรมการบริหารทุกท่านมาพร้อมแล้วค่ะ” ชมนาดรายงาน
“คุณได้บรี๊ฟรายละเอียดแล้วใช่มั้ย” สินธรถาม
ชมนาดยิ้มแบบมีเลศนัย
“ก็...ถ้าเกิดบอร์ดบริหารจะตัดสินใจปลดใครออก แล้วหันมาเชียร์คุณแทน ก็ไม่เกี่ยวกับชมนะคะ”
ชมนาดเห็นพสุวัฒน์กับอัณณาเดินเข้ามาพร้อมกันก็รีบส่งสัญญาณให้สินธรรู้
“สวัสดีค่ะท่านประธาน” ชมนาดทัก
“สวัสดีครับพี่พสุ..อัณณา..แล้วนายปราณล่ะครับ”
พสุวัฒน์กับอัณณาสบตากันเครียดและไม่มีคำตอบ พสุวัฒน์ไปนั่งประจำที่ อัณณารีบตาม สินธรกับชมนาดยิ้มจนดวงตาแวววาว
บรรดาคณะกรรมการนั่งกันด้วยใบหน้าที่ตึงเครียดและมีบรรยากาศมาคุมาก ทุกคนมองคนที่เข้ามาเพราะหวังจะได้เห็นหน้าปราณ แต่พอไม่เห็นหลายคนก็แปลกใจ
“คุณปราณล่ะ” กรรมการชายคนหนึ่งเอ่ยถาม
สินธรกับชมนาดตามเข้ามานั่งประจำที่
“ใกล้จะมาถึงแล้วใช่มั้ยครับพี่พสุ” สินธรบอก
พสุวัฒน์อึกอักแล้วสบตากับอัณณาอย่างเคร่งเครียด
“ผมต้องขออภัยแทนเจ้าปราณด้วยที่” พสุวัฒน์บอก
กรรมการคนนั้นรีบดักคอ “อย่าบอกนะว่าจะไม่มา”
“การประชุมวันนี้เกี่ยวข้องกับปราณโดยตรง..ถ้าเขาไม่มาชี้แจง..มันจะดูไม่รับผิดชอบไปหน่อยมั้ยพี่พสุ”
“ผมยังไม่ได้พูดสักคำว่าปราณจะไม่มา..ผมก็แค่จะขออภัยที่นายปราณมาช้า” พสุวัฒน์ว่า
“มาช้า..แปลว่าคุณปราณจะมาจริงๆ” ชมนาดถาม
ทันใดนั้นก็มีเสียงดังขึ้น “สวัสดีครับ”
ปราณก็เดินเข้ามาในห้องประชุม ที่ศีรษะของเขามีผ้าพันแผลเอาไว้เล็กน้อยและยังเดินกะเผลกด้วย
“ผมต้องขออภัยด้วยที่มาสายครับ” ปราณบอก
สินธรกับชมนาดตกตะลึงอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะสินธร.. มีอะไรน่าแปลกใจ”
พสุวัฒน์กับอัณณาคอยสังเกตปฏิกิริยาเพื่อจับผิด
รถไฟชั้น3สายเหนือแล่นไปท่ามกลางขุนเขา ภัทรินในชุดโก้หรูแต่กระเป๋าที่ใช้ใบเล็กลงไปจากเดิม เธอใส่แว่นดำ รวบผม สวมหมวก นั่งหลังตรง กอดกระเป๋าด้วยท่าทางแปลกแยกกับสภาพแวดล้อมที่ผู้โดยสารส่วนใหญ่เป็นชาวบ้านธรรมดา
ใต้แว่นดำนั้นดวงตาของภัทรินเหม่อลอยและมีน้ำตาไหล ภัทรินรู้สึกเศร้า เธอใช้ปลายนิ้วปาดน้ำตา กัดฟัน แล้วเชิดหน้า รถไฟแล่นโค้งอ้อมภูเขาไป
ชมนาดเอาเอกสารรายงานการตรวจสอบว่าพบการทุจริตทั้งหมดที่ตรวจพบมาวางตรงหน้าปราณ เธอใช้สายตาเหลือบมองแผลและเนื้อตัวปราณอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา
“รายงานการทุจริตของบริษัทในเครือจีแอลเอสที่เราตรวจพบ..มูลค่ารวมกว่าสามสิบล้านบาท”
ปราณนั่งนิ่งมองเอกสารนั้นโดยไม่ได้แตะต้องอะไร
สินธรพูดต่อ “นี่เป็นการทุจริตที่ใหญ่ที่สุดตั้งแต่ก่อตั้งจีแอลเอสมา..เธอจะอธิบายยังไงปราณ”
ปราณมองพสุวัฒน์ มองอัณณา แล้วตัดสินใจชี้แจง
“เอ่อ..ครับ..ผมยอมรับ..ว่ามันมีการทุจริตจริง..และมันก็คือความรับผิดชอบของผมจริง”
พสุวัฒน์กับอัณณาแปลกใจที่ปราณยอมรับ
“เธอยอมรับ..ว่าแผนการบริหารธุรกิจในเครือจีแอลเอสของเธอ..มันบกพร่อง มีรูโหว่ที่เปิดช่องให้มีการฉ้อโกงภายในบริษัท”
“ผมยอมรับว่ามีความผิดพลาดจริง แต่มันไม่แฟร์เลยถ้าจะไม่ให้ผมได้ลองแก้ความผิดพลาดนั้น..ทุกท่านทราบมั้ยครับว่าเมื่อวานเกิดอะไรขึ้นกับผม” ปราณนต์ชี้ศีรษะ “ผมไปสืบเรื่องการทุจริตที่อยุธยา และถูกลอบทำร้าย..ใครเป็นคนทำผมก็ไม่ทราบ..แต่ที่แน่ๆมันรู้ว่าผมกำลังทำอะไร มันถึงหาทางขัดขวาง ไม่ให้ผมสาวถึงตัวมัน”
“คุณปราณคิดมากไปหรือเปล่าคะ..อาจจะแค่การกระทบกระทั่งกันบนท้องถนน..คนสมัยนี้เลือดร้อนจะตาย ใครๆก็ทราบ” ชมนาดว่า
“ผมยังไม่ได้บอกเลยว่าผมถูกลอบทำร้ายยังไง” ปราณพูดดัก
ชมนาดอึ้ง สินธรรีบแทรก
“หลานถูกลอบทำร้ายกับเรื่องทุจริต มันไม่เห็นจะเกี่ยวข้องกัน”
“ก็แล้วแต่มุมมองครับ”
“สรุปว่าเธออยากแก้ปัญหาการทุจริตนี้” กรรมการคนหนึ่งถาม
“มันเป็นหน้าที่นึงของประธานบริหารไม่ใช่เหรอครับ..การทุจริตที่เกิดขึ้น ผมมั่นใจว่าไม่ใช่แค่เรื่องของคนโลภโกงเงินบริษัท..แต่มันคือการเมือง..มีใครบางคน..กำลังทำอะไรบางอย่าง..เพื่อผลที่ต้องการ..อาจจะเป็นตำแหน่งประธานบริหารก็ได้” ปราณบอก
“เหลวไหล..ที่หลานพูดมา ก็แค่จะขอต่อเวลาหายใจ” สินธรว่า
“ครับ ผมก็หวังว่าคุณอาจะไม่เร่งรัดเวลาของผมนะครับ” ปราณบอก
พสุวัฒน์ช่วยเสริมปราณ “ผมไม่ได้เข้าข้างลูกนะ..แต่เรากำลังขยายบริษัทออกไปในอาเซียน..ถ้ามีข่าวเรื่องการปลดผู้บริหารเพราะเหตุทุจริตออกไป..มันจะกระทบความน่าเชื่อถือของจีแอลเอสมาก..มันไม่คุ้มนะ”
“ถ้าไม่อยากกลายเป็นเครื่องมือของใครให้เสียหน้า..ก็ให้เวลาผม..แล้วผมจะทำให้ทุกอย่างขาวสะอาด”
กรรมการทุกคนลังเลและชั่งใจก่อนจะโอนเอียงมาทางปราณ สินธรกับชมนาดรู้สึกขัดใจ
อัณณามองปราณอย่างชื่นชมในไหวพริบของเขา
อ่านต่อหน้า 2
ลมซ่อนรัก ตอนที่ 2 (ต่อ)
สินธรเดินกลับเข้ามาในห้องประชุมแล้วเขวี้ยงเอกสารการประชุมทิ้งด้วยความหงุดหงิด
“ไอ้สวะพวกนั้นมันโกหกเรา ไอ้ปราณมันไม่เป็นอะไรเลย แผนทุกอย่างพัง พังเพราะมือปืนห่วยๆของคุณ”
“ไอ้พวกนั้นมันกล้าโกหกหลอกเอาเงินชั้นเหรอ” ชมนาดว่า
“ตอนนี้พี่พสุกับไอ้ปราณมันคงรู้แล้วว่ามีคนพยายามแทงข้างหลัง เผลอๆมันอาจจะสงสัยชั้นแล้วด้วยก็ได้..ต่อไปชั้นจะพูดจะทำอะไรมันก็ยาก”
ในขณะที่สินธรฉุนเฉียว ชมนาดกลับสงบนิ่งและครุ่นคิด
ชมนาดพูดขึ้น “เราอาจต้องเปลี่ยนแผนการ”
“อะไรอีก”
“ในเมื่อเกมมันพลิก เราก็ต้องพลิกไปตามเกม”
“เธอจะพลิกอะไรยังไงอีก”
“อย่างน้อยเวลานี้..คุณปราณเสียความน่าเชื่อถือในสายตากรรมการบริหารไปเยอะ..ถ้าเราตีตรงจุดเดิมซ้ำ..ซ้ำเข้าไป..เอาให้ภาพลักษณ์ไม่เหลือ หมดความเป็นผู้นำ ขาดวิสัยทัศน์..คุณว่า..จะยังมีใครเอาคุณปราณเป็นท่านประธานต่อไปอีกมั้ย”
“เธอพูดง่าย..ช่วยแปลให้มันเป็นรูปธรรมหน่อยได้มั้ย”
ชมนาดมั่นใจ
ยามเช้ามืด ทิวทัศน์ดอย ภูเขาสลับซับซ้อนเต็มไปด้วยไม้เมืองหนาว ถนนไต่เนินเขา รถสองแถวที่บรรทุกสินค้าจากในเมืองขึ้นมาบนดอยแล่นปุเลงๆมา บนรถมีสินค้าพวกอุปโภคบริโภค เป็ดไก่เลี้ยงอยู่ที่ข้างทาง ชาวเขาแบกของขึ้นบ่าเดินเท้าบ้าง ภัทรินมีท่าทางเหนื่อยจากการเดินทางนั่งเบียดเสียด สัปหงกมาบนกองสินค้าในรถ
ไร่ของแม่มีป้ายเขียนว่า “ไร่ ภัทริน ” รถสองแถวจอด ภัทรินยังหลับคอพับคออ่อน
เด็กรถเข้ามาเขย่าเรียก “พี่ๆ ถึงแล้ว ไร่ป้าภา..”
ภัทรินสะดุ้งตื่นขึ้นมางัวเงีย พอมองไปรอบๆ ก็ได้สติจึงรีบแหวกผู้คนลงจากรถ
ภัทรินถือเป้และกระเป๋าที่ดูหรู แพง และไม่เข้ากับสถานที่ เธอเดินลงมายืนหน้าไร่ รถสองแถวแล่นต่อไปจนฝุ่นฟุ้งกระจาย ภัทรินชักรู้สึกเย็นๆ จึงเอาผ้าพันคอพาสมีน่าในกระเป๋ามาห่มตัว เธอมองไปรอบๆ ด้วยความรู้สึกแปลกแยก
ภารตีกำลังเก็บสตรอเบอรี่ คนงาน 2 คน ช่วยเก็บอย่างรีบเร่ง ภารดีเงยหน้าขึ้นมาแล้วก็ชะงักเหมือนไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง เธอหเ็นภัทรินที่ดูหรู สวมหมวก ใส่แว่นดำ ถือเป้ กระเป๋าแบรนด์ เดินกะปลกกะเปลี้ยเข้ามาหา คนงานมองภัทรินเหมือนดูดารา
“ภัท..ไอ้ภัท..มาได้ไงลูก” ภารดีดัีใจ
ภัทรินวางของแล้วยกมือไหว้แม่ “ก็..ลางานมา..เหนื่อย..อยากพักผ่อนบ้างค่ะ แม่”
“แหม จะมาสะใภ้แม่ใช่มั้ยล่ะ” ภารตีว่า
“เอ่อ ค่ะ เซอร์ไพร้ส์ค่ะ” ภัทรินบอก
ภัทรินทำท่าเหมือนอยากกอดแม่ แต่ไม่อยากแสดงออกให้แม่รู้ว่าเธอมีปัญหา
“สีหน้าไม่ดีเลย เมารถล่ะสิ นานๆขึ้นดอยทีก็เงี้ย ไปบ้านก่อนไป ไปกินน้ำกินข้าวกันก่อน..แล้วจะอยู่กี่วันลูก”
“ก็..” ภัทรินดูเล็บตัวเองที่หักไปจากการยกกระเป๋า “ยังไม่แน่ โอ้ย เล็บเจ๊งหมดแล้ว กรรมเวร”
เจ้าโคโค่วิ่งมาระหว่างแถวพืชไร่ พอได้ยินเสียงภัทรินมันก็รีบหันมามอง พอเห็นเจ้านายก็ดีใจสุดขีดแล้วก็วิ่งเห่าเข้ามาก่อนจะกระโจนใส่เต็มๆ
“อ๊าย อิโคโค่ ชะเน่ลลล บ้าไปแล้วหรอ เสื้อผ้าเลอะหมดเลย อ๊าย แล้วทำไมแกสารรูปทุเรศอย่างนี้ แม่ นี่แม่ไม่อาบน้ำตัดขนให้โคโค่ ชะเน่ลลลมันมั่งเหรอไงเนี่ย อี๋..อย่าเลียหน้าสิ นังบ้า เหม็นหมดแล้ว นี่ไม่แปรงฟันเลยใช่ไหม ว้าย เล็บก็ยาว ยี้ นี่หมดเห็บคงเต็มตัวล่ะสิ แม่ ทำไมแม่ไม่ดูแลลูกภัทเลย ภัทอุตส่าห์ไว้ใจแม่ เอาลูกสาวมาให้เลี้ยง แต่แม่ทิ้งๆ ขว้างๆ มันเหรอไง นี่เคยอาบน้ำให้มันป่าวเนี่ย”
“อาบ ไม่ได้ทิ้ง 4-5เดือน ก็อาบน้ำให้มันที” ภารดีบอกหน้าตาเฉย
ภัทรินตกใจสุดขีด
“4-5 เดือน”
ภัทรินกำลังอาบน้ำให้เจ้าโคโค่ พร้อมกับบ่นว่าแม่ไปด้วย
“แม่นะแม่ เสียแรงที่ภัทไว้ใจฝากลูกให้เลี้ยง”
“แม่ไม่มีเวลาจริงๆ นี่นา”
ภัทรินมองไปรอบๆ แล้วก็นึกได้ “แม่ทำงานหนักเกินไปหรือเปล่า นี่แม่แก่แล้วนะ ไม่ใช่สาวๆ อีกแล้ว จะขยันไปไหน เอ ที่ของเรานี่ กี่ไร่นะแม่”
“โอ้ย นิดหน่อยเอง”
“นิดหน่อยน่ะ กี่ไร่”
“18 ไร่”
ภัทรินนิ่งไป เธอมองหน้าแม่แล้วตัดสินใจถาม
“เอ่อ แล้วถ้าสมมุติว่าขายล่ะ จะได้กี่บาท”
“โอ๊ย ตอนนั้นมีคนกรุงเทพฯมาขอซื้อจะไปทำรีสอร์ท เขาจะให้4-5 ล้าน แม่ยังไม่เอาเลย”
“ทำไมไม่เอาล่ะ ขายๆ ไปซะก็ดีนะ ไม่ต้องหลังขดหลังแข็ง ขายที่ แล้วไปซื้อตึกในจังหวัดอยู่ สบายๆ”
“ทำไมอยากอยู่ในเมือง”
“เปล่า ไม่มีอะไร ภัทก็พูดเล่นๆ ขำๆ ไปงั้น”
“เออ กี่โมงแล้วนี่”
“สิบโมง”
“แม่มีนัดไปหาหมอ”
“หา แม่เป็นอะไร”
“เปล่า แม่สงสัย ว่าจะมีความดันสูง จะไปให้หมอเขาวัดหน่อย”
“แล้วนี่แม่ก็ต้องนั่งรถ..เข้าเมืองไปอีก2ชั่วโมงใช่ไหม บอกแล้ว ถ้าอยู่ในเมืองก็สะดวก ขายที่เลยแม่ ขายที่ไปซื้อตึกในเมือง จะได้ไปหาหมอสะดวก”
“ใครบอกว่าต้องเข้าเมือง เดี๋ยวนี้บ้านเราเขามีหมออาสามารักษาแล้ว”
ภัทรินแอบเซ็ง
ในชุมชน มีร้านขายกาแฟ ร้านขายของชำ โรงเรียน เด็กๆวิ่งกันเต็มสองข้างทาง ภารตีถีบจักรยานมา
ภัทรินถีบตามยอกแยกฝ่ามากลางหมู่บ้าน
ภารตีถีบจักรยานเข้ามาในโรงเรียนที่อาคารเป็นไม้ผสมปูนซึ่งใช้เป็นสถานที่สำหรับให้หมอใช้ชั่วคราว
แพะเดินตามทาง ภัทรินมองอย่างสยองๆ เด็กๆ มุงอยู่ที่ลาน ภารตีจอดรถ ภัทรินจอดตาม ชาวเขาอุ้มทารกบ้าง จูงคนแก่บ้างมาที่นี่กันหนาตา
ภัทรินมองไปมองมาแล้วก็เดินตามภารตีไป มีแพะมาชน ภัทรินร้องวี้ดว้าย แล้วแหวกแพะให้หนี แล้วถอยไปเหยียบอะไรบางอย่างแปะ
ภัทรินก้มไปมองแล้วทำหน้าสยองเพราะสิ่งที่เหยียบ คืออึแพะ
“ว้าย อี๋…”
“ระวังหน่อย เช็ดๆ กับหญ้าสิลูก”
ภัทรินเช็ดแล้วทำท่าแขยงเหมือนจะตาย
ทันใดนั้นก็มีเสียงดีดซึงทำนองเพลงร่าเริงดังขึ้น เสียงเด็กร้องเพลงหมู่พร้อมกันดังขึ้น
“ฟัน ฟัน ฟัน เป็นสิ่งสำคัญที่ควรรักษา ตื่นเช้าเราลุกขึ้นมา เราต้องล้างหน้า แปรงฟัน แปรงขึ้น และแปรงลง แล้วแปรงให้ทั่วๆฟัน นั่นคือวิธี แปรงฟันที่ดีจริงๆ ใช้แปรงและยาสีฟัน ทั้งเช้าและเย็นทุกวัน ฟันสวยสะอาด ยิ้มทั้งวันไม่ต้องอายใคร”
เด็กๆ เต้นและร้องพร้อมกับทำท่าไปมา เสียงคนเล่นซึงดังมาตลอด ภารตีเดินนำภัทรินแหวกเข้าไป
ภัทรินมองเห็นแล้วก็รู้สึกทึ่ง
ปราณนต์เล่นซึงแล้วนำเด็กร้องเพลงและเต้นไปอย่างร่าเริง
“หนูมาลีมีแมงกินฟัน แมงกินฟัน แมงกินฟัน หนูมาลี มีแมงกินฟัน กินแล้วจึงปวดฟัน”
เด็กๆ สนุกสนานมาก
ปราณนต์เดินมาใกล้ชิดเด็กก่อนจะทำท่าหลอกให้เด็กๆยิงฟันให้ดูและร้องเพลงหนูมาลีไปเรื่อยๆ
ภัทรินมองไปทั่วๆ
“ไม่เห็นมีหมอเหมออะไรเลยอ่าแม่ มีแต่พวกนักดนตรีเร่พวกนี้ หรือหมอเขาให้มาแสดงเพื่อหลอกเด็กๆมาให้รักษาเยอะๆ”
“ก็นั่นไง หมอ” ภารตีชี้ไป
“ไหน”
“ก็นั่นไง หมอคะ หมอๆๆ” ภารตีโบกมือให้
ปราณนต์หันมาตามเสียงเรียกพอเห็นภัทรินก็จำได้จึงชะงักไปนิดนึงแล้วยิ้มกว้างก้มหัวเป็นเชิงตอบภารตี
ภัทรินงง “เนี่ยเหรอ หมอ”
ปราณนต์ดีดซึงร้องเพลงนำเด็กเดินไปทางที่ภัทรินยืนอยู่
“อาบน้ำกันไหมๆๆ อาบน้ำ แล้วล้างหน้า ล้างแขน ล้างขา ล้างข้างหน้า ล้างข้างหลัง ล้างก้น ล้างเท้า ทำให้เราตัวหอมจังเลย เอ้า อาบน้ำๆๆๆ”
จู่ๆ ก็เกิดลมแรงพัดมา ใบไม้ และฝุ่นผงต่างๆปลิวกระจาย เสื้อผ้าทุกคนปลิวพึ่บพั่บๆๆ
ลมพัดเสื้อผ้าของปราณนต์ปลิวไสว ผมเผ้ากระจายเช่นกัน
“ทุกคน ยกมือขึ้น” ปราณนต์เดินผ่านมาตรงหน้าภัทรินแล้วยิ้มให้ก่อนจะยิ้มกราดให้ทุกคน “เอ้า พร้อมกันเล้ย อาบน้ำๆๆกันไหม”
เด็กๆ ร้องตามแล้วเต้นตามอย่างสนุกสนานท่ามกลางลมแรง ภารตีและชาวบ้านอื่นๆ ก็พลอยเต้นไปด้วย ภัทรินทำหน้าอี๋ก่อนจะถอยออกมายืนเป็นคนดูหลังๆ โดยไม่ให้ความร่วมมือ เธอรวบผม รวบเสื้อผ้า ลมพัดแรงจนหมวกหลุดจากหัวแล้วปลิวไปจนต้องวิ่งไล่ตะครุบไปรอบๆ
ปราณนต์ร้องไปเล่นซึงไปแต่ก็ไม่วายหันมามองภัทรินเพราะเธอเอาแต่วิ่งแทรกคนอื่นๆ เพื่อไล่เก็บหมวก เด็กบางคนวิ่งตามภัทรินเพราะนึกว่าเธอกำลังเล่นอยู่ เด็กวิ่งมาแย่งเก็บหมวก
เด็กหญิงคนหนึ่งเก็บหมวกได้ก็เอามาใส่ ภัทรินตามมาคว้าจะเอาคืน เด็กโยนหมวกไปให้เพื่อนอีกคนใส่แล้วก็โยนวนไปวนมา ชาวบ้านรวมทั้งภารตีมองภัทรินกับเด็กด้วยความชอบใจเพราะนึกว่าภัทรินเล่นกับเด็กอยู่
ปราณนต์ร้องเพลงต่อไปท่ามกลางลมแรง พลางหันไปมองตามภัทรินขำๆ
ภัทรินใส่หมวกนั่งหน้าหงิกอยู่ที่มุมหนึ่ง ภารตีกับชาวบ้านบางส่วนยืนคุยกับปราณนต์อยู่ทางด้านหลัง
จันทร์วิภาขี่มอเตอร์ไซค์มาพร้อมกับเนตรมณีที่มีเบญจคีย์นั่งซ้อนท้าย รถแล่นเข้ามาจอดบริเวณที่ภัทรินนั่งอยู่
ภัทรินหันไปเห็นก็จำได้จึงหันซ้ายหันขวาพลางคิดว่าจะหนีไปซ่อนที่ไหนดี เธอพยายามเอาหมวกปิดหน้า
เนตรมณีมองไปที่ภัทรินแล้วก็จำได้
“นั่นภัทนี่”
สามสาววิ่งเข้ามาหาภัทริน
“ภัท..เธอมาเยี่ยมแม่เหรอ” เนตรมณีถาม
ภัทรินสะดุ้งแล้วหันมายิ้มตอบ “อ๋อ ใช่ๆ มาเยี่ยมแม่ พอดีแม่ไม่สบายนิดหน่อยน่ะ คงอยู่กับแกซัก อาทิตย์นึง แล้วก็ต้องรีบกลับ เพราะงานฉันยุ่งมากๆเลย”
เบญจคีย์กางแขนจะเข้ากอด “ภัทมากอดทีสิเพื่อน ชั้นคิดถึง”
ภัทรินกลัวถูกกอดจึงรีบคว้ามือมือที่กางของเบญจคีย์มาเช็คแฮนด์แทน “ดีใจจังที่เจอเธอ” ภัทรินจับมือเนตรมณีด้วย “เธอด้วยนะ” แล้วคว้ามือจันทร์วิภามาจับ “เธอก็ด้วย”
“แหม ทักทายเป็นฝรั่งเชียวนะ” เนตรมณีว่า
ภัทรินยิ้มแก้เก้อก่อนจะถอดหมวกแล้วเอามาโบก
“ตรงนี้ร้อนเนอะ”
พูดจบภัทรินก็ทำเนียนโบกหมวกพร้อมกับเดินหนีเพื่อนไปอีกทาง สามสาวเดินตามมาถามต่อ
“น้าภาบอกเธอทำงานบริษัทผลิตอุปกรณ์การแพทย์ใหญ่โตในกรุงเทพฯ เหรอ รวยมาเลยสิ เงินเดือนเท่าไหร่อ่ะ ถึงสองหมื่นป่ะ” เบญจคีย์ถาม
“สองหมื่นเหรอ จ้ะสองหมื่น” ภัทรินเออออ
“โหๆๆ” เบญจคีย์เจอใครเดินผ่านมาก็ตะโกนบอก “ป้าๆๆ นี่ยัยภัทลูกสาวน้าภา มันรวยมาก เงินเดือนมันตั้งสองหมื่นแน่ะ”
เบญจคีย์ตะโกนเสียงดังแบบชวนเม้าท์ ภัทรินยิ้มเจื่อนก่อนจะเดินหนีไปอีกทาง แต่ทั้งสามสาวยังเดินตามอย่างไม่ลดละ
ปราณนต์ยังคุยกับกลุ่มชาวบ้านแต่ตากลับมองตามภัทรินตลอด ภารตีมองตามสายตาของปราณนต์ที่กำลังมองภัทรินอยู่ก็รีบเสนอขายลูกสาวทันที
“นั่นลูกภัท ลูกสาวน้าไงคุณหมอ”
ปราณนต์หันกลับมามองภารตี
ภารตีพูดต่อ “ก็คนที่หมอณนต์เคยโทรไปหาไง หน้าตาจิ้มลิ้มน่ารัก ส่วนนิสัยน่ารักกว่าหน้าตาอีกนะจ๊ะ”
ปราณนต์รีบพูดเปลี่ยนเรื่อง
“เราเริ่มตรวจกันเลยดีกว่าครับ คุณพยาบาลกับผู้ช่วยมากันแล้ว”
“จ้ะ”
ภารตีกับชาวบ้านเดินไปต่อแถวหน้าโต๊ะตรวจ ปราณนต์หันมองไปทางภัทรินอีกครั้งแล้วก็ยิ้ม ๆ
ภัทรินเดินหนีลงไปนั่งเบียดหัวถูกับกลุ่มเด็กผู้หญิงที่กำลังเล่นหมากเก็บอยู่
ภัทรินเอ่ยถาม “เล่นอะไรกันน่ะ”
จันทร์วิภา เบญจคีย์ และเนตรมณียังเดินตามตื๊อภัทรินไม่หยุดหย่อน จันทร์วิภาสะกิดภัทริน
“แกจะอยู่ที่นี่นานมั้ย” จันทร์วิภาถาม
“นาน ไม่ๆ ไม่นาน อาจจะอาทิตย์เดียว แล้วก็ต้องรีบกลับ เพราะงานชั้นยุ่งมากๆ” ภัทรินบอกปัด
“ทำงานตำแหน่งสำคัญในบริษัทใหญ่อย่างภัท อุตส่าห์ลางานมาอยู่กะแม่ตั้งอาทิตย์นึงนี่ก็นับว่าเป็นลูกที่ดีมากแล้วล่ะ” เนตรมณีว่า
“เอ้อ ก็ เป็นธรรมดาน่ะ แม่ใครๆ ก็ต้องรักและห่วงใยทั้งนั้นแหละ”
ภารตีเดินออกมา
“สาวๆ คุยกับเพื่อนเก่าจนเพลิน ลืมคุณหมอรึเปล่า แกทั้งทำประวัติทั้งตรวจเองแล้วนะตอนนี้น่ะ”
จันทร์วิภานึกได้ก็ตกใจ
“อุ้ยตาย ลืมเลย นี่ภัทพวกชั้นไปช่วยคุณหมอตรวจคนไข้ก่อนนะ แล้วว่าง ๆ จะแวะไปคุยด้วย แล้วนี่น้าภาตรวจเสร็จยังคะ”
“เสร็จแล้ว ก็เลยอาสาคุณหมอมาตามผู้ช่วยนี่แหละ” ภารตีบอก
จันทร์วิภาพูดขึ้นว่า “งั้นพวกหนูขอตัวก่อนนะคะ สวัสดีค่ะ”
เบญจคีย์และเนตรมณีรีบยกมือไหว้ตาม ทั้งสามรีบเดินเข้าไปที่จุดตรวจ
ภัทรินมองตามเพื่อนแล้วหันมาหาแม่
“กลับบ้านเหอะแม่ ภัทร้อน” ภัทรินบอก
“ไปสิลูก ไป”
สองแม่ลูกเดินออกไปยังที่จักรยานจอดอยู่
สามสาวเดินเข้าไปทักทายปราณนต์ที่กำลังวัดความดันคนไข้อยู่
“สวัสดีค่ะ คุณหมอ”
“ขอโทษนะคะคุณหมอ พอดีเจอเพื่อนน่ะค่ะ เลยคุยกันเพลินไปหน่อย เดี๋ยวจันทร์ทำต่อเองค่ะ” จันทร์วิภาบอก
จันทร์วิภาเข้าไปรับหน้าที่วัดความดันแทนปราณนต์
“แล้วเบญกับเนตรทำอะไรดีคะคุณหมอ” เบญจคีย์ถาม
“มีเด็กเป็นเหาหลายคน ผมคงต้องขอแรงให้พวกคุณช่วยกันแจกยาและสอนวิธีรักษาเหาให้พ่อแม่ของเด็กๆ หน่อยครับ” ปราณนต์บอก
เนตรมณีรับคำ “ได้เลยค่ะ คุณหมอ”
ทุกคนแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตัวเอง
ตกกลางคืน ภารตีกับภัทรินนั่งห่มผ้าดูละครด้วยกันอยู่หน้าทีวี เจ้าโคโค่นอนดูทีวีอยู่บนตักภัทริน
ละครเป็นฉากพระ นางกำลังสวีทหวานสุดๆ วิ่งไล่วักน้ำใส่กันที่ริมทะเล ภัทรินหน้าเศร้าลงเมื่อนึกถึงเรื่องของตัวเอง
เหตุการณ์ในอดีตย้อนกลับมาในความคิด เป็นตอนที่ภัทรินวักน้ำเล่นกับธนาฒน์เหมือนในละครเปี๊ยบ
ภัทรินคิดแล้วรู้สึกเศร้าจนน้ำตาคลอ
ในทีวีพระเอกกำลังใช้มือถือถ่ายรูปคู่กับนางเอกอย่างสวีทหวาน
มันเหมือนเหตุการณ์ในอดีตอีก ตอนนั้นภัทรินกับธนาฒน์ถ่ายรูปคู่ด้วยกัน พอภัทรินขยับเข้ามาใกล้ชิด ธนาฒน์ก็ฉวยโอกาสหอมแก้ม ภัทรินตกใจจึงไล่ตีเขาอย่างน่ารัก
ภัทรินเริ่มกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ไหว เธอรีบเอามืออุดปากเพราะกลัวแม่จะจับได้
ในทีวีพระเอกกำลังเล่นกีตาร์ขอนางเอกแต่งงาน
ภัทรินน้ำตาไหลและสะอึกสะอื้น
“ภัท…” ภารตีนึกว่าลูกสาวอินกับละคร “แหม ซึ้งใช่มั้ยล่ะ”
“ค่ะ ซึ้ง”
ภัทรินลุกเดินแยกออกไป โคโค่หันมองตามนายของมัน
ภัทรินเดินกึ่งวิ่งออกมานอกตัวบ้านให้ไกลพอที่แม่จะไม่เห็นและไม่ได้ยิน แล้วเธอก็ปล่อยโฮร้องไห้สะอื้นจนตัวโยน เจ้าโคโค่ตามมาคลอเคลียที่ขา
ภัทรินหันมาเห็นโคโค่ก็อุ้มมากอด “ฉันถูกหลอกแต่แรกใช้ไหม โคโค่ชาเนล..ผู้ชายคนนั้น..ไอ้ธนาฒน์ มันคงวางแผนแต่แรก ที่จะเอาชั้นไปเป็นเหยื่อ รับบาปแทนมัน 17ล้าน แต่ถ้าแม่ไม่ยอมขายไร่ แล้วชั้นจะเอาเงินเยอะแยะขนาดนั้นมาจากไหน ที่จะไปใช้บริษัทได้ล่ะ ฮือๆๆ”
ขณะที่ร้องไห้ ภัทรินก็รู้สึกคันหัว เธอวางหมาลงแล้วเอามือขวาเกาหัวยิกๆ
จันทร์วิภากับพยาบาลอีกสองสามคนเดินเข้ามา ปราณนต์ที่ยังใส่เสื้อผ้าชุดเดิมเมื่อวานเดินสวนออกมา จันทร์วิภาเห็นปราณนต์ก็ตกใจ
“คุณหมอ เมื่อคืนคุณหมอนอนที่วอร์ดเหรอคะ” จันทร์วิภาถาม
“ครับพอดีมีเคสด่วนเรียกเข้ามาน่ะ ผมว่างๆ อยู่เลยเข้าเวรต่อซะเลย” ปราณนต์บอก
“แหม คุณหมอคะการพักผ่อนน่ะ เค้าต้องพักกันเวลาว่างนี่แหละค่ะ” จันทร์วิภาว่า
“ครับผม คุณพยาบาล ผมกำลังจะกลับบ้านไปพักนี่แหละครับ ขอตัวก่อนนะครับ”
ปราณนต์จะเดินออกไป ลุงชาวบ้านปั่นจักรยานที่มีเข่งใส่ผักใบเล็กมัดอยู่ท้ายจักรยาน ส่วนที่แฮนด์มีถุงห้อยเต็มไปหมดเข้ามาพอดี
“คุณหมอ นึกว่าจะไม่ทัน นี่ครับโจ๊ก เอากลับไปกินที่บ้านนะ”
ปราณนต์รับโจ๊กมาถือไว้ ลุงยังคงยื่นของส่งให้เขาไม่หยุด
“พอลุงบอกซื้อโจ๊กไปฝากหมอณนต์ มีแต่คนฝากของมาให้ แม่ค้าโจ๊กแถมไข่ลวก นี่หนมครกยายปาดฝากมา แม่แดงฝากส้มมาให้ ไอ้” ลุงคนนั้นนิ่งคิด “ใครมั่งหว่า จำไม่ได้ฝากผักมาให้คุณหมอ ฝากมาคนละอย่างอยู่ในเข่งนี่” ลุงพูดไปแกะเชือกไป “ให้ลุงยกเข่งขึ้นรถไปเลยมั้ย เอ่อ ไอ้ช่วยจะฝากไข่ไก่มาแต่ลุงกลัวแตก เลยไม่รับฝากมานะคุณหมอ”
ปราณนต์รับของทุกอย่างมาถือแล้วแย่งเข่งมาถือด้วย
“โห ลุง ไม่น่าต้องลำบากเลยครับ”
“ของเล็กน้อยน่าคุณหมอ รับไปเถอะ”
“ฝากขอบคุณทุกคนด้วยนะครับ เดี๋ยวผมยกไปที่รถเอง ลุงรีบไปดูป้าเถอะ ถ้าแกงอนเพราะลุงหายไปนาน ผมช่วยง้อไม่ได้นะ”
“ครับๆ”
ลุงชาวบ้านเข็นจักรยานเปล่าเดินออกไป ปราณนต์เดินยิ้มแฉ่งแบกน้ำใจชาวบ้านกลับไปที่รถ
จันทร์วิภามองตามแล้วเมาท์ต่อ
“กลับบ้านก็ไปเปิดคลินิกฟรีต่อ ชาวบ้านจะไม่รักได้ยังไง”
อ่านต่อหน้า 3
ลมซ่อนรัก ตอนที่ 2 (ต่อ)
ภารตีกำลังจ่ายค่าแรงคนงาน 7 คน ที่เข้าแถวมารับเงิน พอจ่ายเงินให้คนหนึ่งเสร็จ ภารตีก็เซ็นในสมุดบัญชีเป็นหลักฐาน
เข่งผลผลิตวางเรียงราย รถอีแต๋นจอดอยู่ คนงานอีก 3 คน ช่วยกันยกเข่งขึ้นรถอีแต๋น ภัทรินนั่งกินกาแฟอยู่ที่มุมนึงแล้วก็เล่นกับโคโค่ไปพลางๆ เธอมองแม่นับเงินพอเผลอตัว เธอก็เกาหัวนิดๆ เพราะคัน ภารตีจ่ายเงินเสร็จ คนงานก็แยกย้ายไปทำงานต่อ
ภัทรินเดินมามองเหล่ “แม่ แม่จ่ายค่าแรงเยอะเหมือนกันนะ วันๆ แล้วมันคุ้มกะค่าขายผลผลิตพวกนี้เหรอ”
“ไม่รู้สิ ไม่ได้นับ ก็รับตังค์มา แล้วก็จ่ายไป หมุนๆไปวันๆ แต่ก็ยังไม่ต้องชักเนื้อนี่นา”
“แม่ แม่ไม่ได้ทำบัญชีเลยเหรอ นี่มันใช่สมุดบัญชีเหรอ”
“ทำ ก็จดไง จ่ายอะไรไปบ้าง แต่ไม่เคยเอามาคำนวณกำไรขาดทุนจริงๆ จังๆ คิดแบบหลวมๆ บางเดือนก็ขาดทุนนิดหน่อย บางเดือนก็กำไรนิดหน่อยนะลูก”
“แม่คิดแค่รายรับรายจ่ายเท่านั้นใช่ไหม แล้วค่าแรงของตัวแม่เองล่ะ ที่เหนื่อยอยู่ทุกๆ วันเนี่ย แม่ได้อะไรขึ้นมาบ้าง มันคุ้มไหม กับที่สุขภาพแม่เป็นแบบนี้ แม่เป็นความดันสูงเพราะแม่เหนื่อยเกินไป ขายซะเถอะแม่ ไร่เนี้ย แม่จะได้พักซะที”
“เอ ไอ้ภัทนี่ยังไงวะ มาได้ไม่กี่วัน พูดอยู่อย่างเดียว จะให้ขายไร่ซะให้ได้”
“ชั้นห่วงแม่นะ อยากให้แม่สบาย” ภัทรินเกาหัวอย่างเซ็งๆ
“แล้วเอ็งเป็นอะไร ทำไมเกาหัวบ่อยๆ”
“ก็มันคันอ่ะ คันจี๊ดๆเลย สงสัย อากาศแห้ง”
ภารตีมองจ้อง “หา..แม่ว่า..ไม่ใช่แล้วนะ” ภารตีจับผมมาดูใกล้และไกลตามระยะสายตา เธอลองรูดเส้นผมลูกสาวออกมาดู “นี่มัน ไข่เหานะ”
“อะไรนะ ไม่!!! ม่าย...”
สีหน้าภัทรินถึงกับช็อก
ภัทรินขี่จักรยานมาด้วยหน้าตาร้อนใจ เธอเกาหัวนิดๆ มาตามทาง เด็ก 3 คนนั่งเรียงกันอยู่หน้าบ้านหลังหนึ่ง แม่ของเด็กกำลังเอายาฆ่าเหาใส่ให้อยู่ ภัทรินมองจนเหลียวทำให้จักรยานล้มลงไปแบบนุ่มนวล
ภัทรินตกใจ “อ๊าย”
ภัทรินรีบลุก เธอยกจักรยานขึ้นด้วยสภาพเข่าถลอกมีแผลเลือดไหลซิบๆ
“โหย ฮือ ซวยซ้ำซวยซ้อนจริงๆ”
เบญจคีย์ตะโกนเข้ามาพร้อมกับหัวเราะ
“มองจนรถล้มเลยเหรอไอ้ภัท ที่กรุงเทพฯ คงไม่มีแล้วสินะ แบบนี้น่ะ มาชั้นช่วย”
ภัทรินปัดเข่าแล้วหันไปมองพบว่าตัวเองมาอยู่แถวหน้าร้านของเนตรมณี
“มานั่งในร้านชั้นก่อน กาแฟมั้ย” เนตรมณีถาม
“ดีแคฟ ดับเบิ้...กาแฟร้อนแก้วนึง” ภัทรินจะสั่ง
เบญจคีย์พูดแทรก “แกสนใจซื้อของชาวเขาไปฝากเพื่อนที่กรุงเทพมั้ย นี่” พลางโชว์กระเป๋าถือที่ทำจากผ้าปักชาวเขาซึ่งดูดีทีเดียว “ชั้นรับของชาวเขาบนดอยมาขาย”
ภัทรินรับๆมาอย่างไม่ได้ใส่ใจ “นี่ ที่นี่เหากำลังระบาดเหรอ
“อืม เมื่อวานที่ชั้นไปก็ช่วยคุณหมอสอนวิธีกำจัดเหาให้ชาวบ้านน่ะแหละ มันก็ธรรมดานะ เด็กนักเรียน มันไปโรงเรียนกัน เล่นกัน ก็ติดเหากันแบบนี้แหละ ตอนเด็กๆ แกก็เป็น” เนตรมณีบอก
“บ้า ชั้นไม่เคยเป็นเหาซะหน่อย”ภัทรินบอก
“ทำไมจะไม่เคย ไปอยู่กรุงเทพฯ นานจนลืมน่ะสิ” เบญจคีย์ว่า
“แล้วนี่ ยาที่เค้าใส่ให้เด็ก มันยาอะไร เอามาจากไหน” ภัทรินถาม
“สมัยที่แกเป็น แม่แกใช้น้ำมันก๊าด หรือใบน้อยหน่าตำๆเอา แต่เดี๋ยวนี้หมอณนต์เค้าเอามาแจก”
“หมอณนต์ เอ่อ แล้วหมอนี่เค้าอยู่ที่ไหน เค้ามีร้าน หรือคลินิกไหม”
“ทำไมล่ะ แกเหาหรอ” เนตรมณีถาม
“เปล่า ชั้นไม่เป็น ถามเผื่อไว้ เผื่อแม่ชั้นเป็นอะไร จะได้ไปหาหมอถูก”
“ก็ไปหาเค้าที่โรงพยาบาลผาหมอก..หรือถ้าขี้เกียจ ก็ไปบ้านหมอ วันนี้แกน่าจะเปิดคลินิกที่บ้าน ใกล้ๆนี่เอง..ขี่จักรยานไปก็ได้ ไปตามทางนี้เรื่อยๆๆ เจอบ้านไหนอยู่บนสุดดอยบ้านนั้นแหละ”
ภัทรินนิ่วหน้าก่อนจะก้มดูแผลที่เข่า แล้วเอาผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดซับเลือด ก่อนจะพูดแก้เขินออกมา
“เข่าถลอก ไปขอยาใส่แผลสดหน่อย ก็น่าจะดี”
ต่อมา ภัทรินขี่จักรยานยอกแยกมาตามทางพร้อมกับหอบแฮ่กๆ
“นี่คือใกล้ของแกหรือ น่องชั้นปูดหมดแล้ว”
ภัทรินบ่นบ้า ขณะขี่ผ่านบ้านหลังหนึ่งที่มีซุ้มดอกมะลิสวยงาม เธอจึงรีบจอดรถโดยเอาเท้ายันกับพื้น แต่จักรยานก็ไถล
“จอดๆๆๆ”
กว่าจะจอดได้ ภัทรินก็แทบหน้าคะมำอีกรอบ
“ซุ้มดอกมะลิ”
ภัทรินเดินเข้ามาชะเง้อมองที่หน้าบ้านอย่างเกรงๆ
“คุณหมอ อยู่มั้ยคะ”
ไม่มีเสียงตอบ ภัทรินค่อยๆถือโอกาสเดินเข้าไปในบ้าน
“คุณหมอคะ คนไข้มาพบค่ะ”
ภัทรินไม่พบใคร เธอมองสำรวจสถานที่ก็เห็นว่าทางเดินปูด้วยก้อนอิฐแดงหักๆ เธอลอดใต้ซุ้มที่ปลูกมะลิเลื้อยซึ่งมีดอกดกและหอมมาก ภัทรินเงยมองแล้วก็อดที่จะเด็ดมาดมไม่ได้ ภัทรินมองออกไปเห็นวิวหน้าผากว้างก็ถึงกับตะลึงกับวิวนั้น
“โหว มายก็อด”
เสียงซึงดังมา ภัทรินชะงัก
เพลงที่เล่นเป็นเพลงที่สื่ออารมณ์เศร้า เหงา วังเวง ท่วงทำนองเหมือนเพลงกุหลาบเชียงใหม่
ภัทรินเดินผ่านซุ้มมะลิเข้าไป
ปราณนต์นั่งบนราวระเบียงหน้าบ้านพัก เขาเล่นซึงอย่างตั้งอกตั้งใจด้วยสีหน้านิ่งเฉย เคร่งขรึม และครุ่นคิด ใบหน้าหันไปในทิศทางหนึ่ง ซึ่งหันข้างให้กับภัทริน
ภัทรินเห็นก็ชะงักรอด้วยความเกรงใจไม่กล้าขัดจังหวะ แต่เธอก็ทั้งทึ่งและชื่นชมในฝีมือดนตรีของเขาไปด้วย ปราณนต์เห็นจากหางตาว่ามีคนมาหยุดยืนดู เขาหันมามอง พอเห็นว่าเป็นภัทรินก็ชะงัก หยุดเล่น แล้วยิ้มให้เธอทันที
“อ้าว สวัสดีครับ ไม่ทราบว่า...” ปราณนต์ลดซึงในมือลงแล้วกระโดดลงมาจากราวระเบียง “มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่า”
ภัทรินเกรงใจ “เอ่อ ขอโทษนะคะ ที่รบกวน คือ คุณหมอณนต์ ใช่ไหมคะ”
“ครับ..เป็นอะไรหรือครับ” ปราณนต์ถาม
“เอ่อ..คือ..ไม่ได้เป็นอะไรหรอกค่ะ..แต่..อยากจะ..ได้ยารักษาเหาไปให้..เด็กที่บ้านหน่อย” ภัทรินบอก
ปราณนต์ยิ้มจริงใจ “อ๋อ งั้น เชิญข้างในครับ”
“ทำไมต้องเข้าไป ข้างในด้วยล่ะ” ภัทรินถาม
ปราณนต์ยิ้มมากขึ้นพร้อมกับมองภัทรินไปด้วย “ผมต้องให้คุณทำประวัติด้วยครับ”
“เอ๊ะ ทำไมต้องทำประวัติด้วยล่ะค่ะ แค่ขอยารักษาเหาเท่านั้นเอง”
ปราณนต์หัวเราะ “ขอโทษครับ ผมจะจ่ายยาอะไรให้ใคร ก็ต้องทำประวัติก่อนทั้งนั้นครับ”
“แต่ ชั้นไม่ได้เป็นอะไร แค่ขอยาไป ให้คนอื่น”
“จะให้ใคร มาหาหมอ หมอก็ต้องทำประวัติของคนไข้ทั้งนั้นครับ”
ภัทรินอึ้ง ปราณนต์มองด้วยความสงสัยว่าเธอมีปัญหาตรงไหน
ปราณนต์วางแผ่นกระดาษทำประวัติคนไข้ลงบนโต๊ะทำงานไม้แบบเก่าเบื้องหน้าภัทริน ข้างๆดอกมะลิที่ภัทรินถือติดมือมาและวางพักไว้
“ช่วยกรอกด้วยครับ”
ภัทรินอ่านอย่างอึ้งๆ “ชั้นไม่ใช่คนไข้”
“กรอกประวัติของคนไข้น่ะครับ ลูกเป็นเหาก็กรอกประวัติของลูกครับ”
ภัทรินตกใจ “อ๊า ไม่ใช่ค่ะ ไม่ใช่ลูก คือ น้อง น่ะค่ะ”
“อ๋อ น้อง” ปราณนต์ขำตัวเองนิดๆ ที่ถามไปแบบนั้น “ผู้หญิงหรือครับ”
“ผู้หญิง ค่ะ”
“เขียนลงไปสิครับ ชื่ออะไร อายุ อาการ”
ภัทรินอึ้งๆ เพราะตัวเองโกหกจึงไม่รู้จะกรอกอะไร ปราณนต์มองแล้วก็รอ
ภัทรินมองหน้าเขาแล้วตัดสินใจกรอกลงไปด้วยข้อมูลปลอม โดยเขียนชื่อว่า ด.ญ.ไก่ กุ๊กๆ อายุ 8 ขวบ เป็นเหา แล้วส่งใบให้ ปราณนต์เอาไปอ่านแล้วมองหน้าภัทริน
“เด็กหญิงไก่ กุ๊กๆ หรือครับ ชื่อนามสกุลจริงล่ะครับ”
“แค่รักษาเหา มันจะอะไรนักหนาคะ หมอก็จ่ายยามาเถอะค่ะ เรื่องแค่นี้เอง”
“ก็แค่กรอกชื่อแค่นี้เอง ทำไมถึงไม่อยากจะกรอกล่ะครับ เป็นเหา ผมก็ต้องตามอาการนะครับ ว่าคุณเอายาไป แล้วเอาไปใช้ถูกวิธีหรือเปล่า ใช้ยากี่ครั้งถึงหาย หายแน่หรือเปล่า”
“ก็ถ้ายาของหมอมันดีจริง ก็ต้องรักษาหายสิ”
“ผมก็ใช้ยาสามัญ ที่เขาใช้กันทั่วไปนั่นแหละครับ แต่มันก็ต้องแล้วแต่คนไข้ ว่าเป็นมากเป็นน้อย ผมหนาผมบาง เด็กเล็ก เด็กโต หรือผู้ใหญ่”
“อะไรนะ เด็ก กับผู้ใหญ่ ใช้ยาไม่เหมือนกันหรือ”
“ไม่เหมือนสิครับ”
“อ้าว ถ้างั้น สมมุติว่า ถ้าคนเป็นเหาคือผู้ใหญ่ ก็ใช้ยาสองเท่า หรือเปล่า” ภัทรินเผลอเกาหัว
“ตกลง คนที่เป็นเหา เป็นผู้ใหญ่หรือครับ” ปราณนต์ถาม
“ก็ เป็นเด็กนั่นแหละ แต่ ชั้นอาจจะกรอกอายุผิด”
ปราณนต์ดูกระดาษ “คุณกรอกว่า 8 ขวบ”
“งั้น เปลี่ยนเป็น 18 ฉันเขียนผิด”
ปราณนต์มองแบบงงๆ “ตกลง น้องสาวคุณ อายุ18”
“ค่ะ 18”
“งั้นก็ไม่ใช่เด็กหญิงสิครับ ต้องเป็น นางสาวไก่ กุ๊กๆ”
“เอ่อ ค่ะ” ภัทรินฝืนหัวเราะ “ฮะๆ ใช่ค่ะ นางสาว คือ ชั้นชอบคิดว่าน้องตัวเองเป็นเด็กตลอดเลยล่ะค่ะ” ภัทรินเผลอเกาหัวอีกครั้ง
ปราณนต์มองแล้วก็เริ่มเข้าใจว่าภัทรินคงเป็นเหาเองมากกว่า “ไม่เป็นไรครับ ผู้ใหญ่ก็เป็นเหาได้ ถ้าไปคลุกคลีกับคนที่เป็นเหา ไม่มีอะไรน่าอายหรอกครับ งั้น รอสักครู่นะครับ”
ปราณนต์เดินหายเข้าไปในบ้าน เมื่อเห็นปราณนต์ไม่อยู่ ภัทรินก็เกาหัวอย่างเมามัน
ถัดมาไม่นาน ปรานนต์วางห่อยาสองห่อลงบนโต๊ะตรงหน้าภัทริน
“นี่ครับ ทำตามวิธีใช้ที่อยู่ในนี้เลย อ่านหนังสือออกนะครับ” ปราณนต์ถาม
“ก็ต้องอ่านออกสิคะ” ภัทรินบอก
“นั่นสิครับ ผมถามเผื่อไว้เท่านั้น บางที คนที่ดอยนี่ก็ไม่ใช่คนไทย อ่านหนังสือไทยไม่ออกไงครับ”
“ชั้นเป็นคนไทย มีการศึกษาดี”
“อ้อ ครับ เอายาหมักผม ทิ้งไว้ เหาจะตาย และไข่เหาจะฝ่อไป แล้วถึงสระออกตามปกติ โดยทั่วไป ใช้แต่หนเดียวก็จะหาย แต่ถ้าไม่หาย ก็ใช้อีกกล่องนะครับ ผมเผื่อไปให้ แล้วถ้าหายแล้ว ต่อไปก็ให้ระวังตัว ว่าอย่าไปคลุกคลีกับคนที่เป็นเหาอีก แล้วก็ อาบน้ำ สระผมบ่อยๆ รักษาความสะอาด”
“ชั้น เอ๊ย น้องสาวชั้นสะอาดนะคะ ไม่ใช่คนสกปรกซักหน่อย”
“น้องไก่ กุ๊กๆ นี่นะครับ”
ภัทรินคอแข็ง เพราะรู้ตัวว่าโดนแซวก็ถึงกับหน้าชา เธอคว้ายามาแล้วถาม “เท่าไหร่คะ”
“อะไรนะครับ”
“ค่ายา ค่าพบแพทย์ ทั้งหมดเท่าไหร่”
“อ๋อ ไม่มีค่าใช้จ่ายครับฟรี”
“ขอบคุณค่ะ งั้น สวัสดีค่ะ”
ภัทรินหันหลังจะเดินออก
ปราณนต์เรียกไว้ “เดี๋ยวครับ”
ภัทรินชะงัก
ปราณนต์พยักพเยิดไปที่หัวเข่าภัทริน “แล้ว แผลที่หัวเข่าน่ะ จะไม่ทำความสะอาด ใส่ยาซะหน่อยหรือครับ”
ภัทรินก้มลงมองหัวเข่าตัวเองที่เริ่มแห้งแล้ว แต่ยังมีเลือดซิบๆ แล้วเงยหน้ามองปราณนต์ ที่มองมา ด้วยสีหน้าจริงใจ และห่วงใยจริงๆ ภัทรินถึงกับอึ้ง
ไม่นานต่อมาปราณนต์ทำแผลที่เข่าให้ภัทริน ทั้งล้างแผล ใส่ยา ภัทรินนั่งบนเก้าอี้มองดูปราณนต์ที่ทำแผลให้เธออย่างคล่องแคล่วตั้งใจ ปราณนต์นั่งขัดสมาธิกับพื้นอย่างสบายๆ
ปราณนต์ทำแผลเสร็จก็เงยหน้ามายิ้มให้ “เรียบร้อยแล้วครับ”
ภัทรินอึ้งไปเล็กน้อยในความดีของเขา “ขอบคุณนะคะ คุณหมอ”
“ไม่เป็นไรครับ เล็กน้อย แล้วก็ ถ้าไม่อยากทำประวัติ ก็ไม่ต้อง”
ภัทรินชะงักมองด้วยความรู้สึกว่าหมอคนนี้กวนจัง “ค่ะ คงไม่ต้องหรอก เพราะชั้นว่าแผลแค่นี้ หมอคงไม่ต้องติดตามอาการ”
ปราณนต์พูดหน้าตาย “ก็ไม่แน่ครับ ถ้ามีเชื้อบาดทะยัก ก็อาจทำให้เสียชีวิตได้”
“นี่ หมอ อย่ามาเว่อร์ ใครกัน จะตายเพราะเข่าถลอก ไม่มีหรอก”
“ผมพูดในสิ่งที่อาจเป็นได้ แต่ถ้าคุณเคยฉีดยากันบาดทะยักมาแล้ว ภายในไม่กี่ปีมานี้ ก็ไม่ต้อง”
“ชั้นเคยฉีด แต่ นานมากแล้ว ไม่ได้ฉีดเร็วๆนี้”
“อยากจะให้แน่ใจ ก็ต้องฉีดยากันบาดทะยัก”
ภัทรินรีบลุกขึ้น “ฉันไม่ฉีด”
ปราณนต์หัวเราะ “ถ้ากลัว ก็ไม่ต้อง”
ภัทรินสบตาแล้วทำหน้ามั่นใจ “ชั้นไม่ได้กลัวนะ แต่ มันไม่จำเป็น และชั้นชัวร์ ว่าชั้นไม่ตายเพราะแผลเข่าถลอกแน่นอน”
“ผมก็ว่าอย่างนั้น” ปราณนต์ยิ้มๆ
ภัทรินมองแล้วชักจะหมั่นไส้
เห็นปราณนต์ยิ้มตอบมาด้วยท่าทางดูใสซื่อ ไม่ได้ยอกย้อนอะไร ภัทรินยิ่งหมั่นไส้มากขึ้น เธอหลบตาแล้วเชิดหน้า
ภัทรินเดินมาเอาจักรยานที่จอดหน้าบ้าน แล้วก็รีบขึ้นขี่ แต่ขี่มายังไม่ถึง 10 เมตร ก็ต้องกระโดดลง เพราะโซ่จักรยานหลุดออกมากอง
“อ๊าย อะไรกันเนี่ย โอ๊ย อยากจะบ้าตาย ฮือ”
ภัทรินจับโซ่ที่ออกมากอง หมดปัญญา
“ทำไมชีวิตต้องเป็นแบบนี้ ทำไมต้องอับจนขนาดนี้ สวรรค์ใจร้าย”
ภัทรินพาลและสิ้นหวัง เธอลุกขึ้นเตะจักรยานแล้วก็เจ็บเอง
“อ๊าก ฮือ ไม่ไหวแล้วนะ ฮือๆๆ”
ภัทรินยกเท้าที่เจ็บมากุมแล้วก็ร้องไห้โฮออกมา แล้วเธอก็ทรุดลงนั่งแปะกับพื้น
“ฮือๆๆ โฮๆๆ”
เสียงอ่อนโยนของปราณนต์ดังขึ้นใกล้ๆ
“อะไรกันครับ จักรยานโซ่หลุดแค่นี้ ถึงกับร้องไห้เลย”
ภัทรินชะงักแล้วเงยขึ้นหันไปตามเสียงก็เห็นปราณนต์ถือดอกมะลิที่ภัทรินลืมไว้บนโต๊ะยืนยิ้มอยู่ ภัทรินรีบลุกแล้วเอามือป้ายน้ำตาแรงๆ
“ชั้นไม่ได้ร้องไห้เพราะเรื่องแค่นี้”
“แล้วร้องเพราะเรื่องอะไรล่ะ” ปราณนต์ถาม
ภัทรินสะบัดหน้า
“อ้อ ลืมไปว่าคุณไม่ชอบให้ซักประวัติ โทษที แล้วเท้าเป็นอะไรหรือเปล่า มีแผลให้ช่วยทำแผลอีกไหมครับ”
“คุณหมอจะไปไหนก็ไป ไม่ต้องมายุ่ง”
“อ้าว”
“เอ่อ ขอโทษค่ะ ชั้น ไม่ได้ตั้งใจจะหยาบคาย”
“ไม่เป็นไร ชีวิตก็แบบนี้ล่ะครับ เวลาดวงตก อะไรๆมันก็ดูเหมือนจะแย่ไปหมด”
“คุณหมอหมายความว่าไง” ภัทรินร้อนตัว
“อ้าว ก็ไม่จริงหรือครับ ไหนจะเป็นเหา”
ภัทรินตาเขียวใส่ “ชั้นไม่ได้แป็นเหา”
“อ้อใช่ น้องไก่ กุ๊กๆเป็น เอาใหม่ ไหนน้องสาวจะเป็นเหา ตัวเองหกล้มเข่าถลอก จักรยานพัง แล้วนี่ เท้ามาเจ็บอีก มันแย่จริงๆ นะ ชีวิต”
“สุดๆ เลยแหละ”
“ผมให้ยืมรถไหม”
“ให้ยืมรถ”
ปราณนต์ยิ้มใจดี ภัทริมยิ้มกว้างเพราะคิดว่าได้ขับรถกลับ ไม่ต้องเหนื่อยแล้ว
เมื่อเห็นปราณนต์เข็นจักรยานมาจอดตรงหน้า ภัทรินที่ยืนรออยู่ถึงกับอึ้ง
“นี่ครับ เดี๋ยวคันของคุณ ผมจะซ่อมให้ แล้วพรุ่งนี้คุณก็ถีบคันนี้กลับมาแลกคันเดิมคืนไป ดีไหม”
ภัทรินอึ้ง “หมอเป็นช่างซ่อมจักรยานด้วยเหรอ”
“ซ่อมอย่างอื่นด้วยก็ได้นะครับ” ภัทรินมองหน้าฉงน ปราณนต์บอกต่อว่า “ผมหมายถึง คอมพิวเตอร์ มือถือ พัดลม วิทยุ”
ภัทรินเมินหน้าหนี แล้วเงียบงันไป
“ตกลง ใช่ไหมครับ”
“อะไรคะ”
“ก็ ตกลงทิ้งจักรยานของคุณไว้ให้ผมซ่อมไง”
“ก็ ดีค่ะ ขอบคุณ”
“เชิญครับ”
ภัทรินมีท่าทางอ่อนลง
“ขอบคุณนะคะ คุณหมอ” ภัทรินรับแฮนด์รถมาจับไว้
ปราณนต์ยื่นดอกมะลิให้ ภัทรินงง
“คุณลืมไว้ที่โต๊ะน่ะ เอามันกลับไปด้วยนะครับ แล้วก็ขอให้โชคดี รถไม่ล้ม หรือเป็นอะไรอีกนะครับ คุณพี่สาวน้องไก่ กุ๊กๆ”
ภัทรินหันไปมองค้อนนิดๆ ก่อนจะขึ้นรถแล้วถีบออกไปเลย
ปราณนต์มองตามแล้วตะโกนตามไป “พี่สาวน้องไก่ครับ ถ้ายังไง ตัดผมสั้นๆ ก็ดีนะฮะ ดูแลรักษาทำความสะอาดง่ายหน่อย”
ภัทรินถีบรถไปก็คิดแล้วเธอก็นึกได้ว่าหมายถึงการเป็นเหา ภัทรินอายมากจึงหันกลับไปมอง เห็นปราณนต์หัวเราะและโบกมือให้ ทำให้ภัทรินรถเกือบล้ม เธอต้องประคองแล้วรีบถีบหนีไป ปราณนต์ยกจักรยานของภัทรินขึ้นมาดูสภาพแล้วก็อดขำไม่ได้
ตรงหน้ารูปครอบครัว ที่มีสินธร คุณแอ๋ว พสุวัฒน์ และปริยา ประเมินจากรูปนั้นนน่าจะถ่ายเมื่อสัก 20 ปี ก่อน โดยทุกคนในรูปนั้นแต่งตัวในยุค 1990 กับลูกชายฝาแฝดอายุราว 8 ขวบ ชมนาดยืนดูรูปนั้นอยู่ โดยมีธนาฒน์ที่ทำตัวเหมือนเลขายืนข้างๆ
“นี่คุณปราณแล้วอีกคน ลูกคุณสินธรเหรอครับ” ธนาฒน์ถาม
“ไม่ใช่ ชั้นเป็นหมัน” เสียงสินธรดังขึ้น
ทั้งสองหันไป สินธรเดินเข้ามาพอดี
“นั่นมันฝาแฝดไอ้ปราณ พอปริยาหย่าก็หอบลูกไปคนนึง ไม่ได้ติดต่อกลับมาอีกเกือบ 20 ปี แล้วมั้ง”
ธนาฒน์รีบยกมือไหว้สินธร
สินธรมองธนาฒน์แว่บหนึ่ง “ชมนาด เด็กปั้นของเธอนี่ หน่วยก้านดีนะ ฝีมือก็ดีด้วยสิ”
“เอ่อ คุณสินธรยังไม่เคยเห็นการทำงานของผมเลยนะครับ” ธนาฒน์ถ่อมตัว
“ทำไมจะยังไม่เห็น”
“โอ๊ะ ถ้าเป็นเรื่องฝ่ายบัญชีคนนั้น ไม่ใช่ฝีมือผมเลยครับ พอดี เธอคอรัปชั่นจริงๆ ผมก็แค่รวบรวมหลักฐานมาได้เท่านั้นเอง”
สินธรยิ้มรู้ทันก่อนจะเข้ามาโอบบ่าธนาฒน์ “มันเด็ดตรงนี้ไง..หึๆ..ตั้งแต่นี้ไป เธอคือผู้ช่วยของชั้น..ต้องทำทุกอย่าง..เหมือนมือขวาของชั้น ทุกคนจะต้องเห็น..ว่านายคือใคร”
“ผม..ผมพูดไม่ออกจริงๆ” ธนาฒน์นั่งลงกราบเท้าสินธร
ชมนาดยิ้มพอใจในความเป็นงานของธนาฒน์ สินธรรีบก้มลงมาประคองธนาฒน์
“โอ๊ะๆๆ ไม่ต้องๆขนาดนั้น นี่ก็เป็นส่วนหนึ่ง..ของแผนของชั้น”
“ธนาฒน์ เธอคือสัญลักษณ์ของเลือดใหม่ของพวกเรา พวกกรรมการบริหาร จะต้องเห็น ว่าคุณสินธรมีทีมงานที่เก่ง ดูดี มีสไตล์ และเธอ ก็คือภาพๆ นั้น” ชมนาดบอก
“ชั้นแพ้พี่พสุ เพราะฉันไม่มีลูก ขณะที่พี่พสุเขามีนายปราณ แต่ตอนนี้ นายปราณกำลังสั่นคลอน พวกกรรมการเริ่มกังขาความสามารถของมัน จังหวะนี้แหละ ชั้นจะสร้างเธอ ปั้นให้ทุกคนเห็น ว่าเธอคือนักบริหารรุ่นใหม่ ที่จะทำให้บริษัทเจริญรุ่งเรือง เธอก็ต้องวางมาด ให้สมกับบทบาทด้วย” สินธรว่า
ธนาฒน์ตะลึง “บทบาทของผม คือบทบาทที่เป็นคู่แข่งของคุณปราณเลยหรือครับ”
“นายไม่ต้องกลัวเรื่องการทำงาน เพราะต่อไป นายจะมีคุณสินธร คอยเขียนบทให้ นายก็ทำทุกอย่าง ตามเกมของเราไป นายพร้อมหรือเปล่าล่ะ”
ธนาฒน์ตื่นเต้น “ผมพร้อมครับ”
ทันใดนั้นคุณแอ๋ว ภรรยาของสินธรก็โผล่มาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“ดูสิแก๊งนี้ ยังคุยเรื่องงานกันอยู่อีก รับประทานข้าวอิ่มแล้ว ขอเชิญรับของหวาน กับเครื่องดื่มกรึ๊บๆเบาๆ หลังอาหารที่ระเบียงเลยค่ะ”
สินธรยิ้มแล้วเข้าไปกอดภรรยา “น่ารักจริง ภรรยาผม เพราะมีทัพหลังอย่างคุณนี่ไง ผมถึงมีกำลังใจทำงาน ไปจ้ะ ไปๆๆๆ เชิญทุกคนครับ เชิญๆๆ”
แล้วทั้งหมดก็เดินออกไป
ภัทรินหมักยาฆ่าเหาไว้บนหัวในขณะที่เธอนั่งอยู่กลางลาน ภารตียกชามอ่างใส่น้ำและหวีเสนียดมา
“แม่ นั่นมันอะไรอ่า”
“นี่คือหวีเสนียด” ภารตีบอก
“เอามาทำอะไร” ภัทรินฉงน
“อยู่เฉยๆ” ภารตีบอก
ภารตีจัดการสางผมให้ลูกสาว
“เหาและไข่เหา จะถูกหวีเสนียดมันสางออกมา แล้วมันก็จะตกลงไปตายในน้ำนี้”
“อี๋ ขยะแขยง” ภัทรินทำท่ารังเกียจ
“โคโค่ไปไกลๆ เดี๋ยวแกจะติดเหานะ” ภารตีไล่
“แม่ แม่ทำยังกะหนูเป็นโรคติดต่อร้ายแรง”
“ก็ใช่สิ ถ้าหมาเป็นเหา มันจะทุเรศเกินไปนะ”
“ก็เพราะแม่นั่นแหละ ทำให้หนูต้องไปคลุกคลีใกล้ชิดกะไอ้พวกเด็กชาวบ้าน หนูบอกให้แม่ขายไร่ๆๆ จะได้ลงไปอยู่ในเมือง แม่ก็ไม่ฟัง”
“ขายไร่ ขายไร่อีกแล้ว แม้แต่ที่แกเป็นเหา แกก็เอามาโยงกับเรื่องขายไร่จนได้ มันอะไรกันนักหนาหา ไอ้ภัท แกเป็นอะไรไป”
ระหว่างนี้ รถมอเตอร์ไซค์ 2 คันที่สามสาวขี่ แล่นมาจอด จันทร์วิภามาเดี่ยว ส่วนเนตรมณีกับเบญจคีย์ซ้อนกันมา
“ว้าย ใครมาอ่า อ๊าย ยัยสามคนนี่ มาทำไม” ภัทรินรีบลุกแล้วเอาผ้ามาคลุมหัว ก่อนจะเตะกาละมังคว่ำไปทางแล้วทำเป็นยืนเก๋ๆ อยู่ที่มุมหนึ่ง
“น้าภา อ้าวภัท ยังไม่กลับอีกเหรอ เออ ดีเนอะ ลางานได้หลายวันดี” จันทร์วิภาบอก
“ทำอะไรอยู่เหรอ ภัท” เบญจคีย์ถาม
“เปล่า ก็แค่ ทำสีผมเองนิดหน่อย” ภัทรินโกหก
“ทำสีผมเอง เออ สีย้อมผมเธอนี่ กลิ่นคุ้นๆ เนอะ” เนตรมณีว่า
“จริงด้วย กลิ่นเหมือนยาฆ่าเหาเลย” จันทร์วิภาบอก
“อ๋อ เดี๋ยวนี้พวกสีย้อมผมเค้าพัฒนาให้ฆ่าเหาได้ด้วยน่ะ หนูจันทร์” ภารตีพูดแซว
“แม่อ่ะ” ภัทรินรู้สึกอับอาย
“ไปไงมาไงกันล่ะเนี่ย” ภารตีถามไถ่
สามสาวยิ้มๆ
ถัดมา สาวๆ วางตะกร้าลง ภารตีมองงงๆ
“นั่นอะไรน่ะจ๊ะ”
“อ๋อ พวกวิตามิน กับอาหารเสริม ของที่พวกเราเป็นตัวแทนขายกันอยู่น่ะค่ะ มันดีมาก และเราก็ขายดีกันด้วย เอามาให้น้าภาลองกินดู” เนตรมณีบอก
“แต่เราไม่ซื้อนะ ของพวกนี้น่ะ ใช่ไหมคะแม่” ภัทรินรีบบอกปัด
“อ๋อ เราเอามาให้เฉยๆ ไม่ได้ขายเหรอจ้ะ ภัท” เบญจคีย์บอก
“อย่าเลย ถ้าแม่กินแล้วชอบ ก็ต้องสั่งซื้อจากพวกเธอ แม่ชั้นขี้เกรงใจจะตาย ไม่เอาของฟรีใคร เดี๋ยวพอเกรงใจ ก็ต้องซื้ออะไรซักตัวนั่นแหละ ชั้นรู้” ภัทรินบอก
“ก็จะเป็นอะไรไปล่ะลูก แม่แก่แล้ว ก็ต้องกินพวกวิตามิน อาหารเสริมอะไรอยู่แล้ว ถ้าไม่ซื้อจากพวกเพื่อนลูก แม่ก็คงต้องไปซื้อของยี่ห้ออื่นจากคนอื่นอยู่ดี แม่ก็ซื้อของคนกันเอง ไม่ดีกว่าเหรอ” ภารตีบอก
“มันจะของดีจริงหรือเปล่าเหอะ แม่อ่า เลิกทำไร่ เขาไปอยู่ในเมืองนะ ขี้คร้าน จะมีอาหารเสริมดีๆ ยี่ห้อของนอกมาให้ซื้อกินเยอะแยะสบายๆ” ภัทรินโน้มน้าว
“ภัท อย่าว่างั้นงี้เลยนะ พวกเราไม่ได้คิดจะขายของแม่เธอจริงๆ” จันทร์วิภาบอก
“ที่สำคัญ” เบญจคีย์พูดต่อ “สินค้าอาหารเสริมยี่ห้อจีจีดีดีนี่ ที่แท้ ก็เป็นบริษัทลูก ในเครือของบริษัทจีแอลเอส ที่เธอทำโรงงานขายอุปกรณ์การแพทย์นั่นแหละ บริษัทแม่ของเธอมันใหญ่โตมาก จนพนักงานก็ยังไม่รู้ ว่ามันมีเครือข่ายอะไรบ้าง เธอคงไม่ว่าบริษัทตัวเอง ว่าผลิตของไม่มีคุณภาพนะจ๊ะ”
“แต่ชั้นเสียใจนะ ที่ภัทมองเห็นเจตนาของพวกเราเป็นแบบนี้ การเป็นเซลส์ขายตรง เราแค่ทำเป็นอาชีพเสริมที่เราทำกันยามว่าง เรามีอาชีพหลักที่ดีพอ และอยู่ได้ เราไม่ได้งก จนแยกแยะไม่ออกหรอกนะ ว่ากาลเทศะไหนควรขายของ เวลาไหน ควรแสดงน้ำใจ โดยไม่หวังอะไรตอบแทนน่ะ” เนตรมณีระบดระบาย
“ถ้าภัทไม่พอใจ เราก็ขอโทษ แต่เวลาภัทงานยุ่งไม่เคยกลับมาเยี่ยมบ้านเลย เรากะน้าภาก็ไปมาหาสู่กันแบบนี้ตลอด เธออย่าคิดว่า เราจะเห็นแก่ผลประโยชน์ เหมือนคนที่กรุงเทพฯ เลยนะ” จันทร์วิภาตัดพ้อ
“พอเถอะ ชั้นว่า เรากลับกันเถอะ” เบญจคีย์ตัดบท
จากนั้นทั้งสามก็พากันขี่รถจากไป ภารตีอึ้ง ในขณะที่ยืนภัทรินหน้าซีด อึ้งไม่ต่างจากมารดา
อ่านต่อตอนต่อไป
ลมซ่อนรัก ตอนที่ 2 (ต่อ)
สินธรเดินมาพบพสุวัฒน์ที่ยืนรออยู่ในสวน
"พี่พสุเรียกผมมาพบส่วนตัว มีอะไรหรือเปล่าครับ"
พสุวัฒน์หันไปพยักหน้าให้พวกลูกน้องออกไปก่อน เพราะต้องการความเป็นส่วนตัว
"สินธร ฉันมีเรื่องอยากขอร้องแก เกี่ยวกับนายปราณ"
"เรื่องอะไรครับ"
"เรื่องที่เจ้าปราณถูกลอบทำร้าย"
สินธรอึ้งไป แต่ก็รอดูท่าทีของอีกฝ่าย จนพสุวัฒน์พูดต่อ
"ฉันอยากให้แกช่วยสืบหาคนบงการ ฉันยอมรับว่าฉันมืดแปดด้านไปหมด นึกไม่ออกว่าเคยไปทำอะไรให้ใครไม่พอใจ แล้วฉันก็ไม่ไว้ใจใครนอกจากคนในครอบครัว"
สินธรเหลือบไปมองอัณณา
"มีแค่แก กับหนูอัณเท่านั้น ที่ฉันไว้ใจ" พสุวัฒน์บอก
"พี่ไม่บอก ผมก็ช่วยอยู่แล้ว ยังไงปราณก็หลานของผม เอ่อ...แล้วตอนนี้ นายปราณอยู่ที่ไหน" สินธรถาม
"อยู่ในความดูแลของหมอค่ะ เมื่อเช้า คุณปราณปวดศีรษะ เลยเข้าไปตรวจอย่างละเอียดอีกที" อัณณาบอก
"แล้วพี่แจ้งตำรวจหรือยังครับ" สินธรถาม
"ไม่ ให้ตำรวจรู้ไม่ได้ มันจะทำให้จีแอลเอสเสียความน่าเชื่อถือ" พสุวัฒน์บอก
"คุณลุงอยากให้เราสืบเรื่องนี้กันเงียบๆ เพราะท่านสงสัยว่า น่าจะเป็นหนึ่งในกรรมการบริษัทของเรา" อัณณาว่า
"พี่ไม่ต้องห่วง ผมรับปากว่าจะจัดการหาตัวคนร้ายมาให้พี่เอง"
"ฝากด้วยนะสินธร ช่วยหลานด้วย ไม่มีใครที่ฉันจะไว้ใจได้เท่าแกอีกแล้ว"
พสุวัฒน์กับสินธรเข้ามากอดกัน พสุวัฒน์แอบสบตากับอัณณาในลักษณะว่ารู้กันว่าทั้งหมดนี้คือแผน
ส่วนสินธรเองก็ไม่ไว้ใจพสุวัฒน์ซะทีเดียว
วันต่อมา คนงานในไร่กำลังทำงานเก็บกะหล่ำที่ปลูกไว้ ภารตีกำลังทำงานในไร่ร่วมกับพวกคนงาน
ภัทรินยืนอยู่ในที่พักที่มีหลังคา เธอกำลังเปิดดูบัญชีรายรับรายจ่ายของแม่ สักพักภารตีก็ยกเข่งผักเข้ามาวาง ก่อนจะปาดเหงื่อ ดื่มน้ำ แล้วมองว่าภัทรินทำอะไรอยู่
"ภัท อ่านอะไรอยู่"
"กำลังดูบัญชีรายรับของแม่น่ะสิแม่ ภัทคำนวณต้นทุนกำไรย้อนหลังให้แล้ว แม่รู้หรือเปล่าว่าแม่กำไรตกเดือนละไม่ถึงหมื่นบาท แล้วดูสิ่งที่แม่ทำดิ ตากแดดตากลมจนจะเป็นฝ้าไปทั้งตัว เพื่อเงินหมื่นเดียวไม่คุ้มเลย" ภัทรินว่า
"หมื่นนึงมันก็ไม่ใช่น้อยๆ นะ" ภารตีท้วง
คนงานหญิงคนนึงพาลูกสาวมาฝากเนื้อฝากตัวกับภัทริน
"น้าภา นี่จำปา ลูกสาวชั้น สวัสดีพี่ภัทรินสิจำปา"
ภัทรินรับไหว้อย่างงงๆ แล้วหันมองภารตีว่าแปลว่าอะไร ภารตีรู้ได้ทันทีเพราะเธอเคยไปคุยเอาไว้
"ภัท ลูกสาวแม่แป้นเพิ่งเรียนจบ เค้าอยากให้ลูกช่วยฝากเข้าทำงานที ให้ไปเป็นลูกน้องลูกก็ได้"
ภัทรินเริ่มจะเข้าใจก็อึกอัก
"อ๋อ...เอ่อ คือ...”
ภารตีหันมากำชับคนงาน "แต่เงินเดือนอาจจะไม่สูงมากนะ ต้องค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป เข้าใจมั้ย ไหน เอกสารล่ะ" ภารตีรับเอกสารมาจากจำปา
คนงานกับจำปายกมือไหว้ทั้งภัทรินทั้งภารตีปะหลกๆ "ขอบคุณมากนะ ขอบคุณที่สุดเลยๆ"
คนงานแม่ลูกดีใจมากที่จะได้ทำงาน
"แม่ไปรับปากได้ไง ทำไมไม่ถามภัทก่อน"
"ก็ลูกเคยบอกว่าลูกช่วยได้ แล้วแม่แป้นก็ช่วยงานแม่มาตั้งนาน ถือว่าช่วยๆ กันไป"
ภัทรินพูดไม่ออก
"แม่ จริงๆ แล้วไร่ของแม่ วิวก็สวยไม่แพ้ใคร ถ้าเอามาพัฒนาทำเป็นรีสอร์ต สร้างจุดขายดีๆ ภัทว่ารวยระเบิดระเบ้อ" ภัทรินว่า
ภารตีจ้องมองลูกสาวอย่างเอือมระอา "ยังไม่หยุดคิดเรื่องขายไร่อีกเหรอภัท ลูกกลับมาอยู่แค่แป๊บๆ อย่าความคิดบรรเจิดให้มากเลย"
"ใครจะไปรู้ ภัทอาจจะกลับมาอยู่ถาวรก็ได้"
"เหรอ เพิ่งจะมีหนนี้แหละที่อยู่เกินสามวัน แล้วจะกลับไปทำงานเมื่อไหร่"
"ก็ อีก สองสามวัน"
ภัทรินจะเดินหนี แต่ปราณนต์ขี่จักรยานเข้ามาพอดี
ภารตีเหลือบไปเห็น "หมอณนต์"
ปราณนต์ขี่จักรยานของภัทรินมาจอด ภารตีรีบมาต้อนรับ
"คุณหมอ สวัสดีจ้ะ"
ปราณนต์ไหว้ทัก
"ผมมาสายไปหน่อย ไม่ว่ากันนะครับน้าภา"
"ไม่ว่าๆๆ นี่จ้ะ น้าจดรายการของไว้ให้แล้ว เอ้า ภัท ไปล้างมือซะหน่อยสิ จะได้รีบไป"
ภัทรินสงสัย "แม่จะให้ภัทไปไหน"
"ไปจ่ายตลาดไงครับ" ปราณนต์ตอบแทน
"ไปทำไม แล้วทำไมภัทต้องไปกับเขา"
"เอ้า เย็นนี้แม่จะทำกับข้าวเลี้ยงขอบคุณหมอ พอโทรบอกหมอ หมอก็เลยอาสาจะเอาจักรยานมาคืน แล้วจะไปจ่ายตลาดให้ด้วย แต่ลูกต้องไปช่วยหมอถือ"
"แม่จะเลี้ยงขอบคุณเขาเรื่องอะไร" ภัทรินถาม
"ก็เรื่องที่หมอให้ลูกยืมจักรยาน แล้วยังให้ยาฆ่าเหาลูกด้วยไง"
ภัทรินตกใจ ร้องปฏิเสธ "แม่! ยาฆ่าเหาไม่ใช่ของภัทสักหน่อย"
ปราณนต์ยิ้มขำ "อ๋อ ใช่ครับ เป็นของนางสาวไก่ กุ๊กๆ"
ภารตีงง "ไก่ไหน"
"นางสาวไก่ น้องสาวคุณภัท ลูกสาวอีกคนของน้าไงครับ แล้วหายดียังครับ นางสาวไก่กุ๊กๆ" ปราณนต์เย้า
ภัทรินลืมตัวตอบ "ก็ดี เอ๊ย ดีมั้ง ไม่เห็นยัยไก่จะพูดอะไร"
ภารตียิ้มย่อง อบอกชอบใจเชียร์ลูกสาวให้ปราณนต์เต็มที่
"แหม หนุ่มสาวมีรหัสลับรู้กันอยู่สองคนด้วยนะ" ภารตียิ้มน้อยยิ้มใหญ่ด้วยความชอบใจ "ไปๆๆ เอาจักรยานหมอไปคันเดียวพอนะคะ อีกคันน้าจะได้เอาไว้ใช้"
ปราณนต์ยิ้มแซวอย่างรู้ทัน ภัทรินทำฟอร์มเชิดใส่ ปากบ่นอุบอิบ
ภัทรินนั่งซ้อนจักรยานหมอมาตามทาง ปราณนต์ชวนคุยแต่ภัทรินนั่งโดยไม่ยอมแตะเนื้อต้องตัวเขาเลย แม้ถนนทางจะขรุขระแค่ไหน เธอก็ฝืนนั่งเกร็งไปตลอดทาง
"น้าภาบอกว่าคุณทำอยู่บริษัทจีแอลเอสเหรอ บริษัทนี้เขาใหญ่โตมาก คุณทำอยู่ส่วนไหนล่ะ" ปราณนต์ถาม
"โรงงานผลิตเครื่องมือแพทย์" ภัทรินตอบ
"อ้อ ที่อยุธาใช่มั้ย เห็นเขาว่าที่โรงงานนี้ จ่ายเงินดีมาก เงินเดือนสูง มีโอที โบนัสเพียบ"
"ก็ ประมาณนั้น"
"จีแอลเอสเขาบริจาคยาให้โรงพยาบาลผาหมอกประจำเลยนะ ยาที่วันก่อนจ่ายให้แม่คุณ ก็ใช่ มิน่าน้าภาถึงอยากให้ผมรู้จักกับคุณ เผื่อว่าคุณจะช่วยเดินเรื่องขอบริจาคเครื่องมือแพทย์ให้ผมได้บ้าง"
"นี่ ช่วยหยุดพูดแล้วขี่ให้ดีๆได้มั้ย"
"เกาะดีๆสิคุณเดี๋ยวก็ร่วงหรอก"
"ไม่"
"เกาะเถอะน่า ผมไม่ถือ"
ภัทรินชักสีหน้าที่เขาพูดมาได้ว่าไม่ถือ แล้วปราณนต์ก็ขี่รถผ่านหลุมซึ่งกระแทกแรงจนภัทรินร้องลั่น
"ว้ายๆๆ"
ภัทรินหงายเงิบและกลัวหล่นจึงรีบตะครุบตัวปราณนต์เอาไว้ทันที
ปราณนต์ขำ "บอกแล้ว"
"แกล้งชั้นเหรอ"
ภัทรินเงื้อมือจะตี แต่ปราณนต์ร้องบอกออกมาก่อน
"ข้างหน้าเป็นทางลงเขาแล้ว"
ภัทรินตกใจจึงรีบตะครุบปราณนต์
ปราณนต์ปล่อยให้จักรยานไหลลงเขาตามแรงดึงดูดด้วยท่าทางสนุกๆ สบายๆ เขากางแขนกางขารับลมเหมือนเด็กๆ ในขณะที่ภัทรินนั่งกอดปราณนต์ตัวเกร็งด้วยความกลัว
ปราณนต์ขี่รถมาจอดที่บริเวณหน้าตลาดในอำเภอชนบทที่ไม่หรูหรานัก ชาวบ้านปูเสื่อขายผัก ขายของป่าแบบแบกับดิน มีสินค้าชาวเขาขายประปราย ภัทรินรีบกระโดดลงมาด้วยท่าทางมึนๆ
"ขากลับ ชั้นจะจ้างรถยนต์ไปส่ง" ภัทรินว่า
แล้วภัทรินก็ต้องพุ่งไปหาที่ยึดแบบอ้วกแทบพุ่ง
ปราณนต์ส่งยาดมให้ "เอ้า เผื่อช่วยได้..ก็เส้นทางมันไม่ดี ผมไม่ได้อยากแกล้งคุณซะหน่อย"
ภัทรินยังมึนหนักจนไม่อยากขยับเขยื้อนไปไหนแล้ว "ไปเลย..จะไปซื้ออะไร..ก็ไป..ชั้นจะอยู่..รอที่นี่"
"แต่คุณต้องไปช่วยผมถือของ"
ปราณนต์ลากตัวภัทรินให้ลุกขึ้น สักพักป้าแม่ค้า2คนก็เข้ามาทักทายปราณนต์
"หมอณนต์ มาจ่ายตลาดกับใครจ๊ะ เมียเหรอ"
"แอบมีเมียซะสวยเชียวนะคุณหมอ" ป้าคนหนึ่งเย้า ภัทรินยกยาดมมาดม ป้าถามต่อ "กี่เดือนแล้วล่ะคะ"
ภัทรินยิ่งตกใจ "กี่เดือน หา ไม่ใช่"
ปราณนต์เพียงยิ้ม ไม่ตอบรับและไม่ปฏิเสธ "ขอตัวก่อนนะครับป้า"
ปราณนต์คว้าตัวภัทรินแล้วพาเดินไป ภัทรินอยากจะอธิบายแต่ก็ไม่ทันได้พูดอะไร
ปราณนต์เดินนำจ่ายตลาด ภัทรินเดินสูดยาดมตามพร้อมกับบ่นไปด้วย
"ทำไมถึงไม่บอกป้าสองคนนั้นให้ชัดเจน ว่าเราไม่ได้เป็นอะไรกัน"
ปราณนต์ไม่ได้สนใจ เขาสั่งปลากับแม่ค้า
"ปลาทับทิมตัวนึงครับแม่ค้า"
"นี่ ได้ยินที่ชั้นพูดมั้ย" ภัทรินถาม
"คุณ ใครจะคิดยังไงก็ช่าง ถ้าเราไม่ได้เป็นอย่างที่เขาพูดมันก็พอแล้ว"
"อย่างน้อยคุณก็ควรปฏิเสธอะไรสักคำ ชั้นจะได้ไม่เสียหาย"
"ถ้าผมปฏิเสธ แล้วจะไม่เสียหาย" หมอหนุ่มทวนคำ
"ใช่"
ปราณนต์รับปลาจากแม่ค้าและส่งเงินให้
"ป้าครับ คนนี้ไม่ใช่เมียผมนะครับ ไม่ใช่เลย ไม่ใช่จริงๆ นะครับ ไม่ๆๆ"
ปราณนต์ทำเป็นปฏิเสธกวนๆ มีเลสนัย ยิ่งน่าคิดว่าภัทรินคือเมียของเขาจริงๆ
ภัทรินเอะใจ "คุณ"
ปราณนต์เดินหัวเราะต่อไป ภัทรินรีบหันมาอธิบาย
"ไม่ใช่จริงๆ นะคะป้า"
ป้าคนขายปลายิ้มๆ ดูออกว่าไม่เชื่อว่าสองคนจะไม่มีอะไรกัน
ภัทรินได้แต่แค้น จึงรีบวิ่งไล่ตามไปขวางหน้าปราณนต์เพื่อเอาเรื่อง
"คุณจงใจแกล้งชั้น"
"ก็อยากให้ผมปฏิเสธไม่ใช่เหรอ"
"ปฏิเสธอย่างจริงจัง ไม่ใช่ไปทำให้คนยิ่งสงสัย ถ้าเกิดเขาเอาไปพูดว่าชั้นแอบลักลอบคบกับคุณ ไม่ยิ่งเสียหายยิ่งกว่าเดิมเหรอ"
"ถ้ามีใครสักคนเข้าใจผิดว่าคุณเป็นเมียหมอบ้านนอกจนๆ มันน่าขายหน้ามากเลยเหรอ ต้องเป็นข่าวกับเศรษฐีพันล้านหมื่นล้าน ถึงจะโอเคใช่มั้ยครับ"
"คุณหมอ! ชั้นไม่ใช่คนอย่างนั้น"
ปราณนต์พูดยียวน "แล้วเป็นคนอย่างไหนไม่ทราบครับ"
"ชั้นไม่เคยคบกับใครเพราะเงิน"
"แล้วผู้หญิงคนไหน ที่พอรู้ว่าแม่ป่วยแทนที่จะกลับมาดูแล กลับบอกหมอว่าอยากได้เงินค่าจ้างพิเศษเท่าไหร่บอกมาเลยไม่เกี่ยง แต่คุณต้องใช้ยาดีที่สุด ให้บริการดีที่สุด ฉันมีเงินจ่าย"
ภัทรินเพิ่งจำได้ "อ๋อ หมอนี่เอง ที่โทร.หาชั้นตอนที่แม่ป่วย ก็ทำไม ชั้นรักแม่ ทำทุกอย่างเพื่อแม่ได้"
"แล้วทิ้งให้แม่อยู่บ้านนอก ส่วนตัวเองก็ใช้ชีวิตหรูหราอยู่กรุงเทพฯ เป็นสาวปาร์ตี้ ดื่มจนจำไม่ได้ว่าตัวเองกลับถึงห้องนอนได้ยังไงด้วยซ้ำ"
ภัทรินชะงัก "ทำไม หมอรู้"
ปราณนต์ยิ้มและยักคิ้วกวนประสาท "ผมรู้อะไรเยอะกว่าที่คุณคิดอีก ขอบอก ฮะๆๆ"
"หมอรู้อะไรอีก พูดมาให้หมด"
"อื้ม ไม่ดีกว่า เก็บไว้เป็นเซอร์ไพร้ส์ คุณชอบไม่ใช่เหรอเซอร์ไพร้ส์น่ะ"
ปราณนต์แกล้งทำเป็นมีเลสนัย เขาเดินยิ้มๆ แยกออกไป
"หมอ!”
ปราณนต์เดินแยกออกมาอีกด้าน ภัทรินวิ่งถือของตามมา
"อย่ามาทำตัวมีเลศนัย ชั้นไม่ชอบ..รู้อะไรเกี่ยวกับชั้นอีก พูดมา"
"รู้อะไรดีน๊า"
"นี่! กวนประสาท มาเป็นหมอได้ยังไง"
"ทำไม คุณมีความลับอะไรงั้นเหรอ ถึงได้ดิ้นพล่านขนาดนี้"
"ไม่มี ไม่มีอะไรสักหน่อย"
"งั้นจะมาคาดคั้นผมทำไม แน่ะๆๆ ต้องมีอะไรแน่ๆ อะไรเหรอ บอกผมหน่อยสิ ผมอุตส่าห์ให้ยาดมคุณนะ"
แต่แล้วอยู่ๆ ก็มีรถกระบะของพวกอาสาสมัคร ขับพุ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว ผู้คนบริเวณนั้นแตกตื่น
หนึ่งในอาสาสมัครร้องบอก "หมอณนต์ๆ มีรถตกเขา"
ปราณนต์อึ้ง เขาวางข้าวของในตะกร้าหน้าจักรยานแล้วจะรีบไป
"ผมไปด้วย"
"เฮ้ย แล้วชั้นล่ะ ชั้นจะกลับยังไง ชั้นไม่รู้ทาง"
"งั้นก็ไปด้วยกัน"
ปราณนต์คว้ามือภัทรินลากไปขึ้นรถกระบะเก่าๆ ของพวกอาสาสมัครชุมชน
ไม่นานนัก รถกระบะที่ปราณนต์กับภัทรินนั่งมาแล่นเข้ามาจอดตรงจุดเกิดเหตุ บริเวณนั้นมีเจ้าหน้าที่หลายนายกำลังปฏิบัติหน้าที่กันอยู่ มีการส่งชักรอกลงไปเพื่อดึงตัวคนเจ็บขึ้นมาเพื่อให้เจ้าหน้าที่มูลนิธิรีบปฐมพยาบาลและนำขึ้นรถส่งไปรักษา บางคนถูกดึงขึ้นมาแล้ว แต่ยังไม่มีรถไปส่งจึงต้องปฐมพยาบาลกันตามยถากรรมตรงนั้น ปราณนต์ลงจากรถแล้วรีบเข้าไปทันที
ภัทรินลงจากรถมาอย่างเก้ๆ กังๆ และมึนงง ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่มองบรรยากาศชุลมุนด้วยความแปลกแยก มีคนวิ่งสวนไปสวนมา ภัทรินจะขยับไปทางไหนทีก็ดูเกะกะขวางทางการทำงานของเจ้าหน้าที่ไปหมด
เจ้าหน้าที่คนหนึ่งที่เพิ่งถูกดึงตัวขึ้นมาจากข้างล่าง หอบเหนื่อยแฮ่กๆ เพราะเขาต้องขึ้นๆ ลงๆ เพื่อช่วยคนหลายรอบแล้ว
"ข้างล่าง มีคนบาดเจ็บติดอยู่ลึกมาก อาการสาหัส แขนขาไม่มีความรู้สึก ผมจัดการไม่ไหว"
ปราณนต์วิ่งแทรกเข้ามา
"กระดูกสันหลังอาจจะหัก ห้ามเคลื่อนไหวผิดวิธี ผมลงไปช่วยคุณเอง ผมเป็นหมอ"
"มาเลยหมอ" เจ้าหน้าที่บอก
บรรดาเจ้าหน้าที่รีบเข้าไปรุมที่ปราณนต์โดยเอาอุปกรณ์เซฟตี้ต่างๆ รัดที่เขาเพื่อเตรียมหย่อนตัวลงไป
"หมอ”
ภัทรินอึ้ง และได้แต่มองปราณนต์ทำงานอย่างไม่คิดถึงชีวิตตัวเองเลย
"ขอผ้าขนหนูหรือผ้าไรก็ได้สองสามผืน เชือก ไม้กระดานเตรียมไว้ให้พร้อม"
ปราณนต์สั่งการ ร่างเขาถูกหย่อนตัวลงไปด้านล่าง เจ้าหน้าที่อีกคนลงไปช่วย ทุกอย่างเร่งรีบไปหมด ภัทรินลุ้นแต่ยังคงเกะกะการทำงาน เจ้าหน้าที่คนอื่นๆ คอยช่วยกันส่งอุปกรณ์ตามลงไป เริ่มจากผ้าขนหนู ไม้กระดาน เชือก
ปราณนต์กับเจ้าหน้าที่ช่วยกันบล็อกร่างกายคนเจ็บไม่ให้เคลื่อนไหวมาก เขาเอาผ้าขนหนูรองเข้าไปที่ส่วนเว้าของหลังแล้วบล็อกคอ เอาไม้กระดานสอดให้คนเจ็บนอนบนไม้ จัดการเอาสายรัดมาตรึงร่างคนเจ็บกับไม้ให้แน่นพร้อมสำหรับการดึงตัวคนเจ็บขึ้นไป
ภัทรินได้แต่มอง เพราะทำอะไรไม่เป็น ร่างของคนเจ็บที่ผูกติดกับไม้กระดานถูกดึงขึ้นมา พวกเจ้าหน้าที่รีบไปดูแล ปราณนต์กับเจ้าหน้าที่ถูกดึงตามหลังมา เมื่อมาถึงปราณนต์ก็รีบลุก ถอดอุปกรณ์เซฟตี้ แล้วจะไปดูคนเจ็บต่อเลย แต่ภัทรินเข้ามาโวยวาย
"หมอพาชั้นมาทำอะไรที่นี่"
"จะยืนเฉยทำไม มานี่"
ปราณนต์พูดจบก็คว้ามือภัทรินไป โดยดันให้เธอขึ้นรถกระบะที่มีคนเจ็บกระดูกสันหลังเคลื่อนถูกพาขึ้นไปท้ายกระบะแล้ว แต่ยังไม่มีใครดูแล มีเสียงตะโกนเรียกให้ไปดูคนเจ็บอีกด้าน ทุกคนวุ่นวายไปหมด ปราณนต์เอาที่ช่วยหายใจแบบมือบีบส่งให้ภัทรินถือ ส่วนตัวเองก็รีบติดสายน้ำเกลือให้คนไข้
"บีบเป็นจังหวะ" ปราณนต์ทำมือให้จังหวะเพื่อให้ภัทรินบีบตาม " ดี รักษาจังหวะไว้" ปราณนต์ส่งถุงน้ำเกลือให้ภัทรินถืออีกมือโดยจับยกให้เธอชูมือสูงไว้ "อย่าหยุดบีบ"
ภัทรินรู้สึกสยอง "ชั้นทำไม่ได้"
ปราณนต์จริงจังซีเรียส "ทำได้! นี่ชีวิตคน คุณต้องทำได้"
มือภัทรินยังคงบีบไป แต่ปากก็คร่ำครวญ "ชั้นทำไม่ได้ ชั้นกลัว"
"ออกรถได้เลย"
ปราณนต์หันไปช่วยเหลือคนอื่นต่อ
ภัทรินตกใจเรียก "หมอ”
รถที่ภัทรินนั่งอยู่แล่นออกไป ภัทรินแทบจะร้องไห้ ปากครวญครางบ่นบ้า แต่มือก็บีบไปตามจังหวะ
รถอาสาสมัครแล่นเข้ามาในโรงพยาบาลอย่างเร่งรีบ ภัทรินที่นั่งครวญมาตลอดทาง พอเห็นว่าถึงโรงพยาบาลก็รีบร้องขอความช่วยเหลือราวกับเป็นคนเจ็บซะเอง
"ช่วยด้วย ช่วยชั้นด้วย"
จันทร์วิภารีบออกมารอรับคนไข้ เนตรมณีและเบญจคีย์มาเป็นอาสาสมัครช่วยแพทย์แล้วก็เข็นเตียงผู้ป่วยมารอรับ ทันทีที่รถกระบะจอดทุกคนก็รีบทำงานกันอย่างคล่องแคล่ว บางคนดึงสายน้ำเกลือและที่ช่วยหายใจมาจากมือภัทรินแล้วเอาตัวคนเจ็บใส่เตียงก่อนจะรีบพาไป
"ช่วยด้วย”
เบญจคีย์ซึ่งเป็นหนึ่งในเจ้าหน้าที่ทนไม่ได้จึงหันมาดุ
"หยุดคร่ำครวญได้มั้ย! คนเจ็บยังไม่ร้องเท่าเธอเลย!”
เบญจคีย์รีบวิ่งไปทำงานต่อ
ภัทรินนั่งเหวอมองเหตุการณ์แล้วก็พยายามรวบรวมสติ
ภัทรินเดินเข้ามาในโรงพยาบาล สิ่งที่เธอเห็นก็คือบรรยากาศวุ่นวายของโรงพยาบาลชนบท หมอและพยาบาลที่มีอยู่แค่ไม่กี่คนวิ่งกันอย่างวุ่นวายมาก เนตรมณี เบญจคีย์ และชาวบ้านบางส่วนทำหน้าที่เสมือนเป็นเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล ต่างก็ช่วยวิ่งดูแลคนเจ็บ
คนเจ็บที่ไม่ได้อาการหนักมาก เช่น หัวแตก แขนหัก นั่งครวญครางรออยู่ เพราะต้องให้หมอดูแลคนที่อาการหนักกว่าก่อน แม้แต่คนไข้ที่มารอตรวจบางคนที่ใช้ไม้เท้าค้ำยันก็ยังมีน้ำใจช่วยหยิบนั่นนี่และกดน้ำดื่มมาส่งให้คนบาดเจ็บ
ภัทรินเหวอเพราะตั้งสติไม่ทันที่ต้องมาเจอเหตุการณ์ชุลมุนขนาดนี้ ปราณนต์วิ่งเข้ามาพร้อมกับคนเจ็บอีกคน มีชาวบ้านมารับช่วงพาคนเจ็บไปต่อ
"เตรียมผ่าตัดเลย" ปราณนต์สั่ง
ปราณนต์กำลังจะรีบไปผ่าตัด เขาชะงักเพราะเห็นภัทรินยืนเหวออยู่
"ทำอะไรได้ก็ไปทำสิ" ปราณนต์บอก
ภัทรินงง "หา”
"คนกำลังจะตาย คุณทำได้แค่ยืนมองเหรอ"
"ชั้นจะทำอะไรได้ ชั้นไม่ใช่หมอ ไม่ใช่พยาบาล"
"แล้วคนอื่นเป็นหรือไง แหกตาดูสิคุณ"
ปราณนต์พูดจบก็วิ่งไปเลย เขาวิ่งไปดูอาการเบื้องต้นให้คนเจ็บอาการไม่สาหัสที่นั่งรออยู่ ก่อนจะสั่งจันทร์วิภาให้เอายามาให้และดูแลเบื้องต้นก่อนที่ตัวจะเข้าผ่าตัดคนไข้สาหัส
"ไม่ ชั้น...ชั้นทำไม่ได้"
ภัทรินหันกลับจะเดินออกไป แต่ต้องชะงักเพราะมีญาติคนไข้วิ่งสวนมาพร้อมกับร้องไห้เหมือนคนใจจะขาด
"เข้าไม่ได้นะคะ นั่งรอก่อนนะคะ" พยาบาลร้องห้าม
ญาติคนไข้ที่นั่งรอก็ร้องไห้ มีเสียงดังมาจากอีกด้าน
"มีคนเป็นลม ขอยาดมหน่อย! ใครมียาดมบ้าง"
ภัทรินล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าก็รู้ว่าตัวเองมี เธอมองอย่างชั่งใจว่าจะเข้าไปปลอบดีไหม ปราณนต์เหลือบมามองภัทรินอย่างลุ้นว่าภัทรินจะมีคุณธรรมบ้างไหม
ภัทรินตัดสินใจวิ่งออกไป ปราณนต์ผิดหวัง แต่แล้วภัทรินก็วิ่งกลับเข้ามาพร้อมกับคนไข้อีกคน ช่วยประคองเข้ามา
"ค่อยๆ นั่งนะคะพี่" ภัทรินพาคนไข้นั่งเสร็จก็รีบล้วงยาดมแล้วเข้าไปหาเบญจคีย์ "ชั้นดูแลเอง" ภัทรินหยิบยาดมมาแกว่งให้ชาวบ้าน "ไหวมั้ยคะพี่ ถือเองไหวมั้ยคะ" ภัทรินส่งยาดมให้ชาวบ้านถือเอง
ปราณนต์มองภัทรินด้วยแววตาชื่นชม
พยาบาลเข้ามาบอก "ห้องผ่าตัดพร้อมแล้วค่ะ"
ปราณนต์รีบเข้าห้องผ่าตัด ภัทรินวิ่งวุ่นวายพร้อมกับช่วยดูแลคนไข้ ช่วยหาน้ำดื่มให้ ทั้งยังช่วยทำแผลง่ายๆ แปะพลาสเตอร์ให้
ชมนาดรู้เรื่องจากอัณณาก็ทวนคำด้วยสีหน้าฉงนฉงาย
"คุณปราณไปฝรั่งเศส"
"ใช่ค่ะ อีกหนึ่งสัปดาห์ถึงจะกลับมา ถ้าคุณชมนาดมีเรื่องด่วนอะไร ฝากเรื่องไว้ แล้วดิฉันจะประสานให้เองค่ะ"
"ชั้นมีเอกสารที่คุณปราณต้องเซ็นค่ะ" ชมนาดบอก
"ได้ค่ะ เดี๋ยวดิฉันจะส่งให้คุณลุงพสุวัฒน์เซ็นแทน" อัณณาบอก
"เอ่อ ไม่ทราบว่าคุณปราณไปทำอะไรที่ฝรั่งเศสเหรอคะ ทำไมไม่มีใครทราบก่อน มันไม่ได้อยู่ในกำหนดการไม่ใช่เหรอคะ"
"เรื่องนี้ ต้องขอโทษด้วย คุณปราณไม่ให้ดิฉันบอกใครเด็ดขาด อย่าว่าเลยนะคะ"
"ค่ะ แล้วอาทิตย์หน้า ตัวแทนจากญี่ปุ่นจะเดินทางมาทำสัญญาที่เราจะให้เค้าเป็นตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์จีแอลเอส คุณปราณคงไม่ได้ลืมนะคะ"
"คุณปราณทราบเรื่องนี้ดีค่ะ ทุกอย่างเป็นไปตามกำหนดเดิม คุณชมนาดคอนเฟิร์มกับทางญี่ปุ่นได้เลยค่ะ"
"ค่ะ"
"ไม่ทราบว่ามีอะไรกังวลอีกหรือเปล่าคะ"
อัณณาพูดอย่างฉะฉานมั่นใจ ชมนาดอึ้งแต่ก็ทำยิ้มแย้ม
ภัทรินทรุดตัวนั่งลงอย่างหมดแรงแล้วไกวยาดมให้ตัวเอง สักพักก็มีน้ำยื่นมาให้
"ดื่มหน่อย จะได้ไม่เป็นลมไปอีกคน"
ภัทรินงงๆว่าเพื่อนหายโกรธแล้วเหรอก่อนจะรับน้ำมา
ภัทรินกำลังจะพูดขอบใจ "ขอบ..”
เบญจคีย์พูดแทรกแล้วก็อดแขวะไม่ได้ "ไม่ใช่น้ำแร่ ดื่มได้หรือเปล่า"
"ก็ ดีกว่าไม่มี"
จันทร์วิภาเดินตามออกมา
"พวกแก จะกลับไปพักก็ได้นะ ไม่น่าจะมีอะไรมากแล้ว"
"ชั้นอยู่รอนี่ดีกว่า เผื่อมีอะไรฉุกเฉิน หรือเผื่อจะสลับกันไปพักก็ยังดี" เนตรมณีบอก
"ถ้าใครอยากกลับก็ให้กลับไป" เบญจคีย์ว่า
สามสาวมองที่ภัทริน
ภัทรินรีบบอก "ไม่ต้องมามอง ชั้นไม่กลับตอนนี้ให้โดนพวกแกเม้าท์หรอก"
สามสาวฟังแล้วเพลีย เซ็งที่ภัทรินคิดมากไปได้
"เคยมั้ยที่จะมองคนอื่นในแง่ดีบ้าง เฮ้อ" จันทร์วิภาว่า
สามสาววงแตกเพราะระอาเพื่อน
ภัทรินเชิดแล้วก็บ่นๆ "แล้วมันจริงมั้ยล่ะ ตอบมาสิๆ"
สินธรออกอาการเครียด
"คุณคิดว่ายัยอัณณาโกหกเรางั้นเหรอ"
ชมนาดบอกว่า "แล้วคุณเชื่อจริงๆเหรอว่าพี่ชายคุณไม่ระแคะระคายอะไรเลย ท่านประธาน ไม่ใช่คนโง่ เขาสร้างอาณาจักรจีแอลเอสมาได้ขนาดนี้ คิดว่าธรรมดาเหรอ"
"คุณคิดว่าพี่พสุกำลังหลอกให้ผมตายใจงั้นเหรอ" สินธรถามต่อ
"ชมไม่รู้ แต่ชมไม่เชื่อว่าคุณปราณจะไปฝรั่งเศสจริง มันต้องมีอะไรลับลมคมในซ่อนอยู่"
"แล้วมันอะไร คุณก็เห็นว่านายปราณมันยังโผล่หัวมาประชุมได้ปกติ มันไม่ได้เป็นอะไรเลย"
"แต่หลังจากวันนั้นเขาก็หายตัวไปนะคะ ไม่มีใครทราบความเคลื่อนไหวใดๆ อีก นอกจากพี่ชายคุณกับยัยอัณณา สองคน"
"เพราะมันกลัวว่าจะมีใครตามมาทำร้ายมันซ้ำอีกน่ะสิ"
"ก็อาจจะใช่ หรือเค้าสามคนอาจจะมีแผนการอะไรซ่อนอยู่ก็ได้เหมือนกัน"
"แล้วคุณจะเอายังไง"
ชมนาดขยับเข้ามาจนประชิดตัว "อันดับแรก คุณต้องจำไว้ว่า คนๆเดียวที่คุณไว้ใจได้ก็คือชม"
เสียงเคาะประตูดังขึ้น ชมนาดรู้ว่าใครมาก็เดินไปเปิดประตู ธนาฒน์ที่อยู่ในลุคเนี้ยบ หรู ดูดี พร้อมจะขึ้นเป็นคู่แข่งของปราณ ยืนอยู่หลังประตู
"สวัสดีครับคุณสินธร คุณชมนาด"
ชมนาดหันมายิ้มบอกกับสินธร "ธนาฒน์พร้อมที่จะทำหน้าที่ของเขาแล้วค่ะ"
เช้าวันต่อมา ภัทรินนอนคู้ตัวหลับอยู่บริเวณม้านั่ง สักพักก็มีคนมานั่งข้างๆ เอาผ้าห่มมาห่มให้ ภัทรินค่อยๆ รู้สึกตัว ลืมตามองก็พบว่าเป็นปราณนต์นั่นเอง
"เช้าแล้วเหรอ"
"สายแล้ว" ปราณนต์บอก
"สาย"
ภัทรินตั้งสติ พอสมองสั่งการเธอก็รีบลุกพรึ่บขึ้นมานั่ง พอมองรอบๆแล้วก็ต้องหน้าแตกสุดๆ เพราะคนไข้มากันเต็มโรงพยาบาลแล้ว ทุกคนมองมาที่ภัทรินแล้วก็ขำๆยิ้มๆ
"ทำไมไม่ปลุกชั้น"
"ผมก็เพิ่งจะออกมาเห็นคุณนี่แหละ"
ระหว่างนั้น จันทร์วิภาก็เดินยิ้มเยาะผ่านไป
"หน็อย พวกเพื่อนบ้า แกล้งชั้นเหรอ" ภัทรินฉุน
"ทำไมไม่กลับไปตั้งแต่เมื่อคืน"
"กลับยังไง รถก็ไม่มี จะให้เดินกลับไปเอาจักรยานคนเดียวหรือไง"
"นึกว่าจะตอบว่า ที่ทนอยู่เพราะเป็นห่วงคนเจ็บ อยากช่วยคนอื่น เฮ้อ..."
ปราณนต์เดินแยกไป ภัทรินรีบเดินตาม
ปราณนต์เดินนำมาด้านนอก ตรงรถจี๊ปบุโรทั่งสีเขียวของแพทย์อาสาจอดอยู่ น้าคนขับกำลังตรวจเครื่องยนต์
"เอาลุงเขียวมาใช้เหรอน้า" ปราณนต์ถาม
"ครับ คันอื่นก็ออกไปทำงานหมด เหลือแต่ลุงเขียวนี่แหละ นานๆ เอามาใช้ที อายุจะเกือบสามสิบปีแล้ว แต่รับรองว่าเครื่องยังฟิตปั๋งครับ ขึ้นเลยๆ เดี๋ยวไปส่งถึงบ้านทุกคน"
ปราณนต์กำลังจะขึ้น แต่ภัทรินมาถึงก็ขึ้นไปก่อนใครเลย
ภัทรินหันมาเร่ง "ขึ้นเร็วสิ"
ปราณนต์ระอาก่อนจะเดินตามขึ้นไป
ภัทรินสั่ง "ออกรถเลยลุง"
"รถส่วนตัวเหรอ รอคนอื่นก่อน" ปราณนต์ว่า
ภัทรินขัดใจ "ฮึ่ย"
"หรืออยากเดินกลับเอง"
ภัทรินไม่พอใจมาก "ฮึ่ย"
ปราณนต์จ้องภัทรินเหมือนผู้ใหญ่ดุเด็กที่เอาแต่ใจ ภัทรินจ้องตอบอย่างท้าทาย
"คุณรู้มั้ยว่าชั้นไม่ได้ทานอะไรเลยตั้งแต่เมื่อวาน" ภัทรินว่า
"แล้วมีใครได้ทาน" ปราณนต์ย้อนถาม
"ทำไมชอบยอกย้อน"
"ทำไมชอบคิดถึงตัวเอง"
"หมอ!”
เจ้าหน้าที่ชายอีก 3 คน เดินเข้ามาขัดจังหวะพอดี
"ไปด้วยนะครับ"
ภัทรินต้องระงับอารมณ์ไว้ กลุ่มเจ้าหน้าที่ก้าวขึ้นรถ
รถจี๊ปแล่นปุเรงๆ มาตามถนนขึ้นเขา ภัทรินมือหนึ่งเกาะยึดเอาไว้ไม่ให้ตัวโยกแต่ก็ก้มหน้าสัปหงก
"นอนมาทั้งวันแล้วยังง่วงอีกเหรอ" ปราณนต์มองหน้า
"มันนอนสบายที่ไหนกันล่ะ ป่านนี้แม่ชั้นเป็นห่วงแย่แล้ว" ภัทรินบอก
"ผมโทร.ไปบอกแม่คุณให้แล้ว ระหว่างที่คุณนอนฝันหวานอยู่กลางโรงพยาบาลนั่นแหละ"
อยู่ๆ รถก็ส่าย คนขับมีท่าทางเงอะงะ
"รถเป็นอะไรไปน้า" ปราณนต์ถาม
"เอาข่าวดีข่าวร้ายครับ" น้าคนขับย้อนถาม
"ข่าวดี"
"ลุงเขียวของเราเครื่องยังฟิตวิ่งได้ฉลุยเลยครับ"
"ข่าวร้ายล่ะ" ภัทรินเป็นฝ่ายถาม
"เครื่องฟิต แต่เบรกไม่ได้ครับ เบรกแตก"
ภัทรินตกใจ "ห๊า"
ทุกคนตกใจ รถส่ายมากขึ้น
ภัทรินถาม "น้าล้อเล่นใช่มั้ย"
"ไม่ล้อเล่น ข้างหน้า ทางลงเขา จับกันให้ดีๆ"
ภัทรินเกาะรถเอาไว้แน่น "ว้าย"
รถไถลพุ่งลงจากเขาอย่างรวดเร็ว
"ทุกคน เดี๋ยวพอถึงทางขึ้นเขา ผมจะประคองรถให้ช้าที่สุด ได้จังหวะแล้ว โดดเลยนะ" ลุงคนขับบอก
ภัทรินตาเหลือก "หา จะบ้าเหรอ"
พวกเจ้าหน้าที่พร้อมจะกระโดด
"เอ้าๆๆๆ เตรียมโดดนะครับ ห้า สี่ สาม สอง โดดเลย" คนขับบอก
พวกเจ้าหน้าที่ทยอยกันโดดลงจากรถทีละคนๆ ภัทรินได้แต่เหวอ
ปราณนต์หันมาบอก "โดดสิคุณ"
"ชั้นไม่โดด"
"อยากให้รถตกเขาตายหรือไง"
ภัทรินหันมาบอก "ชั้นไม่โดด"
คนขับร้องแทรกมา "เฮ้ย ไม่ๆๆ"
ภัทรินกับปราณนต์ถาม "อะไรอีก"
ลุงคนขับชี้ให้ดูด้านหน้าที่มีรถกระบะชาวบ้านที่เครื่องดับกำลังไหลถอยหลังลงมาตามทาง ลุงโผล่หน้าออกมาโบกมือไล่
"หลบไปๆๆ"
แต่คนขับรถกระบะก็โผล่หน้ามาโบกมือไล่เช่นกัน หน้าตาตื่นเต้นเพราะกลัวชน
"รถเครื่องดับ ถอยไปๆๆ"
"ถอยไม่ได้โว้ย เบรกแตก"
ปราณนต์โผล่หน้าไปช่วยโบกตะโกน "หักหลบไปทางขวา ขวาสิ ไปขวา"
รถกระบะไหลลงมาจนเกือบจะชนรถจี๊ปอยู่แล้วรอมร่อ
ภัทรินกรีดร้องลั่น "อ๊ายย"
คนขับกระบะหักหลบไปได้อย่างหวุดหวิดพอดี
"นี่มันอะไรกัน" ภัทรินถามด้วยความโมโห
ปราณนต์พยายามให้สติคนขับ
"น้า เหยียบเบรกเอาไว้ดีๆ ค่อยๆ แตะ ถ้ายังหยุดไม่อยู่ ก็ลากเกียร์ต่ำไว้ คงพอซื้อเวลาได้บ้าง แล้วพอถึงช่วงที่ลงไม่ชันมาก หรือตีโค้งไม่มาก ก็น่าจะพอไปไหว แล้วหาทางหยุดรถให้ได้"
"ครับ ผมจะลองดู"
คนขับพยายามประคองรถไป
"ชั้นยังไม่อยากตาย ช่วยด้วย"
รถไถลไปเรื่อยๆ เสียงภัทรินกรี๊ดดังไปตลอดทาง
รถจี๊ปแล่นมาชนรั้วบ้านแล้วจึงหยุดเอี๊ยด ภัทรินหัวคะมำอยู่ในรถโดยยังเกาะรถแน่น
"ว้าย"
ลุงคนขับดีใจที่รถหยุดได้อย่างปลอดภัย
"รถหยุดแล้ว มันหยุดแล้ว"
ปราณนต์ลงจากรถตามคนขับ
"เก่งมากเลยน้า" ปราณนต์พูดกับภัทริน "ไงคุณ ยังโอเคอยู่มั้ย"
ภัทรินจ้องดุ "ชั้น จะไม่ไปไหนมาไหนกับคุณอีก"
"อย่าบ่นน่า ชีวิตหมออาสาบนเขาบนดอยมันก็ยังงี้แหละ มีเรื่องให้ตื่นเต้นไม่หยุดไม่หย่อน ลงมา เดี๋ยวผมขี่จักรยานไปส่งคุณที่บ้าน"
ภัทรินฉุน "คุณมีจักรยานกี่คันเนี่ย"
"คนที่ตลาด เค้าเอามาเก็บให้น่ะ"
"อ๋อ"
ภัทรินจะลงจากรถ ปราณนต์จะช่วย
"มา ผมช่วย"
"ไม่ต้อง"
ภัทรินจะลงเอง แต่แล้วเธอกลับหน้ามืด ปราณนต์เข้ามาประคองเอาไว้ได้พอดี
"ไหวมั้ย"
"ไหว"
"ผมว่าไม่"
"บอกว่าไหวก็ไหวสิ"
ภัทรินดื้อจะยืนเอง แต่แล้วเธอก็วูบหมดสติ ร่างแบบบางร่วงคาอ้อมแขนของปราณนต์
"เถียงอีกสิว่าไหว"
ปราณนต์มองหน้าภัทรินที่หมดสติด้วยแววตาที่อ่อนโยนลง
อ่านต่อตอนที่ 3