เงาใจตอนที่ 15 อวสาน
ดึกสงัด บ้านพักอังกูรตกอยู่ในความเงียบทั้งหลัง เสียงโทรศัพท์มือถือดังก้องขึ้นในห้องนอนอังกูร กินรีงัวเงียหยิบโทรศัพท์มารับสาย
“ว่าไง” คำพูดทางปลายสาทำให้กินรีตะลึง ตกใจมาก “อะไรนะ...ไม่...ม่าย...”
กินรีกรีดร้องออกด้วยความเสียใจถึงขีดสุด อังกูรงัวเงียตื่นขึ้นมา มองด้วยท่าทีรำคาญ
“มีอะไร”
“คนงานบอกว่ามีโจรขึ้นบ้านแล้วพ่อถูกฆ่า”
อังกูรได้ฟังก็ลอบยิ้มสมใจ ในขณะที่กินรีร้องไห้ปิ่มว่าจะขาดใจ
รุ่งเช้า รถปอเต็งตึ๊งเก็บศพจอดอยู่หน้าบ้านกิจจา เจ้าหน้าที่กู้ภัย และตำรวจ เดินสำรวจที่เกิดเหตุ กินรีวิ่งร้องไห้ถลันเข้ามากอดร่างไร้วิญญาณของกิจจา
“พ่อ...พ่อทำไมพ่อต้องทิ้งนรี แล้วนรีจะอยู่กับใคร”
อังกูรเดินตามเข้ามามองร่างกิจจาอย่างสะใจ
กินรีนั่งร้องไห้อยู่หน้าบ้านเหมือนคนหมดเรี่ยวแรง อังกูรเดินเข้ามาหาแสดงธาตุแท้ทันที
“นรี ไหนๆพ่อเธอก็ตายแล้ว เป็นอันว่าฉันขอเลิกสัญญาทั้งหมดที่พ่อเธอบังคับฉันนะ เอาหลักฐานที่พ่อเธอเก็บไว้มาให้ฉัน
กินรีอึ้ง ความโกรธความแค้นในใจพุ่งขึ้นมาเป็นริ้วๆ เหลียวขวับมามองอังกูรด้วยนัยน์ตาวาวโรจน์
“ฝีมือคุณใช่ไหม คุณฆ่าพ่อนรี”
“จะบ้าเหรอ ฉันก็อยู่กับเธอในคืนแรกของการแต่งงานเธอก็เห็น”
กินรีมองจ้องอังกูรราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ รู้ทันว่าอังกูรต้องใช้ชาติเป็นคนทำ แต่ไม่พูดอะไรออกมาอีก น้ำตาไหลริน ร่างของเธอสะท้าน ร้องไห้ออกมาด้วยความเจ็บปวดที่มารักคนเลว
“นี่ คนงานเอย ตำรวจเอย เขาก็บอกว่าโจรมันขึ้นมาปล้นบ้านเธอ พ่อเธอมันโง่เอง อย่าพูดมากน่าหลักฐานอยู่ที่ไหน”
กินรีโกรธจัด เงื้อจะตบหน้าอังกูร แต่อังกูรจับมือไว้แล้วจ้องหน้าด้วยแววตาเหี้ยม
“ที่ให้เหมือนปล้นทรัพย์ เพราะคนของคุณต้องการหาหลักฐานของพ่อใช่ไหม ฉันไม่ให้”
อังกูรขู่ทันที “อยากเป็นผีตายทั้งกลมก็เก็บไว้ให้ตลอดนะ เพราะถ้าคนเก็บไม่อยู่หลักฐานก็ไม่จำเป็น”
พอกินรีนึกถึงลูก ก็เริ่มอ่อนลง อังกูรสะบัดมือออก
“พรุ่งนี้หย่าให้ฉัน แล้วจะเก็บหลักฐานบ้าบออะไรก็เก็บไป แต่ถ้าเมื่อไหร่เธอใช้เล่นงานฉันละก้อ...”
อังกูรยกมือทำเป็นปืนจ่อหัวกินรีดันออกไป ก่อนจะยิ้มเยือกเย็นโหดเหี้ยมให้แล้วเดินหนีออกไป
กินรีทรุดตัวลงนั่งร้องไห้นึกถึงพ่อ
“พ่อ”
กินรีเข้ามาในห้องทำงานของกิจจา มองรูปพ่อแล้วร้องไห้อีก มองไปรอบๆ บ้านหลังโอฬาร ที่ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว ก็ยิ่งเศร้าเหลือแสน ขณะจะลุกขึ้นกระโปรงดันไปเกี่ยวกับลิ้นชักใต้โต๊ะทำงานกิจจา เปิดอ้าออก
กินรีพบสมุดบันทึกของกิจจา พร้อมกับซองหลักฐานที่ทำไว้ เพื่อจะเอาผิดหากอังกูรหักหลัง
กินรีอ่านข้อความในสมุดบันทึก ราวกับมีเสียงบิดามาอ่านข้างๆ หู
“นรีถ้าพ่อเป็นอะไรไป คนที่มันทำร้ายพ่อ มีคนเดียวเท่านั้น คือไอ้อังกูร หลักฐานทุกอย่างพ่อเก็บไว้ในซองนี้ พ่อติดกล้องวรจรปิดเอาไว้ด้วย นรีพ่อรักลูกมากนะ”
กินนรีร้องไห้สะอึกสะอื้น แล้วเดินไปที่หน้าทีวีหยิบรีโมทออกมากด หน้าจอแสดงให้เห็นว่าเป็นภาพจากกล้องวงจรปิด
กินรีสูดลมหายใจลึกๆ ใบหน้ามุ่งมั่นจะเอาผิดกับอังกูร
อีกฟาก เมทินีกับทิปปี้กำลังนั่งคุยกันอยู่ในสวนข้างบ้านพ่อเลี้ยง
“ตกลงวาทิต ไม่ใช่สิ คุณรุทร เขาไปแล้วจริงๆ ใช่ไหม”
เมทินีพยักหน้ารับพยายามไม่สนใจ ทิปปี้สังเกตอาการเพื่อน แล้วนึกเป็นห่วง
“ฉันว่าช่วงนี้หน้าตาแกดูเศร้าๆ หมองๆ เหมือนคนไม่มีความสุขเลยอ่ะ แกยังคิดถึง…”
ทิปปี้จะพูด แต่เมทินีรีบพูดสวนขึ้นเสียงแข็ง “พอเลยทิปปี้อย่าพูดถึงเขาอีก”
ทิปปี้เสียงสูง “อะไรแก ฉันหมายถึงว่าแกคิดถึงเรื่องอาการป่วยของพ่อเลี้ยงมากไปใช่ไหม ไม่ได้หมายถึงว่าแกคิดถึงคุณรุทรเขาสักหน่อย หรือว่าจริงๆ แล้วแก...”
เมทินีมองหน้าทิปปี้ท่าทางไม่พอใจ ทิปปี้จึงหยุดพูดแกล้ง
“ไม่พูดถึงก็ไม่พูดถึง มาเม้าท์เรื่องนรีดีกว่า อิจฉานรีจังเนอะจะได้มีครอบครัวที่อบอุ่น มีลูกตัวน้อยๆ น่ารัก จะว่าไปพี่กูรก็ไวนะยะ ผิดหวังจากแกไปก็ได้นรีมาดามใจ ปุ๊บปั๊บรับโชคมีลูกซะเลย”
เมทินียิ้มไปกับคำพูดของทิปปี้ มือถือเมทินีสั่น เป็นอังกูรโทร.เข้ามา
“พูดถึงพี่กูรก็โทร.มาเลย”
เมทินีคุยโทรศัพท์กับอังกูร โดยมีทิปปี้นั่งมองอยู่ด้วย
“ค่ะพี่กูร” พอได้ฟังก็ตกใจมาก หันมามองทิปปี้ “คุณอากิจจาตายแล้วเหรอคะพี่กูร…ค่ะพี่กูร ได้ค่ะ ไม่ต้องเป็นห่วงงานทางนี้นะคะ เดี๋ยวเมกับทิปปี้ดูแลเอง พี่กูรอยู่เป็นเพื่อนนรีเถอะค่ะ...ค่ะ”
ทิปปี้ตกใจไม่แพ้กัน “คุณอากิจจาตายเหรอ มันเกิดอะไรขึ้นน่ะเม”
“พี่กูรเล่าว่ามีโจรขึ้นบ้านแล้วฆ่าคุณอา”
“โห โหดมากเลยอ่ะ”
“ช่วงนี้พี่กูรต้องอยู่คอยดูแลนรี แล้วก็จัดการเรื่องงานศพคุณอากิจจา ก็เลยโทร.มาฝากงานให้เราช่วยดูแล”
ทิปปี้พยักหน้ารับ แล้วถอนหายใจสงสารกินรี
“สงสารนรีนะเม”
“ใช่ เพิ่งจะมีความสุขแท้ๆ พ่อก็ต้องมาตายจากไปอีก”
ทั้งสองสาวต่างรู้สึกสงสารและเห็นใจกินรีจากใจจริง
ขณะที่กินรีนั่งดูคนงานทยอยให้ปากคำตำรวจ สายตามองไปมุมหนึ่งก็เห็นชาติมาซุ่มดูเหตุการณ์อยู่ แต่พอชาติเห็นกินรีก็รีบหลบไป
ตำรวจสอบปากคำคนงานคนสุดท้ายเสร็จก็เดินมาหากินรี
“คนงานทุกคนที่ทางไร่ให้ชื่อมามาให้ปากคำหมดแล้ว มีคนอื่นตกหล่นไหมครับ”
กินรีนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง พลางกำหมัดด้วยความแค้น “ไม่มีค่ะ”
“เบื้องต้นถ้าคุณกิจจาไม่มีความแค้นส่วนตัวหรือเรื่องธุรกิจ ผมก็คงคิดว่าเป็นการปล้นทรัพย์ เพราะมีทรัพย์สินหายไปเยอะ ถ้าทางคุณกินรีมีหลักฐานพยานเพิ่มเติมก็ช่วยส่งให้ตำรวจด้วยนะครับ รูปคดีจะได้ชัดเจนมากขึ้น”
“ขอบคุณค่ะ”
กินรีกับตำรวจไหว้ลากัน ตำรวจก็ขึ้นรถขับออกไป
เหล่าคนงานต่างแยกย้ายไปทำงาน กินรีหันไปทางชาติก็เห็นมันเดินหนีไปแล้ว
ทางด้านรุทรเดินมาที่บ้านท้ายไร่ มองบ้านที่ดูเงียบๆ
“ไอ้วัตรมันยังไม่ตื่นอีกเหรอวะ”
รุทรเดินมาที่หน้าประตูบ้านเคาะเรียกอนุวัตร
“ไอ้วัตร ไอ้วัตร” รุทรเริ่มเรียกดังและทุบประตูแรงขึ้น
บุษบันนอนอยู่บนเตียงงัวเงียตื่นด้วยความรำคาญที่มีคนมาเรียก หันไปผลักหัวอนุวัตรปลุกให้ตื่นไปเปิดประตู
“วัตรไปดูซิใครมา”
อนุวัตรออกอาการงัวเงีย ปนรำคาญ “ไม่เอาเจ๊ จะนอน”
อนุวัตรหลับต่อไม่สนใจ
เสียงเรียกของรุทรและเสียงทุบประตูยังดังเข้ามา
บุษบันลุกขึ้น มองอนุวัตรที่นอนหลับอย่างหงุดหงิด และจำใจเดินลงไปเปิดประตูเองโดยนุ่งผ้าขนหนูกระโจมอก
“โว้ย เคาะอยู่ได้ ไม่กลัวประตูพัง เจ็บมือ เสียงแหบบ้างหรือไง ถ้าไม่มีอะไรสำคัญนะแม่จะด่าให้จำทางกลับบ้านไม่ถูกเลย”
บุษบันบ่นบ้า ขณะเปิดประตู แล้วถึงกับอึ้งตะลึงตะไล ตาเบิกค้าง แข้งขาสั่น เมื่อเห็นรุทรยืนอยู่หน้าประตู รุทรก็ตกใจเช่นกันที่เห็นบุษบันที่นี่
“ผะ...ผะ...ผะ ผี แอร๊ย... ช่วยด้วยผีหลอก ผีรุทรหลอก” บุษบันโวยวายด้วยความกลัว
อนุวัตรที่นอนอยู่ตกใจตื่นรีบวิ่งลงมาหาบุษบัน พอเห็นเป็นรุทรถึงกับหน้าเสีย อนุวัตรนุ่งบ๊อกเซอร์ตัวเดียว
รุทรมองการแต่งตัวของสองคนเริ่มเข้าใจเหตุการณ์
“ใจเย็นๆนะครับคุณบุษ ผมไม่ใช่ผี ผมยังเป็นคนอยู่”
รุทรมองหน้าเพื่อน อนุวัตรยิ้มเจื่อนๆ ให้ บุษบันไม่เชื่อกอดอนุวัตรแน่น
“รุทรตายไปแล้วจะไม่ใช่ผีได้ยังไง อย่ามาหลอกบุษเลย บุษกลัว”
“ผมยังไม่ตาย ถ้าไม่เชื่อคุณบุษลองจับตัวผมดู”
รุทรดึงมือบุษบันมาจับที่แขนตัวเอง บุษบันร้องกรี๊ดแต่พอสัมผัสจับไปก็เริ่มรู้แล้วว่ารุทรยังไม่ตายจริงๆ บุษบันดีใจผวามากอดรุทร
สองหนุ่มมองหน้ากันเหวอ
“รุทรยังไม่ตายจริงๆ ด้วย บุษดีใจที่สุดเลยค่ะ”
อนุวัตรมองอย่างไม่พอใจ รุทรยืนนิ่ง
บุษบันนึกได้ว่าตัวเองอยู่ในสภาพไหน ก็รีบถอนกอด มองรุทรที มองอนุวัตรที พอมองตัวเอง แล้วกรี๊ดลั่นด้วยตกใจ ไล่ตีอนุวัตรพัลวัน
บุษบันอยู่ในชุดใหม่สวยงามตามท้องเรื่อง นั่งหน้าตึงมองอนุวัตรที่สวมชุดใหม่เรียบร้อย
อนุวัตรนั่งหน้าจ๋อย รุทรนั่งมองทั้งคู่ไปมา
อนุวัตรพยายามจะอธิบายกับบุษบัน แต่บุษบันไม่ฟัง เปิดฉากด่าทอต่อว่าอนุวัตรที่หลอกเรื่องรุทรมาตลอด
“แกทำอย่างนี้กับฉันได้ยังไงไอ้หน้าลิง”
อนุวัตรอ้าปากจะอธิบายแต่ไม่ทัน ถูกบุษบันตบหน้าเปรี้ยง และพูดสวนขึ้นมาก่อน
“แกหลอกฉัน ว่ารุทรตายแล้ว แกใช้แผนสกปรกกับฉันเหรอ”
บุษบันตบหน้าอนุวัตร แถมอีกหนึ่งที
“ไอ้คนหลอกลวง ทำไมเลวอย่างนี้”
ยังไม่หนำใจ บุษบันตบหน้าอนุวัตรอีก รสชาติหนักพอกับสองเปรี้ยงแรก
“เจ๊บุษฟังผมอธิบายก่อน”
“ไอ้คนเลว ไอ้คนชั่ว ไอ้คนขี้โกหก แกทำอย่างนี้ได้ยังไง ห๊ะ”
บุษบันไม่ฟังตบหน้าอนุวัตรอีกหลายๆ ที ซ้ำรอยเดิม ด้วยความโมโหถึงขีดสุด
อนุวัตรหน้าชาไปหมดแล้ว ทนไม่ไหว ตะคอกใส่ “พอได้แล้ว ถ้าตบผมอีกผมไม่เกรงใจแล้วนะ ตบเอาๆไม่ฟังเหตุผลกันบ้างเลย”
บุษบันชะงักกึก ยกมือที่จะตบค้างเติ่ง รุทรงง มองอนุวัตรเขม็ง
“ไอ้วัตรทำไมต้องเสียงดังใส่คุณบุษเขาขนาดนั้นวะ”
“ไอ้รุทร แกดูนี่”
อนุวัตรหันหน้ามาให้รุทรดู เห็นรอยนิ้วมือที่หน้าอนุวัตรเด่นชัด
“ให้ฉันพักหน้าก่อนได้ไหม หน้าชาไปหมดแล้ว แกคิดว่ามือเจ๊บุษเบานักหรือวะ” อนุวัตรหันมาทางบุษบัน “เดี๋ยวค่อยตบใหม่นะเจ๊”
บุษบันไม่ฟัง ตบหน้าอนุวัตรส่งท้ายไปอีกหนึ่งทีเต็มแรง อนุวัตรหน้าหันจับแก้มตัวเองป้อยๆ ด้วยความเจ็บ
“บอกว่าพอก่อนไงเจ๊” หนุ่มเสียงแปร๋นมองบุษบันด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ “ใช่สิ ไอ้รุทรมันยังไม่ตาย แล้วมันก็กลับมาแล้ว ถ้าเจ๊อยากกลับไปหามัน ก็เชิญเลย ไปเลย”
“ไอ้บ้าวัตร แกพูดอย่างนี้ได้ไง” ตอนท้ายอีเจ๊พูดด้วยท่าทีเขินอายว่า “ฉันเป็นเมียแกแล้วนะ”
“แล้วเจ๊จะเอาไง จะเอาผมไหม จะเอาไม่เอา”
บุษบันมองรุทรที มองอนุวัตรที แล้วตัดสินใจพูดเสียงดัง
“ฉันจะทำอะไรได้ ก็ฉันพลาดท่าเสียทีให้แกแล้วนิ ไม่เอาได้เหรอ”
“ไม่ได้” อนุวัตรบอกเสียงแข็ง
สองหนุ่มยิ้มให้กัน อนุวัตรกอดบุษบันหมับ บุษบันทำเป็นอิดออด เหมือนไม่อยากให้อนุวัตรกอดแต่สุดม้ายก็ยอมโดยยินดี
รุทรมองคนทั้งคู่แล้วยิ้มยินดีจากใจจริง
ฟากกินรีนั่งเหม่ออยู่ตรงระเบียงบ้าน คิดถึงพ่อ ชาติเดินยิ้มกวนๆ เข้ามาหา โดยที่หัวยังมีร่องรอยแผลให้เห็น ชาติกระแอมกระไอในลำคอ กินรีหันไปเห็นเป็นชาติ ก็ไม่พอใจ
“ผมต้องแสดงความเสียใจ กับการตายของคุณกิจจาพ่อคุณด้วยนะครับ”
กินรีมองชาติโกรธแค้น รู้ทันว่าชาติฆ่าพ่อตัวเอง แต่พยายามเก็บอารมณ์
“หัวแกไปโดนอะไรมา”
ชาติจับที่แผลของตัวเอง หน้าเสียนิดหน่อย แต่ทำเป็นปกติ
“ก็ไม่มีอะไรหรอกครับ แค่อุบัติเหตุนิดหน่อย คุณนรีไม่ต้องเป็นห่วงผมหรอกครับ”
กินรียิ้มเหยียด มีเลศนัย ขณะจ้องหน้าชาติ
“อย่านึกนะ ว่าแกทำอะไร แล้วจะไม่มีใครรู้ ไม่มีใครเห็น”
ชาติหน้าเสีย เก็บอาการจ้องกลับ
“อย่ากล่าวหาผมแบบนั้นซิครับ คุณนรีก็รู้นิว่าผมทำอะไรก็ต้องทำตามคำสั่งคุณกูร คนอย่างไอ้ชาติ ทำอะไรแนบเนียนเสมอ”
“อีกไม่นานหรอก แกจะต้องไปนอนตายอยู่ในคุก ถ้าฉันมีหลักฐานแน่ชัดว่าแกฆ่าพ่อฉัน ฉันเอาแกเข้าคุกแน่”
กินรีหันหลังจะเดินไป
ชาติยิ้มกวนกลับ “ถ้าเป็นแบบนั้น ผมคงไม่ได้เข้าไปอยู่ในคุกคนเดียวมั้งครับ”
กินรีหันขวับมามอง ชาติเดินเข้ามาใกล้กินรี
“ถ้าคุณนรีคิดว่าตัวเองเก่ง เลี้ยงลูกคนเดียวได้ ก็เชิญเลยนะครับ”
ชาติขู่แล้วเดินหัวเราะเยาะสะใจออกไป
กินรีมองตามชาติ ด้วยความเจ็บใจ รู้ว่าอังกูรสั่งการ แต่ทำอะไรไม่ได้
เมทินีนั่งอ่านหนังสือให้พ่อเลี้ยงวิทย์ที่นั่งอยู่บนรถเข็นฟัง พ่อเลี้ยงนั่งเหม่ออย่างเก่า อังกูรเดินยิ้มเข้ามาหา
“อาการของคุณลุงเป็นยังไงบ้างเม”
เมทินีมองพ่อเลี้ยงวิทย์ที่เอาแต่เหม่อลอยแล้วถอนหายใจ “คุณพ่อยังไม่รับรู้อะไรเหมือนเดิมค่ะ”
อังกูรทำเป็นเศร้า เห็นอกเห็นใจ
“แล้วเรื่องคุณอากิจจาเรียบร้อยแล้วเหรอคะ”
อังกูรหน้าเจื่อน เพียงพยักหน้ารับ
“ช่วงนี้พี่กูรต้องอยู่ใกล้นรีให้มากๆ นะคะ นรีจะได้อุ่นใจ ถึงจะเสียพ่อไปก็ยังมีพี่กูรอยู่เคียงข้าง”
อังกูรถอนหายใจยาว มองเมทินี
“เม พี่มีเรื่องจะคุยกับเม”
เมทินีมองอังกูรด้วยความสงสัย
สองคนเดินมาด้วยกัน อังกูรมองเมทินีด้วยสีหน้าจริงจัง
“พี่จะหย่ากับนรี”
เมทินีตกใจมาก “หย่าเหรอคะ ทำไมล่ะค่ะ”
อังกูรทำเป็นเครียด คล้ายคิดหนัก
“เมก็รู้พี่ไม่ได้รักนรี แต่พี่รัก…”
อังกูรพูดไม่ทันจบ เมทินีพูดสวนขึ้น “ตอนนี้นรีกำลังตกอยู่ในความเสียใจ นรีต้องการคนดูแล และคนนั้นต้องเป็นพี่กูรนะคะ และที่สำคัญพี่กูรกำลังจะมีลูกกับนรี”
“แต่พี่ทนอยู่กับคนที่พี่ไม่ได้รักไม่ได้”
“แล้วพี่กูรไม่สงสารลูกเหรอคะ ลูกของพี่กูรที่กำลังจะเกิดมาลืมตาดูโลกนะคะ”
อังกูรโพล่งขึ้น “นรีไม่ได้ท้องกับพี่”
เมทินีมองฉงน
“นรีท้องกับไอ้ชาติ แต่ที่พี่ต้องยอมรับทุกอย่างเอาไว้เอง เพราะพี่ต้องการรักษาหน้าตาให้กับคุณอากิจจา และพี่ก็สงสารนรี สงสารเด็กในท้อง”
เมทินีนิ่งฟัง
“แต่ความดีของพี่ คือการต้องอยู่กับคนที่ไม่ได้รักหรือเม”
เมทินีไม่ตอบ รู้สึกอึดอัด แต่ก็เห็นใจอังกูร
ตอนค่ำ กินรีเดินเข้ามาที่โต๊ะอาหารในบ้านพักอังกูร เห็นอังกูรกำลังเทน้ำใส่แก้ว บนโต๊ะมีอาหารน่าทานหลายอย่าง โดยอังกูรเป็นคนจัดเตรียมไว้เอง
“มาทานข้าวได้แล้วนรี ป่านนี้ลูกหิวแย่แล้ว”
อังกูรเยื้อนยิ้มพากินรีมานั่งที่โต๊ะอาหาร เอาอกเอาใจ ตักข้าว และตักอาหารให้ กินรีมองฉงน แปลกใจกับท่าทีของเขา
อังกูรมองกินรียิ้มหวานให้
“มองหน้าฉันแบบนี้ ไม่อิ่มหรอกนะ ต้องทานข้าวด้วย”
กินรียิ้มตอบ ก้มหน้าทานข้าวเขิน อังกูรหยิบกระดาษทิชชู่มาเช็ดปากให้กินรีอีกด้วย กินรีมองอังกูรแล้วยิ้มซึ้งใจ
อังกูรยิ้มให้ เอ่ยเสียงนุ่ม “นรี” กินรียิ้มตอบรอฟัง “หย่ากับฉันนะ”
กินรีอึ้งมองจ้องหน้าอังกูร รู้สึกโกรธขึ้นมาทันที
“ไม่ค่ะ นรีไม่หย่า”
อังกูรพยายามใจเย็น พูดดีด้วย “ฟังฉันนะนรี ถ้าเธออย่ากับฉัน ฉันก็จะไปแต่งงานกับเม”
กินรีสวนกลับด้วยความโกรธทันที
กินรีพูดสวนขึ้นทันที “ไม่ค่ะ ยิ่งเป็นแบบนี้นรีไม่ยอม ทำไมนรีต้องยอมอย่าให้คุณกูรไปแต่งงานกับเมด้วย”
อังกูรเริ่มใส่อารมณ์ “ฟังฉันพูดให้หมดก่อนสิ ที่ฉันจะไปแต่งงานกับเม เพราะฉันจะได้เอาสมบัติส่วนที่เมได้มาเป็นของเรา”
กินรีแย้ง “แต่สมบัติที่คุณกูรได้มามันก็มากเกินพอแล้วนะคะ”
อังกูรตบหัวแล้วลูบหลัง “นรีจะยอมให้สมบัติที่มันควรเป็นของเราไปให้คนอื่นเหรอ ฉันไม่ยอมหรอก สมบัติมันต้องเป็นของเราทั้งหมดสิ เมไม่มีสิทธิ์ที่จะได้มัน” พลางเข้าไปกอดกินรีแล้วจับกินรีให้จ้องหน้ากัน “ฉันรักเธอนะนรี เธอเป็นเมียฉัน ยังไงฉันก็ไม่เห็นใครดีไปกว่าเธออีกแล้ว ลูกของเราเกิดมาก็สบายอยู่บนกองเงินกองทองมากมาย ครอบครัวของเราก็จะอบอุ่นมีความสุข ฉันทำทุกอย่างก็เพื่อเราสามคนพ่อ แม่ ลูก นะนรี” อังกูรจ้องหน้ากินรีขู่ในที “หย่ากับฉันนะ”
กินรีมองอังกูรด้วยแววตาเจ็บปวด และจำยอม “ค่ะ”
อังกูรยิ้มชื่นดึงกินรีมากอด
กินรีน้ำตาคลอ ด้วยตระหนักชัดว่า วันที่อังกูรจะเขี่ยตัวเองทิ้งมาถึงแล้ว
อ่านต่อหน้า 2
เงาใจตอนที่ 15 อวสาน (ต่อ)
เช้าวันถัดมา เมทินี อังกูร และกินรี นั่งทานข้าวมื้อเช้าอยู่ด้วยกัน
เมทินียิ้มบอก “ทานเยอะๆ นะนรี”
กินรียิ้มให้เมทินี อังกูรเหลือบมองกินรี และมองท่าทีเมทินี
“เม พี่คุยกับนรีแล้วนะ ว่าเราจะหย่ากัน ใช่ไหมนรี”
“ใช่ค่ะ”
“เมแล้วแต่การตัดสินใจของทั้งสองคนค่ะ”
เมทินีไม่สนใจ เพียงแค่รับรู้เท่านั้น
“พอพี่อย่ากับนรีแล้ว พี่อยากจะคุยเรื่องของเรา เราแต่งงานกันนะเม” อังกูรว่า
“พี่กูรคะ เมไม่เคยบอกหรือเคยพูดเลยนะคะ ว่าเมจะแต่งงานกับพี่กูร เมขอตัวก่อนค่ะ”
เมทินีไม่พอใจลุกเดินออกไปในทันที
“นรีเธอกลับบ้านไปก่อนนะ เดี๋ยวฉันจะคุยกับเมก่อน”
“ค่ะ”
กินรีลุกเดินออกไปเงียบๆ อังกูรรีบตามเมทินีไปทันที
เมทินีอยู่ในครัว กำลังจัดยาให้พ่อเลี้ยง อังกูรเดินเข้ามาหา
“ทำไมล่ะเม ทำไมเมต้องปฏิเสธพี่ เมก็รู้ว่าพี่รักเมมาก”
“แต่เมเป็นภรรยาของวาทิตนะคะ”
“แต่ตอนนี้วาทิตก็ตายไปแล้ว เมก็ไม่มีใคร แล้วพี่ก็อย่ากับนรี เราสองคนมาคบกันแล้วก็แต่งงานกัน ใช้ชีวิตด้วยกัน”
อังกูรจับมือเมทินีมากุม เมทินีชักมือออก
กินรีแอบมองอยู่น้ำตาไหล เจ็บปวดใจเหลือแสน
“เมว่าเมคุยกับพี่กูรหลายครั้งแล้วนะคะ ว่าพี่กูรคือพี่ชายที่ดีของเม เมให้พี่กูรได้แค่นี้จริงๆ”
เมทินีจัดยาเสร็จจะยกออกไป
“เพราะมันใช่ไหม เมยังคิดถึงไอ้รุทรอยู่ใช่ไหม” อังกูรพูดออกมา น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเจ็บปวด “เมรักมันใช่ไหม
เมทินีอึ้ง โดนจี้ใจ หันมามองอังกูร
“พอเถอะค่ะพี่กูร อย่าไปโทษคนอื่นเลย ทุกอย่างเมตัดสินใจด้วยตัวของเมเอง แล้วเมขอร้องนะคะอย่าพูดชื่อของผู้ชายคนนี้อีก เมไม่อยากได้ยิน”
เมทินีรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา อังกูรมองนิ่งเจ็บปวดไม่ต่างกัน
“พี่ยังยืนยันว่าพี่รักเม อยากใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ร่วมกับเมอย่างที่พี่เคยฝันเอาไว้ ถึงแม้ในใจของเมตอนนี้จะรักใคร แต่พี่รักเม และจะรอจนกว่าเมจะรักพี่”
อังกูรเดินฉุนเฉียวออกไป กินรีรีบหลบใบหน้าหมองเศร้า ความเสียใจ น้อยใจ ประทุขึ้นในใจอีกคราครั้ง
เมทินียืนนิ่งคิดถึงแต่รุทร ความรักความหลังบนดอยผุดซ้อนขึ้นมา สองคนใกล้ชิดสนิทสนม และเปิดใจให้กันอย่างหวานซึ้ง
ที่บ้านท้ายไร่ รุทรเองก็จมอยู่ในความเศร้า เอาแต่เหม่อลอยคิดถึงเมทินีอยู่เช่นกัน สุดท้ายทนไม่ไหวเดินออกไป
อนุวัตร กับบุษบัน เดินมาเห็น บุษบันลืมตัวจะเข้าไปหา อนุวัตรรีบดึงไว้ บุษบันนึกได้กอดแขนอนุวัตรเอาใจ ทั้งคู่มองรุทรด้วยความสงสัย
รุทรขี่มอเตอร์ไซค์ออกไปยังถนนใหญ่ ท่ามกลางแสงสวยยามเย็น
ไม่นานต่อมา ตรงมุมหนึ่งใกล้บ้านพ่อเลี้ยงวิทย์ รุทรซึ่งลักลอบเข้ามาในไร่ โดยไม่ให้ใครเห็น เขาแอบซุ่มจดสายตามองจ้องเมทินีที่กำลังดูแลพ่อเลี้ยงวิทย์อยู่ กับเอื้องคำ และจั่นเป็ง
“ป้าเอื้องคำกับจั่นเป็งพาคุณพ่อเข้าบ้านเถอะค่ะ น้ำค้างเริ่มลงแล้ว”
เอื้องคำกับจั่นเป็งพยักหน้ารับ แล้วเข็นรถพาพ่อเลี้ยงวิทย์ออกไป
เมทินีมองตามแล้วหันมายืนเหม่อมองท้องฟ้า
รุทรเอาแต่เพ่งมองทุกอิริยาบถของเมทินีด้วยความคิดถึง เมทินีเดินหายเข้าไปด้านในบ้าน รุทรมองตามจนสุดสายตา ตัดสินใจจะเดินไปหา แต่ได้ยินเสียงกุกกักทางด้านหลัง เขาจึงชะงักหันไปมอง แล้วต้องอึ้งเมื่อเจอกินรียืนมองอยู่ข้างหลัง ทั้งคู่มองหน้ากันนิ่งนาน
รุทรกับกินรีหลบมาคุยกันในมุมลับตา รุทรขอร้องกินรี
“ผมขอร้องนะครับคุณนรีอย่าบอกใครว่าผมมาที่นี่”
“ได้ค่ะ นรีจะไม่บอกใคร”
“ขอบคุณครับ”
“คุณรุทรคะ นรีมีเรื่องจะขอร้องคุณบ้างค่ะ”
รุทรมองกินรีด้วยสีหน้าฉงน และยิ่งแปลกใจเมื่อเห็นแววตาขอร้องจริงจังใต้วงหน้าสวยเศร้านั้น
เช้าวันถัดมา ฝ่ายอังกูรนั่งอยู่ที่ห้องรับแขก จั่นเป็งนำกาแฟมาเสิร์ฟให้ เมทินีกับเอื้องคำเดินมาด้วยกัน เอื้องคำยิ้มทักอังกูรแล้วเดินเลี่ยงออกไป
“พี่กูรมาแต่เช้าเลยนะคะ”
“พี่ว่าจะมาทานข้าวเช้ากับเมน่ะ”
“ได้ค่ะ เดี๋ยวเมไปจัดโต๊ะก่อนนะคะ”
“เดี๋ยวพี่ไปช่วย”
“ไม่เป็นไรค่ะ พี่กูรนั่งรอเถอะค่ะ”
“ไม่เป็นไรเม พี่อยากช่วย”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
ระหว่างนั้นเสียงรถตำรวจดังเข้ามา เอื้องคำ จั่นเป็ง รีบออกไปดู เมทินีมองไปด้านนอกด้วยความสงสัย อังกูรเริ่มหน้าเสีย ใจไม่ดี
รถตำรวจแล่นเข้ามาจอด 2 คัน รุทรกับกินรีมาพร้อมกับตำรวจ มีตำรวจหลายคนเตรียมมาจับอังกูร
หนานที่เช็ดรถอยู่หน้าบ้านมองงงๆ
รุทรกับกินรีพา กำลังตำรวจ 3 คน เข้าไปในบ้าน
รุทรกับกินรีพาตำรวจเข้ามาในบ้านเจออังกูรยืนอยู่กับเมทินี เอื้องคำ จั่นเป็ง ยืนมองอยู่มุมหนึ่ง เมทินีกับรุทรมองหน้ากันต่างฝ่ายต่างคิดถึงกัน เมทินีรีบหลบตากลบเกลื่อนความรู้สึก
ประสาวัวสันหลังหวะ อังกูรหน้าเสีย เมื่อเห็นกินรีมากับรุทร เขาพยายามเก็บอาการ คิดหาทางรอด กินรีมองอังกูรด้วยความเจ็บปวดใจ
เมทินีงง “มีอะไรหรือคะคุณตำรวจ”
นายตำรวจหัวหน้าบอกว่า “ทางเราจะมาจับกุมตัวคุณอังกูรไปดำเนินคดีครับ”
เมทินีงง มองอังกูรเป็นคำถาม อังกูรโวยวายลั่น
“จะจับผมในข้อหาอะไรไม่ทราบ”
“ข้อหาที่คุณบงการให้ไอ้ชาติฆ่าพ่อนรี และปลอมแปลงพินัยกรรม”
สีหน้าและแววตากินรีเอาเรื่องและจริงจังกว่าครั้งไหนๆ
กินรีเล่าว่า เธอเจอแผ่นซีดีกล้องวงจรปิดบันทึกทุกเหตุการณ์ในห้องทำงานกิจจา โดยเฉพาะวันที่เธอนำพินัยกรรม ซึ่งหลอกล่อจนพ่อเลี้ยงวิทย์ลงลายนิ้วมือกำกับ กลับมาที่บ้าน
โดยกิจจานั่งเซ็นเป็นพยานในพินัยกรรมปลอมให้กับอังกูร และยิ้มให้กับอังกูร
อังกูรยิ้มร้ายอย่างผู้ชนะที่จะได้ครอบครองทรัพย์สมบัติทุกอย่าง ทั้งคู่ยิ้มให้กัน
อีกเหตุการณ์เกิดขึ้นที่สถานีตำรวจ รุทร กินรี และนายตำรวจเจ้าของคดี กำลังนั่งดูหลักฐานต่างๆ ที่กินรี นำมามอบให้ ทั้งจากกล้องวงจรปิด ทั้งเครื่องบันทึกเสียงสนทนาวางแผนฆ่าวาทิต รวมไปถึงแฟลชไดร์การร่วมทำพินัยกรรมปลอม
ฟังมาถึงตรงนี้ อังกูรมองกินรีตาวาววับโกรธถึงขีดสุด
“นรีเธอทำบ้าอะไร เธอหักหลักฉันเหรอ”
กินรีมองอังกูรด้วยความเจ็บปวด เสียใจ
“แล้วทีคุณล่ะ ยังหลอกใช้นรีมาตลอด ยอมรับผิดซะเถอะค่ะ”
“หลักฐานทุกอย่างพร้อมขนาดนี้ คุณยอมมอบตัวเถอะ
อังกูรมองกินรีกับรุทรด้วยความโกรธแค้นและอาฆาต พยายามคิดหาหนทาง
ตำรวจขยับจะเข้าจับกุม อังกูรหมดหนทาง แต่เขาไม่ยอมโดนจับ ชักปืนออกมา แล้วจับล็อกคอเมทินีเอาไว้เป็นตัวประกัน ทุกคนต่างตกใจ เหตุการณ์อลหม่านไปหมด
รุทรจะเข้าไปช่วย อังกูรเล็งปืนขู่ ตำรวจห้ามรุทร กลัวเมทินีเป็นอันตราย
“ถอยออกไปเดี๋ยวนี้ ฉันบอกให้ถอยไปไง”
กินรีพยายามขอร้อง “อย่าทำผิดต่อไปอีกเลยนะคะคุณกูร พอแค่นี้เถอะค่ะ”
อังกูรตะโกนก้อง “ถอยไป ไม่งั้นฉันยิงเมแน่”
อังกูรพาเมทินีออกไปด้วยกัน
“ป้าเอื้องคำ กับจั่นเป็ง ผมฝากดูคุณนรีด้วยครับ”
รุทรพร้อมกำลังตำรวจรีบตามไป กินรีจะตามไปเอื้องคำกับจั่นเป็ง รั้งตัวไว้ กินรีได้แต่ร้องไห้มองตามในสภาพหัวใจสลาย
อังกูรจับเมทินีไว้เป็นตัวประกันลากพามาด้วย เมทินีพยายามขัดขืน อังกูรเอาปืนขู่ รุทรกับตำรวจตามมาช่วย อังกูรยิงขู่ตำรวจ รุทรกับตำรวจรีบหลบ
อังกูรลากเมทินีมาขึ้นรถที่จอดไว้ อังกูรผลักเมทินีขึ้นรถในฝั่งคนขับ ดันๆตัวเมทินีเข้าไปจนได้ และตัวเองก็รีบเข้าไป และขับรถออกหนีทันที
รุทรวิ่งตามรถ แต่ไม่ทัน ได้แต่มองตามด้วยความโมโห ส่วนตำรวจวอสกัดตามหมายเลขทะเบียนรถ ประเภทรถ สีรถ
ระหว่างตำรวจวอสกัด รุทรหันมาเห็นมอเตอร์ไซค์คนงาน จอดอยู่ 2-3 คัน เขาพุ่งไปเลือกคันที่มีกุญแจเสียบอยู่ สตาร์ตเครื่อง คนงานตกใจกับเหตุการณ์ หลบๆ อยู่
รุทรขี่มอเตอร์ไซค์เร่งเครื่องตามออกไปโดยเร็ว
บนถนนมุ่งหน้าออกนอกเมือง เห็นรถมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์ของอังกูรขับขี่มาราวกับจะบิน โดยมีรุทรขี่มอเตอร์ไซค์ตามมาอย่างเร็วเช่นกัน
เมทินีกลัวจับใจ พยายามขอร้องอังกูร
“พี่กูรอย่าทำแบบนี้เลยนะคะ ยิ่งทำแบบนี้พี่กูรจะยิ่งมีความผิด ยอมมอบตัวเถอะคะ”
อังกูรขับรถเร็วขึ้น คอยมองกระจกหลังที่รุทรขี่ตามมา เมทินีพยายามเซ้าซี้ขอร้อง
“หยุดเถอะคะ พี่กูรหยุดเถอะ หยุด หยุดเถอะ”
อังกูรตวาดสวนขึ้นมา “หุบปากเถอะเม”
เมทินีชะงัก ตกใจกลัวท่าทีอันเกรี้ยวกราดของอังกูร
รุทรขี่มอเตอร์ไซค์ไล่ตามรถอังกูร รถกำลังตำรวจออกมาจากซอยอีกหนึ่งคัน ขับตามไล่ล่ารถอังกูร
ต่อมารุทรเร่งเครื่องมอเตอร์ไซค์ตามรถอังกูร ที่ขับนำหน้าด้วยความเร็วสูง หลายจังหวะรุทรขี่รถมอเตอร์ไซค์จะแซงรถอังกูรได้ แต่อังกูรขับเบียดซ้าย เบียดขวา จนสุดท้ายรถรุทรเสียหลัก เจอเนินขับทะลุป้ายโฆษณาลงมาแล้วขี่ตามรถอังกูรต่อ
อังกูรโทรศัพท์โทร.หาชาติด้วยบลูทูธ “ไอ้ชาติช่วยกูหน่อย”
รุทรขี่มอเตอร์ไซค์ และมีรถตำรวจ ไล่ล่าตามรถอังกูร พอมาถึงทางแยก ก็เจอรถคอนเทนเนอร์ออกมาขวาง รุทรขี่มอเตอร์ไซค์เหินข้ามไปอย่างองอาจ ส่วนรถตำรวจเบรกเอี๊ยด
ตำรวจพากันวิ่งลงมาดูรถคอนเทนเนอร์ แต่เมื่อเปิดประตูรถกลับไม่พบใคร
รุทรขี่ตามรถอังกูรไม่ลดละ อังกูรมองกระจกหลังเห็นรุทรขับตามมา ตัดสินใจดึงเบรกมือ ดริฟรถหมุนขวา เล็งปืนยิงไปที่รุทร เมิทินีร้องห้ามด้วยความตกใจ
“พี่กูรอย่า...”
อังกูรยิงไปที่รุทรชนิดไม่เลี้ยง รุทรหักรถหลบกะทันหัน จนรถเสียหลักไถลลงข้างทาง
อังกูรยิ้มสะใจ แล้วขับหนีไปต่อ รุทรวิ่งออกมามองรถอังกูรที่ขับออกไปด้วยความเจ็บใจ
รถอังกูรวิ่งเข้าสุสาน สักพักสองคนอยู่ในห้องใต้หลุมฝังศพพ่อแม่อังกูร เมทินีดิ้นหนีออกห่างจากอังกูร
“พี่กูรพาเมมาที่นี่ทำไม”
“พี่มาเมมาอยู่ในที่ของเราไง จะไม่มีใครหาพี่กับเมเจอแน่นอนพี่สัญญา”
เมทินีขอร้อง “พี่กูรพาเมกลับเถอะ”
อังกูรสวนทันที “ไม่ พี่เสียทุกอย่างไปหมดแล้ว แต่พี่จะไม่ยอมเสียเมเด็ดขาด เมกับพี่จะต้องอยู่ด้วยกัน”
พลางอังกูรเข้าไปดึงมือ แต่เมทินีพยายามดึงออก อังกูรจับแน่น
“เม มาไหว้พ่อกับแม่พี่ก่อนนะ มาซิเม”
เมทินีมองอังกูรแม้จะหวาดกลัว แต่ไม่ยอมขยับ
“ทำไมล่ะเม” อังกูรใช้ไม้อ่อน เปลี่ยนเป็นพูดดีดีด้วย “อ๋อ เมคงเหนื่อย เดี๋ยวเมนั่งพักก่อนนะ”
อังกูรเข้ามากอดเมทินี แต่เมทินีพยายามจะผลักออก แต่อีกฝ่ายกอดรัดซะแน่น
“อย่าทิ้งพี่ไปนะเม ชีวิตพี่อยู่คนเดียวมาตลอดชีวิต พี่ไม่อยากอยู่คนเดียวอีกแล้ว” อังกูรจับหน้าเมทินีให้มองหน้าเขาและพูดตะคอกใส่ “รู้ไหมเม เมต้องอยู่กับพี่”
เมทินีน้ำตาคลอ ตกใจระคนหวาดกลัวท่าทีของอังกูร
“เมอยู่ที่นี่ไปก่อนนะ เดี๋ยวพี่มา แล้วไม่ต้องคิดหนี เพราะยังไง เมก็หนีพี่ไปไม่ได้หรอก”
อังกูรยิ้มร้าย แล้วเดินออกไป
เมทินีมองอังกูรที่เดินออกไป แล้วเหลียวมองรอบๆ อย่างหวาดกลัว ก่อนฉุกคิดขึ้นได้ว่ามีโทรศัพท์มือถืออยู่ในกระเป๋ากางเกง เธอจับมือถือแล้วยิ้มออกมาอย่างมีความหวัง
ฟากรุทรหน้าเครียด เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังช่วยกันวอตามหารถของอังกูร
รุทรรู้สึกว่าโทรศัพท์สั่น พอหยิบขึ้นมาดู ก็ยิ้มดีใจมีความหวังออกมา เมื่อเห็นว่าเมทินีส่งสัญญาณโทรศัพท์มาให้แล้ว
“คุณตำรวจครับเมส่งสัญญาณโทรศัพท์มาให้ครับ”
“ถ้าอย่างนั้นเรารีบตามจากสัญญาณนี้ไปเลยครับ”
รุทร และกำลังตำรวจรีบขึ้นรถ และขับออกไปทันที
ส่วนที่ห้องใต้ดิน ในสุสาน เมทินีมองโทรศัพท์ยิ้มอย่างมีความหวัง อังกูรเดินถือขนม อาหาร และน้ำดื่ม เข้ามา เมทินีตกใจรีบร้อนจะเก็บโทรศัพท์ไว้กระเป๋าข้างหลัง แต่อังกูรเห็นพิรุธนั้น
“ซ่อนอะไรไว้เม”
“ไม่มีอะไรค่ะ”
“อย่าโกหกพี่นะเม เอามาให้พี่ดูเดี๋ยวนี้”
เมทินีไม่ยอมให้
“เมกำลังทำให้พี่โกรธนะ พี่บอกให้เอามาให้พี่เดี๋ยวนี้”
เมทินีไม่ยอม อังกูรเข้าไปแย้ง เมทินีขัดขืนแต่สู้แรงไม่ได้ อังกูรเอาโทรศัพท์ไปได้ อังกูรดูโทรศัพท์ก็รู้ว่าเมทินีแชร์สัญญาณ
“เมคิดว่าจะมีคนมาช่วยได้เหรอ ไม่มีทางหรอก”
อังกูรเขวี้ยงโทรศัพท์ลงพื้น แล้วกระทืบจนแตกยับ เมทินีร้องไห้มองอังกูรด้วยความขุ่นแค้นในใจ
อ่านต่อหน้า 3
เงาใจตอนที่ 15 อวสาน (ต่อ)
รุทรอยู่ในรถตำรวจที่วิ่งมาตามถนนใกล้ถึงสุสานอยู่แล้ว จู่ๆ เขาบอกให้ตำรวจหยุดรถ มองโทรศัพท์ในมือด้วยสีหน้ากังวล
“หยุดก่อนครับ สัญญาณหายไปแล้วครับ”
รุทรกับตำรวจต่างพากันเครียด ลงจากรถมามองสำรวจไปรอบๆ ก่อนที่รุทรจะหยิบโทรศัพท์โทร.หาทิปปี้
“ฮัลโหลครับคุณทิปปี้ ผมมีเรื่องจะถามหน่อยครับ พอดีผมจับสัญญาณจากโทรศัพท์เมแล้ว มันมาหายแถวม่อนผาเมืองครับ ผมอยากรู้คุณอังกูรมีญาติอยู่แถวนี้บ้างหรือเปล่าครับ”
ทิปปี้คุยโทรศัพท์กับรุทร มีกินรี เอื้องคำ จั่นเป็ง หนาน นั่งมองอยู่ด้วยความเป็นห่วง
“เท่าที่ฉันรู้พี่กูรไม่มีญาติอยู่แถวนั้นค่ะ” ทิปปี้นึกบางอย่างได้ “แต่เดี๋ยวนะคะ”
รุทรตั้งใจรอฟังทิปปี้
“ถ้าฉันจำไม่ผิด ที่นั่นมีสุสานของคุณพ่อคุณแม่ของพี่กูรอยู่ค่ะ”
รุทรรับฟังทิปปี้ สายตามองสำรสจไปรอบๆ จนเห็นป้ายสุสาน รุทรเริ่มมีความหวังว่าอังกูรน่าจะจับเมทินีมาไว้ที่นี่
“ขอบคุณมากครับคุณทิปปี้”
ทิปปี้วางสายจากรุทร แล้วรีบกดโทร.หาเจ้าหน้าตำรวจอีกทันที
ด้านรุทรหันมาหารือกันกับตำรวจ
“คุณตำรวจ ผมว่าเราน่าจะแยกย้ายกันตามหาแถวนี้นะครับ”
ตำรวจต่างเห็นด้วย แบ่งกันแยกตามหา รุทรไปกับตำรวจอีกสองคนไปทางสุสาน ที่เหลือแยกไปอีกทางหนึ่ง
ขณะเดียวกันที่ห้องใต้ดินในสุสาน อังกูรกับชาติยืนคุยกันอยู่ในนั้น
“ไอ้ชาติแกไปจัดการเตรียมเอกสารให้เรียบร้อย ทำให้เสร็จภายในวันเดียว ฉันจะต้องรีบออกนอกประเทศให้เร็วที่สุด”
“ได้ครับนาย”
ชาติรับปากอังกูร ก่อนจะเดินออกไป อังกูรหันมาเห็นเมทินีที่มองอยู่
“พี่กูรจะทำอะไรคะ”
อังกูรยิ้ม “พี่ก็จะพาเมไปอยู่ด้วยกัน ที่นั่นจะไม่มีใครตามหาเราเจอ”
เมทินีตกใจ ไม่ยอมไปกับอังกูร “ไม่ค่ะ เมไม่ไปกับพี่กูร”
อังกูรนิ่งมองเมทินี สีหน้าเริ่มไม่พอใจ เมทินียังพยายามขอร้องอังกูร
“พี่กูรปล่อยเมไปเถอะ อย่าทำอย่างนี้เลยนะคะ เมไม่ได้รักพี่กูร ปล่อยเม...”
เมทินีพูดยังไม่ทันจบ อังกูรบันดาลโทสะ เผลอตัวตบหน้าเมทินีจนหน้าหันไปตามแรงตบ เมทินีจับแก้มที่โดนตบ มองอังกูรด้วยความตื่นกลัวและร้องไห้ออกมา
อังกูรได้สติจะเข้าไปปลอบ เมทินีถอยหนี
“ที่พี่ทำไปทุกอย่างก็เพราะเม เพราะพี่รักเม” อังกูรคร่ำครวญ
เมทินีมองอังกูรด้วยท่าทีหวาดกลัว
“เมรู้ไหมว่าพี่ต้องเจ็บปวดแค่ไหนที่เห็นเมแต่งงานกับไอ้วาทิต พอพี่กำจัดไอ้วาทิตมันไปได้ คิดว่าจะได้ทุกอย่างกับเมคืนมา เมก็ดันไปมีใจให้ไอ้รุทรมันอีก แต่ตอนนี้ไม่มีใครมาพรากเมไปจากพี่ได้ เมต้องอยู่กับพี่”
อังกูรมองหน้าเมทินีนิ่ง อีกฝ่ายเอาแต่ร้องไห้
รุทรพร้อมกับกำลังตำรวจช่วยกันตามหาอังกูรและเมทินี รุทรมองสำรวจไปรอบๆ อย่างพิจารณา
จนรุทรเห็นชาติเดินออกมาจากประตูสุสาน ชาติเองก็ตกใจวิ่งหนีทันที ตำรวจรีบตามชาติไป รุทรจะตามชะงักเท้า มองไปที่ประตู และลองเปิดเข้าไปข้างใน
อังกูรยืนอยู่ตรงแท่นเก็บอัฐิพ่อกับแม่ หันหลังให้เมทินี คุยกับอัฐิพ่อแม่
“พ่อครับแม่ครับ ผมจะไปเริ่มต้นชีวิตใหม่กับผู้หญิงที่ผมรัก ผมจะไปสร้างครอบครัวอยู่ที่นั่น พ่อกับแม่ไม่ต้องเป็นห่วงผมนะครับ”
ระหว่างที่อังกูรเผลอ เมทินีมองไปรอบๆ และค่อยๆ เดินไปที่ประตู แต่แล้วจู่ๆ ก็ถูกอังกูรกระชากตัวกลับมาเต็มแรง เมทินีตกใจ
“พี่กูรปล่อยเมไปเถอะ เมขอร้องอย่าทำอย่างนี้เลย ปล่อยเม”
อังกูรยืนนิ่งมองเมทินีที่ร้องไห้อ้อนวอนขอร้องให้ปล่อย
ทันใดนั้น มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น เมทินีกับอังกูรมองไปที่ประตูพร้อมกัน
“ไอ้ชาติเหรอวะ”
อังกูรเดินไปเปิดประตู โดยไม่ทันตั้งตัว รุทรจู่โจมเข้ามา ต่อยถีบอังกูรจนล้มลง
เมทินีพอเห็นรุทรก็ร้องออกมาด้วยความดีใจ “รุทร”
ทางฝ่ายชาติวิ่งหนีตำรวจมา จนเกิดการยิงต่อสู้กัน ตำรวจตะโกนบอกให้ชาติมอบตัว แต่ชาติหรือจะยอม มันยิงสู้ชนิดยอมตาย สุดท้ายชาติพลาดโดนตำรวจยิง ตายสมใจ
ด้านรุทรกับอังกูรต่อสู้กัน สองหนุ่มล้มกลิ้งไปกลางห้อง อังกูรเสียที โดนรุทรกระหน่ำชก จนแน่นิ่งไป เมทินีรีบวิ่งมาดูรุทร สองคนโผเข้ากอดกัน
“คุณรุทร”
“เรารีบไปจากที่นี่เถอะ”
ขณะรุทรจะพาเมทินีออกไป หันมาเจออังกูรเอาปืนจ่อหน้าอยู่ โดยไม่ทันให้อีกฝ่ายตั้งตัวอังกูรใช้ด้ามปืนตบรุทรที่หัวจนเลือดออก ชกรุทรจนล้มลง แล้วขึ้นคร่อมชกไม่ยั้ง กระชากคอเสื้อรุทรมาจ้อง
“เก่งนักเหรอมึง” อังกูรกระหน่ำชกอีก “รู้ไหม กูอยากให้ไอ้พิการวาทิตมันตายมากแค่ไหน แล้วทำไมมึงต้องเข้ามาแทนที่มัน พวกมึงสองพี่น้องเป็นใครมาแย่งทุกอย่างของกูไป ไอ้พวกชั่ว!”
เมทินีร้องห้าม “พอเถอะพี่กูร”
“ทำไม เมทนไม่ได้ที่เห็นมันเจ็บเหรอ แล้วพี่ล่ะ พี่เจ็บแค่ไหนเมเคยคิดถึงพี่บ้างไหม”
อังกูรระบดระบายด้วยความรู้สึกเจ็บปวด น้ำตาลูกผู้ชายต้องไหลริน
เมทินีพยายามพูดโน้มน้าว “เม...คิดถึงทุกคนนะคะพี่กูร เมไม่อยากให้พี่กูรต้องทำร้ายใคร เมอยากให้พี่กูรมีความสุข เหมือนพี่กูรคนเก่าที่เมรู้จัก”
“ถ้าอยากได้พี่คนเก่า เมก็รักพี่สิ สัญญาว่าจะอยู่กับพี่ตลอดไป”
เมทินีนิ่งเงียบ อังกูรกำหมัดที่เงื้ออยู่แน่น
“เมรักมัน เมยังรักมันใช่ไหม”
คราวนี้เมทินีตอบโดยไม่ลังเล “ใช่ค่ะ เมรักเขา”
“ดี อย่างนั้น มันก็ไม่สมควรที่จะมีชีวิตอยู่บนโลกนี้”
อังกูรเล็งปืนไปที่รุทร เมทินีรีบบังรุทรไว้
“เม ถอยไป พี่จะฆ่าไอ้คนที่มันทำลายชีวิตพี่” อังกูรเห็นเมทินีไม่ขยับ จึงตะโกนก้อง “พี่บอกให้ถอยไปไง ถอยไป”
“ไม่ ถ้าพี่กูรจะยิงเขา ก็ยิงเมด้วย”
อังกูรอึ้ง “เม นี่เมยอมตายแทนมัน ทำไมล่ะเม เมรักมันมากขนาดนี้เลยเหรอ”
“เมตอบพี่กูรไม่ได้ค่ะว่าทำไม เมรู้แต่เพียงว่า เมอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเขา”
รุทรพยามรวบรวมกำลังที่มี จะดึงเมทินีมาไว้ข้างหลังตัวเอง
“เม อย่าทำแบบนี้”
เมทินีมองจ้องรุทร สีหน้าจริงจัง “ไม่ ถ้าจะตาย ฉันก็จะตายกับคุณ” เธอหันกลับมาหาอังกูรบอกอย่างเด็ดเดี่ยว “ถ้าพี่กูรจะยิงเขา ก็ยิงเมก่อนเลยค่ะ ยิงเมเลยค่ะพี่กูร เรื่องทุกอย่างมันจะได้จบสักที”
อังกูรน้ำตาไหลแต่ก็ยกปืนขึ้นเล็งช้าๆ เมทินีหันหลังให้อังกูรสวมกอดรุทรไว้
แม้แต่วินาทีสุดท้ายของชีวิต เมทินีก็ยังหันหลังให้เขา อังกูรเสียใจถึงขีดสุด ยิงระบายความโกรธไม่ยั้ง รุทรพาเมทินีหลบกระสุนพัลวัน
อังกูรยิงจนลูกกระสุนหมด และปรี่เข้าไปกระชากรุทรมาต่อยอีก รุทรฮึดต่อยสู้กับอังกูร จนอีกฝ่ายพลาดท่า รุทรต่อยไม่ยั้ง จนร่างอังกูรร่วงไปกองกับพื้นอย่างหมดสภาพ
เมทินีรีบเข้ามาพยุงรุทร มองอังกูรด้วยความสงสาร
เสียงไซเรนรถตำรวจดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ
รถตำรวจ รถพยาบาล แล่นมาจอดอยู่หน้าสุสาน เจ้าหน้าที่นำศพชาติขึ้นรถพยาบาล มีกินรี และทิปปี้ ที่ตามมายืนรอมองอยู่
สักพักตำรวจคุมตัวอังกูรใส่กุญแจมือเดินขึ้นมา มี รุทร และเมทินี ตามหลังมา กินรีร้องไห้โฮถลาเข้าไปหาอังกูร
“คุณกูร”
อังกูรมองหน้ากินรีแว่บเดียวแล้วเดินหนี ไปขึ้นรถตำรวจ กินรีวิ่งตามไป
“คุณกูร”
รถตำรวจพาอังกูรแล่นออกไป ทิปปี้เดินมากอดปลอบกินรี ประคองพามานั่งพัก แล้วจึงเดินไปหาเมทินี
“เม แกเป็นไงบ้าง ฉันเป็นห่วงแกนะ”
“ฉันไม่เป็นไร”
ทิปปี้กอดเมทินีด้วยความเป็นห่วงและดีใจที่เพื่อนรักปลอดภัย เมทินีหันไปจับมือรุทร
“ฉันขอบคุณ คุณด้วยนะคะที่มาช่วยฉัน”
“ครับ ที่ผมทำไป ก็ทำเพื่อวาทิตทั้งนั้น”
เมทินีชะงัก รู้สึกถึงความห่างเหินขึ้นมาทันที
“เอ่อ ฉันว่าคุณรุทรไปทำแผลก่อนดีไหมค่ะ” ทิปปี้เอ่ยขึ้น
รุทรพยักหน้ารับ แล้วเดินไปนั่งให้พยาบาลทำแผลให้ เมทินีมองตามสีหน้าเศร้า
เย็นแล้ว ขณะรุทร เมทินี ทิปปี้ และกินรีซึ่งอยู่ในสภาพหัวใจสลาย เดินเข้าบ้านพ่อเลี้ยงวิทย์มาด้วยกัน เอื้องคำ จั่นเป็ง หนาน เดินเข้ามาหาด้วยความดีใจ ที่ทุกคนปลอดภัย
“คุณเมกับคุณรุทรกลับมาแล้ว เป็นยังไงบ้างเจ้า”
เมทินียิ้มให้ “ฉันไม่เป็นไรจ่ะป้า แต่คุณรุทรนะซิบาดเจ็บด้วย”
รุทรยิ้ม มองเอื้องคำ “ผมไม่เป็นไรครับ”
“คุณรุทรรู้ไหมคะว่าเมเขาเป็นห่วงคุณมากเลยนะคะ” ทิปปี้โพล่งขึ้น
เมทินีกับทิปปี้เห็นท่าทางทีรุทรดูเฉยชา ก็พากันเจื่อนจ๋อยไป
“ขอบคุณครับ ผมขอตัวไปหาคุณลุงก่อนนะครับ”
“ได้ค่ะ” เอื้องคำเดินนำรุทรไป
ทิปปี้หันไปทางจั่นเป็ง “จั่นเป็งช่วยพาคุณนรีไปพักก่อนไป”
“ได้เจ้า” จั่นเป็งประคองกินรีเข้าไปในบ้าน
ทิปปี้เห็นเมทินียืนนิ่งก็แปลกใจ
“เป็นอะไรน่ะเม”
“ไม่รู้สิ คุณรุทรเขาดูเหมือนไม่อยากคุยกับฉัน”
“แหม ก็ก่อนหน้าเพิ่งมีเรื่องกัน แกตื้อๆ หน่อยเดี๋ยวก็คุยเอง”
ทิปปี้ยิ้มให้กำลังใจเมทินี
เอื้องคำเดินนำรุทรเข้ามาหาพ่อเลี้ยงวิทย์ที่นั่งเหม่ออยู่บนรถเข็น แล้วก็ออกไป รุทรนั่งคุกเข่ากราบที่ตักวิทย์
“คุณลุงครับ คนผิดที่ทำร้ายวาทิตได้ชดใช้กรรมแล้วนะครับ และตอนนี้ก็หมดหน้าที่ของผมแล้ว” เขาจับมือพ่อเลี้ยงบีบเบาๆ “ผมลาคุณลุงนะครับ”
รุทรจะลุกไป แต่ต้องชะงักเพราะพ่อเลี้ยงวิทย์บีบมือเขาแน่น รุทรมองจ้อง แต่แล้วพ่อเลี้ยงก็ปล่อยมือเขา รุทรเดินออกไป
รุทรเดินลงมาจากชั้นสอง มีเมทินีเดินตามมา เมทินีเห็นรุทรเดินเฉยก็กลัวรุทรจะไป จนมาถึงห้องรับแขกจะออกประตูบ้าน เมทินีตัดสินใจเรียกรุทร อยากให้รุทรอยู่ด้วยแต่ยังไม่กล้าบอกตรงๆ)
“ที่จริงคุณพักอยู่ที่นี่ก่อนก็ได้”
“ผมไม่รบกวนดีกว่าครับ”
รุทรเพียงยิ้มบางๆ แล้วจะเดินไปต่อ เมทินีใจหายรีบเดินมาขวาง
“มันไม่ได้รบกวนอะไรเลย” เธอพยามนึกหาเหตุผลมาอ้าง “อย่างน้อยคุณจะได้ช่วยงานที่นี่”
“คุณกับคุณทิปปี้ก็ทำได้อยู่แล้วนี่ครับ”
“แต่คุณก็รู้ว่าคุณพ่ออยากให้คุณอยู่”
“คุณลุงเข้าใจเหตุผลของผมที่ต้องไปครับ ผมไปนะครับ”
รุทรจะเดินไปต่อ แต่เมทินีไม่หลีก รุทรเลยเดินหลบเลี่ยงไป เมทินีคว้าแขนรุทรไว้
“ถ้าฉันขอร้องให้คุณอยู่ล่ะ”
“ผมก็ยังยืนยันที่จะไป”
เมทินีน้อยใจ “ทำไม ที่นี่มันไม่มีอะไรสำคัญกับคุณบ้างเหรอ”
“วาทิตกับคุณลุงคือสิ่งสำคัญที่สุดที่ทำให้ผมเข้ามาที่นี่ และตอนนี้ภารกิจของผมก็...จบแล้ว”
คำว่า จบ ช่างเหมือนกับเอามีดกรีดหัวใจเมทินีกระนั้น เธอเริ่มน้ำตาเอ่อ รุทรรู้สึกเจ็บปวดจนไม่กล้าสบตา
“แปลว่าคุณจะลืมช่วงเวลาที่เคยอยู่ที่นี่” รุทรนิ่งเงียบไม่อยากตอบ “ฉันถาม...คุณไม่ได้ยินเหรอ”
รุทรถอนใจ “ตอนผมอยู่ที่นี่ มันไม่ใช่ช่วงเวลาของผม มันเป็นเรื่องราวของคุณกับน้องชายผม”
รุทรเดินออก
เมทินีอึ้ง พูดไม่ออก น้ำตาไหลเป็นสาย มองตามด้วยความเจ็บปวดสุดจะประมาณ
รุทรเดินหน้าเศร้าออกมาหน้าบ้าน ด้านหลังของเขา เป็นเมทินียืนมองตาม ร้องไห้อยู่ตรงระเบียง
ขณะที่รุทรขี่รถมอเตอร์ไซค์ออกไป เขามองผ่านกระจก พบว่าเมทินียืนมองอยู่ ชายหนุ่มตัดใจ ไม่ยอมหันกลับไปมอง แข็งใจขี่รถมอเตอร์ไซค์ออกไปเลย
เมทินีได้แต่มองตาม ร้องไห้สะอึกสะอื้นเพียงลำพัง
คืนนั้นแรมมีสีหน้าแปลกใจ ที่รู้ว่ารุทรจะไม่กลับไปที่ไร่ส้มธนาทรอีกแล้ว
“นี่รุทรจะไม่ช่วยพ่อเลี้ยงแกจริงๆ เหรอลูก”
“คุณเมทินีกับคุณทิปปี้คงช่วยดูแลได้ครับแม่ ผมกลับมาดูแลไร่ของเราดีกว่า”
แรมมองหน้ารุทรอย่างรู้ทัน “มีอะไรในใจใช่ไหมลูก”
รุทรฝืนยิ้ม “ไม่มีครับ เอ่อ แม่ครับ ตอนนี้ที่บ้านท้ายไร่ของผมก็คงไม่มีใครใช้แล้วผมขอคืนนะครับ”
พูดจบรุทรก็เดินออกไปเลย แรมมองตามไปด้วยความสงสัย
หน้าจอคอมพ์บนโต๊ะทำงานรุทรตอนนี้ เป็นรูปเมทินีที่รุทรเคยแอบถ่ายไว้ในอิริยาบถต่างๆ
รุทรนั่งเลือกรูปเหล่านั้นอยู่ แล้วสั่งพิมพ์ออกมา รุทรหยิบรูปมาดู สั่งพิมพ์อีก รูปแล้วรูปเล่า
ระหว่างนี้ ประตูห้องถูกเปิดออก อนุวัตรเดินเข้ามา พอเห็นรูปเมทินีเต็มห้องก็เข้าใจอารมณ์เพื่อน
“ฉันสมหวังแต่แกกลับต้องมาเศร้าเสียใจ ฉันไม่เข้าใจว่ะ ก็แกก็รักเค้าแล้วทำไมไม่อยู่กับเขา”
“ถ้าแกต้องอยู่กับใครไปชั่วชีวิต เพราะเป็นได้แค่เงาของคนๆ หนึ่ง แกจะอยู่ได้เหรอวะ”
อนุวัตรได้ฟังก็นึกเห็นใจเพื่อน แต่ทำได้แค่ตบไหล่ปลอบ
ทางด้านเมทินีนั่งซึมอยู่บนเตียง เหม่อมองไปนอกห้อง สุดท้ายตัดสินใจเดินออกไปที่ระเบียง
เมทินียืนครุ่นคิดอยู่ที่ระเบียง ทอดถอนใจ คิดไม่ตกว่าจะเอาไงกับชีวิต ในที่สุดเมทินีหยิบโทรศัพท์มาดูก่อนกดโทร.ออก
ในเวลาเดียวกัน รุทรเองก็นั่งกอดเข่ามองดูรูปมากมายของเมทินีที่วางเรียงจนเต็มโต๊ะ
โทรศัพท์ที่วางบนโต๊ะสั่น หน้าจอสว่างขึ้นเห็นเป็นชื่อ เมทินี โทร.มา รุทรเดินมาดูโทรศัพท์แล้วยืนนิ่งไม่ยอมรับสาย จนหน้าจอหยุดสั่นไปเอง
เวลาผ่านไปไม่นาน หน้าจอโทรศัพท์รุทรพบว่า มี 19 สายที่ไม่ได้รับ
รุทรหยิบรูปเมทินีบนโต๊ะมาหนึ่งรูป จ้องดูใกล้ๆ
“ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากรักคุณ”
รุทรทอดถอนใจ เริ่มลงมือติดรูปเมทินีทีละแผ่นๆ จนเต็มผนังห้อง
กลางดึกคืนนั้น พ่อเลี้ยงวิทย์นอนอยู่บนเตียง วาทิตในชุดหล่อเหลาเดินเข้ามายังข้างเตียง
“คุณพ่อครับ”
พ่อเลี้ยงตื่นขึ้นมา เห็นเป็นวาทิตก็ดีใจ ลุกขึ้นมานั่งคุยกับลูกชาย
“วาทิต ลูกกลับมาแล้วเหรอลูก ลูกกลับมาหาพ่อแล้ว”
“วาทิตมาลาคุณพ่อค่ะ”
“วาทิต ลูกจะไปไหน พ่อไม่ให้ลูกไป”
“วาทิตขอบคุณคุณพ่อที่ดูแลวาทิตมาโดยตลอดทั้งๆ ที่วาทิตไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของคุณพ่อ ต่อไปนี้คุณพ่อไม่ต้องห่วงวาทิตแล้วนะคะ วาทิตไปสบายค่ะ คุณพ่ออย่าคิดมากนะคะ วาทิตไม่อยากให้คุณพ่อเป็นแบบนี้ วาทิตรักคุณพ่อนะคะ”
พ่อเลี้ยงดึงวาทิตมากอดด้วยความรัก “พ่อก็รักลูก รักลูกที่สุด”
“วาทิตลานะคะคุณพ่อ”
พ่อเลี้ยงวิทย์ยังคงกอดวาทิตไว้แน่น จนสะดุ้งลืมตาตื่น และเรียกหาวาทิต
“วาทิตลูก...วาทิต”
สีหน้าชายชรายามนี้ เหมือนคนหายป่วย และรับรู้เรื่องราวได้อย่างคนปกติแล้ว
อ่านต่อหน้า 4
เงาใจตอนที่ 15 จบบริบูรณ์
รุ่งเช้า เมทินีและเอื้องคำนำอาหารเช้า และเครื่องดื่มเข้ามาในห้องนอน มองไปที่เตียงไม่เห็นวิทย์ มองไปที่รถเข็นซึ่งจอดอยู่ก็ว่างเปล่า ทั้งคู่แปลกใจ
“พ่อเลี้ยงหายไปไหนคะคุณเม”
“คุณพ่อคะ คุณพ่อๆ”
“ฉันอยู่นี่”
เมทินีกับเอื้องคำ รีบเดินไปตามเสียง สองคนเห็นพ่อเลี้ยงวิทย์ยืนมองบรรยากาศไร่อยู่ตรงระเบียงด้านนอก
“คุณพ่อคะ ทำไมถึงมายืนอยู่ตรงนี้ล่ะคะ”
“นั่นซิ หรือว่าพ่อเลี้ยง...”
“ฉันดีขึ้นแล้วล่ะ”
เมทินียิ้มชื่น ดีใจมาก “คุณพ่อหายแล้วเหรอคะ ป้าเอื้องคุณพ่อหายแล้วค่ะ”
“หนูเมเรื่องราวต่างๆ ในไร่เป็นยังไงบ้าง”
เมทินีอึกอักไม่กล้าตอบ หันไปมองเอื้องคำ แล้วหันมาฝืนยิ้มให้พ่อเลี้ยง
“เรียบร้อยดีค่ะคุณพ่อ”
พ่อเลี้ยงวิทย์รู้ทัน “งั้นเหรอ ดี ต่อไปฉันคงต้องฝากหนูเมดูแลต่อด้วยนะ ฉันคงจะไม่ได้อยู่ดูแลมันแล้ว”
เมทินีกับเอื้องคำ ตกใจ มองหน้ากันงงๆ
“คุณพ่อจะไปไหนคะ”
“เมื่อคืนฉันฝันเห็นวาทิต ฉันเลยคิดว่า จะไปบวชอุทิศกุศลให้เขา วาทิตจะได้ไปสบาย”
เมทินียิ่งตกใจ “คุณพ่อจะบวช”
เวลาผ่านไปอีกหลายวัน
เช้านี้ พ่อเลี้ยงวิทย์ นั่งพนมมือให้หลวงพ่อปลงผมอยู่ข้างโบสถ์ในวัดใกล้ไร่ด้วยใบหน้านิ่งสงบ หลวงพ่อค่อยๆ โกนผมให้อย่างเบามือ
พิธีบวชเสร็จสิ้นลง เห็นหลวงตาวิทย์ห่มจีวรสีเหลือง แลดูน่าเลื่อมใส เดินออกมาหน้าโบสถ์ เมทินี ทิปปี้ กินรีซึ่งท้องเริ่มโตมากขึ้น รวมทั้ง เอื้องคำ จั่นเป็ง หนาน พากันก้มกราบ หลวงตายิ้มให้ทุกคนด้วยท่าทีสงบ ใบหน้าเปี่ยมเมตตา
ผ่านไปอีกหลายวัน เมทินีนั่งใจลอยอยู่ตรงระเบียง ทิปปี้เดินเข้ามาหา มองอาการเพื่อนแล้วถอนหายใจ
“เม...เม” เมทินีใจลอยไม่ได้ยิน ทิปปี้เรียกเสียงดังขึ้น “เม”
เมทินีสะดุ้ง หันไปมองทิปปี้ ทิปปี้มองเพื่อนรู้ถึงสาเหตุที่เป็น
“แกจะนั่งหน้าเศร้า และปล่อยให้เรื่องมันเป็นแบบนี้ตลอดไปเลยหรือไง”
“แล้วแกจะให้ฉันทำยังไง”
“ง่ายๆ เลยนะ แกบอกกับตัวเองได้ไหมว่า แกรักคุณรุทรที่เป็นตัวเขาจริงๆ”
เมทินีนิ่งคิด
“แล้วลองหาคำตอบในใจของแกซิ ว่าชีวิตแกที่เหลือจะอยู่โดยไม่เห็นหน้าเขา ไม่มีเขาอยู่ข้างๆ แบบนี้ แกอยู่ได้ไหม”
เมทินีน้ำตาคลอคิดถึงรุทรจับหัวใจ
“แต่เท่าที่ดูตอนนี้ ฉันว่าแกอยู่ไม่ได้ว่ะเม”
เมทินีโผเข้ากอดทิปปี้ที่กอดตอบ
“ขอบคุณนะทิปปี้” เมทินีถอนกอดจากทิปปี้ ““ทิปปี้ ฉันอยากไปหาคุณรุทร”
ทิปปี้ยิ้มยินดี “ไม่ใช่ปัญหา”
เมทินียิ้มสุขใจ ที่ตัดสินใจได้
เช้าวันนี้ ขณะที่แรมกับวารินนั่งคัดเลือกผักอยู่ สองคนเห็นรถของเมทินีแล่นเข้ามา แรมกับวารินช่วยกันเพ่งมอง
“รถใครน่ะริน”
“ไม่รู้เหมือนกันจ้ะแม่ ไม่เคยเห็น”
เมทินีก้าวลงจากรถ
“เอ๊ะ...แม่...นั่นคือ”
วารินอึ้งพูดไม่ออกที่เห็นเป็นใคร เมทินีเดินมาไหว้แรม ยิ้มให้ไหว้ทัก
“สวัสดีค่ะคุณป้า หนู...เอ่อ...”
แรมจำได้ “เรียกแม่ก็ได้จ้ะหนูเมทินี”
แรมกับวารินมองหน้าเมทินีเป็นเชิงถาม จนเมทินีรู้สึกเสียความมั่นใจ
แรมพาเมทินีเดินมาถึงหน้าบ้านท้ายไร่
“นิสัยของรุทร เวลาเขามีเรื่องไม่สบายใจ ถ้าเขาไม่อยากพูดทำยังไงเขาก็ไม่พูด แต่จะชอบมาขลุกอยู่ที่นี่แทน คราวนี้ก็เหมือนกัน ตั้งแต่กลับมาเขาก็อยู่ในนี้แทบไม่กลับไปที่บ้านเลย ยังไงแม่ก็ฝากรุทรด้วยนะ”
แรมก็ยิ้มให้เมทินี
“ขอบคุณค่ะคุณแม่”
เมทินีมองเข้าไปที่บ้านที่อยู่ตรงหน้าก่อนตัดสินใจเดินเข้าไป แรมมองตามแล้วยิ้มโล่งใจ ที่เห็นเมทินีมาตามหารุทร ก่อนจะเดินกลับไป
มองจากด้านใน เห็นประตูเปิดออก เมทินีเดินเข้ามา พบว่าในห้องรับแขกไม่มีคนอยู่ เลยเดินหา เมทินีเปิดประตูอีกห้องหนึ่งเข้าไป ก็ต้องตะลึง เมื่อเห็นว่ารูปของเธอติดเต็มผนังห้องไปหมด
เมทินีเดินดูรูปที่รุทรเคยแอบถ่ายเธอเอาไว้ หลายรูปมากที่เธอไม่รู้ตัวเองด้วยซ้ำ
ระหว่างนั้นได้ยินเสียงกุกกักในห้องหนึ่ง เมทินีรีบเดินไปทันที แต่พอถึงประตู เมทินียืนทำใจสักพัก ตัดสินใจเปิดประตูทันที
“คุณรุทร”
ด้านในเป็นอนุวัตรที่กำลังเก็บกวาดห้องอยู่ เขาถึงต้องสะดุ้งหันมามองอย่างแปลกใจ
“คุณเมทินี”
สีหน้าเมทินีเต็มไปด้วยความผิดหวังที่ไม่เจอรุทร
เมทินีนั่งรออยู่บริเวณสวนสวยหน้าบ้านท้ายไร่ สักพักอนุวัตรเอาน้ำมาวางให้เมทินีแล้วลงนั่งคุยด้วย
“เมื่อเช้ามืดไอ้รุทรมันโทร.ปลุกผม บอกว่าฝากดูแลบ้านนี้ด้วยมันจะไม่อยู่สักพัก ผมก็เลยเข้ามาทำความสะอาด”
“แล้วเขาจะไปไหนคะ”
“ผมก็ไม่รู้นะครับ”
เมทินีถอนใจยาว “เขาคงเกลียดฉันมาก ถึงอยากหนีหน้าฉัน”
“ถ้าคุณเมทินีคิดว่าการที่มันไม่ยอมเจอหน้าคุณไม่รับสายคุณเป็นการหนีหน้า ผมคงบอกได้ว่าคุณคิดผิด เพราะมันรักคุณมากต่างหาก”
เมทินีฉงน “ฉันไม่เข้าใจค่ะ”
“รุทรมันแอบรักคุณตั้งแต่ครั้งแรกที่มันแอบเห็นคุณในงานพืชสวนโลกแล้วครับ”
เมทินีอึ้ง นิ่งเริ่มคิดตาม และตั้งใจฟังอนุวัตรเล่า
“ถึงปากมันจะบอกว่าเกลียดคุณในช่วงที่เข้าไปแทนวาทิต แต่ผมก็เห็นมันยอมเจ็บตัวเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเพื่อช่วยคุณทุกครั้ง ยิ่งมาเห็นรูปถ่ายคุณมากมายขนาดนี้ บอกได้เลยว่ามันรักคุณมาก”
เมทินีแปลกใจมาก “ถ้างั้นเขาหนีฉันทำไม”
“แล้วคุณเมจะให้มันรักกับคุณในฐานะอะไร พี่ชายที่เข้ามาทำหน้าที่สามีแทนวาทิตงั้นเหรอ”
“เขาเข้าใจผิดนะคะ ฉันจะต้องอธิบายให้เขาฟัง”
อนุวัตรเห็นใจมาก “แล้วคุณจะตามหามันเจอเหรอ ขนาดผมเป็นเพื่อนสนิทยังไม่รู้เลยว่ามันอยู่ไหน”
“ต่อให้เขาอยู่มุมไหนของโลก หรือใช้เวลาทั้งชีวิต ฉันก็จะตามหาเขาให้เจอ”
เมทินีลุกขึ้นเดินออกไป อนุวัตรมองตามแล้วยิ้มออกมา พึมพำอย่างมีความสุข
“มันต้องอย่างนี้สิถึงจะเหมาะกับแก ไอ้รุทร”
เมทินีเดินกลับมาขึ้นรถ บอกด้วยด้วยสีหน้ามุ่งมั่น
“คุณรุทร ฉันจะต้องตามหาคุณให้ได้”
เธอสตาร์ตเครื่อง แล้วขับออกไป
มองจากมุมสูงลงมา แลเห็นทิวเขาและท้องทุ่งบัวตองเหลืองไสว มีรถยนต์สองคันแล่นจากคนละทิศ เข้ามาจอด คนละชั้นของภูเขา สองคันไม่เห็นกัน รถเมทินีอยู่สูงกว่ารถรุทร
เมทินีลงจากรถมาหยุดยืนมองทุ่งบัวตอง นึกถึงความรัก ความหลัง ฉากแล้วฉากเล่า ที่เกิดขึ้นที่นี่
ตั้งแต่ ตอนเธอกลิ้งตกเนิน / รุทรให้ขี่หลังขึ้น / รุทรนวดเท้าให้ / เมทินีมานอนซุกรุทรกอดแล้วยิ้ม / เมทินีเอาหมอนไล่ตีรุทร / เมทินีกับรุทรจูงจักรยานแล้วขี่ไปด้วยกัน / รวมทั้งตอนที่สองคนต่างช่วยชีวิตดูแลกันและกันบนเขา
ทางด้านรุทรทอดสายตามองทุ่งดอกบัวตองคิดถึงเรื่องราวเหล่านี้อยู่เช่นกัน
สุดท้ายสองคนมายืนพิงรถ ยิ้มเศร้าๆ ออกมา เมื่อนึกถึงความสุขในอดีต
จากบ่ายคล้อยเป็นเย็นย่ำ ทั้งคู่ยังยืนถึงคะนึงหากันและกันอยู่
สุดท้ายทั้งคู่ขึ้นรถ แล้วต่างขับออกไปคนละทางโดยไม่เจอกัน
เมทินีขับรถมาตามถนนสายเปลี่ยว แล้วหยุดรถ ทุบพวงมาลัยด้วยความโมโห
“นี่ฉันจะไปตามหาคุณได้ที่ไหน”
เมทินีฟุบหน้ากับพวงมาลัยด้วยความเซ็ง จนมีเสียงเคาะกระจก เมทินีสะดุ้ง เงยหน้าด้วยความตกใจ เห็นชาวเขาคนหนึ่งยิ้มให้ เมทินีลดกระจกลงเพียงนิดเดียวเพื่อความปลอดภัย
“รถเสียเหรอ” ชาวเขาถาม
“เอ่อ เปล่าค่ะ ขอบคุณค่ะ” เมทินียิ้มให้
“ง่วงละสิ ถ้าง่วงก็ขับไปอีกนิด มีหมู่บ้านพักที่นั่นก็ได้นะ”
“ค่ะ ขอบคุณมากค่ะ”
ชาวเขาเดินจากไป เมทินีมองตามทางกระจกมองหลังด้วยความรู้สึกขอบคุณกับน้ำใจของชาวเขา
แล้วจู่ๆ เมทินีก็นึกอะไรขึ้นมาได้ “จริงสิ”
เธอรีบสตาร์ตรถขับออกไปทันที
ไม่นานต่อมา กะเวนกับวาโพ และบรรดาชาวบ้านยิ้มต้อนรับเมทินี แต่เป็นการยิ้มที่เมทินีแอบรู้สึกแปลกๆ
“ข้าดีใจนะที่แม่หญิงกลับมาเยี่ยมที่นี่” กะเวนยิ้มแห้งแล้งเหลือเกิน
“ทุกคนที่นี่สบายดีเหรอคะ”
“สบาย สบายดีใช่ไหม” วาโพบอก
ชาวบ้านทุกคนพยักหน้ารับ
“เอ่อ แล้วคุณรุทร...ไม่ใช่สิ คุณวาทิต เขามาที่นี่บ้างหรือเปล่าคะ”
ทุกคนส่ายหน้าพร้อมกัน
“ไม่มา....ไม่เคยเห็นเลย” กะเวนยืนยัน
“จริงจ้ะ พวกเราไม่เคยเจอกับคุณรุทรเลย” วาโพดันหลุดปาก
เมทินีพอได้ฟังก็พยักหน้าคล้อยตาม แล้วรู้สึกสะดุดหู
“ไม่ได้มีใครปิดบังอะไรนะคะ”
“ไม่มี...จะมีได้ไง” สองผัวเมียประสานเสียง
“แต่เมื่อกี้วาโพเรียกคุณรุทรนี่”
“อ๋อ...ก็เรียกตามคุณเมไง” วาโพแถ
“แล้วไม่สงสัยเหรอว่า ทำไมวาทิตมีสองชื่อ”
วาโพเริ่มมีพิรุธมากขึ้น เพราะไม่รู้จะตอบยังไง เอาแต่หลบตา เมทินีจ้องหน้าสองผัวเมียคาดคั้น
กะเวนอยากจะร้องไห้ “คุณเม เชื่อพวกเราเถอะนะ ข้าไหว้ล่ะ”
เป็นเวลาช่วงพักกลางวัน นักเรียนวิ่งเล่นกันอยู่ด้านนอกห้องเรียน ส่วนในห้องเรียน ครูกำลังดูรุทรเขียนแบบร่างคร่าวๆ
“ผมว่าถ้าเราทำไม่ต้องตีไม้ปิดหมด เปิดด้านใต้หลังคาไว้นอกจากจะช่วยให้ห้องเรียนสว่างแล้วก็จะประหยัดไม้ด้วยนะครับ”
“ฉันเห็นด้วยค่ะ” เสียงคุ้นหูดังขึ้น
รุทรกับครูเงยหน้ามองไปตามเสียง ก็เห็นเมทินียืนตาเขียวอยู่ มีกะเวนกับวาโพยืนหน้าจ๋อยอยู่ข้างๆ
“คุณเม”
เมทินีจะร้องไห้อยู่แล้ว “ฉันเห็นด้วยกับคุณทุกอย่าง ฉันเห็นว่าคุณคือคนเก่ง คือคนที่ฉันอยากจะใช้ชีวิตอยู่ด้วยทั้งชีวิต แล้วคุณหนีฉันทำไม”
รุทรเงียบ ไม่ยอมตอบ กะเวนกับวาโพสงสารพยายามช่วยพูดให้เมทินี
“ข้าพยามปิดคุณเมแล้ว แต่เธอก็รู้จนได้”
“แล้วข้าก็สงสารคุณเมด้วย เธอดีน่ารักออกแบบนี้ มีอะไรคุณก็คุยกันเถอะนะ”
รุทรกับเมทินีมองหน้ากัน กะเวน วาโพ และ ครู พากันลุ้นว่าสองคนจะยอมคุยกันไหม
รุทรยืนอยู่ทอดสายตามองไปเบื้องหน้าสุดสายตา เมทินีเดินเข้ามาหา
“จริงอย่างที่คุณอนุวัตรบอก คุณเป็นคนติดอยู่กับที่เก่าๆ”
รุทรยืนนิ่ง “คุณมาทำอะไรที่นี่”
เมทินีมองรุทร บอกด้วยสีหน้าจริงจัง “ฉันมาหาคุณ ฉันคิดถึงคุณ”
รุทรทอดถอนหายใจ “ลืมเรื่องของเราที่มันเป็นไปไม่ได้เถอะครับ”
“ทำไมมันจะเป็นไปไม่ได้ล่ะคะ”
“คุณเม คุณไม่เคยรู้จักผม ผมเป็นแค่เงาของวาทิต”
เมทินีเถียงสวนออกมาทันที “ไม่ใช่ คุณไม่ใช่เงาของวาทิต จริงอยู่ที่ฉันรู้จักวาทิตตั้งแต่เด็ก รู้จักมาตลอดชีวิต แต่สิ่งหนึ่งฉันไม่รู้จักวาทิต คือฉันไม่เคยรักเขา ความรู้สึกแบบนี้มันเกิดตอนคุณเข้ามา” เมทินีอัดอั้นจนเริ่มร้องไห้ “และแค่นี้มันยังพิสูจน์ไม่ได้อีกเหรอ ว่าฉันรักคุณ ฉันรักคุณเพราะคุณเป็นคุณ เพราะคุณเป็นคนที่ฉันอยู่ด้วยแล้วมีความสุข และฉันก็รู้ว่ามันจะเป็นความสุขไปตลอดชีวิตของฉัน คุณอย่าหนีฉันไปอีกเลยนะคะ”
รุทรยิ้มได้ ปาดน้ำตาบนแก้มเมทินีอย่างละมุนละไม
“แล้วคิดเหรอว่าผมมีความสุขที่ต้องอยู่ห่างจากคุณ ไม่งั้นผมจะมาที่นี่ทำไม ถ้าไม่คิดถึงคุณ”
เมทินียิ้มกว้าง สองคนกอดกัน จูบกันด้วยความรักล้นหัวใจ
วันเวลาผ่านไปอีกสักระยะ
เช้านี้ ไมตรีนั่งรอวารินอยู่หน้าตึกคณะ ในมือถือถุงขนม จังหวะหนึ่งเขาแกะถุงออกหยิบแหวนที่เตรียมมาเซอร์ไพร้ส์ออกดู แล้วใส่คืน มองถุงขนม ยิ้มอย่างมีความสุข สักพักวารินเดินยิ้มเข้ามาหา แล้วนั่งลงข้างๆ
“ในที่สุดพี่สาวของเธอกับพี่ชายของฉันก็ลงเอยกันได้สักที”
ไมตรียิ้ม ยื่นถุงขนมส่งให้วาริน วารินรับมาหยิบกิน
“จะว่าไปแล้วก็แปลกนะ ทั้งๆ ที่พี่วาทิตกับพี่รุทรก็หน้าตาเหมือนกัน แต่พี่เมกับรักพี่รุทร ไม่รักพี่วาทิต”
“ถึงจะหน้าตาเหมือนกัน แต่นิสัยไม่เหมือนกันสักหน่อย พี่เมคงชอบพี่รุทรตรงที่อบอุ่น สามารถดูแล ปกป้องพี่เมได้”
“แล้วเธอล่ะวารินชอบผู้ชายแบบไหน”
วารินมองไมตรีเขินๆ
“ก็ชอบแบบ…แบบพี่รุทรนั่นแหละ จะถามทำไม” วารินเขินหนักรีบเปลี่ยนกลบ “เอ่อ นี่ไม นายได้วางแผนไว้บ้างหรือเปล่าว่าถ้าเรียนจบแล้วจะทำอะไรต่อ”
ไมตรียิ้ม รู้ว่าวารินเขินและพยายามเปลี่ยนเรื่อง แต่ก็ยอมตอบโดยดี
“ก็คิดไว้อยู่นะ ก็คงรีบหางานทำ จะได้ช่วยแบ่งเบาภาระของแม่ ฉันไม่อยากให้แม่ต้องลำบากทำงานหนักแล้ว”
วารินพยักหน้ารับ แล้วโยนถุงขนมทิ้งลงถังขยะที่วางอยู่ใกล้ๆ ไมตรีตกใจหน้าเหวอมองตามถุงขนมเขม็ง
“เฮ้ย ริน เธอทิ้งถุงขนมทำไม”
วารินงง “ก็มันหมดแล้วก็ต้องทิ้งซิ อ๋อเธออยากกินอีกเหรอ เดี๋ยวฉันซื้อให้ใหม่ก็ได้”
“มันยังไม่หมด”
“ยังไม่หมดได้ยังไง มันหมดแล้ว”
“ยังไม่หมด ไม่เชื่อเธอเก็บกลับมาดูซิ”
วารินเริ่มโมโห แต่ก็ยอมเก็บถุงขนมกลับมา ชักสีหน้ามองไมตรีอย่างไม่พอใจ ไมตรีพยักหน้าให้ดูถุงขนมอีกที วารินดูแล้วพบว่ามีแหวนในนั้น จึงหยิบแหวนออกมา มองสบตาไมตรีที่ยิ้มมองมาเช่นกัน
ไมตรีจับมือวารินที่ถือแหวนอยู่ มองสบตากันซึ้งๆ
“ฉันขอจองเธอไว้ก่อนนะ เรียนจบเมื่อไหร่จะให้แม่ไปขอ
วารินยิ้มเขิน อายม้วน “บ้า มัดมือชกกันชัดๆ”
ไมตรียิ้มชื่น ก่อนจะสวมแหวนให้ แล้วเอาแขนวารินคล้องแขนตัวเองไว้
“ไม่ได้มัดมือชก แต่เขาเรียกว่า คล้องใจไว้ด้วยกัน”
วารินมองไมตรีแล้วขำ
“เสี่ยวอ่ะ”
ไมตรีเขินใหญ่ “เสี่ยวแล้วชอบไหม”
วารินยิ้มมองไมตรี พลางพยักหน้ารับเขินๆ ซบลงกับไหล่เขา สองคนยิ้มรับกับความสุขที่มอบให้กัน
เย็นวันเดียวกันนี้ กินรีพาตัวเองมาอยู่ในห้องพบญาติของเรือนจำ สักครู่ อังกูรในชุดนักโทษเดินมาลงนิ่ง กินรียิ้มทัก
“นรีไปอัลตร้าซาวน์มาแล้ว ลูกเราเป็นผู้ชายค่ะ”
“ฉันขอร้อง ถ้าเขาเกิดมาอย่าบอกว่าฉันเป็นพ่อของเขานะ เขาเป็นเด็กดีเกินกว่าจะมีพ่อเลวๆ” อังกูรก้มหน้า
“ไม่ค่ะ นรีจะบอก อย่างน้อยเขาจะได้รู้ว่าเขาเกิดมาจากความรัก ไม่ได้เกิดจากความผิดของใครคนใดคนหนึ่ง”
“เธอจะทำร้ายเขานะนรี”
กินรีเอามือลูบท้องอย่างทะนุถนอม
“มันคือชีวิตของเขาที่เขาจะต้องรับรู้ค่ะ ถึงพ่อของเขาจะไม่ได้เป็นคนดีสมบูรณ์แบบ แต่แม่ของเขารักพ่อของเขามากอย่างไม่มีวันเปลี่ยนแปลง”
อังกูรสะท้อนในอก ตื้นตันจนน้ำตาไหล “นรี ฉันขอโทษนะ ฉันเลวกับเธอมาก ฉันไม่คู่ควรกับเธอเลย”
“อย่าคิดมากนะคะคุณกูร ตั้งใจทำความดีแก้ไขตัวเอง นรีเชื่อว่าวันหนึ่งคุณจะต้องได้รับการลดโทษ แล้วเราจะออกมาเริ่มต้นกันใหม่”
“เธอจะคอยไหวเหรอ” อังกูรมองจ้อง
“นรีคอยได้ค่ะ”
อังกูรกับกินรียิ้มให้กันทั้งน้ำตา
เมทินียืนอยู่กลางสวนสวยข้างบ้าน รุทรเห็นเดินมาสวมกอดจากทางด้านหลัง เมทินีรับรู้จากสัมผัสว่าเป็นรุทร หันไปหายิ้มให้ รุทรหอมแก้มเมทินีฟอดหนึ่ง
“คิดอะไรอยู่ครับ”
“ก็คิดอยู่หลายเรื่องค่ะ โดยเฉพาะเรื่องที่ผ่านมา”
รุทรยิ้มเขิน “แล้วเมยังคิดเรื่อง เด็กๆ ตัวน้อยๆ อยู่ไหม”
เมทินีเองก็เขินรู้ว่ารุทรจะสื่อถึงอะไร เฉไฉทำเป็นไม่สนใจ
“เม ผมพร้อมนะถ้าเรามีลูกด้วยกัน”
“เมไม่ได้คิดเรื่องนั้นแล้วล่ะคะ”
“อ้าว ทำไมล่ะเม”
“ก็ตอนนั้น เมคิดว่าคุณเป็นวาทิต ที่แต่งงานเป็นสามีภรรยากันอย่างถูกต้อง แต่เราสองคนตอนนี้ไม่ได้อยู่ในสถานะนั้นนะคะ”
รุทรยิ้มชื่นกอดเมทินีแน่น “ถ้าอย่างนั้น เรารีบไปขอฤกษ์แต่งงานกันดีกว่า แล้วก็ไปหาหลวงพ่อให้ท่านอวยพรความรักของเราด้วย”
รุทรยิ้มให้ เมทินีพยักหน้ายิ้มรับ สองคนสวมกอดกันเต็มรัก
หลวงตาวิทย์ห่มผ้าเหลืองยืนอยู่ตรงหน้าประตูโบสถ์ มองรุทร กับ เมทินี และ กินรีซึ่งท้องโตนั่งพนมมือไหว้
“ทุกสิ่งทุกอย่างได้ผ่านพ้นไปตามกรรมที่ผู้กระทำได้ก่อ ไม่มีใครหลีกหนีพ้น เราที่เหลือจงสร้างแต่กรรมดี” หลวงตาหันไปมองกินรี “ปลูกฝังเขาเอาไว้ตั้งแต่เล็ก จะได้เป็นคนดีมีคุณธรรม รู้ผิดชอบชั่วดี”
กินรีพนมมือไหว้น้อมรับคำสอน หลวงตาผินหน้ามาทางรุทรและเมทินี
“ส่วนโยมทั้งสอง อาตมายินดีด้วยที่จะร่วมสร้างครอบครัวด้วยกัน ขอให้มีแต่ความเจริญรุ่งเรือง สมกับความดีของโยมทั้งสองที่ทำมา”
รุทรกับเมทินีมองหน้ากัน ยิ้มให้กัน แล้วไหว้รับพร
หลวงตายิ้มบางๆ เดินผ่านไปอย่างสงบสำรวม
ทุกคนยิ้มให้กันอย่างมีความสุข
ค่ำนั้น ท่ามกลางผู้คนมากมาย ในเทศกาลปล่อยโคมประจำปี รุทรกับเมทินีมาร่วมปล่อยโคมด้วย สองคนมองตากันหวานซึ้งก่อนจะอธิษฐาน
“ผมขอให้เราสองคนรักกันและอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขแบบนี้ตลอดไป”
“ฉันขอให้คุณมั่นใจว่า คุณคือผู้ชายที่ฉันรัก ไม่ใช่เงาที่มาเป็นตัวแทนของใคร และฉันจะอยู่เคียงข้างคุณตลอดไป”
“เม ผมรักคุณ” รุทรบอกเสียงนุ่ม
เมทินียิ้มหวาน “ฉันก็รักคุณค่ะ คุณรุทร”
ทั้งสองสบตา ยิ้มให้กันอย่างสุขสม แล้วปล่อยโคมลอยขึ้นฟ้า มองตามโคมที่ลอยขึ้น
รุทรดึงเมทินีมากอด หอมที่หน้าผากอย่างละมุนละไม สองคนตระกองกอดกันเต็มรัก มองดวงโคมอันสวยงามที่ลอยอยู่เต็มท้องฟ้า อย่างมีความสุข
จบบริบูรณ์
โปรดติดตาม "สื่อริษยา" ละเอียดเต็มอิ่ม เร็วๆ นี้