เงาใจตอนที่ 13
รุทรอยู่ตรงส่วนครัวในกระท่อม กำลังต้มยาบนเตาถ่านตามคำแนะนำของวาโพ ควันสีดำลอยฉุยออกจากหม้อยา พอได้ที่เขายกหม้อเดินออกไปวางข้างๆ วาโพ ที่นั่งดูแลเมทินีอยู่ วาโพเทยาใส่ถ้วย
“มันกินได้แน่เหรอวาโพ” รุทเห็นยาสีดำปี๋ในถ้วยแล้วถามด้วยความเป็นห่วง
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ ตอนเด็กๆ ฉันเป็นไข้พ่อก็ต้มยานี่แหละให้กิน แป๊บเดียววิ่งปร๋อเลย คุณมาช่วยยกหัวให้หน่อย ฉันไม่มีแรง”
รุทรเข้าไปช่วยประคองหัวเมทินีขึ้นให้วาโพป้อนยา
“ทานยาหน่อยนะเมจะได้หาย”
วาโพป้อนยาให้เมทินีทั้งๆ ที่อีกฝ่ายยังไม่ได้สติ
“ตัวร้อนจัง ฉันว่าเช็ดตัวลดไข้สักหน่อยจะดีกว่า ไอ้เวนเอาน้ำอุ่นกับผ้าผืนเล็กๆ มาหน่อย”
วาโพหันไปสั่งกะเวนที่ยืนดูอยู่ใกล้ๆ
“ทำไมต้องเป็นข้าวะ ไม่ให้มันไปเอาล่ะ” กระเวนโวย
“ก็เพราะข้าสั่งเอ็งไง หรือเอ็งจะไม่ทำ”
วาโพยัวะ หันไปมองผัวตาเขียว กะเวนทำปากขมุบขมิบ แต่ก็ไปเทน้ำอุ่นใส่กะละมังแล้วหยิบผ้าผืนเล็กมาวางให้ข้างๆ รุทร
“ถอดเสื้อสิ ฉันจะได้เช็ดตัว” วาโพว่า
“ต้องถอดเสื้อเมเขาด้วยเหรอ” รุทรถามสีหน้าตกใจ
“เปล่า คุณน่ะถอดเสื้อ ฉันจะเช็ดตัวให้”
วาโพทำน้ำเสียงแววตาโลมเลียใส่รุทร
“เอ็งออกไปข้างนอกกับข้าเลย ให้มันเช็ดตัวกันเอง ไป”
กะเวนหวงสุดทน เข้ามาดึงแขนวาโพให้ออกไปกับตัวเอง วาโพขัดขืนหน่อยๆ แล้วจึงเดินตาม แต่ไม่วายหันมามองรุทรตาละห้อย
สองผัวเมียไปแล้ว รุทรเอาผ้าชุบน้ำบิดพอหมาด แล้วเช็ดหน้าเช็ดตัวให้เมทินีอย่างทะนุถนอม
กะเวนกับวาโพนั่งรออยู่ที่แคร่หน้ากระท่อม วาโพมองเข้าไปในกระท่อมตลอดๆ
“ถ้าเอ็งห่วงมันขนาดนี้ขึ้นไปช่วยมันเช็ดตัวเลยดีกว่ามั้ย”
“แล้วเอ็งจะดึงข้าออกมาทำไม”
วาโพว่าแล้วก็ทำท่าจะลุกขึ้น กะเวนรีบดึงมือไว้
“เอ็งจะไปไหน”
“อ้าว...ก็เอ็งบอกให้ข้าไปช่วยเช็ดตัวไง”
“นี่เอ็งห่วงมันมากกว่าข้าเหรอ”
กะเวนทำท่างอน หันหลังให้ วาโพมองแล้วอมยิ้ม
“ข้าไม่ได้ห่วงเขา แค่สงสัย”
“สงสัยอะไร”
“ข้าว่าสองคนนั่นคงไม่ใช่เพื่อนกันหรอก ห่วงกันจนเหมือน...ผัวเมีย”
“เอ็งผิดหวังล่ะสิ” กระเวนแดกดัน
วาโพหมั่นไส้จนสุดจะทน เลยตบหัวผัวไปหนึ่งทีจนกะเวนหน้าคะมำ ร้องจ๊าก
“ถึงข้าจะสวยจนคุณวาทิตแทบจะอดใจไม่ไหว แต่ที่เอ็งพูดเมื่อคืนข้าชอบนะ”
กะเวนแปลกใจ “จริงเหรอ”
“ถ้าข้าไม่ชอบ ข้าไม่เขินจนตบหัวเอ็งหรอก”
วาโพพยักหน้าอายๆ กะเวนดีใจมาก จะเข้ามากอด แต่วาโพเอามือยันหน้าเอาไว้
“อ้าว..ไหนเอ็งบอกว่าชอบข้าไง” กะเวนถามน้ำเสียงผิดหวัง
“ข้าบอกว่าชอบที่เอ็งพูดไม่ใช่ชอบเอ็ง”
“ข้าก็อดกอดเอ็งน่ะสิ”
“ใช่”
“หอมแก้มล่ะ” กระเวนออดอ้อนไปมา
“ไม่ได้”
“จับมือ”
“ไม่ได้”
“แล้วข้าทำอะไรได้บ้างเนี่ย”
“ก็หลายอย่างนะ เช่นทำกับข้าว ซักผ้า ถูบ้าน...”
วาโพสาธยายเป็นชุด กะเวนรีบยกมือห้าม
“พอเถอะ ยิ่งฟังแล้วข้ายิ่งช้ำ ในครัวมีใบบัวบกมั้ยข้าจะต้มกินสักสามสี่หม้อ”
กะเวนพูดเสียงเซ็งปนเศร้าแล้วก็เดินคอตกเข้าบ้านไป วาโพมองตามยิ้มๆ ดีใจที่ได้แกล้งผัว
ส่วนในกระท่อม รุทรเช็ดตัวให้เมทินีเสร็จแล้วก็นั่งดูอาการอยู่ข้างๆ
เมทินีเริ่มเพ้อ “แม่...ไม”
“เม...เมเป็นไงบ้าง”
“แม่ ไม วาทิตฉันหนาวจังเลย วาทิต”
“เม...เม...ผมอยู่นี่เม วาทิตของคุณไง”
รุทรกอดเมทินีไว้เพื่อให้ความอบอุ่น
อีกฟาก ภายในห้องนอนกินรีที่บ้านกิจจา อังกูรนั่งดูเอกสารประวัติการรักษาของวาทิต โดยมีกินรีนอนหนุนไหล่อยู่ข้างๆ ดูไปครู่หนึ่งอังกูรออกอาการงง
“ในนี้บอกแค่ถึงวันที่วาทิตถูกส่งตัวไปกรุงเทพฯนี่”
“ปัญหาคือ เรื่องการไปรักษาตัวของคุณวาทิตที่กรุงเทพฯ เป็นความลับมาก ซึ่งทางโรงพยาบาลไม่สามารถเปิดเผยได้ค่ะ”
“เธอไม่มีเพื่อนหรือคนรู้จักทำงานที่โรงพยาบาลเหรอ”
“มีค่ะ แต่ตามจรรยาบรรณเขาก็ไม่บอกหรอกค่ะ”
คำตอบของกินรีทำเอาอังกูรยัวะ “นี่ให้ฉันถ่อมาหาเธอเพื่อจะบอกเรื่องที่ฉันรู้อยู่แล้วงั้นเหรอ”
อังกูรสะบัดแขนที่กินรีเลิกพิงไหล่พลางลุกขึ้น กินรีรีบลุกตามเดินไปหา
“อย่าเพิ่งโกรธสิคะ ถึงวิธีนี้จะไม่ได้ผล เราก็มีวิธีอื่นนะคะ”
“วิธีอะไร”
“จากยาของคุณวาทิตไงคะ ถ้าเรารู้รายละเอียดของยา เราก็จะรู้ว่าอาการอะไรของคุณวาทิตที่หาย และอะไรที่ยังเป็นอยู่”
อังกูรชะงักทันที หันกลับมามองหน้ากินรี
“จริงสิ เธอจะทำยังไง”
“นรีจะเอายาคุณวาทิตไปตรวจสอบ แค่นี้เองค่ะ”
อังกูรยิ้มออกมาอย่างมีหวัง กินรีดีใจเข้ามากอดประจบ
“งั้นเรารีบจัดการวันนี้เลยนะ”
“ต้องรีบขนาดนั้นเลยเหรอคะ”
“เราจะได้จัดการทุกอย่าง แล้วแยกมาอยู่ด้วยกันให้เร็วที่สุดไง”
กินรีได้ฟังก็ยิ้มดีใจ กระชับกอดอังกูรแน่นขึ้น
ไม่นานถัดมา อังกูรยืนรอที่รถตรงลานจอดของโรงพยาบาล กินรีเดินถือถุงยากลับมาหา
“ตกลงไอ้วาทิตมันเหลือกี่โรค”
“ไม่ทราบค่ะ”
อังกูรหงุดหงิดทันที “ไหนบอกว่าวีธีนี้ดีไง”
“ดีสิคะ เพราะตอนนี้เราก็ได้รู้ว่ายาทั้งหมดนี่ของปลอม”
อังกูรชะงัก “อะไรนะ”
“ยาทั้งหมดถูกทำเลียนแบบของจริงแค่ภายนอก รวมทั้งยาพ่นจมูกที่เป็นแค่น้ำเกลือ”
อังกูรประหลาดใจ “นี่แสดงว่าวาทิตมันหายจากสารพัดโรคของมันแล้วเหรอ เป็นไปได้ไง” ความโกรธประทุขึ้นมา เขาบีบแขนกินรีแน่น “นี่เธอเล่นตลกอะไรกับฉันหรือเปล่า”
“เปล่าค่ะ คนที่ตรวจยาก็เป็นเภสัชกรรุ่นพี่ของนรี ตอนที่นรีรู้นรีก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกัน แต่มานึกๆ ดู ตอนที่นรีวัดความดัน หัวใจและทุกอย่างของคุณวาทิต มันดีขึ้นเหมือนคนปกติเลยนะคะ”
อังกูรไม่เชื่อ “ยังไงก็เป็นไปไม่ได้ โรคหัวใจที่วาทิตเป็นมันไม่มีทางหายนี่”
“นรีว่าคุณกูรคงต้องไปเอาคำตอบที่พ่อเลี้ยงแล้วล่ะค่ะ”
สีหน้าอังกูรไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ได้รับรู้
ถัดจากนั้น อังกูรคุยหารือกับกิจจาและกินรีอยู่ในห้องนั่งเล่น บ้านกิจจา
“หรือว่าที่วาทิตหายดีแล้ว ไอ้พ่อเลี้ยงไม่ยอมบอกความจริง เพราะจะหลอกใช้กูรให้ทำงานไปเรื่อยๆ ที่วาทิตหายตัวไปนี่อาจจะเป็นแผนของมันก็ได้” กิจจาปรารภขึ้น
กินรีฉงน “แผนยังไงคะคุณพ่อ”
“ก็แผนเอาตัววาทิตไปเรียนรู้งานในไร่ โดยไม่ให้คนอื่นรู้ พอวาทิตเก่งพอที่จะทำงานได้ก็ถึงเวลาเขี่ยกูรทิ้ง”
“ถ้าเป็นแบบนั้น แล้วคิดว่าผมจะยอมง่ายๆ ล่ะก็ คิดผิดมหันต์เชียวแหละ ผมไม่ยอมเป็นควายให้ใครเสี้ยมเขาใช้แน่ๆ”
อังกูรจงใจฝากความนัยถึงกิจจาด้วย ซึ่งกิจจาก็พอจะรู้
“รู้ความจริงเรื่องวาทิตแบบนี้แล้วกูรจะเอายังไง”
“ยิ่งรู้ว่าไอ้วาทิตมันแข็งแรงดีแล้วแบบนี้สิครับดี ผมจะได้ทำอะไรแบบไม่ต้องยั้งมือ เพราะเห็นว่ามันป่วย ตอนนี้ที่ผมอยากรู้คือลุงเอาวาทิตไปหลบอยู่ที่ไหน แล้วทำไมต้องพาเมไปด้วย”
“พ่อเลี้ยงเขาอาจจะอยากให้เมอยู่ห่างๆ จากคุณกูรก็ได้ แล้วก็ไปใกล้ชิดกับวาทิตแบบไม่มีคนขวางแทน ใครจะไปรู้ว่า ไปอยู่ด้วยกันสองคนแบบนั้นแล้ว จะไม่เผลอตัวเผลอใจจนมีอะไรกัน”
กินรีเป่าหูซึ่งก็ได้ผล เพราะอังกูรกำหมัดแน่น กัดกรามด้วยความโกรธ
วันเดียวกันนี้ รถของพ่อเลี้ยงวิทย์แล่นออกไปจากบ้านท้ายไร่ สวนกับรถของอนุวัตรที่แล่นมาจอด อนุวัตรกับวารินเดินลงรถ แล้วรีบไปหาแรมที่ยืนอยู่หน้าบ้าน
“แม่ คุณลุงไปไหนแต่เช้า”
“คงไม่ได้ไปตลาดอีกนะครับ เดี๋ยวเจ๊บุษเข้าจะเป็นเรื่องขึ้นมาอีก”
“เปล่าหรอก พ่อเลี้ยงแกกลับเชียงใหม่ เพราะตอนนี้รุทรกับแฟนวาทิตหายตัวไป”
อนุวัตรตกใจ “มิน่า เมื่อวานผมโทรหามัน มันก็ไม่ตอบ”
“รุทรกับแฟนวาทิต จะไปร่วมงานกับโรงเรียนที่เคยบริจาคเครื่องดนตรีให้ แต่ยังไงไม่รู้ จนป่านนี้ยังติดต่อรุทรไม่ได้เลย”
วารินเป็นกังวล “แม่ รินห่วงพี่รุทร รินกลัวพี่รุทรจะมีอันตรายอีก”
“ไม่หรอกน่าริน รุทรมันเก่งออกยังไงมันก็ต้องเอาตัวรอดได้”
อนุวัตรพูดปลอบ แต่ลึกๆ เขาก็รู้สึกเป็นห่วงเพื่อนซะเอง ไม่น้อยว่าวารินและแรม
พอรถของพ่อเลี้ยงวิทย์แล่นออกมาจากบ้านท้ายไร่ผ่านบ้านแรม แล้วเลี้ยวซ้ายออกถนนไป เพียงแป๊บเดียวบุษบันก็ขับรถเข้ามาจอดที่บ้านแรม
บุษบันลงจากรถเดินเข้ามาที่บ้าน
“รุทรคะ รุทร อยู่หรือเปล่า รุทร แม่แรมคะ น้องริน” บุษบันเรียกเสียงแหลมปรี๊ด “นายหน้าลิง อยู่มั้ย”
ทุกอย่างเงียบ บุษบันเดินวนหาไปร้องเรียกไป แต่ไม่มีเสียงตอบรับ
“ไปไหนกันหมดบ้านช่องไม่รู้จักอยู่ อย่าให้รู้นะว่าช่วยกันพารุทรหลบหน้าบุษ ชิ”
บุษบันบ่นบ้าแล้วก็เดินกลับไปขึ้นรถขับออกไป
ด้านพ่อเลี้ยงขับรถมาตามทาง นึกได้ว่าจะโทรศัพท์หารุทรเพื่อถามข่าวเผื่อจะติดต่อได้ พ่อเลี้ยงควานหาโทรศัพท์แต่ไม่เจอ
“สงสัยจะลืมโทรศัพท์ไว้ที่บ้านท้ายไร่อีกแล้ว”
พ่อเลี้ยงวิทย์หักหน้ารถเลี้ยวกลับ
ขณะที่บุษบันขับรถออกมา สายตามองไปเห็นของที่ตั้งใจซื้อมาฝากรุทรวางอยู่ที่เบาะหลังก็หยุดรถ
“จะเอาไปวางไว้ให้รุทรดีหรือเปล่านะ ให้...ไม่ให้...ให้...ไม่ให้ ไม่ให้ดีกว่าเดี๋ยวเสร็จไอ้หน้าลิง รุทรอดกินกันพอดี”
บุษบันทำท่าจะออกรถสู่ถนนใหญ่ แต่ตาเหลือบไปเห็นรถพ่อเลี้ยงวิทย์จากกระจกมองหลัง แม่เลี้ยงสาวใหญ่จำได้รีบหันไปดู
“นั่นมันพ่อเลี้ยงวิทย์นี่ มาทำอะไรที่ไร่รุทร”
บุษบันมองตามรถของพ่อเลี้ยงที่เลี้ยวไปทางบ้านท้ายไร่ด้วยความสงสัย
แรมกำลังเตรียมอาหารเหลวที่จะเอาไปป้อนให้วาทิตอยู่ตรงโต๊ะ พ่อเลี้ยงวิทย์เดินเข้ามา แรมหันไปเห็นเข้าก็ถาม
“อ้าวพ่อเลี้ยง ลืมอะไรเหรอคะ”
“โทรศัพท์น่ะ อยู่นี่เอง” พ่อเลี้ยงบอกแล้วเดินไปหยิบโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะ
เสียงบุษบันดังขึ้น “ไม่ยักรู้ว่าพ่อเลี้ยงสนิทสนมกับแม่แรม ขนาดมีเซฟเฮ้าส์ไว้เจอกัน”
สองคนได้ยินเสียงบุษบันก็ตกใจหันไปดู พอเห็นบุษบันยืนอยู่ที่ประตูก็ยิ่งตกใจ อุทานลั่นพร้อมๆ กัน
“หนูบุษ”
“ใช่คู่บุษเอง พ่อเลี้ยงนี่ก็ร้ายนะคะ นึกว่าจะมีความลับอะไรที่แท้ก็มาแอบฟรุ้งฟริ้งกับแม่แรมนี่เอง”
“ไม่มี...” พ่อเลี้ยงวิทย์ขยับปากจะปฏิเสธ แต่แรมชิงพูดก่อน
“ไม่มีอะไรมากหรอกหนูบุษ ฉันกับพ่อเลี้ยงแค่นัดเจอคุยกันตามประสาคนแก่”
แรมรับสมยอมเพราะไม่อยากให้บุษบันรู้เรื่องแล้วพูดมากไป ในระหว่างนั้นแรมมองขึ้นไปข้างบนเป็นระยะๆ เพราะกลัวความเรื่องวาทิตจะแตก
บุษบันจับสังเกตอยู่ “แม่แรมดูมีพิรุธนะคะ ปิดบังอะไรบุษอยู่หรือเปล่า บนบ้านมีอะไร หรือว่ารุทรอยู่บนนั้น”
“อุ๊ย...ไม่มีอะไรหรอกจ้ะหนูบุษ รุทรเขาไปประชุมยังไม่กลับเลย”
“ประชุมอะไรกันนานเป็นชาติแบบนี้ ไม่มีอะไรแน่นะ ไม่มีก็ไม่มี งั้นหนูกลับละ สวัสดีค่ะแม่แรม สวัสดีค่ะพ่อเลี้ยง”
บุษบันยกมือไหว้ทั้งคู่ แล้วหันหลังเหมือนจะกลับ แรมกับพ่อเลี้ยงวิทย์ถอนหายใจโล่งอก แต่แล้วบุษบันก็ฉวยโอกาสที่สองคนเผลอหันกลับมาแล้วพรุ่งพรวดขึ้นบันไดไป
“หนูบุษอย่า”
แรมกับพ่อเลี้ยงร้องห้ามขึ้นมาพร้อมกัน แต่ไม่ทันเสียแล้ว
อนุวัตรกำลังพยายามโทรศัพท์หารุทรอยู่ บุษบันวิ่งพรวดขึ้นมาหน้าห้องพักฟื้นวาทิต และทำท่าจะเข้าไป อนุวัตรรีบพุ่งเข้ามากัน
“จะไปไหนเจ๊”
“รุทรอยู่ในห้องนี้ใช่มั้ย อยู่กับใคร หลีกไปนะไอ้หน้าลิง ฉันจะเข้าไปดู”
บุษบันดึงดันจะเข้าไปข้างในแต่อนุวัตรยืนกางแขนกันอยู่
“ไอ้รุทรมันจะอยู่ได้ยังไงล่ะเจ๊ ก็มันไปประชุมที่กรุงเทพฯ”
“มุกมันซ้ำหลายรอบแล้วนะไอ้หน้าลิง ทำไมต้องทำลับลมคมในกันขนาดนี้ด้วย”
พ่อเลี้ยงวิทย์กับแรมตามขึ้นมาเห็นว่าอนุวัตรกันบุษบันเอาไว้ได้ก็โล่งอก วารินเปิดประตูห้องออกมาพอดี
“พี่วัตรโวยวายอะไรเสียงดังไปถึงข้างใน ว๊าย...อะไรเนี่ย”
วารินถามไม่ทันระวัง บุษบันเลยฉวยโอกาสผลุบเข้าไปในห้อง
“เฮ้ย”
อนุวัตรร้องได้แค่นั้น ทั้งหมดรีบตามบุษบันเข้าไปในห้องเป็นพรวน
ครั้นพอบุษบันเข้ามาในห้อง เห็นวาทิตนอนเป็นผักอยู่บนเตียงผู้ป่วยก็ชะงัก ทุกคนที่ตามเข้ามาเบรกแทบไม่ทัน บุษบันค่อยๆ เดินเข้ามาหาวาทิตที่นอนอยู่บนเตียง น้ำตาคลอเสียใจ เพราะเข้าใจว่าเป็นรุทร แล้วหันมาโมโหใส่ทุกคน
“ทำไมทุกคนต้องปิดบังบุษด้วย รุทรนอนป่วยอยู่แบบนี้ทำไมไม่มีใครบอกบุษเลย”
บุษบันทรุดตัวลงนั่งข้างเตียงวาทิต มองด้วยความเสียใจและห่วงใย
“โถ รุทร ทูนหัวของบุษ รุทรเป็นอะไรคะ”
บุษบันคร่ำครวญ
พ่อเลี้ยงวิทย์ แรม และวาริน มองหน้ากัน สุดท้ายทุกสายตามองไปยังอนุวัตรเป็นเชิงบอกว่าให้เป็นคนคุยกับบุษบัน
“เป็นผัก” อนุวัตรบอกสั้นๆ
“อ๋อ..เป็นผัก” บุษบันอึ้ง จนพอรู้สึกตัวก็โวยวายใส่อนุวัตร “หมายความว่าไงยะไอ้หน้าลิง”
“ก็ไอ้รุทรมันป่วยหนักนอนเป็นผักอยู่เนี่ย ผมไม่บอกเจ๊เพราะกลัวเจ๊จะเสียใจ”
อนุวัตรแอบเอานิ้วไขว้กัน เพื่อจะได้โกหกได้สะดวกใจ
“โธ่รุทร ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้ นี่บุษจะต้องมีสามีนอนเป็นผักเหรอเนี่ย”
บุษบันคร่ำครวญหนักขึ้น ทุกคนมองบุษบันแล้วก็ส่ายหน้าระอา
ถัดมาบุษบันเดินออกมาจากบ้านท่าทางหงอยๆ อนุวัตรเดินตามมาด้วยความเป็นห่วง
“นี่เจ๊รักไอ้รุทรมันมากขนาดนี้เลยเหรอ”
“รุทรน่ะคือรักแรกของฉัน”
“ได้ข่าวว่าเจ๊มีสามีมาแล้วรอบนึงไม่ใช่เหรอ” อนุวัตรท้วง
“ฉันเคยบอกแกเหรอไอ้หน้าลิงว่าฉันรักเถ้าแก่ผัวฉันน่ะ”
บุษบันแหวใส่ อนุวัตรได้แต่ทำปากเบะๆ
ส่วนบุษบันใจลอยเดินไปที่รถจะกลับบ้าน แต่ดันเดินไปที่รถของพ่อเลี้ยงวิทย์ที่จอดใกล้ๆ กัน
“เจ๊ รถเจ๊คันนี้ไม่ใช่เหรอ นั่นมันรถพ่อเลี้ยง ตอนมามากระบะขากลับจะล่อเบ๊นซ์ซะแล้ว ไหวมั้ยเนี่ยเจ๊”
อนุวัตรแหย่ แต่แฝงไว้ด้วยความเป็นห่วงเป็นใย
ยามเย็น เมทินีนอนหลับเพราะพิษไข้อยู่ เจ้ากุ๊กกู๋เดินเข้ามาเอาจมูกดุนๆ จนเมทินีลืมตาขึ้นมาเห็นกุ๊กกู่ก็ยิ้ม
“กุ๊กกู๋ น่ารักจังเลยมาปลุกฉันด้วย”
เมทินีมองไปรอบๆ ไม่เห็นมีคนอื่นอยู่ จึงลุกเดินออกมาหน้าบ้าน เจ้ากุ๊กกู๋เข้ามาคลอเคลีย เมทินีทรุดตัวลงนั่งและกอดเอาไว้
“แกเป็นห่วงฉันด้วยเหรอกุ๊กกู๋ แกเป็นหมูยังรู้จักห่วงฉัน ดีกว่าคนบางคนอีกนะ”
เมทินีพูดกับกุ๊กกู๋อย่างน้อยใจ แต่สายตาเห็นถาดอาหารที่รุทรทำวางไว้ให้ก็ยิ้มออกมา และพอดีกับเสียงของวาโพดังเข้ามา
“ถ้าคุณหมายถึงคุณวาทิตล่ะก็เขาไปที่น้ำตก”
เมทินีสงสัย “หืม...ทิ้งฉันอยู่คนเดียวแล้วตัวเองไปว่ายน้ำเล่นที่น้ำตกเนี่ยนะ”
วาโพนั่งคุยกับเมทินีอยู่ที่ใต้ถุนบ้านผู้ใหญ่
“ไม่ใช่นะ เขาไปซักเสื้อผ้า”
เมทินีตกใจ “ห๊า วาทิตเนี่ยนะซักผ้า”
“ใช่จ้ะ ก็เมื่อวานคุณทำเสื้อผ้าตกน้ำหมด เห็นคุณวาทิตว่ากลัวจะเป็นราก็เลยเอาไปซักให้”
เมทินีจ๋อย “อ๋อเหรอ”
“คุณวาทิตน่ะเขาดีมากนะ ทั้งต้มยา แล้วเช็ดเนื้อเช็ดตัวคุณตลอดเวลาที่ไข้ขึ้น นี่ยังไปซักเสื้อผ้าให้อีก น่าได้เป็นผัวจริงๆ คุณว่าไหม”
เมทินีฟังแล้วเขิน “แหม ขนาดนั้นเลยเหรอ ไม่เอาแล้ว ฉันไปหาวาทิตก่อนนะ”
เมทินีเดินออกไป วาโพมองค้อน ด้วยความหมั่นไส้ มั่นใจยิ่งขึ้นว่าเมทินีกับรุทรต้องมีใจให้กัน
เมทินีเดินมาตามทางริมน้ำตก จนเห็นรุทรยืนหันหลังซักเสื้อผ้ากับน้ำตกอยู่ เมทินีหยุดแอบมองแล้วยิ้มปลื้ม แต่สักพักเมทินีก็ต้องเหวออ้าปากค้าง เมื่อเห็นรุทรหยิบเสื้อชั้นในของเมทินีออกมาแล้วยกขึ้นดูอย่างพิจารณา เมทินีตกใจมากเผลอร้องกรี๊ดออกมา
“อ๊าย วาทิต เธอทำอะไรเนี่ย”
รุทรตกใจหันมามอง เมทินีแม้จะไม่มีแรง แต่ก็พยามรีวิ่งลงไปหารุทร แล้วดึงเสื้อชั้นในจากมือเขามาทันที
“เธอกำลังคิดลามกอะไรอยู่วาทิต”
“เฮ้ย ทำไมมาว่าผมอย่างนั้นล่ะ”
“ก็ฉันเห็นนี่ว่าเธอ เธอกำลังจ้องเสื้อในฉันอยู่”
“ใช่ ผมจ้อง แต่ผมกำลังดูว่าเสื้อพวกนี้เขาซักกันยังไง เพราะของเมมันเล็กกระจิ๋วหลิ๋วแบบนี้”
เมทินีรีบปิดหน้าอกตัวเองด้วยความอายที่รุทรมาพูดเรื่องขนาด
“เอ่อ...ผมหมายถึงว่าเสื้อมันตัวเล็ก”
เมทินีเดินไปหยิบเสื้อผ้าของตัวเองแยกออกมา
“เอาเป็นว่าของฉัน ฉันซักเอง ว่าแต่เธอคิดไงมาซักเสื้อผ้า ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเธอจะคิดทำแบบนี้”
“ซักผ้าน่ะเหรอ”
“ใช่ คนอย่างเธอไม่น่าจะทำ”
“เอ่อ...เม เวลาผมอยู่บ้านผมไม่ทำเพราะมีคนทำให้ แต่เรามาอยู่แบบนี้ เมก็ไม่สบาย ถ้าผมไม่ทำใครจะทำ แล้วเมน่ะหายไข้แล้วเหรอ”
เมทินีพยักหน้ารับ “ดีขึ้นมากแล้ว”
รุทรจะเดินมาจับหน้าผาก เมทินีทำท่าจะหลบแต่รุทรจับตัวไว้ เอามืออังหน้าผาก
“ตัวเย็นลงแล้ว ยาพื้นบ้านของวาโพนี่ก็ดีนะ ห่อเดียวเอาอยู่ เป็นอันว่าเมจะซักผ้าเองใช่ไหม งั้นก็นั่งซักตรงนี้ด้วยกันนะ”
รุทรลงนั่งซักผ้า เมทินีก็ซักของตัวเอง
“ฉันนี่แย่นะ เมื่อคืนก็เมาไม่ได้สติ เช้านี้ยังมาป่วยให้เธอลำบากอีก”
“ไม่เป็นไรหรอก ผมไม่ได้ลำบากอะไร”
รุทรเหลือบมองเมทินี ก่อนจะตัดสินใจถามเรื่องเมื่อคืนอีกครั้ง
“เอ่อ...เม” เมทินีมองรุทรรอฟัง “เรื่องเมื่อคืนเมจำได้บ้างไหม”
เมทินีหลบตาวูบ อึกอักไม่กล้าตอบ “เอ่อ...จำไม่ได้หรอก”
“ก็ดีแล้วที่เมจำไม่ได้ เพราะว่าเม...”
รุทรจ้องมองเมทินีนิ่ง เมทินีมองลุ้นรอฟังกลัวรุทรพูดเรื่องที่จูบกันตอนเมาเมื่อคืน
รุทรนิ่งคิดอีกครู่หนึ่งแล้วบอกว่า “ไม่มีอะไรหรอกผมล้อเล่น”
เมทินีโล่งใจ เอาผ้าที่เปื้อนฟองผงซักฟอกตีไปที่รุทรจนฟองกระจาย รุทรเลยเอามั่ง ทั้งคู่เลยตีกันฟองผงซักฟอกฟุ้งเต็มไปหมด
ซักเสื้อผ้าเสร็จ สองคนเดินคุยกันมาตามทาง รุทรเป็นคนถือตะกร้าผ้า
“ชีวิตที่นี่ก็เรียบง่ายดีนะ เมว่ามั้ย”
“นั่นสิ ไม่วุ่นวาย ไม่ต้องคิดอะไรมาก”
“เดี๋ยวพอรถซ่อมเสร็จ เราก็ต้องกลับไปเจอความวุ่นวายสับสนแบบคนเมืองเหมือนเดิม”
“นั่นสิเนอะ เธอพูดเหมือนกับว่าไม่อยากกลับยังงั้นแหละวาทิต”
เมทินีมองหน้าวาทิตเป็นคำถาม อยากให้เขาเป็นคนพูดออกมาก่อน
“อยากกลับสิทำไมจะไม่อยาก ป่านนี้ที่บ้านเขาคงตามหาเรากันให้ควักแล้ว คุณล่ะเม อยากกลับมั้ย”
รุทรถามหยั่งเชิงมั่ง
“ฉันก็อยากกลับ คิดถึงคนทางบ้านจะแย่แล้ว”
“งั้นผมจะรีบซ่อมรถให้เสร็จเร็วๆ เมจะได้กลับไปเจอคนที่เมอยากเจอ”
รุทรงอนแอบคิดไกลไปถึงอังกูรโน่น เพราะความหึง
เมทินีไม่ทันคิด จึงยิ้มให้รุทรเป็นเชิงขอบใจ ก่อนจะหันมองบรรยากาศรอบๆ เหมือนจะซึมซับรับเอาไว้ในความทรงจำ
รุทรคิดไปเองว่าเมทินียอมรับว่าคิดถึงอังกูร ก็เลยยิ่งงอนเข้าไปใหญ่
อ่านต่อหน้า 2
เงาใจตอนที่ 13 (ต่อ)
ทันทีที่รถพ่อเลี้ยงวิทย์แล่นเข้ามาจอดหน้าตึกใหญ่ในตอนเย็น เอื้องคำที่รออยู่วิ่งมารับ รายงานด้วยสีหน้าตื่นเต้น
“พ่อเลี้ยงคะ เอ่อ...คุณวาทิตกับคุณเมหายไปค่ะ”
“ฉันรู้แล้ว ยังติดต่อเขาไม่ได้”
“จะทำยังไงดีล่ะคะ ฉันเป็นห่วงคุณวาทิต ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรไม่ดีขึ้นหรือเปล่า เราแจ้งตำรวจดีไหมคะ” เอื้องคำห่วงวาทิตของเธอมาก
“อย่าเพิ่งเลย”
เอื้องคำแปลกใจมาก “ทำไมล่ะคะ นี่หายเกิน 24 ชั่วโมงแล้วนะคะพ่อเลี้ยง”
“เอาน่าเอื้องคำ เดี๋ยวฉันจัดการเอง”
มีรถแล่นเข้ามาจอดข้างๆ รถพ่อเลี้ยง ชายชื่อประสิทธิ์ซึ่งเป็นนักสืบลงมาจากรถยกมือไหว้พ่อเลี้ยง
“สวัสดีครับพ่อเลี้ยง ผมวางโทรศัพท์จากพ่อเลี้ยงก็รีบมาทันทีเลยครับ”
“ขอบใจมากประสิทธิ์ ไป ไป คุยกันที่ห้องทำงานผม ฉันจะคุยธุระสำคัญอย่าให้ใครไปรบกวนนะ”
พ่อเลี้ยงวิทย์สั่งเอื้องคำแล้วก็เดินนำประสิทธิ์เข้าไปในบ้าน
อังกูรรอจังหวะอยู่ เดินตรงเข้ามาหาเอื้องคำ
“ใครมาหาคุณลุงน่ะเอื้องคำ”
“ไม่ทราบค่ะคุณกูร พ่อเลี้ยงบอกว่าจะคุยธุระสำคัญห้ามใครไปกวน”
เอื้องคำรีบบอก อังกูรมองตามไปอย่างไม่ไว้ใจ ว่าลุงวางแผนทำอะไรอยู่
พ่อเลี้ยงวิทย์กับประสิทธิ์นั่งคุยกันอยู่ที่โต๊ะทำงานพ่อเลี้ยงในบ้าน
“ได้เรื่องยังไงบ้าง”
“ข้อมูลสุดท้ายที่ผมได้มาคือคุณวาทิตกับคุณเมแวะซื้อกาแฟที่ร้านริมทาง พอดีเป็นร้านเล็กๆ เลยไม่มีกล้องวงจรปิด แต่เจ้าของร้านเห็นรูปแล้วยืนยันว่าใช่จำได้แม่น เพราะทั้งสวยทั้งหล่อกันทั้งคู่ เห็นเขาบอกว่าพอซื้อกาแฟกันเสร็จ แล้วก็ย้อนกลับไปทางสี่แยกเพื่อไปฝาง หลังจากนั้นก็ไม่มีข้อมูลอะไรอีกเลยครับ”
พ่อเลี้ยงวิทย์หน้าเครียดถนัดตา “วาทิตกับหนูเมจะเป็นอะไรหรือเปล่านะ ผมละห่วงจริงๆ”
“คิดว่าน่าจะแค่หลงทางครับ เพราะผมเช็คข่าวกับพวกตำรวจทางหลวง ตำรวจท้องที่แล้ว ไม่มีเรื่องอุบัติเหตุหรือว่าอะไร พ่อเลี้ยงวางใจได้ครับ”
“ยังไงผมก็ฝากช่วยตามเรื่องต่อให้ด้วยนะ ถ้ามีอะไรคืบหน้าล่ะก็รีบแจ้งผมทันทีเลย จะเวลาไหนไม่สำคัญโทร.เข้ามือถือผมได้ตลอด”
“ครับพ่อเลี้ยง”
ชายชราถอนหายใจลึกๆ สีหน้ากังวลไม่คลาย
อังกูรเดินมาหน้าห้องทำงานพ่อเลี้ยงพอดีกับที่ประสิทธิ์เปิดประตูออกมา ประสิทธิ์ยิ้มพร้อมกับก้มหัวทักอังกูร
“มาหาคุณลุงเหรอครับ”
“ครับ”
“ผมชื่ออังกูรครับ เป็นหลานคุณลุง มีเรื่องอะไรกันเหรอครับ เกี่ยวกับวาทิตน้องผมหรือเปล่า”
อังกูรถามตีสีหน้าเป็นห่วง
“รบกวนคุณอังกูรเรียนถามพ่อเลี้ยงเองดีกว่าครับ ผมขอตัวก่อนนะครับ”
ประสิทธิ์บอกแล้วรีบเดินเลี่ยงออกไปเลย
อังกูรมองตามไปอย่างหัวเสียที่หลอกถามความลับไม่สำเร็จ หันกลับมามองประตู
อังกูรเปิดประตูห้องทำงานเข้ามา พ่อเลี้ยงวิทย์เงยหน้าขึ้นมอง
“เอื้องคำไม่ได้บอกเหรอว่าลุงไม่อยากให้ใครมารบกวน” พ่อเลี้ยงวิทย์ถามเสียงเข้ม
“บอกครับ แต่ผมคงต้องรบกวนคุณลุงเพราะผมอยากรู้ว่าวาทิตกับเมหายไปไหน แล้วทำไมคุณลุงไม่ยอมแจ้งความ”
“ถ้าลุงรู้ว่าวาทิตกับหนูเมหายไปไหน ลุงคงให้คนไปพาตัวกลับมาแล้ว เรายังไม่รู้เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้นแล้วจะไปแจ้งความได้ยังไง”
“น้องชายผมหายทั้งคนนะครับ”
“แต่นั่นน่ะลูกลุงนะ ลุงอยากรออีกสักหน่อย”
อังกูรหยั่งเชิง “นี่ถ้าเป็นเมื่อก่อนวาทิตหายไปสักชั่วโมง คุณลุงคงวิ่งตามหาให้วุ่นแล้ว แต่คราวนี้
ทำไมคุณลุงใจเย็น หรือเห็นเรื่องคนหายเป็นเรื่องเล่น หรือไม่ก็เล่นเอง”
“แกพูดอย่างนี้หมายความว่าไง”
สองลุงหลานจ้องหน้ากัน อังกูรยิ้มมีเลศนัยให้
“ผมกำลังสงสัยว่าคุณลุงกำลังวางแผนทำอะไรอยู่ครับ”
“ฉันไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น”
“ถ้างั้นก็แจ้งความสิ ผมแจ้งให้ก็ได้”
อังกูรหยิบโทรศัพท์ที่โต๊ะทำงานของพ่อเลี้ยงมาจะกด แต่อีกฝ่ายกระชากโทรศัพท์ออกแล้วตบหน้าอังกูรจนหน้าหัน
“ก่อนที่จะมาสงสัยฉัน ระวังเรื่องตัวแกเองดีกว่า ทำอะไรไว้ปิดให้สนิทนะ ถ้ามีคนเปิดเจอแกจะแย่”
อังกูรจ้องหน้าสู้สายตาไม่เกรงกลัว “ขอบคุณที่เตือนครับ ถ้าผมปิดอะไรไม่สนิท ผมจะจัดการไอ้คนมาเปิด ถ้าไม่เชื่อคุณลุงคอยดูนะครับ”
พ่อเลี้ยงวิทย์กับอังกูรจ้องหน้ากันด้วยความคับแค้นขุ่นข้องหมองใจในกันและกัน แล้วอังกูรก็เดินหุนหันออกไป
กิจจาได้ฟังจากอังกูรที่มาฟ้องถึงบ้านแล้วก็ทำทีเป็นโกรธแทน
“นี่ถึงกับตบหน้ากันเลยเหรอ เห็นไหม ลุงบอกแล้ว ไอ้วิทย์น่ะมันเจ้าเล่ห์ ลุงว่าการที่ไอ้วาทิตกับเมหายไป ไอ้วิทย์มันต้องมีแผนอะไรอีกแน่ๆ”
“คุณอาคิดว่าคุณลุงจัดฉากให้วาทิตกับเมหายไปเหรอครับ”
“แน่นอน ป่านนี้มันคงให้วาทิตกับเมไปรับโอนสมบัติที่ไหนสักแห่งก็ได้ มันไม่เห็นหัวกูรอยู่แล้วนี่”
อังกูรฟังแล้วก็โกรธจัดทุบโต๊ะอย่างแรง กิจจารีบยุต่อ
“กูร ไอ้วิทย์มันเห็นกูรเป็นแค่คนใช้ ขนาดลูกมันแข็งแรงมันยังแกล้งให้อ่อนแอเพื่ออะไร ก็เพื่อจะให้กูรทำงานให้มันไง กูรอย่ายอมมันนะ”
“ไม่มีทางหรอกครับ ผมจะต้องหาทางกำจัดพวกมันทั้งพ่อทั้งลูกให้ได้”
กิจจายิ้ม “กูรคิดจะทำอะไร”
อังกูรไม่ตอบอะไร เพียงยิ้มเหี้ยมออกมา
อังกูรเดินมาจะขึ้นรถ กินรีเดินตามมาเรียก “ทำไมคืนนี้ไม่ค้างล่ะคะ”
“ไม่ล่ะ ฉันอยากกลับไร่”
อังกูรจะเปิดรถ กินรีมายืนขวางแล้วกอดอังกูร
“ค้างกับนรีนะคะ นรีอยากนอนกอดคุณกูร”
อังกูรรำคาญผลักกินรีออก ไม่แยแส
“นรี วันนี้ฉันอารมณ์ไม่ดี ไว้เจอกันคราวหน้าแล้วกัน”
อังกูรขึ้นรถขับออกไปเลย กินรีมองตามทั้งโกรธและน้อยใจ
โดยที่หน้าต่างห้องรับแขกกิจจายืนดูอยู่
กินรีเดินหน้าตึงเข้าบ้านมา แล้วจะเดินขึ้นข้างบน กิจจาเดินมาหา
“อารมณ์เสียอังกูรใช่ไหม”
“นรีเคยถอยออกมาแล้ว แต่ในเมื่อคุณกูรมาดึงนรีกลับไปหาเขาเอง เพราะฉะนั้นเขาจะมาทิ้งๆ ขว้างๆ นรีไม่ได้”
“ดีมากนรี แบบนี้สิถึงจะเป็นลูกของพ่อ”
กิจจาลูบหัวลูกสาวคนเดียวอย่างถูกอกถูกใจ กินรียิ้มร้ายมุ่งมั่นไม่ยอมแพ้อีกแล้ว
อีกฟาก รุทรเดินมานั่งสังสรรค์กับกะเวน วาโพและชาวบ้านที่หน้าเรือนผู้ใหญ่ มีชาวบ้านกลุ่มหนึ่งนั่งเล่นกีตาร์ร้องเพลงไปด้วย แต่เล่นกันแบบมั่วๆ
“แม่หญิงนอนแล้วเหรอ” กระเวนถามขึ้น
“เค้ายังไม่ง่วงหรอก แต่ผมบอกให้นอน เพิ่งหายไข้ควรนอนเยอะๆ”
กลุ่มที่เล่นกีตาร์เริ่มร้องเพลงเร็วขึ้น และมีคนลุกเต้น แต่รุทรฟังแล้วแปลกๆ
“นี่เป็นเพลงของที่นี่เหรอ”
“ใช่จ้ะ ไอ้ซ่างมันกำลังหัดเล่นกีตาร์เลยเอามาลองเล่นดู” กระเวนบอก
“ผมว่าคอร์ตมันน่าจะผิดนะ เสียงมันฟังแล้วเพี้ยนๆ”
“คุณเล่นเป็นเหรอ” วาโพทึ่ง
“ก็พอได้”
“งั้นเล่นให้ฟังหน่อยสิ ฉันอยากฟัง” วาโพดี๊ด๊า
“แต่ผมไม่ได้เล่นนานพอควรแล้วนะครับ”
“ไม่เป็นไร เล่นเถอะนะๆๆ” วาโพคะยั้นคะยอ
กะเวนแดกดันด้วยความหมั่นไส้ “เล่นให้วาโพมันฟังหน่อยแล้วกัน เดี๋ยวคืนนี้มันจะนอนไม่หลับ”
“ก็ได้ครับ”
เมทินีนอนไม่หลับกระสับกระส่าย กลิ้งไปกลิ้มมา สุดท้ายก็ลุกขึ้น
“สงสัยนอนไปเยอะแล้ว”
เมทินีนั่งกอดเข่าเซ็งอยู่ แล้วหูก็ได้ยินเสียงกีตาร์เพลงหนึ่งดังเข้ามาก็สงสัย
“ไม่ใช่เพลงพื้นเมืองที่นี่นี่”
เมทินีลุกเดินออกจากห้องมองไปที่ลานหน้าเรือนผู้ใหญ่บ้าน เห็นรุทรนั่งเล่นกีตาร์ มีกะเวน วาโพและชาวบ้านล้อมวงฟัง เมทินีเขม้นมองด้วยสีหน้าสงสัย
“วาทิตเล่นกีตาร์ด้วยเหรอ”
รุทรนั่งร้องเพลงให้ทุกคนฟัง โดยไม่มีใครรู้ว่าเมทินีเดินมายืนฟังจากด้านหลัง
วาโพฟังแล้วซาบซึ้งแทบจะไหลไปหารุทร จนกะเวนต้องคอยดึงคอเสื้อเรียกสติ สาวๆ หลายคนที่นั่งฟังด้วยก็อายบิดไปบิดมา พอรุทรร้องจบทุกคนปรบมือชอบใจ วาโพหันไปเห็นเมทินีก็เลยทัก
“อ้าว คุณเมไม่นอนเหรอ”
รุทรตกใจหันขวับไปก็เจอสายตาเมทินีจ้องเขม็ง รุทรอึ้งทำอะไรไม่ถูก รีบส่งกีตาร์คืนเจ้าของ
“ร้องอีกสักเพลงสิ” กระเวนบอก
“เอ่อ...พอดีกว่า ผมเล่นได้เพลงเดียวครับ”
เมทินีเดินเข้ามารวมกลุ่มทันที
“ไม่ยักรู้ว่าเธอเล่นกีตาร์ได้....ดีมาก”
“เอ้า คุณสองคนดูเป็นเพื่อนสนิทกัน ไม่รู้ว่าเพื่อนเล่นกีตาร์ได้เหรอ” วาโพแย้ง ท่าทางแปลกใจ
เมทินีส่ายหน้า “เท่าที่รู้ตั้งแต่เด็กเค้าเล่นเปียโนอย่างเดียว”
“จริงๆ ผมก็หัดเล่นกีตาร์ด้วย แต่ชอบเปียโนมากกว่า”
“เหรอ” เมทินียิ้มประชด “ฉันเพิ่งรู้นะเนี่ย”
รุทรกลบเกลื่อน “โธ่ เม ถ้าทำได้ผมอยากเล่นให้ได้ทุกเครื่องทุกประเภทด้วยซ้ำ”
รุทรทำเป็นยิ้มมั่นใจ เมทินีอดสงสัยไม่ได้แต่ก็ต้องจำใจเชื่อไปก่อน
รุทรแกล้งหาว “รีบไปนอนกันเถอะ พรุ่งนี้ต้องตื่นไปซ่อมโรงเรียนอีกนะ”
“จริงด้วย” กระเวนเห็นด้วยบอกกับทุกคน “ไปๆ วันนี้แยกย้ายกันพรุ่งนี้ต้องไปช่วยคุณสองคนซ่อมโรงเรียน”
ทุกคนแยกย้ายกันไปนอน รุทรเดินนำเมทินีไปทันที
เช้านี้ ที่บริเวณหน้าตึกคณะเกษตร วารินนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โต๊ะประจำ ไมตรีเดินมาแล้วลังเลจะนั่งด้วยดีไหม จนวารินที่อ่านหนังสือรู้สึกตัวจึงเงยหน้ามอง ก็เห็นไมตรียิ้มเจื่อนๆ ให้ แล้วลงมานั่งด้วย
“อ่านหนังสือสอบเหรอ”
ไมตรีถามแบบแก้เก้อ วารินนั่งนิ่งอ่านหนังสือต่อ ไมตรีรู้สึกใจไม่ดี
“วาริน....ฉัน...”
วารินปิดหนังสืออย่างอารมณ์เสีย แล้วจะลุกไปไมตรีรีบเรียกไว้
“เธอจะไปไหน”
วารินหันมาจ้องหน้าท่าทีโกรธอยู่ “เธอจะเอายังไงอีก เราต่างคนต่างอยู่ไม่ใช่เหรอ”
ไมตรีอึ้ง “เธอคิดแบบนั้นจริงๆ เหรอวาริน”
“ฉันคิดว่ามันเป็นเรื่องจริง ตั้งแต่ตอนที่เธอขี่มอเตอร์ไซค์ออกไป ทิ้งให้ฉันอยู่บนถนนคนเดียวนั่นแหละ”
วารินบอกด้วยน้ำเสียงตัดพ้อต่อว่า ทั้งโกรธทั้งน้อยใจ
“ฉันขอโทษ...”
ไมตรีพูดยังไม่ทันจบ เสียงโทรศัพท์ของวารินก็ดังขึ้น วารินกดรับสายเบื่อๆ
“ว่าไงพี่วัตร ยังหรอก ของรินมีสอบบ่าย เหรอ...ตามใจสิ”
วารินพูดโทรศัพท์ไปด้วย แล้วเดินออกจากตรงนั้นไปเลย ไมตรีได้แต่มองตามด้วยความรู้สึกผิด
ที่โรงอาหารคณะ อนุวัตรวางจานลูกชิ้นกับชาเย็นลงตรงหน้าวาริน แต่อีกฝ่ายไม่ยอมแตะเอาเลย
“ไม่กินจริงๆ เหรอ ไหนเคยคุยว่าลูกชิ้นเจ้านี้ของมหาลัยรินอร่อยกว่าของมหาลัยพี่ไง”
“รินกินจนเบื่อแล้ว”
อนุวัตรจ้องหน้าวาริน “เบื่อลูกชิ้นหรือเบื่ออะไร”
“พี่วัตรไม่ต้องแซวหรอก คนกำลังเครียด” พอพูดคำนี้ไปอนุวัตรก็ยิ่งจ้องหน้า วารินต้องกลบเกลื่อน “คือรินจะสอบไงก็ต้องเครียด”
“ดี งั้นก็เครียดให้เต็มที่เลย แล้วสอบเสร็จกี่โมงล่ะ”
“บ่ายสาม ทำไมเหรอพี่วัตร”
“ก็พี่ประชุมเสร็จแล้ว ไม่รู้จะไปไหน เดี๋ยวรอรับรินกลับเลยแล้วกัน”
วารินไม่อยากให้รอ “ไม่ต้องรอหรอกพี่วัตร รินกลับเองดีกว่า”
“ไม่เป็นไร พี่ก็เตร็ดเตร่แถวนี้ได้”
“รินจะติวกับเพื่อนวิชาอื่นอีก พี่วัตรกลับไปเลยนะ จะได้ไปอยู่เป็นเพื่อนแม่ด้วยไง”
“งั้นก็ได้”
อนุวัตรรับปากแต่ก็แอบมองเหล่วารินด้วยความสงสัย
บ่ายนั้น ไมตรีนั่งทำข้อสอบภาษาอังกฤษอย่างมั่นใจ ท่าทางมีความสุขเพราะครั้งนี้ทำได้ วาริน แต ฝ้าย และนักศึกษาอื่นนั่งสอบอยู่ในห้องด้วย นักศึกษาบางส่วนเริ่มทำข้อสอบเสร็จแล้วลุกไปส่ง รวมทั้งแตกับฝ้าย
วารินทำข้อสอบเสร็จแต่ยังไม่ลุก แอบดูไมตรีที่นั่งห่างไปไกลด้วยความเป็นห่วง แต่พอเห็นไมตรีนั่งทำข้อสอบอย่างสบายใจเลยนึกหมั่นไส้เพราะรู้ดีว่าวีด้าเป็นคนติวให้ จึงเดินไปส่งข้อสอบ
วาริน แต และฝ้าย เดินลงมาที่หน้าตึกด้วยกันพร้อมๆ กับนักศึกษาที่สอบเสร็จ
“ไปริน พรุ่งนี้มีสอบสองวิชา รีบกลับไปอ่านหนังสือกันเถอะ”
วารินมีท่าทีเบื่อๆ “เธอสองคนกลับไปก่อนเถอะ”
แตงง “แล้วเธอจะอยู่ทำไม”
วารินนึกหาเหตุผล “เอ่อ...อ๋อ...พี่วัตรบอกจะมารับ”
แตกับฝ้ายพยักหน้ารับรู้ แล้วโบกมือลาเดินแยกไป
อนุวัตรซึ่งขับรถมาจอดอีกมุมหน้าตึก ลงจากรถจะเดินไปหาวาริน
“ริน กลับยัง”
“พี่วัตรยังอยู่อีกเหรอ”
อนุวัตรตกใจ “เอ้า ยังอยู่สิ จะให้ตายหรือไง”
วารินเซ็ง “ไม่เล่นมุกนะ”
อนุวัตรจ๋อยที่โดนเบรกหน้าทิ่ม แต่ก็ยิ้มเอ็นดูวาริน
“เป็นอะไร ทำข้อสอบไม่ได้เหรอ”
“เปล่า”
อนุวัตรมองประเมิน อมยิ้มรู้ทัน “กลุ้มใจเรื่องเพื่อนของเพื่อนใช่ไหม”
“ก็...ก็...ประมาณนั้น” วารินพูดไม่ออก
“รินไปบอกเพื่อนคนนั้นเขานะว่า ถ้าเขารู้ตัวว่าขาดเพื่อนคนที่เขาโกรธไปแล้วไม่มีความสุข ก็ไปตามเขากลับมาเป็นเพื่อนให้ได้”
“แต่เพื่อนรินเขายังแปรรูปความรู้สึกเป็นเพื่อนไม่ได้อ่ะสิ”
“ถ้ามันแปรรูปไม่ได้ ก็ให้เขายอมรับความจริงไปเลยแล้วกันว่าเรารักเค้า เพียงแต่เราจะไม่ทำอะไรที่ไม่ดีที่ไปทำลายเขากับคนรัก รินคิดว่าเพื่อนรินทำได้ไหม”
“คงยากนะ”
“ลองทำดูก่อนแล้วค่อยบอกว่ายากหรือไม่” อนุวัตรว่า
“ก็ได้ ขอบคุณนะพี่วัตร งั้นรินไปบอกเพื่อนก่อนนะ”
วารินตัดสินใจจะเดินไปแล้วนึกได้รีบหันกลับมาหาอนุวัตร
“แต่พี่วัตรรู้ใช่ไหมว่า เป็นเรื่องของเพื่อนริน”
“เออ พี่รู้...ใครจะไปคิดว่าเป็นเรื่องของรินล่ะ รีบไปเถอะ เดี๋ยวพี่จะรอรับกลับบ้านนะ”
วารินมองงงๆ ว่าอนุวัตรเชื่อแน่หรือเปล่า อนุวัตรโบกมือไล่ให้ไปได้แล้ว วารินเลยรีบเดินไป
ขณะที่วารินนั่งกินขนมที่โรงอาหารคนเดียว ไมตรีเดินเข้ามาหา “วาริน”
ไมตรีทำท่าจะนั่งลงตรงข้ามแต่วารินห้ามเอาไว้
“ที่มีตั้งเยอะเธอไปนั่งตรงอื่นดีกว่า ฉันอยากนั่งคนเดียว”
ไมตรีชะงักเปลี่ยนใจไม่นั่ง มองหน้าวารินแล้วพูดว่า
“ฉันไม่นั่งก็ได้ แต่ฉันขอคุยอะไรหน่อยสิ”
“ก็ได้ ฉันก็มีเรื่องจะคุยกับเธอเหมือนกันแต่เธอพูดเรื่องของเธอมาก่อน”
“ฉันขอโทษเรื่องที่ฉันทิ้งเธอไว้คนเดียววันนั้น แต่ฉันไม่ได้ตั้งใจนะ เธอกวนโมโหจนฉันหงุดหงิดเลยแกล้งหนีไป พอฉันกลับมาดูเธอก็หายไปแล้ว แถมโทรศัพท์ฉันก็แบตหมดอีก”
ไมตรีพูดพร้อมกับจ้องตาวารินเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ใจ ทำเอาวารินต้องหลบตาวูบ ตัดสินใจไม่ได้ว่าจะพูดความรู้สึกของตัวเองดีมั้ย แต่แล้วก็คิดว่าไม่พูดดีกว่า
“ช่างเถอะ ยังไงเธอก็คงไม่ต้องพึ่งฉันแล้วแหละ ฉันวุ่นวายกับเธอไปก็ทำให้รำคาญเปล่าๆ”
วารินออกอาการน้อยใจนิดๆ
“อ้าว แล้วใครจะคอยบังคับฉันเรื่องเรียน ใครจะคอยทำรายงานแล้วก็ติวข้อสอบให้ฉันล่ะ”
“ก็แฟนเธอไง” วารินพูดออกไปก็เจ็บจี๊ดในใจ
ไมตรีถามสวนท่าทีงงๆ “แฟนฉัน นี่ฉันไปมีแฟนตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วใครเป็นแฟนฉัน”
“อย่ามาทำเป็นไม่รู้เรื่องเลย เลิกหลอกฉันเล่นสักทีเถอะมันไม่ตลกเลยนะ แฟนเธอก็พี่วีด้าอะไรนั่นไง”
“พี่วีด้าพี่รหัสฉันน่ะนะ ฉันไม่ได้คิดอะไรกับพี่วีด้าสักหน่อย แค่ขอให้พี่เขาช่วยติวภาษาอังกฤษให้เท่านั้นเอง”
“ถ้านายไม่คิด แต่พี่เขาก็คงคิดละ จะว่าไปนายกับพี่วีด้าก็เหมาะสมกันดีนะ”
“เธอจะบ้าไปใหญ่แล้ววาริน พี่วีด้าน่ะนะจะมาชอบฉัน พูดไปเธอก็คงไม่เชื่อ ดูเอาเองดีกว่า โน่นแน่ะ”
ไมตรีพยักพเยิดไปทางหนึ่งให้ดู วารินมองตามก็เห็นวีด้ากำลังนั่งติวหนังสือให้กับน้องผู้ชายหุ่นนักกีฬารูปหล่ออยู่อีกมุมหนึ่ง ท่าทางมีความสุขเหมือนตอนติวให้ไมตรีไม่มีผิด
“ก็ใครจะไปรู้ล่ะ เห็นสนิทสนมกันจะตายเป็นใครเห็นก็ต้องนึกว่าเป็นแฟนกันแหละ”
วารินแก้ตัว แต่น้ำเสียงอ่อยลงเยอะ
“ตกลงฉันนั่งได้แล้วใช่มั้ย”
“อยากนั่งก็นั่งสิ”
ไมตรีนั่งลงตรงข้ามวาริน จ้องหน้าทำท่าเจ้าเล่ห์
“เอ๊ะ อย่าบอกนะว่าเธอหึงฉันกับพี่วีด้า นั่นแน่ใช่แน่เลย”
“จะบ้าเหรอ ใครจะไปหึงเธอ ไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย”
วารินปฏิเสธเสียงสั่น แล้วก็เอาแต่ก้มหน้าคนถ้วยขนมตรงหน้าโดยไม่รู้ว่าจะทำอะไรดี ไมตรีมองแล้วยิ้มอย่างโล่งใจ และมีความสุข
รถที่อนุวัตรขับแล่นมาตามทาง วารินนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ดูวิวสองข้างทางอย่างมีความสุข อนุวัตรลอบมองแล้วขำ
“ดูมีความสุขจังเลยนะ”
“คงเพราะรินดีใจที่ทำข้อสอบวันนี้ได้”
“เอ่อ ริน ความดีใจของรินมันมาช้าไปหน่อยไหม ตอนออกจากห้องสอบยังไม่สดชื่นขนาดเลย เอ หรือมันจะเกี่ยวกับเพื่อนริน”
วารินเขิน “เอ่อ....ก็ด้วย”
“เล่าให้ฟังหน่อยสิว่าเป็นไงกัน”
วารินเขินใหญ่ “ก็ไม่มีอะไรหรอก เขาก็คงโอเคกันแล้วมั้ง”
อนุวัตรยิ้ม “รินนี่เป็นคนรักเพื่อนเนอะ เรื่องของเพื่อนเหมือนเรื่องของตัวเองเลย”
วารินจ๋อย “ก็ประมาณนั้น”
“เอาเป็นว่าพี่ยินดีกับริน เอ๊ย เพื่อนรินด้วยนะที่เข้าใจกัน”
วารินยิ้ม แล้วมองวิวข้างนอกอย่างรื่นรมย์
รุทรกับกะเวน ช่วยกับชาวบ้านตอกเสาตัวโรงเรียน
อีกมุม เมทินีกับวาโพช่วยกันซ่อมโต๊ะเก้าอี้กับชาวบ้านผู้หญิง เมทินีตอกตะปูไม่เป็น รุทรเข้ามาช่วยแล้วสอนวิธีถือค้อน แต่รุทรแรงดีไปหน่อยทุบทีพังเลย เมทินีหัวเราะขำ
รุทรซ่อมโต๊ะเก้าอี้ วาโพเอาห่ออาหารมาให้เมทินีแล้วพยักหน้าให้เอาไปให้รุทร เมทินีเขินขณะเดินไป รุทรทานอาหารกับเมทินี กะเวนกับวาโพสะกิดกันให้ดู วาโพกับกะเวนนั่งคนละข้างของรุทรกับเมทินี แล้วก็ดันๆเบียดๆ ให้สองคนเขยิบใกล้กันเข้าไปเรื่อยๆ
หลังทานอาหารเสร็จ เมทินีกับรุทรช่วยกันซ่อมหนังสือด้วยกัน แล้วเรียงหนังสือใส่ตู้กับชาวบ้าน เมทินียกหนังสือรุทรมารับให้
เมทินียกโต๊ะเก้าอี้ใส่ห้องเรียนกับชาวบ้าน วาโพแกล้งชนเมทินีลื่นรุทรเห็นรีบถลามาประคอง วาโพเห็นก็อมยิ้มพยักหน้ากับกะเวนอย่างมีแผน
รุทร เมทินี กะเวน วาโพ และชาวบ้านยืนดู โรงเรียนที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ ดูแข็งแรงกว่าเก่าหลายขุม ตู้หนังสือมีไม้คอยค้ำไม้ทั้งสี่ด้าน ทุกคนยิ้มให้กันแล้วปรบมือดีใจกัน
ระหว่างนี้ โจร 3 เห็นชาวบ้านช่วยกันทำงานอยู่ที่โรงเรียน มันแอบอยู่ และมองสำรวจไปรอบๆ แล้ววิ่งไปที่กระท่อมของรุทรกับเมทินี
ขณะที่รุทร กะเวน วาโพ และชาวบ้านกำลังช่วยกันเก็บข้าวของที่เอามาใช้สร้างโรงเรียน เมทินีเดินไปหารุทร
“เธอช่วยชาวบ้านเก็บของไปก่อนนะวาทิต เดี๋ยวฉันจะกลับไปทำกับข้าวรอ กลับไปเหนื่อยๆ น่าจะหิว”
“เป็นแม่บ้านแม่เรือนแบบนี้ ผมหลงตายเลย” รุทรแหย่
“อะไรเนี่ยคุณสองคน ไหนบอกว่าเป็นเพื่อนกัน ทำไมพูดเหมือนผัวเมียกันเลย”
คำถามของวาโพที่อยู่ใกล้ๆ ทำเอาทั้งรุทรและเมทินีอึกอัก
“คือคนในเมืองเขาแหย่กันแบบนี้แหละ” รุทรเฉไฉไปจนได้
“แล้วไป ฉันทำกับข้าวอร่อยนะ คุณวาทิตอยู่ที่นี่เลยสิฉันจะทำกับข้าวให้กินทุกวันเลย”
“แล้วข้าล่ะ เอ็งจะเอาไปไว้ไหน”
กะเวนถามสอดขึ้นมาทันควัน วาโพหันไปมองตาขวาง ไม่ชอบใจนัก
“เอ็งน่ะเหรอ เอาไว้ใต้ถุนบ้านก็แล้วกัน”
“เอ็งจะให้ไอ้นี่อยู่บนบ้านแทนข้าเหรอ”
กะเวนโวยวาย แล้วทั้งคู่ก็ปะทะคารมกันไม่หยุด เมทินีกับรุทรมองหน้ากันเอาไงดี
“เมไปเถอะ สองคนนี้ท่าจะยาว เดี๋ยวเก็บของเสร็จแล้วผมตามไป”
เมทินีเดินมาถึงกระท่อมแล้ว พอจะเข้าบ้านจึงสังเกตเห็นว่าเชือกที่ล่ามลูกหมูเอาไว้มีแต่เชือก กุ๊กกู๋หายไป
“กุ๊กกู๋ กุ๊กกู๋ อย่ไหน แอบหนีไปซนที่ไหนเนี่ย กุ๊กกู๋ กุ๊กกู๋...”
เมทินีร้องเรียกพร้อมกับเดินตามหาไปทางด้านหลังกระท่อม
เมทินีเที่ยวเดินเดินตามหาลูกหมูกุ๊กกู๋ ไกลจากกระท่อมออกมาหน่อย
“กุ๊กกู๋ กุ๊กกู๋ อย่ไหน กุ๊กกู๋...”
เมทินีได้ยินเสียงกุ๊กกู๋ร้องรับดังอู๊ดๆอีกด้านนึงก็รีบหันไปดู เห็นว่าหนึ่งในสามโจรกำลังอุ้มกุ๊กกู๋อยู่
“นี่ เอาหมูฉันมานะ เอาไปไหน”
เมทินีร้องบอกแต่โจรทั้งสามไม่ยอมหยุด เมทินีเลยถอดรองเท้าแล้วปาไปที่โจรที่อุ้มกุ๊กกู๋อยู่โดนหัวจังเบอร์ โจรหยุดหันมามองโกรธๆ เมทินีรีบวิ่งเข้าไปหา
“เอากุ๊กกู๋คืนมานะ”
“กุ๊กกู๋ ตัวอะไรวะ” โจร 3 งง หันไปถามเพื่อน
โจร2 บอกว่า “กุ๊กกุ๊กกู๋ที่เขาหลอกผีกันไงไอ้โง่”
โจร1อวดภูมิ “ไอ้โง่ทั้งสองคนนั่นแหละ กุ๊กกู๋มันเป็นนกตาโตๆ ที่ชอบโผล่มาตอนกลางคืนหรอก”
โจรสามคนเถียงกันอย่างไร้สาระมาก เมทินียืนฟังแล้วส่ายหน้า
“กุ๊กกู๋คือชื่อหมูที่คุณอุ้มอยู่นั่นแหละ จะเถียงกันไปทำไม”
โจรสามคนร้องพร้อมกัน “อ๋อ หมูตัวนี้นี่เองกุ๊กกู๋”
“รู้แล้วก็เอากุ๊กกู๋ของฉันคืนมาสิ”
โจรสามคนมองหน้า ยิ้มเจ้าเล่ห์ให้กัน
“ได้ๆ โทษทีนะมันติดมือมา”
โจร 3 ยื่นกุ๊กกู๋คืนให้ เมทินีดีใจรีบรับมาอุ้มไว้ โจร 3 ชกเข้าที่ท้องเมทินีทันที จนเมทินีฟุบลงกับพื้น โจร 3รีบเข้าไปช้อนตัวเมทินีขึ้นบ่า กุ๊กกู๋วิ่งเตลิดหนีเอาตัวรอดไปแล้ว
“ได้ของดีกว่าไอ้กุ๊กกู๋นั่นอีกโว้ยพวกเรา” โจร 3 บอก
ระหว่างนี้มีเด็กชายชาวกะเหรี่ยง ผ่านมาเห็น และแอบดูเหตุการณ์อยู่
ที่โรงเรียนตอนนี้ รุทร กะเวน วาโพ และชาวบ้านเก็บของกันเกือบเสร็จแล้ว เด็กชายกะเหรี่ยงวิ่งตะโกนหน้าตาตื่นเข้ามาหากะเวน
“พี่กะเวน พี่กะเวน ไอ้พวกนั้นมันมาอีกแล้ว”
“ใครกันวะ”
“ไอ้พวกนั้นนั่นแหละ มันมาอีกแล้ว ข้าเห็นเมื่อกี้นี้เอง”
กะเวนครุ่นคิด “หรือว่าไอ้พวกนั้น”
วาโพออกอาการกลัว “มาอีกแล้วเหรอ ไอ้เวนข้ากลัว”
รุทรชักงงมากขึ้น “พูดอะไรกับผมไม่เข้าใจ อย่าบอกว่าเป็นผีป่าอีกนะ”
“ไม่ใช่ผีป่า แต่เป็นพวกค้ายา” กระเวนมั่นใจ
รุทรตกใจ “หมายความว่าไง”
“คือเส้นทางนี้มันชอบมีพวกค้ายาใช้เป็นทางผ่านลงเขา เวลาพวกมันมาก็ชอบมาขโมยหมูขโมยไก่ชาวบ้านไป” กระเวนหันมาถามกับเด็ก “เอ็งเห็นพวกมันที่ไหนวะ”
“ที่ทางเข้าป่า มันจับพี่สาวคนสวยไปด้วย” เด็กบอก
“นี่มันจับเมไปด้วยเหรอ แล้วทำไมเพิ่งจะบอก”
รุทรถามด้วยน้ำเสียงตกใจ แล้วรีบวิ่งออกไปทันควัน
อ่านต่อหน้า 3
เงาใจตอนที่ 13 (ต่อ)
ร่างไร้สติของเมทินีถูกวางลงบนแคร่หน้ากระท่อมรังโจร และมีโจรชั่วทั้ง 4 ยืนมุงดูอยู่ หน้าตาหื่นกันทั้งแถบ
“ไม่อยากจะเชื่อเลย ไอ้หมู่บ้านที่เราผ่านมาเป็นสิบครั้งจะมีสาวๆ สวยๆ แบบนี้” โจร 1ท่าทางเป็นลูกพี่ยิ้มกระหยิ่ม
“จะรอช้าทำไมวะ จัดการมันเลยสิ”
โจร 2 จะก้มลงปล้ำเมทินี แต่โจร 1 ดึงคอเสื้อขึ้นมา
“เฮ้ย ตามลำดับสิวะ กูเป็นลูกพี่ต้องกูก่อน”
“ได้ไงล่ะพี่ ฉันอุตส่าห์ไปอุ้มมันมา ฉันต้องได้ก่อนสิ”
โจร 1หยิบปืนมาขู่ “ถ้ามึงจะได้ก็เอาลูกตะกั่วไปก่อนแล้วกัน”
โจรอีก 3 คนจ๋อย
โจร 4 เร่ง “งั้นก็รีบจัดการสิ พวกฉันจะได้รอขอส่วนบุญด้วย”
โจร 1 มองเมทินีแล้วหัวเราะ ที่เหลือหัวเราะตาม
รุทรเดินลุยเข้ามาในป่าพยามมองรอบๆ เพื่อมองหาเมทินีกับโจร จนสายตามองไปเห็นควันไฟลอยมาแต่ไกล รุทรมองครุ่นคิดแล้วรีบวิ่งไปทางควันไฟนั้น
ที่หน้ากระท่อม เห็นโจร ทั้ง 4 นั่งกินเหล้าบิ้วท์อารมณ์กันอย่างเบิกบาน
โจร 1 เริ่มเมา “เอาละเว้ย ได้ที่แล้ว เดี๋ยวกูไปสนุกกับน้องเค้าหน่อย พวกเอ็งรอต่อคิวได้เลย”
โจรทั้งสี่หัวเราะลั่น โจร 1 เดินเป๋เข้ากระท่อมไป
รุทรเดินมาแล้วต้องหยุดชะงักที่ต้นไม้ต้นหนึ่ง มองโจรทั้ง 3 กินเหล้ากันอยู่หน้ากระท่อม
“จะใช่พวกที่จับเมมาหรือเปล่า”
โจร 1 เดินเข้ามา นั่งลงข้างร่างของเมทินี มันแสยะยิ้มพอใจพลางโน้มตัวลงจะจูบ เมทินีลืมตาโพลงพอเห็นหน้าโจรก็กรี๊ด แล้วชกหน้าโจรตามสัญชาตญาณ
“โอ๊ย อีบ้า มึงกล้าชกกูเหรอ”
เมทินีตกใจรีบวิ่งหนีไปมุมหนึ่ง
รุทรยืนแอบซุ่มดูด้วยสีหน้าครุ่นคิด
“หรือพวกนี้จะเป็นพวกเดินป่ามาพักแรม”
รุทรตัดสินใจจะรีบออกไปเดินตามหาเมทินีต่อ
เสียงเมทินีกรี๊ด “แอร๊ย...” ดังลั่นขึ้น
รุทรชะงักตกใจ “เม”
“ช่วยด้วย...ช่วยด้วย...”
รุทรรีบกลับมาหลบหลังต้นไม้มองกลับไปก็เห็นโจรทั้ง 3 หัวเราะชอบใจ ที่ได้ยินเสียงเมทินีร้องขอความช่วยเหลือ
“เฮ้ย สงครามเริ่มแล้วว่ะ” โจร 4 ชอบใจ
รุทรเริ่มลนลาน มองซ้ายขวา สุดท้ายตัดสินใจวิ่งหลบไปอีกทาง
ส่วนในกระท่อม โจร 1 วิ่งไล่จับเมทินี แต่ถูกเมทินีถีบแล้วหนีได้
“ไม่เอาน่า อย่าให้ผัวโมโหสิจ๊ะเมียจ๋า”
โจร 1 วิ่งเข้าไปเมทินีหลบแล้วถีบอีกที
“โว๊ย ชักโมโหแล้วนะ มึงจะเอาใช่ไหม”
โจร 1 เข้าแล้วดึงเมทินีจนล้มไปทั้งคู่
“ฝันไปเหอะว่าฉันจะยอมแก ไอ้เศษมนุษย์”
เมทินีสู้ขาดใจ ใช้จังหวะเผลอของโจรที่ดึงขาถีบเข้าเบ้าตาเต็มๆ
“มึงกล้าทำกูเจ็บเหรอ มึงตายแน่”
โจร 1 ชี้หน้าอาฆาต เมทินีจะวิ่งไปที่ประตู โจร 1 ขวางไว้ แล้วกระโดดตะครุบตัวเมทินีจะจูบ แต่เมทินีดิ้นหนี พร้อมข่วนหน้า
“อ๊าก”
“ปล่อยฉันนะ ไอ้บ้า ไอ้สถุล ไอ้ชั้นต่ำ”
“กูสุดจะทนแล้วนะ”
โจร 1 ตบหน้าเมทินีแล้วบีบคอ ระหว่างนั้นจู่ๆ ก็มีก้อนหินลอยวืดมากระทบหน้าโจรจนหงายหลังสลบเหมือด เป็นฝีมือรุทรที่กระโดดเข้ามาทางหน้าต่าง เมทินีดีใจมาก ถลาเข้าไปกอดรุทรแน่น
“วาทิต”
“รีบไปกันเถอะ”
รุทรจูงเมทินีค่อยๆ ย่อง พากันออกไปทางหน้าต่าง
โจรทั้ง 3 นั่งคุยกันอยู่ จนรู้สึกผิดสังเกต
“เฮ้ย เงียบเลยว่ะ”
“สงสัยอีนั่นชอบใจเว้ย” โจร 3 บอก
ทั้งสามหัวเราะชอบใจ
“กูขอถ่ายคลิปไว้หน่อยเถอะวะ”
โจร 2 จะลุกโจร 4 จับไว้
“เฮ้ย อยากถ่ายก็ถ่ายรอบมึงสิวะ ไปถ่ายตอนนี้เดี๋ยวก็โดนด่าหรอก”
“ไม่ได้ มันต้องถ่ายตั้งแต่ยังไม่ช้ำ”
“จริงว่ะ งั้นกูไปด้วย” โจร 3 ว่า
สามโจร ลุกเดินไปด้วยกัน
สามโจร เปิดประตูแง้มจะดู แล้วต้องตกใจที่เห็นลูกพี่นอนอยู่บนพื้น หน้าตาแตกยับ ทั้งสามรีบเปิดประตูพุ่งเข้าไปหา
“อีนั่นมันมีคนมาช่วย พวกมึงไปจับมาให้ได้ กูจะฆ่ามันทั้งคู่”
สามโจร รีบวิ่งออกไป โจร 1 วิ่งตามไปอย่างทุลักทุเล
ด้านกะเวนกับวาโพเดินวนไปวนมาอยู่หน้าเรือน มีชาวบ้านนั่งล้อมรอบ ทุกคนเป็นห่วงรุทรกับเมทินี กะเวนกับวาโพเดินไปมาจนสุดท้ายชนกัน
“ไอ้เวน มาเดินชนข้าทำไม คนยิ่งกำลังเครียดๆ” วาโพด่า
กะเวนจ๋อย “ขอโทษจ้า ข้าก็กำลังใช้ความคิดเหมือนกัน”
“ฮึ คิดเหรอ เปลี่ยนจากความคิดมาเป็นความกล้าดีกว่า ไอ้ขี้ขลาด”
กะเวนเสียงเข้ม “ข้าไม่ได้ขี้ขลาดนะวาโพ” วาโพมองอย่างไม่เชื่อ “แต่ข้ากลัวตาย”
วาโพโกรธมาก “นี่ไง ข้าถึงบอกเอ็งมันขี้ขลาด เอ็งมันไม่ควรจะเป็นหัวหน้าเผ่าเราเลย”
“วาโพ เอ็งนี่จะมากไปแล้วนะ ถึงข้าจะหล่อ ข้าก็ไม่ชอบให้ใครมาดูถูกนะเว้ย”
“แล้วไง ก็เอ็งขี้ขลาดจริงๆ นี่”
“ได้ ข้าจะพิสูจน์ให้เอ็งเห็นว่าข้าก็กล้าหาญเหมือนกัน”
กะเวนเดินมายืนหน้าชาวบ้านด้วยสีหน้าเหี้ยมหาญเอาจริงเอาจัง
“ทุกคนฟังข้า ข้าจะไปช่วยคุณวาทิตกับคุณเม ใครจะไปกับข้าบ้าง”
ชาวบ้านทุกคนเฮลั่น กะเวนเดินไปหยิบที่เป่าลูกดอกมายืนแล้วชูขึ้น
“ถึงเราจะไม่มีปืน แต่เราจะใช้อาวุธล่าสัตว์ของพวกเรา เป่าลูกดอกอาบยาสลบสู้กับมัน สู้ไม่สู้”
ทุกคนร้องพร้อมกัน “สู้ๆ”
วาโพที่ยืนมองก็ยิ้มอย่างมีความหวัง
“อีกครั้งนะ สู้ไม่สู้”
ทุกคนร้องพร้อมกันอีก “สู้ๆ”
“งั้นก็ลุย”
กะเวนชูที่เป่ายาเอียงไปเอียงมาด้วยความคึกคะนอง ลูกดอกหล่นออกมาแล้วปักที่เท้าของกะเวน
“จ๊ากกกก อะไรตำเท้ากูวะ”
ทุกคนที่ร้องเฮๆๆๆ อย่างฮึกเหิมต่างหยุดมองเป็นตาเดียว วาโพก็มองแล้วตาโตตกใจเหมือนกับทุกคน
กะเวนเสียงสั่น “ลูกดอกปักตรีนกู”
พูดจบกะเวนก็ล้มตึง ทุกคนเข้าไปดูกะเวน วาโพได้แต่ถอนใจเซ็ง
ทางด้านรุทรพาเมทินีวิ่งหนีอยู่จนเมทินีเหนื่อยหอบ
“พอก่อนวาทิต ฉันเหนื่อย”
รุทรห่วงกลัวโจรตามมาทัน “แข็งใจอีกนิดไม่ได้เหรอ ไม่รู้ว่าป่านนี้พวกมันรู้หรือยังว่าคุณหนีมาแล้ว”
“ไม่ไหว เธอเองก็น่าจะพักนะ เดี๋ยวหัวใจวาย”
รุทรพอเห็นเมทินีมองจริงจังก็จำต้องยอมพัก อีกมุมโจรทั้ง 4 วิ่งมา
“พวกมันหายไปไหนวะ” โจร 3 เหลียวหา
โจร 1 วิ่งตามมา “ถึงหายไปจากโลกพวกมึงก็ต้องหาให้เจอ”
“เฮ้ย นั่นใช่มันสองคนหรือเปล่าวะ”
ทุกคนมองตาม โจร 2 ไป แล้วเห็นรุทรกับเมทินีอยู่ไกลๆ ใต้ต้นไม้
“กูว่าใช่ว่ะ”
โจร 4 เล็งปืนแล้วยิงแต่โดนต้นไม้ เมทินีกรี๊ดลั่น
“ไปเร็วเม”
รุทรพาเมทินีวิ่ง โจรทั้ง 4 วิ่งตามไม่ลดละ
รุทรกับเมทินี วิ่งมาจนมุมที่หน้าผา ทั้งสองเบรกเกือบไม่ทันดีว่ารุทรคว้ามือเมทินีไว้ทัน สองคนเห็นด้านล่างเป็นน้ำตกไหลเชี่ยวที่ไหลลงสู่แม่น้ำอีกชั้น รุทรและเมทินีต่างมีสีหน้าตกใจกลัว
“วาทิต เอาไงดีล่ะ”
มีเสียงปืนดังขึ้น เมทินีร้องกรี๊ดตกใจ ทั้งสองหันไปก็เห็นโจรทั้ง 4 ยืนมองอยู่
โจร 2 โจร 3 และโจร 4 เล็งปืนจะยิง
“เฮ้ย อย่าเพิ่ง พวกมันสองคนทำกูเจ็บ กูขอเอาคืนก่อน”
โจร 1 แค้นไม่หาย เดินตรงไปเอาเรื่อง รุทรยืนกันเมทินีไว้ โจร 1 เอาด้ามปืนตบหน้ารุทรจนเซไป แล้วจิกหัวเมทินีลากมา
“มึงกล้ากับกูมากนะ”
โจร 1 จะตบเมทินี แต่รุทรกระโดดเข้าถีบ แล้วเข้าชกปืนหลุดมือ เมทินีรีบวิ่งไปเก็บปืน
สามโจรที่เหลือ เล็งจะยิง รุทรพลิกจับตัวโจร 1 บัง เลยทำให้โดนยิงแทนที่ต้นขา
“โอ๊ย ยิงกูทำไม”
สามโจรตกใจ รุทรจับโจร 1 เป็นตัวประกัน
“เม มาอยู่กับผม”
เมทินีรีบมายืนด้านหลังรุทร รุทรดึงปืนมาจากเมทินี
“วางปืนให้หมดแล้วถอยออกไป”
โจร 1 ตะคอก “วางสิโว้ย จะให้มันฆ่ากูหรือไง”
ทุกคนวางปืน รุทรลากโจร 1 ไป แต่โจร 2 อาศัยจังหวะเผลอจะเข้าแย่งตัวโจร 1 รุทรยิงไปโดนโจร 2 บาดเจ็บ
โจร 3 กับโจร 4 กระโดดเข้าหยิบปืน รุทรยิงดักแต่ไม่ทัน มีการยิงกันไปมา รุทรยิงโดนโจร 3 ล้มลง
เมทินีรีบหลบนอนราบ โจร 4 รีบวิ่งไปหาเมทินีจับตัวไว้
“ทิ้งปืนแล้วปล่อยพวกกูมาไม่งั้นอีนี่ก็ตายเหมือนกัน”
รุทรที่มีโจร 1 เป็นตัวประกัน กับโจร 4 ที่จับเมทินีเป็นตัวประกัน
เมทินีอาศัยจังหวะเผลอกระทุ้งศอกเข้าที่พุง โจร 4 จนเผลอปล่อยแล้วศอกเข้าที่กระเดือกจนโจร 4 เจ็บคอหงายหลังแต่ดึงร่างเมทินีร่วงลงไปด้วย
รุทรตกใจ “เม”
โจร 1 หัวเราะร่า “เป็นไงล่ะมึง สะใจโว้ย”
รุทรเอาด้ามปืนตบเข้ากลางกบาลโจร 1 ล้มลงสลบเหมือด แล้วรีบวิ่งไปที่หน้าผา
โจร 2 พยุงร่างได้รีบเข้าไปหาปืนที่ตกอยู่ แล้วเห็นโจร 3 นอนเจ็บอยู่ เลยเอาปืนโยนให้โจร 3 แล้วทั้งคู่ก็มองไปที่รุทรที่อยู่ตรงหน้าผา
โจร 4 เกาะขาเมทินีแน่น ร่างทั้งสองห้อยต่องแต่งน่าหวาดเสียวอยู่ตรงหน้าผา
“แกปล่อยฉันสิ มาจับทำไม”
โจร 4 คว้าเถาวัลย์ได้ “นังตัวแสบ กูจะจัดการให้มึงหายซ่าเลย”
โจร 4 พยามดึงเมทินีให้ตกลงไป แต่เมทินีก็จับกิ่งไม้แน่นมาก รุทรโผล่หน้ามาที่หน้าผา
“วาทิต ช่วยด้วย”
รุทรพยามจะยื่นมือลงไปแต่ลงไม่ถึง
“เม ทำใจดีๆ นะ เดี๋ยวผมจะช่วยให้ได้”
รุทรเกาะเถาวัลย์ปืนลงมาจนจับมือเมทินีได้แล้ว ทั้งสองยิ้มให้กัน
ระหว่างนั้น โจร 2 กับ 3 ก็โผล่หน้ามา เมทินีเห็นก็ตกใจ
“วาทิต ระวังข้างบน”
โจร 2 กับ โจร 3 ยิงทั้งคู่ รุทรต้องจับเมทินีโหนไปมาเป็นการหลบ
“วาทิตยิงมันสิเธอมีปืนนี่”
“เอามือไหนยิงล่ะ”
“แล้วจะทำไงล่ะ” เมทินีหันไปด่าโจร 4 “ไอ้บ้านี่ก็ปล่อยฉันซะทีสิ วาทิต ฉันจะหมดแรงแล้วนะ”
“เม ทำใจดีๆ ไว้นะ”
โจร 4 หัวร่อร่า “ฮ่าๆๆ กูว่ามึงสองคนลงไปทำใจที่ใต้น้ำแล้วกันนะ”
“แกอย่านะ”
เมทินีถูกโจร 4 ดึงอย่างแรงจนร่างร่วงลงน้ำไป
“เม”
รุทรตัดสินใจกระโดดน้ำตามลงไป โจร 2 โจร 3 ไล่ยิงตามร่างรุทรในน้ำ
ร่างรุทรกับเมทินีลอยมาตามสายน้ำไหลเชี่ยวไปอย่างทุลักทุเล ชนิดไม่น่ารอดแล้วจมหายไปทั้งคู่
วารินออกมารอหน้าห้องสอบ สักพักก็เห็นไมตรีเดินออกมา จึงรีบเข้าไปหา
“เป็นไงไม ทำได้ไหม”
“ได้ ขอบใจนะที่เอาชีทให้เมื่อคืน” ไมตรีดูนิ่งๆ พลางส่งชีทคืนให้
“เดี๋ยวเราไปทานไอติมกันไหม แตกับฝ้ายลงไปรออยู่ข้างล่างแล้ว”
“ไม่ล่ะ ขอบใจที่ชวน ฉันจะรีบกลับบ้าน”
วารินใจแป้ว “ทำไมล่ะ ไม่นานหรอก”
“คือแม่ฉันอยู่ร้านคนเดียว ลูกจ้างก็ขอลาพักกลับบ้าน แล้วพี่...”
“พี่เธอทำไมเหรอ”
“เปล่าหรอกไม่มีอะไร เดี๋ยวฉันกลับก่อนนะ”
วารินพยักหน้ารับเซ็งๆ “ถ้าเธอกลับไปดูแลแม่ ช่วยงานที่บ้านก็ไปเถอะ”
ไมตรียิ้มให้แล้วเดินออกไป วารินมองตามด้วยความเป็นห่วง
ขณะที่มณีกำลังจัดแบ่งดอกกุหลาบใส่กระถางโลหะใหญ่เพื่อแช่ตู้เย็น ท่าทางเหม่อลอยไม่มีความสุข จนเผลอกำกุหลาบทั้งกำจนหนามตำ
“อุ๊ย”
มณีเผลอทิ้งกระถางตกพื้น ไมตรีที่เพิ่งกลับจากสอบมาเห็นก็รีบวิ่งเข้าไปหามณี
“แม่เกิดอะไรขึ้น” ไมตรีดูมือแม่ ก็เห็นเลือดซิบๆ เต็มสองมือ “แม่คิดถึงพี่เมใช่ไหม”
ไมตรีพามณีมานั่งแล้วเอาผ้าชุบแอลกอฮอล์มาเช็ดให้
“นี่มันก็หลายวันแล้ว เรายังติดเมไม่ได้เลย”
“พี่เมไปกับพี่วาทิต เค้าคงอยากเป็นส่วนตัวมั้งแม่”
“แต่แม่ห่วงพีเค้า ถามพ่อเลี้ยงแกก็ตอบแค่ว่าเมไปบริจาคเครื่องดนตรี แต่มันหลายวันแล้วมันยังไม่เสร็จอีกเหรอ”
“รออีกสักวันแล้วกันนะแม่ พรุ่งนี้ไมหยุดถ้าพ่อเลี้ยงยังไม่บอกเรา ไมจะพาแม่ไปที่โรงเรียนที่พี่เมไปเลยดีไหม”
มณีพยักหน้ารับ แต่ในใจอยากไปวันนี้เลยด้วยซ้ำ
ที่กาดบุษบันตอนนี้ บุษบันเดินเก็บค่าเช่ากับคนรับใช้ แต่พอแม่ค้ายืนเงินให้บุษบันก็เหม่อไม่รับ จนลูกน้องต้องสะกิด
“คุณบุษ เงินน่ะไม่รับเหรอครับ”
บุษบันรับมาอย่างเซ็งๆ แล้วเดินเก็บค่าเช่าแผงไปเรื่อยๆ
“แกว่าถ้าเรามีเงิน แต่ต้องอยู่คนเดียวไม่มีคนรักคนรู้ใจมันจะดีไหม”
เสียงอนุวัตรดังขึ้น “ไม่ดีแน่นอน”
บุษบันเงยหน้าก็เห็นอนุวัตรยืนอยู่ตรงหน้า บุษบันกลอกตาเซ็งแล้วจะเดินหนี อนุวัตรรีบเดินมาดัก
“อยากกินกาแฟ ไปกินเป็นเพื่อนหน่อยสิเจ๊”
บุษบันมองอนุวัตรอย่างรำคาญ “ไม่เอาอ่ะ ฉันไม่มีอารมณ์”
“ปลุกให้ก็ได้”
บุษบันหันขวับมามองตาเขียว
อนุวัตรจ๋อย “ขอโทษนะเจ๊ ก็พอดีวันนี้ว่าง เลยเบื่อๆ อยากหาเพื่อนคุย”
บุษบันถอนใจเซ็งที่โดนอนุวัตรตื้อหนัก
อนุวัตรกับบุษบันเดินถือถุงกาแฟดูดกินมาด้วยกัน
“ดูเจ๊เซ็งๆ ไปเนอะ”
“แหม ถ้าคนที่แกรักนอนนิ่งเป็นผักกาดดองขนาดนี้แกจะร่าเริงได้เหรอ”
“แล้วนี่เจ๊จะทำไงต่อ หาคนใหม่ไหม”
“ไม่ดีกว่า ฉันเหนื่อยแล้ว”
“ห๊า เจ๊จะเลิกคิดเรื่องความรักเด็ดขาดเลยเหรอ” อนุวัตรใจเสียทันที
“ดวงฉันมันคงอาภัพเรื่องความรัก”
“ไม่ได้นะเจ๊ จะอาพับ ป้าพับ น้าพับ เจ๊ก็ไม่ควรมาตัดเรื่องความรักออกจากชีวิ”
“ทำไมยะ แกมาสั่งฉันทำไม”
“ก็...ก็เผื่อยังมีคนที่เค้ารักเจ๊รอเจ๊อยู่น่ะสิ”
บุษบันนิ่งคิดไปครู่ อนุวัตรรอคำตอบด้วยความลุ้น
“ไม่เอาดีกว่า ฉันเบื่อกับการวิ่งตามหาความรักแล้ว เอาเวลาไปทำมาหากินดีกว่า”
อนุวัตรเซ้าซี้ “แต่ว่า...”
“ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้น ชาตินี้ถ้าไม่ได้รุทรเป็นสามีคนสุดท้าย ยังไงฉันก็จะไม่มีแฟนอีกเลย”
อนุวัตรได้ยินคำประกาศหนักแน่นก็ลอบถอนใจ หน้าเครียด
อนุวัตรเดินเซ็งมาถึงรถ แล้วมองกลับไปที่ตลาด เห็นบุษบันเดินเนือยๆ อยู่ไกลๆ ก็ถอนใจเฮือก
“เฮ้อ จะเอาไงดีต่อวะเนี่ย กลุ้มโว้ย”
อนุวัตรฟุบหน้ากับหลังคารถแล้วต้องสะดุ้งร้องกรี๊ด
“อ๊าย..ร้อน”
ฟากเมทินีสำลักน้ำได้สติก็พยุงร่างขึ้นอย่างอ่อนล้า เมทินีรีบถอยห่างจนไปชนกับรุทรที่นอนสลบอยู่ เมทินีสะดุ้งดูเต็มตาแล้วเห็นเป็นรุทรก็ดีใจ
“วาทิต” เธอรีบเอามืออังจมูก แล้วยิ้มออกเมื่อพบว่าเขายังมีลมหายใจ “วาทิต ตื่นสิ”
รุทรค่อยๆ ตื่นขึ้นมา พอเห็นเมทินีก็รีบลุกขึ้นจับแขนด้วยความดีใจ
“เม เป็นไงบ้าง”
“ฉันไม่เป็นอะไร”
รุทรกับเมทินีพยุงกันลุกขึ้นแล้วมองไปรอบบริเวณ เห็นแต่ริมลำธาร แล้วก็ป่าทึบ
“เราจะกลับหมู่บ้านได้ไหมเนี่ย”
“ไม่รู้เหมือนกัน บางทีเราอาจจะ…”
“อาจจะอะไร”
“เราอาจจะหลงป่าอีกรอบก็ได้”
เมทินีถอนใจ “นี่เราหลงทางแล้วยังต้องมาหลงป่าอีกเหรอ”
ด้วยความกังวลเมทินีร้องไห้โฮออกมา รุทรได้แต่กอดปลอบ
เมทินียืนลุ้นรุทรคอยจับปลา รุทรยืนนิ่งอยู่ในน้ำ รอปลามาแล้วกระโดดตะครุบ แต่พลาดจับไม่ได้
“ไม่เป็นไรนะวาทิต ลองใหม่นะ”
“ผมว่าแบบนี้ไม่เวิร์ค”
“อย่าบอกนะว่าจะเหลาไม้แหลมมาจับปลาแบบในหนัง เราไม่มีมีดอะไรสักอย่างที่จะตัดไม้เลย”
“ไม่มีก็ไม่ต้องใช้”
พูดจบรุทรก็เดินไปที่ใต้ต้นไม้ แล้วกระโดดโหนกิ่งไม้ขย่มๆ ให้หัก แล้วเอากิ่งมาหักเฉียงให้มีปลายแหลมที่สุด จากนั้นรุทรก็เดินกลับมาที่ในน้ำ จ้องแล้วก็ทิ่มไปที่ปลาทันที
เมทินียิ้มร้องกรี๊ด ดีใจสุดขีด
ไม่นานต่อมา เห็นรุทรนั่งปิ้งปลาอยู่ริมลำธารในป่า เมทินีนั่งรอ แทะผลไม้ป่าไปด้วย
“หลงทางคราวที่แล้วเรายังมีเสบียงมีเต็นท์ คราวนี้เราไม่มีอะไร จะอยู่ยังไง”
“อย่าเพิ่งคิดในทางร้ายสิเม อย่างน้อยเราก็ยังมีชีวิต มีแรงที่จะเอาตัวรอดนะ”
เมทินียิ้มชื่น “ขอบใจนะ เธอปลอบฉันอีกแล้ว”
“ก็จริงไหมล่ะ ผลไม้กับปลานี่เราก็ได้มาด้วยมือเปล่าไม่ใช่เหรอ”
“จ้า พ่อคนเก่ง ดีนะที่ฉันไม่ตกมาคนเดียว แต่มีเธอมาด้วย”
รุทรยิ้มแล้วหันไปปิ้งปลาต่อ เมทินีหยุดกินแล้วมองหน้ารุทร อีกฝ่ายมองตอบงงๆ ว่าเมทินีจะว่าอะไร
“ถ้าเธอไม่อยู่กับฉันที่นี่ ฉันจะเป็นยังไง”
“เมก็คงหิวตาย”
เมทินีจริงจัง “ไม่สิวาทิต ฉันกำลังพูดเรื่องจริงจัง ถ้าเธอไม่อยู่ตรงนี้ฉันจะเป็นยังไง”
“เอาน่า ยังไงผมก็ไม่ปล่อยให้เมอยู่คนเดียวหรอก”
“ฉันเชื่อ ขอบใจนะวาทิต”
รุทรยิ้มให้ สองคนมองตาซึ้งๆ เมทินีได้กลิ่นหอมๆ
“ปลาสุกแล้ว หอมจังเลย”
รุทรรีบฉีกปลาให้เมทินีกิน แล้วสงคนก็นั่งกินด้วยกันอย่างมีความสุข
พ่อเลี้ยงวิทย์เดินมาหาทิปปี้ที่กำลังพิมพ์งานอยู่ตรงโต๊ะ
“สเป็ครถแทร็กเตอร์ใหม่นี่ ให้เขาส่งสัญญามาให้ทนายของเราได้เลยนะ”
ทิปปี้รับปาก ระหว่างนั้นอังกูรเดินเข้ามาพร้อมแฟ้มเอกสาร พ่อเลี้ยงมองหน้าอังกูรแว่บเดียวแล้วก็เดินกลับเข้าห้องทำงาน อังกูรเดินไปวางแฟ้มบนโต๊ะทิปปี้ ทิปปี้หยิบมาเปิดดูแล้วตีแขนอังกูรเบาๆ
“พี่กูรไม่แยกค่าโอทีอีกแล้วนะ”
“เออน่า ทิปปี้ก็ทำให้หน่อยสิ ช่วงนี้พี่ไม่มีหัวหน้าคนงานช่วยนะ”
ทิปปี้ค้อนควัก
“ทิปปี้ พอรู้ไหมว่าตอนที่คุณลุงไม่อยู่แกไปอยู่ไหน”
“อุ๊ย ทิปปี้ไม่รู้หรอก พ่อเลี้ยงจะบอกเฉพาะเวลามีงานเท่านั้นค่ะ”
“บิลค่าน้ำมันมีไหม”
ทิปปี้ส่ายหน้า “ไม่มี พ่อเลี้ยงไม่เบิกเลย”
“ฮึ คงกลัวว่าบิลน้ำมันจะบอกว่าเติมที่ไหนละสิ”
ทิปปี้งง “แล้วพ่อเลี้ยงจะกลัวไปทำไม”
“พี่ก็ไม่รู้ แต่พี่ต้องรู้ให้ได้”
ทิปปี้นึกออก “งั้นพี่กูรก็ถามพี่หนานสิ เป็นคนขับรถใกล้ชิดของพ่อเลี้ยงก็น่าจะรู้เยอะนะคะ”
อังกูรยิ้มพอใจกับไอเดียของทิปปี้
เย็นนั้น หนานกำลังเช็ดรถอยู่ที่โรงรถ มีอังกูรคุยอยู่ด้วย
“เอ ผมก็ไม่ทราบนะครับคุณกูร พ่อเลี้ยงแกไม่เคยบอก”
อังกูรไม่เชื่อ “จริงเหรอวะ แกเป็นทั้งคนขับรถคนสนิทของคุณลุงมีเหรอจะไม่รู้ เว้นซะก็แต่แกจะช่วยคุณลุงปิดฉัน”
“โธ่ คุณกูรครับ ผมจะปิดทำไมล่ะครับ หลังๆ มานี่พ่อเลี้ยงแกไม่เคยให้ผมไปไหนมาไหนด้วยเลย ป้าเอื้องคำ จั่นเป็งก็รู้ ไม่เชื่อไปถามได้เลยครับ”
“เอาล่ะ ไม่เป็นไร ว่าแต่แกพอจะช่วยฉันหาได้ไหมว่า ช่วงที่คุณลุงหายไปน่ะไปไหนมาบ้าง”
หนานมองอังกูรแปลกๆ ไม่อยากทำงานที่อังกูรมอบให้
“ไม่มีอะไรหรอก ก็ฉันจะให้ทิปปี้ลงบิลน้ำมันก็ต้องรู้ว่าไปไหนมาบ้าง”
“คุณกูรก็ถามพ่อเลี้ยงเลยสิครับ”
อังกูรเล่นละครกลบเกลื่อน “เอ่อ ฉันถามแล้ว แต่คุณลุงบอกว่าจำไม่ได้ นี่ ระบบการเบิกจ่ายค่าน้ำมันรวนหมดเลย”
หนานนิ่งคิด ช่วยนึก “อ๋อ มันก็มีอีกวิธีนะครับ แต่ไม่รู้จะช่วยได้หรือเปล่า”
“วิธีไหน”
อังกูรอยากรู้มาก หนานตั้งท่าจะเล่า
ตกตอนกลางคืน อังกูรแอบซุ่มดูพ่อเลี้ยงวิทย์จากนอกบ้าน เห็นผู้เป็นลุงนั่งทำงานเสร็จก็ปิดคอมพ์ แล้วลุกขึ้นปิดไฟเดินออกไป อังกูรยืนรอซุ่มดูต่อ
สักครู่อังกูรมองไปยังชั้นบน เห็นห้องนอนพ่อเลี้ยงเปิดไฟ อังกูรยิ้มร้ายแล้วเดินเข้าบ้านไป
อังกูรแอบย่องเข้าบ้านมา ตรงไปที่ตู้เก็บกุญแจรถ หยิบกุญแจมาหนึ่งดอก แล้วรีบเดินออกไป
ถัดมาอังกูรเดินออกมานอกบ้าน แล้วกดรีโมทเปิดรถของพ่อเลี้ยงวิทย์สตาร์ตเครื่อง อังกูรเปิดหน้าจอ GPS กดไล่อ่านสถานที่ที่ถูกบันทึกการเดินทางไว้
“เชียงใหม่ๆๆๆ” เขาตกใจเมื่อดูไปอีก “เฮ้ย”
หน้าจอกลายเป็นสถานที่แห่งหนึ่งมีแต่ที่โล่งๆ อังกูรกดนิ้วเข้าไปอีก ด้วยสีหน้าตกตะลึง
“สวนผักแรมจันทร์ แม่ฮ่องสอน”
อังกูรรู้สึกแปลกใจเอามากๆ
ฟากรุทรกับเมทินีนั่งคุยกันอยู่ตรงหน้ากองไฟริมธารน้ำในป่า บรรยากาศแสนโรแมนติก
“เม ง่วงก็นอนได้นะ ไม่ต้องกลัวผมเฝ้ายามเอง”
“ไม่เป็นไรหรอก ฉันไม่ง่วง”
“งั้นก็อยู่เป็นเพื่อนผมแล้วกัน”
เมทินีเปลี่ยนท่านั่งเป็นหันหลังให้รุทร
“ทำอะไรอ่ะเม”
“ก็นั่งพิงกันไง ฉันเริ่มปวดหลังแล้วอ่ะ”
รุทรยิ้มแล้วหันหลัง เอนตัวพิงกัน
“จริงๆ แล้วฉันไม่ได้ปวดหลังหรอก”
รุทรงงจะพลิกตัวหันมาแต่เมทินีรีบห้าม
“ไม่ต้องหันมา นั่งแบบนี้แหละฉันขอร้อง ฉันมีอะไรจะบอก”
“อะไรเหรอ”
“ตอนแรกที่ฉันยอมแต่งงานกับเธอ ก็เพราะความจำเป็นที่ฉันต้องช่วยไม”
“ผมรู้”
“แต่ที่เธอไม่รู้ก็คือช่วงแรกๆ ที่ฉันเข้ามาอยู่กับเธอ ฉันโคตรอึดอัดเลย”
รุทรขำ “ขนาดนั้นเลยเหรอ”
เมทินียิ้ม “ถึงเราจะรู้จักกันตั้งแต่เด็กๆ แต่ฉันก็ไม่เคยคิดกับเธอเกินเพื่อน จนวันนี้ แล้วก็ตอนนี้...”
รุทรกับเมทินีต่างคนต่างนิ่ง เงียบงันกันไปครู่หนึ่ง
“ตอนนี้เมคิดยังไง” รุทรเป็นฝ่ายถาม
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน หลังๆ มานี่เธอเองก็ดีขึ้น เธอช่วยชีวิตฉันหลายครั้ง เธอดูแลฉัน เธอปกป้องฉัน แล้วฉันก็รู้สึกอบอุ่น ปลอดภัยเวลาอยู่กับเธอ”
รุทรเผลอยิ้มออกมา เมทินีก็ยิ้ม
“มันจะเป็นความรักหรือไม่รักฉันก็ไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ ฉันคิดว่าฉันขาดเธอไม่ได้”
คราวนี้รุทรทนไม่ได้เป็นฝ่ายหันมา เมทินีเองก็ค่อยๆ หันมา สองคนมองสบตากันซึ้งๆ
เมทินีจับมือรุทร “แบบนี้เขาเรียกว่ารักรึเปล่าล่ะ”
รุทรนิ่งเงียบอึ้งอึงอน สับสนไปหมด
เมทินีแปลกใจในท่าทีเขา “ทำไมล่ะ เธอไม่ดีใจเหรอที่วันนี้ฉันรู้สึกแบบนี้กับเธอ”
รุทรถอนใจ “เม ถ้าวันหนึ่งสิ่งที่เมเห็นมันไม่ใช่สิ่งที่มันเป็นล่ะ เมจะทำยังไง”
เมทินีงง “เธอพูดอะไรฉันไม่เข้าใจ”
“ก็คนที่เมคิด มันอาจจะไม่ใช่คนๆ นั้นของเม”
เมทินียิ้ม “ต้องใช่สิ ไม่ว่าวันข้างหน้าเขาจะอ่อนแอลง หรือแข็งแรงเป็นซุปเปอร์แมน แต่เขาก็จะเป็นวาทิตคนเดียวที่ฉันรัก”
รุทรอึ้งหน้าเจื่อนพูดอะไรไม่ออก ระหว่างนี้ เริ่มมีแสงหิ่งห้อยค่อยๆ ลอยลงมา เมทินีตื่นเต้น
“หูย วาทิตดูสิ สวยจัง”
เมทินีดึงวาทิตให้ลุกขึ้น มองหิ่งห้อยนับร้อยนับพันตัวไปด้วยกัน เมทินีสวมกอดรุทร
“ฉันรักเธอนะวาทิต”
รุทรรู้สึกสบสนหนัก พูดอะไรไม่ออก
ส่วนเมทินียิ้มอย่างมีความสุข ที่ได้บอกความในใจให้คนที่รักได้รู้
รุ่งเช้า มองจากด้านนอกตัวบ้านของแรม เห็นบ้านทั้งหลังที่มืดอยู่ ไฟสว่างขึ้น เห็นวารินเปิดประตูออกมาพร้อมไม้กวาดและถังน้ำถูบ้าน แต่ก็ต้องหยุดชะงักที่เห็นอนุวัตรนั่งอยู่หน้าบ้าน
“พี่วัตร ตื่นเช้าไปไหม รินเกือบนึกว่าขโมย” วารินเดินมานั่งด้วย
อนุวัตรทำหน้าตาเบื่อโลก “ขโมยที่ไหนจะมานั่งหน้าบ้านล่ะ”
“แฮะๆ ก็กลัวไว้ก่อน แล้วทำไมตื่นเช้าจัง”
“พี่นอนไม่หลับ”
“ห๊า นี่พี่ยังไม่ได้นอนกเหรอ” วารินมองหน้าพิจารณา “มีเรื่องกลุ้มใจใช่ไหม...รินเองก็เป็นห่วงพี่รุทร”
“ไม่ใช่แค่เรื่องไอ้รุทรหรอก”
“งั้นเรื่องอะไรล่ะ”
“อย่ารู้เลย จะกวาดบ้านใช่ไหม งั้นเดี๋ยวพี่ไปเข้าสวน”
อนุวัตรลุกขึ้นจะไป แต่วารินลุกตาม
“พี่วัตร มีอะไรไม่สบายใจก็บอกรินบ้างนะ เวลารินมีปัญหาพี่วัตรยังคอยแนะนำริน”
“แล้วรินจะช่วยพี่ได้เหรอ”
“ไม่ลองก็ไม่รู้”
อนุวัตรยืนนิ่งคิดชั่วครู่
“ริน พี่ถามหน่อยสิว่า พี่ดีพอที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะรักไหม”
วารินยิ้ม มองเหล่ “ไปแอบชอบใครเหรอ”
“ตอบมาเหอะน่า”
“โอเค ได้ๆ ในสายตาริน พี่วัตรเป็นคนดีมากคนหนึ่งเลยละ”
“ก็คงแค่รินคนเดียวที่คิดแบบนี้”
“ไม่นะ รินว่าคงแค่ผู้หญิงคนนั้นคนเดียวมากกว่า ที่เขาไม่เห็นว่าพี่วัตรเป็นคนดี”
“โห พูดแบบนี้ อย่ามาเป็นที่ปรึกษาพี่ดีกว่า ทำร้ายจิตใจกันชัดๆ”
อนุวัตรเซ็งจะเดินไป แต่วารินพูดตามหลัง
“ทำร้ายยังไง ที่รินพูดน่ะหมายความว่า ถ้าเค้าไม่เห็นความดีของพี่วัตร พี่ก็ทำให้เขาเห็นสิ”
อนุวัตรหยุดกึก “ทำให้เขาเห็นเหรอ”
“ถ้าพี่วัตรรักใครแล้วเก็บไว้ในใจ มันก็จะอยู่แต่ในใจพี่วัตรคนเดียวตลอดไป”
อนุวัตรยิ้มแป้น “ขอบคุณมากนะริน เพิ่งรู้ว่ารินอกหักไปครั้งหนึ่งนี่ถึงกับเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องความรักเลย”
วารินตกใจ “อะไรกัน รินเปล่านะ รินยังไม่ได้คิด”
“เอาเหอะน่า เรื่องเพื่อนรินน่ะพี่รู้ว่าเป็นริน ยังไงก็ขอบใจนะสำหรับข้อคิดดีๆ”
อนุวัตรอารมณ์ดี ร้องเพลงเข้าบ้านไป วารินมองตามแล้วนึกเขิน
“พี่วัตรนะพี่วัตร ทำมารู้ทัน บ้าจริงๆ”
อ่านต่อหน้า 4
เงาใจตอนที่ 13 (ต่อ)
อีกฟากพระอาทิตย์สาดแสงยามเช้าไปทั่วป่าอันเขียนขจี รุทรกับเมทินีนั่งพิงกันหลับ แล้วจู่ๆ มีขนนกมาแหย่ที่จมูกรุทร
รุทรได้สติแล้ว แต่ทำนิ่ง โดยมือข้างตัวกอบกำทรายไว้ ก่อนตัดสินใจโยนใส่หน้าใครคนนั้นทันที
กระเวนร้องลั่น “จ๊าก แสบตาโว้ย”
รุทรกับเมทินีลืมตาขึ้นดู เห็นกะเวนกับชาวบ้านก็ดีใจ
“กะเวน”
“เอ็งเอาทรายปาข้าทำไมไอ้คุณวาทิต” กระเวนโมโหไม่หาย
“ขอโทษ ผมคิดว่าโจร ไปล้างตาก่อนนะ”
รุทรพากะเวนไปที่ริมน้ำแล้วจับหัวกดจุ่ม
“ออกหรือยัง”
“เหลือนิดหน่อย”
พูดไม่ทันจบรุทรก็กดอีก
“เฮ้ย...พอๆๆๆ พอได้แล้ว” กะเวนเช็ดหน้าเช็ดตา
“นี่มาช่วยเราสองคนได้ยังไง” เมทินีถามขึ้น
กะเวนยืดอกขึ้นเหมือนนักรบผู้กล้าแกร่ง
กะเวนเล่าว่า ตอนเช้ามืด เขาและพวกชาวบ้านเดินทางตามมาจนเจอกระท่อมรังโจร กะเวนส่งสัญญาณมือให้ทุกคนอยู่ในความเงียบ แล้วเงี่ยหูฟัง
ด้านในกระท่อม โจรทั้ง 4 ในสภาพสะบักสะบอม กำลังทำแผลตามมีตามเกิด
“พวกเราไม่น่าปล่อยให้นังผู้หญิงนั่นมาตายเลย น่าจะเอามาทำเมียซะก่อน” โจร 3 บ่น
“ตายไปน่ะดีแล้ว ไม่เห็นเหรอว่ามันกูขนาดไหน” โจร 1 ว่า
โจร 2 ถาม “แล้วนี่พวกเราจะเอาไงต่อดีวะ”
โจร 4 บอก “ก็ไปส่งของตามกำหนดสิวะ หรือมึงจะอยากได้อีนั่นจนต้องไปงมหาศพมันเอาไปด้วย”
พวกโจรทั้งสี่ สะพายเป้เดินไป
ส่วนพวกกะเวนซุ่มมองนิ่ง จนกะเวนร้องขึ้น
“เฮ้ย ไปดูที่แม่น้ำเร็ว”
พวกกะเวนรีบวิ่งไปทางแม่น้ำ
ทุกคนอยู่ตรงลานกลางหมู่บ้าน กะเวนเล่าจบแล้วยังยืดอยู่
“ด้วยความกล้าหาญและความฉลาดของข้าถึงได้ไปเจอพวกเอ็งสองคนและช่วยจนรอดมาถึงที่นี่ ใช่ไหมพวกเรา”
ทุกคนปรบมือแต่วาโพตบหัวกะเวน
“เอ็งยังกล้าอวดอีกเหรอ ถ้าเอ็งไม่ทำลูกดอกยาสลบตกใส่เท้า ป่านนี้คงช่วยคุณทั้งสองมาตั้งแต่เมื่อวานเย็นแล้ว”
กะเวนจ๋อยจนรุทรกับเมทินีสงสาร
“ไม่เป็นไรหรอกวาโพ ยังไงพวกเราก็รอดมาได้ แล้วกะเวนก็ช่วยพากลับมานะ”
วาโพเชิดใส่เมทินีแล้วเดินไปกอดรุทรด้วยความเสน่หา
“เป็นยังไงบ้างคะคุณรุทร เจ็บปวดตรงไหน มีแผลหรือเปล่า ไป” วาโพจูงมือรุทร “ไปถอดเสื้อผ้าให้ฉันดูแผลดีกว่านะ”
กะเวนโมโหรีบแทรกกลาง
“มากไปแล้วนะวาโพ เอ็งยังเห็นข้าเป็นผัวอยู่หรือเปล่า”
วาโพส่ายหน้า “ไม่อ่ะ” พลางผลักกะเวนออกแล้วไปเกาะรุทร “ไปจ้ะ”
วาโพจะพารุทรไป เมทินีรีบเข้ามาเกาะแขนอีกข้างของรุทร แล้วดึงรุทรมาบ้าง
“ไม่เป็นไรหรอกวาโพ ให้ฉันดูแลวาทิตเองดีกว่า” เมทินีฉีกยิ้มให้วาโพ
รุทรยังไม่ทันตอบ วาโพก็ดึงรุทรมาทางฝั่งตน
“คุณเมจะยุ่งยากทำไม ฉันดูคุณวาทิตให้”
วาโพดึงกลับ เมทินีก็ไม่ยอมดึงไปดึงมา
“วาโพก็กลับไปดูแลกะเวนสิ”
“ไม่เอาฉันจะดูคุณวาทิต ฉันอยากดู”
รุทรสุดทน สลัดมือจากสองสาว
“เอาล่ะพอได้แล้ว” เขาบอกกับวาโพว่า “วาโพขอบใจมากนะ”
วาโพยิ้มดีใจคิดว่าตัวเองชนะ เกาะแขนรุทรอีก “เห็นไหมคุณวาทิตเลือกฉัน”
“เปล่า ผมหมายความว่าวาโพควรจะไปดูแลกะเวนนะ คือ ผมขอบคุณที่เป็นห่วง แต่มันก็ต้องอยู่ในขอบเขตของความเหมาะสม”
รุทรยิ้มให้ แล้วแกะมือวาโพออกอย่างยากเย็น เพราะวาโพเกาะแน่นไม่ยอมปล่อย แต่เมื่อแกะได้วาโพก็มองหน้ารุทรด้วยความน้อยใจ
“คุณวาทิตอ่ะ คุณทำฉันเสียใจ”
วาโพวิ่งหนีไป กะเวนมองตามรุทรรีบเดินไปเกาะไหล่ปลอบ
“ตามไปสิกะเวน”
“ข้าไม่กล้า”
“มันไม่ใช่เรื่องความกล้าหรือความกลัวหรืออะไรทั้งนั้น แต่มันคือหน้าที่ของสามีที่ดีที่ต้องดูแลภรรยาเวลาที่เขามีปัญหาหรือมีทุกข์ในชีวิต”
พูดจบรุทรก็มองเมทินี เพราะตัวเองพูดในสิ่งที่อยากทำให้เมทินี ถ้าได้เป็นสามีจริงๆ
“ขอบคุณมากนะคุณวาทิต”
กะเวนรีบวิ่งตามวาโพไป รุทรมองตามแล้วหันมาหาเมทินีที่ยืนรออยู่ เมทินีเดินมาจับมือรุทร
รุทรนั่งอยู่บนโขดหินในน้ำ เมทินียืนสระผมให้รุทร โดยยืนอยู่ด้านหน้ารุทร
“ฉันชอบที่เธอบอกกะเวนจังเลย”
“จริงเหรอ”
“จริงสิ เพราะฉันรู้ว่าเธอทำให้ฉันหมดแล้ว รู้ไหม ไม่ว่าเราจะติดอยู่ที่นี่ทั้งชาติหรือไปตกระกำลำบากกว่านี้ฉันก็ไม่กลัว เพราะฉันรู้ว่าฉันมีเธอ วาทิต”
รุทรเงยหน้ามอง เมทินีก็ยิ้มให้ แล้วทั้งสองก็จูบกันแต่จู่ๆรุทรก็ได้สติแล้วผละออกมา ไม่กล้าสบตาเมทินี
“เดี๋ยวผมไปซ่อมรถนะ”
เมทินียิ้มแล้วเอาน้ำล้างผมให้รุทร
ที่ทุ่งบัวตอง รุทรซ่อมรถ ปะยางอยู่จนแล้วเสร็จ จากนั้นมุดลงซ่อมสายอ่อนเบรก สุดท้ายรุทรขึ้นรถลองสตาร์ตเครื่องแล้วถอยรถดึงเบรกมือเพื่อเช็กเบรก รุทรยิ้มดีใจ
“เยส! เก่งจริงๆ ไอ้รุทร”
แล้วรุทรก็นึกขึ้นได้ รีบขับรถกลับตำแหน่งเดิม จีดการปล่อยลมยางออกแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์ หันไปเก็บอุปกรณ์ เมทินีถีบจักรยานที่ขอยืมมามาหา
“เป็นไงบ้าง ซ่อมได้ไหม”
รุทรตีหน้าเศร้า “ยังไม่ได้เลย”
เมทินีหน้าเสีย “เหรอ แย่จัง ติดต่อโลกภายนอกก็ไม่ได้ คนที่ไร่กับครอบครัวฉันคงเป็นห่วงเราสองคน”
“ผมจะรีบซ่อมให้เสร็จเร็วๆ เราจะได้กลับกันนะ”
รุทรยิ้มปลอบ เมทินีพยักหน้ารับ
“ไป งั้นกลับพร้อมกันนะ”
สองคนจูงจักรยานขึ้นเนินไปด้วยกัน รุทรลอบมองเมทินีแล้วยิ้มสมใจ
รุทรกับเมทินีเข็นจักรยานขึ้นมาบนถนนของทุ่งบัวตอง
“จริงๆ อยู่ๆ ไปหลายๆ วันก็ชักเริ่มชอบที่นี่นะ”
“ใช่ อากาศก็ดี คนก็น่ารัก”
“ให้มาอยู่ตลอดไปเอาไหม”
“เป็นไปไม่ได้หรอก ฉันมีภาระเยอะ ถึงอยากจะทำก็ทำไม่ได้ เราคงจะอยู่ได้แค่ช่วงเวลาสั้นๆ แบบนี้เท่านั้น แล้วเธอล่ะ”
“ถูกของเม ผมเองก็มีภาระที่ต้องสะสาง ยังไงก็ต้องกลับไปสู่โลกความเป็นจริง ความจริงที่อาจจะทำร้ายความฝันดีๆ ที่นี่ไป”
รุทรกับเมทินีมองหน้ากันเหมือนไม่อยากจากกัน แต่พอได้สติเมทินีก็รีบชิงพูดเลย
“เธอซ้อนท้ายนะวาทิต ฉันจะขี่เอง”
“มีแรงเหรอเราอ่ะ”
“แหม แข็งแรงเข้าหน่อยมาข่มนะ ลองดูไหมล่ะ”
เมทินีขึ้นขี่จักรยาน รุทรขึ้นซ้อนแกล้งทำตัวถ่วงให้หนัก เมทินีขี่ไปโวยวายไปสลับกับเสียงหัวเราะของรุทรตลอดทาง
ด้านอังกูรเอากุญแจมาเปิดรถพ่อเลี้ยงขึ้นไปนั่ง แล้วสตาร์ตเครื่อง หน้าจอเนวิเกเตอร์ อังกูรกดเปิดเครื่องแล้วกดเลือกเส้นทางที่บันทึกไว้ มีเสียงเนวิเกเตอร์บอกว่า เริ่มต้นการเดินทางที่บันทึกไว้ อังกูรยิ้มร้ายแล้วขับรถออกไป
พ่อเลี้ยงวิทย์เดินเข้าในห้องอาหาร เห็นไม่มีการจัดโต๊ะก็กดกริ่งเรียก เอื้องคำเดินเข้ามาเห็นพ่อเลี้ยงก็แปลกใจ
“ทำไมยังไม่ตั้งโต๊ะเอื้องคำ”
“อ้าว ฉันคิดว่าพ่อเลี้ยงไม่อยู่ค่ะ”
“นี่ คิดเองได้ยัง เวลาฉันไม่อยู่ก็บอกเอื้องคำทุกครั้ง” พ่อเลี้ยงเอะอะ
“ขอโทษค่ะ ก็ฉันเห็นรถพ่อเลี้ยงออกไปเมื่อเช้า ก็คิดว่าพ่อเลี้ยงไปธุระ”
พ่อเลี้ยงวิทย์งง “เมื่อเช้า ฉันไม่ได้ไปไหนนี่” แล้วนึกได้ “หรือไอ้หนานมันเอารถไปเช็ค”
“ไม่ค่ะ หนานมันอยู่”
คราวนี้พ่อเลี้ยงแปลกใจ
“งั้นก็แสดงว่าต้องเป็นกูรน่ะสิ”
พ่อเลี้ยงวิทย์ฟังเรื่องทั้งหมดแล้วกดโทรศัพท์โทร.ออก
“กูร อยู่ที่ไหน เอารถลุงไปหรือเปล่า”
อังกูรขับรถอยู่และเปิดบูลธูทคุยโทรศัพท์
“พอดีผมรีบมาประชุมกับลูกค้าน่ะครับแล้วรถผมก็เสีย เลยต้องเอารถคุณลุงมาก่อน”
เสียงพ่อเลี้ยงฉุนขาด “รถในไร่ก็มีตั้งเยอะ ทำไมไม่ใช้”
“โธ่ คุณลุงครับ ลูกค้ารายนี้เป็นคนสำคัญนะครับ ผมก็ควรใช้รถดีหน่อยไม่ใช่เหรอครับ ผมขอโทษที่ไม่ทันได้บอกคุณลุง รับรองครับ ผมประชุมเสร็จจะรีบกลับทันที”
อังกูรกดตัดสายแล้วขับรถต่อ เสียงเนวิเกเตอร์ดังขึ้นว่า
“อีกห้าร้อยเมตรเลี้ยวซ้าย”
อังกูรขับรถไปตามนั้น ใบหน้าหล่อระบายยิ้มชั่วร้ายออกมา
พ่อเลี้ยงวิทย์อารมณ์เสีย เดินไปนั่งคิดหนัก กังวลว่าอังกูรอาจจะเจอข้อมูล เลยกดโทรศัพท์หาทิปปี้
“ทิปปี้ วันนี้กูรมีนัดกับลูกค้าเหรอ” ฟังแล้วโล่งอก “ไม่มีอะไร ถ้าเขาไปพบลูกค้าจริงก็ไม่เป็นไร ขอบใจนะ”
พ่อเลี้ยงกดวางสายรู้สึกโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง
ตรงโต๊ะที่โรงอาหารคณะ ไมตรีนั่งกินข้าวอย่างเซ็งๆ อยู่ที่นั่น วารินถือจานข้าวมานั่งด้วย
“นั่งด้วยคนนะ”
ไมตรียิ้มรับ วารินจะกินข้าวแต่สังเกตอาการไมตรีแล้วรู้สึกแปลกๆ
“ไม เป็นอะไรหรือเปล่า”
“ไม่มีอะไรหรอก”
“นี่ เมื่อวานก็บอกไม่มี แต่วันนี้เธอก็ดูเครียดๆ กลุ้มใจเรื่องสอบเหรอ”
“เปล่า เรื่องอื่นน่ะ แต่ฉัน...”
“ถ้าไมไม่สะดวกบอกก็ไม่เป็นไร เอาเป็นว่าฉันจะแสตนบายอยู่ตลอด ถ้าเธออยากปรึกษาอะไรเมื่อไหร่ก็บอกนะ”
“ขอบใจนะ”
ไมตรีกับวารินยิ้มให้กัน
วารินนึกได้ “เอ้อ แต่ตอนนี้ฉันมีอะไรอยากให้เธอช่วย”
“อะไรเหรอ”
“ฉันอยากสั่งดอกไม้จากร้านเธอได้หรือเปล่า”
ไมตรีงง “ได้สิ แต่จะเอาไปให้ใคร”
วารินอมยิ้มไม่บอก
ที่ด้านหน้าบ้านแรม เห็นรถของวิทย์แล่นมาจอดแล้วหลบตรงหน้าบ้าน อังกูรเดินลงมา แล้วไปดูที่หน้าบ้าน เห็นบ้านปิดหมด
อังกูรตะโกนเรียก “โทษนะครับ มีใครอยู่ไหมครับ”
อังกูรเดินดูจนรอบบ้าน
“คุณลุงมาที่นี่ทำไม”
ระหว่างนั้นอังกูรมองไปในสวนผัก แล้วตัดสินใจเดินตามทางเล็กๆ ไป
อังกูรเดินมาตามทางในสวนผัก แล้วมองเห็นบ้านอีกหลังอยู่ห่างออกไป อังกูรเดินเข้าไปดูรอบๆ แล้วเห็นประตูบ้านเปิด แต่อังกูรเปลี่ยนใจ เดินไปทางหน้าต่างที่เปิดอยู่ อังกูรมองเข้าก็ต้องตกใจ เมื่อเห็นแรมกำลังเช็ดตัวให้ร่างหนึ่งที่นอนอยู่ อังกูรต้องเพ่งแล้วขยี้ตาให้แน่ชัด แต่มองยังไงก็เป็นวาทิต
“วาทิต”
แรมเช็ดตัววาทิตเสร็จก็ยกอ่างน้ำออกไป
อังกูรสบโอกาสรีบเดินไปที่หน้าต่างแล้วค่อยๆโผล่หน้าดู ระหว่างนั้นแรมเปิดประตูเข้ามาอีก อังกูรรีบหลบ แรมมาทาแป้งให้วาทิต ติดกระดุมเสื้อให้
“วาทิต เดี๋ยวแม่ขอไปทำอาหารกลางวันแล้วจะมาทานข้าวกับลูกนะ รอแป๊บเดียวนะลูกนะ”
แรมเปิดประตูออกไป อังกูรเลยปีนหน้าต่างเข้าไป มายืนดูข้างเตียง แล้วเอามือจับตัววาทิต แต่วาทิตก็ยังหลับไม่รับรู้
อังกูรดูยาที่วางใกล้ๆ ค้นดูทุกอย่างจนเห็นว่าเป็นชื่อวาทิต
“นายนี่คือวาทิต” อังกูรงงงัน “นี่มันอะไรกัน”
สีหน้าอังกูรครุ่นคิด ประมวลเหตุการณ์ ที่ผ่านมา
ตั้งแต่รุทรในคราบวาทิตกับอังกูรเจอกันครั้งแรก รุทรมองเขาแปลกๆ แถมรุทรยังคอยแกล้งกอดหอมเมทินีเสมอ นอกจากนี้ รุทรคอยจับผิดเรื่องงาน สภาพร่างกายของรุทรก็แข็งแรง และรอดตายจากการถูกทำร้ายได้หลายครั้ง
อังกูรคิดแล้ว เดินมามองหน้าวาทิตให้เต็มๆ ตา
“วาทิต ถ้านายคือตัวจริง งั้นไอ้ที่อยู่ในบ้านก็ต้องเป็นแผนชั่วของคุณลุงล่ะสิ”
ระหว่างนั้นมีเสียงกุกกักด้านนอก อังกูรรีบกระโดดหน้าต่างหลบไปอย่างว่องไว
แรมเปิดประตูเข้ามาพร้อมจานข้าว แล้วจะมานั่งข้างๆ วาทิต
“วันนี้แม่มีแกงขนุนด้วยนะ”
แรมจะตักข้าวทาน แต่ตามองไปที่ข้างเตียงที่โต๊ะวางยาแล้วสงสัย
“ทำไมมันกระจัดกระจายแบบนี้ล่ะ”
แรมมองกลับไปที่วาทิต “วาทิต ลูกขยับตัวได้เหรอ”
แต่ระหว่างนั้นก็มีเสียงโทรศัพท์ แรมกดรับ
“คะพ่อเลี้ยง อะไรนะคะ ไม่มีใครมานี่คะ”
แรมเดินมาโผล่ที่หน้าต่างที่อังกูรหลบอยู่
“ค่ะไม่มีแน่นอนค่ะ”
แรมกดวางสายโดยไม่รู้ว่าอังกูรแอบวิ่งออกไปแล้ว
แรมเดินกลับมาดูที่โต๊ะวางยาพูดบอกกับวาทิตว่า “คงไม่มีอะไรหรอกลูก พ่อเลี้ยงแกห่วงเรา แต่แม่ว่าแม่อาจจะวางยาไม่ดีเอง”
อีกฟาก รุทร เมทินี กะเวน และวาโพ นั่งรวมอยู่กับชาวบ้านหลังมื้อค่ำ
“คุณวาทิต วันนี้ร้องเพลงให้ฟังอีกนะ ไม่ได้ฟังเสียงมาหนึ่งวันคิดถึงจังเลย” วาโพยิ้มระรื่น
รุทรรู้สึกอึดอัดมองไปที่กะเวน
“ไม่เป็นไรหรอก ข้ากับวาโพคุยกันแล้ว คุณร้องให้มันฟังเถอะ”
กะเวนยิ้มเป็นเชิงอนุญาต รุทรเลยหยิบกีตาร์มาร้องเพลง
แต่ระหว่างที่ร้องๆ อยู่ ก็มีหนุ่มๆ มาจีบเมทินี จนรุทรร้องผิดร้องถูก เพราะเมทินีก็ยิ้มหัวคุยกับหนุ่มๆ ด้วย
จู่ๆ รุทรก็หยุดร้อง แล้วลุกเดินไปหาเมทินี แล้วดึงเมทินีกลับไป ท่ามกลางความงุนงงของทุกคน
กะเวนเดินมาหาวาโพ “เป็นไง ตัดใจได้หรือยัง”
วาโพค้อนหนึ่งวง
รุทรดึงเมทินีมานั่งที่แคร่ใต้ถุนเรือน ท่าทางหงุดหงิดเอาการ
“เมื่อคืนบอกรักผม แต่วันนี้ไปคุยกันคนอื่นระรื่นเลยนะ”
“ระรื่นที่ไหน ก็เขามาคุยด้วย”
“แล้วต้องคุยกับทุกคนงั้นเหรอ”
เมทินียิ้มขัน “นี่...ผู้หญิงสวยก็ต้องมีตัวเลือกเยอะสิ”
“หืมม...เจ้าชู้น่ะสิ ดีผมจะตัดตัวเลือกให้”
“หมายความว่าไง”
“พรุ่งนี้เราจะกลับ”
เมทินีงง “อ้าว ไหนว่ารถยังซ่อมไม่ได้แล้วเราจะกลับไง”
“ก็..ก็ยังซ่อมไม่ได้ แต่ตอนนี้เสร็จแล้ว”
“เธอไปซ่อมอีกตอนไหน”
“เอาเหอะน่า พรุ่งนี้เรากลับ”
รุทรฉุนเดินหนีเข้ากระท่อมไป เมทินีมองตามยิ้มๆ
“ที่เมื่อก่อนเราไม่รักก็บอกรักอยู่ได้ พอเรารักล่ะทำเล่นตัว ดี จะยั่วให้มึนเลย”
เมทินีขำแล้วจะเดินตามเข้าบ้านแล้วนึกได้
“แสดงว่าวาทิตซ่อมรถได้แล้วแต่โกหกเรา เพราะอยากอยู่ที่นี่กับเราอ่ะสิ”
เมทินีคิดแล้วก็เดินเข้าบ้านอย่างมีความสุข
ตรงลานกลางหมู่บ้านเช้านี้ กะเวน วาโพ กับชาวบ้านยืนล้อมส่งรุทรกับเมทินี
วาโพร้องไห้กระซิกๆ “อะไรกันทำไมอยู่ๆก็กลับล่ะ อยู่อีกสักสิบยี่สิบปีไม่ได้เหรอ”
“ไม่ได้หรอก แต่ผมก็ขอบคุณนะวาโพที่ดีกับผมและเมตลอดมา”
วาโพเข้ากอดแน่น ร้องไห้ไม่หยุดจนรุทรต้องรีบแกะออก
“พวกเอ็งก็เดินทางดีๆ นะ ขอบคุณที่มาช่วยสร้างโรงเรียนให้” กะเวนอุ้มลูกหมูส่งให้รุทร “พวกเราก็ไม่มีอะไรให้ นอกจากไอ้กุ๊กกู๋นี่ละ”
“ไม่ต้องห่วงนะคะ พวกเราจะดูแลมันอย่างดี”
รุทรกับเมทินีโบกมือให้ทุกคนแล้วเดินไป รุทรนึกได้เดินกลับมาหากะเวน
“เมื่อวานที่หายไปกับวาโพคุยอะไรกันแล้วผลเป็นไงบ้าง”
กะเวนยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา
รุทรขับรถอมยิ้มมาตลอดทาง เมทินีหัวเราะสบายใจอุ้มหมูอยู่ด้วย
“จริงเหรอ กะเวนบอกวาโพเลยเหรอว่าจะรักวาโพ ไม่ว่าวาโพจะรักหรือไม่”
“ใช่ วาโพเลยบอกว่าให้คอยจนผมไปจากที่นี่แล้วจะพิจารณา”
“ดีแล้วที่ไม่อยู่ต่อ”
“ทำไม กลัวผมจะรักวาโพเหรอ”
“บ้า ไม่กลัวหรอก เธอต่างหากที่หึงฉัน”
“ตกลงไม่หึงผมใช่ไหม”
“ใช่”
“งั้นผมจะเลี้ยวรถกลับไปหาวาโพนะ”
“เอ้ย ไม่เอานะ คือฉันเป็นห่วงแม่กับน้องน่ะ รีบกลับกันเถอะ”
รุทรอมยิ้มขับรถไปอีกสักระยะ เมทินีเอาโทรศัพท์มาดูแล้วดีใจ
“มีคลื่นแล้ว”
รุทรดีใจ “จริงเหรอ”
รุทรจอดรถไว้ริมทาง สองคนแยกกันคุยโทรศัพท์คนละมุม เมทินีคุยสายกับมณี
“แม่ เมขอโทษ ทุกอย่างมันเป็นอุบัติเหตุ แต่ตอนนี้เมปลอดภัยแล้ว ฝากบอกไมด้วยนะ”
ส่วนรุทรคุยสายกับพ่อเลี้ยง
“ผมบอกคุณลุงแล้วแม่ ยังไงแม่บอกรินกับไอ้วัตรด้วยนะครับ แล้วผมจะรีบหาโอกาสไปเยี่ยมครับ”
ทั้งสองวางสายเสร็จก็เดินมาหากัน
“สบายใจแล้ว ฉันบอกแม่กับไมแล้ว เธอล่ะ”
รุทรใจลอยเผลอหลุดปาก “ผมก็บอกแม่แล้วเหมือนกัน”
เมทินีงง “แม่เธอเหรอ”
“เอ่อ ไม่ใช่ พูดผิด ผมหมายถึงคุณพ่อน่ะ”
เมทินีเดินไปจับมือรุทร “ไป เรากลับไปเริ่มต้นชีวิตคู่ของเรานะ”
รุทรยิ้มรับเจื่อนๆ เปิดประตูให้เมทินีขึ้นรถ แล้วตัวเองเดินไปทางหลังรถแล้วมองไปในรถ
“ชีวิตคู่ของเรางั้นเหรอ”
รุทรพึมพำ ท่าทางกลัดกลุ้ม อึดอัดใจมาก
กิจจากับกินรีตกใจที่รู้เรื่องจากอังกูรซึ่งมารายงานถึงบ้าน
“อะไรนะ นี่ไอ้วิทย์มันถึงกับเอาตัวปลอมมาแทนวาทิตเลยเหรอ เลวชาติมาก”
“งั้นก็ไม่แปลกที่ยาทั้งหมดจะเป็นของปลอม และสุขภาพของคุณวาทิตจะดีขึ้นผิดหูผิดตา” กินรีเกาะแขนอังกูรสีหน้าเป็นกังวล “คุณกูรคะ นรีเป็นห่วง พ่อเลี้ยงทำแบบนี้อาจจะคิดไม่ดีกับคุณก็ได้”
“ไม่ใช่อาจจะหรอกนรี ลงแบบนี้มันคิดไม่ซื่อกันแล้ว” กิจจาว่า
“ใช่ครับ ในเมื่อคุณลุงคิดไม่ซื่อกับผม ผมก็จะตอบโต้เหมือนกัน”
“ดีมาก กูรคิดจะทำอะไร”
อังกูรไม่ตอบ เพียงยิ้มชั่วออกมา
ทิปปี้นั่งคุยสายกับเมทินี อยู่ที่โต๊ะทำงานในออฟฟิศ ด้วยสีหน้าตื่นเต้น
“เม แกกับวาทิตอยู่ไหน รู้ไหมทุกคนเขาเป็นห่วง” ทิปปี้ดีใจร้องกรี๊ดๆ “อ๊าย...นี่จะกลับมาแล้วเหรอ แล้วพ่อเลี้ยงรู้หรือยัง มิน่าเช้านี้พ่อเลี้ยงยังไม่เข้าออฟฟิศเลยได้ๆ เดี๋ยวฉันจะหมอบกราบรอรับแกเลย”
ทิปปี้วางสาย เห็นอังกูรเดินเข้ามาในออฟฟิศพอดี รีบร้องบอกด้วยอาการดีใจ
“พี่กูร วาทิตกับเมกลับมาแล้วค่ะ”
อังกูรชะงัก แล้วรีบพุ่งไปหาทิปปี้ทันที พร้อมกับถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“เมกลับมาแล้วเหรอ เมื่อไหร่ แล้วตอนนี้เมอยู่ที่ไหน”
“กำลังจะเข้าไร่แล้วค่ะ ป่านนี้พ่อเลี้ยงกับทุกคนคงไปรอรับแล้ว ทิปปี้ก็จะไปรับ พี่กูรไปด้วยกันนะ”
อังกูรนิ่งอึ้งไปที่รู้ว่าทุกคนรู้หมดแล้วยกเว้นตน “นี่พี่รู้เป็นคนสุดท้ายเหรอ”
ทิปปี้อึ้ง รู้ทันทีว่าอังกูรไม่พอใจ
“พี่กูรอย่าเพิ่งโกรธนะ บางทีเมคงคิดว่ายังไงทิปปี้ก็ต้องบอกพี่กูรอยู่แล้ว”
อังกูรยืนนิ่งจนทิปปี้ใจไม่ดี
รถของรุทรจอดอยู่หน้าบ้านแล้ว หนานกับจั่นเป็งช่วยกันยกกระเป๋าลงจากรถ แล้วเดินเข้าในบ้าน ผ่าน พ่อเลี้ยงวิทย์ เมทินี รุทร อังกูร ทิปปี้ และเอื้องคำที่ยืนอยู่ เอื้องคำมองค้อนเมทินีอย่างไม่ชอบขี้หน้า
“ผมกับเมต้องขอโทษด้วยครับ ที่ทำให้คุณพ่อกับทุกคนเป็นห่วง”
“ไม่เป็นไรหรอก ลูกทั้งสองกลับมาอย่างปลอดภัยพ่อก็ดีใจแล้ว”
“แล้วนี่ตกลงเธอสองคนไปอยู่ที่ไหนกันมา ถึงได้เงียบหายไปเลย” ทิปปี้ถามขึ้น
“คือเราหลงทางแล้วรถก็เสีย โชคดีที่ได้ชาวเขาหมู่บ้านหนึ่งช่วยไว้” เมทินีบอก
อังกูรตั้งป้อม “นี่หลงทางกันจริงเหรอ ไม่ใช่ว่ามีใครจงใจพาเมหายไปใช่ไหม”
พูดจบอังกูรห็ปรายตามองไปที่พ่อเลี้ยงวิทย์
“เมกับวาทิตหลงทางจริงๆ พี่กูร”
“เชื่อหรือยังว่าลุงไม่รู้เรื่อง” พ่อเลี้ยงหงุดหงิด
อังกูรนิ่งเงียบไม่ตอบ เพราะยังไงก็ไม่ไว้ใจลุง เอื้องคำเดินไปจับมือวาทิตด้วยความเป็นห่วง
“คราวหน้าอย่าไปไหนมาไหนเองแบบนี้อีกนะคะ บอกตรงๆ ป้าเป็นห่วงกลัวมีคนทำอันตรายคุณวาทิต...โดยเฉพาะคนใกล้ตัวที่คุณวาทิตไปหลงไว้ใจ”
เอื้องคำก็ปรายตามองด้วยสายตาพิฆาต เมทินีเซ็ง รุทรรู้ว่าเอื้องคำยังไม่ชอบเมทินี ก็เลยพยามไกล่เกลี่ย
“ไม่มีใครทำอันตรายฉันได้หรอก ป้าไม่ต้องเป็นห่วงนะ”
“นั่นสิ ป้าเลิกห่วงวาทิตได้แล้ว เดี๋ยวนี้เค้าไม่ใช่วาทิตคนเดิมแล้วป้าก็รู้”
อังกูรพูดจบแล้วมองจ้องรุทรกับพ่อเลี้ยง จนทั้งสองเริ่มกังวลแต่ก็พยามนิ่งเข้าไว้
“คุณกูรพูดอะไรคะป้างง”
“ก็อย่างที่เราทุกคนเห็นไง เดี๋ยวนี้วาทิตเขาแข็งแรง สุขภาพดี ดี...จนเหมือนเป็นคนละคน...ใช่ไหมครับคุณลุง”
อังกูรโยนลูกมาที่ลุง พ่อเลี้ยงวิทย์กับรุทรเริ่มเครียด แต่ไม่แน่ใจว่าอังกูรจะมาไม้ไหน เมทินีกับทิปปี้ก็เริ่มงงๆ กับสิ่งที่อังกูรพูด
“หมอที่กรุงเทพฯเขาเก่ง เลยทำให้วาทิตให้แข็งแรงขึ้น” พ่อเลี้ยงบอก
“โรงพยาบาลไหน หมอชื่ออะไรครับ ผมอยากจะไปขอบคุณเขาสักหน่อยที่ทำให้น้องผมแข็งแรง จนน่าตกใจ”
ลุงหลานจ้องหน้ากัน อังกูรประสานสายตาสู้ชนิดไม่กลัวเกรง แล้วยิ้มร้ายขณะหันไปจ้องหน้ากับรุทรซึ่งก็ไปไม่ถูกเหมือนกัน
พ่อเลี้ยงวิทย์ตัดบท “กูร น้องเพิ่งกลับมา เรื่องอื่นเราไว้คุยกันทีหลังแล้วกัน”
อังกูรยิ้มรับกวนๆ รุทรกับพ่อเลี้ยงวิทย์ลอบมองหน้ากันด้วยความกังวล เมทินีกับทิปปี้ก็มองหน้ากันสงสัยในสิ่งที่อังกูรพูด
พ่อเลี้ยงวิทย์กับรุทรปิดห้องทำงานนั่งคุยกันเรื่องท่าทีอังกูร
“ตั้งแต่ลุงกลับมานี่กูรชอบพูดจาแปลกๆ ตอนแรกลุงก็คิดแค่ว่าเขาคงไม่ชอบลุงกับวาทิต แต่ตอนนี้...”
“คุณลุงกำลังคิดว่าคุณกูรสงสัยผมแล้วใช่ไหมครับ”
“อาจจะมากกว่าสงสัย”
“คุณลุงคิดว่าคุณกูรรู้ว่าผมไม่ใช่วาทิตเหรอครับ”
“ลุงก็ไม่แน่ใจ คนอย่างกูรมักเลือกทำอะไรที่เราคาดเดาไม่ออกเสมอ”
“ถ้าอย่างนั้นผมจะระมัดระวังตัวให้มากขึ้นนะครับ”
“แค่นั้นไม่พอหรอก”
รุทรฉงน “คุณลุงหมายความว่าไงครับ”
“บอกตรงๆ ลุงรู้สึกเป็นห่วงไปถึงวาทิต บางทีลุงจะรีบเคลียร์งานทางนี้แล้วกลับไปดูวาทิต”
“ครับ ผมฝากแม่กับน้องด้วยนะครับ”
รุทรกับพ่อเลี้ยงวิทย์กังวลมาก สีหน้าเครียดกันทั้งคู่
ทิปปี้อยู่ในห้องนอนเมทินี มีสีหน้าตกใจมากเมื่อฟังจบ
“อะไรนะ นี่แกบอกชอบวาทิตแล้วเหรอ”
เมทินีที่กำลังเอาเสื้อผ้าออกจากกระเป๋า ยิ้มอาย
“ฉันงงไปหมดแล้ว ก็ไหนแกสงสัยว่าวาทิตดูแปลกๆ ไม่ใช่เหรอ ตกลงแกสงสัยไปสงสัยมา ก็เลยชอบวาทิตขึ้นมาจริงๆ” ทิปปี้ค่อน
เมทินียิ้ม “มันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ฉันก็ไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ ฉันรู้สึกอบอุ่นปลอดภัยเวลาอยู่ใกล้ๆ วาทิต”
ทิปปี้ถอนใจ “เฮ้อ...ฉันเพิ่งจะคิดอะไรได้อยู่เมื่อกี้นี้เอง สงสัยคงไม่ต้องคิดต่อแล้ว”
“แกคิดอะไรเหรอ”
“ก็ที่พี่กูรพูดน่ะสิ ทำไมพ่อเลี้ยงต้องปิดเรื่องหมอกับเรื่องโรงพยาบาล ที่วาทิตไปรักษาตัวด้วย แล้วหมอเทวดาที่ไหนนะถึงได้รักษาวาทิตให้เป็นคนละคนขนาดนี้”
“ฉันก็ยังสงสัยอยู่นะ แต่ ถ้าฉันสงสัยแล้วฉันจะค้นหาไปทำไม เพราะไม่ว่ายังไงฉันก็รักวาทิตแน่นอน”
ทิปปี้จับมือเพื่อนยิ้มดีใจด้วย “ก็ถูกของแกนะ ไม่ว่าวาทิตคนก่อนหรือคนนี้ ก็เป็นคนดีที่รักแกทั้งคู่ ฉันดีใจนะที่แกกับวาทิตรักกัน ขอให้แกมีความสุขกับความรักครั้งนี้นะ”
ทิปปี้ดึงเมทินีเข้ามากอด
ทิปปี้ทำหน้าตาเจ้าเล่ห์แกล้งเมทินี “ว่าแต่ตอนแกไปอยู่ที่หมู่บ้านนั่นสองคน แกเอ่อ....”
เมทินีเขิน “บ้าเหรอ...ไม่มีหรอก”
“จะไปรู้เหรอ เห็นมีความสุขนักหนานี่”
เมทินีคิดถึงตอนอยู่บนเขา “ใช่ ตอนที่อยู่บนนั้นฉันคิดว่ามีความสุขมากนะ เอาเข้าจริงก็ไม่อยากลงมาเลย”
ทิปปี้ฟังแล้วกรี๊ด จนมีเสียงเคาะประตู
“เข้ามาได้”
ประตูเปิดออกเห็นเป็นอังกูรยืนยิ้มอยู่
“พี่มีเรื่องอยากคุยกับเม”
เมทินีรู้สึกอึดอัด ทิปปี้เองก็หวั่นใจว่าอังกูรจะทำเสียเรื่องไหม
สองคนอยู่ที่แปลงดอกไม้ อังกูรมองเมทินีด้วยแววตาที่บ่งบอกความรู้สึกทั้งผิดหวัง เสียใจ และน้อยใจ
“พี่เสียใจนะที่เมไม่คิดจะโทร.หาพี่ทันทีที่ใช้โทรศัพท์ได้ และที่แย่ที่สุดคือพี่เป็นคนสุดท้ายในไร่ที่รู้ว่าเมกลับมา”
“เม ขอโทษค่ะ เมคิดว่าทิปปี้น่าจะบอกพี่กูร”
“แต่พี่อยากรู้จากเม พี่อยากฟังเสียงเม”
เมทินีเริ่มรู้สึกอึดอัด จึงเลี่ยงที่จะไม่ตอบ
“รู้ไหมว่าพี่เป็นห่วงและคิดถึงเมมากแค่ไหน”
“พี่กูร เราเคยคุยกันแล้วว่า เราจะเป็นพี่น้องกันไม่ใช่เหรอคะ”
“ใช่ เราเคยคุยกัน แต่เมรู้ไหมพี่ไม่เคยทำได้เลย” อังกูรคว้ามือเมทินีมาจับมั่น “พี่ยังรักเมตลอดไม่มีลดลงเลยแม้แต่วินาทีเดียว”
อังกูรบีบมือเมทินีแน่น เมทินีค่อยๆ ดึงมือออก
“เมขอบคุณพี่กูรมากนะคะกับความรู้สึกดีๆ ที่มีให้เม แต่ยังไงมันก็ไม่มีทางเป็นไปได้”
อังกูรบอกอย่างจริงจัง “อีกไม่นานหรอกเม พี่จะทำให้มันเป็นไปได้ เมจะไม่ต้องทนทรมานกับวาทิต”
“พี่กูรคะ การที่เมได้อยู่กับวาทิต เมไม่ได้รู้สึกทรมานหรือลำบากอะไรเลย”
อังกูรอึ้ง “หมายความว่า เมรู้สึกดี ที่อยู่กับมันงั้นเหรอ”
“มันมากกว่าความรู้สึกดีแล้วค่ะพี่กูร”
อังกูรโมโห “เมรักมันใช่ไหม”
เมทินีไม่ตอบเพราะไม่อยากทำร้ายจิตใจอังกูรอีก อังกูรเสียใจเจ็บใจมากกำหมัดแน่น
“เมขอให้เราสองคน เป็นพี่น้องกันอย่างที่เคยตกลงกันไว้ดีกว่านะคะ”
เมทินีสงสารอังกูรแต่ก็คิดว่าเดินจากมาจะดีกว่า อังกูรมองตามด้วยความเจ็บปวด แล้วตัดสินใจโพล่งออกมา
“วันหนึ่งเมจะเสียใจ เพราะไอ้วาทิตกับพ่อมัน”
เมทินีชะงัก นึกโกรธ “พี่กูร ถ้าพี่กูรหยาบคายแบบนี้เมจะไม่คุยกับพี่กูรอีก”
อังกูรเดินเข้ามาหาแล้วบีบแขนเมทินี
“ไม่เป็นไร วันนี้เมจะรักมันก็ไม่เป็นไร แต่พี่รู้ว่าอีกไม่นานเมจะเกลียดมันแล้วกลับมารักพี่”
เมทินีมองอังกูรไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพูด แต่อดนึกกังวลไม่ได้ว่า เรื่องอาจจะต้องยุ่งยากขึ้นมาอีกแน่ๆ
อ่านต่อตอนที่ 14