xs
xsm
sm
md
lg

บางระจัน ตอนที่ 12

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


บางระจัน ตอนที่ 12

จวงนั่งพิงเสา น้ำตายังไหลซึมเพราะความเสียใจที่สังข์ต้องออกไปจากค่าย สไบ บเฟื่องคอยนั่งปลอบใจ แฟงเดินมา จวงมอง

"พี่ทัพว่าอย่างไรบ้าง แฟง พี่ทัพจะไปตามพี่สังข์กลับมาใช่มั้ย"
แฟงส่ายหน้า จวงลุกขึ้นพุ่งไปที่แฟง
"ทำไม แฟงช่วยพูดกับพี่ทัพให้ฉันทีเถิด"
"จวง ใจดีๆ ฉันพูดแล้ว"
"พูดอีกสิ แฟง พูดอีก พี่ทัพเชื่อแฟง พี่ทัพรักแฟง พี่ทัพต้องช่วยพี่สังข์ อย่าปล่อยพี่สังข์ไปตายแบบนี้"
จวงร้องไห้โฮ แฟงกอดเพื่อนไว้
สไบ กับเฟื่องมองสีหน้าไม่ดี
"จวง รอให้พี่ทัพใจเย็นลง ฉันจะไปช่วยพูด"
"พี่ขาบจะต้องไปช่วยตามพี่สังข์" เฟื่องบอก
"ถึงตอนนั้นพี่สังข์ก็เป็นผีเฝ้าป่าแล้ว"
"จวง อย่าพูดให้ร้ายผัว" เฟื่องว่า
"แล้วที่พี่ทัพ พี่ขาบทำกับพี่สังข์ล่ะ ปล่อยผัวฉัน ออกไปตายเอาดาบหน้า พี่สังข์เค้าไม่ใช่คนเลว พี่ทัพไม่รักเพื่อน ไป ไปให้พ้นหน้าฉันทั้งหมด พวกแกมันพวกคนดี ปล่อยฉันอยู่คนเดียว"
จวงสะบัด แฟงจับไว้
"จวง เราเป็นเพื่อนกันนะ"
"ไม่ ..ฉันไม่นับใครเป็นเพื่อนอีกแล้ว ฉันจะไปตามพี่สังข์"
จวงดิ้นสุดแรง ผลักแฟงล้ม เฟื่องเข้ามา จวงผลักเฟื่องกระเด็นไปอีกคน สไบพุ่งเข้ารวบตัวจวงที่กำลังเสียใจไว้
"จวง จวงยังมีพวกเรานะ พี่สังข์ต้องไม่เป็นอะไร พี่สังข์ต้องกลับมารับจวง"
เสียงจวงร้องครางด้วยความเสียใจ จนทุกคนไม่อาจกลั้นน้ำตาแห่งความสงสารไว้ได้

เวลากลางคืน ทัพยืนหน้าเครียด ใจเดินเปะปะมา ทัพหันไปมอง ใจมีไม้คอยช่วยนำทางมา
"ถ้าเอ็งจะมาพูดเรื่องไอ้สังข์ ข้าว่าเอ็งกลับไปเถอะ ใจ"
ใจมาหยุดลงใกล้ทัพ แต่ตายังมองเลยทัพไปไกล
"เห็นแก่ความเป็นมิตรสักครั้ง"
"เอ็งก็เห็น ไอ้สังข์มันคิดว่าข้าเหยียบย่ำคนอื่น เอาดีเข้าตัวคนเดียว"
"สังข์มันพาลโมโหที่พี่เห็นใจฉัน ช่วยฉัน"
ทัพมองใจ
"ข้าไม่แตกกับเกลอด้วยเรื่องคนอื่น"
"ขาดสังข์ไป พี่จะมีใครช่วยร่วมรบ"
"คนทั้งค่ายนี่ไงเล่า ใจ .. คนทั้งค่ายบ้านระจันที่ยังสามัคคี น้ำหนึ่งใจเดียวไล่ข้าศึก .. ข้าถือว่า เนื้อไหนร้าย ปล่อยให้เน่า มันก็ลามไปเนื้อดี"
ทัพเดินเข้ามาใกล้ใจที่ยืนตามองไปข้างหน้า
"ยอมเจ็บเพลานี้ ตัดแขนข้างเดียว ดีกว่าต้องเน่าตายทั้งตัว ขาดไอ้สังข์คนเดียว ค่ายบ้านระจันก็ไม่ล่ม"
ใจนิ่ง มองไปด้านหน้า ทัพจ้องใจด้วยแววตานิ่ง
หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ทางไปวิเศษชัยชาญ เวลากลางคืนต่อเนื่องมา ทหารอังวะพากันขนข้าวของที่ปล้นขึ้นเกวียนขนสมบัติ ข้าวของกระจัดจายอยู่ บางคนก็ลากพวกผู้หญิงมา....เสียงผู้หญิงกรีดร้อง
หญิงคนหนึ่งวีดร้อง
"ปล่อยกู ปล่อยกู ฆ่ากูเลยสิวะ พวกมึงเผาหมู่บ้านกูเหลือแต่ซาก มึงก็ฆ่ากูเสียเลย"
หญิงคนที่สองบอก
"ฟันกูให้ตายเหมือนที่พวกมึงฟันพ่อฟันแม่กู กูยอมตาย กูไม่เป็นเมียพวกมึง"
สังข์เดินดุ่มมากำดาบเตรียมพร้อม....สังข์เข้าขวางทันที ทหารทั้งหมดมองสังข์
ทหาร 2 คนจับหญิงชาวบ้านถอยห่าง อีก 8 คนล้อมสังข์ไว้ ทหาร 2 คนกรูเข้ามา สังข์ฟัน จนกระเจิง อีก 2 เข้ามารุม สังข์หันแล้วหลบวูบ พุ่งไปทางที่ทหารจับผู้หญิงไว้
ทหารปล่อยมือหญิงชาวบ้าน เข้ามาฟัน สังข์ฟันลงไปที่ทหาร 2 คน ทหารขาดใจตาย
"หนีไป"
หญิงชาวบ้าน 2 คนรีบวิ่ง สังข์หันมาเจอทหารอังวะอีก 2 ถีบ สังข์กระเด็น ทหารเข้ามา สังข์แทง แต่ทหารหลบได้ ทหารอังวะกระทืบซ้ำจนสังข์ลุกไม่ขึ้น
 
สังข์กำดาบจะแทง แต่ทหารอังวะเงื้อดาบ จะปักลงมาตรงที่ร่างสังข์ !

ค่ายอังวะกว้างขวางใหญ่โต ทหารอังวะกำลังคุมเชลยไทยทั้งชายหญิงทำงานโกลาหลไปทั้งค่าย
 
นายกองม้าอังวะ 2 นาย ควบม้านำสังข์ที่ถูกจับใส่ขื่อคา พร้อมกับเชลยชายอีก 4-5 คนเข้ามาในค่าย สังข์มองไปรอบๆอย่างตื่นเต้น สมใจอยากที่จะได้เข้ามาในค่ายนี้ทั้งๆที่จะหมดแรง สังข์เดินผ่านสิ่งต่างๆในค่ายอย่างจดจำ เห็นเชลยชายบางคนถูกจองจำในเครื่องทรมานอย่างทารุณ สังข์มองอย่างเครียดแค้น แต่จำต้องอดทนเพื่องานบางอย่าง

สังข์เดินมาถึงกรงเชลยหน้าศาลากองบัญชาการที่กำลังสร้างใหม่ เห็นทหารอังวะกำลังคุมเชลยไทยสร้างกรงอยู่ มีเครื่องทรมาน เชลยมากมาย หญิงเชลยคนหนึ่งวิ่งมาห้ามทหารอังวะที่กำลังเฆี่ยนตีผัวตัวเองอยู่
"อย่าทำผัวข้า เวทนาข้าเถิด เขาไม่สบาย"
นายกองอังวะขี่ม้านำสังข์กับกลุ่มเชลยใหม่มาเห็นก็ไม่พอใจ
นายกองอังวะบอก
"ดี่ก๊อมะพาไล้ (เอาตัวผู้หญิงคนไป)"
ทหารที่คุมตัวสังข์มาเข้าไปกระชากผู้หญิงเชลยคนนั้นออกไปอย่างไม่ปรานีปราศรัย
หญิงเชลยคนนั้นพยายามขัดขืนจึงถูกทุบตีอย่างหนัก สังข์ทนไม่ได้วิ่งออกไปช่วย
"มึงรังแกผู้หญิงแบบนี้หรือ"
ทหารอังวะหันมาเตะต่อยสังข์ไม่ยั้ง จนล้มลุกคลุกคลาน สังข์สู้ทั้งๆที่มือติดขื่อคาอยู่
พวกทหารอังวะแถวนั้นจึงพากันรุมยำสังข์จนน่วมไปทั้งตัว สังข์สู้ขาดใจเอาขื่อคาสู้กับดาบจนขื่อคาขาดกระเด็น
พวกทหารอังวะเงื้อดาบตรงเข้าจะรุมฟัน
เสียงมยิหวุ่นบอก
"โล๊ะไล้...(ปล่อยมัน)"
ทหารอังวะทั้งหมดชะงัก หันไปเห็นมยิหวุ่น ต่างพากันถอยหนีห่างออกมาจากสังข์เหมือนรู้ว่าจะเกิด
อะไรขึ้น
มะยิหวุ่นควบม้าเข้ามามองสังข์ ก่อนจะกระโดดลงจากหลังม้า ตรงมาที่สังข์อย่างเยือกเย็น
"ลุกขึ้น"
สังข์ลุกขึ้นด้วยความไม่แน่ใจ
"ข้าดูเอ็งสู้อยู่นาน ฝีมือเอ็งมิใช่ชาวบ้านธรรมดา"
สังข์ยืนจ้องหน้าอย่าไม่เกรงกลัว
"กูคือคนระจัน เคยเป็นทหารกรุงศรี"
มยิหวุ่นเดินยิ้ม ท่าทางกวนๆเข้ามาใกล้สังข์อีก แต่ก่อนจะพูดอะไรต่อ....มยิหวุ่นก็ปล่อยหมัด เท้าเข้าใส่
สังข์ จนสังข์กระเด็นไปชนข้าวของล้มระเนระนาดไป
มยิหวุ่นหัวเราะชอบใจ
"ข้าอยากเจอคนระจันนัก มา...เข้ามา"
สังข์ไม่รอช้ากระโดดเข้าสู้กับมยิหวุ่นทันที ทั้งคู่ต่อสู้กันด้วยมือเปล่าอย่างทระนง ต่างคนต่างแก้เชิงมวยกันเป็นพัลวัน.... จนท้ายสุดสังข์พลาด สังข์ถูกแม่ไม้เด็ดของมยิหวุ่นจนสลบ
มยิหวุ่น เดินเข้ามามองสังข์อย่างแค้นเคือง

"ค่ายระจัน..มีคนเคยเป็นทหารมานี่เอง ถึงเอาชนะมิได้สักที คืนนี้จอกยีโบจะเป็นคนสอบสวนมึงเอง"

ใจนั่งอยู่ สีหน้าครุ่นคิดเรื่องสังข์ สไบเดินเข้ามาใกล้ ใจถอนใจหนักๆ

"สังข์มันจะไปไกลถึงไหนแล้ว ข้างนอกมีแต่อังวะทุกหย่อมหญ้า"
"บางที พอหายโกรธ พี่สังข์อาจจะเปลี่ยนใจกลับมา" สไบบอก
"พี่ผิดเหลือเกิน ผิดมามาก"
"พูดออกมาเสียบ้างเถอะจ้ะ .. สไบจะรับฟังพี่ทุกอย่าง"
ใจบีบมือสไบอย่างคนมีความทุกข์อัดอั้นในใจ
"พี่อยากจะลืมมันให้หมด ลืมว่าเคยทำอะไรลงไป จำแค่วันนี้ ที่นี่ ...มีสไบที่ผูกใจพี่ไว้"
"ที่ค่ายบ้านระจัน ทุกคนเราเหมือนพี่กันน้องกัน ทุกข์ยากเราก็จะลำบากด้วยกัน รอวันที่อังวะถอยทัพไปจนหมดแผ่นดิน เราจะสร้างบ้านของเราอยู่ที่นี่"
ใจบีบมือสไบ ยิ้มเศร้า ไม่แน่ใจนักกับความหวังสวยงามของคนรัก
"พี่ก็อยากฝันแบบสไบ แต่ทัพอังวะต้องการตีกรุงศรีให้ได้"
"พี่ใจตอบฉันสักคำเถอะนะ ตอบเมียของพี่ พี่เลือกที่จะอยู่ข้างอังวะหรืออยู่ข้างเมียพี่"
ใจดึงมือออกจากสไบ สีหน้ากดดัน สไบมองใจ
"ถ้าพี่เลือกอังวะ สไบก็จะหมดรักพี่ "
"ฉันไม่มีวันหมดรักพี่ ฉันขอแค่รู้ว่าคนที่ฉันรักรู้สึกอย่างไร "
ใจนิ่งอั้น คิด สไบมองจ้องรอคอยคำตอบ
" พี่เป็น... อังวะ"
สไบได้ยินแล้ว ให้ทำใจมาไว้แค่ไหน ก็น้ำตาคลอ
"แต่ฉันเป็นไท เราไม่มีวันร่วมแผ่นดินเดียวกัน"
สไบน้ำตาไหลริน สะอื้นออกมา ใจควานมือไปประคองหน้าสไบไว้
"พี่กำลังรับโทษคนทรยศแล้วสไบ ตาพี่มองไม่เห็น ชีวิตพี่มีแต่ความมืดมิด สไบคือแสงเดียวในชีวิตพี่"
สายตาใจมองไม่เห็นว่า สีหน้าสไบเกินจะรับได้กับสิ่งที่สงสัยมาตลอด สไบมองใจที่อยู่ตรงหน้า น้ำตาไหลริน สายตามีแต่ความเจ็บปวด

ในค่ายย่อยวิเศษไชยชาญ น้ำถูกสาดเข้าหน้าสังข์ที่ถูกซ้อมสะบักสะบอม ตรึงไว้กับเสาไม้
สังข์ถูกจิกหัวขึ้น พอเงยมองเต็มตา สังข์เห็นหน้าคนที่จิกหัวคือเจิดหรืออูทิน
"มึงนี่เอง ไอ้เจิด"
ด้านหลังอูทินคือจอกยีโบและทหาร
สังข์ยิ้ม
"ไอ้งูพิษ เป็นอย่างที่กูคิดไว้ไม่ผิด"
-อูทินชกเข้าหน้าสังข์จนสะบัด เลือดหยดจากมุมปากสังข์
"มึงจะตายแล้วยังปากดี"
"ยิ่งกูใกล้ตาย กูจะด่ามึง กูจะสาปแช่งพวกมึงให้พินาศฉิบหาย ตายอยู่ใต้ตีนคนไทย"
อูทินกระหน่ำชกจนสังข์คอตก
จอกยีโบบอก
"อย่าเพิ่งให้มันตาย"
อูทินจิกหัวสังข์ขึ้น สังข์มองจอกยีโบที่เดินมาตรงหน้า
"ข้าต้องการรู้เรื่องในค่ายบ้านระจัน"
"กูไม่มีวันหักหลังคนไทยด้วยกัน" สังข์บอก
"ข้ารู้อยู่แล้วว่าพวกเอ็งไม่มีวันเปิดปาก"
จอกยีโบเหลือบมองทหารที่รออยู่ จิ้มเหล็กลงไปในเตาไฟที่ก่ออยู่ สังข์มองเหล็กที่นาบไฟแดงวาบ จ่อมาใกล้หน้าอก
"พวกมึงมีกี่คน ใครเป็นหัวหน้า"

สังข์ถุยน้ำลายใส่หน้าจอกยีโบ เจิดเข้ามา แต่ช้ากว่าจอกยีโบที่คว้าเหล็กเผาไฟนาบลงไปกลางอก สังข์ร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดสุดจะทานทน

ทัพ ฟัก เคลิ้ม ก้มลงกราบหลวงพ่อที่นั่งสมาธิอยู่ เอิบกับช่วง ช่วยหลวงพ่ออยู่ใกล้ๆ ขาบกับเฟื่อง แฟง นั่งถัดมา จวงนั่งหมดอาลัยตายอยาก เฟื่องกับแฟงต้องคอยมองด้วยสายตาห่วงใย

ใจนั่งอยู่ข้างสไบ สีหน้าสไบอมทุกข์เรื่องใจเป็นอังวะ
" ข้าศึกยังไม่ถอย พวกเราคงต้องรบกับมันอีก และระจันเราก็คงต้องรับศึกหนักขึ้นเรื่อยๆ" ทัพบอก
"ถึงหน้าน้ำเหนือหลากมา ไม่รู้พวกมันจะถอยล่นกลับไปอย่างที่คิดไม่"
"ถ้าน้ำเหนือหลากมา แล้วมันไม่ถอย เราจะทำอย่างไร มิเสียแผ่นดินให้พวกมันหรือ"
หลวงพ่อธรรมโชติลืมตาขึ้น กวาดตามองทุกคนแล้วมาหยุดที่ใจ
หลวงพ่อให้ปริศนาธรรมเป็นข้อคิด
"เมตตาคนคดไม่ได้ผล เพราะใจมันไม่มีวันตรง"
ทัพเหลือบมองใจกับสไบ แต่ไม่พูดอะไร ทุกคนเห็นทัพไม่พูดก็ไม่กล้าแสดงอะไรออกมา
ใจนั่งนิ่ง สไบได้ยินแล้วน้ำตาไหล เฟื่องเห็นแล้วถามขึ้นเบาๆ
" สไบ"
สไบรู้ว่าถูกจับตาก็ฝืนยิ้ม
"จ๊ะ เฟื่อง"
"เป็นอะไรหรือเปล่า"
"ไม่จ้ะ ฉันไม่เป็นอะไร"
ทัพมองมาที่ใจกับสไบ สไบฝืนยิ้มเต็มที่ ใจนั่งนิ่ง ไม่แสดงสีหน้าอะไรออกมา

ขาบเดินเข้าไปใกล้ทัพที่ยืนมองน้ำในบ่อ สีหน้าใช้ความคิด
"หลวงพ่อธรรมโชติท่านหมายถึงใคร ไอ้ใจหรือเปล่า"
ทัพถอนใจหนักๆ ขาบบอกความกังวลของตัวเอง
"ข้าบอกตรงๆนะทัพ ข้ายังไม่วางใจใครทั้งนั้น จนกว่าจะจับไส้ศึกได้"
"ข้าก็ไม่ได้นิ่งนอนใจหรอก แต่ตอนนี้ไอ้ใจมันตาบอด ลำพังจะซอกแซกไปไหนมันก็ยาก แล้วยังเรื่องมองเห็น การจะรู้กลศึกก็แทบจะไม่มีทาง"
ทัพอธิบายให้ขาบฟังด้วยสีหน้าเชื่อมั่น
"รบครั้งที่ผ่านมา เราชนะเพราะพ่อค่ายท่านเปลี่ยนแผน ไม่เหมือนที่เรารบมาทุกครั้ง ข้าก็ยืนยันไม่ได้หรอกว่าไอ้ใจมันไม่รู้ไม่เห็นเรื่องไส้ศึก เพราะที่ผ่านมาหลายอย่างมันส่อพิรุธในตัวมัน"
ทัพมองขาบที่ตั้งใจฟัง
"แต่ตอนนี้มันมองไม่เห็นแล้ว ถ้านี่เป็นการลงโทษที่เคยผิดคำสัตย์สาบาน ข้าก็คิดว่าคุณพระคุณเจ้า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ให้โอกาสมันที่จะกลับตัวเสียใหม่"
"ทำไมเอ็งไม่ถามมันตรงๆ"
"ข้าไม่อยากตอกย้ำความผิดของใคร บาปบุญคุณโทษ เราต้องรู้อยู่แก่ใจ ขอให้เชื่อเถอะเพื่อน ข้าไม่ได้ปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปเฉยๆถึงเวลาเอ็งจะรู้ ว่าข้าทำอะไรอยู่"

ทัพมองเพื่อนอย่างให้ความเชื่อมั่น
 
อ่านต่อหน้า 2

บางระจัน ตอนที่ 12 (ต่อ)

ผ่านไป 4-5 ชั่วโมง บริเวณลานเชลยในค่ายวิเศษไชยชาญ สังข์ถูกตรึงอยู่กับเสาอย่างทรมาน เนื้อตัวมีแต่แผลถูกมีดกรีด กลางอกมีแผลไหม้ อูทินกระชากหัวสังข์ขึ้นมา

"มึงจะยอมตายแทนคนอื่นทำไม"
สังข์มองอูทินที่ถือมีดในมือ แววตากร้าวพร้อมจะแทง
"ทำไมไม่รักษาชีวิตไว้อยู่กับเมียสวยๆของมึง"
อูทินกรีดมีดลงไปแขน สังข์ร้องสั่นด้วยความเจ็บ
"คิดดูตอนที่พวกมึงแพ้ นังจวงเมียสาวของมึง จะต้องมาบำเรอทหารกูทั้งค่ายนี่"
สังข์ดิ้นพราดเมื่ออูทินจี้ใจ
"ทำไมมึงไม่รักษาชีวิตของมึงไว้"
"พอแล้ว ..พอ"
"งั้นก็บอกมา ใครเป็นหัวหน้าวางแผนรบของพวกมึง"
อูทินกระชากหัวสังข์ขึ้นมอง สังข์แววตาทั้งเจ็บทั้งกลัวจนตัดสินใจพูดออกมา
"พ่อค่ายระจันมีทั้งหมด...สิบคน พวกมึงไม่มีวันเอาชนะได้ดอก...ฮะๆๆๆ"
สังข์หัวเราะชอบใจที่หลอกอูทินได้ อูทินโกรธเอากำปั้นฟาดหน้าสังข์อย่างแรง แต่สังข์ก็หัวเราะชอบใจอย่างไม่กลัวตาย

แฟงเดินออกมาจากวิหาร ทัพยืนรออยู่ แฟงเห็นทัพก็เดินหนี ทัพรีบเดินตาม
"ยังไม่หายโกรธพี่เรื่องสังข์อีกรึ"
แฟงดึงแขนออก
" ฉันเคยเห็นแต่พี่ทัพ คนที่รักเกลอร่วมตาย"
"พี่ไม่ขอให้เอ็งเข้าใจพี่ตอนนี้หรอก แฟง"
"ดี ถ้าพี่ไปตามพี่สังข์กลับมาเมื่อไหร่ เราค่อยกลับมาคุยกัน"
แฟงดึงแขนออกอย่างแง่งอน เดินห่างไป ทัพมองตามอย่างอ่อนใจ

สังข์มองอูทินที่ฟาดแส้ในมือลงกับพื้น หวังขู่รีดเค้นเอาความลับในค่าย หน้าตาสังข์ยับเยินมากขึ้นกว่าเดิม
"พวกมึงมีอาวุธมากเท่าไหร่"
อาวุธพวกกูมีน้อยกว่าพวกมึงเป็นหลายร้อยเท่า แต่พวกกูก็ไม่กลัวมึง พวกกูรบด้วยใจ รบด้วยชีวิตของพวกกู แผ่นดินนี้กูเป็นเจ้าของ พวกมึงอย่าหมายมาแย่งไป กูยอมตาย"
อูทินสุดจะบังคับถามอะไรได้ หยุดคิด แล้วเดินมาถามอีกคำถาม
"อองนาย เพื่อนข้า ..ไอ้ใจ มันเป็นหรือตาย"
สังข์มองอูทิน เห็นแววตาเป็นห่วงวูบนึงของอูทิน
"สยาบอกว่ายิงมันด้วยมือตัวเอง"
"มันเจ็บหนัก ไม่ตายก็เหมือนตาย"
อูทินฟาดแส้ลงไปที่พื้นอย่างระบายความโกรธ สังข์มองอย่างสังเกตว่าอูทินก็ยังเป็นห่วงใจ

ใจนั่งอยู่ตามลำพัง สไบเดินเข้ามาเงียบๆที่หน้าประตู มองเห็นใจเอื้อมมือไปหยิบน้ำจากกระบอกที่วางอยู่บนแคร่ เมื่อนึกถึงคำพูดของหลวงพ่อ สไบรีบหลบวูบ สีหน้าไม่ดี เดินเร็วออกไปทันที

บริเวณโครงครัว แฟงกำลังช่วยแม่ครัวหุงข้าวกระทะใหญ่ สไบเดินเร็วมาดึงแฟงออกห่างทุกคน

"มีเรื่องอะไร สไบ"
"แฟง ... ถ้าพี่ใจไม่ได้ตาบอด ถ้าพี่ใจหลอกพวกเราอยู่"
แฟงฟังแล้วสีหน้าตกใจมาก

ใจวางกระบอกน้ำลงที่เดิม แล้วลุกขึ้นเดินเปะปะ ที่ด้านหน้าประตูเรือน แฟงกับสไบหลบมองอยู่ สองคนมองจับตาใจที่อยู่ด้านในตามลำพัง ใจยืนคว้างอยู่กลางเรือน แล้วขยับเดิน แต่ชนเข้ากับเสา ใจเซ ล้มลง สไบเผลอตัวอยากจะเข้าไปช่วยดึง แต่แฟงดึงสไบไว้ มองปราม
ใจพยายามลุกขึ้นเองแต่ยากลำบาก ชนเข้ากับแคร่ ล้มลงไปอีก สไบมองห่วงใย แฟงจ้องอย่างสังเกต
ใจกำหมัดแล้วทุบลงพื้นอย่างเจ็บใจ น้ำตาไหลออกมาเงียบๆกับตัวเอง สไบมองเห็นก็น้ำตาเรื้อ ก็ใจอ่อนลง
แฟงมองแล้วดึงสไบออกมาห่าง เอ่ยให้ได้ยินกันสองคน
"พี่ใจเค้าตาบอดจริงๆ"
สไบพยักหน้ารับรู้ แล้วเดินเข้าไปโอบกอดใจ
"สไบ"
ใจรับรู้สัมผัสอ้อมกอดว่าเป็นสไบ ก็กอดคนรักไว้ แฟงมองภาพความรักและการให้อภัยของสไบกับใจด้วยสายตาซาบซึ้ง
แฟงมองจวงที่มีจานข้าวตรงหน้า แต่ไม่แตะ หน้าตาอิดโรย ร่างกายผ่ายผอมเพราะตรอมใจ
"จวง ถ้าเอ็งไม่กิน ไม่นอนเลย เอ็งจะเอาแรงที่ไหนไปจับดาบไล่ศัตรู"
"ให้ฉันตายเถอะ แฟง .. ฉันจะได้ไปเจอพี่สังข์"
"แล้วถ้าพี่สังข์เค้ายังอยู่ล่ะ"
จวงมองแฟงที่ขึ้นเสียง
"พี่สังข์ทิ้งเอ็งไว้ที่นี่เพราะเหตุใด เพราะอยากให้เอ็งรอดใช่มั้ย ทำไมไม่รักษากาย รักษาใจ รักษาชีวิตไว้รอเจอคนที่เอ็งรักอีกครั้งล่ะจวง"
แฟงจับมือให้กำลังใจจวง จวงฟังแล้วยิ่งน้ำตาร่วง

ทัพ ขาบ ฟัก เคลิ้ม เอิบ ช่วง พ่อค่ายทั้ง 9 คน และนักรบคนอื่นๆนั่งรอประชุมอยู่เงียบๆ พันเรืองเดินออกมาจากในห้องพ่อแท่นสีหน้าหนักใจ ทุกคนรอฟังคำตอบเงียบๆ
พันเรืองเอ่ยขึ้นให้ทุกคนรู้
"อาการพ่อแท่นยังไม่ดีขึ้น " พันเรืองบอก
ทองเหม็นถาม
"ทรงหรือทรุด"
ทัพมองนายทองเหม็นที่ถามตรงๆ พันเรืองสีหน้าไม่ดี
"ทรุด"
พ่อค่ายที่เหลือหน้าตากังวล ขุนสรรค์กรมการเอ่ยขึ้น
"ข้าศึกมันคงเตรียมแก้แค้นให้นายมันที่ถูกพ่อแท่นตัดหัว"
"ให้มันมาเถิด พวกเรานักรบจะขออาสาตายก่อนชาวค่าย" จันหนวดเขี้ยวบอก
ทัพมองขุนสรรค์ นายจันหนวดเขี้ยวและนักรบทุกคนยิ้มด้วยใจอาจหาญ ทัพขยับตัวไปใกล้อย่างนอบน้อม แล้วเอ่ยขึ้นกับพ่อค่าย
"ข้าศึกต้องเกณฑ์ไพร่พลมามากกว่าเดิม เราคนน้อยกว่า อาวุธก็มีน้อยกว่า แต่เราจะชนะได้ถ้ารู้เส้นทางเดินทัพ และหาทางสกัดพวกมันไว้ด้วยอุบายศึก"
ทุกคนมองทัพที่เสนอความเห็นด้วยสายตาพิจารณา
"แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่ามันมีแผนจะยกทัพมาทางไหน"

ทัพตามีประกาย จ้องมองทองแก้วนิ่ง

วันใหม่ มีชาวบ้านที่หนีภัยศึก พากันหอบลูกจูงหลานอพยพผ่านประตูค่ายเข้ามา แฟง เฟื่อง นำกลุ่มชาวบ้านหญิงคอยช่วยประคองคนแก่ และเด็ก

"เดินอีกนิดนะจ๊ะ ที่ลานมีน้ำ มีข้าว นั่งพักเอาแรงก่อน"
คนแก่หลายคนดีใจ กอดเฟื่องร้องไห้ที่รอดตาย เฟื่องกอดปลอบใจ
แฟงมองขบวนอพยพที่ยังหลั่งไหล ทยอยเข้ามา
"คนอพยพมามากเหลือเกิน พี่เฟื่อง พวกข้าศึกมันปล้น เผาหมู่บ้านเพิ่มขึ้นทุกวัน" แฟงว่า
"พวกมันต้องการเสบียงเลี้ยงกองทัพจำนวนมาก มันจึงแย่งชิงจากพวกเราชาวบ้านไทย หวังเต็มที่ที่จะยึดกรุงศรีให้ได้"
"มันจะได้แต่ซากศพพวกเราบนแผ่นดินนี้ เราจะไม่ยอมอยู่ใต้บังคับใคร"
แฟงบอกพี่สาวด้วยสีหน้าเด็ดเดี่ยว

จอกยีโบนั่งลงหน้าเนเมียวสีหบดี ประเมินแล้วว่าเป็นเรื่องสำคัญ ถึงถูกเรียกมาพบตามลำพัง
เนเมียวสีหบดีบอก
"บัดนี้ทัพของท่านมังมหานรธา มุ่งไปทุ่งสีกุก ประชิดกำแพงกรุงโยเดียทางทิศตะวันตกเข้าไปแล้ว แต่ทัพของข้ายังติดอยู่แค่ปากน้ำประสบ ห่างไกลกำแพงโยเดียหลายเท่าตัว เพราะเสบียงข้ามีไม่พอให้เดินหน้า..มันเพราะอะไร"
" พวกชาวบ้านไทยมันแข็งข้อ ไม่ยอมให้ข้าวเราง่ายๆ และเวลานี้ค่ายบางระจันมันก็แข็งแกร่งขึ้น ชาวบ้านไทยมันจึงกล้าต้านกองทหารเรา"
" ทหารอังวะมันไร้ฝีมือรึไงถึงสู้ไม่ได้ จะปล่อยให้ไอ้พวกบ้านระจันมันรั้งทัพข้าไว้อย่างนั้นหรือ ข้าอยากจะตัดหัวพวกเองทิ้งนัก ค่ายมันมีคนไม่ถึงพัน แต่กองทัพข้ามีทหารกว่าครึ่งแสน กลับหาใครไปปราบมันไม่ได้"
จอกยีโบก้มหน้านิ่ง เนเมียวสั่งด้วยเสียงคำราม
"ข้ายกทัพออกจากกรุงอังวะ ไล่ตีล้านนา ล้านช้าง ได้ชัยมาตลอดแดนเหนือ เหลืออีกเพียงไม่กี่ก้าว ข้าก็จะเอื้อมมือถึงกำแพงโยเดียแล้ว พวกเอ็งจะรอให้ทัพมังมหานรธามันได้กรุงโยเดียเอาไปถวายแก่พระเจ้าอยู่หัวเซงพยูเชงก่อนข้ายังงั้นหรือ ไปบอกพวกนายทัพนายกอง ทั้งหลายว่า..ใครที่มันทลายค่ายบางระจันแหลกได้ ข้าจะแบ่งแผ่นดินโยเดียให้มันปกครองครึ่งหนึ่ง"
จอกยีโบมองเนเมียวด้วยสายตาที่อยากเอาชนะอโยธยาไม่แพ้กัน

สังข์ถูกทหารอังวะพาร่างสะบักสะบอมมาโยนที่กรงไม้ ในส่วนของค่ายเชลยคนไทยที่ถูกกวาดต้อนมา
มีเชลยคนไทยทั้งหญิง เด็ก คนแก่ ร่างกายผ่ายผอมที่ถูกขังไว้ อีกด้านเชลยผู้ชายกำลังผ่าฟืน มีทหารอังวะคุม โบยตี อูทินมองสังข์ แล้วสั่งทหาร
"ขังมันไว้กับพวกเชลย ให้ข้าวให้น้ำ ให้มันทำงานเหมือนทุกคน"

ทหารรับคำ อูทินมองแล้วเดินไป สังข์ยืดร่างพิงกรง ทรุดร่างลง มองภาพเชลยที่ถูกใช้งาน ถูกคุมขัง ด้วยสายตาเจ็บแค้น

ทัพกับขาบเดินมาที่เลี้ยงม้าที่ทุ่ง หลังค่ายบางระจัน อ้ายเลา ยืนเด่นสง่าอยู่ท่ามกลางม้าหลายตัว ทั้งของชาวบ้านและที่ยึดมาจากข้าศึก
 
เอิบกับช่วงคอยเอาหญ้าเลี้ยงม้า อ้ายเลาพอเห็นทัพก็ส่ายหัวเข้าหา ทัพตรงเข้าไปกอดอ้ายเลาด้วยความรัก
"ม้าข้าศึกที่เรายึดมาได้ มันกินจุจริงๆ พวกฉันหาหญ้าแทบไม่ทัน"
ทัพมองไปที่ม้าสวยหลายตัวที่ผูกอยู่
"ฝีเท้ามันดีเทียบกับอ้ายเลาของข้าได้มั้ย"
"ห่างกันไม่เห็นฝุ่น"
อ้ายเลาส่งเสียงร้อง
"แหม พอชมเข้าหน่อย ก็ดีใจเชียวนะ อ้ายเลา"
ทัพยิ้มเอาหญ้าให้อ้ายเลา
"กินเถอะ อ้ายเลาเพื่อนยาก ข้าจะให้เอ็งทำงานสำคัญ"
"เอ็งจะขี่อ้ายเลาไปไหน"
"ข้าไม่ต้องขี่มันไปหรอก"
ทุกคนมองทัพที่อมยิ้มด้วยสายตาอยากรู้
"อ้ายเลามันฉลาดอย่างคน .. แค่ข้าบอก มันก็จำได้ว่าต้องทำยังไง"

ทหารอังวะเอาข้าวหม้อหนึ่งมาวางให้เชลย สังข์มองเห็นทุกคนที่กรูกันไปที่หม้อข้าวด้วยความหิวโหย แย่งกันเอามือจ้วงแทบจะต่อยกัน ทหารอังวะโยนเนื้อแห้งปลาแห้งลงมาให้ เชลยบางคนวิ่งไปเก็บมา
สังข์สุดทน ตะโกนบอกทหาร
"กูเป็นคน จะให้ก็ให้อย่างคน ไม่ใช่ให้อย่างหมา"
ทหารหันมาเตะ ถีบสังข์ เชลยไทยมองอย่างเกรงกลัว ชายชาวบ้านคนหนึ่งทนไม่ไหว เข้าขวาง
เชลย1บอก
"พวกมึง ไอ้ชาติหมา กูไม่ใช่ทาสมึง"
ทหารหันมาจะเล่นงานชายชาวบ้านคนที่ห้าม สังข์พุ่งเข้ากระแทกทหารล้มไป เหตุการณ์ชุลมุนเมื่อเชลยหลายคนรุมเข้าทุบตีทหารด้วยความแค้น ทหารอังวะกลุ่มใหม่เห็นรีบวิ่งมา
สังข์เห็นท่าจะสู้ไม่ไหวรีบแล้วถอยห่างออกมา ก่อนจะวิ่งออกไปจากตรงนั้นได้คนเดียว

ทหารอังวะคนหนึ่งกำลังเดินตรวจตรา สังข์โผล่ออกมาจากพุ่มไม้ ล็อกคอทหารลากเข้าไป

แยจออากา และกองทหารม้า ควบม้าเข้ามาอย่างอึกกระทึก อูทิน กับจอกยีโบ ยืนรับรวมอยู่กับทหารคนอื่นๆบนพลับพลา
แยจออากา นายทัพเรือมองจอกยีโบอย่างยะโส โยนสาส์นแต่งตั้งให้ทหารที่อยู่ใกล้ๆ และไม่ยอมลงจากหลังม้า...
"ข้า แยจออากา นายทัพเรือ ท่านแม่ทัพเนเมียวสีหบดีได้มอบหมายให้ข้านำทหารไปขยี้ชาวบ้านระจัน ที่กล้าตั้งค่ายปล้นกองเสบียงอาหารของพวกเรา ข้าจะมาเอาชัยชนะไปมอบให้แก่ท่านเนเมียวสีหบดี"
จอกยีโบอ่านสาส์นที่ทหารนำมาให้ มองแยจออากาอย่างผู้มีประสบการณ์...จึงเตือน
"ข้ายินดีจะจัดกองทหารตามท่านสั่ง แต่ขอให้ท่านอย่าปรามาสฝีมือชาวบ้านไท จงรบอย่างรัดกุมอย่าชะล่าใจ ชาวบ้านระจันมันไม่ใช่กองโจรที่เราจะประมาทฝีมือได้เราแพ้มันมาถึงสี่ครั้งแล้ว"
แยจออากาสีหน้าลำพองตน

ท่ามกลางทหารอังวะที่ยืนยามรักษาการณ์รอบกระโจมที่ประชุม สังข์ที่ยืนปนอยู่ในกลุ่มยาม
 
อ่านต่อหน้า 3

บางระจัน ตอนที่ 12 (ต่อ)

ขุนสรรเล็งปืนเป็นตัวอย่างให้ทุกคนดู ทัพและเพื่อนๆ ยืนฟังอย่างตั้งใจ

"อาวุธปืน...คือการรบที่ไม่ต้องประชิดตัว ปืนกับฝีมือเล็งที่แม่นยำจะช่วยให้เราชนะง่ายขึ้น เอา...ทุกคนพร้อม ประทับ ยิง"
ทัพซ้อมยิงปืนกับกลุ่มชายฉกรรจ์ ตามที่ขุนสรรค์สั่ง ทุกคนยิงพร้อมกัน ทัพลดปืนลงช้าๆ
"ข้าจะเล็งที่หัวนายกองอังวะทุกคน" ทัพว่า
จันเขียวบอก
"ฝีมือดาบอาทมาตบนหลังม้าของพวกเอ็งก็ไม่เป็นรองใคร"
"ปืนยังหายาก รบครั้งหน้าเราต้องยึดปืนมันให้ได้มากที่สุด"
ฟักบอก
"พวกเราจะฝึกซ้อมกันทุกวัน ฝึกให้ทุกคนที่นี่ด้วย"
"ดี แต่อาวุธจะดีแค่ไหน ก็ไม่สำคัญเท่ากับความสามัคคี จะรบก็ต้องรบให้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน" จันเขียวว่า
"พวกอังวะมันเปลี่ยนนายกองคุมทัพมาสู้ไม่หยุดหย่อน มันคงคิดว่าเราแค่หยิบมือจะย่ำยียังไงก็ได้" ขาบบอก
"ตราบใดที่เรายังรักกัน สามัคคีกันรบ มันคงเอาชนะเรายาก....เราต้องสามัคคีกันอย่างพ่อจันเขี้ยวบอก"
ทัพบอกด้วยแววตาเชื่อมั่น

บริเวณลานซ้อมดาบ ทองแสงใหญ่ / ทองเหม็น / จันหนวดเขี้ยว / กำลังซ้อมดาบให้แฟง สไบ และหญิงชาวบ้าน
แฟงกับสไบ สองคนสู้กันด้วยฝีกมือว่องไว ผลัดกันรุกผลัดกันรับ อย่างตื่นเต้น
แฟงฟาดดาบลงไป สไบเหนื่อยสู้แรงแฟงไม่ไหว ถอยหลัง เซ แฟงหยุด.... ทองเหม็นยืนมองพอใจมาก
"ฝีมือดาบของเอ็งสองคนเก่งเกินหญิง ผู้ชายคนไหนประมาท ไม่มีเอาชนะเอ็งได้ ไป.. ไปพักก่อนได้" ทองเหม็นบอก
"สไบออมมือให้ฉันตะหากพ่อทองเหม็น"
สองคนเก็บดาบ มาเอาน้ำลูบเนื้อลูบตัว
"ข้าศึกมันต้องบุกมาอีกแน่ๆ เราต้องพร้อมไว้ทุกเมื่อ" แฟงว่า
"เรื่องศึก เราพร้อมรบ ไม่มีถอย ห่วงก็แต่จวง ป่านนี้ยังโศกเรื่องพี่สังข์" สไบบอก
" เฮ้อ .. ฉันก็สุดปัญญาจะขอร้องพี่ทัพแล้ว ดื้อ รั้น"
สไบอมยิ้ม มองแฟง
"จริงๆนะ สไบ พี่ทัพน่ะหัวดื้อที่สุด ฟังใครซะที่ไหน"
"ก็เหมือนแฟงนั่นแหละ"
"ฮื้อ ไม่เหมือนสิ ฉันไม่เหมือนพี่ทัพ อย่ามาหาว่าฉันเหมือนคนดื้อพรรค์นั้น ไม่เอาละ ฉันไปหาจวงดีกว่า"
แฟงเขิน เดินออกไป สไบยิ้มมองตามขำที่แฟงพยายามเถียงทั้งๆที่เป็นความจริง

จวงนั่งกอดเข่า น้ำตาซึม แฟงเดินมาใกล้
"จวง"
"พี่สังข์จะเป็นตายร้ายดียังไง ก็ไม่รู้ แฟง"
จวงพูดแล้วน้ำตาหยด แฟงโอบกอดจวงไว้
"ที่นี่มีจวง พี่สังข์ต้องกลับมา"
"พี่ทัพไม่ไปตามพี่สังข์ เค้าตัดเพื่อนกันได้จริงๆ"

จวงส่ายหน้า ไม่อยากจะเชื่อ แฟงโอบกอดเพื่อนไว้ด้วยความเศร้าเหมือนกัน

ทัพ ขาบ และเพื่อนๆนั่งวางแผนอยู่กับพ่อค่ายทั้ง10 ท่าทางทุกคนตื่นเต้น จริงจัง

"พวกอังวะมันส่งกองทหารทัพใหม่ขึ้นมาบุกเราแล้ว" ทัพบอก
พันเรืองถาม
"คราวนี้มันยกกันมาเท่าไหร่"
"คงไม่น้อยกว่าคราวก่อน ประมาณพันคน"
"มันจะมากี่พันกี่หมื่นคน เราก็ไม่มีวันถอย แผ่นดินนี้เป็นของเรา ข้าไม่มีวันยอมให้มันมาย่ำเป็นรอยง่ายๆดอก"
จันเขี้ยวบอก
"คราวนี้คงจะหนักขึ้นกว่ารบครั้งก่อนแน่ และถ้าเราชนะ มันก็จะส่งกองทหารมาเพิ่มขึ้น เรื่อยๆเป็นแน่ "
"เพื่อความไม่ประมาท..ข้าเห็นว่าน่าจะให้ผู้หญิงคอยฝึกดาบไว้ อย่างน้อยก็เอาไว้ช่วย ตัวเองก็ยังดี" โชติว่า
ทองแก้วบอก
"ข้าก็เห็นพ่อทองเหม็นกับพ่อทองแสงใหญ่ได้ฝึกซ้อมดาบให้พวกผู้หญิงไว้ไม่น้อย พวกเขาคงอยากออกรบร่วมกับพวกผู้ชายเหมือนกัน"
"เวลานี้...ไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชายก็ต้องสู้เอาตัวรอดกันไว้ทั้งนั้น ยามคับขันเราอาจพึ่งให้พวกผู้หญิงเป็นกองหลังไว้ก็ดี จะได้เอาไว้หลอกขู่พวกอังวะว่าคนในค่ายของเราก็มีไม่น้อยกว่าพวกมัน"
ทองเหม็นบอก
"เรากลับไปลับดาบไว้ให้คมเถิด อีกไม่เกินสองวันมันคงมาถึงบ้านขุนโลกแน่ เราต้องหาทางสกัดไม่ให้มันยกข้ามคลองสะตือมาได้โดยเด็ดขาด"
สีหน้าแววตาทุกคนมุ่งมั่น ทัพเป็นจุดสนใจเดียวของทุกคน เพราะกำลังบอกเรื่องสำคัญกับการรบครั้งต่อไป

วันใหม่ เสียงกลองศึกดังก้องเป็นสัญญาณ ทัพ กับ ขาบบนหลังม้าเป็นกองหน้า เคียงข้างขุนสรรค์กรมการและนายจันหนวดเขี้ยว
พันเรือง / ทองเหม็น / ทองแสงใหญ่ / โชติ / อิน / เมือง/ ทองแก้ว / ดอกไม้ ยืนส่งอยู่กับพระธรรมโชติ
ทัพนำนักรบทั้งบนหลังม้า และเหล่าชายฉกรรจ์พลเดินเท้าที่เตรียมพร้อม นักรบบ้านระจันทุกคนสีหน้าฮึกเหิม
"พวกข้านักรบชาวเมืองสิงห์ สรรค์บุรี ทั้งวิเศษไชยชาญ และสุพรรณที่ร่วมใจกันสู้ศึก พลีชีวิตให้แก่ชาติ รวมเรียกว่า ชาวค่ายบ้านระจัน ไทยกอดคอไทยน้ำตาหลั่ง ตายเถิด จะตายเมื่อไหร่ก็ได้ ตายแทนชาติ"

แฟง เฟื่อง จวง สไบ และหญิงชาวบ้านในชุดตะเบงมาน เลิกทำกับข้าว หันมาฟันดาบกันอย่างเอาเป็นเอา
ตาย คนแก่กับเด็กนั่งลุ้น ส่งเสียงดังลั่น
แฟงควงดาบสองมือ แววตาเด็ดเดี่ยว ไม่กลัวตาย สไบก็สู้สุดฤทธิ์ สีหน้าของทุกคนพร้อมจะเป็นกองหนุนในการออกรบ

ทัพเตรียมเคลื่อนกำลัง
"บ้านใคร ใครก็รัก เมื่อชาติอื่นภาษาอื่นมาข่มเหงจนถึงบ้าน จะให้หนีไปไหน จะให้ทิ้งเหย้าที่เคยอยู่ ทิ้งลูกเมียให้ศัตรูเข้าครองชมเชยหรือ"
แววตาชาวบ้าน ในค่ายที่พากันอุ้มลุกจูงหลาน พากันมองด้วยความปลื้มปิติ
"ปู่ย่าที่กราบไหว้ทุกวัน จะให้มันข้ามกรายเหมือนทาสเยี่ยงนั้นหรือ อย่า"
หลวงพ่อธรรมโชติยืนมองด้วยจิตภาวนา ส่งพลังใจให้แก่นักรบ
"ถึงบ้านระจันจะเหลือผู้ชายอีกเพียงคนเดียว..ก็จะไม่มีวันถอย คนอย่างพวกกูจะไม่ยอมเสียชาติเกิด"
เสียงโห่ร้องของเหล่านักรบที่เดินออกมาด้วยกันตะโกนก้อง
"ชาวระจันสู้ตาย.....ชาวระจันสู้ตาย.....ชาวระจันอย่าถอย"
ประตูระเนียดค่ายเปิดออก ทุกคนโห่ร้องเสียงดังก้องไปทั้งค่าย ทัพนำขบวนทั้งหมดออกไป กองปืนขุนสรร และกองดาบพ่อจันหนวดเขี้ยวตามออกประตูไป

พ่อค่ายที่เหลือยืนมองตามอย่างเป็นห่วง พระอาจารย์ธรรมโชติที่มองนิ่งสวดภาวนาตลอดเวลา

กองทัพแยจออากาเคลื่อนมาอย่างยิ่งใหญ่เต็มทุ่ง กำลังจะข้ามลำน้ำ ในป่า กองทหารม้าทัพ และชาวระจันซุ่มอยู่ อีกด้านหนึ่งเห็นจันเขี้ยวกับขุนสรรและชาวระจันอีกกลุ่มซุ่มคอยเวลาอยู่เหมือนกัน

จันเขี้ยวให้สัญญาณ "บางระจัน...รบ"
ทุกคนวิ่งกรูออกไป ทัพชูดาบสั่ง
"บางระจัน...สู้ตาย"
ทัพควายม้านำออกไป คนอื่นๆควบตาม

ฝั่งน้ำเดียวกัน พวกทัพนำกองทัพม้าระจันกรูกันออกมาจากราวป่า ตรงเช้าล้อมกองทัพอังวะให้ติดอยู่กลางน้ำ จันหนวดเขี้ยว / ขุนสรรค์ / ทัพ และกองทหารม้าอีกกลุ่ม วิ่งออกมาดักหน้าอยู่บนตลิ่งอย่างห้าวหาญ

แยจออากา ยืนม้ามองอย่างทระนง ชักดาบออก
"ข่าวทัพเรารั่วให้พวกระจันรู้เสียแล้ว ทหาร...ฆ่ามันให้หมด"
กองทหารอังวะวิ่งบุกเข้าหากองทัพระจันทันที
กองปืนขุนสรรต่างระดมยิงเข้าสกัด ม้าอังวะหลายตัวถูกยิงล้มลงตายอยู่กลางน้ำ นายจันหนวดเขี้ยวชูดาบวิ่งกรูลงน้ำไปฟันกับอังวะ ตะลุมบอนกันอุตลุด
ทัพควบม้าลุยน้ำเข้าฟันอังวะอย่างไม่ปรานี กองทหารทั้งสองฝ่ายดาหน้าเข้ารบกันอย่างดุเดือดเต็มละน้ำ
แยจออากาปะทะกับนายจันหนวดเขี้ยว ทหารอังวะเสียทีถูกฆ่าตายลงมากมาย แยจออากาเห็นสู้ไม่ได้ชักม้าหนี ขุนสรรได้ทีวิ่งไล่ยิงจนแยจออากาตกม้าจมน้ำ
จันเขี้ยวตามเข้าไปฟันซ้ำ....เห็นจันหนวดเขี้ยวยืนมองศพแยจออากาเด่นเป็นสง่าอยู่ท่ามกลางสายน้ำที่แดงฉาน แล้วร่างของแยจออากาค่อยๆจมน้ำหายไป

ใจนอนหลับอยู่ เห็นภาพทัพที่เคยช่วยใจช่วยไว้ครั้งแรก, ใจเห็นทัพถูกลูกดอกอาบยาของจอกยีโบ
ใจที่ช่วยห้ามทุกคนไม่ให้ดึงลูกดอกออกจากทัพ, ใจถูกสังข์ชกต่อย ถูกสายตาทุกคนสงสัย, สไบด่าว่าใจ ตอนที่ดอกรักถูกฆ่า , จอกยีโบยิงใจ
ใจสะดุ้งเฮือก ลุกขึ้น เหงื่อแตกทั้งร่าง
เสียงกลองสัญญาณตีดัง ใจเปะปะลงจากเรือนอย่างเร็ว

เสียงกลองดังต่อเนื่องมา แฟง / เฟื่อง / จวง / สไบ / หญิงชาวบ้าน กำลังซ้อมดาบตามที่ครูชายแก่ที่ออกรบไม่ไหวสอนอยู่พากันชะงัก
"พวกไปรบกลับมาแล้ว"
ผู้หญิงทั้งหมดรีบวิ่งออกไปหน้าค่ายอย่างรวดเร็ว แฟงยืนนิ่ง จวงจะวิ่งไปหันมามอง
"ไม่ไปหรือแฟง"
แฟงส่ายหน้า
"จวงไปเถอะ พี่สังข์อาจจะกลับมาด้วย"
จวงมีความหวังขึ้น วิ่งออกไปทันที

ใจเดินเปะปะ ชนกับกลุ่มชาวบ้านที่กำลังวิ่งนำหน้าไป
"มีอะไร มีอะไร"
ใจถาม แต่ชาวบ้านไม่ทันสนใจฟัง พากันวิ่งตรงไปทางหน้าค่าย
"ทางไหน .. หน้าค่ายไปทางไหน "
ใจโดนชาวบ้านหญิงคนหนึ่งชน ใจล้มลง คลุกฝุ่น สไบวิ่งสวนกลุ่มชาวบ้านเข้ามา ประคองใจไว้
"พี่ใจ"
"สไบ เกิดอะไรขึ้น เสียงชาวบ้านวิ่งไปทางหน้าค่าย"
"เราชนะศึกจ้ะ พี่ใจ ... เราชนะอังวะอีกแล้ว"

ใจฟังแล้วยิ้มไม่เต็มที่นัก ต่างจากสไบที่ยิ้มกว้าง

กองทัพชาวบ้านเข้าประตูค่ายมา ชาวบ้านลูกเมีย - พ่อแม่ต่างวิ่งเข้ากอดกันดีใจ ร้องไห้

จวงวิ่งออกมามองหาสังข์ สายตาจวงเห็นผัวเมียคู่อื่นๆกอดกันด้วยความสุข ทัพยืนม้ามองหาแฟง แต่ไม่เห็นแฟง
สไบใจพากันเดินออกมามองกองทัพที่กลับมาอย่างดีใจ แต่ใจหน้าเสีย สไบหันมามองใจแล้วรู้สึก

ลานท่าน้ำหลังค่ายระจัน เวลาเย็น แฟงวางดาบลง ยิ้มมีความสุขเพราะมั่นใจว่ากองทัพระจันได้ชัยชนะทัพเอาผ้ามาเช็ดเหงื่อที่เลอะแขน แฟงคว้าดาบ หันขวับทันที เห็นทัพ ถือผ้าเช็ดเหงื่อตรงแขนแฟง ยิ้มให้
"จะฟันพี่เสียให้ตายเลยเชียวหรือ"
แฟงวางดาบแล้วบอก
"มาเงียบๆ ฉันตกใจ ไม่เผลอแทงดาบทะลุท้องก็บุญแล้ว"
"จะดุไปถึงไหน พี่เห็นผิวเอ็งเลอะเหงื่อไคล ก็อยากจะเช็ดให้...นวลเนียนเหมือนเดิม"
ทัพสายตาแพรวพราว แฟงมองแล้วนึกอาย
"ฉันเช็ดเองได้"
แฟงคว้าผ้าจากมือ แต่ทัพไม่ยอมยึดมือแฟงไว้
"อยากท้องทะลุหรือพี่ทัพ"
"พี่จับสองมือเอ็งอยู่อย่างนี้ จะจับดาบได้ยังไง"
"ฉันจะร้องให้คนช่วย"
ทัพดึงตัวเข้าชิดแฟง
"ร้องดูทีเถอะ พี่จะปิดปากเจ้าให้สนิท" ทัพยื่นหน้าเข้ามา
"พี่ทัพ"
"จ๋า"
"ปล่อยมือฉัน"
"ไม่ปล่อย ขอพี่ชื่นใจให้หายเหนื่อยสักนิดเถอะ แฟง"
ทัพก้มลงจะหอมแก้ม แฟงหลบหน้า จมูกทัพเฉียดแก้มไป ทัพรวบตัวแฟงมาใกล้อีก แฟงเอามือยันอก ถามขึ้นเร็ว
"ฉันได้ยินเขาพูดกันว่า พี่ช่วยวางแผนรบครั้งนี้ พี่รู้ว่าข้าศึกจะเดินทัพมาทางไหน หรือพี่ทัพ ... ทำไมพี่รู้"
ทัพอมยิ้มฃ
"พี่จะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ชัยชนะ ถึงจะถูกแฟงเกลียดโกรธมากแค่ไหน"
"อย่ามัวแต่พูดเย้าฉันนะพี่ทัพ"
"พี่พูดจริง แฟงเอ๋ย ฟังพี่เถิด พี่จะพูด จะถามความจริงจากใจ"
ทัพโอบแฟงไว้แน่น มองจ้องลงไปในตา
"หากชนะศึกครั้งหน้า เอ็งจะหายโกรธพี่หรือยัง"
"พี่กำลังจะเรียกสินบนจากฉัน"
"แล้วแฟงเต็มใจให้พี่ไม๊"
แฟงมองทัพที่ส่งสายตารักหวานฉ่ำ
"พี่จะขอสินบนเพียงข้อเดียว หากชนะศึกครั้งหน้า ขอให้แฟงมาเป็นแม่ศรีเรือน"
แฟงเขินอาย
"พี่ทัพ"
"ตอบพี่ก่อน แฟง"
ทัพกระชับอ้อมกอดมาใกล้
"ตอบเป็นสัญญาให้พี่ชื่นใจ มีหวังที่จะสู้ศึกคราหน้า เพื่อกลับมากินข้าวฝีมือเมีย"
"อยากกินข้าวอร่อย ก็ไปบอกสาวๆคนอื่นเถิด มีตั้งหลายอีที่ทอดสายตาให้นายกองม้าคนเก่งกล้าอย่างพี่"
"ร้อยหญิง พันหญิง สวยหยาดฟ้ามาดิน ก็ไม่เคยอยู่ในสายตาพี่ นอกจากหญิงเดียวตรงหน้านี้"
ทัพโอบแฟงมาจนชิด
"ให้พี่มีหวัง มีกำลังใจสักนิด ว่าจะได้กอดเอ็งให้สมรัก ได้อยู่เคียงข้างในยามที่มีลมหายใจ"
แฟงยกมือปิดปาก
"พี่ทัพ"
ทัพดึงมือแฟงจูบแผ่วเบา แฟงสะท้าน
"พี่จะไปขอเอ็งกับอาเฟี้ยม จะเรียกสินสอดทองหมั้นเท่าไหร่ พี่จะหามาให้ได้"
"เห็นแม่ฉันแล้งน้ำใจ คิดจะเรียกสินสอดยามศึกเช่นนี้ได้ลงคอหรือพี่"
ทัพดึงแฟงมากอดไว้
"นอกจากแผ่นดินเกิดที่จะต้องรักษาไว้เป็นสิ่งแรก ก็มีเอ็งนี่แหละแฟงที่จะเป็นดั่งชีวิต ดั่งวิญญาณของพี่ แฟงเอ๋ย... รูปเอ็งสวยนัก แต่ใจนั้นสวยเกินรูป ขอให้พี่ได้เป็นเจ้าของกายใจงดงามนี้แต่เพียงผู้เดียวจนชั่วชีวิตเถิด"

ทัพจูบลงที่หน้าผากแฟงแผ่วเบา แฟงซุกหน้าลงในอกทัพด้วยรอยยิ้มอิ่มเอมในรักจากชายที่มอบใจให้มานานแล้ว
 
อ่านต่อหน้า 4

บางระจัน ตอนที่ 12 (ต่อ)

เนเมียวสีหบดีเดินเข้ามาในค่ายด้วยสีหน้าโกรธจัด ทุกคนหมอบก้มต่ำ ไม่มีใครกล้าสบตา

"แยจออากานายทัพถูกฆ่าตายในสมรภูมิ...นี่ทัพเราพ่ายแพ้ไอ้พวกชาวบ้านระจันราบคาบเป็นครั้งที่ 5 อีกแล้วหรือ มันน่าขายหน้าแค่ไหน มีใครอีกที่จะอาสาฆ่าพวกมัน เอาเลือดมันมาล้างความอับอายให้ข้า แล้วนี่..ข้าจะต้องส่งคนไปให้มันฆ่าอีกกี่คน..ฮะ"
จอกยีโบและคนอื่นๆก้มหน้านิ่งเงียบ
เนเมียวจอกยีโบ...ไอ้พวกเชลยไทยที่ค่ายวิเศษไชยชาญมีเท่าไหร่ เอาออกมาตัดหัวสังเวยศพ
พวกเราให้หมด เราจะฆ่าเชลยไทยทุกคนที่จับได้...จนกว่าข้าจะตีค่ายระจันแตก

สังข์กำลังหาทางเอาฆ้อนทุบกุญแจช่วยเชลยไทยที่ถูกขังอยู่อย่างระแวดระวัง ต่างกระซิบกระซาบกัน
เชลย 2ถาม
"พวกมันแพ้แก่บ้านระจันอีกแล้วหรือ"
"ใช่...เพราะข้าส่งข่าวไปให้พวกระจันรู้เอง"
เชลย 3 บอก
"สาแก่ใจข้านัก ออกไปได้ ข้าจะไปช่วยบ้านระจันรบ"
สังข์มองเชลยที่สีหน้ามีความหวัง ด้วยรอยยิ้ม ทหารอังวะ 10 กว่าคนกรูเข้ามา เชลยมองตกใจ
เชลย 2บอก
"พวกมันมาโน้นแล้วเร็วๆเข้า"
ทหารอังวะเห็นสังข์กำลังช่วยเชลยอยู่ก็วิ่งดาหน้ามาอาวุธครบมือ สังข์หันไปสู้ ทหารอังวะอีกพวกไปเปิดกรงกระชากเชลยออกไปนับสิบ
"เอาพวกมันไปตัดหัวให้หมด ต่อไปนี้เชลยไทเราไม่ต้องเอามาขังให้เปลืองข้าวอีกต่อไป"
ผัวเมียหลายคนถูกแยก พ่อลูก ต่างเรียกชื่อไขว่คว้ามือหากัน สังข์เข้าไปเตะถีบทหาร แต่ก็โดนรุม จนต้องหนีเอาตัวรอดก่อน มีเชลยไทย 2-3 คน วิ่งหนีตามสังข์ไปได้ เสียงกรีดร้อง เสียงการต่อสู้ เสียงยื้อยุดดังวุ่นวาย โกลาหล เชลยไทย ชาย หญิง เด็กหลายคนถูกกระชาก ลากออกไปอย่างทารุณ

แพเปลี่ยวริมฝังน้ำ หลังค่ายวิเศษไชยชาญ ยามเย็น สังข์ ถอดชุดอังวะฝังอยู่ เหลือแต่ผ้าเตี่ยว รีบพาเชลยไทยที่หน้าตาแตกลงน้ำหายไป
พวกอังวะเข้าไปฉุดเชลยไทยออกมาจากกรง ทั้งแทง ฟัน ปาดคอล้มตายลงอย่างไร้ความปรานี
สังข์ และเชลยไทยดำน้ำโผล่ขึ้นมาอีกฝั่งหนึ่งตรงข้ามค่ายวิเศษไชยชาญ หันกลับไปมองที่ค่ายอังวะ
เห็นพวกอังวะกำลังฟาดฟันเชลยไทยนอนตายทับถมกันเหมือนภูเขาอย่างน่าเวทนา ทุกคนสีหน้าเจ็บแค้น หลายคนน้ำตาไหลนองหน้า จะวิ่งออกไป สังข์รีบจับไว้
"อย่า...ออกไปก็ตายเปล่า เรายังมีหน้าที่ที่ต้องทำ"
สังข์กำหมัดแน่น น้ำตาไหลอาบแก้ม
"ไปสู่สุขคติเถอะเพื่อน ข้าสัญญา อีกไม่นาน ข้าจะตัดหัวพวกมันชำระแค้นให้"

ทัพกำลังเอาหญ้าให้อ้ายเลากิน ขาบควบม้ามาอย่างเร็ว บอกทุกคน
"กองสอดแนมของพ่อทองเหม็นบอกเห็นพวกทหารอังวะมาด้อมๆมองๆที่ท้ายทุ่ง"
ทัพบอก
"มันต้องมาดูลาดเลา เตรียมจะยกทัพอีก"
ทัพหันไปแกะเชือกอ้ายเลาออกจากเสา ปลดบังเหียนออก
"ไปเถิด อ้ายเลา เกลอยากของข้า"
ทัพกอดบอกข้างหูอ้ายเลา
"ไปทำงานสำคัญของเจ้าเถิด"
ทัพตบข้างลำตัวอ้ายเลาเป็นสัญญาณ อ้ายเลาทะยานออกไป ทุกคนมอง
"พี่ทัพ ... พี่ให้อ้ายเลามันวิ่งไปไหน"
ทัพไม่ตอบ แต่ยิ้มมีความนัย

เนเมียวสีหบดียืนมองเครียดๆอยู่ที่บนพลับพลา กับพวกจอกยีโบ
"ต่อไปนี้..ข้าอนุญาตให้จับคนโยเดียมาเป็นเชลยเท่าที่จำเป็น พวกแก่เฒ่าทำงานมิได้เอาไปตัดคอให้หมด หากทหารคนใดปล่อยให้เชลยหนีมีโทษถึงตายสถานเดียว"
จอกยีโบ และนายทหารอื่นๆนั่งนิ่ง เงียบ
จิกแกปลัดเมืองทวาย ท่าทางไม่ใช่อังวะแท้ ดูโหดเหี้ยมกว่าแม่ทัพทุกคนที่ไปตีค่ายระจัน ควบม้าเข้ามาก้มคารวะอยู่ที่ลานกองบัญชาการ
"ข้าจิกแก ปลัดเมืองทวาย ผู้ที่ท่านเคยช่วยชีวิตไว้ ขออาสายกทัพไปกวาดล้างพวกบ้านระจัน ล้างแค้นให้ท่าน"
เนเมียวสีหบดีเดินก้าวออกมาดูหน้าที่เชิงบันใดพลับพลา
"ข้าขึ้นมาดูตัวท่านถึงค่ายวิเศษชัยชาญ ก็เพราะหวังว่าท่านจะล้างแค้นให้ข้าสำเร็จ ท่านรู้ใช่ไม๊ว่า ข้าแค้นไอ้พวกบ้านระจันแค่ไหน"
"อย่าว่าแต่ท่านเลย ข้าพเจ้าก็แค้นมันไม่น้อย ข้าจะสังหารมันให้สิ้นเพื่อให้ท่านรุกลงไปตีกรุงโยเดียให้สบายใจ"
"จงตีค่ายระจันให้ราบ...อย่าไว้ชีวิตพวกมันแม้แต่คนเดียว ลูกเล็กเด็กแดงก็อย่าเอาไว้เป็นเสี้ยนหนาม พวกมันฆ่าทหารข้าไปถึง 5 กองทัพแล้ว เจ้าจงไปกู้ศักดิ์ศรีกองทัพอังวะคืนมาให้ข้าโดยเร็ว"
สังข์ปลอมตัวเป็นทหารยามยืนอยู่ด้านนอกกระโจม ใส่เสื้อผ้าเป็นทหารอังวะ แต่หน้าตาดำคล้ำ เห็นเพียงลูกตาขาวชัดเจน
"ข้าเคยมาเจรจาการค้าอยู่ในโยเดียมาก่อน รู้จักเส้นทางขึ้นไปบางระจันหลายเส้นทางดีขอท่านอย่าห่วง ข้าพเจ้าจะเอาหัวไอ้ผู้นำชาวบ้านระจันมาไว้แทบเท้าท่านให้ได้ภายในเจ็ดวันนี้แน่นอน"
ใบหน้าสังข์เรียบนิ่ง แต่แววตาเปล่งประกายยินดีที่รู้ความศึกทุกอย่าง เนเมียวสีหบดียิ้มอย่างพอใจ
"ดีมาก....ทหารของข้ามันต้องให้ได้อย่างนี้"
สังข์ขยับตัวจะเดินแยกออกไป
อูทินที่เดินเดินออกมาอีกทางเห็นพอดี เห็นเสี้ยวหน้าสังข์ ก็รู้สึกเอะใจ
"มึง .. มึงหยุดก่อน"

สังข์ได้ยินเสียงอูทินก็เร่งเท้าเดิน ไม่ยอมหันกลับ อูทินมองแล้ววิ่งตามทันที

อ้ายเลาวิ่งห้อข้ามเนิน มาอย่างเร็ว

ในช่องประตูเห็นสังข์รีบเดินเลี้ยวหลบมา สวนกับทหารอังวะออกไป อูทินวิ่งตามสวนทหารอังวะออกไป
"กูบอกให้มึงหยุด"

อูทินวิ่งตาม เลี้ยวออกมา...มองไปรอบๆ แต่ไม่เห็นสังข์แล้ว อูทินยืนมองด้วยความแค้น

เวลาต่อมา สังข์เหลือแต่ชุดผ้าเตี่ยว กำลังฝังซ่อนชุดอังวะที่ใส่เมื่อกี้....แล้ว
สังข์รีบลงน้ำดำหายไป

ทัพยืนต่อหน้าขาบ เอิบ ช่วง เล่าเรื่องที่ผ่านมาให้ทุกคนเข้าใจ
"ข้ากับไอ้สังข์ เราไม่อยากรบแล้วต้องพ่ายแพ้ ไม่อยากให้พี่น้องเราเสียเลือดเนื้อ ให้พวกข้าศึกมันคิดว่าเราเป็นหมูที่จะเข้ามาเชือดเมื่อไหร่ก็ได้"
ทัพแววตาภูมิใจ เมื่อพูดถึงเพื่อน
"ข้าคิดแผนนี้ขึ้นมา แต่ก็ไม่คิดว่าไอ้สังข์ คนที่ทุกคนเคยปรามาสว่าเลว ว่าชั่ว จะยอมสละชีวิตตัวเอง สละความสุข สละคนรัก มันยอมสละได้ทั้งหมด เสี่ยงตายเพื่อพวกเราทุกคน "

สังข์ดำน้ำโผล่ขึ้นมา คลานมาพักเหนื่อยบนฝั่ง แล้วรีบคลานหลบไปทางซากเรือ สังข์หันไปเห็น....ชะงัก
"มึงคิดว่าจะรอดกลับไปได้หรือวะ...ไอ้สังข์"
"กูไม่คิดว่าจะรอด แต่ชีวิตกูชีวิตเดียว แลกกับกองทัพพวกมึง...กูว่าคุ้ม"
อูทินควบม้าถือทวนมาจากซากเรือ...อูทินไม่รอช้าพุ่งเข้าใส่สังข์ทันที
สังข์สู้กับอูทินอย่างดุเดือด สังข์พยายามป้องกันตัวเต็มที่เพราะไม่มีอาวุธ

ใจนั่งมองเหม่อไปไกล สไบเดินเร็วเข้ามา สีหน้าดีใจ
"คราวนี้พี่ทัพจะนำกองหน้าออกรบอีกแล้วจ้ะ"
"รบ"
"พวกกองสอดแนมเห็นข้าศึกมาใกล้ๆค่ายเรา จึงจัดเตรียมกำลังออกไปดักพวกมัน ก่อนที่พวกมันจะยกมาถึงค่ายเรา"
สไบเข้ามากอดใจ ใจสีหน้ากังวล
"สไบขอไปช่วยพวกเขาจัดกองทัพก่อนนะจ๊ะ"
"สไบ"
สไบหันมา ใจยื่นมือไป สไบโผเข้ากอดใจ
"กลับมานะ ... สไบต้องกลับมา"
สไบฉันจะกลับมาหาพี่จ๊ะ
สไบจูบลงที่แก้มใจ ใจแนบแก้มกับสไบไว้ด้วยความรัก สไบลุกขึ้น ใจแตะมือสไบจนสุดแขนแล้วรีบวิ่งออกไป
ใจหน้านิ่ง ย้อนนึก
ใจที่กำลังยื่นมือไปหยิบกระบอกน้ำ เห็นสไบยืนอยู่ตรงประตูด้วยหางตา , ใจทำเป็นยืนแล้วล้มเปะปะ,
หางตาใจมองเห็นแฟงกับสไบที่แอบมองอยู่นอกประตูเรือน , ใจทำเป็นล้มกลิ้งลงไป แล้วร้องไห้ออกมา
ใจลุกขึ้นยืน หันไปมองทางหน้าต่างเห็นสไบกำลังวิ่งไปทางลานหน้าค่าย
"หัวใจพี่เป็นของสไบ แต่เลือดทุกหยดในตัวพี่ยังเป็นอังวะ "
ใจหันกลับมา สีหน้าเครียด เดินตัวตรง มุ่งไปทางประตู ไม่มีท่าทีของคนตาบอดเลย

สังข์ลอบซุ่ม แหวกพงหญ้า ลัดเลาะมาถึงคลองหลังค่าย สังข์ซุ่มรอ อ้ายเลาที่วิ่งข้ามน้ำ ปีนขึ้นฝั่งมา
สังข์โผเข้าไป กอดอ้ายเลา
"เอ็งเป็นม้าที่วิเศษที่สุด อ้ายเลา"
สังข์รีบเอาผ้าผูกติดกับขาอ้ายเลา
"รีบเอาความนี้ไปให้ไอ้ทัพ เพื่อนรักของข้า นายของเอ็ง"
สังข์มองอ้ายเลาที่เนื้อตัวเปียก แต่แววตาแสนรู้
"จงรักษาตัวให้รอดกลับไปถึงค่ายบ้านระจัน อ้ายเลา ม้าวิเศษ"
สังข์มองผ้าที่เขียนข้อความเรื่องการรบของเนเมียวสีหบดี ผูกไว้ตรงข้อเท้าด้วยสายตายินดี แล้วตบสีข้างอ้ายเลาเบาๆ อ้ายเลาทะยานวิ่งข้ามคลองไปด้วยฝีเท้าเร็ว
สังข์มองตามด้วยยิ้ม
"ไอ้ทัพ แผนของเอ็งที่ทำเป็นผิดใจเพื่อน เพื่อส่งข้ามาสอดแนม กำลังทำให้เราชนะพวกศัตรู"

ใจเดินหลบลอบมาที่คลองหลังค่าย เพื่อกลับเข้าค่าย หยุดมองขึ้นไปบนฟ้า
"เอ็งกำลังจะส่งไอ้นกตัวนี้ออกไปบอกอุบายศึกของเรากับทัพอังวะใช่มั้ย"
ใจหันขวับกลับมา นกพิราบที่ถูกธนูในมือทัพ ใจมองอย่างนึกไม่ถึง ทัพโยนนกพิราบถูกยิงลงหน้าใจ
"ไม่ใช่ข้าไม่รู้ว่าเอ็งคือคนน่าสงสัย ไม่ใช่ข้าจะไว้ใจเอ็ง จนยอมตัดเพื่อน แต่ทุกอย่างที่ข้าทำ เพราะข้ากำลังให้โอกาสเอ็งกลับตัว"
ใจมองทัพที่กำลังก้าวมาเผชิญหน้า
"แต่ที่สุด .. เอ็งก็พิสูจน์ให้ข้าเห็นแล้ว ไอ้ใจ ... เมตตาคนคดไม่ได้ผลเพราะใจมันไม่มีวันตรง"

ทัพกับใจประสานสายตากร้าวกระด้าง

สังข์สู้อยู่กับเจิดตะลุยลงไปในน้ำ จนเจิดเสียทีถูกฆ่าตาย....

"มึงหมดหน้าที่แล้ว แต่กูยัง"

คลองหลังค่ายบางระจัน ทัพมองจ้องใจ มือกำดาบแน่น สายตากร้าว
"ต่อให้รักสไบมากแค่ไหน ข้าก็ยังเป็นอังวะ "
ใจชักมีดสั้นที่ซ่อนเหน็บเอว ออกมา
"ข้าไม่อยากฆ่าเอ็ง เอ็งเป็นคนดีเคยช่วยข้าไว้"
"มึงเอากองทัพมาย่ำยีแผ่นดินกู ปล้น ฆ่า ข่มเหงพ่อแม่พี่น้องกู คิดหรือว่าความเป็นมิตรที่มึงกับกูเคยมีจะทำให้มึงรอดวันนี้ไปได้...ไอ้ใจ นับจากนี้กูจะลืมว่ากูเคยช่วยชีวิตมึง มึงก็จงลืมว่าเป็นหนี้บุญคุณกู มึงบอกว่ามึงเป็นอังวะ กูก็ขอบอกว่ากูคือไท กูกับมึงคือศัตรูกันมา มึงกับกูมาสู้กันอย่างศัตรู ถ้ากูไม่ตายก็อย่าหมายจะเอาแผ่นดินกูไป"
ทัพปลดผ้าคาดเอวขึ้นมาปิดตา
"มึงตาบอด คนอย่างกูก็จะมิคิดเอาเปรียบมึง...มา เข้ามาเลยไอ้อังวะ"
ทัพและใจค่อยๆย่างเข้าหากันอย่างระมัดระวัง เท้าของทั้งสองที่เดินย่ำลงไปบนใบตาลแห้ง
ใจพุ่งเข้าหาก่อน ทัพหลบหลีกมีดสั้นว่องไว ยกดาบที่ยังไม่ชักออกปะทะไว้ ใจสู้กับทัพอย่างไม่ลดราวาศอก

สังข์ลอบซุ่ม แหวกพงหญ้า ลัดเลาะมาถึงคลองหลังค่าย สังข์ซุ่มรอ อ้ายเลาที่วิ่งข้ามน้ำ ปีนขึ้นฝั่งมา
สังข์โผเข้าไป กอดอ้ายเลา
"เอ็งเป็นม้าที่วิเศษที่สุด อ้ายเลา"
สังข์รีบเอาผ้าผูกติดกับขาอ้ายเลา
"รีบเอาความนี้ไปให้ไอ้ทัพ เพื่อนรักของข้า นายของเอ็ง"
สังข์มองอ้ายเลาที่เนื้อตัวเปียก แต่แววตาแสนรู้
"จงรักษาตัวให้รอดกลับไปถึงค่ายบ้านระจัน อ้ายเลา ม้าวิเศษ"
สังข์มองผ้าที่เขียนข้อความเรื่องการรบของเนเมียวสีหบดี ผูกไว้ตรงข้อเท้าด้วยสายตายินดี แล้วตบสีข้างอ้ายเลาเบาๆ อ้ายเลาทะยานวิ่งข้ามคลองไปด้วยฝีเท้าเร็ว
สังข์มองตามด้วยยิ้ม
"ไอ้ทัพ แผนของเอ็งที่ทำเป็นผิดใจเพื่อน เพื่อส่งข้ามาสอดแนม กำลังทำให้เราชนะพวกศัตรู"

ทัพกับใจยังคงสู้กันอย่างดุเดือด ใจควงมีด พุ่งเข้าจะปักอกทัพ แต่ทัพบิดตัว กระชากดาบออกจากฝัก

ใจหันมา เห็นทัพฟันลงดาบเดียวลงไป ที่ไหล่ ใจเลือดกระฉูด ทรุดลง จะลุกขึ้นสู้ แต่ทัพเตะเข้าปลายคาง ใจน็อกกลางอากาศ สลบลงกับพื้นทันที ทัพมองด้วยสายตาเจ็บแค้น

ใจฟื้นขึ้นจากสลบ ลุกพรวด แต่ล้มเซไปเพราะแรงกระชาก ใจหันมองพบว่าแขน ขาถูกมัดด้วยเชือกเส้นใหญ่ ควั่นกันหลายรอบ ผูกไว้กับเสากลางเรือน พอใจหันมองไปอีก ก็เห็นทัพกับขาบ ที่ยืนมองอยู่

ขาบสีหน้าเดือดดาล
"ถ้าไอ้ทัพไม่ห้าม กูจะเป็นคนบั่นคอมึงเอง ไอ้สันดานงูพิษ"
"ต่อให้เอาเชือกประกำล่ามช้างมัด กูก็จะหาทางออกไปจากที่นี่ให้ได้"
ขาบเข้ามาถีบใจกลางอก ใจเซลงไปกับพื้น
"เก่งนัก ก็ฆ่าเลยสิวะ"
ขาบชักดาบออกจากฝัก
"ฆ่ามันก็เหมือนเหยียบมดตัวนึง เก็บมันไว้ก่อน ข้าอยากรู้เรื่องในค่ายอังวะ"
ใจตาลุกวาวที่โดนดูถูก
"ถึงมันพูด เราจะเชื่อใจไอ้คนสองหน้านี่ได้ยังไง ฆ่ามันเลยดีกว่า"
"มันเป็นคนที่สไบรัก"
"หักหลังเราอย่างนี้ สไบคงรักมันไม่ลง"
"ให้สไบบอกมาว่าหมดรักมันวันไหน ไอ้ขาบ เอ็งเอาหัวไอ้ใจไปได้เลย"
ทัพหันหลัง จะเดินออกไป
แฟงกับสไบวิ่งเข้ามาที่ลานบ้าน เห็นสภาพใจก็อึ้ง ทัพไม่พูด ขาบพูดขึ้นให้เอง
"มันหลอกเราว่าตาบอด มันกำลังจะส่งข่าวกลับไปให้กองทัพของมัน"
สไบมองใจด้วยสายตาผิดหวัง เจ็บปวด แฟงสีหน้านึกไม่ถึง ทัพดึงแฟงออกไป ขาบเดินตาม ทั้งเรือนเหลือแค่สไบกับใจ
สไบที่น้ำตาหยด
"พี่หลอกฉันว่าตาบอด หลอกฉันทุกอย่าง จิตใจพี่ทำด้วยอะไร ถึงย่ำยีความรัก ความเชื่อใจ ที่ฉันมีให้พี่ได้ถึงเพียงนี้"
ใจมองสไบด้วยสายตากดดันที่ทำให้คนรักเจ็บปวด

สังข์ถีบร่างอูทินที่ถูกมัดมือ มัดเท้า มีหินถ่วงขาลงไปในคลอง ร่างอูทินถูกมัดมือมัดเท้าถูกหินถ่วงดำดิ่งลงไปใต้คลองอย่างรวดเร็ว
ใต้คลอง อูทินนิ่ง..ไม่เห็นฟองอากาศอีกแล้ว สังข์รอจนร่างอูทินไม่ผุดขึ้นมา ก็หันหลังกลับเข้าไปด้านในค่ายทันที

ทัพจูงมือแฟง เดินมาหยุด แฟงมองสีหน้าทัพแล้วรู้ว่าทุกข์มาก
"พี่คงเสียใจมากที่พี่ใจหักหลัง หลอกพวกเรามาตลอด"
" แต่ยังมีคนที่เสียใจกว่าพี่"
" สไบ ... สไบรักพี่ใจ รักอย่างหมดหัวใจ สไบคิดอยู่ทุกเมื่อว่าความรักจะผูกพี่ใจไว้ที่นี่ ไม่ว่าพี่ใจจะเป็นใครมาจากไหน"

ทัพมองแฟงที่แววตาเศร้าด้วยความสงสาร
 
อ่านต่อตอนที่ 13
กำลังโหลดความคิดเห็น