ใยกัลยา ตอนที่ 13
วดี ตั้งโต๊ะแถลงข่าวไมค์รวม บริเวณหน้าห้องทำงานในออฟฟิศชิดขอบบันเทิง นั่นเอง โดยเวลานี้เพลินพิศให้สัมภาษณ์อยู่ ส่วนวดีนั่งวาดหน้าจริงจังขึงขัง และคอยพยักพเยิดเห็นด้วยเป็นระยะ นอกจากนี้ทั้งเอิงกับลิซซี่ก็คอยพยักหน้าผสมโรงตามกันไป บางครั้งก็หันไปพูดต่อเติมกับนักข่าวเสียเอง
นักข่าว 1 เปิดประเด็นถามเพลินพิศขึ้นว่า “เรื่องนี้จะเหมือนกับกรณีที่น้องเพลินถูกผีพุธกันยาสิงตอนที่กำลังถ่ายหนัง เพลิงนารี หรือเปล่าคะ”
“อ๋อ! ไม่เหมือนค่ะ” เพลินพิศตอบ
วดีส่ายหน้าหนักแน่น “ไม่เหมือน...ไม่เหมือน”
ข่าวนี้ดังคึกโครมกระทั่งมีทีวีถ่ายทอดสดการเปิดใจของวดี โดยภาพการแถลงข่าวปรากฏอยู่บนจอทีวีในห้องโฮมเธียร์เตอร์บ้านศวัส ซึ่งมีศวัส บุรี และหอมน้ำที่ถูกพุธกันยาครองร่างแล้ว กำลังนั่งดูทีวีกันอยู่อย่างสนใจ มีเยาวภายืนหลุบมุมดูข่าวด้วยสีหน้าเย็นชาเช่นเดิม
“ที่คุณพุธกันยาเข้าสิงเพลินในวันนั้น เพลินเข้าใจว่า ท่านต้องการระบายความอัดอั้นตันใจ ที่ถ้าพี่พูดก็คงไม่มีคนฟัง” นางร้ายขี้จุ๊ทำขำนิดๆ ขณะพูด “ท่านก็เลยตัดสินใจสิงเพลิน ซึ่งเพลินเข้าใจแล้วก็เห็นใจท่านมาก”
ร่างหอมน้ำที่ถูกพุธกันยาสิงมองจ้องจอ นัยน์ตาเป็นประกายกร้าวด้วยความโกรธจัด ซึ่งกิริยาดังกล่าวตกอยู่ในสายตาของทุกคนในบริเวณนั้นที่ลอบมอง ยกเว้นเยาวภาที่มีแววสะใจ สมน้ำหน้า ฉายชัด
วิญญาณหอมน้ำเดินงงๆ เข้ามาในนั้น ดวงตาจับจ้องอยู่ที่จอทีวี
ซึ่งวดีพยักพเยิดการันตีคำพูดนางร้ายหน้าสวยว่า “หนูเพลินเขามีจิตใจดี”
“แต่หอมน้ำนางอาละวาดนี่ เพลินคิดว่าคงเป็นหอมน้ำตัวจริง เพราะทุกคนที่ร่วมงานกับเขาจะรู้กันทั้งนั้นว่าเด็กคนนี้ไม่ค่อยเต็มเต็ง”
“อันนี้ น้องเอิงเป็นพยานได้ค่ะ เขาชอบจับผู้ชายด้วย” เอิงผสมโรง
วิญญาณหอมน้ำเบิกตากว้าง ร่างหอมน้ำในสภาพถูกพุธกันยาสิงเบือนหน้ามามอง โดยเห็นเป็นพุธกันยาส่ายหน้าราวกับเวทนาเต็มที่
ศวัสหยิบรีโมตกดปิดทีวี ทุกคนหันมามอง “ผมไม่ชอบการกล่าวหากันแบบนี้”
วิญญาณหอมน้ำมองศวัสด้วยความซาบซึ้งตื้นตันใจ
บุรีพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นว่า “เขาถึงได้เรียกว่า วงการมายา ไง แม่ของลูกโดนมาเยอะ โดนจนเอาชีวิตไม่รอด”
พุธกันยาที่สิงซ้อนอยู่ในกายหอมน้ำ มองบุรีด้วยความตื้นตันใจ
บุรีเบือนหน้ามามอง “ถ้าหนูตั้งใจจะออกจากวงการนี้ก็ไม่ต้องคิดมาก”
หอมน้ำที่ถูกพุธกันยาสิง ทำท่าจะพูดอะไรบางอย่าง แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ เช่นเดียวกับศวัส
บุรีหันมาทางลูกชาย “พ่อไปละ”
หอมน้ำที่ถูกสิงถามขึ้น “ไปไหนคะ”
บุรีแปลกใจนิดๆ แต่ก็ตอบ “ลุงมีนัดกับเพื่อน”
บุรีเดินออกไป หอมน้ำที่ถูกพุธกันยาสิง มองตามแล้วเม้มปาก นัยน์ตาวาวด้วยความโกรธ ในขณะที่เยาวภาซึ่งมีอาการไม่ต่างกัน เดินเข้าไปข้างใน
บริเวณซุ้มพุดซ้อนถูกปรับบริเวณจนสะอาดเรียบร้อย ต้นพุดซ้อนที่ถูกตัดได้รับการปลูกแทน และตกแต่งใหม่
หอมน้ำที่ถูกพุธกันยาสิง เดินเข้ามาเหมือนพยายามจะสงบใจ มือกำแน่น
“นังขวัญ ต้องเป็นมันแน่ๆ พี่บุรีมีนัดกับมัน”
พุธกันยาในร่างหอมน้ำพลุ่งพล่านไปหมด พอหันกลับมา แล้วชะงักเมื่อเห็นศวัสยืนมองอยู่ โดยมีวิญญาณหอมตัวจริงยืนอยู่ข้างหลังศวัสด้วย
พุธกันยาพึมพำ “ศวัส”
ศวัสเอ่ยขึ้นเสียงอ่อนโยน “ผมจะขอความกรุณาคุณแม่ให้ออกจากร่างหอมน้ำ”
พุธกันยาในร่างหอมน้ำ อึ้งและมองศวัสด้วยความแววตาตัดพ้อ น้อยใจ
“คือ...ผมคิดว่าที่หอมน้ำดูอ่อนเพลียไม่สบาย อาจจะเป็นเพราะคุณแม่อยู่ในร่างเขานานเกินไป”
ศวัสพูดอย่างเกรงใจ
“ศวัสไม่อยากอยู่กับแม่หรือ”
“มันไม่เกี่ยวกับเรื่องนั้น ผมเป็นห่วงหอมน้ำ”
วิญญาณหอมน้ำ มองศวัสด้วยความตื้นตันใจ
หอมน้ำที่ถูกสิงพูดขึ้นมาด้วยอารมณ์น้อยใจ แดกดันแกมประชดประชัน
“ขอบใจมากลูก ขอบใจ แม่อุตส่าห์รอคอยที่จะได้กลับเข้ามาในชีวิตพ่อ ชีวิตลูก ไม่มีใครรู้หรอกว่าตลอดเวลาเหล่านั้น แม่ทุกข์ทรมานแค่ไหน แต่พอทุกอย่างเป็นไปตามที่แม่ฝันอย่างไม่น่าเชื่อ แม่หวังว่าจะได้รับการต้อนรับอย่างมีความสุขจากพ่อและลูก อยากให้ทุกคนรู้สึกว่า สามชีวิตไม่เคยพรากจากกัน แต่...” ยิ่งพูดพุธกันยาก็ยิ่งสะเทือนใจใหญ่หลวง และยิ่งสะอื้นหนัก “แม่กลับพบความจริงว่า พ่อกำลังจะมีผู้หญิงคนใหม่ ในขณะที่ลูกก็ไม่ได้ยินดีอะไรมากมาย ผู้ชายสองคนที่แม่รักที่สุดในชีวิต ลืมแม่ไปหมดแล้ว”
“คุณแม่ครับ”
พุธกันยาในร่างหอมน้ำไม่ฟัง ปิดหน้าวิ่งร้องไห้เข้าไปข้างใน
ศวัสมองตามกลุ้มหนัก เดินมาทิ้งตัวลงนั่งตรงม้านั่งในซุ้ม
วิญญาณหอมน้ำเดินเข้าคุกเข่าลงตรงหน้า “คุณหมอคะ”
ทว่าศวัสไม่ได้ยิน และยังคงนั่งกุมขมับอยู่ตรงนั้น
พุธกันยาในร่างหอมน้ำ หอบหน้าตาที่เพิ่งผ่านการร้องไห้อย่างหนัก นั่งอยู่ตอนหลังรถแท๊กซี่ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทร.ออก
“คุณเจค นี่กัลเองค่ะ กัลอยากพบคุณเดี๋ยวนี้เลย”
เจครับสายอยู่ในห้องทำงานที่ออฟฟิศนัยน์ตาเป็นประกายลิงโลดด้วยความดีใจ
“คุณมารอผมอยู่ที่หน้าปากซอย อยู่ในรถนั่นแหละ ไม่ต้องลงมา แล้วให้ค่าเสียเวลาเขา มาถึงแล้วก็โทร.บอกผมจะได้ออกไปรับ ไม่ซิ ผมไม่อยากให้คนในบริษัทรู้”
ศวัสยังนั่งซึม ทุกข์หนักอยู่ในซุ้มพุดซ้อนนั้น และพยายามโทรศัพท์ถึงพุธกันยาที่สิงหอมน้ำ แต่ก็ไม่มีใครรับ
“รับซิ รับซิครับ คุณแม่”
วิญญาณหอมน้ำนั่งมองศวัสด้วยความรู้สึกเศร้าหมอง
“คุณแม่คุณหมอโกรธมาก ท่านคงไม่รับหรอกค่ะ”
แจ่มเดินเข้ามาพอดี
“คุณหมอคะ น้องเขนมาแล้วค่ะ”
ศวัสลุกขึ้นเดินออกไป โดยหอมรีบตามไป
เขนนั่งรออยู่ในห้องรับแขกรีบลุกขึ้นทันที มือยังคงถือโทรศัพท์ที่คอยโทร.ถึงหอมน้ำตลอด เมื่อศวัสเดินเข้ามา มีวิญญาณหอมน้ำตามมาด้วย
ท่าทางเขนร้อนใจมาก “หอมไม่ยอมรับโทรศัพท์เลยค่ะ”
ศวัสพยักหน้า “เหมือนกัน เขาเพิ่งออกไปเมื่อสักครู่นี่เอง”
“ที่ออกไปนั่นไม่ใช่หอม แต่เป็นคุณแม่จอมวุ่นของคุณหมอ” เขนพูดด้วยความหงุดหงิด
ศวัสหน้าตึง วิญญาณหอมน้ำที่ตามมามองศวัส แล้วหันมามองเขนอย่างร้อนใจ
“อย่าพูดกับคุณหมออย่างนั้นซิเขน มันไม่สุภาพ คุณหมอเป็นผู้ใหญ่ เราเป็นเด็ก”
“โอ๊ย หอมไม่น่าใจดียอมให้คุณพุธสิงตั้งแต่แรกเลย เขนสังหรณ์ใจอยู่แล้วว่าจะต้องมีเรื่อง คุณพุธไม่เคยรักษาสัญญา”
หอมน้ำเครียด “เขน บอกว่าอย่าพูดอย่างนั้น”
ศวัสยังคงฉุน “เพื่อนเธอกับคุณแม่ชั้นตกลงกันเอง ชั้นไม่ได้รู้เห็นอะไรด้วย ถ้ารู้ตั้งแต่แรก ชั้นก็คงห้ามแล้ว
“ทีนี้จะทำยังไงล่ะคะ หอมเสียชื่อเสียงป่นปี้ไปหมด พวกยัยคุณเพลินเอาไปใส่สีตีไข่ซะหอมกลายเป็นบ้า อยากดัง กลายเป็นฮิสทีเรีย แล้วนี่เขาเสียใจเตลิดไปไหนก็ไม่รู้”
เขนยิ่งพูด ยิ่งอัดอั้นตันใจจนร้องไห้ออกมา
“หอมยิ่งซื่อๆ อยู่ด้วย อยู่กรุงเทพฯมาสี่ปีก็ไม่ค่อยจะได้ไปไหน ตั้งหน้าตั้งตาเรียนอย่างเดียว โดนใครหลอกไปจะทำยังไง”
หอมน้ำมองเพื่อนอย่างซาบซึ้งใจ “โถ เขน”
“คงไม่มีใครหลอกหอมน้ำได้หรอก”
เขนซึ่งกำลังสะอึกสะอื้นเช็ดน้ำตา เงยหน้ามองศวัส
ศวัสถอนใจเฮือก “เพราะคุณแม่ชั้นอยู่ในร่างเขา”
“โอ๊ยตาย ยิ่งซวยไปกันใหญ่ มิน่า โทรศัพท์ก็ไม่รับ”
“ชั้นเองก็เป็นห่วงเพื่อนเธอเหมือนกัน ชั้นเป็นลูก ชั้นต้องรับผิดชอบการกระทำของคุณแม่”
หอมน้ำซึ้งในไหว้ขอบคุณ “ขอบคุณมากค่ะ คุณหมอ”
“คุณแม่รักชั้นมาก ท่านไปไหนไม่ได้ไกลหรอก เดี๋ยวก็คงกลับมา”
“ขอให้เป็นอย่างนั้นจริงๆ เถอะค่ะ”
เวลาผ่านไปสักระยะ ณ ริมหาดทรายชายทะเลที่ค่อนข้างสงบแห่งนี้ ผู้คนไม่พลุกพล่านมากนัก แลเห็นเกลียวคลื่นม้วนตัวเข้าหาฝั่งเป็นระลอก เจคพาพุธกันยาในร่างสภาพของหอมน้ำมานั่งในที่ๆ ค่อนข้างไกลจากคนอื่นพอสมควร
หอมน้ำสูดลมหายใจยาวขณะมองไปที่ทะเล “กัลไม่ได้เห็นทะเลมานานเหลือเกิน”
“เปลี่ยนไปมากไหม”
หอมน้ำส่ายหน้า “ทะเลกับหาดทรายไม่เปลี่ยน มีแต่ผู้คนและสิ่งก่อสร้างที่เปลี่ยน”
เจคเลื่อนน้ำมะพร้าวให้
หอมน้ำนิ่งไปครู่หนึ่ง นัยน์ตาตกมองพื้นหมองเศร้า “กัลเข้าใจผิดไปถนัด กัลเคยคิดว่าถ้าเรากลับมามีชีวิตได้อีกครั้ง ลูกผัวคงจะดีใจมาก” พูดไปพูดมาก็น้ำตาคลอ “แต่ความจริงกลับไม่ใช่ กัลคงจากไปนานจนทุกคนทำใจได้แล้ว และเริ่มยอมรับสิ่งใหม่ๆ เข้ามาในชีวิต”
“ผมไม่เคยทำใจได้เลย”
หอมน้ำชะงักกับคำหวานนั้น เงยหน้าขึ้นมองเจคเขม็ง เจคเปลี่ยนท่าทีเป็นเพื่อนที่เข้าอกเข้าใจตามเดิม
เจคเยื้อนยิ้ม “ถ้ามีอะไรไม่สบายใจล่ะก็ ปรึกษาผมได้เสมอ เหมือนเมื่อก่อน”
“ขอบคุณค่ะ”
“อยากกลับเมื่อไหร่ก็บอก อยากระบายอะไรก็ระบายออกมา ผมยินดีเป็นผู้รับฟังเหมือนเดิม”
พุธกันยาในร่างหอมน้ำฟังแล้วตื้นตัน “ขอบคุณอีกครั้งหนึ่งค่ะ”
เจคพยักหน้าพลางดูดกินน้ำมะพร้าวด้วยท่าทางปกติ
หอมน้ำเบือนหน้ากลับไปมองทะเลอีกครั้ง โดยไม่ทันสังเกตว่าเจคมองมาอย่างมีเลศนัย
ทางฝ่ายศวัสเดินกลับไปกลับมาช้าๆ อยู่ในห้องนอน อย่างคนใช้ความคิด วิญญาณหอมน้ำเดินผ่านประตูเข้ามา
“คุณหมอคะ” ศวัสไม่มีทีท่าว่าได้ยิน “คุณหมอ”
ศวัสถอนใจยาวแล้วเดินมาทรุดตัวลงนั่งบนเตียง
หอมน้ำเดินมาทรุดตัวลงนั่งกับพื้นข้างหน้า “คุณหมอ”
คราวนี้ศวัสชะงัก ทำท่าทางเหมือนได้ยินอะไรบางอย่าง
หอมน้ำดีใจมาก “คุณหมอ คุณหมอได้ยินหอมแล้วใช่ไหมคะ”
ศวัสลุกขึ้น หอมน้ำเงยหน้ามองแล้วลุกขึ้นอย่างตื่นเต้น หมอหนุ่มเดินเลยหอมน้ำไปหยิบโทรศัพท์ที่ดังอยู่ขึ้นมาดู หอมน้ำเหลียวมองตาม ด้วยสีหน้าผิดหวัง
ศวัสมีสีหน้าผิดหวังเช่นกัน เมื่อชื่อคนโทรเข้ามาไม่ใช่หอมน้ำ “สวัสดีครับ คุณเอิง”
สุ้มเสียงของเขาเย็นชาจน หอมน้ำชะงัก
“ได้ดูครับ แต่ดูไม่จบ เพราะผมคิดว่าหอมน้ำไม่ได้เป็นอย่างที่พวกคุณให้สัมภาษณ์ มันไม่ยุติธรรมกับหอมน้ำ”
ศวัสปิดสาย แล้ววางมือถือลงด้วยสีหน้าหงุดหงิด หอมน้ำมองศวัสอย่างตื้นตันใจ
เอิงกรีดเสียงร้องออกมาลั่นห้องทำงานวดี อาการคุณหนูถูกขัดใจ จนทุกคนต้องยกมือขึ้นอุดหู
“แอร๊ย....น้องเอิงไม่ย้อม ไม่ยอม พี่หมอด่าน้องเอิง”
เพลินพิศแปลกใจ “ถึงกับด่าเชียวหรือ”
“เขาบอกว่า ที่พวกเราให้สัมภาษณ์ไป มันไม่แฟร์กับนังน้ำเหม็น” เอิงโมโหไม่หาย
“ชั้นว่าแกเลิกปักอกปักใจกับหมอฟันคนนี้ดีกว่า ท่าทางเขาไม่ได้แคร์แกเลย” วดีบอก
เอิงไม่ยอม “นั่นแหละค่ะ ที่ทำให้น้องเอิงยิ่งอยากจะเอาชนะ”
เพลินพิศลอบยิ้มเยาะ
ลิซซี่ตั้งข้องสังเกต “แปลกนะคะ นังน้ำเหม็นเงียบไปเลย พวกนักข่าวพยายามโทร. แต่ก็ปิดมือถือ”
“โดนถล่มขนาดนี้ คงฆ่าตัวตายไปแล้วมั้ง” เพลินพิศเหยียดยิ้ม สีหน้าสะอกสะใจ
เวลาเดียวกัน เจคนอนบนเตียงผ้าใบ ทอดสายตามองไปที่ชายหาด เห็นหอมน้ำวิ่งขึ้นวิ่งลงระหว่างชายหาดและน้ำทะเลอย่างมีความสุข เจคยิ้มออกมาอย่างสุขล้น
“เราจะสร้างครอบครัวใหม่กัน ใครจะเชื่อว่าผมจะได้คุณกลับคืนมา”
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เจคมองแล้วหยิบขึ้นมารับ “ว่าไง คัมภีร์”
คัมภีร์โทร.มาจากออฟฟิศสร้างศิลป์ “มีนักข่าวตามตัวคุณเจคกันใหญ่เลยครับ ผมเลยบอกตามที่คุณเจคสั่งเอาไว้ว่าไม่รู้อยู่ไหน”
“ดี แล้วพวกวดีให้สัมภาษณ์อะไรเพิ่มเติมหรือเปล่า”
“ตอนนี้ยังไม่มีครับ เห็นบอกว่าให้รอติดตามอ่านรายละเอียดในหนังสือพิมพ์ ชิดขอบบันเทิง”
“ถือโอกาสขายของเสียเลย โค้กล่ะ”
“พี่โค้กเพิ่งออกจากออฟฟิศ ไปเมื่อกี้เองครับ ไม่ทราบว่าไปไหน”
“ช่างมันเถอะ ถ้าอาละวาดมากนักค่อยเรียกมาเตือน มีอะไรอีกมั้ย”
“ไม่มีแล้วครับ แล้วผมจะโทร.มารายงานอีก”
“ขอบใจ เออ...วันนี้ชั้นอาจจะไม่กลับนะ”
“ครับ”
เจควางโทรศัพท์ลง แล้วผ่อนลมหายใจยาว ในสีหน้าสุขสม
ศวัสเป็นห่วงหอมน้ำมาก เขานอนก่ายหน้าผากบนเตียงในห้องนอน นัยน์ตาจับจ้องมองเพดานอย่างกลัดกลุ้มกังวล
“เธอไปอยู่เสียที่ไหนนะ หอมน้ำ”
วิญญาณหอมน้ำเดินเข้ามาและทรุดตัวลงนั่งตรงหน้าเตียง “หอมอยู่ที่นี่ค่ะ คุณหมอ”
ศวัสยังคงนิ่งอยู่ในอิริยาบถเดิม หอมน้ำค่อยๆ ยื่นหน้าไปกระซิบที่ริมหูของศวัส
“คุณหมอคะ”
ลมหายใจหอมน้ำกระทบข้างแก้มศวัสเบาๆ แต่ก็ทำให้ศวัสหันกลับมาอย่างรวดเร็ว จมูกศวัสถูกแก้มหอมน้ำพอดี
ศวัสและหอมน้ำต่างชะงักงันกันไป ศวัสสูดกลิ่นหอมจางๆ นั้น ขณะที่หอมน้ำผละออกห่างมายืนตัวแข็งทื่อขัดเขินไปมา
ศวัสลุกขึ้นนั่งสีหน้าฉงนฉงาย “กลิ่นอะไร หอมเหมือนดอกไม้”
ศวัสมองไปโดยรอบงงๆ ขณะที่วิญญาณหอมน้ำยังยืนหน้าแดงไม่กล้าแม้จะมองหน้าศวัส
จนกระทั่งมีเสียงเคาะประตูดังขัดขึ้นเบาๆ
“ใคร”
เสียงแจ่มดังเข้ามา “แจ่มเองค่ะ น้องเขนให้มาเชิญคุณหมอลงไปข้างล่างหน่อยค่ะ”
“เดี๋ยวชั้นลงไป”
“ค่ะ”
ศวัสมองไปรอบตัวอีกครั้ง แล้วเดินไปที่ประตู
แจ่มเดินเข้ามาหาเขนในห้องทานอาหาร ซึ่งบนโต๊ะมีอาหารคาวหวานตั้งอยู่เพียบ
“พี่แจ่มขึ้นไปเรียนคุณหมอให้แล้วนะคะ เดี๋ยวคงลงมา น้องเขนจะรับอะไรอีกไหมคะ”
“ไก่อบมีอีกมั้ย”
“มีค่ะ เดี๋ยวพี่แจ่มเอามาเติมให้” แจ่มยิ้ม
เขนทำเจี๋ยมเจี้ยมราวกับตัวเท่ามด “แหม ชักจะเกรงใจเหมือนกัน”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ คุณขวัญทำมาให้ไม่ขาดเลย”
เขนไหว้ “งั้นก็ขอบคุณค่ะ”
แจ่มรับไหว้ ชอบอกชอบใจ แล้วเดินออกไป เขนเริ่มกินอีก
ศวัสเดินเข้ามา ตามติดด้วยวิญญาณหอมน้ำที่เบิกตากว้างตกใจ “ตายแล้วเขน”
ศวัสถามขึ้น “หอมน้ำติดต่อมาหรือ”
“ยังเลยค่ะ เขนเป็นห่วงจัง แต่ไม่รู้จะไปตามที่ไหน”
ศวัสมองไปที่อาหารบนโต๊ะ ขณะที่แจ่มยกไก่อบเข้ามาอีก
เขนออกอาการเขินๆ “พี่แจ่มใจดีค่ะ ยกโน่นยกนี่มาให้เขนบริโภคตลอด”
แจ่มวางจานไก่อบลง แล้วรีบออกไป
ศวัสยังไม่ทันจะพูดอะไร เสียงโทรศัพท์บ้านในห้องทานอาหารดังขึ้น หอม(พุธสิง)ใช้มือถือเจคโทร)
ศวัสเดินไปหยิบขึ้นมารับเอง “สวัสดีครับ”
เสียงหอมน้ำดังขึ้นว่า “ศวัส นี่แม่เอง”
ศวัสชะงัก สีหน้าบอกความโล่งใจสุดๆ “คุณแม่”
ทั้งเขนและหอมน้ำสะดุ้ง รีบพรวดพราดเข้ามา
“คุณแม่อยู่ที่ไหนครับ”
หอมน้ำที่ถูกพุธกันยาสิงให้มือถือเจคโทร.มาจากริมทะเล “แม่กำลังจะกลับบ้านแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วง”
เสียงศวัสถามขึ้นว่า “คุณแม่อยู่ที่ไหนครับ”
หอมน้ำหันมายิ้มกับเจค “รู้แค่แม่กำลังจะกลับบ้านก็พอ”
หอมน้ำปิดโทรศัพท์ แล้วส่งคืนให้เจคพลางลุกขึ้น “กลับกันเถอะค่ะ”
“จะแวะซื้ออะไรไปฝากศวัสกับคุณบุรีไหม”
“ไม่ล่ะค่ะ”
หอมน้ำพูดพลางเดินกลับขึ้นไปที่รถ
เจคเดินตาม นัยน์ตาที่จับจ้องมองหอมน้ำเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักและความสุข
เขนออกอาการโล่งใจ “ค่อยยังชั่ว ต่อไปนี้เขนจะไม่ยอมให้คุณพุธสิงหอมต่อไปอีกแล้ว”
หอมน้ำรีบหันมาดูปฏิกิริยาของศวัส
เห็นศวัสมีสีหน้าปกติ ขณะถามเขน “จะรอที่นี่หรือว่ากลับไปที่หอ”
“ที่นี่ดีกว่าค่ะ ที่หอมีนักข่าวรออยู่กันเต็ม เฮ้อ เขนยังไม่อยากให้หอมพบกับนักข่าวเลย”
“หอมก็ไม่อยากพบ” หอมน้ำว่า
“งั้นไปนอนโรงพยาบาล” ทั้งสองสาวสะดุ้ง “หรือว่าจะนอนที่นี่”
ทั้งสองสาวส่ายหน้าพร้อมๆกัน
ศวัสเลยตัดสินใจให้เอง “นอนที่นี่ดีกว่า ที่โรงพยาบาลอาจจะมีคนเห็น” หมอหนุ่มไปเรียกหา “แจ่ม...แจ่ม”
แจ่มเดินนอบน้อมเข้ามา “ขา”
“ไปจัดห้องนอนให้แขกหน่อย คืนนี้คุณเขนกับคุณหอมจะพักที่นี่”
“น้องหอมมาแล้วหรือคะ”
ศวัสมองแจ่มหน้าเคร่ง
“ค่ะ” แจ่มเสียงอ่อย แล้วรีบเดินออกไป
“หอมคงไม่ยอมค้างหรอกค่ะ เขาขี้เกรงใจคน” เขนบอก
“ก็ต้องเลือกเอาแล้วล่ะ”
บรรยากาศตามท้องถนนเริ่มมืดค่ำ รถราแล่นกันขวักไขว่ มุ่งหน้ากลับกรุงเทพฯ
ภายในรถ หอมน้ำนั่งหลับตาพิงพนัก โดยมีเจคผินหน้ามามองเป็นระยะๆ
เจคพูดขึ้นในที่สุด “หลับหรือเปล่า”
หอมน้ำพูดทั้งที่ยังหลับตา “เปล่าค่ะ ใกล้จะถึงหรือยังคะ”
“จวนแล้ว”
หอมน้ำนิ่งไป เจคขับรถไปเรื่อยๆ
เจคขับรถแล่นเข้ามาในบ้านแล้ว ศวัสกับเขนยืนรออยู่ มองด้วยความประหลาดใจ ที่เห็นเป็นรถเจค
“รถคุณเจคนี่”
รถแล่นมาจอดหน้าตึก หอมน้ำเปิดประตูก้าวลงมาพร้อมๆ กับเจค ซึ่งมีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
ศวัสกับเขนยกมือไหว้โดยไม่พูดอะไร
“อาพาหอมน้ำมาส่งแล้วนะ รับรองว่าปลอดภัยทุกประการ”
“ขอบคุณมากครับ”
“ไปล่ะ” เจคหันมาทางหอมน้ำ “แล้วพบกัน”
หอมน้ำยิ้มตอบ “ค่ะ”
เจคกลับขึ้นรถแล้วขับรถออกไปเลย
เขนมองหอมน้ำที่ถูกสิงเขม็ง “คุณไม่ควรทำอย่างนี้”
ศวัสตัดบท “เข้าไปพูดกันข้างใน”
ศวัสเดินน้ำเข้าไปพร้อมกับหอมน้ำและเขน โดยที่เขนมองหอมน้ำที่ถูกสิงอย่างไม่พอใจตลอด
ทั้งสามคนเดินเข้ามาในห้องรับแขก เขนหยิบสร้อยพระของหอมน้ำออกมาจากกระเป๋าทันที
“กรุณาออกจากร่างหอมได้แล้วค่ะ”
พุธกันยาในร่างหอมน้ำไม่พอใจ “เธอเป็นใครมิทราบ”
“เขนเป็นเพื่อนของหอมน้ำ ซึ่งคุณมาสิงร่างอยู่ค่ะ คุณผิดสัญญา”
หอมน้ำหันมาทางศวัส “ศวัส ช่วยแม่หน่อยซิลูก”
“ผมว่าเขนพูดถูกครับ”
“ศวัส” พุธกันยาในร่างหอมน้ำครวญด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ
“คุณแม่ทำให้หอมเดือดร้อนมาก”
“แม่เสียใจมากที่ลูกพูดกับแม่อย่างนี้ แม่เสียใจจริงๆ”
หอมน้ำเดินแกมวิ่งขึ้นบันไดไป
เขนขยับจะตาม “คุณพุธ”
“ชั้นจัดการเอง”
ศวัสเดินตามหอมน้ำขึ้นบันไดไป
“เดี๋ยวค่ะ” ศวัสหยุด หันมามอง “เอาสร้อยพระไปด้วย”
“ไม่ต้อง”
ศวัสเดินขึ้นบันไดไป เขนมองตามด้วยสีหน้ากังวล
ศวัสเดินมาหยุดอยู่หน้าประตูห้องพุธกันยาแล้วเคาะประตูเรียก
“คุณแม่ครับ” ไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้มา “คุณแม่ครับ”
ข้างในยังเงียบอีก
“คุณแม่ กรุณาเปิดประตูด้วยครับ”
เงียบไปอีกครู่หนึ่ง ศวัสถอนใจ แล้วยกมือจะเคาะประตูอีก แต่ประตูเปิดออกก่อน
ศวัสเดินเข้าไป แล้วปิดประตูลง
หอมน้ำยืนกอดอกมองมาที่ศวัส ซึ่งเข้ามาหยุดยืนตรงหน้า
ศวัสถอนใจ “คุณแม่ครับ ผม...”
“แม่ไปชายทะเลกับเจคมา”
ศวัสสะดุ้ง หอมน้ำที่ถูกพุธกันยาสิง มองและพูดประชดที่เห็นศวัสเป็นห่วงหอมน้ำมาก
“แต่ไม่ต้องเป็นห่วง หอมน้ำของลูกปลอดภัยดีทุกอย่าง แม่ก็ไม่ใช่ผู้หญิงที่พอโกรธลูก น้อยใจผัว แล้วไปมีชู้”
“ผมไม่เคยคิดอย่างนั้น แต่...ผมไม่ไว้ใจคุณอาเจค”
“เจคเป็นคนดี เขาไม่ทำอะไรอย่างที่ลูกกังวลแน่”
“คุณแม่ครับ” ศวัสพูดเป็นเชิงขอร้อง
“จะให้แม่ออกจากร่างหอมน้ำใช่ไหม ได้...บอกหอมน้ำด้วยก็แล้วกันว่าแม่ขอโทษ”
เงาดำๆ วูบออกจากร่างหอมน้ำไป ร่างหอมน้ำทรุดตัวลง ศวัสช้อนร่างเอาไว้ได้ทัน
“หอมน้ำ เป็นอย่างไรบ้าง หอมน้ำ”
พุธกันยามองภาพนั้น เม้มปากแน่น ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีขัดแย้งกันรุนแรงอยู่ภายใน
วิญญาณหอมน้ำกลับเข้าร่างแล้ว ปรือตาขึ้นมอง พึมพำเสียงเบาหวิว “คุณหมอ”
แล้วหมดสติไปในอ้อมแขนแกร่งกำยำนั้น
ศวัสใช้มือหนึ่งเปิดประตู แล้วเอาหลังดันให้ประตูกว้างออก อุ้มหอมเข้ามาวางลงบนเตียงในห้องนอนแขกบนบ้าน กดรีโมตไปเปิดแอร์ แล้วคลี่ผ้าห่มคลุมร่างหอมน้ำ ขณะที่หอมน้ำค่อยๆ ลืมตาขึ้น
ศวัสทรุดตัวลงนั่งใกล้ๆ “เป็นยังไงบ้าง”
“ก็เพลียๆ เหมือนเดิมค่ะ” หญิงสาวกลอกตามองไปโดยรอบ
“บ้านชั้นเอง เธอกับเขนควรจะค้างที่นี่สักพัก”
หอมน้ำสะดุ้ง นัยน์ตาหวาดกลัว
“คุณแม่ไม่มายุ่งกับเธอแน่นอน” เขาหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋าออกมาโทร.ออก “เขน ขึ้นมาได้แล้ว ให้แจ่มพามา”
ศวัสวางสาย มองหอมน้ำด้วยแววตาห่วงใย
หอมน้ำไหว้ “ขอบคุณมากค่ะ คุณหมอดีกับหอมเหลือเกิน”
“คุณพ่อคุณแม่เธอฝากให้ชั้นดูแลเธอ อย่าลืม”
หอมน้ำหรุบตาลง ด้วยความรู้สึกน้อยใจเล็กๆ
“อีกอย่าง คุณแม่ชั้นก็ทำให้เธอเดือดร้อนพอดู”
เสียงเคาะประตูดังขึ้น ศวัสลุกขึ้นยืนห่างออกไป “เข้ามา”
ประตูเปิดออก เขนเดินเข้ามา ปิดประตูเบาๆ
“หอม เป็นไงบ้าง” พลางก้าวมานั่งลงที่เตียง
“สบายดีจ้ะ เขน”
เขนหยิบสร้อยพระออกมาคล้องคอให้เพื่อน
“นี่ สวมเอาไว้ แล้วห้ามเอาออกอีก”
หอมน้ำพยักหน้า น้ำตาซึม จับมือเขนไว้ “ขอบใจมากนะ เขน”
เขนพยักหน้าจิ้มหน้าผากเพื่อน “ไม่ต้องมาทำซึ้ง”
สองสาวหัวเราะให้กัน ศวัสเลี่ยงเดินออกไป
หอมน้ำเหลียวมองตาม
เขนมองสายตาหอมน้ำด้วยท่าทีครุ่นคิดตรึกตรอง
คืนนั้นเพลินพิศขับรถเข้ามาจอดในที่จอดรถคอนโด ด้วยสีหน้าเบิกบานแจ่มใส เพราะกลายเป็นข่าวดังหล่อนฮัมเพลงอย่างสุขใจ เมื่อก้าวลงจากรถ หันไปทักทายเพื่อนร่วมคอนโด 2-3 คน ที่เพิ่งกลับเช่นกัน แล้วเดินคุยกันเข้าตึกไป
“ค่อยยังชั่วหน่อยที่มีเพื่อน”
“รปภ. แน่นหนายังนี้ โจรที่ไหนก็เข้ามาไม่ได้หรอกค่ะ” เพื่อน 1 บอก
เพลินพิศเย้าว่า “กลัวว่าจะไม่ใช่โจรน่ะซิคะ”
เพื่อน 2 เอ่ยขึ้น “ผีหรือคะ”
คนอื่นๆ ร้อง “บ้า”
เพลินพิศบอกทีเล่นทีจริง “ไม่แน่เหมือนกันนะคะ”
ทั้งหมดเดินคุยกันไปเรื่อยๆ
เพลินพิศแยกกับเพื่อนๆ มาที่ห้องตัวเอก หล่อนชะงักมอง เมื่อพบว่าที่หน้าห้องมีกล่องของขวัญและช่อดอกไม้วางอยู่
“ใครเอามาให้”
นางร้ายผีสิงกำมะลอ กวาดตามองโดยรอบ แต่บริเวณนั้นไม่มีใคร
“สงสัยจะเป็นแฟนคลับแถวๆ นี้”
เพลินพิศก้มลงหยิบของขวัญและช่อดอกไม้ขึ้นมา แล้วจึงเปิดห้องเข้าไป
เพลินพิศเดินเข้าห้องมา วางข้าวของลงบนโต๊ะ แล้วหยิบดอกไม้ในแจกันที่เริ่มโรยไปทิ้งลงขยะ คว้าช่อดอกไม้ใหม่ใส่ในแจกันแทน จากนั้นมองกล่องของขวัญ หยิบขึ้นมาเขย่าเบาๆ ว่าเป็นอะไร ก่อนจะแก้โบว์ แกะออกดู กล่องด้านในปิดผนึกแน่นหนา
“อะไรน๊า”
เพลินพิศยิ้มอารมณ์ดี หยิบมีดมากรีดฝากล่อง เปิดออกมา ร้องกรี๊ดลั่นห้อง
ในกล่องมีซากสัตว์บางอย่างที่ตายแล้ว หนอนขึ้นจนเต็มน่าขยะแขยง
เพลินพิศยังคงร้องกรี๊ดๆ อยู่อย่างนั้น
ไม่นานต่อมา เพลินพิศพาตัวเองมานั่งตัวสั่นและร้องไห้ด้วยความหวาดกลัวอยู่ที่ห้องรับแขกคอนโดวดี โดยมีเอิงโอบไหล่ปลอบอยู่
วดีฟังแล้วตั้งข้อสังเกต “แปลก ธรรมดาที่คอนโดเพลิน เขาไม่อนุญาตให้คนอื่นเข้าไปไม่ใช่หรือ”
“ค่ะ”
“แหม ผีมันหายตัวแวบวับเข้าไปได้หมดทุกที่นั่นแหละ ป้าขา” เอิงว่า
“ผีบ้าที่ไหนมันจะหอบข้าวของมาวางไว้หน้าห้อง” วดีไม่เชื่อ
“เอ๊...อ้อ รู้แล้ว ผีที่มันสิงคนน่ะซิคะ งานนี้นังหอมน้ำชัวร์” เอิงบอก
เพลินพิศก็คิดเช่นเดียวกัน “เพลินก็ว่าใช่ มันจะแก้แค้นเรา”
“โอ๊ะ น้องเอิงไม่เกี่ยวค่ะ จะแก้แค้นก็ต้องแก้แค้นป้าวดีถึงจะถูก”
วดีฉุน “นังน้องเอิง”
“ไม่เอาล่ะ น้องเอิงไปนอนดีกว่า ไม่อยากให้ผีมันเห็นว่าเราสนิทกัน”
เอิงเดินออกไป วดีมองตามฉุนๆ
“เราจะทำยังไงกันดีคะ”
“อาจจะไม่ใช่ก็ได้ บางทีอาจจะเป็นพวกที่แอนตี้ดารา”
“แต่เพลินเล่นเป็นคนดีตลอดนะคะ แฟนคลับทุกคนรักเพลิน”
“ไม่เคยได้ยินรึไงว่า คนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนเสื่อ”
เพลินพิศนิ่งไปครู่หนึ่ง “คืนนี้เพลินขอค้างที่นี่ได้ไหมคะ โทร.หาอาขวัญ อาขวัญก็ปิดมือถือ”
วดีพยักหน้า “ได้ แต่เพลินต้องถ่ายปกเซ็กซี่ให้หนังสือของพี่นะ”
เพลินพิศยิ้ม ไม่รับและไม่ปฏิเสธ
บรรยากาศบริเวณหน้าคอนโดมิเนียมหรูที่พักขวัญอนงค์เวลานี้ ค่อนข้างเงียบ มีผู้คนสัญจรไปมาไม่มากนัก
บุรีขับรถพาขวัญอนงค์มาส่ง สองคนกลับจากตีกอล์ฟ
“จอดข้างนอกนี่แหละค่ะ ขวัญเดินเข้าไปนิดเดียว”
บุรีจอดรถ ก่อนถึงหน้าตึก “ขอบคุณมากที่ไปเล่นกอล์ฟเป็นเพื่อนทั้งวัน”
“ต้องขอบคุณพี่บุรีเหมือนกันค่ะ ที่เลี้ยงข้าวขวัญทั้งสามมื้อ”
“เป็นอันว่าหายกัน”
ขวัญอนงค์จะเปิดประตูรถและนึกได้ หันกลับมา “พรุ่งนี้พี่บุรีว่างไหมคะ”
“มีอะไรหรือ”
“คือ...ขวัญจะไปทำบุญ ก็เลยอยากจะชวนพี่บุรีไปด้วย”
“ตกลง จะให้พี่มารับกี่โมงดี”
“แปดโมงเช้าดีมั้ยคะ”
บุรีพยักหน้ารับ “ได้”
ขวัญอนงค์ยิ้มชื่น แล้วเปิดประตูรถลงไป
บุรีมองตาม พอขยับจะขับรถออกไปก็ชะงัก ทำสีหน้าและจมูกฟุดฟิดเหมือนได้กลิ่นเหม็นเน่า
“เหม็นเน่าอะไร”
บุรีหันไปมองหลังรถ พบว่าว่างเปล่า ค้นหาสักครู่ เมื่อไม่เจออะไรก็ขับรถออกไป
ที่แท้วิญญาณพุธนั่งอยู่ตอนหลังของรถ สีหน้าเขียวคล้ำหน้าตาถมึงทึงน่ากลัวเหลือประมาณ
ขวัญอนงค์กำลังยืนคุยกับเพื่อนบ้านด้วยสีหน้าสดชื่น
“ดีใจจังที่จะได้ดูหนังคุณขวัญแล้ว”
“สนุกด้วยนะคะ” เสียงโทรศัพท์ขวัญอนงค์ดังขึ้น “ขอโทษนะคะ”
“เชิญค่ะ อย่าลืมชิมคัพเค้กที่ปิ๋วเอาไปฝากแม่บ้านไว้ให้นะคะ”
“แน่นอนค่ะ ของโปรดเลย”
เพื่อนบ้านเดินออกไป ขวัญอนงค์รับโทรศัพท์ด้วยสีหน้าสดชื่น
“ว่าไงคะ พี่บุรี”
บุรีขับรถมาตามทาง คุยโทรศัพท์ด้วยบลูทูธ โดยไม่รู้ว่าผีพุธกันยานั่งอยู่ตอนหลังของรถ
“ตอนที่พี่ขับรถไปส่ง ขวัญได้กลิ่นอะไรในรถไหม”
ขวัญอนงค์ฉงน “กลิ่น”
“กลิ่นเหม็นเน่าเหมือนมีตัวอะไรมาตายในรถ”
ขวัญอนงค์หน้าเสีย พูดไม่ออก
“ขวัญ ฮัลโหล...”
“ฟังอยู่ค่ะ เอ้อ...คงไม่มีอะไรมั้งคะ”
“แต่มันเหม็นเน่า”
บุรีชะงัก เหมือนจะนึกขึ้นได้ แล้วเหลือบมองกระจกหลังสีหน้าหวาดหวั่น แต่ยังเห็นทุกอย่างว่างเป็นปกติ
เสียงขวัญอนงค์ดังออกมาว่า “พี่บุรี”
“เท่านี้นะครับ”
ขวัญอนงค์รับด้วยเสียงกังวลใจ “ค่ะ”
บุรีขับรถไปเงียบๆ โดยมีสายตาพุธกันยาจับจ้องมองเขม็ง จู่ๆ บุรีขนลุกเกลียวโดยประหลาด
ด้านขวัญเดินเข้ามานั่งและวางข้าวของลง ขณะที่แม่บ้านยกน้ำผลไม้มาให้
“ขอบใจจ้ะ”
“เมื่อเช้าคุณปิ๋วทำคัพเค้กมาให้ คุณจะทานไหมคะ”
“เอาไว้พรุ่งนี้ดีกว่า” สาวใหญ่ดื่มน้ำผลไม้หมดแล้วลุกขึ้น
แม่บ้านทำจมูกฟุดฟิดพลางเหลียวหาที่มา “เอ๊ะ”
“อะไร”
“หนูได้กลิ่นอะไรก็ไม่รู้ค่ะ”
ขวัญอนงค์มีสีหน้าตระหนกขึ้นมาแว่บหนึ่ง
“หายไปแล้ว” แม่บ้านพูดพลางยกแก้วไปล้าง
ขวัญอนงค์ทำท่าจะเรียก แต่แล้วก็เปลี่ยนใจเดินเข้าห้องนอนไปเลย
ตามท้องถนนหน้าคอนโด ค่อนข้างว่างวายด้วยเป็นเวลาดึกพอสมควร
ส่วนในห้องขวัญอนงค์ เจ้าของห้องนอนหลับสนิท แต่จู่ๆ มีเสียงเปิดน้ำดังออกมาจากในห้องน้ำ ขวัญอนงค์ลืมตาขึ้น เงี่ยหูฟังด้วยความแปลกใจ เสียงก๊อกน้ำดังซ่า ขวัญอนงค์ตัดสินใจลุกเดินอย่างหงุดหงิดไปที่ห้องน้ำ แล้วค่อยๆ ผลักประตูเข้าไป ขวัญอนงค์สะดุ้ง เมื่อพบว่ามีใครคนหนึ่งกำลังก้มลงล้างหน้าอยู่ ผมยาวปรกลงมา
“ใครน่ะ” ร่างนั้นเพียงชะงัก แต่ยังไม่เงยหน้าขึ้น “ชั้นถามว่าใคร เข้ามาได้ยังไง”
ร่างนั้นค่อยๆ เงยหน้าขึ้นช้าๆ จนเห็นชัดสะท้อนในกระจกเงา เป็นพุธกันยาหน้าตาเขียวคล้ำ นัยน์ตาเป็นสีขาวโพลนทั้งตาน่ากลัวมาก ขวัญอนงค์กรีดร้องลั่น
หลังเสียงกรีดร้องนั้นขวัญอนงค์สะดุ้งตื่นขึ้นมา ผุดลุกนั่ง เอื้อมมืออันสั่นเทาไปเปิดไฟหัวเตียง ดาราสาวใหญ่ถอนใจเฮือก เมื่อตระหนักว่าเป็นเพียงความฝัน จู่ๆ ยินเสียงน้ำหยดเหมือนปิดไม่สนิท เสียงสะท้อนก้องในความมืด
ขวัญอนงค์สะดุ้งสุดตัว นั่งตัวแข็งทื่ออยู่ครู่หนึ่ง แล้วตัดสินใจลุกขึ้น คิดในใจ ”เป็นไงเป็นกัน” แล้วค่อยๆ เดินไปที่ห้องน้ำ เมื่อผลักประตูเข้าไป เห็นก๊อกน้ำเหมือนปิดไม่สนิท มีน้ำหยดออกมา ขวัญอนงค์ผ่อนลมหายใจยาว แล้วเดินไปปิดก๊อกน้ำ ก้าวออกมา แล้วปิดประตูห้องน้ำ
รุ่งเช้าบุรีออกมาจากห้องน้ำโดยแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยจะไปตามนัดขวัญอนงค์ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น บุรีหยิบขึ้นมาดู ยิ้มนิดๆ
“มีอะไรหรือขวัญ”
น้ำเสียงขวัญอนงค์ดูร้อนใจนิดๆ “พี่บุรี ขอโทษด้วยค่ะ ที่โทร.มาปลุกแต่เช้า”
“ผมตื่นนานแล้ว”
“ขวัญอยากพบพี่บุรีด่วน”
บุรีแปลกใจเพราะนัดกันไว้แปดโมงเช้า “มีอะไรหรือเปล่า”
“มีค่ะ”
สีหน้าขวัญอนงค์ขณะพูด เหมือนหวาดกลัวอะไรบางอย่าง
ขวัญอนงค์สวมแว่นดำยืนหลบอยู่มุมหนึ่งหน้าคอนโด ก่อนจะเห็นบุรีขับรถมาจอด สาวใหญ่เดินมาขึ้นรถ บุรีขับรถออกไป
บุรีขับรถมาจอดริมถนน โดยภายในรถ ทั้งสองคนมีสีหน้าเคร่งขรึม
“ขวัญแน่ใจว่าเป็นกัลยา” บุรีถอนใจมีสีหน้ากังวลขึ้นมาอีก ขวัญอนงค์หันมามอง “ขวัญต้องขอโทษด้วยที่พูดอย่างนั้น”
“ไม่เป็นไร”
ดาราสาวใหญ่ถอนใจ “กัลคงไม่พอใจที่เรามา เอ้อ...สนิทกัน” บุรีนิ่ง
“ขอสารภาพว่าขวัญกลัวเขาจริงๆ ไม่นึกเลยว่า วิญญาณเขายังอยู่ ยังไม่ยอมไปผุดไปเกิด”
บุรียังคงนิ่งดังเดิม สีหน้าดูออกว่ามีความยุ่งยากใจ
“นี่หอมน้ำกับเพื่อนก็หายไป คงจะหลบหน้าเรื่องอื้อฉาวเมื่อวาน พวกนักข่าวสืบกันใหญ่ว่าไปอยู่ที่ไหน”
บุรีเบือนหน้าไปมองนอกกระจกหน้าต่างรถ
“หมอศวัสสนิทกับเด็กสองคนนั่น อาจจะรู้ว่าอยู่ที่ไหน”
“คุณต้องไปถามเขาเอง”
ขวัญอนงค์พยักหน้าเหมือนไม่รู้จะพูดอะไรต่อไป
บุรีขยับตัว “พอดีเช้านี้ผมมีธุระ คุณจะกลับเลยไหม”
“ค่ะ”
บุรีขับรถออกไปเงียบๆ โดยที่ขวัญอนงค์ก็ไม่กล้าพูดอะไรต่อ
หอมน้ำยืนทอดสายตามองออกไปที่กอพุดซ้อนนิ่งนาน จนศวัสเดินเข้ามา เขายืนทอดสายตามองเธอพักหนึ่งและพูดขึ้นในที่สุด
“นอนหลับสบายไหม”
หอมน้ำหันกลับมายิ้มบางๆ “สบายมากเลยค่ะ เขนยังไม่ยอมลุกเลย”
นัยน์ตาศวัสมองไปที่สร้อยพระแว่บหนึ่ง หอมมองตามสายตานั้น
“เมื่อคืนจนถึงเดี๋ยวนี้ หอมยังไม่เห็นคุณพุธเลย”
ศวัสมีสีหน้าสลดลงแว่บหนึ่ง
“เดี๋ยวชั้นจะไปทำงานแล้ว เธอกับเขนต้องอยู่แต่ในบ้าน โทรศัพท์ห้ามรับ แม้แต่คุณอาเจคก็รับไม่ได้”
หอมน้ำมองศวัสอย่างแปลกใจ “ชั้นไม่อยากให้มีใครมาสงสัยว่าเธออยู่ที่นี่”
“แต่เขนบอกว่าคุณเจคทราบ”
ศวัสหงุดหงิดเล็กๆ “คงมีคนจับตาดูคุณอาอยู่ ถ้าคุณอาโทร.มาบ่อยๆ อาจจะมีใครจับได้”
หอมน้ำไม่กล้าพูดต่อ
“ทั้งหมดที่เรา คุณพ่อกับชั้นพยายามป้องกันเธอ เพราะคุณพ่อคุณแม่เธอย้ำนักย้ำหนาให้ช่วยดูแลเธอด้วย”
ความน้อยใจ ผุดขึ้นมาเป็นริ้วๆ หอมน้ำสวนทันทีว่า “หอมรู้แล้วล่ะค่ะ คุณหมอไม่ต้องบอกทุกวันก็ได้”
หอมน้ำขยับออกเดินหนี แต่ความอ่อนแอของร่างกายทำให้เดินซวนเซเล็กน้อย
ศวัสเข้าประคองไว้ ทั้งสองต่างนิ่งอึ้งกันไปราวกับต้องมนต์สะกดครู่หนึ่ง
ศวัสพยายามอธิบายต่อเพราะจับน้ำเสียงน้อยใจนั้นได้ “คุณพ่อคุณแม่เธอโทร.มาเล่าให้ฟังว่า มีนักข่าวไปป้วนเปี้ยนอยู่แถวบ้านเธอ”
หอมน้ำตกใจ “จริงหรือคะ”
ศวัสพยักหน้า “ท่านเลยใช้วิธีโทร.ถึงชั้นแทน”
หอมน้ำถอนใจอย่างกลัดกลุ้ม “หอมไม่นึกเลยว่าเรื่องมันจะบานปลายไปถึงขนาดนี้”
“นั่นเพราะเธอ ไม่ใช่ซิ ต้องบอกว่าคุณแม่ของชั้นไปมีเรื่องกับคุณวดี แถมยังมีดาราดังไปช่วยให้ข่าวอีก เรื่องก็เลยไปกันใหญ่”
“หอมไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรด้วย”
“ชั้นรู้ ชั้นถึงต้องช่วยปกป้องเธอ”
ทั้งคู่กอดกันอยู่อย่างนั้น จนในที่สุดหอมน้ำขยับตัว
ศวัสรีบปล่อย “ขอโทษ...หิวหรือยัง”
“ค่ะ”
ศวัสแตะแขนหอมน้ำ แล้วพาเดินออกไป
ทั้งสองคนเดินเข้ามา ในขณะที่แจ่มถือโทรศัพท์บ้านมาส่งให้ศวัส
“โทรศัพท์คุณหมอค่ะ”
ศวัสพยักหน้ารับมา โดยมีหอมน้ำเดินไปนั่งรอที่โต๊ะ
“สวัสดีครับ”
เสียงเจคลอดออกมาว่า “กัล...เอ้อ...หอมน้ำเป็นยังไงบ้าง”
“ก็สบายดีครับ นี่กำลังทานข้าว”
“อาขอพูดกับเขาหน่อย”
ศวัสปฏิเสธ “หอมน้ำไม่รู้เรื่องอะไรหรอกครับ” เขาเน้นคำว่า “หอมน้ำ” เป็นพิเศษ “คุณอาก็ทราบ”
เจคอึ้งไป สีหน้าเริ่มหงุดหงิด
“ที่ผมไม่ให้หอมน้ำรับโทรศัพท์ใคร ก็เพราะไม่อยากให้นักข่าวรู้ว่าเขาอยู่ที่นี่”
“ถ้าอาจะไปเยี่ยม”
ศวัสปฏิเสธอีก “อย่าเพิ่งดีกว่าครับ ผมอยากให้เรื่องซาลงก่อน เท่านี้นะครับ ขอบคุณที่กรุณาโทร.มา ผมจะบอกหอมน้ำให้”
เจควางโทรศัพท์ลงอย่างหงุดหงิด
ศวัสปิดโทรศัพท์ แล้วเดินมานั่งที่โต๊ะ แจ่มเริ่มตักเสิร์ฟข้าว
“คุณเจคเขาฝากเยี่ยมเธอ”
หอมน้ำยิ้มรับ “แล้วคุณลุงล่ะคะ”
“ออกไปธุระ เดี๋ยวคงกลับ ทานก่อนเถอะ”
ทั้งสองคนทานข้าวกันไปเงียบๆ
กนกรัตน์ใช้กล้องส่องดูความเป็นไปภายนอกตามปกติ ไล่สายตาเลยเรื่อยไปจนถึงหน้าบ้านศวัส เห็นมีนักข่าว 5-6 คน โดยส่วนหนึ่งด้อมๆ มองๆ อยู่หน้ารั้วบ้านศวัส กนกรัตน์ลดกล้องลง ด้วยสีหน้าตื่นเต้น
“นักข่าว” แล้วรีบวิ่งออกจากห้องไปทันควัน
พริบตาเท่านั้นเอง กนกรัตน์แทบจะชนวันทนา ขณะที่วิ่งผ่านออกไปหน้าบ้าน
“คุณหนก จะไปไหนคะ”
วันทนารีบตามทันที ด้วยกนกดูตื่นเต้นรีบร้อน
กนกรัตน์รีบเปิดประตูออกมา ยิ้มแย้มทักทาย
“นักข่าวใช่มั้ยเอ่ย”
บรรดานักข่าวซึ่งคุยกันเบาๆ หันมามอง ขณะวันทนาตามมาทัน
“อยากรู้อะไรเกี่ยวกับบ้านท่านบุรี เชิญถามคุณหนกได้เลย” กนกรัตน์แสดงตัว
วันทนาตกใจ “ตายแล้ว คุณหนก”
นักข่าวกรูกันมาที่กนกรัตน์ ซึ่งวางท่าราวกับดาราที่พยายามลอกเลียนแบบมา
“หอมน้ำมาที่บ้านคุณบุรีบ้างหรือเปล่าคะ” นักข่าว1 ยิงคำถาม
“คุณหนกไม่เห็นตัวนะคะ แต่เขาว่า...” ติ่งรุ่นป้าทำหน้าทำตาตื่นเต้นลึกลับประกอบ “เมื่อคืนนี้ คุณหนกเห็นมีรถแล่นมาจอด”
วันทนาส่ายหัวระอาเหลือ “คุณหนก บอกอะไรไม่เคยฟังเล้ย”
นักข่าว 2 ซัก “รถใครคะ”
รถบุรีแล่นมาจะเข้าบ้าน วันทนารีบโบ้ย “นั่นค่ะ ท่านบุรีมาแล้ว”
นักข่าวพากันกรูไปที่รถบุรี
กนกรัตน์ร้องโหวกเหวกโวยวายตามไป “เดี๋ยวค่ะ ไม่สัมภาษณ์คุณหนกต่อเหรอคะ”
“เข้าบ้านค่ะ คุณหนก”
“ไม่ คุณหนกจะให้สัมภาษณ์”
“ไม่มีใครเขาสัมภาษณ์คุณหนกแล้วค่ะ เขาไปสัมภาษณ์ท่านบุรีโน่น”
วันทนาพูดพลางพยายามลากผู้เป็นนายเข้าบ้านไปจนได้
บุรีเดินเข้ามาในห้องโถงบันได ด้วยสีหน้าหงุดหงิด พลางบ่น “กว่าจะเข้ามาได้”
ศวัสถามขึ้น “นักข่าวเยอะไหมครับ”
“ก็ 5-6 คนนั่นแหละ แต่กรูกันมาล้อมรถเลย”
หอมน้ำตัดสินใจเด็ดขาด “หอมจะออกไป”
สองคนหันมามอง ขณะเขนเดินเข้ามาพอดี
“หอมไม่อยากให้ใครเดือดร้อนอีกแล้ว”
“เราไม่ได้เดือดร้อนเพราะหนู” บุรีบอก
“ใช่ หอม คุณลุงกับคุณหมอไม่ได้เดือดร้อนเพราะหอม”
“แต่หอมมีส่วนสำคัญ ถ้าหอมไม่ยอมให้คุณพุธเข้าสิงตั้งแต่แรก มันก็ไม่มีเรื่อง”
ศวัสสั่งเสียงเด็ดขาด “อยู่ที่นี่แหละ หอมน้ำ ไม่ต้องออกไป”
บุรีหันมาหาเขน “หนูเขน พาเพื่อนขึ้นไปบนห้อง”
“ค่ะ ไป หอม”
หอมน้ำบอก “ไม่ค่ะ”
ศวัสหันมาดุ “บอกให้ไป”
หอมน้ำบอกเสียงเด็ดเดี่ยว “ไม่”
“จะไปหรือไม่ไป”
“ไม่ค่ะ”
โดยไม่มีใครคาดคิด ศวัสช้อนตัวหอมน้ำเดินขึ้นชั้นบนไป ต่อหน้าบุรีกับเขนที่เบิกตากว้างมองตามด้วยความตกใจ
ศวัสอุ้มหอมน้ำมาวางลงบนเตียงในห้องพักแขก หอมน้ำรีบดีดลุกขึ้นจะลงจากเตียงอย่างดื้อดึง
ศวัสน้ำเสียงเด็ดขาด “อย่า” หอมน้ำชะงักมองจ้อง “ห้ามออกจากห้องนี้เด็ดขาด อาหารการกินแจ่มจะเอาขึ้นมาให้”
“แต่หอมต้องรับผิดชอบ”
ศวัสชักฉุน “เธอนี่พูดไม่รู้เรื่อง”
“คุณหมอต่างหากล่ะค่ะ ที่ไม่ยอมฟังหอม” หอมน้ำชักโมโหบ้าง
“อ้อ เดี๋ยวนี้กล้าเถียง”
“ก็หอมเป็นคน ไม่ใช่ตุ๊กตา หรือหุ่นยนต์ที่ต้องรอให้คนมาสั่งโน่นสั่งนี่”
ศวัสกอดอกมองจ้องเขม็ง “เถียงเก่งเสียด้วย”
หอมน้ำเช็ดหน้า “หอมจะลงไปข้างล่าง กรุณาอย่าขวางทางค่ะ”
ศวัสมีสีหน้าเอาจริง “ก็ลองไปดูซิ”
“คุณหมอหลีกไปซิคะ”
“ไม่”
“อย่านึกว่าหอมไม่กล้านะคะ”
“ก็เอาซิ” ศวัสท้า
หอมน้ำลงจากเตียงขยับจะเดินเลี่ยง ศวัสก้าวขวางไว้ หอมน้ำเม้มปากยืนนิ่ง ด้วยศวัสยืนตระหง่านขวางไว้หมด
“ไงล่ะ กล้าๆ หน่อย”
“ไม่ไปก็ได้”
“ดี เธอควรคิดได้ตั้งนานแล้ว”
ศวัสเดินไปที่ประตู หอมน้ำทำหน้าเจ้าเล่ห์ กะจะออกไปทีหลัง แต่ศวัสหันกลับมาโดยเร็วหอมน้ำปรับสีหน้าไม่ทัน
“แล้วอย่าคิดจะทำอะไรนอกคำสั่งเด็ดขาด เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน”
ศวัสเดินออกไปเลย หอมน้ำมองตามท่าทีหวาดๆ แลดูน่าขัน
อ่านต่อหน้า 2
ใยกัลยา ตอนที่ 13 (ต่อ)
ภายห้องรับแขกตอนนี้ บุรีกำลังพูดโทรศัพท์อยู่ด้วยสีหน้าออกจะหงุดหงิด
“ผมไม่สะดวกจริงๆ ครับ ศวัสก็ไม่สะดวก ไม่มีใครในห้องสักคนที่สะดวก แค่นี้นะครับ”
บุรีวางโทรศัพท์ลง แล้วหันมาทางศวัสซึ่งเดินเข้ามาได้ยินพอดี เขนรีบเดินขึ้นบันไดไป
“ใครหรือครับ” ศวัสถาม
“คุณหนก”
ศวัสฉงน “แกมาเกี่ยวอะไรด้วย”
“คงอยากจะให้นักข่าวเห็นความสำคัญนั่นแหละ ก็เลยมาอ้อนวอนขอให้นักข่าวเข้ามาสัมภาษณ์เราได้ แล้วนี่หอมน้ำเป็นยังไงบ้าง”
“ก็ยังดื้อดึงจะออกไปเคลียร์ให้ได้” ศวัสพูดด้วยสีหน้าขวางๆ หอมน้ำ
“แกคงเกรงใจเรา”
ศวัสเหลือบดูนาฬิกา “ผมต้องไปทำงานแล้ว คุณพ่ออย่าให้หอมน้ำออกไปนะครับ”
บุรีพยักหน้ารับ ศวัสเดินออกไป
เมื่อประตูเปิดออก เห็นศวัสขับรถออกไป นักข่าวที่รออยู่กรูเข้ามา พยายามจะขอสัมภาษณ์
ศวัสเลยเปิดกระจก และพูดออกตัวเรียบๆ “ขอโทษนะครับ ผมต้องรีบไปโรงพยาบาลมีคนไข้รออยู่หลายคน ขอบคุณมากครับ ขอบคุณแทนคนไข้ด้วย”
บรรดานักข่าวพากันหลีกทางให้ศวัสขับรถออกไป ประตูค่อยๆ เลื่อนปิด นักข่าวต่างชะเง้อมองเข้าไปจนประตูปิดลง
อีกฟากที่ออฟฟิศสร้างศิลป์ 2000 ทุกคนกำลังรุมซักถามโค้กเรื่องหอมน้ำ
“บอกมาเลยพี่โค้ก ว่าหอมน้ำอยู่ไหน” อุมาถาม
“เฮ้ย! บอกว่าไม่รู้...ไม่รู้...ไม่รู้ ทำไมไม่ไปถามเจ้านายดูล่ะ” น้ำเสียงโค้กแดกดันในที
พิไลเอ่ยขึ้น “คุณโค้กคงไม่รู้จริงๆ”
“มีเรอะไม่รู้ พี่โค้กน่ะแอบหลงรักหอมน้ำ” ฟ้าแหลมขึ้น
โค้กโกรธจัด ชี้หน้าขู่ฟ้า “พอเลย! ถ้าแกเอาชั้นเข้าไปยุ่งเรื่องนี้อีก มีเรื่องแน่”
โค้กขยับจะเดินออกไป เป็นจังหวะที่เพลินพิศเดินเข้ามาเพื่อสืบเรื่องนี้พอดี
“พี่โค้ก รู้หรือเปล่าว่าหอมน้ำอยู่ที่ไหน เพลินล่ะเป็นห้วง...เป็นห่วง”
โค้กอดที่จะแดกดันไม่ได้ “อ้าว เห็นออกทีวี ทิ้งระเบิดใส่เข้าฉอดๆๆ พอมาตอนนี้บอกเป็นห่วง ไม่มีใครเขาเชื่อหรอก”
เพลินพิศบีบน้ำตาปริ่ม “เพลินยอมรับว่าเพลินผิด แต่เพลินไม่ได้ตั้งใจ คุณวดีเขาขอให้เพลินพูด แล้วเพลินก็พูดความจริง เพลินเคยโกหกที่ไหน”
ขณะเพลินพิศพูด โค้กกับพิไลส่ายหน้า แล้วพากันเดินแยกไป
ก่อนไป โค้กทิ้งท้ายว่า “สงสัยจะโกหกทุกที่เลยมั้ง”
เพลินพิศโกรธ ชี้หน้าด่า “อย่ามาว่าชั้นนะ พี่โค้ก ชั้นเป็นดารา แต่แกเป็นแค่ผู้จัดการกองถ่าย ถ้าชั้นเอาเรื่องขึ้นมาล่ะก็ แกซวยแน่”
เพลินพิศสะบัดหน้าเดินไป
ทุกคนยกเว้นโค้กร้อง “โห” ทั้งแถบ
ถัดจากนั้น เจคกำลังมองเพลินพิศซึ่งกำลังเช็ดน้ำหูน้ำตา แล้วเอนหลังพิงพนัก เหลือกตามองเพดานห้องแบบรำคาญๆ
“คุณเจคคงไม่เชื่อ แต่เพลินเสียใจจริงๆ ที่มีส่วนที่ทำให้หอมน้ำต้องเดือดร้อน”
“เอาไว้เขาออกมาเมื่อไหร่ ก็ค่อยขอโทษเขาเองก็แล้วกัน”
เพลินพิศจะรู้ให้ได้ “แต่เพลินใจร้อน ถ้าไม่ได้ขอโทษหอมน้ำวันนี้ เพลินคงอกแตกตาย”
เจคยังคงมองเพดานขณะพูด “งั้นเขาก็คงไปอโหสิให้เพลินที่งานศพเองนั่นแหละ”
เพลินพิศสะดุ้งโหยง “อุ๊ย! คุณเจคขา”
เจคขยับนั่งตัวตรงสีหน้าจริงจัง “ผมไม่รู้อะไรทั้งนั้น จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตามใจ”
เพลินพิศทำหน้าเจื่อนๆ จ๋อยๆ
เมื่อเดินมาที่รถ เปิดประตูขึ้นไปนั่ง เพลินพิศถอนหายใจออกมาอย่างหงุดหงิด
“มันสำคัญยังไงถึงได้ช่วยกันปิด”
เพลินพิศเคาะนิ้วกับพวงมาลัยครู่หนึ่ง จึงขับรถออกไป
ฝ่ายเจคพยายามโทรศัพท์ติดต่อกับหอมน้ำ แต่ก็คงมีเพียงเสียงให้ฝากข้อความเช่นเดิม จนบ่นออกมาอย่างฉุนเฉียว
“มันอะไรกันนักหนา”
เจคเดินมาทิ้งตัวลงนั่ง ถอนใจเฮือก พลางมองไปโดยรอบราวกับจะมองหาพุธกันยา
“กัลยา คุณอยู่ที่นี่หรือเปล่า ถ้าอยู่ก็ช่วยส่งสัญญาณอะไรก็ได้ให้ผมรู้ด้วย ผมจะได้มีคุณอยู่ใกล้ๆ ตลอดเวลา”
เจคมองไปโดยรอบ ลุ้นว่าจะมีสัญญาณอะไรไหม แต่แล้วก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
สีหน้าเจคขรึมลง มันเต็มไปด้วยความผิดหวัง
ภายใน อาณาเขตสวยงามโอ่อ่าของบ้านศวัส ซึ่งริมรั้วด้านนอกนักข่าวกลุ่มเดิมยังคงนั่งเฝ้าอยู่ โดยแต่ละคนกำลังนั่งกินข้าวกล่อง ดวงตาก็คอยสังเกตดูความเคลื่อนไหวภายในบ้าน
ส่วนภายในห้องนอนแขกบนชั้นสอง เขนนอนหลับปุ๋ยจากการถูกพุธกันยาสะกด โดยมีหนังสือการ์ตูนที่อ่านค้างวางอยู่บนอก ส่วนหอมน้ำยืนแอบมองอยู่ที่หน้าต่าง
เสียงพุธกันยาดังขึ้น “พวกนี้เขาไม่ละความพยายามง่ายๆ หรอก นอกจากจะมีประเด็นอะไรที่น่าสนใจไม่แพ้กันขึ้นมาใหม่”
หอมน้ำหันมามองตั้งแต่คำพูดประโยคแรก
พุธกันยายักไหล่นิดๆ “ซึ่งเป็นอย่างนี้ทุกยุคทุกสมัย เพียงแต่สมัยนี้ทุกอย่างมันแพร่กระจายเร็วกว่าสมัยชั้นมาก”
“เพราะโซเชี่ยลเน็ตเวิร์คน่ะค่ะ”
พุธกันยาพยักหน้าถาม “เธอจะทำอย่างไรต่อไป”
หอมน้ำถอนใจเฮือก “ไม่ทราบซิคะ”
“ให้ชั้นจัดการให้ดีไหม”
หอมน้ำตอบด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยวขึ้น “ไม่ค่ะ”
“อย่าดื้อ หอมน้ำ เธอไม่ทันพวกนั้นหรอก เขาจะต้องกดดันเธออย่างหนัก ชั้นมีประสบการณ์มาก่อน”
หอมน้ำพูดอย่างจริงใจ “ถ้าคุณพุธห่วงว่าหอมจะฆ่าตัวตายล่ะก็ หอมไม่มีวันทำอย่างนั้นแน่ค่ะ”
พุธกันยาโกรธจนหน้ากลายเป็นสีเขียว
“บอกแล้วไงว่าชั้นไม่ได้ฆ่าตัวตาย มันเป็นเหตุบังเอิญ...มันเป็นเหตุบังเอิญ บังเอิญๆๆๆๆ”
เสียงพุธกันยาสะท้อนกึงก้องด้วยความโกรธ เสียงค่อยๆ หายไปพร้อมๆ กับร่างวิญญาณนั้น
หอมน้ำตกใจ “หอมไม่ได้ว่าคุณนะคะ หอมไม่ได้ว่า หอมเปล่า”
เขนสะดุ้งตื่นเพราะเสียงหอมน้ำ “หอม เป็นอะไรน่ะ”
หอมน้ำเดินมานั่งข้างเพื่อนอย่างหมดแรง
เขนพอเดาออก “คุณพุธเหรอ”
หอมน้ำพยักหน้า
“ไม่ต้องกลัว ตราบใดที่เรายังสวมสร้อยพระอยู่ เขาทำอะไรไม่ได้หรอก”
บานประตูเปิดออก แล้วปิดเข้ามาดังปัง จนสองสาวสะดุ้งเฮือก
หอมน้ำเสียงลั่น “ไหนว่า เขาทำอะไรเราไม่ได้ไง”
เขนเองก็เสียงเบาสั่นเช่นกัน “ก็ใช่ เขาทำประตู ไม่ได้ทำเรา”
หอมน้ำพยักหน้า
เวลาผ่านไปอีก จากเย็นย่ำล่วงเข้าสู่ค่ำคืน บริเวณภายในซอยคอนโดหรูของวดีเงียบสงัด
ยามที่ป้อมคอนโด เปิดวิทยุฟังเพลงลูกทุ่งหมอลำแก้ง่วง ผ่านไปสักครู่ยามเริ่มสัปหงก เสียงเพลงหายไป กลายเป็นเสียงครืดคราดๆ ขึ้นมาอย่างปัจจุบันทันด่วน ยามสะดุ้ง
“อะไรวะ”
ยามปิดวิทยุ ลุกขึ้นเดินออกมาหน้าป้อม บิดตัวไปมาให้หายเมื่อยขบ แต่ต้องบิดค้าง เมื่อได้ยินเสียงหมาหอนดังขึ้นอย่างโหยหวน
ยามค่อยๆ หันไปตามเสียง ไปหยุดที่วิทยุ ซึ่งมีเสียงหมาหอนดังออกมาจากในนั้น
ยามกลืนน้ำลาย “ปะ...ปะ...ปิด...ปิดแล้วนี่”
ทันใดนั้นเสียงวิทยุหยุดลง เสียงหมาที่หอนประสานกันหลายตัว กลับกลายเป็นตัวเดียว แต่ดังมาจากอีกทาง
ยามค่อยๆ เบือนสายตาไปทางประตูใหญ่ สายตามาหยุดที่หมาดำตัวใหญ่น่ากลัว มานั่งหอนใกล้ๆนั่นเอง แต่เงยหน้าขึ้นจ้องมองไปยังชั้นที่อยู่ห้องวดี
ยามขยับจะเดิน แต่ก็ก้าวขาไม่ออก ได้แต่ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้อยู่ตรงนั้น
ฝ่ายวดีนอนลืมตาโพลงมองเพดาน พลิกไปพลิกมาเหมือนคนกระสับกระส่ายนอนไม่หลับ จนในที่สุดวดีผุดลุกขึ้นนั่ง เปิดไฟโคมที่หัวเตียง มีเสียงหมาหอนดังโหยหวนแว่วขึ้นมาจากข้างล่างคอนโด
วดีเอื้อมมือไปหยิบขวดยานอนหลับมาเปิด เทใส่มือจะกิน แต่แล้วก็ชะงัก เมื่อนึกถึงภาพของพุธกันยาที่ตายคาขวดยานอนขึ้นมา
สุดท้าย วดีวางขวดยานอนหลับไว้ที่เดิม มีเสียงเหมือนใครมาหัวเราะเยาะดังขึ้นข้างหูเบาๆ วดีสะดุ้งเฮือก หันขวับไปมองแต่ก็ไม่มีอะไรผิดปกติ เสียงหมาหอนยังคงโหยหวนเป็นระยะๆ
“บ้าจริง”
ทันใดนั้น มีเสียงดังกริ๊ก เหมือนมีใครมาเปิดประตูข้างนอก
“ใคร”
ตามด้วยเสียงเหมือนฝีเท้าคนเดินเบาๆ อยู่หน้าห้องนอน
“น้องเอิง น้องเอิงใช่มั้ย”
ไม่มีเสียงตอบ มีแต่เสียงฝีเท้าเดินกลับไปกลับมาช้าๆ อยู่หน้าห้อง
วดีตัดสินใจลุกขึ้นจากเตียง เดินไปที่ประตู แล้วเปิดกระชากออกทันทีทันใด
เมื่อกวาดสายตามองไป โดยอาศัยแสงไฟจากห้องนอนส่องลอดออกมา ทำให้พบว่าในบริเวณนั้นว่างเปล่าและเงียบจนชวนวังเวง วดีสูดลมหายใจโล่ง หันหลังจะกลับเข้าห้อง
ทันใดนั้น เสียงโทรศัพท์บ้านกรีดเสียงดังขึ้น ท่ามกลางความเงียบเชียบนั้น วดีสะดุ้งเฮือก
“บ้า ใครโทรมาป่านนี้”
วดีเดินไปที่โทรศัพท์ แล้วหยิบขึ้นมาถามเสียงห้วนๆ ว่า “ใครน่ะ”
มีเพียงเสียงครืดคราดน่ากลัวดังขึ้นจากปลายสายโทรศัพท์
“ใคร ชั้นถามว่าใคร” เสียงครืดคราดดังขึ้นอีก วดีสบถ “ไอ้โรคจิต”
วางโทรศัพท์กระแทกลงแป้น แล้วหันหลังกลับจะไปเข้าห้อง แต่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีก วดีหงุดหงิด เดินกลับมากระชากปลั๊กโทรศัพท์ออก แล้วกลับเข้าห้อง
วดีปิดล็อกห้อง เดินมาล้มตัวลงนอน แต่เสียงโทรศัพท์ดังแหวกความเงียบขึ้นมาอีก วดีผุดลุกขึ้นนั่งทันที หน้าตาตื่นตกใจ
“ชั้นดึงปลั๊กออกแล้วนี่”
เสียงโทรศัพท์ยังคงแผดก้องท่ามกลางความเงียบวังเวง
วดีลงนอน ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปงด้วยความหวาดกลัว
เช้าวันนี้ วดีกำลังหงุดหงิดปนเซ็งอยู่ในห้องทำงาน กับท่าทีและน้ำเสียงของหลานสาว
“ต๊าย ยังกับนัดกัน เมื่อคืนน้องเอิงก็ได้กลิ่นเหม็นเน่าทั้งคืนจนนอนไม่หลับ จะจองเวรจองกรรมอะไรกันนักหนา”
“แกนั่นแหละตัวดี ยุให้ชั้นไปฟันต้นพุดซ้อนของมัน”
“อ้าว อ้าว อย่าโทษกันซิคะ น้องเอิงเป็นแค่ฝ่ายสนับสนุน พี่ลิซซี่เป็นฝ่ายรับคำสั่ง ป้านั่นแหละเป็นคนวางนโยบาย...”
เอิงพูดไม่ทันจบคำ ลิซซี่ก็เปิดประตูพาเพลินพิศเข้ามา เพลินพิศไหว้วดีและรับไหว้เอิงด้วยหน้าซีดเซียว ตรงหน้าผากมีผ้าพันแผลปิดอยู่
“ลิซซี่พาผู้ร่วมชะตากรรมมาอีกคนแล้วค่ะ” กะเทยจอมเผือกว่า
“ไปโดนอะไรมาน่ะ” วดีมองฉงน
“เล่นกันถึงหัวร้างข้างแตกเลยหรือคะ” เอิงถาม
“เมื่อคืนเพลินเกือบตายแน่ะค่ะ เพลินไปอัดรายการหลังออกไปจากที่นี่เลิกประมาณตีสาม”
สีหน้าของแต่ละคน มองจ้องรอฟังเพลินพิศเล่าเรื่องอย่างหวาดๆ แกมตื่นเต้น
นางร้ายทั้งในและนอกจอเล่าว่า กลางดึกเมื่อคืนนี้ หล่อนขับรถมาตามถนนสายหนึ่งค่อนข้างเปลี่ยว ต้นไม้ขึ้นครึ้มสองข้างทางยิ่งทำให้ดูวังเวงน่ากลัวยิ่งขึ้น มิหนำซ้ำยังมีหมอกบางๆ โรยตัวปกคลุมโดยทั่วไป
รถเพลินพิศขับรถมาเพียงลำพัง รถแล่นมาเรื่อยๆ ไม่ถึงกับเร็วนัก มีเสียงเพลงจากวิทยุเป็นเพื่อน เพลินพิศร้องตามเพื่อให้รู้สึกคึกคัก
ขณะที่ขับรถมาเรื่อยๆ จู่ๆ มีเงาดำเหมือนร่างคนปรากฏขึ้นตรงหน้า
เพลินพิศซึ่งกำลังเพลินๆ ตกใจสุดขีด หักหลบอย่างรวดเร็ว จนรถเกือบชนต้นไม้ข้างทาง แม้จะเบรกไว้ทันแต่หน้าผากกระแทกกับกระจกรถจังๆ
“คนบ้า”
เพลินพิศหันไปมองหมายจะต่อว่า แต่แล้วต้องชะงัก ด้วยบนถนนนั้นว่างเปล่า ไม่มีวี่แววของสิ่งมีชีวิตใดๆ
“หายไปไหนเร็วจัง”
จู่ๆ เสียงเพลงในวิทยุกลับกลายเป็นเสียงหมาหอน เพลินพิศสะดุ้งเฮือก หันขวับมามอง
“เป็นบ้าอะไรเนี่ย อยู่ดีๆ ก็เปลี่ยนเพลงเป็นเสียงหมาหอน”
เพลินพิศปิดวิทยุอย่างหงุดหงิด แต่แล้วเสียงหมาหอนก็ดังขึ้นมาอีก คราวนี้ดังมาจากนอกรถ
เพลินพิศเลิกลัก สตาร์ตรถมือไม้สั่น สตาร์ตหลายครั้งแต่ก็ไม่ติด
สีหน้าเพลินพิศดูลนลาน และหวาดกลัวสุดขีด
“ติดซิ...ติด...ติดซี”
เพลินพิศปล้ำอยู่กับกุญแจรถท่ามกลางเสียงหมาหอนโหยหวนนั้น
ฟังถึงตรงนี้ ทุกคนขนลุกซู่จากการเล่าอย่างออกรสของเพลินพิศ และพากันยกมือลูบแขน
ลิซซี่ร้องขึ้น “ต๊าย! น่ากลัวจัง”
“น่ากลัวพอๆ กับเรื่องของป้าวดีเลย โชคดีที่คราวนี้น้องเอิงไม่โดน”
“แหม คืนนึงหลอกได้แค่สองคนก็หมดโควต้าแล้วล่ะค่ะ” ลิซซี่ว่า
“คุณวดีก็โดนด้วยหรือคะ” เพลินพิศตกใจ
วดีพยักหน้า “พอหลอกชั้นเสร็จ มันคงไปหลอกเธอต่อ”
“งั้นคืนนี้ก็คงเป็น...” เพลินพิศหันมาทางเอิงกับลิซซี่
เอิงร้องลั่น “โอ๊ย ไม่เอานะคะ น้องเอิงสละสิทธิ์ น้องเอิงเคยโดนมาแล้ว หัวแทบโกร๋น”
“ลิซซี่ก็ไม่เอาค่ะ ลิซซี่ยังจำตอนที่มันหมุนคอมามองลิซซี่ได้ ทุกวันนี้ยังไม่อยากเจอหน้าหอมน้ำเลย มันหลอนไม่หาย”
วดีลุกขึ้นเดินไปที่หน้าต่าง แล้วมองออกไป
“มันเฮี้ยนหนักขึ้นทุกวัน” แล้วจึงหันมาหาลิซซี่ “เออ...แล้วได้ข่าวหอมน้ำบ้างหรือยัง”
“ยังเลยค่ะ ที่บ้านคุณหมอของน้องเอิงก็ไม่มีวี่แวว”
วดีเจ็บใจ “ที่ไม่มีวี่แววเพราะเขาไม่ให้เข้า ชั้นค่อนข้างมั่นใจว่าหอมน้ำอยู่ที่นั่น”
“งั้นน้องเอิงจะเข้าไปดูเอง” สีหน้าเอิงมั่นอกมั่นใจมาก
เย็นนั้น เขนทำสีหน้ากลัดกลุ้ม ขณะยืนคุยอยู่กับแจ่ม
“พี่แจ่มเข้าไปแล้วรู้สึกหลอนๆ”
แจ่มยังพูดไม่ทันจบ ก็ต้องชะงัก หน้าเจื่อนๆ เมื่อเห็นศวัสเดินเข้ามา ในมือมีขวดใส่น้ำมนต์มาด้วย เขนหันไปมองตาม สีหน้ามีริ้วรอยความกังวลชัดแจ้ง
“มีอะไรหรือเปล่า”
“หอมน่ะค่ะ เขาปิดม่านหน้าต่างหมด แล้วก็นอนนิ่งๆ บนเตียง”
“เอาสร้อยพระออกหรือเปล่า”
“ไม่ค่ะ”
ศวัสพยักหน้า แล้วเดินขึ้นไปข้างบน สองสาวมองตาม
หอมน้ำนอนหลับตาอยู่ โดยมีพุธกันยายืนมองอยู่มุมหนึ่ง ภายในห้องค่อนข้างมืด เพราะเป็นเวลาเย็นจวนค่ำ และม่านถูกปิดหมด
เสียงเคาะประตูเบาๆ หอมน้ำลืมตาขึ้นทันที พุธกันยามองไปที่ประตู
เมื่อประตูเปิดออก เห็นศวัสถือขวดน้ำมนต์เข้ามา หอมน้ำลุกขึ้นนั่ง ศวัสเดินไปที่หน้าต่างจะเปิดม่าน พุธกันยายังกอดอกมอง
“อย่าค่ะ”
“อยู่เข้าไปได้ยังไงมืดๆ”
“หอมชอบ”
ศวัสยกเก้าอี้มาทรุดตัวลงนั่งตรงหน้าหอมน้ำ
“ชั้นแวะไปเอาน้ำมนต์หลวงพ่อมาให้”
หอมน้ำส่ายหน้า “ไม่มีประโยชน์แล้วล่ะค่ะ”
พุธกันยามีสีหน้าบ่งบอกถึงความผิดหวังและน้อยใจ “ลูกชั้น รักแฟนมากขนาดเอาน้ำมนต์มาไล่แม่”
หอมน้ำทำเป็นไม่ได้ยิน
“หมายความว่า เดี๋ยวนี้ท่านไม่กลัวน้ำมนต์แล้วหรือ”
“ท่านเข้มแข็งขึ้นทุกวัน”
“แล้วพระล่ะ ท่านยังกลัวอยู่หรือเปล่า”
พุธกันยาเดินมานั่ง ห่างจากหอมน้ำพอสมควร
“กลัวค่ะ”
“เขาเรียกว่าเกรงใจต่างหาก” พุธกันยาบอก
ศวัสโล่งใจ “ถ้าอย่างนั้น ห้ามถอดสร้อยออกเด็ดขาด”
พุธกันยาประชด “น่ารักซะไม่มี”
“ค่ะ”
“ท่านอยู่ในนี้ด้วยหรือเปล่า” ศวัสถาม
หอมน้ำเหลือบตามองไปทางที่พุธกันยาอยู่ แล้วพยักหน้ากับศวัส
“บอกเขาว่าชั้นจะไปแล้ว” พุธกันยาว่า
“ท่านกำลังจะไป”
ศวัสลุกขึ้นยืนแล้วมองไปทางทิศที่หอมน้ำมอง “อย่าเพิ่งไปครับ คุณแม่”
วิญญาณพุธกันยาลุกขึ้นยืน มองหน้าลูกชาย
“หอมน้ำกำลังไม่สบาย ผมอยากจะขอความกรุณา”
พุธกันยากรีดเสียงสวนขึ้นมาทันที “แล้วแม่ล่ะ แม่สบายนักเหรอ”
หอมน้ำยกนิ้วแตะปากเป็นเชิงให้ศวัสหยุดพูด
“แม่สู้ยอมเป็นวิญญาณที่ยังติดอยู่ในโลกนี้เพื่อลูกกับพ่อ แล้วนี่หรือสิ่งที่แม่ได้รับเป็นการตอบแทน”
พุธกันยากรีดร้องแล้วหายวับไป ประตูและหน้าต่างเปิดออก และกระแทกปิดอย่างรุนแรง จนศวัสกับหอมน้ำสะดุ้งเฮือก
ศวัสผินหน้ามาทางหอมน้ำซึ่งบอกว่า
“ท่านโกรธมากค่ะ”
ศวัสถอนใจยาว ประตูหน้าต่างยังคงปิดเปิด ปังๆ อยู่อย่างนั้น
ท้องฟ้าภายนอกเหนือหมู่บ้าน มืดครึ้มเหมือนฝนจะตก วันทนาเดินมาปิดหน้าต่างหเองรับแขก แล้วมองไปที่ห้องหอมน้ำโดยบังเอิญ พบว่าประตูหน้าต่างปิด เปิด เองปังๆ วันทนามองอย่างแปลกใจ
สักครู่หนึ่งประตูหน้าต่างสงบลงจนเป็นปกติ
“น้าเยาว์เคยเล่าให้ฟังว่า คุณแม่ค่อนข้างเจ้าอารมณ์ สงสัยจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ”
“แต่ท่านรักคุณหมอมาก”
ศวัสพยักหน้า “ชั้นรู้ ตอนที่ท่านสิงเธอแล้วเห็นชั้นครั้งแรก ท่านเข้ามาจูบมากอดจนชั้นตกใจ”
หอมน้ำหน้าแดงเพราะอายจัด ศวัสชะงักด้วยเพิ่งรู้สึกตัว
“ขอโทษ ชั้นไม่ได้ตั้งใจ”
หอมน้ำยังคงก้มหน้างุด
ศวัสลุกขึ้น “ลงไปข้างล่างกันไหม”
หอมน้ำเงยหน้ามองอย่างประหลาดใจ “ไหนคุณหมอห้ามไม่ให้หอมลงไปไงคะ”
ศวัสเก๊กรำคาญเล็กๆ “เรื่องมาก ก็ตอนที่พูดน่ะชั้นจะไปทำงาน แล้วนักข่าวก็อยู่กันเต็มหน้าบ้าน”
หอมน้ำหน้าเหยเกที่ถูกดุจนได้ “ไม่เป็นไรค่ะ”
ศวัสเก๊กขรึม ทำทีเป็นรำคาญต่อ “ไอ้ไม่เป็นไรของเธอน่ะมันแปลว่าอะไร จะลงหรือไม่ลง”
หอมน้ำยิ่งกลัวใหญ่จนทำอะไรไม่ถูก “แล้วแต่คุณหมอค่ะ”
ศวัสโวย “แล้วแต่ชั้น นี่เธอตัดสินใจเองไม่ได้เลยหรือไง อายุเท่าไหร่แล้ว เรียนก็จะจบอยู่แล้วยังทำตัวเป็นลูกแหง่อยู่อีก”
หอมน้ำร้องไห้ “คุณหมออย่าดุซิคะ หอมกลัว”
ศวัสเซ็งถอนใจเฮือกใหญ่ “เฮ้อ...”
“บางทีหอมยังกลัวคุณหมอมากกว่าคุณพุธอีก” หอมน้ำระบายออกมาทั้งน้ำตา
ศวัสอึ้ง “อ้อ”
หอมน้ำรีบยกมือไหว้ “ขอโทษค่ะ หอมไม่ได้ตั้งใจจะเปรียบคุณหมอกับผี เอ๊ย! คุณพุธ”
ศวัสนิ่งไปอย่างอ่อนอกอ่อนใจครู่หนึ่งจึงว่า “ตกลงจะลงไปหรือไม่ลง”
หอมน้ำมองจ้องหน้าศวัส
“ชั้นตัดสินใจให้ดีกว่า...ไป”
หอมน้ำลุกขึ้นอย่างว่าง่าย ทั้งสองคนเดินไปที่ประตู
“นี่เธอจะให้ชั้นตัดสินใจทุกเรื่องเลยหรือเปล่า”
หอมน้ำเงยหน้ามอง ศวัสก้มมามองด้วยสีหน้าจริงจัง จนหอมน้ำหลบตาลง เอามือจับลูกปิดประตู แต่มือศวัสเอื้อมไปจับในขณะเดียวกันโดยไม่ได้ตั้งใจ มือเขาจึงกุมไปบนมือของเธอ
หอมน้ำตัวแข็ง ศวัสเองก็ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น
สองกองสอดแนม เขน กะ แจ่ม ที่แนบหน้ากับประตูห้องนอนนั้น ค่อยๆ หันหน้ามาสบตากัน
เขนถามเสียงเบา “ทำไมเงียบไป”
แจ่มเสียงเบาพอกัน “ไม่ทราบค่ะ”
ส่วนด้านในห้อง ศวัสค่อยๆ ปล่อยมือออกจากมือหอมน้ำ
และหอมน้ำค่อยๆ เอามือออกจากลูกบิดประตู
ศวัสบอกเสียงเบาหวิว “ขอโทษ”
หอมน้ำตอบเบาเหมือนกันว่า “ไม่เป็นไรค่ะ”
คำนี้ศวัสนิ่วหน้าเหมือนรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาโดยไม่รู้สาเหตุ “ก็ต้องไม่เป็นไรอยู่แล้ว”
หอมน้ำเงยหน้าขึ้นมองอย่างประหลาดใจ ศวัสก้มลงมองดุๆ
“เพราะเธอเล่นหนังจนชิน เดี๋ยวคนโน้นจับ คนนี้จับ” ศวัสพาลไปโน่น
หอมน้ำหน้าซีด
“เรื่องต่อไปนี้เห็นว่าจะเป็นนางเอกเต็มตัวนี่ คงมีเลิฟซีน กอดจริง จูบจริงกันทั้งเรื่อง”
“แต่หอมปฏิเสธไปแล้วนี่คะ ยังไงหอมก็ไม่เล่น”
ศวัสเลยนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกระแทกเสียงว่า “ดี” ออกมา
หอมน้ำรวบรวมความกล้าก่อนพูด “คุณ...คุณหมอโกรธหอมทำไมคะ”
ศวัสอึ้งไป
“หอม” หญิงสาวยกมือไหว้อีก “หอมต้องขอโทษหากทำอะไรให้คุณหมอโกรธ”
ศวัสเหมือนรู้สึกละอายใจขึ้นมา “ออกไปข้างนอกเถอะ”
หอมน้ำกำลังจะยื่นมือออกไปตามความเคยชิน
“ชั้นเปิดเอง”
หอมน้ำรีบชักมือกลับไปไขว้หลังทันที ศวัสชำเลืองมองดุๆ แว่บหนึ่งแล้วเปิดประตู
ทั้งสองคนก้าวออกมา เจอเขนกับแจ่มที่พากันรีบถอยแทบไม่ทัน
ศวัสมองสองสาวดุๆ “แห่กันมาทำไม”
เขนรีบอธิบาย ขณะแจ่มก้มหน้าก้มตาด้วยความกลัว
“เปล่าค่ะ...”
“เด็กสมัยนี้เป็นยังไง ผู้ใหญ่ถามอะไรก็เปล่าไว้ก่อน”
หอมน้ำพยายามช่วยเพื่อน “คือ...เขนเขาจะบอกว่า...”
ศวัสเบือนหน้ามามอง “เธอชื่อเขนเรอะ”
“เปล่าค่ะ” หอมน้ำนึกได้ว่าเผลอต่อปาก รีบพูดต่อ “ขอโทษค่ะ”
ศวัสถอนใจเหมือนหงุดหงิดเต็มประดา
เขนรีบอธิบาย “คือเขนกับพี่แจ่มได้ยินเสียงประตูหน้าต่างปึงปังๆ ข้างบนนี่ ก็เลยรีบขึ้นมาเพราะเป็นห่วงหอม กลัวว่าคุณพุธ...”
หอมน้ำรีบเอื้อมมือมาสะกิดเพื่อนว่าอย่าพูด เขนหันมามองแล้วเงียบไป
ความเงียบน่าอึดอัดเข้าปกคลุมอีกครั้ง แล้วในที่สุดศวัสก็เดินลงบันไดไป
เขนกับหอมน้ำมองหน้ากันแล้วก้าวลงตาม มีแจ่มรั้งท้ายสุด
ริมรั้วนอกบ้าน พบว่าบัดนี้บรรดานักข่าวจอมเผือกทั้งหลายเข้ามาหลบบริเวณหน้าตัวบ้านกนกรัตน์ โดยมีวันทนาที่ยกน้ำหวานออกมาเลี้ยงยืนอยู่ด้วย ทุกคนกำลังแหงนดูที่หน้าต่างห้องที่เข้าใจว่าเป็นห้องหอมน้ำ
นักข่าว 1 เอ่ยขึ้น “เงียบไปแล้ว”
นักข่าว 2 หันมามองคนอื่น “ใครว่าเป็นเรื่องบังเอิญ”
เห็นทุกคนนิ่ง นักข่าว 2 ถามอีก “ใครว่าเป็นผี”
ทุกคนพยักหน้าหวาดๆ เว้นวันทนานิ่งครุ่นคิด
นักข่าว 3 หันมาถามวันทนา “ป้าว่ายังไงคะ”
“ปกติป้าไม่เชื่อเรื่องผีสางนางไม้”
ทุกคนถามพร้อมกัน “แล้วตอนนี้”
วันทนาลังเล บ่ายเบี่ยง “ป้าว่าอาจจะเป็นเพราะลมก็ได้”
ทุกคนส่ายหน้า
นักข่าว 1 บอกอีก “หนูว่าผี”
นักข่าว 5 เอาด้วย “หนูก็ว่าผี ไม่ใช่ลมแน่นอน”
ทุกคน เว้นวันทนาคนเดียว พยักหน้าเห็นด้วย
“เดี๋ยวคุณหนกกลับมา ห้ามเล่าเรื่องนี้ให้ฟังนะคะ ป้าไม่อยากให้แก ‘อิน’ แล้วก็ ‘ฟิน’ ไปมากกว่านี้” วันทนาขอร้อง
นักข่าว 2 หันไปทางเพื่อนนักข่าว “เราไปกดออดกันใหม่มั้ย”
สีหน้าของแต่ละคนหารือกัน เหมือนได้ข้อสรุป ที่คิดตรงกัน
ศวัสเดินตรงมา โดยที่มีนักข่าวออกันมากดกริ่งอยู่หน้าประตู
นักข่าว 1 บอกเพื่อนๆ “พอแล้ว”
ศวัสเดินมาถึง ถามขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉยเป็นปกติ “มีอะไรหรือครับ”
“เมื่อกี้พวกเราเห็นประตูหน้าต่างห้องนั้น” นักข่าว 2 บอกพลางชี้มือ “ปิดเปิดเองตั้งหลายครั้ง”
ศวัสหันไปมองตาม
“ไม่ทราบว่า คนในบ้านรู้สึกหรือเปล่า”
ศวัสหน้าขรึมลง “ทำไมหรือครับ”
นักข่าว 3 โพล่งขึ้น “คือ...พวกเราอยากเข้าไปดูน่ะค่ะ”
“เข้าไปดูประตูหน้าต่างน่ะหรือครับ”
ศวัสตีรวน จนนักข่าวบางคนสีหน้าเริ่มไม่พอใจ
“พวกคุณก็เห็นแล้วว่าไม่มีอะไร”
นักข่าว 4 แย้ง “แต่เมื่อกี้มันมี”
“ตอนนี้ไม่มีแล้วนี่ครับ บ้านผมไม่มีอะไรน่าสนใจ แต่พวกคุณกำลังจะทำให้กลายเป็นบ้านผีสิง ขนาดข่าวเพิ่งออกไปไม่เท่าไหร่ ยังมีคนแวะเวียนมาดูกันแล้ว”
นักข่าว 5 “คุณก็ให้พวกเราเข้าไปพิสูจน์ให้หมดเรื่องหมดราวซิครับ”
“ขอโทษ บ้านผมเป็นสถานที่ส่วนบุคคลนะครับ และทุกคนในบ้านก็ต้องการความสงบ พวกคุณลองคิดดูบ้าง ว่าถ้ามีคนมาคอยสืบดูเรื่องผีอยู่หน้าบ้าน มีคนขอเข้ามาดู มาขอหวยตลอดเวลา บ้านถูกถ่ายรูปเผยแพร่ในหนังสือพิมพ์ ในคลิป พวกคุณจะรู้สึกอย่างไร เท่านี้แหละครับ”
ศวัสหันหลังกลับเดินเข้าบ้านไปเลย โดยในระหว่างพูดคุยนั้น นักข่าวถ่ายรูปศวัสไปด้วย
ตกเย็นวดีกำลังค้นดูในเน็ตเกี่ยวกับวิธีกำจัดผีให้ได้ผล สักพักหนึ่ง มีเสียงเคาะประตู ยังไม่ทันอนุญาต ลิซซี่ก็เปิดเข้ามาอย่างรีบร้อน
ลิซซี่ตื่นเต้น จนแทบไม่หายใจหายคอ “คุณวดีขา คุณวดี”
“อะไร”
“นี่ค่ะ นักข่าวส่งคลิปมาให้ดู”
ลิซซี่ส่งโทรศัพท์ให้ วดีรับมาดู แล้วชะงัก ที่โทรศัพท์เป็นคลิปของศวัสที่ออกมาตำหนินักข่าวก่อนหน้า
“หมอศวัสนี่”
“นางเอาจริงเลยนะคะ อีกไม่เท่าไหร่คลิปนี้ก็กระจายทั่วไปหมด”
“นังน้องเอิงปรี๊ดแตกแน่”
“ห้ามไม่ทันแล้วล่ะค่ะ ป่านนี้คงเริ่มแพร่ไปแล้ว”
วดีลุกขึ้นเดินกลับไปกลับมาครู่หนึ่ง แล้วหยุดหันกลับมา
“เอาอย่างนี้ หนังสือพิมพ์เราจะงดลงเรื่องบ้านหมอศวัส ประมาณว่าไม่แตะต้อง”
“จะดีหรือคะ เล่มอื่นเขาลงกันหมด แล้วเรื่องนี้ก็เป็น Talk Of The Town ด้วย”
“ชั้นจะอดเปรี้ยวไว้กินหวาน แกไปจัดการเรียกนักข่าวของเรากลับ แล้วพรุ่งนี้เช้าโทร.สั่งดอกไม้สวยที่สุดหนึ่งกระเช้า”
ลิซซี่งง “คุณวดีจะเอาไปให้ใครคะ”
วดีไม่ตอบ ยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมาในสีหน้า
อีกฟากสองสาวยืนหลบอยู่มุมหนึ่งใกล้ตัวบ้านเพื่อไม่ให้ใครสังเกต มองไปในซุ้มพุดซ้อน ซึ่งตอนนี้พุดซ้อนเริ่มแตกช่อผลิใบอ่อนๆ
“ไม่รู้ว่าคุณหมอฟันทันตแพทย์ไปบู๊อะไร พวกนั้นถึงไปกันหมด”
หอมน้ำกังวลขึ้นมาอีก “คนอื่นเลยต้องมาเดือนร้อนกันไปหมด”
เขนยิ้มกริ่มทำหน้าล้อๆ “เขนว่าคุณหมอเขาเต็มใจจะเดือดร้อนนะ”
หอมน้ำส่ายหน้า “ไม่หรอก เขาย้ำให้หอมฟังตลอดว่า เป็นเพราะพ่อกับแม่ฝากเขาให้ช่วยดูแลหอมด้วย เขาคงเบื่อเต็มทีแล้ว”
หอมน้ำทรุดตัวลงนั่ง “เขน ขอยืมโทรศัพท์หน่อย”
“จะโทร.ถึงใคร”
“พ่อกับแม่ หอมอยากกลับบ้าน”
หอมน้ำน้ำตาซึมเมื่อพูดประโยคนั้น มือรับโทรศัพท์มา กดโทร.ออก
“แม่” หอมน้ำน้ำตาไหลเมื่อได้ฟังเสียงบุพการีจากปลายสาย “หอมอยากกลับบ้าน”
ศวัสรู้เรื่องเพราะโสภณกะเกสรโทร.หาเขา และมองหอมน้ำด้วยสาตาดุเข้ม มีเขนยืนให้กำลังใจเพื่อนอยู่ด้วย
“เหลวไหล ทำตัวเป็นลูกแหง่ไม่รู้จักโต”
หอมน้ำน้ำตาไหลพรากทันที
“คุณหมอ” เขนพยายามจะอธิบายแทน
ศวัสบอกกับเขน “ออกไปก่อน”
เขนอิดออด “แต่ว่า...”
“ออกไปก่อน ไม่อย่างนั้นเพื่อนเธอก็ไม่ยอมโตเสียที เพราะมีแต่คนคอยปกป้อง”
เขนบีบมือและมองหอมน้ำให้กำลังใจ แล้วเดินออกไป หอมน้ำมองเพื่อนตาละห้อย ด้วยความรู้สึกที่ว่า ที่พึ่งสุดท้ายกำลังหลุดลอยไป ศวัสมองสายตานั้นเงียบๆ จนหอมน้ำเบือนหน้ากลับมา พอสบนัยน์ตานั้นก็สะดุ้ง
“ทำไมต้องโทร.ไปฟ้องพ่อฟ้องแม่ รู้ไหมว่าท่านตกอกตกใจ รีบโทร.มาหาชั้นกันวุ่นวาย” น้ำเสียงเขาตำหนิเต็มๆ
หอมน้ำเม้มปาก “ก็หอมไม่อยากให้คนอื่นต้องมาวุ่นวายกับหอม”
ศวัสกอดอก “คนอื่น น่ะใคร”
“ก็...ทุกคนที่นี่”
“ดูเหมือนชั้นเคยบอกเธอแล้วว่า นอกจากคุณพ่อคุณแม่จะฝากฝังเธอให้ชั้นช่วยดูแลแล้ว ชั้นเองก็ต้องรับผิดชอบที่วิญญาณคุณแม่ของชั้นทำให้เธอเดือดร้อน”
“ไม่จำเป็นหรอกค่ะ”
“เดี๋ยวนี้กล้าเถียง”
“หอมไม่ได้เถียง แต่อยากจะอธิบายว่าหอมเบื่อเรื่องนี้เต็มที หอมอยากกลับบ้านไปใช้ชีวิตธรรมดาๆ ที่ไม่มีอะไรมาวุ่นวาย”
“มันสายไปแล้ว”
“คุณหมอหมายความว่าอย่างไรคะ”
“ทุกอย่างมันวุ่นวายไปแล้ว ถ้ากลับบ้านตอนนี้ เธอจะพาความวุ่นวายไปให้ทุกคนที่บ้านเธอด้วย แต่ก็...ตามใจนะ ชั้นก็อธิบายทุกอย่างให้ฟังหมดแล้ว เธอจะทำยังไงมันก็เป็นเรื่องของเธอ ไม่อย่างนั้นจะมาโทษชั้นว่าเป็นเผด็จการอีก”
พูดจบศวัสเดินออกไปเลย หอมน้ำทรุดตัวลงนั่ง
พุธกันยามองอยู่มุมหนึ่ง ด้วยสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด
กลางดึก เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นภายในบ้านกนกรัตน์ ห้องที่มืดๆ อยู่ ถูกวันทนาเปิดไฟสว่างขึ้น และรีบร้อนเข้ามารับสายในชุดนอน ปิดปากหาวมาตลอด ถูกเสียงโทรศัพท์ปลุกให้ตื่น
“สวัสดีค่ะ อ้าว คุณหนก โทร.มาทำไมคะ เปลืองเงินเปล่าๆ อยู่ตั้งเมืองนอกเมืองนา”
วันทนาฟังเสียงกนกรัตน์
“อ๋อ เหตุการณ์ปกติค่ะ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น คุณหนกเที่ยวกับหลานให้สบายใจเถอะค่ะ ไม่ต้องเป็นห่วงทั้งขโมย ขโจร ทั้งผีสาง ค่ะ วันเข้านอนแล้วค่ะ แต่ตอนนี้ตื่นขึ้นมารับโทรศัพท์คุณหนก”
วันทนาวางโทรศัพท์ลง บิดตัวเล็กน้อย แล้วจะเดินออกไป แต่แล้วก็หยุด นึกถึงตอนกนกรัตน์ถือกล้องส่องทางไกลบ้านศวัสและเล่าว่ามีผีขึ้นมา วันทนาเบือนหน้าไปยังห้องนอนกนกรัตน์ชั้นบน
วันทนาก้าวเข้ามาในห้องนอนผู้เป็นนาย เดินไปเปิดไฟโคมที่หัวเตียง พลางหยิบกล้องส่องทางไกลของกนกรัตน์เดินมาที่หน้าต่าง แล้วส่องไปที่บริเวณตัวบ้านของศวัส สอดตามองเลยเรื่อยไปที่ระเบียง เห็นใครคนหนึ่งแต่งตัวในอาภรณ์ และไว้ผมเผ้าเหมือนพุธกันยาไม่ผิดเพี้ยนยืนอยู่ที่ระเบียง โดยไม่รู้ว่านั่นคือเยาวภา
วันทนาถึงกับสะดุ้งเฮือกลดกล้องลง หน้าตาตื่น ด้วยคิดว่าเป็นพุธกันยา
“เป็นไปไม่ได้”
วันทนาสะบัดหน้า 2-3 ครั้งแล้วยกกล้องส่องอีก สายตาเห็นใครคนนั้นยังคงยืนทอดอารมณ์อยู่
“คุณหนกไม่ได้มโน คุณหนกพูดความจริง”
วันทนายกกล้องส่องอีก คราวนี้ร่างนั้นหายไปแล้ว จึงส่องเลยไปที่บริเวณหน้าบ้าน แสงไฟจากเสาไฟในซอยเผยให้เห็นรถกระบะ 3-4 คัน จอดแอบอยู่ ผู้คนบนรถพยายามจะส่องกล้องชะเง้อมองหาผี
วันทนาลดกล้องลงรำพึงกับตัวเอง
“พวกนั้นมาแอบดูผี ไม่น่าเชื่อ”
รุ่งเช้า หนังสือบันเทิงฉบับหนึ่งที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานวดีพาดหัวข่าว “ติ่งผี” ว่อนเน็ต วดีมองพลางลูบคางอย่างใช้ความคิด
“หนังสือพิมพ์ทุกฉบับลงกันหมด ยกเว้น ชิดขอบ ของเราค่ะ” ลิซซี่ที่อยู่ด้วยเอ่ยขึ้น
“อดเปรี้ยวไว้กินหวาน...ดอกไม้ได้หรือยัง”
“น้องเอิงรอรับอยู่ข้างนอกค่ะ”
วดีฉุนกึก “ชั้นบอกแล้วว่าไม่ให้น้องเอิงรู้ไง”
“คุณวดีไม่ได้บอกค่ะ”
“บอก”
“ไม่ค่ะ”
นายบ่าวโต้กันไปมา จนประตูเปิดออก เห็นเป็นเอิงหอบกระเช้าดอกไม้สวยงามเข้ามา
“มาแล้วค่ะ ป้าขา เราจะไปกันหรือยังคะ”
“ถ้าจะไปด้วยก็ต้องสัญญากับชั้นก่อน”
“ว่า...”
“ชั้นจะเป็นคนพูด แกไม่ต้องออกความเห็นอะไรทั้งนั้น จนกว่าชั้นจะถาม”
“เป็นอะไรที่เข้าใจ ได้ค่ะ”
“ถ้าไม่รักษาสัญญาล่ะก็ เดือนหน้าจะไม่จ่ายเครดิตการ์ดให้”
“ก็เป็นอะไรที่เข้าใจได้อีกเหมือนกัน”
วดีเดินออกไป ติดตามด้วยเอิงกับลิซซี่
ทั้งสี่คนทานมื้อเช้าอยู่ด้วยกัน แจ่มยกกาแฟกับน้ำผลไม้มาเสิร์ฟ ขณะที่มีเสียงกริ่งหน้าบ้านดังขึ้น ทุกคนชะงัก
“ใครมาแต่เช้า” บุรีถาม
ศวัสหันไปหาแจ่ม “แจ่มไปบอกเขาว่าที่นี่ยังไม่พร้อมจะรับแขก”
“ค่ะ” แจ่มออกไป
หอมน้ำกับเขนสบตากันเงียบๆ หอมน้ำออกอาการอึดอัด
วดีกำลังเจรจากับคนสวนให้เปิดประตู โดยมีเอิงทำหน้ารำคาญอยู่ใกล้ๆ และลิซซี่คอยสะกิดเตือน
“ผมต้องเข้าไปขออนุญาตเจ้านายก่อนจริงๆ ครับ”
“ชั้นไม่ใช่นักข่าวหรือชาวบ้านที่ไหน ชั้นเป็นเพื่อนคุณบุรีมาตั้งแต่เมียของเขายังไม่ตาย” วดีบอก
เอิงเบ่ง “แล้วก็เป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์ชิดขอบบันเทิง อันทรงอิทธิพลด้วย รู้จักมั้ย”
ลิซซี่มองไปเห็น “แจ่มมาโน่นแล้วค่ะ”
คนสวนหันไปมองตาม สีหน้าโล่งใจ แล้วเดินเลี่ยงไป ขณะที่แจ่มเดินตรงมาและยกมือไหว้ทุกคน
“พี่แจ่ม ช่วยเปิดประตูให้พวกเราเข้าไปหน่อยซิ ยืนจนเมื่อยไปหมดแล้ว” เอิงรีบบอก
แจ่มยิ้มแห้งๆ วดีมองจ้อง “อย่าบอกนะว่า เปิดไม่ได้”
“แจ่มกำลังจะพูดอย่างนั้นพอดีค่ะ”
สีหน้าทั้งสามสาวบึ้งตึง
ภายในห้องอาหาร บุรีเอ่ยขึ้น ท่าทางอึดอัดยุ่งยากใจ
“เฮ้อ! เอาไงดี พ่อไม่อยากมีปัญหากับใคร”
“ไม่ใช่เรื่องมีหรือไม่มีปัญหานะครับ แต่เป็นเรื่องของการเคารพสิทธิ์ซึ่งกันและกัน” ศวัสว่า
หอมน้ำเกรงใจพ่อลูก ขยับตัว “หอมคิดว่า...”
บุรีตัดบทขึ้นว่า “เอาอย่างนี้ หอมน้ำกับเขนขึ้นไปอยู่ข้างบน แจ่ม ไปเชิญคุณวดีเข้ามา”
“ค่ะ” แจ่มเดินออกไปทางหน้าบ้าน
หอมน้ำกับเขนพยักหน้าให้กัน แล้วพากันเดินขึ้นข้างบนไป
“ผมว่าไม่เห็นจำเป็นจะต้อง”
“ยังไงเขาก็เคยเป็นผู้จัดการของแม่ เคยสนิทสนมกับบ้านเราดี”
“ดีสำหรับเขา แต่แย่ที่สุดสำหรับคุณแม่แล้วก็เรานะครับ”
“เอาเถอะน่า ตามพ่อมา”
บุรีเดินออกไป ตามด้วยศวัส
ไม่นานต่อมา กลุ่มวดีเดินเข้ามาในห้องรับแขกอันใหญ่โตหรูหรา ปิดท้ายด้วยแจ่มซึ่งเลี่ยงเข้าไปข้างในเพื่อยกน้ำมาให้แขก ศวัสไหว้วดี แล้วรับไหว้เอิงกับลิซซี่ เช่นเดียวกับบุรี
“เชิญนั่งครับ”
วดีรับดอกไม้จากลิซซี่ “วดีเอาดอกไม้มาขอโทษคุณ ที่เด็กของวดีมีส่วนที่ทำให้เดือดร้อน”
บุรีรับมา “ขอบคุณมาก แต่ความจริงไม่ต้องก็ได้”
วดีอ้าปากจะพูด แต่เอิงชิงพูดขึ้นก่อน หลังจากที่พยายามสบตาศวัสอยู่ครู่หนึ่ง แต่ไม่สำเร็จ
“พี่หมอสบายดีหรือคะ”
“ครับ ขอบคุณ”
บุรีวางดอกไม้ลงบนโต๊ะ แล้วลงนั่งตาม เช่นเดียวกับศวัสซึ่งให้ผู้หญิงลงนั่งก่อน เอิงสอดตามองไปโดยรอบ
“หอมน้ำอยู่ที่นี่หรือเปล่าคะ
วดีมองปรามทั้งสายตาและน้ำเสียง “น้องเอิง”
“หนูก็ดูเอาเองซิ ว่ามีหรือเปล่า” บุรีว่า
“ข้างล่างไม่มี แล้วข้างบนล่ะคะ” เอิงไม่ยอมแพ้
ศวัสเอ่ยขึ้นเป็นเชิงดักคอ “คุณเอิงคงไม่ขอขึ้นไปดูหรอกนะครับ”
“ตรงกันข้ามเลยค่ะ”
วดีสุดจะทน “ลิซซี่ พาน้องเอิงออกไปรอข้างนอก”
เอิงครวญ “ป้าขา”
“ข้างนอกรั้วบ้านด้วย” วดีเสียงเข้ม
“ค่ะ” ลิซซี่ลุกขึ้น “ไปค่ะ น้องเอิง”
เอิงทำท่าจะค้าน วดีสั่งเด็ดขาด “ออกไป”
“พี่หมอออกไปคุยกับน้องเอิงมั้ยคะ”
“ไม่ครับ เดี๋ยวผมต้องไปทำงาน”
วดีโมโห “น้องเอิง”
เอิงเม้มปาก แล้วเดินออกไป ติดตามด้วยลิซซี่
วดีหันกลับมายิ้มหวาน “ป้าต้องขอโทษที่น้องเอิงไม่รู้จักกาลเทศะ”
ศวัสยิ้มมุมปากนิดเดียว วดีกระแอม เคลียร์คอเล็กๆ ก่อนเข้าจุดประสงค์
“คือพวกเราทุกคนกังวลกันที่หอมน้ำหายไป ก็เลยแยกย้ายกันตามหาให้วุ่นไปหมด”
“สำหรับผมคิดว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัวของเขา เขาหายไปก็คงเป็นเพราะอยากอยู่เงียบๆ ไม่อยากเจอใคร และเราก็ควรจะเคารพการตัดสินใจของเขา”
วดีหน้าเจื่อนลงเล็กน้อย “นั่นซิคะ วดีก็คิดอย่างนั้นเหมือนกันถึงได้ไม่มีข่าวของหอมน้ำในหนังสือของวดีเลย”
“ถ้าหอมน้ำรู้คงจะขอบคุณ” น้ำเสียงนั้นประชดในที
วดีลักไก่ทันที “งั้นคุณช่วยส่งข่าวไปบอกเขาด้วยได้ไหมล่ะคะ”
“คุณพูดเหมือนผมรู้ว่าหอมน้ำอยู่ที่ไหน”
วดีแหย่ทีเล่นทีจริง “แล้วคุณรู้หรือเปล่า”
บุรีเพียงปรายยิ้ม นัยน์ตายังคงมองวดีแน่วนิ่ง
ขณะที่ศวัสขยับตัว “ผมจะต้องไปทำงานแล้ว คุณพ่อจะออกไปพร้อมกันเลยไหมครับ”
“ไปก่อนเถอะ”
ศวัสไหว้ลาวดี “ผมไปก่อนนะครับ”
“เชิญจ้ะ”
ศวัสเดินออกไป วดีมองตามแล้วหันมายิ้มเจื่อนๆ กับบุรีซึ่งเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม
“คุณมีธุระที่ไหนหรือเปล่าคะ”
บุรีเหลือบมองนาฬิกา “มี”
วดีหน้าเจื่อน เหมือนถูกไล่อีกครั้งหนึ่ง
ลิซซี่ขับรถพาสองคนป้าหลานออกมาจากบ้านศวัส มุ่งหน้ากลับออฟฟิศ
“สำเร็จมั้ยคะ”
วดีส่ายหน้าเครียดๆ “ไม่”
“ในเมื่อเราทำดีด้วยทุกอย่างแล้วไม่เวิร์ค ก็กลับไปทำชั่วอย่างเดิมดีกว่าค่ะ”
ลิซซี่ร้อง “อุ๊ย”
“น้องเอิง เราไม่ได้ทำชั่ว เราแค่ทำในสิ่งที่ต้องทำเท่านั้น เข้าใจไหม” วดีย้อนแย้ง
“แล้วมันดีหรือว่าชั่วล่ะคะ”
“ก็แล้วแต่ใครจะมอง เราถือว่าเราทำดีก็แล้วกัน”
บอกอสาวใหญ่ผู้ทรงอิทธิพลบอกอย่างหมายมาด
ทางด้านหอมน้ำครึ่งนั่งครึ่งนอนอ่านหนังสืออยู่บนเตียง ขณะที่เขนนั่งเล่นเกมอยู่ ไอเย็นจากที่ไหนสักแห่งลอยมาบริเวณใบหน้าเขน พริบตาสาวอวบระยะอึดอัดก็หาวหวอดๆ เหมือนเกิดอาการง่วงอย่างรุนแรง
“ฮ้าว....ว ง่วงจัง”
หอมน้ำหันไปมอง “ง่วงก็นอนซิ”
เขนเอนตัวนอนบนโซฟา แล้วหลับผล็อยไปในทันที หอมน้ำชำเลืองมองเพื่อน ยิ้มขำ
“อยากกินง่าย หลับง่ายเหมือนเขนจัง”
เสียงพุธกันยาดังขึ้น “อยากจะหลับตลอดไปเลยไหมล่ะ”
“คุณพุธ”
พุธกันยาปรากฏตัวนั่งอยู่ในกระจก สะท้อนภาพเตียงที่หอมน้ำนั่งอยู่ แต่แทนที่จะเป็นหอมน้ำ กลับกลายเป็นพุธกันยาแทน นอกนั้นเหมือนเดิมทุกอย่าง
“ถอดสร้อยพระออกซิ”
หอมน้ำส่ายหน้าท่าทีเด็ดเดี่ยว “ไม่ค่ะ คุณพุธควรจะไปสู่สุคติได้แล้ว ทุกคนที่เกี่ยวข้องจะได้มีชีวิตที่ปกติเสียที”
พุธกันยาย้อนเอา “เธอไม่ ชั้นก็ไม่เหมือนกัน”
“คุณเอาเปรียบหอมทุกอย่าง”
“แล้วเธอล่ะ อยากจะได้ลูกชายชั้นโดยที่ไม่ได้สนใจแม่เขาเลย เธอเห็นชั้นเป็นหัวหลักหัวตอหรือไง”
หอมน้ำทั้งอายและตกใจ “คุณพุธ”
พุธกันยาลุกขึ้นเดินมายืนติดบานกระจก “เอาสร้อยพระออกไป”
“ไม่ค่ะ” หอมน้ำยืนกราน
พุธกันยาโกรธ เหลือบมองบนเพดาน นัยน์ตากลับกลายเป็นสีดำดูน่ากลัว พลัน เพดานสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง โคมไฟแกว่งเหมือนจะตกลงมา หอมน้ำตกใจรีบลุกจากที่นอนมาเขย่าเขน
“เขน...เขน ตื่นเร็ว” เขนไม่มีท่าทีว่าจะตื่น
“เพื่อนเธอเขากำลังหลับสบาย ไม่ตื่นหรอก”
“เขน...เขน”
พุธกันยาเหลียวมองโดยรอบ คราวนี้กำแพงทุกด้านแตกร้าวเหมือนจะลงเช่นกัน
หอมน้ำหวาดกลัวจับจิต “หยุด ! หยุดเดี๋ยวนี้”
นอกจากจะไม่หยุดพุธกันยาก้มลงมองพื้นแทน พื้นไหวยวบ บริเวณในห้องเหมือนจะถล่มทลายลงมา โคมไฟแกว่งไกวตกลงมาเศษโคมไฟปลิวมาที่หอมน้ำ แต่เธอหลบได้อย่างฉิวเฉียด พลางวิ่งไปที่ประตู จะเปิด แต่กลับเปิดไม่ออก ทำได้แต่ทุบประตู
“ช่วยด้วย ช่วยด้วย ใครอยู่ข้างนอกช่วยด้วย”
ข้าวของบนโต๊ะเครื่องแป้งปลิวพุ่งมาที่หอมน้ำ ซึ่งคอยหลบเป็นพัลวัน
“หยุด บอกให้หยุด”
กระจกโต๊ะเครื่องแป้งแตกกระจาย เศษกระจกชิ้นแหลมน่ากลัว ปลิวมาที่เขน หอมน้ำกรีดร้องทั้งน้ำตา
“อย่า ยอมแล้ว หอมยอมแล้ว”
พุธกันยาบอกด้วยเสียงอันเยือกเย็น “ถอดสร้อยออก”
หอมน้ำร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างน่าสงสาร โดยที่วิญญาณพุธกันยาไม่แยแส
อ่านต่อหน้า 3
ใยกัลยา ตอนที่ 13 (ต่อ)
ขณะที่หอมน้ำตกที่นั่งลำบากอยู่นั้น ทางด้านศวัส นัดสังสรรค์กับเพื่อนๆ อยู่ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ในบรรยากาศแสนคึกคัก ด้วยผู้คน ลูกค้าแน่นร้าน ที่โต๊ะของศวัส ซึ่งอยู่มุมเด่นของร้าน หนุ่มๆ ก๊วนเพื่อน กำลังคุยกันสนุกสนานเฮฮา สักครู่หนึ่งศวัสเหลือบดูนาฬิกาข้อมือ แล้วขยับตัวลุก
“เฮ้ย ต้องขอกลับก่อนล่ะ”
เพื่อนๆ ต่างพากันโวยวาย “ไม่ได้” / “ไม่ได้...ไม่ได้”
“อะไรวะ นานๆ เจอกันที” เพื่อน 1 ดึงแขนให้นั่งลง “นั่งก่อน ยังไม่ให้กลับ”
ศวัสนึกข้ออ้าง “คืออยากอยู่ต่อเหมือนกัน แต่ต้องไปดูคนไข้”
เพื่อน 2 บอกขึงขัง “คนไข้ที่ไหนวะให้หมอไปเยี่ยมตอนกลางคืน เฮ้ย นั่ง”
“วันนี้ต้องขอตัวจริงๆ เอาไว้คราวหน้าอยู่ยาวเลย”
เพื่อน 3 โวย ไม่ยอม “คราวนี้ละ ไม่ต้องคราวหน้า”
ถึงศวัสจะพยายามยิ้มแย้ม แต่ก็เห็นแววกังวลได้ชัด
เพื่อน 4 ดูออก “ให้มันไปเถอะ ท่าทางคนไข้คนนี้คงจะเป็นคนสำคัญ ไปเลย ไอ้หมอ”
ศวัสลาเพื่อนๆ แล้วเดินออกไป
เมื่อเดินตรงมาที่ลานจอดรถ ขณะจะกดรีโมตรถศวัสก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นร่างหอมน้ำยืนอยู่ในมุมมืด มองมา ด้วยนัยน์ตาเศร้าหมอง ศวัสเห็นถนัดตาถึงแม้เธอจะอยู่ในความมืด
ศวัสตกตะลึงไปครู่หนึ่ง “หอมน้ำ”
หอมน้ำหันหลังกลับ เดินออกไป ศวัสรีบเดินตามพร้อมกับเรียกไว้ “หอมน้ำ...หอมน้ำ”
บริเวณโดยรอบว่างเปล่า ไม่มีร่างหอมน้ำ ศวัสกวาดสายตามองไปโดยรอบอีกครั้ง
“หอมน้ำ”
ด้วยความสังหรณ์ใจ ศวัสหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทร.ออก ถามอย่างร้อนใจ
“เขน หอมน้ำอยู่หรือปล่า”
เขนรับสายอยู่ในห้องโดยไม่รู้ว่าตัวเองอยู่กับหอมน้ำที่ถูกพุธกันยายึดร่างไปแล้ว
“อยู่ค่ะ อยู่ใกล้ๆ นี่เอง คุณหมอจะพูดด้วยไหมคะ อ๋อ ค่ะ” เขนวางโทรศัพท์ลงแล้วหันมาข้างๆ “แปลกจัง อยู่ดีๆ คุณหมอก็โทร.มาถามว่าหอมอยู่หรือเปล่า”
หอมน้ำผินหน้ามายิ้มรับอย่างเยือกเย็น แล้วเบือนกลับไปมองภายนอกหน้าต่างอีกครั้ง
ศวัสเปิดประตูเข้ามานั่งในรถ แต่รู้สึกเหมือนมีใครคนหนึ่งมองออกมาจากเงามืด ศวัสหันไปมอง บริเวณนั้นกลับว่างเปล่า ศวัสเหลียวไปมองโดยรอบอีกครั้ง พบว่าบริเวณนั้นดูวังเวงอย่างประหลาด
“สงสัยจะคิดไปเอง”
ศวัสขับรถออกไป
วิญญาณหอมน้ำเดินออกมาจากเงามืดมองตามด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย
ดึกแล้ว หอมน้ำที่ถูกสิง ยังยืนมองออกไปนอกหน้าต่าง รอคอยการกลับมาของบุรีด้วยความหงุดหงิด
“จะสี่ทุ่มแล้วยังไม่กลับมาอีก”
หอมน้ำเดินกลับไปกลับมาอย่างกระวนกระวาย แล้วกลับมานั่ง นอนลงบนเตียง แต่แล้วก็นอนไม่หลับ ลุกไปยืนรอที่หน้าต่างอีก รอสักพักก็แล้วบุรียังไม่มา หอมน้ำหงุดหงิดอยู่อีกพักหนึ่งแล้วสีหน้าเคร่งก็คลายลง เมื่อเห็นแสงไฟจากรถบุรีที่ประตูบ้าน
หอมน้ำรีบเดินไปที่ประตูจะเปิดออก แต่แล้วก็นึกได้เกรงว่าจะมีคนสงสัย จึงเดินกลับมาลงนั่งสงบอารมณ์บนเตียง
บุรีขับรถมาจอดรอหน้าบ้าน จนประตูเปิดออก จึงขับรถเข้าไปจอดด้านใน ประตูใหญ่ปิดลง
พอบุรีเดินเข้ามาในห้องรับแขก แล้วต้องชะงักเมื่อเห็นหอมน้ำซึ่งนั่งหันหลังให้ถามขึ้นทันทีโดยไม่หันมา
“ไปไหนมาคะ”
บุรีนิ่งอึ้งกับสุ้มเสียงเรียบเย็นชานั้น
หอมน้ำค่อยๆ ลุกขึ้น แล้วหันกลับมาช้าๆ ยิ้มเป็นปกติทุกอย่าง
“ขอโทษค่ะ หอมติดนิสัยจากที่บ้าน เวลาพ่อกลับบ้านช้า แม่กับหอมจะมาแกล้งทำหน้าบึ้งคอยจับผิด” เธออ้าง
บุรีโล่งใจ “อ้อ นี่ศวัสยังไม่กลับล่ะซิ”
“ค่ะ คุณลุงหิวหรือเปล่า หอมจะ...”
บุรีบอกทันทีว่า “ลุงกินมาเรียบร้อยแล้ว ขอบใจนะ”
บุรีเดินไปที่บันได แล้วหันกลับมาเหมือนนึกได้
“หนูดูดีขึ้นแล้วนี่”
“ค่ะ แข็งแรงมากกว่าเดิมด้วย”
บุรีพยักหน้า “ดีแล้ว แต่ควรจะพักผ่อนมากๆ”
“ค่ะ”
บุรีหันหลังเดินต่อ
“คุณลุงคะ”
บุรีหันมามอง
หอมน้ำอึกอักครู่หนึ่ง “เอ้อ...ไม่มีอะไรหรอกค่ะ”
บุรีเยื้อนยิ้มแล้วเดินขึ้นไป
หอมน้ำมองตามด้วยกิริยาและท่าทางของพุธกันยา
ฝ่ายศวัสขับรถมาเรื่อยๆ ตามท้องถนน โดยมีวิญญาณหอมนั่งอยู่ข้างๆ มองศวัสตลอดเวลาด้วยแววตาเศร้าสร้อย
ศวัสมองไปข้างหน้า แล้วกลับรู้สึกเหมือนมีคนมานั่งมองอยู่ ศวัสขมวดคิ้ว ผินหน้ามามอง พบว่าที่นั่งข้างๆ นั้นว่างเปล่า
ศวัสยังคงมองด้วยสีหน้าเหมือนแปลกใจ จนไม่ทันเห็นรถคันใหญ่ที่แล่นตรงมาด้วยความเร็วสูง
หอมน้ำร้องลั่น “ระวังค่ะ”
ศวัสสะดุ้งเฮือก แล้วหันมามอง รถคันใหญ่พุ่งตรงมา ไฟส่องเต็มหน้าศวัส หมอหนุ่มยังมีสติหักหลบอย่างรวดเร็ว และเบรกรถได้อย่างหวุดหวิด ถอนใจเฮือก
ผู้คนที่เห็นเหตุการณ์พากันมองอกสั่นขวัญหาย ศวัสนั่งตั้งสติอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหันมามองข้างๆ ซึ่งว่างเปล่า
“คงจะหูแว่ว”
“เสียงหอมค่ะ คุณหมอไม่ได้หูแว่ว” หอมน้ำพยายามสื่อสารเต็มที่
ศวัสไม่ได้ยิน เขาสูดลมหายใจยาว แล้วขับรถออกไป
ด้านเขน ฉวยจังหวะที่หอมน้ำลงไปข้างล่าง เข้ามาในห้องนอน หยิบสร้อยพระของหอมน้ำซึ่งซ่อนไว้ในลิ้นชักขึ้นมามองดูอย่างประหลาดใจ
“ทำไมหอมถึงเอาสร้อยพระมาซ่อนในนี้”
มีเสียงลูกบิดประตูดังคลิก เขนรีบวางสร้อยไว้อย่างเดิม ปิดลิ้นชัก แล้วรีบไปทำเป็นหาหนังสือ
ประตูเปิดออก หอมน้ำเดินเข้ามา ถามด้วยเสียงเย็นชา “หาอะไรน่ะ”
เขนพยายามปรับสีหน้าให้แจ่มใสเป็นปกติ โดยไม่ได้หันกลับมา
“หาหนังสือการ์ตูนจ้ะ ไม่รู้เอาไปวางไว้ที่ไหน”
“นึกว่าหาอย่างอื่น”
เขนสะดุ้ง ค่อยๆ หันกลับมา “หมายความว่ายังไง”
หอมน้ำสบตาเขนแววตานิ่งสนิท “ก็เขนกำลังหาอะไรล่ะ”
เขนหลบตา “ก็บอกแล้วว่าหาหนังสือการ์ตูน”
พอหอมน้ำเดินมานั่งที่เตียง เขนก็เดินไปที่ประตู
“จะไปไหน”
“ไปกินข้าว หิว”
เขนรีบเปิดประตูออกไปแล้วปิดลง หอมน้ำยังคงนั่งนิ่งขึง แลดูน่ากลัวอยู่อย่างเดิม
เขนมายืนชะเง้อมองออกไปนอกรั้ว ด้วยความกระวนกระวายใจ
“ทำไมยังไม่มาซักที”
เขนกระวนกระวายครู่หนึ่ง จึงเห็นแสงไฟสาดตรงมา สาวอวบถอนใจเฮือกใหญ่ เมื่อประตูเปิดออก ศวัสขับรถเข้ามา ประตูปิดโดยอัตโนมัติ
ศวัสเปิดประตูก้าวลงมา
เขนรีบเดินมาที่ศวัส “คุณหมอคะ”
ศวัสมองหน้าตาตื่นตกใจของเขนอย่างแปลกใจ “มีอะไรหรือเขน”
“คือ...หอมน่ะค่ะ”
ศวัสชะงักแล้วถามทันที “หอมทำไม”
“หอม...”
เขนไม่ทันได้บอกเสียงหอมน้ำเรียกดังขึ้น “เขน หอมหาหนังสือได้แล้ว”
เขนหลับตาลง มือกำแน่นแล้วหันไป หอมน้ำชูหนังสือการ์ตูนให้ดู
“นี่ไง”
ศวัสเดินไปที่หอมน้ำ มองอย่างกังวล “เป็นอะไรหรือเปล่า”
“เปล่านี่คะ” หอมน้ำมองเขนซึ่งเดินมาข้างๆ “เขนบอกอะไรคุณหมอเหรอ”
“เปล่า” เขนเดินเลยเข้าไปด้านในทันที
ศวัสมองตาม “เขนท่าทางแปลกๆ”
“ค่ะ เขาคงอึดอัดที่ออกไปไหนไม่ได้”
ศวัสเดินเข้าข้างในกับหอมน้ำ
พุธกันยาในร่างหอมน้ำถามขึ้น ทันทีที่เดินเข้าในในห้องรับแขก
“คุณหมอหิวไหมคะ หอมจะทำไข่น้ำให้”
ศวัสชะงัก “รู้ได้ยังไงว่าชั้นชอบกินไข่น้ำ”
“แหม ก็หอมเห็นนัง...เอ๊ย ป้าเยาว์ทำให้คุณหมอทาน”
“ช่างสังเกตนี่ เธอควรขึ้นนอนได้แล้ว”
“ได้ค่ะ”
หอมน้ำเดินไปที่บันไดอย่างว่าง่าย
ศวัสแปลกใจนิดๆ “ทำไมวันนี้ว่าง่ายจัง”
ส่วนในครัวตอนนี้ แจ่มมองเขนด้วยความแปลกใจ สีหน้าท่าทางและคำพูดดูหวาดๆ
“จะนอนกับพี่แจ่มหรือคะ”
“ใช่ ขอเขนนอนด้วยคนนะ...นะ...นะ”
“แล้วทำไมไม่นอนกับน้องหอม หรือว่าน้องหอมกรนดัง” เขนส่ายหน้าอย่างเร็ว “งั้นก็”
“อย่าเดาต่อเลย เขนกลัวเดาถูก”
แจ่มเบิกตากว้าง “น้องหอมถูกผีสิง…”
แจ่มยังพูดไม่จบคำ เขนรีบยกมือไปปิดปากไว้ แจ่มยังเบิกตากว้าง บุ้ยใบ้เป็นเชิงถามว่าใช่ไหม เขนพยักหน้าตอบ แจ่มยกมือทาบอก ขณะเขนเอามือออก
“แม่เจ้า”
“โอเค นะ”
แจ่มรีบพยักรับโดยไว
ทั่วอาณาบริเวณคฤหาสน์ เต็มไปด้วยความวังเวง และเงียบสงัด
ศวัสพลิกตัวมานอนตะแคงพร้อมๆ กับเสียงหอมน้ำดังขึ้น เสมือนแว่วมาจากที่ใดที่หนึ่ง ที่อยู่ไกลๆ
“ช่วยด้วย...ช่วยด้วย” เสียงอันโหยหวนชวนให้สยองของหอมน้ำดังขึ้น
ศวัสลืมตาขึ้นทันที
“ช่วยด้วย...ช่วยด้วย”
ศวัสพึมพำเบาๆ “หอมน้ำ”
เสียงหอมน้ำสะอื้นขึ้นเบาๆ แล้วหายไป ศวัสมองไปโดยรอบ แต่ทุกอย่างกลับเงียบสนิท เขาตัดสินใจเดินไปที่ประตู
มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นเบาๆ หอมน้ำที่ถูกสิงลืมตาขึ้นทันที นัยน์ตาขาวโพลนแลดูน่ากลัว ยิ้มนิดๆ แล้วลุกเดินไปที่ประตู เปิดออก เห็นศวัสมองมา ถอนใจโล่งอก
หอมน้ำทำทีเป็นแปลกใจ “คุณหมอ”
“ขอโทษที่มาปลุกกลางดึก นอนต่อเถอะ”
ศวัสขยับจะไป หอมน้ำถามขึ้น “มีอะไรหรือคะ”
ศวัสหันกลับมา “ไม่มีอะไรหรอก”
ศวัสเดินกลับไปโดยไม่ตอบ
พุธกันยาในร่างหอมน้ำมองตามด้วยสีหน้าครุ่นคิด ปิดประตู แล้วเอนหลังพิง
“หอมน้ำ ยังไม่ยอมแพ้อีกหรือ”
หอมน้ำที่ถูกสิงพึมพำ พลางเดินมาที่หน้าต่าง แล้วเปิดม่านมองลงไป
เห็นร่างรางๆในชุดขาวของวิญญาณหอมน้ำ เหมือนหลงวนไปมาอยู่ในหมอกควัน
พร้อมกับเสียงแว่วๆ ดังมา “ช่วยด้วย...ช่วยด้วย”
หอมน้ำที่ถูกพุธกันยาสิง มองภาพนั้นนิ่งๆ
กลางหมอกควันรอบกาย หอมน้ำยังคงหลงวนหาทางออกไม่เจอ
“หอมน้ำ”
หอมน้ำชะงัก หันขวับไปตามเสียง พอเห็นพุธกันยาเดินผ่านหมอกควันเข้ามา ก็ดีใจ
“คุณพุธ คุณมาช่วยพาหอมออกไปหรือคะ”
พุธกันยาเพียงยิ้มเยือกเย็น
“หอมไม่อยากอยู่ที่นี่เลย มันน่ากลัว”
“อีกไม่นานเธอก็จะชิน ทนเอาหน่อยนะ”
“หมายความว่ายังไงคะ”
“อีกไม่นานนัก จะมีแสงสว่างปรากฏให้เธอเห็น เธอก็รีบเดินไปหาแสงนั้นเลย เพราะมันเป็นทางออก” พุธกันยาบอก
“ทางออกจากหมอกควันนี่หรือคะ”
“ใช่ คอยดูให้ดีก็แล้วกัน ชั้นไปละ”
พุธกันยาค่อยๆ เลือนหายไป
“เดี๋ยวค่ะ คุณพุธ อย่าเพิ่งไป”
พุธกันยาเลือนหายไปในสายหมอก โดยที่หอมน้ำยังคงร้องเรียกอยู่อย่างนั้น
กลางบรรยากาศสดใสในยามเช้า หอมน้ำที่ถูกพุธกันยาสิง เดินเข้ามาในบริเวณสนามหญ้าแล้วหยุดชะงัก เมื่อเห็นสองพ่อลูกกำลังคุยกันอยู่ตรงโต๊ะสนาม จึงเบี่ยงตัวหลบแอบฟังหลังพุ่มไม้
“เราไม่ได้ทำบุญบ้านมาตั้งหลายปีแล้ว ปีนี้ผมคิดว่าจะชวนคุณพ่อทำ จะได้อุทิศส่วนกุศลให้คุณแม่ด้วย”
หอมน้ำหงุดหงิด “จะไล่แม่ให้ไปเกิดใหม่เร็วๆ น่ะซิ”
“ก็ดีเหมือนกัน วิญญาณแม่เขาจะได้ไปสู่สุคติเสียที” บุรีว่า
“อ้อ! ช่วยกันไล่ทั้งพ่อทั้งลูก” หอมน้ำหงุดหงิดมากขึ้นไปอีก
ศวัสยิ้ม “ยังมีอีกเรื่องครับ” บุรีมองศวัสเป็นเชิงถาม “เรื่องคุณอาขวัญ”
บุรีเกิดลังเล “พ่อ...”
“ผมเห็นคุณพ่อมีชีวิตชีวาขึ้นทุกครั้งที่อาขวัญมาที่บ้าน”
บุรีกำลังจะตอบ แต่หอมน้ำจงใจเดินเข้าไปเพื่อขัดจังหวะ แล้วแสร้งทำทีเป็นตกใจ “อุ๊ย! ขอโทษค่ะ”
บุรีออกอาการโล่งใจ “ไม่เป็นอะไรหนู เข้ามาเลย”
ศวัสมองเหมือนจะตำหนิ
“มีอะไรหรือเปล่า” บุรีถามขึ้น
“คือ...หอม...หอมว่าจะกลับไปอยู่หอ เพราะใกล้สอบแล้ว หอมต้องติวกับเพื่อนๆ”
“แล้วพวกนักข่าวล่ะ” คราวนี้ศวัสถาม
“หอมจะไม่หนีอีกต่อไปแล้วค่ะ หอมอยากให้เรื่องนี้จบเสียที ไม่อย่างนั้นหอมก็จะต้องซ่อนตัวไปจนตลอดชีวิต”
“หนูคิดถูก” บุรีเว้นจังหวะไปนิด สีหน้าสลดลงแว่บหนึ่ง “ถ้าหากเป็นกัลยา เขาก็คงจะทำที่หนูกำลังจะทำนี่แหละ เขาเข้มแข็งมาตลอด แต่ไม่รู้ว่าทำไม”
บุรีพูดเท่านั้นก็อึ้งไป
หอมน้ำเสียงแข็งขึ้นมาทันที
“เขาไม่ได้ตั้งใจ”
บุรีกับศวัสชะงัก
หอมน้ำรีบปรับท่าที ซื่อใสเนียนๆ “ขอโทษค่ะ ท่านสั่งหอมตั้งหลายครั้งให้บอกคุณลุงกับคุณหมอว่า ท่านไม่เคยคิดจะฆ่าตัวตาย ท่านโชคร้ายที่ทั้งโกรธทั้งตกใจจนขาดสติ ทำให้กินยา...”
ศวัสขัดขึ้น “เลิกพูดเรื่องนี้เสียที”
หอมน้ำถึงอีก “ทำไม” ศวัสมอง แล้วนิ่วหน้า หอมน้ำจึงถามต่อ “หรือคะ”
“เพราะมันไม่มีประโยชน์ ชั้นไม่อยากให้ทุกคนมัวจมอยู่แต่อดีต”
“ศ...คุณหมอ”
บุรีติงลูกชาย “ศวัส หากแม่เขาอยู่แถวๆ นี้ ได้ยินเข้าจะเสียใจ”
“ใช่ค่ะ ต้องเสียใจแน่ๆ ขอตัวไปเก็บข้าวของก่อนนะคะ”
หอมน้ำเดินไป ศวัสมองตามอย่างแปลกใจ “วันนี้มาแปลก”
บุรีคิดไปอีกอย่าง “แกคงถูกสิงมานานจนซึมซับความรู้สึกของแม่เขาเอาไว้มาก”
ศวัสยังคงมีสีหน้าครุ่นคิดอยู่อย่างนั้น
ขณะเดียวกัน เขนกำลังรวบรวมสัมภาระส่วนตัวเพิ่ม กะจะลงไปนอนข้างล่างห้องแจ่ม โดยมีแจ่มซึ่งมาอยู่เป็นเพื่อน ยืนอยู่ที่ประตูซึ่งเปิดแง้มๆ คอยดูต้นทางให้
แจ่มเร่ง “เร็วๆ ซิคะ เดี๋ยวก็กลับขึ้นมาหรอก”
เขนลนลาน ยิ่งทำโน่นทำนี่หล่นจากมือด้วยความรีบร้อน “อย่าเร่งซิ พี่แจ่ม”
มีของหล่นอีก พอก้มลงเก็บ ของอีกชิ้นก็หล่นแทน แจ่มสะดุ้งเฮือก “โอ๊ย”
เขนตกใจตาม “พี่แจ่มนี่ มาช่วยกันถือเร็วเข้า”
เขนส่งของให้แจ่มซึ่งเดินมาช่วยหอบของ
“ไปเร็ว”
“หมดแล้วหรือคะ”
เขนพยักหน้า แล้วเดินไปที่ประตู แจ่มรีบเปิดออก สองคนเจอหอมน้ำยืนมองมาด้วยสีหน้าเย็นชา
เขนกับแจ่มทำของตกจากมือหมด แจ่มนั้นตัวสั่นเทา
“ขนข้าวขนของจะไปไหน” หอมน้ำถามเสียงเย็นเยียบ
แจ่มกับเขนมองหน้ากัน กลัวจนพูดไม่ออก
“พอดีเลย หอมก็จะกลับหอเหมือนกัน เข้ามาช่วยกันเก็บของหน่อยซิ”
หอมน้ำพูดพลางเดินแทรกกลางคนทั้งสองเข้าห้องไป เขนมองหน้าแจ่ม
“เขน พี่แจ่ม เป็นอะไร” หอมน้ำหันมาถาม
แจ่มกับเขนพูดพร้อมกัน “เปล่า” / “เปล่าค่ะ”
“งั้นก็เข้ามา”
แจ่มกับเขนเดินจ๋องๆ ตามเข้าไป
ขณะที่ศวัสกับบุรีนั่งคุยกันเงียบๆ อยู่นั้น หอมน้ำกับเขนถือข้าวของมาโดยมีแจ่มช่วย
“มากันแล้ว พี่เขาจะขับรถไปส่ง”
หอมน้ำกับเขนพูดพร้อมกัน
โดยที่หอมน้ำทำเจียมเนื้อเจียมตัว “ไม่เป็นไรค่ะ”
แต่เขนโล่งใจ “ขอบคุณค่ะ”
“นักข่าวไปกันหมดแล้ว ออกไปได้เลย”
ศวัสพูดพลางเดินนำสองสาวออกไป โดยบุรีออกมาส่งตรงหน้าตึก และแจ่มถือของตามไปที่รถศวัส
อีกฟากหนึ่ง ที่ออฟฟิศสร้างศิลป์ 2000 เจคกำลังนั่งดูรูปดาราที่จะวางตัวให้เล่นหนังเรื่องใหม่อยู่กับโค้ก
“เมื่อวานน้องเอิงโทร.มาขอเล่นหนัง ผมบอกว่าต้องคุยกับคุณเจค” โค้กว่า
“ไม่ไหว เดี๋ยววางตัวไปแล้วเกิดเบี้ยวเหมือนเรื่องที่แล้วอีก”
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เจคหยิบขึ้นมาดู แล้วชะงัก
“โค้กออกไปรอข้างนอกก่อน”
โค้กมีสีหน้าแปลกใจแว่บหนึ่ง “ครับ” แล้วลุกเดินออกไป
“จะให้เรียกว่าหอมน้ำหรือกัลยาดี” เจครับสายอย่างอารมณ์ดี
หอมน้ำที่ถูกสิงโทร.จากห้องนอนในหอพัก ยิ้มออกมาด้วยรอยยิ้มของพุธกันยา
“จำร้านที่นังสุรีย์ ช้อยนิ่ม พากัลไปฝากเล่นละครกับคุณครั้งแรกได้ไหมคะ”
ร้านอาหารที่เจคกับพุธกันยาในร่างหอมน้ำนัดพบกัน เป็นร้านที่ตกแต่งค่อนข้างหรูหรา บรรยากาศดี และดูออกว่าเพิ่งได้รับการปรับปรุงใหม่ ทั้งคู่นั่งอยู่ที่โต๊ะด้านในสุด
“ร้านเปลี่ยนไปมากเหมือนกันนะคะ”
“เขาเพิ่งปรับปรุงใหม่ไม่กี่ปีมานี่เอง”
บริกรนำอาหารไทยมาเสิร์ฟให้ เป็นเมนูอาหารโปรดของพุธกันยาทั้งสิ้น ทั้งมัสมั่นไก่ และหมี่กรอบโบราณ
“อาหารดูน่ากินเหมือนเดิม แต่ไม่รู้รสชาติจะเหมือนเดิมหรือเปล่า”
เจคจัดการตักใส่จานให้ “ก็ต้องลองชิมดู จำได้ว่าคุณชอบหมี่กรอบเป็นชีวิตจิตใจ และต้องเป็นหมี่กรอบร้านนี้ด้วย”
หอมน้ำยิ้ม ขณะตักทาน โดยมีสายตาเจคมองมาด้วยความรัก
“อร่อยเหมือนเดิม” หอมน้ำมีสีหน้าเศร้าลง “นานหนักหนาแล้วที่กัลไม่ได้สัมผัสรสชาติเหล่านี้”
เจคบอกด้วยเสียงอ่อนโยน “คุณอยากกินเมื่อไหร่ก็บอก ผมจะพามา”
“ขอบคุณค่ะ” หอมน้ำเว้นไปนิดหนึ่ง แล้ววางช้อนส้อมลง “กัลคิดว่าอีกไม่นาน กัลก็จะอยู่ในร่างของหอมน้ำตลอดไปแล้ว เวลานี้จิตของเด็กนั่นอ่อนแอลงมาก จนแทบจะหาทางกลับเข้าร่างเดิมไม่ได้”
นัยน์ตาเจคเป็นประกายด้วยความดีใจ
“แต่พี่บุรีกับศวัสต้องยังไม่รู้เรื่องนี้จนกว่ากัลจะได้ครอบครองร่างของหอมน้ำโดยสมบูรณ์ และที่สำคัญที่สุด กัลจะต้องกำจัดศัตรูให้หมดก่อน เพื่อพวกมันจะได้ไม่มาทำร้ายกัลภายหลัง”
“ถ้ามีอะไรจะให้ผมช่วยก็บอกได้เลย”
“ค่ะ คุณต้องได้ช่วยกัลแน่”
สีหน้าหอมน้ำที่ถูกสิงพออกพอใจในความสุขที่รออยู่ เลยไม่ทันมองเห็นแววตามาดหมายของเจค
นักข่าว กองบรรณาธิการ ชิดขอบบันเทิง กำลังก้มหน้าก้มตาทำงาน บ้างเม้าท์มอยกันอยู่
ส่วนภายในห้องทำงาน แลเห็นวดีกำลังคุยกับเพลินพิศเรื่องที่จะสร้างละคร
“ละครเรื่องแรกที่พี่จะสร้างนี่ จะให้เพลินเป็นนางเอก”
เพลินเบิกตากว้าง รีบไหว้ด้วยความตื่นเต้นดีใจสุดๆ “อุ๊ย ขอบคุณมากค่ะคุณวดี ขอบคุณมาก เพลินตื่นเต้นจังเลย คุณวดีจะเปิดกล้องเมื่อไหร่คะ”
“น่าจะอีก 2-3 เดือน ต้องเตรียมอะไรต่อมิอะไรตั้งหลายอย่าง”
มีเสียงเคาะประตูเบาๆ ก่อนจะเห็นลิซซี่รีบร้อนเข้ามาหน้าตาตื่นเต้น
“คุณวดีขา หอมน้ำโทร.มาว่าจะแถลงข่าวเย็นนี้ค่ะ รู้สึกว่าจะโทร.ไปบอกนักข่าวทุกสำนักแล้วด้วย”
วดีตกใจ “อะไรนะ”
เพลินพิศค้อนลมแล้งอย่างหมั่นไส้ “ขนาดเพลินเป็นดาราก่อนมันตั้งนาน ยังไม่เว่อร์ขนาดนั้นเลย”
วดีนิ่งคิดสีหน้าใคร่ครวญ “หรืออาจจะไม่ใช่ตัวมัน แต่เป็น...พุธกันยา”
ลิซซี่ลูบแขน “ว๊าย ขนลุก”
“ลิซซี่ งานนี้แกไปเองเลย” วดีสั่ง
เพลินพิศสอดขึ้น “อย่าลืมต้อนให้มันจนมุมด้วยนะ พี่ลิซซี่”
ลิซซี่สยองไม่หาย “ต้อนให้มาหลอกพี่ลิซซี่เรอะคะ บรื๋อ...อ ไม่เอาด้วยหรอก”
“ลองฟังดูก่อนก็แล้วกันว่ามันจะพูดยังไง” วดีพูดเป็นงานเป็นการ
“พี่ห้อยพระพวงเบ้อเริ่มอยู่แล้ว ไม่เห็นจะต้องกลัวอะไร” เพลินพิศว่า
ลิซซี่ชักฉุน “งั้นน้องเพลินลองดูมั้ยล่ะคะ หากไม่มีอะไรเกิดขึ้น พี่ลิซซี่จะได้ทำตาม”
เพลินพิศชักฉุนเช่นกัน “เพลินไม่ใช่นักข่าวนี่คะ เพลินเป็นดารา และกำลังจะเป็นนางเอกเต็มตัวด้วย”
สีหน้าเพลินพิศปลาบปลื้ม และภาคภูมิใจอย่างยิ่ง
ฝ่ายเขนกำลังยืนคุยโทรศัพท์ที่ระเบียงหน้าห้องหอมน้ำ ปลายสายเป็นศวัส
“ตอนนี้ติดต่อเขาไม่ได้เลยค่ะ คุณหมอ ไม่รู้ว่าหายไปไหน โทรศัพท์ก็ไม่รับ เขนไม่รู้จะทำยังไง” สุ้มเสียง และสีหน้า เขนดูออกว่ากังวล และรู้สึกผิดมากๆ “เป็นความผิดของเขนเองที่มัวแต่กลัวเขา”
“ไม่ผิดหรอก ใจเย็นๆ เขาอาจจะไปธุระที่ไหน”
“ถ้าหอมมีธุระก็ต้องบอกเขนซิคะ อุ๊ย”
เขนอุทานด้วยความโล่งใจ และดีใจ เมื่อเห็นหอมน้ำเดินตรงมาพร้อมกับถุงใส่กล่องอาหาร
“มาแล้วค่ะ แค่นี้ก่อนนะคะ แล้วเขนจะโทร.มาใหม่”
เขนเก็บโทรศัพท์ แล้วขยับตัวเดินไปหา
“หอมหายไปไหนมา เขนเป็นห่วงแทบตาย”
“ไปหาคุณเจคมา”
เขนฉงน “ไปหาคุณเจค ไปหาทำไม”
หอมน้ำเปิดประตูเข้าห้องไปเลย เขนรีบตามด้วยความอยากรู้จนลืมกลัว
เมื่อเข้ามาในห้อง เขนรีบซักทันที
“ทำไมต้องไปหาคุณเจค”
หอมน้ำถอนใจแล้ววางถุงกล่องอาหารที่ซื้อจากร้านให้เขน ขณะที่ตัวเองนั่งลง
“ข้าวผัดปู หอมซื้อมาฝาก”
“หอม” เขนเรียกอีก สายตาเป็นคำถาม
หอมน้ำขัดขึ้น “เขนก็รู้ว่าหอมอยากจบเรื่องบ้าๆ พวกนั้นแค่ไหน หอมก็เลยโทร.ไปหาคุณเจคให้ช่วยหน่อย คุณเจคบอกว่าวิธีแถลงข่าวขอโทษเป็นวิธีที่ดีที่สุด เพราะเราเป็นเด็ก”
“แต่หอมไม่ได้เป็นคนทำนี่ คุณพุธต่างหาก”
“แล้วคนฟังเขาจะคิดยังไง”
เขนนิ่งอึ้ง
“หอมไม่อยากให้ใครคิดว่าหอมเป็นบ้า เรื่องจะได้จบสวยๆ หอมจะได้ออกจากวงการอย่างสบายใจ”
“ตามใจหอมก็แล้วกัน”
หอมน้ำอ้อน “เขนต้องไปด้วยนะ หอมจะได้อุ่นใจ”
เขนพยักหน้า “ได้” พลางมองหอมน้ำอย่างเพ่งพิศ “ว่าแต่นี่ใช่หอมตัวจริงหรือเปล่า”
“ทำไมถามอย่างนั้นล่ะ”
“เพราะเมื่อวานที่บ้านคุณหมอ หอมทำตัวแปลกมาก”
หอมน้ำทำถอนใจยาว “คนอื่นมองหอมเป็นตัวประหลาดหอมไม่สนใจ แต่เขน...เขนเป็นเพื่อนที่รักที่สุดของหอม เขนอย่ามองหอมอย่างนั้นเลยนะ”
หอมน้ำมองเขนด้วยสายตาเศร้าๆ เขนพยักหน้าจะเดินไปกอดเพื่อน
หอมน้ำลุกเดินไปหยิบจานมาใส่ข้าวให้เป็นเชิงตัดบท
เขนมองตามอย่างซึ้งใจ “ขอโทษนะหอมที่เขนเข้าใจผิด”
ด้านศวัสพยายามจะโทรศัพท์ถึงหอมน้ำ แต่มีเพียงสัญญาณให้ฝากข้อความ หลายครั้งเข้า ศวัสชักหงุดหงิด
“แบบนี้ต้องเป็นหอมน้ำตัวจริง ไม่ใช่คุณแม่แน่”
ด้านวดีเดินออกมาหน้าตึกพร้อมกับเพลินพิศซึ่งประจบประแจงถือกระเป๋าให้ ตามด้วยลิซซี่ถือกุญแจรถ ผู้คนในบริเวณนั้นต่างพินอบพิเทาเจ้านายกัน วดียิ้มทักอย่างเป็นกันเอง ก่อนจะหันมาทางเพลินพิศ
“รอที่นี่แหละ เดี๋ยวลิซซี่ไปเอารถมา”
ลิซซี่เดินเลยไปเอารถ
เอิงขับรถเข้ามาจอดพอดี แล้วเปิดประตูรถก้าวออกมา ด้วยสีหน้าหงุดหงิดเอาแต่ใจตัว
“ป้า ทำไมป้าไม่บอกน้องเอิงสักคำว่าจะทำละคร”
“ก็ถ้าบอก แล้วแกมีเงินลงทุนให้ชั้นหรือเปล่าล่ะ”
“แหม เอิงมีเงินที่ไหน ทุกวันนี้ก็ต้องขอป้าใช้อยู่ แต่เอิงอยากจะขอป้าเล่นเป็นนางเอก”
เพลินพิศได้ฟังถึงกับสะดุ้ง
“เอาไว้ค่อยคุยกัน”
“ไม่ค่ะ น้องเอิงอยากรู้เดี๋ยวนี้” เอิงคาดคั้นทำประสาเด็กเอาแต่ใจ
“น้องเอิง แกสะกดคำว่า มารยาท เป็นมั้ย” วดีหันมาบอกเพลินพิศ “รถมาแล้ว”
ลิซซี่ขับรถมาต่อท้ายรถเอิง ที่มองป้าด้วยสีหน้าฉงนฉงาย
“จะไปไหนกันคะ”
“ไปซื้อของ” วดีบอก
“อ๋อ! ไปช้อปปิ้ง น้องเอิงไปด้วย”
“แล้วรถเราล่ะ”
“จอดไว้ตรงนี้ก็ได้”
เอิงพูดไม่ทันจบคำดีก็เปิดประตูรถขึ้นไปนั่งด้านหลังเลย วดีถอนใจเฮือก แล้วตามขึ้นไป เพลินพิศขึ้นนั่งคู่กับลิซซี่
ลิซซี่ขับรถเลี้ยวออกมาจากซอย แล้วนึกบางอย่างได้
“ลิซซี่ลืมเรียนให้คุณวดีทราบ”
“เรื่องอะไรจ๊ะ พี่ลิซซี่” เอิงสอดอย่างสู่รู้
“ไอ้เขียวมันตายแล้วค่ะ”
วดีงง “เขียวไหน”
“ก็คนที่...เอ้อ...เข้าไปตัดต้นพุดซ้อนไงคะ”
สีหน้าแต่ละคนตกใจไม่ต่างกัน
“ตะ...ตายยังไงน่ะ” วดีตกใจไม่หาย
“ยิ่งกว่าตายหยังเขียดอีกค่ะ”
ลิซซี่เล่าว่า ค่ำวันก่อนเธอแวะไปหาเขียวที่ห้องเช่าของมัน ซึ่งช่วงค่ำผู้คนในบริเวณนั้นจึงไม่มากนัก
ลิซซี่เดินมาหยุดที่บ้านเช่า ซึ่งปิดไฟมืด มีแต่แสงไฟจากเสาไฟฟ้าภายนอกและบ้านใกล้เรือนเคียง
“เขียว...เขียว”
ไม่มีใครตอบ ลิซซี่เดินไปเขย่าประตู ปรากฏว่าติดล็อกจากภายใน มีเพื่อนบ้านคนหนึ่งตะโกนมา
“มันเก็บตัวเงียบไม่ได้ออกมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว” ลิซซี่หันไปมอง “เรียกก็ไม่ขานรับ ไม่รู้ว่าเจ็บป่วยเป็นอะไรหรือเปล่า”
“งั้นหนูเปิดเข้าไปดูดีกว่า”
เพื่อนบ้านพยักหน้า แล้วเดินเข้ามา ลิซซี่พยายามเขย่าประตู แต่ก็เปิดไม่ได้
“พังเข้าไปดีไหม”
“อุ๊ย ไม่เอา เดี๋ยวเขาไปฟ้องว่าชั้นทำลายข้าวของ ดูที่หน้าต่างซิ”
ทั้งสองเขย่าบานหน้าต่าง พบว่าหน้าต่างขยับเปิดออก
“ค่อยยังชั่ว” เพื่อนบ้านว่า
ลิซซี่ทำจมูกฟุดฟิด “ได้กลิ่นอะไรหรือเปล่า”
“นิดหน่อย ปีนเข้าไปดูซิ”
ทั้งสองคนปีนเข้าไปทางหน้าต่าง
เมื่อทั้งสองคนเข้ามาภายในห้องนั้น กลิ่นเริ่มแรงขึ้น ลิซซี่เดินไปเปิดไฟ จนเมื่อไฟสว่างขึ้น ลิซซี่กับเพื่อนบ้านร้องกรี๊ดลั่น เมื่อเห็นเขียวนั่งพิงฝา ตาเบิกโพลง ลิ้นจุกปาก ใบหน้าเขียวคล้ำ
ลักษณะเหมือนคนเจออะไรบางอย่างที่น่ากลัวถึงขีดสุด และถูกบีบคอจนตายคาที่
อ่านต่อหน้า 4
ใยกัลยา ตอนที่ 13 (ต่อ)
เมื่อฟังจบ เพลินพิศถึงกับนั่งเงียบ สีหน้าแววตาเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น แล้วค่อยๆ เบือนหน้าไปมองเบาะหลัง เห็นวดีกับเอิงก็อยู่ในสีหน้าท่าทางเดียวกัน
เอิงพูดขึ้นในที่สุด “ป้าขา ป้าว่า...เขียวถูก...ถูกผีหักคอหรือเปล่าคะ”
“อาจจะโดนโจรปล้นก็ได้” วดีเบี่ยงประเด็นทั้งที่ใจคิดอย่างเดียวกับหลาน
“แต่เขียวมันไม่มีสมบัติอะไรนะคะ โจรที่ไหนคงไม่...”
เพลินพิศแทรกขึ้น พยายามปลอบใจกันเอง “ถ้าอย่างนั้นอาจจะเคยมีศัตรู”
จู่ๆ เอิงก็พูดทะลุกลางปล้องขึ้น “ผีนั่นแหละค่ะ มันฆ่านายเขียวเพราะไปตัดต้นพุดซ้อน ต่อไปพี่ลิซซี่ ป้าวดีกับพี่เพลินต้องระวังตัวแล้ว”
วดีโมโห “เอ๊ะ นังน้องเอิง ถ้าเป็นผีจริง แกก็ต้องโดนด้วย โดนมันหมดทุกคนนี่แหละ”
“เพลินว่า เราเปลี่ยนจากช้อปปิ้งเป็นไปเข้าวัดทำบุญปัดรังควานดีกว่าค่ะ”
“ลิซซี่เห็นด้วยค่ะ เราควรทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้เขา”
“ถ้าเขาของแกหมายถึงพุธกันยาล่ะก็ อย่าหวัง ชั้นไม่มีวันส่งเสริมให้มันขึ้นสวรรค์หรอก อย่างมันต้องนรกเท่านั้น” วดีแค้นมาก
ไม่นานต่อมา ขวัญอนงค์ให้การต้อนรับเพลินพิศอยู่ในห้องรับแขกคอนโด พอฟังจบก็ถึงกับร้องขึ้น
“ต๊าย จริงเหรอ ดูซิเนี่ย อาขนลุกหมดเลย”
“น่ากลัวจริงๆ ด้วยค่ะ”
ขวัญอนงค์ครุ่นคิด “แต่อาว่าแปลกนะ ลิซซี่รู้ได้ยังไงว่านายเขียวนายเหลืองอะไรนั่น เป็นคนเข้าไปตัดต้นพุดซ้อนทิ้ง”
เพลินพิศรู้สึกตัว ถึงกับนิ่งอึ้งไป
“แล้วคุณวดีเขาไม่ได้แปลกใจอะไรเลยหรือ อาไม่อยากคิดต่อเลยว่า...ว่า...เขาจะรู้เห็นเป็นใจ”
เพลินพิศร้อนใจสุดๆ “อาขา อาอย่าเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังนะคะ เพลินกราบขอร้องล่ะ โดยเฉพาะคุณบุรี”
ขวัญอนงค์ถอนใจยาว แล้วมองจ้อง “หนูล่ะ เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วยหรือเปล่า”
เพลินพิศรีบปฏิเสธปากคอสั่น “อุ๊ย! ไม่ค่ะ หนูไม่รู้ไม่เห็นอะไรด้วยทั้งนั้น”
ขวัญอนงค์ลุกขึ้นเดินไปที่หน้าต่าง “เรื่องนี้ชักจะไม่ชอบมาพากลแล้ว”
เพลินพิศใจคอไม่ดี “เพลินไม่ควรเล่าให้อาขวัญฟังเลย”
“หนูต้องเล่า เพื่อเราจะได้ช่วยกันป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องร้ายๆ ขึ้น...หนูรู้อะไรอีก”
“ไม่รู้แล้วค่ะ” เพลินพิศตอบโดยไว
“เพลิน ถ้ารู้อะไรต้องบอกอา”
“เพลินไม่รู้อะไรจริงๆ เพลินขอตัวกลับก่อนนะคะ”
เพลินพิศลุกขึ้น
“กลับไปคิดให้ดีล่ะ”
เพลินพิศไหว้ลา แล้วเดินออกไป ขวัญอนงค์มองตามสีหน้าครุ่นคิด
เพลินพิศเปิดประตูเข้ามานั่งในรถ หงุดหงิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วยกมือตบปากตัวเอง
“นี่แน่ะ อยากพูดไม่คิด ถ้าคุณวดีรู้ มีหวังอดเป็นนางเอก”
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เพลินพิศหยิบขึ้นมาดู แล้วถอนใจเฮือก
“โทรมาพอดีเลย”
ว่าที่นางเอก สูดลมหายใจยาวเรียกความมั่นใจ แล้วรับโทรศัพท์ ทำเสียงแจ่มใส
“สวัสดีค่ะ คุณวดี มีอะไรให้เพลินรับใช้หรือเปล่าคะ”
วดีโทร.จากในห้องทำงาน ที่ออฟฟิศ และกำลังนั่งทานอาหารสุขภาพไปด้วย
“ถึงบ้านหรือยัง”
“อ๋อ! เกือบถึงแล้วล่ะค่ะ พอดีรถติด”
“เพลิน เรื่องนายเขียวต้องเป็นความลับ เข้าใจไหม”
เพลินพิศกระตือรือร้นเกินเหตุ “เข้าใจซิคะ เพลินเข้าใจตั้งแต่ต้นแล้ว”
“ดี ถึงเราจะไม่ได้ฆ่าเขา แต่พี่ไม่อยากให้มีอะไรโยงใยมาถึง”
“เพลินรับรองว่าจะปิดปากให้สนิทเลยค่ะ”
“ขอบใจนะ แล้วฟิตติ้งวันไหน จะให้ลิซซี่โทร.ไปบอก”
“ค่ะ ขอบคุณมากเลยค่ะ”
เพลินพิศวางโทรศัพท์ลง นั่งนิ่งครู่หนึ่งแล้วจึงขับรถออกไป
ดึกสงัด ในบรรยากาศค่อนข้างวังเวง ศวัสอยู่ในอาการกระสับกระส่ายนอนไม่หลับสักระยะแล้ว หมอหนุ่มพลิกไปพลิกมาอยู่ครู่หนึ่ง จึงลุกเดินมาที่หน้าต่าง มองออกไปข้างนอก
บริเวณภายนอกเงียบสงัด ทุกบ้านปิดมืดสนิท มีเพียงแสงจากเสาไฟฟ้าในซอย และตามของแต่ละบ้าน
ศวัสถอนใจยาว เดินมาทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะทำงาน เปิดไฟโคมบนโต๊ะ แล้วเปิดลิ้นชักล่าง หยิบรูปดอกหอมน้ำ ที่เขาเอาไปใส่กรอบเรียบร้อยขึ้นมาเพ่งพิศดู แล้ววางบนโต๊ะ
ศวัสเอนหลังพิงพนัก ทอดสายตามองภาพนั้นด้วยสายตาอ่อนโยน
ศวัสนึกถึงเหตุการณ์ตอนเย็นวันหนึ่ง ที่เกิดขึ้นบริเวณหลังครัวบ้านของเขา ในช่วงที่หอมน้ำยังถ่ายหนังอยู่ที่นี่
เวลานั้นทีมงานกองถ่าย กำลังถ่ายทำอยู่บริเวณสนามภายนอก ในบ้านจึงค่อนข้างเงียบ และศวัสเพิ่งกลับจากทำงานเดินเข้ามา
“หายไปไหนกันหมด”
ศวัสถอนใจเฮือก ขณะเดินชะเง้อไปในบริเวณครัว พบว่าในนั้นไม่มีใครอีกเช่นกัน เขาส่ายหน้า แล้วเดินเข้ามาเปิดตู้เย็นรินน้ำ พลางถือแก้วเดินดื่มออกไป
ขณะกำลังจะเดินผ่านมุมหนึ่ง ศวัสต้องชะงัก เมื่อได้ยินเสียงใครคนหนึ่งพูดบ่นอยู่คนเดียว
“ดิชั้นชื่อแก้วค่ะ เอ้อ...ขอโทษ คุณมาหาใคร โอ๊ย! ประโยคแค่นี้ทำไมจำไม่ได้สักที”
ศวัสถือแก้ว ค่อยๆ เดินไปชะโงกดู
พบว่าบริเวณหลังครัวนั้น หอมน้ำกำลังซ้อม ท่องบทอย่างเอาจริงเอาจัง แต่ภาพที่ออกมาเหมือนหุ่นยนต์เล่นหนัง หน้าตาก็ไม่ได้อินไปตามบท แขนขาเก้งก้างไม่รู้จะเก็บไว้ที่ไหน แถมพูดบทเหมือนเด็กท่องอาขยาน
สีหน้าศวัสปรากฏริ้วรอยขำขันอย่างช่วยไม่ได้
หอมน้ำเอียงคอยิ้มตามบท แต่ภาพออกมาน่าขัน “สวัสดีค่ะ คุณมาหาใครคะ โอ๊ย! ผิดอีกแล้ว”
“ชั้นช่วยซ้อมให้เอาไหม”
หอมน้ำสะดุ้งเฮือก หันมามอง เห็นหมอฟันทันตแพทย์ขี้เก๊ก ยืนกอดอกหน้าตาย
“คุณหมอฟันทัน...”
ศวัสยกมือห้าม “พอ”
หอมน้ำรีบหยุดทันที
“หมอฟันก็คือทันตแพทย์อยู่แล้ว จะต้องพูดย้ำทำไมให้ยาวเยิ่นเย้ออีก”
หอมน้ำรีบไหว้ “ขอโทษค่ะ คือว่า...มันติดปาก”
ศวัสขยับเดินเข้ามา “ผู้ใหญ่เตือนอะไรก็ต้องฟัง ไม่ใช่เถียงหรือแก้ตัว”
“หอมไม่ได้เถียง...” ยังพูดไม่ทันจบคำ
ถูกศวัสขัดขึ้นทันที “นั่นแหละเขาเรียกว่าเถียง”
หอมน้ำจ๋อยสนิท “ค่ะ”
ศวัสยื่นมือออกไป “ส่งมานี่”
หอมน้ำรีบส่งบทให้ทันทีตามคำสั่ง
นึกขึ้นมาแล้ว ศวัสดึงตัวเองกลับมา ยิ้มนิดๆ สีหน้าแววตาออกอาการเอ็นดูอย่างเห็นได้ชัด
สายตามองจ้องที่ภาพดอกหอมไม้นิ่ง นึกถึงเรื่องราวนั้นต่อ
โดยถัดมาศวัสก้มลงอ่านบท แล้วเงยหน้าขึ้นอธิบาย
“ชั้นเป็นคุณไอยเอง ส่วนเธอก็ตั้งใจหน่อย”
“ได้ค่ะ”
“5...4...3...2 สวัสดีครับ ผมมาหาคุณปราย”
หอมน้ำยืนทื่อเบิ่งตา มองศวัสอย่างทึ่งๆ
ศวัสมองท่าทางหอมน้ำอย่างหงุดหงิดรำคาญ “หอมน้ำ”
หอมน้ำสะดุ้ง “คะ”
“เป็นอะไรน่ะ”
“เอ้อ...ทึ่งค่ะ หอมทึ่งที่คุณหมอฟัน...เอ้อ...คุณหมอเล่นเก่งยังกับมืออาชีพ”
ศวัสเริ่มหน้าบึ้ง หอมน้ำรีบเอาใจ กลัวโดนดุอีก
“สงสัยคงจะเก่งเหมือนคุณพุธกันยา”
นอกจากไม่ปลื้มศวัสยิ่งโกรธจนหน้าเขียวหน้าเหลือง แล้วโยนบทลงที่เก้าอี้ “อย่าพูดอย่างนี้อีก”
ศวัสเดินจากไป หอมน้ำมองตามงงๆ
“คุณหมอ”
นึกถึงตอนนี้ ศวัสถอนใจยาว
เสียงวิญญาณหอมน้ำดังขึ้น “ช่วยด้วย...ช่วยด้วย”
ศวัสรีบเดินไปที่หน้าต่าง แล้งมองลงไป แลเห็นว่ามีหมอกลางๆ กลุ่มหนึ่งบริเวณหน้าบ้าน โดยมีเงาของใครคนหนึ่งในนั้นในลักษณะพยายามหาทางออก ศวัสหลับตาลงแล้วเพ่งมองอีกที ภาพนั้นยังคงอยู่ ศวัสขยี้ตามองอีก ภาพนั้นก็ยังอยู่
ชายหนุ่มรีบเดินไปที่ประตู เปิดออกไปทันที
ใยกัลยา ตอนที่ 14 (ต่อ)
ศวัสเดินดุ่มเข้ามายังสนามหญ้าบริเวณที่เห็นภาพนั้น สีหน้าเต็มไปด้วยความงงงัน เมื่อกลุ่มหมอกหายไปจนสิ้น เขาสอดสายตามองหารอบๆ
“หายไปไหน”
ศวัสพยายามมองหาเท่าไหร่ก็ไม่พบ
“จะว่าตาฝาดก็ไม่ใช่”
ศวัสมองหาอีกรอบ แล้วเดินเหลียวซ้ายแลขวา อย่างค้นหาไปเรื่อยๆ ทั่วบริเวณนั้นๆ ไม่มีสิ่งใดผิดปกติ
ซุ้มพุดซ้อนตกอยู่ในแสงสลัวจากโคมไฟบริเวณนั้น แต่ก็พอเห็นว่าต้นพุดซ้อนแตกใบมากขึ้น และดูแข็งแรงขึ้นมาก
ศวัสเดินเข้ามาในนั้น จดสายตามองไปทุกมุมอย่างพิจารณา แต่ทั่วบริเวณนั้นไม่ปรากฏสิ่งมีชีวิต หรือความเคลื่อนไหวใดๆ
ศวัสลังเลเล็กน้อย “คุณแม่ครับ คุณแม่อยู่แถวนี้หรือเปล่า”
ทุกอย่างเงียบสงัด ศวัสยืนอยู่ครู่หนึ่งแล้วหันกลับไปทางตึก แล้วต้องสะดุ้งสุดตัว เมื่อเห็นใครคนหนึ่งยืนมองผ่านกระจกมาจากในบ้านกลางแสงสลัวเกือบมืดนั้น
ศวัสยังคงตกตะลึงมองจ้อง ใครคนนั้นยังคงจ้องมองมาอีกครู่หนึ่ง แล้วค่อยๆ เคลื่อนหายไป
จนศวัสรู้สึกตัว เขารีบเดินไปที่กระจก พยายามมองผ่านเข้าไป แต่เข้าไม่ได้เนื่องเพราะประตูล็อคจากข้างใน
หมอหนุ่มรีบเดินอ้อมไปทางด้านหน้า
ศวัสเปิดประตูเข้ามา ปิดล็อค แล้วเปิดไฟ บริเวณนั้น สว่างขึ้น ศวัสมองหาแล้วเดินเลยไปยังห้องต่างๆ เพื่อหาใครคนนั้น โดยเปิดไฟทุกห้องและทุกมุมที่ผ่าน เขาเดินสำรวจอยู่พักหนึ่ง จึงกลับขึ้นห้องนอน
ในบรรยากาศสดใสสวยงามยามเช้า ไม้ดอกเบ่งบาน ไม้ใบสะบัดในสายลมอ่อนๆ
ศวัสพาบุรีเดินเข้ามาตรงจุดในบริเวณที่เขาเห็นกลุ่มหมอกควันเมื่อตอนกลางคืน
“ตรงนี้แหละครับ ที่ผมเห็นกลุ่มหมอกควัน แล้วก็ได้ยินเสียงร้องให้ช่วยเมื่อคืน”
บุรีมองไปรอบๆ “ไม่เห็นมีวี่แววอะไรเลย ตาฝาดหรือเปล่า”
“ไม่ฝาดแน่นอนครับ ทั้งหูทั้งตา” หมอหนุ่มยืนยัน
บุรีหันมามองลูกชาย “แล้วผู้หญิงที่แกเห็น...”
ศวัสถอนใจ “ผมไม่อยากพูดอย่างนี้เลย แต่ผู้หญิงคนนั้นเหมือนคุณแม่เหลือเกิน ถึงจะเห็นหน้าไม่ชัดเพราะมันมืด แต่ลักษณะใช่”
มีเสียงดังขัดจังหวะขึ้น “พี่หมอ...พี่หมอขา...พี่หมอ”
สองคนพ่อลูกหันไปมองพร้อมๆ กัน เห็นเอิงเดินอย่างเร็วรี่เข้ามาหาทั้งคู่ พร้อมด้วยตะกร้าใส่อาหารเพื่อสุขภาพในมือ
บุรีแซวลูกชายด้วยสีหน้าขำๆ “เจ้ากรรมนายเวรของแกมาแล้ว”
ครู่ต่อมาทั้งหมดพากันเดินเข้ามาในห้องรับแขก มีเอิงพูดแจ้วๆ มาตลอดทาง แขนคล้องตะกร้าใส่อาหารสุขภาพใบนั้น
“น้องเอิงทำอาหารสุขภาพมาให้คุณพ่อกับพี่หมอค่ะ”
ศวัสกับบุรีสะดุ้งเฮือก ขณะแจ่มรีบเข้ามารับตะกร้า
แต่ถูกเอิงแหวใส่ทันที “ไม่ต้อง” แล้วหันมาจ๊ะจ๋ากับสองพ่อลูก น้ำเสียงอ่อนหวานว่า “มีบุกด้วยค่ะ”
บุรีถามหน้าตาย “ใครบุกนะ”
ศวัสกลั้นหัวเราะเต็มที่ ขณะที่เอิงค้อนขวับ แล้วรีบอธิบาย
“บุกค่ะ หัวบุกที่เขาใช้แทนแป้ง มีเส้นใยอาหารเยอะ”
เอิงพูดพลางวางตะกร้าลงบนโต๊ะ
“เอ๊ะ นี่รับประทานอาหารเช้ากันหรือยังคะ” เอิงมองหน้าศวัส
“ยังเลยครับ คุณเอิงจะทานด้วยกันไหม แต่ต้องออกตัวก่อนนะครับว่า เป็นอาหารธรรมดา ไม่ได้เน้นสุขภาพอะไรมากมาย”
“ไม่เป็นไรค่ะ เอาไว้น้องเอิงเข้ามาอยู่ด้วยเมื่อไหร่ น้องเอิงจะทำอาหารสุขภาพให้พี่หมอกับคุณพ่อรับประทานทุกมื้อเลย”
สองคนพ่อลูกสะดุ้งกันอีกครั้ง
สามคนนั่งประจำที่ แจ่มยกอาหารเช้ามาเสิร์ฟให้ทุกคน
เอิงหันมาสั่งแจ่ม “เดี๋ยวขอน้ำส้มคั้นสดๆ ด้วยนะ”
“ค่ะ”
เอิงหันมายิ้มกับสองพ่อลูก “เมื่อกี้คุณพ่อกับพี่หมอกำลังดูอะไรกันหรือคะ เห็นใจจดใจจ่อ”
เอิงถามพลางใช้ช้อนคนข้าวต้ม แล้วตักขึ้นมาทาน
“ดูร่องรอยผีครับ” ศวัสพูดหน้าตาย
เอิงร้องลั่น ช้อนตกจากมือ “ผะ...ผะ...ผีที่ไหนคะ”
“ที่บ้านนี่ไงครับ” ศวัสบอก
“พี่หมอหมาย...หมายถึงผีคุณแม่”
ศวัสแย้งอย่างอดไม่ได้ “คุณแม่ผมเป็นดวงวิญญาณ ไม่ใช่ผีในความหมายที่คุณพูด”
เอิงรู้สึกตัว “อุ๊ย ขอประทานโทษค่ะ”
บุรีเอ่ยขึ้น “บ้านนี้ผีดุ”
เอิงสะดุ้ง
“คนที่อยู่ที่นี่ทุกคนต้องเจออะไรแปลกๆ ทั้งนั้นเลย” บุรีสำทับ
เอิงกลืนน้ำลาย ถามเสียงเบา “เหรอคะ”
บุรีพยักหน้าหนักแน่น “ทีแรกก็ไม่เชื่อ แต่ตอนนี้เชื่อสนิท บางคืน...อยู่ดีๆ หมาก็หอนกันทั้งซอย”
ศวัสลอบมองหน้าพ่อขำๆ ขณะที่เอิง ดูขนลุกขนชัน และหวาดกลัวชัดแจ้ง
ขณะเดียวกัน เยาวภานั่งกินข้าวต้มเงียบๆ อยู่ในครัว แววตาครุ่นคิด แจ่มเดินเข้ามา พร้อมถาดวางถ้วยชามที่กินกันเสร็จแล้ว พอเห็นเยาวภาสีหน้าก็ตื่นเต้นทันที
“คุณแม่บ้านคะ เมื่อคืนคุณหมอโดนผีหลอก”
เยาวภาเหยียดยิ้มมุมปาก
“คุณแม่คงไม่พอใจคุณลูก ที่จะหาเมียใหม่ให้คุณพ่อล่ะซิ”
“ไม่น่าจะใช่นะคะ”
เยาวภาของขึ้นสวนคำทันที “ทำไมจะไม่ใช่ ชั้นรู้ว่าต้องใช่แน่ๆ”
เยาวภานึกถึงเหตุการณ์ตอนตัวเองแต่งตัวเลียนแบบพุธกันยา ก้าวมาหยุดยืนที่ประตูกระจกในบ้าน มองออกไปเห็นศวัสอยู่ตรงซุ้มพุดซ้อนด้านนอก
แจ่มงุนงงสงสัย “คุณแม่บ้านทราบได้ยังไงคะ”
“ชั้นรู้ก็แล้วกัน”
“แต่ที่แจ่มได้ยินคุณหมอเล่าให้ฟังคุณผู้ชายฟัง เห็นบอกว่ามีกลุ่มหมอกควันที่สนาม แล้วก็มีเงาผู้หญิงรางๆ ในนั้น”
เยาวภาผินหน้ามามองแจ่มอย่างประหลาดใจ
ขณะเดียวกันหอมน้ำที่ถูกพุธกันยาสิง กำลังเปิดตู้หยิบเสื้อและกระโปรงออกมาทาบตัว โดยมีเขนมองอยู่
“ชุดนี้เป็นยังไงเขน”
“หอมจะใส่ไปแถลงข่าวใช่ไหม”
หอมน้ำพยักหน้า
“เขนว่าสวยดี”
“ไม่เรียบร้อยไปหน่อยเหรอ”
“อ้าว! หอมเคยชอบชุดนี้มากที่สุดเลยนี่”
หอมน้ำยังจ้องมองในกระจก “ไม่รู้ซิ ตอนนี้หอมไม่ค่อยชอบแล้ว”
เสียงโทรศัพท์หอมน้ำดังขึ้น เธอวางเสื้อลง แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมารับ
“สวัสดีค่ะ คุณเจค”
เขนมองอย่างประหลาดใจ ที่วิธีและท่าทางหอมน้ำขณะพูดดูสนิทสนมกับเจคมาก
“หอมกำลังลองชุดอยู่กับเขน อ๋อ ! ดีซิคะ ขอบคุณมากเลยค่ะ ค่ะ แล้วหอมกับเขนจะเตรียมตัวให้พร้อม”
หอมน้ำวางสาย แล้วหันมายิ้มกว้างกับเขน
“คุณเจคโทร.มา บอกว่าเดี๋ยวจะให้พี่อุมากับพี่โค้กเอาชุดสำหรับใส่แถลงข่าวตอนบ่ายวันนี้มาให้”
เขนประชดเล็กๆ “ใจดีจัง เขนแปลกใจว่าทำไมต้องเลื่อนงานแถลงข่าวมาเป็นบ่ายวันนี้”
“ก็บอกแล้วไม่ใช่หรือว่า คุณเจคอยากให้หอมมีเวลาเตรียมตัวบ้าง เพราะหอมยังใหม่มาก” หอมน้ำเดินมานั่งใกล้ๆ เขน “ขอบใจนะเขนที่อยู่กับหอมตลอดเวลา หอมมีบางอย่างจะปรึกษาเขน”
เขนมองฉงน “อะไร”
หอมน้ำทำทีเป็นถอนใจ แล้วก้มลงมองมือตัวเอง “หอมว่าจะยอมเล่นหนังเรื่องต่อไปให้คุณเจค”
เขนตกใจ “หอม”
“หอมรู้ว่า หอมเคยประกาศว่าจะเลิกเล่นหนัง แต่..คุณเจคดีกับหอมมาก ให้คำปรึกษาและความช่วยเหลือทุกอย่าง”
เขนแดกดัน “ก็เลยอยากจะตอบแทนบุญคุณงั้นซิ”
หอมน้ำพยักหน้า
เขนถอนใจ “ตามใจ มันเป็นเรื่องของหอม หอมตัดสินใจเองละกัน”
“ขอบใจนะเขน”
เขนพยักหน้า แล้วนึกขึ้นได้ “ว่าแต่หอมไม่กลัวคุณหมอโกรธเหรอ”
หอมน้ำยิ้มด้วยรอยยิ้มเอื้อเอ็นดูคนที่พูดถึง น้ำเสียงเหมือนแม่เอ็นดูลูก
“ถึงจะโกรธ แต่พอเวลาผ่านไป เขาได้เข้าใจอะไรมากขึ้น ก็จะหายโกรธเอง”
เขนมองหอมน้ำด้วยแววตาประหลาดใจ
โค้กขับรถมาตามทาง โดยมีอุมานั่งมาข้างๆ อุมาคอยลอบมองสีหน้าบึ้งตึงของโค้กเป็นระยะๆ และพูดขึ้นในที่สุด
“ไม่อยากมาเหรอพี่โค้ก”
“เออ”
อุมาเหน็บ “หึงล่ะซิ”
“หน้าอย่างชั้นจะมีหน้าไปหึงใคร”
“คิดได้อย่างนั้นก็ดี”
โค้กพาลแล้ว “ทำไม ชั้นมันทุเรศนักเรอะไง”
“เฮ้ย ยังไม่ได้ว่าอะไร” อุมาเซ็ง
“เออ! ไม่รวยมั่งก็แล้วไป”
โค้กขับรถเข้ามาจอดบริเวณลานจอดรถหน้าหอพักหอมน้ำ
อุมาหันมาถาม “ไม่ลงไปแน่นะ”
“ไม่”
อุมาก้าวลงมา แล้วเปิดประตูหลังหยิบชุดของหอมน้ำซึ่งมีพลาสติกคลุมเรียบร้อยออกไป ส่วนโค้กยังคงนั่งหน้าบึ้งตึงขุ่นเคืองอยู่อย่างนั้น
บรรยากาศในห้องแถลงข่าวที่ออฟฟิศสร้างศิลป์บ่ายคล้อยวันนี้ คลาคล่ำไปด้วยบรรดานักข่าว ตากล้อง หนังสือพิมพ์ ทีวี และสื่อออนไลน์แทบทุกสำนักข่าว ออกันอยู่เต็มพื้นที่ล่วงหน้าราวชั่วโมงแล้ว บนโต๊ะแถลงข่าวมีไมโครโฟน เทปอัดเสียง และไมค์รวมวางอยู่เพียบ
บรรดานักข่าวจอมเผือก วิพากษ์วิจารณ์กันเซ็งแซ่อยู่พักหนึ่ง แล้วค่อยๆ เงียบลงทีละเสียงสองเสียง
ทุกคนหันไปดูทางประตู เห็นหอมน้ำในชุดสวยงาม สดใสสมวัยเดินออกมา ตามด้วยเขน และเจค เขนกับหอมน้ำจับมือกันแน่น ทุกคนนั่งลง เจคเริ่มแถลงข่าว
“สวัสดีครับ พี่น้องสื่อมวลชนทุกท่าน ปกติผมจะไม่ค่อยออกมาให้สัมภาษณ์หรือออกมาอยู่หน้ากล้องสักเท่าไหร่ แต่วันนี้ ผมมีความจำเป็นจริงๆ ที่จะต้องออกมาเพื่อขอโอกาสให้นักแสดงในความรับผิดชอบของผมได้มาอธิบายเรื่องราวต่างๆเกี่ยวกับเธอที่กำลังเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันในขณะนี้ เพื่อความเข้าใจอันดีของทุกๆ ท่าน” เจคหันมาทางหอมน้ำแล้วพยักหน้า “เชิญ”
หอมน้ำซึ่งถูกพุธกันยาสิง จึงแสดงออกมาได้แนบเนียนสุดๆ เธอยกมือไหว้ทุกคนอย่างนอบน้อม กิริยาน่ารัก สีหน้าเศร้า
“ก่อนอื่น หอมต้องกราบขอโทษทุกท่านที่ทำให้วุ่นวายกันไปหมด รวมทั้งคุณวดีที่หอมอยากจะกราบเรียนว่า หอมเสียใจจริงๆ ที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ทำให้ท่านต้องไม่สบายใจ”
หอมน้ำพูดพร้อมกับไหว้อีกครั้ง
อีกฟาก ทั้งสองคนกำลังดูการแถลงข่าวของหอมน้ำที่ถ่ายทอดสดออนไลน์ในจอคอมพ์ ที่ห้องทำงานของวดี
“อุ๊ย! มันขอโทษคุณวดีด้วยค่ะ”
วดีค้อนควักอย่างหมั่นไส้ “ดราม่า”
เพลินพิศหมั่นไส้ “ดู๊...ดูมันบีบน้ำตาทำเป็นน่ารักน่าสงสาร”
“ปิดซะ”
“ค่ะ” เพลินพิศปิดหน้าจอคอมทันทีอย่างเอาอกเอาใจ
วดีนั่งนิ่งในสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด “พี่ว่าไม่ใช่หอมน้ำตัวจริงหรอก”
เพลินพิศชะงัก เสียงสั่น “ผะ...ผะ...ผี...ผีเหรอคะ”
“วิธีพูด วิธีตอบคำถามของมันเหมือนกัลยาไม่มีผิด”
“แล้วหอมน้ำไปไหน”
“ก็คงกลายเป็นผีแทนกัลยาล่ะซิ” วดีเค้นเสียงหัวเราะนิดหนึ่งขณะเอ่ยประโยคต่อมา
“ให้มันมีตัวตนจับต้องได้อย่างนี้แหละดี จะได้ไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบ”
อ่านต่อตอนที่ 14