xs
xsm
sm
md
lg

ลีลาวดีเพลิง ตอนที่ 13

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ลีลาวดีเพลิง ตอนที่ 13

ทรงพลกับศุภารมย์นั่งรอที่โต๊ะอาหาร ครู่หนึ่งวรรณิตก็เดินเข้ามานั่งร่วมโต๊ะด้วยสีหน้าเคร่งเครียดก่อนที่อนันยชจะเดินมาจากอีกทาง ก่อนจะเข้ามานั่งร่วมโต๊ะ ศุภารมย์สังเกตเห็นว่าอนันยชไม่สนใจวรรณิตเลยแม้แต่น้อย

วรรณิตทนอึดอัดไม่ไหว ขอตัวเดินเลี่ยงออกไป ศุภารมย์รีบหันมาถามอนันยชทันที
“วัน ลูกกับหนูณิตมีอะไรกันหรือเปล่า?”
“ผมน่ะอยากมี แต่สงสัยเธอคงจะไม่ ทำไมเหรอครับ?”
ศุภารมย์ขัดใจที่เขาเอาแต่พูดเล่น ทรงพลเห็นบรรยากาศไม่ค่อยดี รีบพูดขัดขึ้น
“ไม่ทำไมหรอก แม่เค้าเห็นวันไม่ค่อยสนใจหนูณิตเลย”
“ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมก็เห็นว่าทุกอย่างปกติดี”
“วัน คนเป็นสามีภรรยากันควรจะเห็นอกเห็นใจ เป็นห่วงกันสิ นี่อะไรเอาแต่กินข้าวไม่สนใจหนูณิตเลย
วัน ได้ยินที่แม่พูดมั้ย?”
ศุภารมย์มองอนันยชอย่างหนักใจ

ฝ่ายวรรณิตก็เดินร้องไห้เข้ามาในห้องนอน ก่อนจะเดินไปเปิดลิ้นชักที่เก็บกล่องเครื่องเพชรของศุภิสราออกมา
“ถ้านี่จะเป็นทางเดียวที่ทำให้แม่หาย”

ลิลินยังคงนอนนิ่งอยู่บนเตียง ทิวัตถ์กำลังจัดดอกไม้ใส่แจกัน พร้อมพูดให้กำลังใจอย่างเศร้าๆ
“อดทนหน่อยนะ อีกไม่นานเดี๋ยวคุณก็จะหาย ผมจะอยู่ตรงนี้เป็นเพื่อนคุณเอง”
พูดพลางเผลอทำดอกไม้หลุดมือ ก่อนจะย่อตัวลงไปเก็บ พร้อมกับเสียงของลิลินแว่วมาอย่างแหบพร่า
“ หิวน้ำ”
ทิวัตถ์ ตกใจ รีบลุกขึ้นมาดูให้แน่ใจว่าไม่ได้หูแว่ว ลิลินเริ่มกระดิกตัว พร้อมกับค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา
“ฉันหิวน้ำ”
ทิวัตถ์ยิ้มดีใจ
“หิวน้ำเหรอ? เดี๋ยวผมเอาให้นะ”
พลางรีบหันกลับไปรินน้ำใส่แก้ว แล้วปักหลอดให้ “ค่อยๆ ทานนะ”
ลิลินดื่มน้ำเสร็จ ก็ค่อยๆ มองรอบๆ “ที่นี่ ที่ ไหน?”
“โรงพยาบาล”
“ฉันมาที่นี่ได้ยังไง? เกิดอะไรขึ้นทำไมฉันเจ็บไปหมดเลย”

“คุณจำอะไรไม่ได้เลยเหรอ คุณนั่งรถมากับคุณวิทยา จากนั้นรถเกิดอุบัติเหตุ บังเอิญผมไปเจอ ก็เลยพามาที่นี่”
ลิลินขมวดคิ้ว “คุณวิทยา คุณวิทยา คือใคร? แล้วคุณเป็นใคร?”
ทิวัตถ์ตกใจ “คุณ คุณว่าอะไรนะลิลิน”
“ลิลิน? ชื่อฉันเหรอ? โอ๊ย ทำไมฉันนึกอะไรไม่ออกเลย โอ๊ย “

ทิวัตถ์ถึงกับมือไม้อ่อนไม่มีแรง ปล่อยแก้วน้ำหลุดจากมือ ขณะที่ลิลินกุมขมับอย่างทรมาน

“คนไข้ได้รับความกระทบกระเทือนบริเวณศีรษะอย่างรุนแรง ทำให้สมองบวมจนไปกดทับเส้นประสาทเลยทำให้คนไข้ยังจำอะไรไม่ได้ ถ้าสมองหายบวมคนไข้อาจจะหายกลับมาเป็นปกติ” หมอเล่าอาการให้ฟัง ทิวัตถ์รีบถามต่ออย่างเป็นห่วง

“แล้วแบบนี้เธอจะกลับมาเป็นปกติได้เมื่อไหร่ครับ?”
“เรื่องนี้หมอคงบอกอะไรคุณไม่ได้ คงต้องให้เวลาเธอหน่อย เพราะระยะเวลาของอาการแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางทีก็เดือนนึง 3 ปี แต่ถ้าแย่จริงๆ เธออาจจะจำอะไรไม่ได้เลยตลอดชีวิต”

ทิวัตถ์เปิดประตูเข้ามาหาในห้อง ก่อนจะฝืนยิ้มให้ลิลิน
“ฉันไม่ชอบเลยที่ตัวเองจำอะไรไม่ได้แบบนี้ มันเกิดอะไรขึ้นกับฉันกันแน่คะ คุณช่วยเล่าให้ฉันฟังหน่อยได้มั้ย?”
“คุณประสบอุบัติเหตุรถคว่ำ แล้วผมเป็นคนพาคุณมาส่งโรงพยาบาล”
ลิลินครุ่นคิดสงสัย “แล้วฉันรู้จักกับคุณเหรอ?”
ทิวัตถ์พยักหน้าเศร้าๆ
“ใช่ คุณกับผมเราผ่านอะไรหลายอย่างมาด้วยกัน”
“แล้วคุณเป็นอะไรกับฉัน?”
“ผมเป็นคนที่คุณโกรธ เกลียด และผมเป็นคนที่ทำให้คุณเสียใจ”
“แล้วคุณช่วยฉันไว้ทำไม?”
ทิวัตถ์นิ่งไปก่อนจะตอบ “เพราะว่าผม รักคุณ”
พอลิลินได้ยินก็ปวดหัวจี๊ดขึ้นมาอีก

เช้าวันรุ่งขึ้น ศักดิ์สิทธิ์ลงมาหาวิชนีในครัว พลางพูดอ้อนให้เธอทำอาหารให้ ฝ่ายหลังยิ้มอย่างเขินๆ ก่อนจะตัดสินใจถาม เพื่อความแน่ใจ
“เมื่อวานนี้ที่นายพูดจริงเหรอ? ที่บอกจะไม่เอาเงินจากอาม่า”
ศักดิ์สิทธิ์พยักหน้า
“เธอรู้มั้ยว่าเพราะอะไร? เพราะฉันมั่นใจว่าถ้ามีเธออยู่ข้างๆ ฉันแบบนี้ ไม่ว่าจะเจอปัญหาอะไร เราจะผ่านทุกอย่างไปด้วยกันได้แน่นอน”
“แต่นายก็ไม่น่าจะไม่รับความช่วยเหลือจากอาม่าเลยนี่”
ศักดิ์สิทธิ์สบตาวิชนีอย่างจริงใจ
“ตลอดชีวิตฉันอยู่แต่ครอบครัวใหญ่ ที่ฉันต้องคอยทำตามคำสั่งของอาม่า แต่จากนี้ไปขอให้เธอเชื่อในตัวฉันเหมือนที่ฉันเชื่อในตัวเธอ ต่อจากนี้ไปฉันจะดูแลเธอเอง”
พูดพลางจับมืออีกฝ่ายขึ้นมา “จะเป็นไรมั้ยถ้าฉันจะขอดูแลเธอไปตลอดชีวิต”
วิชนียิ้มเขิน ยังไม่ทันตอบอะไร ปกติก็วิ่งเข้ามาส่งเสียงดัง
“คุณหนูครับ เกิดเรื่องใหญ่แล้วครับคุณหนู คุณลินครับ คุณลินรถคว่ำ”

วิชนีกับศักดิ์สิทธิ์ตกใจ

ศักดิ์สิทธิ์กับวิชนีเดินเข้ามาที่โรงพยาบาล ก่อนจะแปลกใจที่เห็นทิวัตถ์ยืนอยู่หน้าห้องของลิลิน

“ไม่ต้องมาพูดเลยไอ้วิน เกิดเรื่องอย่างนี้ทำไมแกไม่โทรบอกฉันสักคำ”
ทิวัตถ์หน้าเครียด “โทษทีว่ะ ทุกอย่างมันวุ่นวายไปหมด”
“เกิดอะไรขึ้นคะ”
“ผมผ่านไปเห็นรถคุณวิทยาคว่ำก็เลยเข้าไปช่วย แล้วผมก็เห็นคุณลินนอนสลบอยู่”
“แล้วทั้ง 2 คนนั้นปลอดภัยใช่มั้ยวะ?”
ทิวัตถ์ถึงกับชะงักไป “คุณวิทยาตายแล้ว”
วิชนีกับศักดิ์สิทธิ์ยิ่งตกใจหนัก
“แล้วตอนนี้คุณลินฟื้นหรือยัง?”
ทิวัตถ์นิ่งไป สีหน้ากังวล
“คุณลินฟื้นแล้ว แต่ยังจำอะไรไม่ได้ หมอบอกว่าคุณลินได้รับแรงกระแทกอย่างแรง ทำให้เสียความ
ทรงจำ”
วิชนีกับศักดิ์สิทธิ์ได้ยิน ก็ถึงกับนิ่งอึ้ง

จากนั้นทิวัตถ์ก็พาทั้งคู่เข้ามาในห้อง ลิลินที่ยืนเหม่อมองไปที่ระเบียง หันมองวิชนีกับศักดิ์สิทธิ์อย่างสงสัย
“ฉันรู้จักคุณ แต่ฉันนึกไม่ออก”
“นี่นีเองไง เราพักห้องเดียวกัน ฉันเป็นคนทำอาหารให้เธอกินทุกมื้อ เธอยังชอบว่าฉันเลยว่าจะขุนให้เธออ้วนไปถึงไหน”
ลิลินนิ่งนึกไป แล้วจู่ๆ อาการปวดหัวก็กำเริบขึ้นอีก ทิวัตถ์ตัดบท
“ผมว่าให้คุณลินอยู่คนเดียวก่อนดีกว่า”
วิชนีมองตามลิลินตาละห้อย ก่อนจะเดินออกจากห้องไปพร้อมกับศักดิ์สิทธิ์ และทิวัตถ์

ศักดิ์สิทธิ์มองทิวัตถ์ที่ดูอิดโรย ก็ถามอย่างเป็นห่วง
“ตั้งแต่เกิดเรื่อง แกกลับบ้านบ้างหรือยังวะ?”
ทิวัตถ์ส่ายหน้า “ฉันอยากอยู่ให้แน่ใจว่าเธอไม่เป็นอะไร”
วิชนีรีบเสนอ

“เอางี้มั้ยคะ คุณวินกลับบ้านไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน ทางนี้เดี๋ยวนีกับคุณสิทธิ์ดูแลเองค่ะ”

วาสนามองลอดกระจกห้องคนป่วยของสาให้แน่ใจว่าไม่มีใคร ก่อนจะเปิดประตูเดินเข้าไป

สาที่นอนอยู่ หันมาเห็นก็รีบยกมือไหว้ ก่อนจะพูดทักด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหอบ
“อ้าวพี่น้อย หวัดดีจ้ะ”
“ได้ข่าวว่าอาการทรุดหนักเหรอ แต่ไม่ต้องห่วงนะ เดี๋ยวก็จะได้ไปสบายแล้ว”
พูดพลางเดินมาจับสายต่างๆ ที่ระโยงรยางอยู่
“พี่น้อยเจอปรางมันบ้างมั้ย?”
“ตอนนี้แกอย่าเพิ่งถามถึงคนอื่นเลย” วาสนาเข้ามากระซิบข้างหู “นึกถึงพ่อแก้วแม่แก้วไว้ดีกว่า”
สาได้ยินที่วาสนาพูดก็ตกใจ
“ทำไมพี่น้อยพูดแบบนี้ล่ะจ๊ะ”
“แกมันก็เหมือนเสี้ยนเล็กๆ อันนึงที่คอยทิ่มตำฉัน”
วาสนาพูดพร้อมกับหยิบหมอนที่โซฟาขึ้นมาก่อนจะเอาหมอนปิดหน้าสา
“คนอย่างแกอยู่ไปก็รกโลก สร้างแต่ปัญหาให้ฉันไม่จบไม่สิ้น แกน่าจะดีใจนะ ที่ฉันมาช่วยส่งให้แกไปสบายเร็วขึ้นอีกนิด”
สาดิ้นทุรนทุราย ร้องเสียงอู้อี้ พลางพยายามเอามือปัดป้องแต่ก็สู้แรงวาสนาไม่ไหว ก่อนจะค่อยๆหายใจแผ่วลงๆ แล้วหมดลมหายใจไป

นนพกรก็เดินเข้ามาในบ้าน พลางมองซ้ายมองขวาก่อนจะส่งซองสีน้ำตาลให้วรรณิต พออีกฝ่ายรับมาเปิดออกดูก็แปลกใจ
“ทำไมได้เท่านี้ล่ะ ของเก่ามันต้องมีราคามากกว่านี้สิ แกแอบเอาเงินฉันไปใช่มั้ยฮะไอ้นพ”
นพกรยิ้มหยัน
“เอ้าก็คิดซะว่าเป็นค่าเหนื่อยที่ฉันต้องเอาออกไปขายตั้งไกลถึงอำเภออื่น แล้วไหนจะค่าปิดปากฉันอีกล่ะ”
วรรณิตไม่มีทางเลือก “แกมันไอ้คนฉวยโอกาส”
“คนอย่างฉันไม่เคยทำอะไรฟรีๆ ดีแค่ไหนแล้วที่ฉันไม่ขอหูแกสักข้าง”
พูดจบก็หัวเราะเยาะ ก่อนจะเดินออกไป วรรณิตมองตามเจ็บใจ ก่อนจะเก็บเงินลงกระเป๋าสะพาย พอเดินเข้ามาในบ้าน ก็ถึงกับตกใจ ที่เจอกับศุภารมย์
“เป็นอะไรไปหรือเปล่า? ทำไมหน้าตาซีดอย่างนี้ล่ะ”
วรรณิตอึกอัก รีบพูดแก้ตัว “ณิตไม่ค่อยสบายค่ะ”
พลันเสียงมือถือก็ดังขึ้น วรรณิตเห็นว่าเป็นเบอร์โรงพยาบาลก็ตกใจ
“ณิตขอตัวก่อนนะคะคุณแม่”
จากนั้นก็เดินเลี่ยงออกไป ศุภารมย์มองตามแต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไร จังหวะเดียวกับที่ทิวัตถ์เดินเข้ามาพดี
“วิน แม่ได้ข่าวว่าคุณวิทยาเสียชีวิตแล้ว”
ทิวัตถ์พยักหน้า “ใช่ครับ”
“แล้วคุณลินล่ะ อาการเป็นยังไงบ้าง?”
“ปลอดภัยแล้วครับ”

ศุภารมย์นึกกังวลใจ เพราะศัลย์เคยบอกว่าลิลินต้องคิดแน่ๆว่าเป็นฝีมือเธอ พอทิวัตถ์พูดต่อว่าลิลินความจำเสื่อม ก็คลายกังวล พลางแอบเก็บอาการดีใจไว้
 
อ่านต่อหน้า 2

ลีลาวดีเพลิง ตอนที่ 13 (ต่อ)

วรรณิตเดินเลี่ยงมารับสาย พอทางโรงพยาบาลแจ้งข่าวเรื่องแม่เสียชีวิตก็ถึงกับเป็นลมล้มพับไปทันที ครู่หนึ่งก้รู้สึกตัวขึ้นมา ขณะที่เห็นศุภารมย์นั่งอยู่ข้างๆ

“หนูณิตเป็นอะไร?”
วรรณิตพยายามโกหก ทั้งที่ไม่สบายใจ
“เปล่าค่ะ ณิตรู้สึกมึนๆ หัวนิดหน่อยค่ะเลยวูบไป”
“มีอะไรรึเปล่า? ยังไงตอนนี้เราก็เป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว มีเรื่องหรือปัญหาอะไรบอกกันได้นะ จะได้ช่วยกันแก้ไข”
วรรณิตพยายามกลั้นน้ำตาไว้
“ที่โรงพยาบาลโทรมาบอกว่าญาติผู้ใหญ่เสียค่ะ”
“เสียใจด้วยนะ แล้วญาติฝ่ายไหนล่ะ ป้าน้อยรู้จักมั้ย?”
วรรณิตพยักหน้ารับ “แต่เป็นญาติห่างๆ น่ะค่ะ”
“แล้วหนูณิตต้องไปช่วยงานด้วยหรือเปล่า?”
“ไม่จำเป็นค่ะ แค่ญาติห่างๆ ณิตขอตัวขึ้นไปพักผ่อนก่อนนะคะ”
พูดพลางรีบคว้ากระเป๋าก่อนจะลุกออกไป ศุภารมย์มองตามอย่างสงสัย

พอเข้ามาในห้อง วรรณิตปล่อยน้ำตาพรั่งพรูออกมาอย่างสุดกลั้น
“ทำไมๆ ปรางมีเงินแล้วแต่ก็ยังยื้อชีวิตแม่ไว้ไม่ได้ ปรางมันเป็นลูกอกตัญญู แม่จ๋า แม่ยกโทษให้ปรางด้วยนะ”
ทางด้านศุภารมย์พอรับสายมือถือของศัลย์ก็รีบบอกข่าวทันที
“ฉันรู้เรื่องอาการของเด็กนั่นแล้ว”
“เสียความทรงจำเหรอครับ?” ศัลย์ถามย้ำย่างแปลกใจ
“ใช่ วินบอกฉันอย่างนั้น”
“แล้วคุณต่ายก็เชื่อ? ขอโทษครับ แล้วคุณต่ายอยากให้มันเป็นยังไงต่อครับ”
ศุภารมย์นิ่งคิด “ฉันว่าเรารอดูอาการก่อนดีกว่า”

“แต่เราไม่มีทางรู้เลยว่าเด็กนั่นเสียความทรงจำจริงหรือเปล่า? แล้วถ้าเรื่องเสียความทรงจำของเธอเป็นแค่เรื่องที่เธอสร้างขึ้นมาล่ะครับ?”

ขณะที่วิชนีกับศักดิ์สิทธิ์ก็เข้ามาในห้องพักของลิลิน พลางพยายามช่วยกันรื้อฟื้นความทรงจำให้อีกฝ่าย

“ฉันชื่อวิชนี ส่วนตานี่ชื่อคุณสิทธิ์เป็นเจ้าของโรงแรมที่เธอทำงานอยู่ เธออาจจะจำได้ว่าเมื่อก่อนฉันกับคุณสิทธิ์เราไม่ค่อยถูกกันเท่าไหร่ แต่ลินก็เคยได้ยินใช่มั้ย เวลาเปลี่ยนคนก็เปลี่ยน”
ลิลินทำหน้างงๆ “เธอมีอะไรจะบอกเหรอ?”
วิชนีมัวเขินไม่กล้าบอก ก่อนจะสะกิดให้ศักดิ์สิทธิ์เป็นคนบอก
“ตอนนี้เรา 2 คนตกลงที่จะเป็นแฟนกันแล้วครับ”
ลิลินทำหน้างง วิชนีเผลอเข้าใจผิดคิดว้าเธอจำได้
“ลินจำได้แล้วใช่มั้ย เห็นมั้ยฉันบอกแล้วว่าวิธีนี้ต้องได้ผล”
“แล้วมาบอกฉันทำไม?”
วิชนีกับศักดิ์สิทธิ์หน้าจ๋อย
“แล้วเธอจำได้มั้ยว่าเธอเคยสัญญากับฉันด้วยนะ ว่าเธอจะมาร้องเพลงในงานแต่งงานให้ฉันด้วย”
ลิลินแปลกใจ
“ฉันเนี่ยนะร้องเพลงเพราะ”
“ใช่ เธอมีฉายาด้วยนะ ลีลาวดีเพลิง”
ลิลินทวนคำ “ลีลาวดีเพลิง?”
“แล้วเธอก็ยังชอบดอกลีลาวดีสีแดงด้วย”
ลิลินนึกถึงดอกลีลาวดีสีแดง ก่อนที่จะปวดหัวขึ้นอีกครั้ง

“ขอโทษนะ ฉันอยากอยู่คนเดียว”

ทิวัตถ์ย้อนกลับมาที่โรงพยาบาล เห็นศักดิ์สิทธิ์กับวิชนีอยู่ที่ร้านกาแฟก็แปลกใจ

“ทำไมแกมาอยู่ตรงนี้ ฉันให้แกเฝ้าคุณลินไว้ไม่ใช่เหรอ?”
“เออ ก็ใช่ แต่คุณลินเค้าบอกว่าอยากอยู่คนเดียว”
ทิวัตถ์นิ่งคิด อย่างเป็นกังวล
อีกด้านหนึ่ง ศัลย์เดินมาที่หน้าห้องพักของลิลิน ก่อนจะชะโงกมองผ่านกระจกเข้าไปในห้อง เห็นเธอกำลังดึงผ้าม่านที่ใช้สำหรับเวลาเปลี่ยนเสื้อผ้าผู้ป่วย เขามองซ้ายมองขวาเมื่อเห็นว่าไม่มีใครจึงหยิบที่เก็บเสียงมาติดที่ปลายปืน ก่อนจะเปิดประตูเข้าไปในห้อง กระชับปืนเตรียมพร้อม สายตาจ้องเขม็งไปยังผ้าม่านที่ปิดเตียงอยู่ ก่อนจะเปิดผ้าม่านออก พร้อมกับวาดปืนไปที่เตียง แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อลิลินไม่อยู่ที่เตียง
เขาหันมองไปที่ห้องน้ำก่อนจะเดินตรงไป แต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อลิลินไม่อยู่ในห้องน้ำอีก
พอหันมาอีกที ก็เห็นเธอเดินกลับเข้ามาจากระเบียง ทันทีที่เธอเห็นศัลย์ก็ตกใจ
“คุณ คุณเป็นใครคะ?”
“ผมเป็นตำรวจ”
ลิลินสงสัย “ตำรวจ แล้วเข้ามาในห้องนี้ทำไมคะ? หรือว่าฉันทำอะไรผิดเหรอคะ?”
ศัลย์มองลิลินอย่างจับผิด
“คุณจำอะไรไม่ได้หรือไง?”
ลิลินส่ายหน้า
“หรือว่ามีคนแจ้งความคนหายคะ แล้วคุณตำรวจจะมาพาฉันกลับบ้านใช่มั้ยคะ คุณจะช่วยฉันจริงๆใช่มั้ย? ฉันจำอะไรไม่ได้ คุณช่วยฉันหน่อยนะ”
ศัลย์ยืนนิ่งมองลิลินที่ร้องไห้อย่างคนสูญเสียความทรงจำจริงๆ
“งั้นผมจะพาคุณไปหาใครบางคน เผื่อคุณจะจำอะไรขึ้นมาได้บ้าง”
ลิลินหันมองศัลย์อย่างมีความหวัง
“จริงนะคะ งั้นเดี๋ยวรอแป๊บนึงนะคะ ขอฉันเก็บของก่อน”

ลิลินรีบเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าที่ติดผนังแล้วเปิดออก ขณะที่ด้านหลังศัลย์ยกปืนขึ้นเล็ง พร้อมเหนี่ยวไก

ศัลย์กำลังจะเหนี่ยวไกยิงลิลินจากทางด้านหลัง แต่แล้วทันใดนั้นเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น เขารีบเก็บปืนทันที ก่อนที่ศุภารมย์จะเปิดประตูเข้ามา

ศัลย์เห็นศุภารมย์ก็หน้าเสีย ขณะที่ฝ่ายหลังนึกรู้ทันทีว่าเขามาทำไม
ลิลินเห็นศุภารมย์ก็แปลกใจว่าเป็นใคร
“คุณเป็นใครคะ? เรารู้จักกันด้วยเหรอคะ?”
“ฉันนึกว่ารองศัลย์จะบอกเธอแล้วซะอีก”
พูดพลางปรายตามองศัลย์อย่างรู้ทัน
“ผมกำลังจะพาเธอไปหาคุณต่ายพอดี แต่ในเมื่อคุณต่ายมาแล้ว ผมคงต้องขอตัว”
จังหวะนั้นทิวัตถ์เข้ามาในห้องพอดี เขาถึงกับแปลกใจ เมื่อเห็นศุภารมย์และศัลย์อยู่ภายในห้อง ศัลย์ฉวยจังหวะรีบเดินเลี่ยงไป ทิวัตถ์รีบหันมาทางศุภารมย์ทันที
“คุณแม่มาทำอะไรครับ?”
“ยังไงคุณลินก็เคยเป็นครูสอนร้องเพลงแม่ ถ้าไม่มาเยี่ยม ก็คิดว่าจะใจดำไปหน่อย แม้ว่าเธออาจจะเคยทำอะไรแม่ไว้ก็เถอะ”
ลิลินเดินเข้ามาถามทิวัตถ์ด้วยความแปลกใจ
“นี่คุณแม่ของคุณเหรอคะ?”
“ใช่ คุณจำได้บ้างมั้ย?”
พอลิลินเริ่มใช้ความคิด เธอก็มีอาการปวดหัวขึ้นมาอีก ทิวัตถ์รีบพาเธอไปนั่งที่เตียง พร้อมกับที่
ศุภารมย์เดินเข้ามาหา พลางมองหน้าเธอนิ่ง ก่อนจะพูดขึ้นมา
“ลิลิน ฉันอโหสิให้เธอนะ”
“อโหสิ ฉันไปทำอะไรให้คุณเหรอคะ?”
“ช่างมันเถอะ เรื่องมันผ่านมาแล้ว”
ศุภารมย์พูดพลางพยายามสังเกตท่าทีของอีกฝ่าย ก่อนที่จะขอตัวเดินออกไป ทิ้งให้ทิวัตถ์อยู่กับลิลินในห้องตามลำพัง
“อย่าถือสาอะไรแม่ผมเลยนะ”
“เรื่องอะไรคะ?”

ทิวัตถ์อึกอัก “ก็เรื่องที่... ช่างมันเถอะ คุณพักผ่อนก่อนดีกว่า”
 
อ่านต่อหน้า 3

ลีลาวดีเพลิง ตอนที่ 13 (ต่อ)

พยาบาลจัดผ้าคลุมร่างของสา พลางกำลังจะเข็นรถออกไป พอดีกับที่วรรณิตเดินเข้ามา ก่อนจะปล่อยโฮ วิ่งเข้าไปกอดร่างแม่ และบรรจงกราบเท้าด้วยความเสียใจ

“ปรางขอโทษ ที่ปรางรักษาชีวิตแม่ไว้ไม่ได้”
วรรณิตพยายามตั้งสติ ก่อนจะลุกขึ้นมาถามพยาบาล
“ทำไมอยู่ๆ แม่ถึงได้จากไปกะทันหันแบบนี้คะ”
“คุณหมอลงความเห็นว่าหัวใจล้มเหลวค่ะ”
วรรณิตมองผ้าคลุมร่างอย่างเสียใจ ก่อนที่พยาบาลจะยื่นถุงกระดาษให้
“ของของคุณแม่คุณค่ะ”
วรรณิตรับถุงมาด้วยความเศร้าเสียใจ พอเดินออกมาที่หน้าโรงพยาบาล ก็เห็นวาสนากึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามาหา
“ทำเสียงตกอกตกใจ โทร. เรียกยายมามีอะไรรึเปล่า?”
วรรณิตน้ำตานองหน้า “แม่ แม่เสียแล้ว”
วาสนาแกล้งยกมือทาบอก ตกใจ
“คุณพระคุณเจ้าช่วย...เป็นไปได้ยังไง?”
“แม่หัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน”
“ไม่น่าเลย ยายอุตส่าห์ไปคุยเรื่องเงินกู้ไว้แล้วเชียว โธ่เอ้ย แม่ณิต เป็นเพราะยายแท้ๆ ถ้ายายจัดการให้มันเร็วกว่านี้ แม่สาก็ไม่ต้อง...”
วาสนาทำเป็นบีบน้ำตา ก่อนจะเล่นละครต่อ
“ทำใจให้สบายเถอะ ถือซะว่าแม่แกไปสบายแล้วนะ”

วิชนีนั่งหน้าเครียดอยู่ที่ร้านอาหารที่โรงพยาบาล จนศักดิ์สิทธิ์ต้องจับมือมากุมไว้ พลางพูดปลอบ
“ไม่ต้องคิดมากหรอก ให้เวลาคุณลินหน่อย เดี๋ยวเค้าก็จะจำทุกอย่างได้เองแหละ”
ขาดคำ เสียงไอก็ดังขึ้น ศักดิ์สิทธิ์กับวิชนีตกใจ ลืมไปว่าทิวัตถ์นั่งกินข้าวอยู่ฝั่งตรงข้าม
ทิวัตถ์มองไปที่มือของทั้งคู่ที่กุมกันอยู่อย่างนึกสงสัย ศักดิ์สิทธิ์กับวิชนีสะดุ้ง ต่างคนต่างรีบเอามือออกจากกัน ก่อนที่ศักดิ์สิทธิ์จะตัดสินใจบอก
“คือ ฉันกับวิชนี เราเป็นแฟนกัน”
ทิวัตถ์ทั้งตกใจ ทั้งดีใจ “จริงดิ”
ศักดิ์สิทธิ์พยักหน้า วิชนีเขิน รีบดึงมือออก ก่อนจะเดินเลี่ยงไปเข้าห้องน้ำ ทิวัตถ์มองตามอย่างงงๆ ก่อนจะหันมาที่ศักดิ์สิทธิ์
“ยินดีด้วยแล้วกัน”
ศักดิ์สิทธิ์พยักหน้ารับ ก่อนจะถอนหายใจเฮือกอย่างกลัดกลุ้ม
“เออ ฉันคิดว่าฉันจะขายรอยัลเพิร์ลว่ะ”
“อ้าว นั่นมันมรดกที่พ่อกับแม่แกทิ้งไว้ให้นะ”
“ฉันรู้ ฉันพยายามดูแลมันมาตลอด แต่มันก็ได้แค่นี้แหละ ฉันเลยคิดว่าถ้าฉันมีความสุขที่จะอยู่กับวิชนี เตี่ยกับม้าก็คงจะดีใจไปกับฉันด้วย”
ทิวัตถ์อึ้งกับสิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์ทำเพื่อให้ได้อยู่กับคนที่รัก ศักดิ์สิทธิ์เอื้อมมือไปแตะไหล่
“แกไม่ต้องเป็นห่วงฉัน ฉันไม่เป็นไร”
“แต่ถ้าแกไม่ได้เป็นเจ้าของโรงแรม แล้วคุณลินจะไปอยู่ที่ไหนได้”
“อ้าวไอ้นี่ นึกว่าจะห่วงเพื่อน”
ทิวัตถ์ถอนหายใจอย่างเป็นกังวล
“ก็ห่วง แต่ฉันห่วงคุณลินมากกว่า ตอนนี้ฉันอยากหาที่ที่ปลอดภัยให้เธออยู่”
“แล้วนอกจากโรงแรมฉัน แกไม่มีที่อื่นอีกแล้วหรือไง?”

ทิวัตถ์ใช้ความคิดสีหน้าเคร่งเครียด

ทิวัตถ์นั่งหน้าเครียดอยู่ข้างเตียงลิลินสักพักเธอก็ขยับตัวตื่น

“ฉันนึกว่าคุณจะกลับบ้านไปแล้ว”
“ผมจะกลับได้ยังไง? ในเมื่อคุณยังนอนอยู่ที่นี่”
ลิลินมองอย่างสงสัย “ฉันยังอยู่ที่นี่ แล้วทำไมคะ?”
“ผมเป็นห่วงคุณ”
ลิลินชะงักไป
“แล้วทำไมเราถึงรักกันไม่ได้ล่ะ?”
“คุณอย่าเพิ่งคิดอะไรเลย พักผ่อนเถอะ”
ลิลินล้มตัวลงนอน ขณะที่ทิวัตถ์นั่งเฝ้าอยู่ข้างๆ
“แล้วฉันจะได้กลับบ้านเมื่อไหร่คะ?”
“ผมยังไม่รู้ว่าคุณจะหายดีเมื่อไหร่? คงต้องถามหมอ”
ลิลินนิ่งไป “ฉันอยากกลับบ้าน แต่ฉันก็จำไม่ได้อยู่ดี ว่าบ้านฉันอยู่ที่ไหน?”
“เรื่องนั้นคุณไม่ต้องห่วง ถ้าคุณไว้ใจผม ผมจะพาคุณไปอยู่ในที่ที่ปลอดภัยเอง”
ลิลินมองอย่างแปลกใจ

ทรงพลกลับเข้ามาถึงบ้าน พอรู้ว่าศุภารมย์ไปเยี่ยมลิลินมา ก็รีบถามอย่างอยากรู้
“แล้วเป็นยังไง มีอะไรร้ายแรงรึเปล่า?”
“ดูเหมือนเธอจะความจำเสื่อม จำอะไรไม่ได้เลย แต่ฉันก็ยังไม่วางใจอยู่ดี บางทีเธออาจจะเป็นพวกเล่นละครเก่งก็ได้”
ระหว่างนั้นวรรณิตก็กลับเข้าบ้านมาพร้อมวาสนา พอทั้งคู่เห็นศุภารมย์กับทรงพลก็สะดุ้งตกใจ

ศุภารมย์หันมาเห็น ก็รีบถาม “ไปไหนกันมาล่ะคะ”
วรรณิตรีบแก้ตัว “เอ่อ .ยายพาณิตไปทำบุญมาน่ะค่ะคุณพ่อ คุณแม่”
“แล้วหนูณิตเป็นอะไรรึเปล่า ดูตาบวมๆ”
“ณิตเป็นภูมิแพ้น่ะค่ะ”
จู่ๆ ทิวัตถ์ก็พาลิลินเดินเข้ามา ทุกคนถึงกับอึ้ง โดยเฉพาะศุภารมย์ ลิลินมองอย่างสงสัยในท่าทาง ของอีกฝ่าย ก่อนที่ทรงพลจะถามขึ้น
“หนูลิน หายดีแล้วเหรอ?”
“เอ่อคุณ...”
“นั่นพ่อผมเอง”
พูดพลางบอกต่อหน้าทุกคน
“ลินไม่สบายน่ะครับ ผมก็เลยพาเธอมาที่นี่”
ศุภารมย์ตกใจ “วินหมายความว่าไง จะให้คุณลินมาอยู่ที่นี่เหรอ?”
“ครับแม่ต่าย”
“ไม่ได้นะวิน ลูกก็รู้ว่าเธอ...”
ทิวัตถ์รีบแย้ง “แต่ตอนนี้เธอจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเราเป็นใคร”
“แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าสถานะของเธอจะเปลี่ยนไปจากเดิมได้นี่”
ทรงพลรีบตัดบทให้ทิวัตถ์พาลิลินขึ้นไปพักผ่อน ขณะที่วาสนาโวยวาย อย่างไม่พอใจ แต่กลับโดน
ทรงพลตอกหน้า

“ปล่อยให้เป็นเรื่องในครอบครัวของเราเถอะครับ เรื่องแค่นี้เราจัดการกันเองได้”

ทิวัตถ์พาลิลินเข้ามาในห้องรับรองแขก ก่อนที่ฝ่ายหลังจะตัดสินใจถามขึ้น

“ที่คุณคุยกับแม่คุณ มันหมายความว่ายังไงเหรอคะ?”
“เอ่อ เดี๋ยวผมค่อยเล่าให้คุณฟังวันหลังดีกว่า”
ลิลินยิ้มรับ แต่สีหน้ายังไม่คลายกังวล
“คุณจะให้ฉันมาอยู่ที่นี่จริงๆเหรอคะ?”
“ทำไม? คุณมีปัญหาอะไรรึเปล่า? หรือว่าคุณยังไม่ไว้ใจผม”
ลิลินส่ายหน้า “เปล่าค่ะ แต่ฉันคิดว่าทางบ้านคุณดูไม่ค่อยชอบฉันเท่าไหร่”
ทิวัตถ์รีบพูดปลอบ “คุณไม่ต้องคิดมากหรอก เดี๋ยวผมจัดการเอง”
“ฉันขอถามอะไรอีกนิดนะคะ ทำไมคุณถึงให้ฉันอยู่ที่นี่ล่ะ?”
“เพราะผมเป็นห่วงคุณ”
ทิวัตถ์พูดอย่างจริงใจ
ศุภารมย์ตีหน้านิ่งอยู่ข้างๆ ทรงพลที่ดูกระอักกระอ่วน พอเห็นทิวัตถ์เดินเข้ามา ฝ่ายแรกก็ตั้งคำถามทันที
“เธอไม่มีที่ไปแล้วเหรอวิน?”
“ผมแค่เป็นห่วงคุณลินน่ะครับ ที่สำคัญ ผมคิดว่าที่นี่ปลอดภัยสำหรับเธอมากที่สุดด้วย”
ทรงพลค้านอย่างไม่เห็นด้วย
“พ่อว่าคงไม่เหมาะเท่าไหร่”
“ทำไมล่ะครับพ่อ?” ทิวัตถ์ย้อนถาม
“ต้องให้พ่อย้ำอีกกี่ครั้งว่าเธอเป็นลูกสาวของปองภพ”
“นั่นมันเป็นอดีตไปแล้วนะครับ ปัจจุบันเธอก็แค่ผู้หญิงธรรมดาๆ คนนึงเท่านั้น ผมเข้าใจครับ แต่อย่างน้อยเราก็ทำเพื่อชดใช้ความผิดในอดีตได้นี่ครับ”
ศุภารมย์นิ่งฟังอยู่นาน ก่อนจะลุกขึ้นพูดเสียงแข็ง
“ให้เธออยู่ที่นี่แหละ แต่วินต้องสัญญากับแม่ก่อน ถ้าเมื่อไหร่ที่ความจำเธอกลับมา เธอจะต้องย้าย
ออกทันที”
ทิวัตถ์รับคำ ก่อนจะเดินออกไป พร้อมกับที่ทรงพลหันมายิงคำถามกับศุภารมย์
“ทำไมคุณถึงยอมให้เด็กคนนั้นมาอยู่กับเราที่นี่”

“คุณเคยได้ยินมั้ยคะ? ที่ว่าให้เก็บมิตรไว้ใกล้ตัว แต่ให้เก็บศัตรูไว้ใกล้ ลิลินมาอยู่ที่นี่ก็ดีแล้ว บางทีเราจะได้รู้ว่าเธอความจำเสื่อมจริงหรือเปล่า?”

สิตาวางสายจากเพื่อนก่อนจะยิ้มอย่างดีใจ จนกฤษดานึกสงสัย

“อะไรของแก เพื่อนโทร. มาบอกว่ากระเป๋าคอเลคชั่นใหม่ออกหรือไง?”
“เปล่า นังลิลินรถคว่ำ สมน้ำหน้า”
“อ๋อเหรอ? แสดงว่าเพื่อนแกรู้มาแค่นิดเดียว”
กฤษดายิ้มอย่างผู้ชนะ ก่อนจะเล่าเรื่องที่ทิวัตถ์พาลิลินเข้าไปอยู่ในบ้านให้ฟัง ทำเอาสิตาถึงกับอึ้งด้วยความโมโห

ทรงพล ศุภารมย์ ทิวัตถ์ ลิลินและวรรณิตนั่งทานข้าวกันอยู่ ศุภารมย์พยายามทดสอบลิลินไปด้วย
“คุณลินรู้รึเปล่าว่าตัวเองมาจากกรุงเทพ?”
ลิลินทำหน้างง “เหรอคะ?”
“แล้วเธอรู้รึเปล่าว่าตัวเองมาที่นี่ทำไม?”
ทิวัตถ์รู้ทัน จึงรีบพูดปกป้องลิลิน “คุณแม่ อย่าเพิ่งถามอะไรคุณลินเลยนะครับ”
ศุภารมย์จ้องลิลินเขม็ง อีกฝ่ายได้แต่มองตอบอย่างไม่เข้าใจ
“แล้วฉันมาที่นี่ทำไมคะ?”
“เธอมาก็เพราะพ่อเธอเป็น....”
ศุภารมย์กำลังจะหลุดปาก แต่ทรงพลรีบขัดขึ้น
“คนรู้จักของพวกเราน่ะ ทานข้าวเถอะคุณ ผมขอนะ”

อีกด้านหนึ่งนพกรลอบมองลิลินอยู่ พอเห็นอนันยชเดินเข้ามา มันก็รีบหลบ ก่อนจะโผล่มาแอบดูต่อ
อนันยชเดินเข้าไปนั่งร่วมโต๊ะก่อนจะหันไปเห็นลิลิน
“อ้าวคุณลิน สวัสดีครับ ไปไงมาไงถึงมาโผล่ที่นี่ได้ครับเนี่ย?”
ทิวัตถ์รีบบอก
“คุณลินจะเข้ามาอยู่ที่นี่สักระยะหนึ่ง จนกว่าเธอจะหายดี”
“จริงสิ เห็นวินบอกว่าคุณความจำเสื่อม แล้วจำผมได้มั้ยครับ?”
ลิลินส่ายหัว อนันยชทำหน้าเซ็ง ขณะเดียวกันวรรณิตก็ลุกขึ้นกำลังจะเดินออกไป แต่จู่ๆ เสียงเอะอะโวยวายของสิตาดังขึ้นมา ก่อนที่จะพรวดพราดเข้ามาในห้อง พอเห็นลิลินนั่งอยู่ด้วย ก็ถึงกับอึ้งไป
“สิตา คุณมาทำไม?” ทิวัตถ์โพล่งถามขึ้นมาอย่างไม่สบอารมณ์
“ตาก็จะมาดูว่าวินพาแม่นักร้องมาอยู่ด้วยกันที่นี่จริงรึเปล่าไง?”
ศุภารมย์มองจ้องหน้าสิตาอย่างไม่พอใจ “ฉันเป็นคนอนุญาตเอง”
“คุณอาคะ ถ้าคุณอามัวแต่ยุ่งกับงานการกุศลจนปล่อยให้บ้านตัวเองเป็นสถานพักฟื้นขนาดนี้
ตาว่ามันน่าสังเวชนะคะ”
ทรงพลหันมาปราม “ระวังคำพูดหน่อยสิตา”
“ตาไม่สนหรอกค่ะ คุณอาก็เหมือนกัน อยากได้ลูกสะใภ้มากหรือไง ทำไมไม่บอกตาล่ะคะ?”
ทิวัตถ์เหลืออดตะคอกเสียงดัง
“สิตา หยุดเดี๋ยวนี้ คุณกำลังลามปามพ่อแม่ผมนะ .ผมว่าคุณกลับไปดีกว่า”
สิตายื่นคำขาดให้ทิวัตถ์ไล่ลิลินออกจากบ้าน แต่พอเห็นทุกคนนิ่ง แถมศุภารมย์ทำท่าจะให้คนรับใช้มาไล่เธอ ก็ยิ่งโมโห หันไปคว้าแจกันปาไปที่ลิลิน ทิวัตถ์รู้ทัน รีบกระโจนจับลิลินหลบแจกันได้หวุดหวิดพอดี สิตาเห็นยิ่งโมโหเข้าไปใหญ่
วรรณิตรีบหาลิลินเดินหลบไปอีกทาง ขณะที่ทิวัตถ์ลากตัวสิตาออกไป

นพกรแอบมองอยู่ที่มุมหนึ่ง นึกเคืองที่ลิลินโดนสิตาทำร้าย
 
อ่านต่อหน้า 4

ลีลาวดีเพลิง ตอนที่ 13 (ต่อ)

ทิวัตถ์ลากสิตาออกมาหน้าบ้าน ก่อนจะฝ่ายหลังจะโวยวายเสียงดัง

“วินลืมไปแล้วหรือไงว่าแม่นั่นมันเป็นลูกใคร แล้วมันเคยปั่นหัวอะไรวินไว้บ้าง?”
“ไม่มีใครปั่นหัวผมได้ทั้งนั้น ยกเว้นก็แต่คุณนั่นแหละตา คุณลินไม่ได้บอกให้ผมทำ ผมต่างหากที่เป็นฝ่ายขอให้เขามาอยู่ที่นี่ เพราะผมต้องการดูแลเขาตอนที่เขาไม่สบาย”
สิตาพยายามพูดใส่ไฟ
“มันอาจจะตบตาวินอยู่ก็ได้ มันไม่ได้ความจำเสื่อมจริง ที่มันทำเพราะมันอยากอยู่ใกล้วิน แค่นี้วินดูไม่ออกเหรอคะ?”
ทิวัตถ์ไม่ฟังเสียงออกปากไล่สิตาออกไป ก่อนที่จะเดินเข้าบ้าน ไปอย่างหงุดหงิด
สิตามองตามอย่างแค้นใจ อีกด้านหนึ่งนพกรแอบมองอยู่ ก็นึกแค้นแทนลิลิน

วรรณิตพาลิลินมาส่งที่ห้องพัก ก่อนจะเดินผละออกมา เจอกับอนันยชที่หน้าห้อง
“กับคนอื่นละทำเป็นห่วงเป็นใย ทีกับผัวตัวเองล่ะไม่ทักสักคำ”
วรรณิตไม่อยากทะเลาะ จะเดินหนี แต่อีกฝ่ายกลับไม่ยอมรามือ
“จะรีบไปนั่งสมาธิหรือไง? หรือจะไปแผ่ส่วนบุญให้ผมมีความสุข บอกไว้เลยนะ ผมรับส่วนบุญของคุณไม่ได้ แล้วผมก็ไม่ต้องการความสุขแบบนั้นด้วย”
“คุณต้องการอะไรจากฉันกันแน่ หรือการทำให้ฉันเจ็บช้ำน้ำใจมันทำให้คุณมีความสุข”
อนันยชพยักหน้ารับอย่างกวนๆ “ใช่”
“คุณวัน ณิตเองก็ไม่ได้อยากเป็นอย่างนี้ บอกณิตซิคะว่าณิตต้องทำยังไงถึงจะทำให้คุณวันเลิกทำอย่างนี้กับณิตซะที”
“หย่ากับผมไง”

ขาดคำก็เดินออกไป ทิ้งให้วรรณิตหน้าเครียด

สิตาขับรถออกจากบ้านทิวัตถ์ด้วยความแค้นใจ ก่อนจะรีบหยิบมือถือขึ้นมากด ด้วยแววตาร้าย โดยไม่ทันสังเกตว่านพกรนั่งหน้าเหี้ยมอยู่ที่เบาะหลัง

ลิลินนั่งทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ในห้อง พลันก็ได้ยินเสียงเคาะประตู ก่อนที่ทิวัตถ์จะเดินเข้ามา
“มีอะไรคะ?”
“คิดอยู่แล้วว่าคุณคงยังไม่หลับ”
เธอเห็นเขาสีหน้าเครียดจึงเลียบๆ เคียงๆถามขึ้น
“แล้วผู้หญิงคนเมื่อกี้เธอกลับไปแล้วเหรอ?”
ทิวัตถ์พยักหน้า “ ผมขอโทษแทนตาด้วยนะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันต่างหากที่ต้องขอโทษคุณ ฉันนี่แหละที่จะทำให้คุณเดือดร้อน ถึงฉันจะจำอะไรไม่ได้แต่ในแววตาของเธอ ทำให้ฉันเข้าใจสถานการณ์ดีค่ะ ฉันเลยคิดว่าฉันควรออกจากบ้านหลังนี้ไปดีกว่า”
เขารีบออกปากห้าม
“ไม่ ผมจะต้องปกป้องคุณให้ได้ ผมสัญญากับตัวเองไว้แล้ว”
“ฉันก็บอกตัวเองไว้เหมือนกัน ว่าฉันจะไม่ทำให้ใครเดือดร้อนเพราะโรคบ้าๆ ของฉัน”
“ผมไม่ได้เดือดร้อนเพราะคุณเลยนะ”
ทิวัตถ์ตอบสีหน้าจริงจัง ก่อนจะสบตาซึ้ง
“ก่อนที่ฉันจะจำอะไรไม่ได้ ฉันเคยรู้สึกดีกับคุณอย่างนี้หรือเปล่า?”
เขาได้ยิน ก็รู้สึกอบอุ่นหัวใจ แม้จะรู้ว่าตอนนี้เธอไม่ใช่ลิลินคนเดิม
“ผมกำลังพยายามอยู่”
“ตอนนี้ฉันดีขึ้นมากแล้ว คุณจะเล่าให้ฉันฟังได้หรือยังคะว่าเกิดอะไรขึ้นกับฉัน”

ทิวัตถ์ได้ยินอย่างนั้นก็ชะงักไป

เสี่ยหาญนั่งอยู่ที่ห้องรับแขก พอเห็นกฤษดาเดินเข้ามา ก็ถามถึงสิตาทันที

“ยัยตาล่ะ”
“ยังไม่ตื่นมั้งพ่อ”
เสี่ยหาญส่ายหน้าอย่างเอือมระอา จังหวะนั้นลูกน้องก็เดินเข้ามา
“เสี่ยครับ มีตำรวจมาขอพบครับ”
ขาดคำตำรวจก็เดินเข้ามา เสี่ยหาญกับกฤษดาพากันแปลกใจ
“มีอะไรรึเปล่าครับ?”
กฤษดามองอย่างขัดใจ “นี่จะมาหาเรื่องกันแต่เช้าเลยเหรอคุณตำรวจ”
“เปล่าครับ แต่เรามีข่าวที่ต้องแจ้งเสี่ย คือเราจะมาแจ้งข่าว เรื่องคุณสิตาครับ”
กฤษดายิ้มกวน “ทำไม...อ๋อ...หรือว่าโดนจับเพราะเมาแล้วขับ”
“ไม่ใช่ครับ เสี่ยทำใจดีๆ นะครับ”
เสี่ยหาญนึกสังหรณ์ใจ
“ทำไม ยัยตาเป็นอะไร?”

ผ้าขาวบนเตียงในห้องดับจิต ค่อยๆ ถูกเปิดออก เผยอให้เห็นศพสิตา ที่ปากซีด หน้าเขียวคล้ำ
กฤษดามองอย่างตกใจ ส่วนเสี่ยหาญเก็บความสะเทือนใจไว้ภายใต้ใบหน้าเข้มแข็ง
“เจอศพลูกผมที่ไหน?”
“ชาวบ้านแจ้งว่ามีรถมาจอดอยู่บนถนนตั้งแต่เมื่อคืน พอเราเข้าไปดูก็พบ เอ่อ..พวกคุณยืนยันใช่มั้ยว่าเป็นคุณสิตาจริงๆ”
เสี่ยหาญพยักหน้า ตำรวจจึงเอาผ้าคลุมศพเหมือนเดิม ก่อนจะเดินออกไป ให้ครอบครัวได้อยู่ด้วยกัน
“ยัยตา ฉันน่าจะห้ามแก”
กฤษดาถึงกับเข่าทรุดด้วยความเสียใจ เสี่ยหาญรีบกระชากคอลูกชายขึ้นมาถาม
“ห้ามอะไร แกรู้ใช่มั้ยว่าน้องแกออกไปไหนมา”
“ไอ้วิน ยัยตาไปหาไอ้วิน”
แววตาของเสี่ยหาญวาวขึ้นมาด้วยความอาฆาตแค้น
ทิวัตถ์พาลิลินมายืนอยู่หน้าโกศของวิทยาภายในวัด
“คุณพาฉันมาที่นี่ทำไมคะ?”
“ผมพาคุณมาหาคนๆ นึง” พูดพลางมองไปที่รูปที่หน้าโกศ “วิทยา เขาเป็นอีกคนที่รักคุณ”
“รักฉัน?”
“เขาประสบอุบัติเหตุพร้อมคุณ ผมเสียใจด้วยนะ”
“เรานั่งรถไปด้วยกันเหรอคะ?”
ลิลินหน้าเสีย ก่อนจะนิ่งไป ทิวัตถ์จึงถามขึ้น
“คุณจำอะไรได้บ้างมั้ย?”

เธอส่ายหัวอย่างเศร้าสร้อย

พอทั้งคู่กลับมาถึงบ้าน ศุภารมย์ก็รีบแจ้งข่าวว่าสิตาเสียชีวิตแล้ว ทิวัตถ์นิ่งอึ้งด้วยความตกใจ

“แม่แน่ใจได้ยังไงครับ ข่าวลือหรือเปล่า?”
“แน่ใจสิ รองศัลย์เป็นคนบอกแม่เองว่ามีคนพบศพสิตาเมื่อเช้านี้ ตำรวจสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นการฆ่าชิงทรัพย์”
ทิวัตถ์กับลิลินถึงกับอึ้งกับข่าวที่ได้ยิน

ทิวัตถ์ยืนเศร้าอยู่ในสวน ลิลินตามออกมาพูดปลอบ
“เสียใจด้วยนะคะ คุณอย่าคิดมากเลยนะ”
“ถ้าผมรู้ว่าเมื่อคืนจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะได้เจอกัน ผมคงจะทำดีกับเธอมากกว่านี้”
ลิลินมองอย่างเข้าใจ
“แต่คุณไม่รู้นี่คะ แล้วคุณก็ไม่ได้ทำอะไรผิด อย่าโทษตัวเองเลยนะ”
“ขอโทษนะ ผมอยากอยู่คนเดียว”
เธอทำได้เพียงแตะแขนเขาเบาๆเป็นการปลอบใจ ก่อนจะเดินกลับเข้าบ้านไป
นพกรโผล่ออกมามองตาม ก่อนจะมองไปที่ทิวัตถ์ ที่ยืนเสียใจกับการจากไปของสิตา

ลิลินเดินมาตามทาง พร้อมกับมองไปรอบๆ บ้าน ก่อนจะมองขึ้นไปบนบันไดทางไปห้องศุภิสรา แต่ขณะที่กำลังจะเดินไปทางนั้น เสียงเม็ดนุ่นเรียกหาศุภารมย์ก็ดังมาขัดจากอีกมุมหนึ่ง
“คุณต่ายคะ มีคนมาเอะอะโวยวายอยู่ข้างล่างค่ะ”
ศุภารมย์ขมวดคิ้ว “ใคร?”
“ไม่ทราบค่ะ ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเลย อ้อ แต่เขาเรียกหาคุณลินด้วยค่ะ”

ขณะนั้นลิลินก็เดินมาตรงหน้าพอดี ศุภารมย์มองหน้าเธออย่างนึกสงสัย
 
อ่านต่อตอนที่ 14
กำลังโหลดความคิดเห็น