บางระจัน ตอนที่ 8
สไบกับแฟงเดินมาเห็นกลุ่มชาวบ้านที่กำลังล้อมรอบดูอาการเจิด ชาวบ้านที่เป็นหมอ เอาสมุนไพรโปะลงตามร่างกาย
แฟงกับสไบเห็นเจิดที่นอนแน่นิ่ง
"พี่เจิด นี่พี่เจิด ญาติพี่ใจ"
สไบอุทานขึ้นด้วยความดีใจ
"เดี๋ยวฉันไปบอกพี่ใจก่อนนะ"
สไบบอกแฟงแล้ววิ่งออกไป แฟงเข้ามาดูอาการเจิดใกล้ๆทันที
ใจเดินไปเดินมาในกระท่อม สไบรีบเข้ามา
"พี่ใจ พี่ใจ .... มีคนพาพี่เจิดมา อยู่ที่โรงตีดาบจ๊ะ"
ใจอึ้งเหมือนโดนทุบหัว
"ว่าไงนะ สไบ"
"กองตระเวนไปเจอพี่เจิดนอนเจ็บอยู่นอกค่าย เลยพามารักษา ตอนนี้พี่เจิดอยู่ที่โรงตีดาบจ้ะ"
ใจหน้าซีดลงทันที ย้อนนึกถึงเหตุการณ์ที่เจอเจิด ตอนไปเอายาแก้พิษให้ทัพ
"จำไว้ อองนาย ถ้าแกเห็นฉันในค่ายบ้านระจันเมื่อไหร่ หมายถึงสยาส่งฉันมาเพื่อฆ่าคนที่ขวางทาง ... คนที่ทำให้แกใจอ่อน"
ใจยังจำคำพูดของเจิดในวันนั้นได้
ใจหน้าซีดเผือด สไบมองแล้วเดินเข้าหาทั้งรอยยิ้ม
"ไปหาพี่เจิดกันเถอะนะจ้ะ"
"อย่าออกไปสไบ อย่าไป"
ใจมองสไบ แล้วรีบรวบตัวไว้แน่น
"พี่ใจ ... ปล่อยฉันก่อน"
"ปล่อยไม่ได้ สไบ .. สไบต้องอยู่กับพี่"
"พี่เจิดรอพี่อยู่นะ"
"อย่าเพิ่งไป"
ใจกอดสไบแน่นด้วยความกลัวว่าสไบจะถูกเจิดฆ่า ด้านนอกอยู่ๆเสียงฟ้าร้อง เสียงฝนตกครืนใหญ่ลงมา
"อะไรกันนี่พี่ใจ ปล่อยฉัน"
ใจมองเม็ดฝนแล้วคิดหาทาง รวบร่างสไบมาตรงหน้า
"สไบ"
"จ๊ะ พี่ใจ"
ใจมองสไบที่อยู่ตรงหน้า ด้วยสายตาอ้อนวอน เต็มไปด้วยความรัก ความห่วงใย
"อย่าเพิ่งออกไป รอฝนขาดเม็ดก่อน ... อยู่ที่นี่ อยู่กับพี่นะ สไบ"
สไบมองเห็นใจเอามือลูบหน้าสไบอย่างแผ่วเบา แววตามีแต่ความเสน่หา
ฝนตกหนักมาก ทุกคนพากันหลบตามเรือน เจิดที่ถูกพามาหลบที่ใต้หลังคาในโรงตีดาบ มีแฟงคอยนั่งเฝ้า แฟงมองไปที่ฝนตกหนักแล้วบ่นขึ้น
"ฝนอะไรกัน ตกไม่ลืมหูลืมตา"
เม็ดฝนแรงเข้ามาเปียกหน้าแฟงที่ขยับถอยเข้าไปอีก เจิดที่ทำเป็นค่อยๆฟื้นขึ้นมา ถามเสียงอ่อนระโหย
"สไบ สไบอยู่ที่ไหน"
แฟงหันมาเห็นเจิด ก็ยิ้ม
"ฟื้นแล้วเหรอ พี่ เป็นยังไงบ้าง"
"สไบอยู่ที่ไหน... เมื่อกี๊พี่ได้ยินเสียงเหมือนสไบ"
เจิดยิ้มกับแฟงดูเหมือนคนจริงใจ
ในกระท่อมใจ ค่ายระจัน ใจรวบร่างสไบไว้แน่น เนื้อกายเบียดชิด ด้านนอกเสียงฝนตก ฟ้าผ่าดังสนั่น แต่แววตาใจไม่ตื่นตระหนกกับเสียงใดๆ
สายตาใจมองจ้องแต่แววตากลมโตของสไบที่ร่างสั่นน้อยๆอยู่ในอ้อมกอด
"สไบอยู่กับพี่เถอนะ ให้พี่ดูแลสไบตั้งแต่นี้"
ใจประคองใบหน้าสไบไว้ด้วยสายตาสุดรัก
"ถ้าเราอยู่ด้วยกัน จะไม่มีใครทำร้ายสไบได้อีก"
ใจมองแล้วก้มลงจูบที่แก้มนวล ก่อนจะเอนร่างบางของสไบลงไปบนแคร่อย่างแผ่วเบา
สายฝนที่ยังตกไม่ขาดเม็ด แม่หมอเอายาใส่ฝาระมีมาส่งให้แฟงแล้วทำงานต่อ แฟงเอายาสมุนไพรมาประคองให้เจิดกิน
เจิดทำเป็นสีหน้าดีขึ้น ค่อยๆลุกขึ้นจากแคร่ มองแฟงแล้วถาม
"สไบคงอยู่กับแฟง"
แฟงหันมามองเจิด
"จ้ะ เราอยู่กระท่อมของผู้หญิงที่ฟากโรงครัว พี่ใจอยู่กระท่อมพวกผู้ชายท้ายค่าย"
เจิดทำท่าขยับตัวและสะดุ้งเพราะเจ็บตา
"โอ้ย"
แฟงขยับเข้าไปใกล้ ก้มดูตรงตาเจิดที่เป็นรอยแผลถูกกรีด เสียงฟ้าผ่าดังเปรี้ยง แฟงสะดุ้ง ตกใจ ทำฝาละมีหล่น เจิดคว้าไว้ได้ ส่งคืนให้พร้อมกับกุมมือแฟงไว้ไม่ให้ตกใจ
"ไม่ต้องตกใจ ฟ้าร้องนะ"
ทัพที่วิ่งฝ่าฝนมาเห็นแฟงกำลังถูกเจิดกุมมืออยู่ก็มองอย่างไม่พอใจ ทัพจำเจิดได้คลับคล้ายคลับคลาที่กระทุ่มด่าน
"แฟง"
ทัพสีหน้าไม่พอใจ เข้าไปกระชากแขนแฟงออกห่างเจิด ต่อว่าแฟงทันที
"ทำอะไร"
"ฉันทำอะไร"
"ก็...เห็นอยู่"
"จะบ้าหรือไง พี่ทัพ"
แฟงมองหน้าทัพโกรธ
"รู้จักอายบ้างมั้ย"
"พี่เจิด พี่ชายพี่ใจ พี่ทัพจำไม่ได้หรือ"
"พี่ชายไอ้ใจมันเข้ามาในค่ายระจันได้อย่างไร"
"ชาวบ้านไปเจอพี่เจิดถูกคนทำร้าย เลยพาเข้ามา"
"ไล่มันออกไป"
ทัพจะเข้าไปหาเจิด แฟงจับไว้
"อย่านะพี่ทัพ เป็นบ้าหรือ คนบาดเจ็บมาจะไล่เขาออกไปตาย"
ทัพไม่กล้าบอกความจริงว่าสงสัยใจกับเจิดอยู่
"พี่ไม่อยากไว้ใจไอ้พี่น้องคู่นี้ มันกำลังหลอกใช้สวาทให้ผู้หญิงไทยหลงมัน แฟงเอง สักวันมันก็จะทำให้หลง"
แฟงโกรธตัวสั่น กำหมัดแน่น
"ใครมันอยากเข้าใจบัดสี ก็ให้มันคิดไป"
แฟงสะบัดออกไปอย่างรวดเร็ว ทัพตกใจ วิ่งตาม เจิดมองตามอย่างพอใจ
ในกระท่อม ใจกอดสไบอยู่ในอกไว้ด้วยความรัก
"รีบไปดูพี่เจิดเถอะ ไม่รู้เป็นยังไงบ้าง"
"สไบต้องอยู่ใกล้ๆพี่ อย่าห่างพี่" ใจย้ำ
สไบฟังแล้วขยับตัวมอง ยิ้มขำๆกับความเป็นห่วงของใจ
"โธ่ พี่ใจ พูดเหมือนฉันจะหนีไปไหน ฉันก็อยู่ในค่ายนี่แหละจ้ะ"
"พี่พูดเพราะห่วงสไบ ไม่อยากให้คลาดสายตา ไม่อยากให้ห่างตัว พี่จะได้ปกป้องสไบจากทุกคนที่มันคิดร้าย"
"พี่ใจพูดแปลก จะมีใครคิดร้ายฉันหรือจ๊ะ"
"ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น พี่ขอตายอยู่กับสไบ"
ใจจูบลงที่หน้าผาก สไบยิ้มมองใจ สายตามีความสุข
"ชีวิตฉันก็ไม่มีใครอีกแล้ว นอกจากพี่คนเดียว บ้านที่สามโก้ฉันก็ไม่มีเหลือ เสร็จศึกเราสองคนจะไปอยู่ที่ไหนดี"
ใจหน้าสลดลง แต่ฝืนยิ้มเหมือนไม่รู้เรื่องอะไรด้วย
"เราจะไปอยู่ด้วยกันที่บ้านของเรา"
ใจพูดแล้วยิ่งกดดันเพราะอยากจะพาสไบกลับไปอังวะด้วยกัน
"ไม่ว่าที่ไหนที่มีสไบ พี่จะอยู่ที่นั่น"
"รีบไปดูพี่เจิดเถอะ สไบหายมานานแล้ว"
ใจดึงสไบมากอดไว้ สีหน้ากังวลอยู่ลึกๆ เพราะรู้ว่ากำลังโกหกบางอย่างกับผู้หญิงที่รัก
แฟงเดินฝ่าฝนมา ทัพวิ่งมารั้งแฟงไว้กลางฝน
"จะหนีไปไหนแฟง ทำผิดแล้วอย่าเดินหนี"
"ฉันไม่ผิด พี่เจิดเป็นพี่ชายพี่ใจ แล้วพี่ก็ถ่างตาดูด้วยนะ พี่เจิดเค้าเจ็บมาขนาดนี้ คิดว่าเค้าจะมีแรงปล้ำฉันเหรอ"
แฟงลอยหน้าไปถามทัพอย่างก๋ากั่น ทัพมองฉุน
"ก็ฝนมันตก ชาวบ้านเค้าก็เข้าเรือนกันหมด ฉันกับพี่เจิดรอสไบไปตามพี่ใจ พี่จะให้ฉันไปหลบตรงไหน"
แฟงมองทัพเคืองๆ ทัพหันไปมองเจิด แฟงมองค้อนแล้ววิ่งออกไป ทัพเรียกเสียงดัง
"แฟง...แฟง"
ทัพละล้าละลัง เจิดเห็นว่าสบโอกาส ก็รีบบอกทัพ
"ไปตามแฟงเถอะ ฉันไม่เป็นอะไร"
ทัพมองเจิดนิดเดียวแล้ววิ่งฝ่าฝนตามแฟงไป เจิดมองตามพอใจ
แฟงวิ่งฝ่าฝนมาอย่างเร็ว ทัพวิ่งตามหลัง
"แฟง หยุดก่อน แฟง"
ทัพตะโกนแข่งกับสายฝน แฟงวิ่งหนีไม่ยอมหยุด ทัพพุ่งไปคว้าตัว แฟงสะบัดแรง ทัพยื้อไว้
"ฟังพี่ก่อน"
แฟงสะบัดแรง หลุดออกจากอ้อมกอดทัพ แล้ววิ่งออกไป แต่ลื่นล้มลงบนดินที่เปียกแฉะ
ทัพเข้ามาคว้าตัวแฟงกอดไว้
"อย่าโกรธพี่เลย ที่พูดเพราะพี่ห่วงเอ็ง"
"พี่ทัพจะมาห่วงฉันทำไม"
แฟงสะบัด จมูกทัพกับแก้มแฟงอยู่ใกล้กัน
ทัพมองใบหน้านวลของแฟงด้วยใจหวาบหวามขึ้นอย่างประหลาด แต่ก็ฝืนความรู้สึกที่กำลังก่อตัวแปลกๆ
"วะ ก็ห่วงอย่างน้องสาวไงล่ะ เอ็งมันก็เหมือนน้องสาวไงล่ะ"
แฟงแวบตาวูบไหว เสียใจ แต่ก็ไม่ยอมแสดงอาการผิดหวังออกมาให้ทัพรู้ความในใจ
"อย่าโกรธพี่เลยนะ แฟง"
"ก็แค่น้องจะห่วงอะไรนักหนา พี่ฟักยังไม่อะไรกับฉันเลย"
ทัพพูดไม่ออก ความรู้สึกข้างในมันปั่นป่วน มันเป็นความรู้สึกที่เขาก็ยังไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน แฟงกลืนความน้อยใจ
"ฉันไม่เคยขอให้พี่มาห่วงเลยสักนิด"
"แฟง"
แฟงเบี่ยงตัวออกจากอ้อมแขนทัพ ทัพรู้สึกใจหาย
"พี่ไปห่วงคนอื่นเถอะ พี่กับฉัน เราเป็นคนไม่ชอบหน้ากัน ไม่ต้องมาห่วงกัน"
แฟงมองทัพอีกครั้ง แล้วตัดใจ วิ่งหนีออกไป ทัพได้แต่ยืน รู้สึกเสียใจขึ้นมาอย่างไม่รู้เหตุผล
แฟงวิ่งมาหลบใต้ต้นไม้ใหญ่ กอดเข่า สะอื้น ฝนซาเม็ดลงแล้ว แต่ใบหน้าแฟงกลับนองน้ำตาเพราะความน้อยใจ แฟงสะอื้นอยู่ตามลำพัง อย่างน่าสงสาร
ทัพนั่งลงหน้าเรือนสังข์ท่าทางซึม สังข์นั่งมอง
"นังแฟงมันเด็กดื้อ ฤทธิ์เยอะ เอ็งอย่าไปสนใจมันเลยวะ ปล่อยมันบ้าๆบอๆไป"
"แฟงมันก็เหมือนน้องสาวข้าคนนึง"
สังข์มองอาการซึมๆของเพื่อน
"ก็แค่น้องสาว !!! ไม่ใช่คู่ชิ้นเอ็ง จะไปห้ามไปหวงมันได้ไง"
"เอ็งนี่มันพูดไม่ได้ความ ก็แค่ไม่อยากเห็นแฟงน้ำตาเช็ดหัวเข่า"
"คนนะ...เลี้ยงได้แต่ตัว ไอ้ทัพ ใจแฟงมันจะรักใครชอบใคร เอ็งจะไปห้ามไปหวง เพราะความเป็นพี่ชายไม่ได้"
สังข์พูดเตือนสติ ทัพฟังแล้วยิ่งอึดอัดใจอย่างบอกไม่ถูก
ใจเดินมากับสไบ อีกด้านเจิดเดินสวนมา ใจชะงักม
"พี่เจิด"
สไบสีหน้าเก้อๆเขินๆ เจิดกลบเกลื่อนไม่มีพิรุธด้วยการยิ้มให้ใจกับสไบ
"พี่ไม่เป็นอะไรมากใช่ไม๊" ใจถาม
เจิดเดินเข้ามาใกล้แล้วกอดใจ
"ข้าหาเอ็งตั้งนาน ไอ้ใจ"
สไบมองเห็นเจิดสวมกอดเหมือนพี่น้องก็ไม่คิดเอะใจ ใจฝืนยิ้ม
"พี่ใจพาพี่เจิดไปที่เรือนสิจ๊ะ เดี๋ยวฉันจะไปหาอะไรมาให้พี่เจิดกิน"
สไบจะเดินออกไป ใจมองเจิดอย่างระแวง
"ไม่ต้องหรอก สไบ"
สไบหันกลับมามองใจ ไม่เข้าใจว่าทำไมใจห้าม เจิดมองสังเกตใจที่ยิ้มกับสไบ
"เดี๋ยวพี่คุยกับพี่เจิดแล้วจะตามไป"
สไบเดินออกไป ใจกับเจิดมองตาม คนละความรู้สึก พอร่างสไบพ้นไป เจิดหันมาทางใจ แววตากระด้าง
"แกปกป้องสไบได้อีกไม่นานหรอก อองนาย"
"ฉันต้องปกป้องสไบด้วยชีวิต เพราะสไบเป็นเมียฉัน"
"อองนาย นี่แก"
"สไบเป็นเมียฉัน ถ้าพี่ไม่อยากผิดใจกับฉัน อย่าแตะ อย่ายุ่ง อย่าคิดทำสไบเมียฉัน"
ใจจ้องเจิดด้วยแววตาแข็งกระด้าง หวงแหนคนรัก
สไบเดินมานั่งที่แคร่หน้าเรือน เฟื่องที่กำลังทำงานอยู่ที่ลาน มองสไบ
"ฝนหลงฤดูวันนี้ ทำเอาสไบกับแฟงถึงกับนั่งท่าเดียวกัน"
สไบหันไปมอง จังหวะเดียวกับแฟงที่นั่งกอดเข่าพิงเสาอยู่บนเรือน หันมามอง
เฟื่องมองสองสาวอย่างกังวล แล้วถามขึ้น
"เห็นแฟงบอกว่าไปเจอพี่เจิดมาหรือ"
"จ้ะ ตอนนี้คุยกับกับพี่ใจอยู่"
"เป็นอะไรมากไม๊"
"เหมือนจะหายแล้ว เดินได้"สไบบอก
"เขาจะมาตามน้องเขากลับไปอีกละซิ"
สไบเศร้าลงไปอีก
"แล้วแฟงละเป็นอะไร" สไบถาม
แฟงมองเหม่อไปด้านนอกแล้วถอนใจเฮือก
"เห็นว่าโกรธกับพี่ทัพมา ไม่รู้จักโต หาเรื่องกับพี่ทัพตลอด" เฟื่องว่า
"เอะอะ..อะไรๆก็ฉันผิด"
"เป็นเด็กยังไงก็ผิดวันยังค่ำ ดีนะที่พี่ทัพเขาเอ็นดูว่าเป็นน้อง"
"ฉันไม่ใช่เด็กแล้วนะ"
แฟงไม่พอใจเดินลงเรือนไป เฟื่องมองตามอย่างเห็นใจ
"เฟื่อง....เราจะรู้ได้อย่างไรว่าผู้ชายคนไหนจริงใจกับเรา"
เฟื่องหันมาจ้องหน้าสไบเขม็ง
"สไบหมายถึงพี่ใจใช่ไม๊"
สไบพยักหน้า เฟื่องเดินเข้ามาหา สไบจับมือเฟื่องไว้แน่นเหมือนขอกำลังใจ
"ถ้าเราจะให้ความจริงใจกับผู้ชายสักคนที่เราไม่รู้จักเขาเลย เราผิดไม๊"
"ให้ความจริงใจได้ แต่อย่าเพิ่งให้ตัวเขานะ"
สไบเงียบพูดไม่ได้
ขณะที่แฟงมานั่งหลบอยู่คนเดียว ใบหน้าเศร้าเมื่อคิดถึงเรื่องทัพ
บริเวณบ่อนตีไก่ เวลาเย็น ชาวบ้านกำลังส่งเสียงลุ้นไก่ชนฝ่ายตัวเองอย่างสนุกสนาน ส่วนทัพนั่งเหม่อไม่มีกระจิตกระใจจะดูไก่ที่กำลังชนอยู่ เขาคิดถึงคำพูดของสังข์
"คนนะ...เลี้ยงได้แต่ตัว ไอ้ทัพ ใจแฟงมันจะรักใครชอบใคร เอ็งจะไปห้ามไปหวงเพราะความเป็นพี่ชายไม่ได้"
ไก่ที่กำลังตีกัน ชาวบ้านกำลังตะโกนให้ไก่ตัวเองชนะ ทัพยังคงนั่งนิ่ง...เหม่อลอย
ทัพนั่งกอดเข่า ในท่าเดียวกับแฟง ซึมๆอยู่ห่างจากวงสังสรรค์ของกลุ่มผู้ชายที่กำลังเฮฮา
สังข์มองใจกับเจิด
"เอ็งสองคนนี่เป็นพี่น้องกันได้ยังไงวะ หน้าตาไม่เห็นเหมือนกันเลย ไอ้ใจ ไอ้เจิด"
"พี่น้องหน้าไม่เหมือนกัน มีถมไป"
เจิดตอบแล้วรินเหล้าให้สังข์
"เอ็งไม่สะบาย ทำไมไม่นอนพัก" ขาบถาม
"ค่อยยังชั่วแล้ว ยาแฟงเขาดี แม่แฟงเป็นคนมีน้ำใจช่วยพยาบาลฉัน"
ทัพได้ยินชื่อแฟงก็หันมองเจิด สังข์เห็นสายตาเพื่อนก็แซว
"แต่อย่ามาติดใจนะไอ้เจิด เดี๋ยวจะเหมือนไอ้ใจน้องเอ็ง มาติดผู้หญิงที่นี่ไม่ยอมไปไหน ถึงแฟงมันจะยังไม่เป็นโล้เป็นพายก็เถอะ"
"ทำไมล่ะ"
"นังแฟงมันพี่ชายดุ"
สังข์มองบุ้ยใบ้ไปทางฟัก ฟักจ้องมองเจิดนิ่งๆ เจิดมองแล้วยิ้ม
"โธ่ ฉันรู้จักกับแฟงมาตั้งแต่ตอนหนีจากกระทุ่มด่าน เห็นเป็นน้องเป็นนุ่ง"
เอิบบอก
"เออ .. ถ้าอยากเห็นน้องไม่นุ่งเมื่อไหร่ เอ็งหัวแบะแน่"
วงสังสรรค์เป่าปากขำ ทัพทนฟังไม่ไหว ลุกขึ้นเดินก้าวยาวๆออกไป ทั้งวงมองตามอย่างงงๆ
"ใครเอาไม้แหลมไปแทงตูดพี่ทัพ สะดุ้งพรวดออกไปแบบนั้น" ช่วงถาม
ทุกคนหัวเราะอีก ใจมองตามทัพ เจิดเทเหล้าให้สังข์แบบเอาใจ
"ไอ้ทัพมันกลุ้ม ดันมีน้องสาวสวยเพิ่มมาอีกคน"
"ห้ามนะ ไอ้เจิด ข้าจองไว้แล้ว น้องแฟงเป็นของข้า" เอิบบอก
ฟักไม่พูดอะไร ถีบเอิบร่วงจากแคร่
"ถามตีนกูก่อนมั้ย ไอ้เอิบ"
"เฮ้ย..ไอ้ฟัก กูล้อเล่น"
เอิบคลำตูดป้อย พวกผู้ชายหัวเราะชอบใจ
ทัพเดินมาสีหน้าเคร่งขรึมนิ่งคิด สิ่งที่สังข์พูด ขณะที่เดินมา สายตามองไปเห็นแฟงยืนพิงต้นไม้ มองเหม่อไปไกล แฟงรู้สึกว่ามีคนมอง หันมาเจอทัพ
ทัพรีบชิงพูดขึ้นก่อน
"แฟง ..อย่าเพิ่งไปไหน คุยกันก่อน"
"จะมาห้ามมาหวงอะไรฉันอีกล่ะ"
ทัพยิ้มแห้งๆเข้าไป
"อย่าประชดประชันพี่นักเลย แฟงอยู่ที่นี่ สบายดีมั้ย"
"ก็ไม่เจ็บ ไม่ไข้ ถามทำไม"
"โธ่ แฟง"
"ไม่มีอะไรจะพูด ก็ไม่ต้องทักหรอก"
แฟงจะเดินหนี ทัพดึงแขน รั้งไว้ แฟงหันมามอง ทัพเดินเข้าใกล้
"เอ็งนี่เจ้าแง่แสนงอนไม่เลิก"
"อีแฟงมันก็เป็นของมันแบบนี้"
"พูดกันดีๆเหมือนเดิมได้มั้ย แฟง"
"พี่กับฉันเคยพูดดีกันตอนไหน"
"ก็ตอนที่เอ็งอ้อน พี่ทัพจ๋า ฉันยอมทุกอย่าง ขอให้พี่ทัพสอนดาบฉันนะ"
ทัพทำหน้าล้อเลียน แฟงเริ่มอาย
"พี่ทัพจ๋า"
แฟงเหวี่ยงหมัดน้อยๆทุบลงไปบนอกทัพ ทัพรวบมือแฟงไว้ หัวเราะไม่ถือสา
"เอ็งยิ้ม เอ็งหัวเราะให้พี่เหมือนก่อนเถอะ แฟง พี่เห็นแล้วชื่นใจ"
แฟงเขิน แต่ก็ทำปากแข็ง กวนกลับไป
"ฉันก็อยากจะยิ้มให้คนอื่นชื่นใจบ้าง"
ทัพใจหายวูบ
"พี่ก็ห้ามก็หวงเอ็งไม่ได้หรอก แฟง พี่เองจะตายวันตายพรุ่งก็ไม่รู้"
"พี่ทัพ ผีเจาะปากหรือไง"
"เอ็งก็รู้ ยามศึกแบบนี้ ทุกลมหายใจมีไว้รักษาแผ่นดิน วันไหนที่พี่ออกไปรบ แล้วไม่ได้กลับมา"
แฟงทนฟังไม่ได้ รีบเอามือบีบปากทัพ
"อย่าพูด ฉันไม่อยากฟัง"
ทัพดึงมือแฟงออกเบาๆ สองสายตามองกัน
"พี่ทัพฝีมือดาบเก่งเป็นที่หนึ่ง พี่ต้องสู้จนข้าศึกคนสุดท้ายมันสิ้นใจลงที่นี่"
แฟงยิ้มให้ทัพอย่างมีกำลังใจ ทัพมองแล้วปลื้มใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
"อย่างนี้ซิ ยามศึกอย่างนี้เอ็งจะมาทะเลาะกับพี่ทำไม พี่อยากได้กำลังใจนะแฟง"
ทัพกับแฟงยิ้มให้กัน ความรู้สึกขุ่นใจหายไป ต่างคนต่างยิ้มให้กันอย่างรู้สึกดี
อ่านต่อหน้า 2
บางระจัน ตอนที่ 8 (ต่อ)
ฝ่ายเฟื่องกำลังนั่งกินมะยม สีหน้าอร่อย สไบหอบเอามาให้อีกกอง มองอย่างเข็ดฟันแทน
"เฟื่องไม่เข็ดฟันหรือจ๊ะ มะยมทั้งกองแบบนั้น"
เฟื่องมองมะยมแล้วยิ้ม
"ไม่รู้เป็นอะไร พักนี้อยากเปรี้ยว"
สไบมองไปด้านหลังเห็นขาบเดินมาหยุดมองเฟื่อง สไบสงสาร
"ฉันเข้าเรือนก่อนนะเฟื่อง"
เฟื่องมองสไบงงๆ สไบรีบเดินไปเรือนของตัวเอง เฟื่องหันมา เห็นขาบขึ้นมานั่งข้างๆ
เฟื่องชักสีหน้า แต่ขาบมองเฟื่องด้วยความคิดถึง
"เฟื่องเป็นยังไงบ้าง"
เฟื่องไม่อยากตอบ จะลุก ขาบยื่นมือไปกุมมือเฟื่องไว้
"คุยกับพี่ก่อน ... สักนิดเถอะนะ"
ขาบยิ้มให้เฟื่อง
"เฟื่องชอบมะยมเหรอ พรุ่งนี้พี่จะเก็บมาให้"
"ไม่ต้องหรอกพี่ขาบ อย่าลำบากเลย ฉันเก็บกินเองได้"
"เมื่อไหร่เฟื่องจะไปอยู่ที่เรือนพี่"
"ฉันต้องดูแม่ แม่แกยังไอ"
"เฟื่องคงไม่อยากเจอพี่"
"พี่ก็รู้ว่าฉันคิดยังไง แล้วจะถามให้เจ็บใจตัวเองทำไม"
ขาบยิ้มเศร้า ลุกขึ้น
"ไม่เป็นไร พี่รักเฟื่อง ถึงเฟื่องเกลียด พี่ก็ยังรัก พี่รักของพี่ ได้เห็นเฟื่อง ได้คุยกับเฟื่องบ้าง แค่นี้ก็ยังดี"
ขาบยิ้มให้ เฟื่องมองหน้าขาบ รู้ว่าตัวเองทำใจให้รักขาบยังไม่ได้
ผู้ชายในวงเหล้านอนระเกะระกะ ใจมองไปที่ทุกคน แล้วมองมาที่เจิดที่กอดไหเหล้าหลับอยู่
ใจลุกขึ้น เดินออกไป เจิดขยับเดินมาใกล้ใจ ไม่มีท่าทางคนเมาแม้แต่น้อย
เจิดพูดกับใจให้ได้ยินกันสองคน
"สยาอยากเจอแก"
ใจสีหน้าไม่ดีขึ้นมาทันทีที่ได้ยินว่า จอกยีโบ หรืออาจารย์อยากพบตัว
กองบัญชาการอังวะ ค่ายเกียกกายวิเศษไชยชาญเวลากลางคืนต่อเนื่องมา จอกยีโบ หรือ จาด ยืนอยู่ในชุดราชครูคนหนึ่งประจำสำนัก ทหารอังวะหลายคนที่ยืนตั้งแถวรอรับแม่ทัพคนสำคัญอยู่ด้านหลัง
ใจหรืออองนายก้าวเข้ามา ตามเจิดหรืออูทินลิน ทั้งคู่อยู่ในชุดนายทหารแห่งราชสำนักอังวะ
จอกยีโบมองเห็นอองนายศิษย์รัก ก็ตบหน้าอย่างแรง! อองนายไม่ตอบโต้ ก้มหน้ารับผิด
"ข้าเสียใจที่มีศิษย์อย่างแก อองนาย ทำไมถึงไม่ทำตามที่ข้าสั่ง เลิกยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิงไทยได้แล้ว"
อูทินลินได้แต่มอง ไม่กล้าออกความเห็นใดๆ
อองนายบอก
"สไบทำให้ข้าอยู่ที่นั่นได้ ไม่มีใครสงสัย"
"กล้าโกหกข้าตั้งแต่เมื่อไหร่ แกหลงผู้หญิง คอยตามช่วยมันทุกครั้ง อองนาย ผู้หญิงเขาคบแกเพราะนึกว่าแกเป็นพรานป่า เขาไม่รู้ว่าแกเป็นอังวะ"
อองนายอึ้งเงียบ เถียงไม่ออก จอกยีโบสำทับ
"อองนาย...ทำตามหน้าที่ หน้าที่ของเราคือสืบข่าวมาแจ้งให้กองทัพ เพื่อให้กองทหารเข้าทลายไอ้ค่ายระจันนี้ให้แหลก อย่าให้พวกมันรวมตัวกันแข็งข้อกับเราได้"
"ข้ากำลังทำ สยา ข้าไม่เคยลืมว่าข้ามาที่นี่ทำไม ข้าต้องทำให้กองทัพของเราได้เปรียบเหนือโยเดีย ข้าต้องสอดแนบเอาความลับมาให้กองทัพเราให้ได้"
จอกยีโบมองอองนาย ด้วยสายตาคาดคั้น
สุรินทรจอข่อง แม่ทัพคนสำคัญขี่ม้ามากับนายทหารติดตาม 4 คน
จอกยีโบ อองนาย อูทินลิน ออกมารับ ทำความเคารพ
"ท่านสุรินทจอข่อง"
สุรินทจอข่องมองอองนาย อูทินลิน แล้วเอ่ยถามจอกยีโบ
"นี่หรือ ทหารสอดแนมของท่าน จอกยีโบ"
"ข้าชื่ออูทินลิน ปลอมเป็นพรานป่าไปกับอองนาย ปนอยู่กับพวกชาวบ้านคนไทย"
"เพลานี้ไอ้พวกระจันมันฆ่ากองทหารของเราตายไปหลายร้อย พวกมันเป็นใคร"
"มันเป็นชาวบ้านมาจากหลายที่ ทั้งทุ่งคำหยาด กระทุ่มด่าน ศรีบังทอง สามโก้ ทุกคนหนีภัยศึกมารวมกันที่บ้านระจัน ไม่มีกองทหารหลวง บ้านระจันเป็นแค่กลุ่มชาวบ้าน" อูทินลินบอก
"แต่บ้านระจันก็มีคนมีฝีมือหลายคน บางกลุ่มเคยเป็นทหารมาก่อน แต่หนีทัพมา" อองนายบอก
"อาวุธล่ะ"
"พวกมันไม่มีอาวุธอะไร นอกจากดาบ มีด ไม้ ตามประสาชาวบ้านทั่วไป ปืนใหญ่ยิ่งไม่มี"
"แค่ชาวบ้าน ปืนใหญ่ก็ไม่มี แต่ฆ่าคนเราตายไปเป็นร้อย"
สุรินทรจอข่องคำราม อองนายตอบแทนขึ้น
"พวกบ้านระจันมันอาศัยใจกล้า รวมตัวกันได้เพราะไม่มีทางไป ยอมตายเพราะโกรธที่กองทหารของท่านไปแย่งชิงเสบียง ทำร้ายลูกเมียพวกเขาก่อน"
สุรินจอข่องยิ่งอารมณ์เสีย
"สงครามถ้าไม่ทำให้เด็ดขาด ใครมันจะกลัว หน้าที่ข้าต้องหาเสบียงและแรงงานส่งกองทัพ ถ้าทหารเป็นแสนไม่มีกิน ข้าก็โดนตัดหัวเหมือนกัน ข้า....สุรินทจอข่อง แม่ทัพค่ายเกียกกายนี้ ต้องปราบไอ้พวกระจันให้ได้"
สุรินจอข่องหันไปสั่งทหารคนสนิทด้านหลัง
"ส่งม้าเร็วลงไปรายงานท่านแม่ทัพเนเมียวสีหบดี ที่ค่ายปากน้ำพระประสบเดี๋ยวนี้เลย ให้ท่านแม่ทัพสั่งการให้คนคุมกองทหารขึ้นไปปราบมัน หาไม่คนไทยบางอื่นมันจะเอาเป็นเยี่ยงอย่าง จะเป็นเสี้ยนหนามกับกองทัพเรา"
นายทหารทำความเคารพแล้วรีบวิ่งไปขึ้นมาม้าควบออกไป สุรินทจอข่องหันมาทางจอกยีโบ
"ส่วนท่าน จอกยีโบ ส่งกองสอดแนมของท่านไปเอาข่าวมาให้ข้าว่า...ค่ายระจันมันมีจุดอ่อนอย่างไร ข้าจะทำแผนเข้าตี เผาค่ายมันให้ราบ"
อองนายฟังคำสั่งสุรินทจอข่องด้วยสีหน้ากังวล
ค่ายปากน้ำพระประสบ วัดป่าฝ้าย ผ่านม่านหลายชั้นที่กั้นสายตาของเหล่าทหารชั้นนอก จนเห็นเนเมียวสีหบดี กับมังมหานรธาที่มาร่วมประชุมด้วย นั่งอยู่ท่ามกลางเหล่าแม่ทัพ ปลัดทัพ หลายนายที่แต่งตัวเต็มยศลดหลั่นกันไป
ราชครูกำลังอ่านจดหมายที่สุรินทจอข่องให้ม้าเร็วส่งมา
"สุรินทจอข่อง แม่ทัพแห่งกองเกียกกายเรา ซึ่งตั้งค่ายเก็บเสบียงอยู่ที่แขวงวิเศษไชยชาญ เกรงว่าบ้านระจันจะเป็นภัยแก่กองทัพอังวะ เพราะตั้งอยู่ข้างหลังค่ายเราทางทิศเหนือ จึงมีใบบอกมาแจ้งให้ท่านแม่ทัพทั้งสองจัดนายทัพมีฝีมือ นำทหารขึ้นไปปราบ ล้างค่ายมันแต่โดยเร็ว เพราะหากมันรวมตัวกันได้เข็มแข็ง อาจยกลงมาตีตลบหลังค่ายใหญ่เราที่ปากน้ำประสบ กับสีกุกได้"
มังมหานรธาเอ่ยขึ้น น้ำเสียงเด็ดขาด
"ข้าพเจ้ามังมหานรธาแห่งค่ายสีกุก เห็นสมควรว่าน่าจะเป็นหน้าที่ของท่านเนเมียวสีหบดี แห่งค่ายปากน้ำประสบนี้ ท่านควรเป็นผู้จัดกองทหารไปปราบ เพราะค่ายสีกุกข้าพเจ้าอยู่ใต้ลงไปถึงบางไทร คงไม่สะดวกแก่การสั่งการ"
เนเมียวสีหบดีมองอย่างรู้ทัน พูดเสียงดัง น้ำเสียงกร้าว
"ไอ้พวกชาวบ้านแค่กำมือเดียว ท่านอย่าได้กังวลเลยว่าข้าพเจ้าจะลำบากใจ แค่ข้าพเจ้าแบ่งทหารไปสักห้าร้อยตีค่ายมัน พวกมันก็วิ่งหัวหดเข้าป่ากันหมด เหมือนเมืองอื่นๆที่ข้าพเจ้าเคยตีมา"
"ข้าพเจ้าขอเปิดโอกาสให้ท่านแสดงฝีมือได้เต็มที่ รีบปราบมันโดยเร็วเถิด เพราะนี่ก็จะเข้าฝนแล้ว เราต้องข้ามกำแพงไปเหยียบวังโยเดียให้ได้ก่อนน้ำเหนือหลากลงมา"
"ท่านมังมหานรธา ท่านกลัวชายเสื้อเปียกน้ำเช่นนั้นหรือ คงอยากจะรีบกลับไปกอดเมียแก่ๆที่อังวะเต็มทีละซิ ท่านก็รู้ พระเจ้าอลองพญาของเรายกมาตีเมื่อหกปีก่อนเป็นอย่างไร กำแพงกรุงโยเดียนี้แข็งแรงแค่ไหน ข้าวปลาอาหารที่มันเอาไปเก็บตุนไว้ในกำแพงก็มาก มีกินจนถึงหน้าน้ำแห้งทีเดียว เราคงตีโยเดียให้แตกก่อนน้ำหลากคงเป็นไปไม่ได้"
มังมหานรธายิ้มเยาะ
"ท่านก็เลยอยากจะถอยทัพเสียก่อน แล้วปีหน้าค่อยยกมาใหม่งั้นหรือ"
"อย่าปรามาสข้าพเจ้าเช่นนั้น ข้าพเจ้ากราบบังคมทูล ถวายสัตย์ต่อพระเจ้าอยู่หัวอังวะไปแล้วว่าจะนำมหามงกุฎพระเจ้ากรุงโยเดียไปบรรณาการพระองค์ถึงสีหสาสนบัลลังก์อังวะ หากข้าพเจ้าตีกรุงโยเดียให้เหลือแต่ซากไม่ได้ ข้าพเจ้าจะมิมีวันถอยทัพ"
"งั้นท่านจะทำยังไง เมื่อน้ำท่วมค่าย"
"เพลานี้ข้าพเจ้าให้ทหารต่อแพเตรียมไว้แล้ว ถ้าน้ำเหนือหลากมาเราก็ขึ้นแพ ช้าง ม้า ข้าพเจ้าก็ให้อยู่ที่ดอน พอน้ำลด ข้าวปลาอาหารในกรุงโยเดียก็คงหมดพอดี แต่พวกเรามีข้าวปลาอาหารอยู่เต็มทุ่งรอบกำแพง มีหรือพวกโยเดียมันจะไม่เปิดกำแพงมาขอข้าวข้าพเจ้ากิน ทีนี้ข้าพเจ้าอยากได้อะไรมันก็ต้องยอม ท่านมังมหานรธา...ข้าพเจ้ายินดีอนุญาตให้ท่านนำความคิดนี้ไปใช้กับทัพของท่านได้นะ หรือถ้าท่านจะถือทิฐิ หากตีโยเดียก่อนน้ำเหนือหลากมาไม่ได้ จะถอยทัพไปก่อนข้าพเจ้าก็ได้นะ"
มังมหานรธานิ่ง เหมือนเสียหน้า เนเมียวสีหบดีมองด้วยสายตาเยาะเย้ย
"ตราบใดที่ไม่ได้เห็นแผ่นดินโยเดียวอดวายลงตรงหน้า ต่อให้ต้องตายคาสนามรบ ข้าพเจ้าจะไม่ยกทัพกลับอังวะเด็ดขาด"
เนเมียวสีหบดีมองจ้องไปด้านหน้า อย่างแน่วแน่ในเป้าหมาย
งาจุ่นหวุ่นรีบเข้ามาไหว้เนเมียวสีหบดี
"ท่านเนเมียวสีหบดี ความคิดของท่านแยบยลนัก ข้าพเจ้า งาจุ่นหวุ่น จะขออาสานำทหารกล้าห้าร้อยไปบดขยี้ทำลายพวกบ้านระจัน ให้เป็นเกียรติลือเลื่องแก่ตัวเถิด"
"มันก็แค่พวกชาวบ้านบ้าบิ่น ไม่กลัวตาย คงไม่มีเกียรติแก่ท่านนักดอก..งาจุ่นหวุ่น"
งานจุ่นหวุ่นหน้าเสีย
"แต่อย่างน้อย...ก็ขอให้ข้าพเจ้าได้สอนให้พวกมันได้รู้จักรสดาบของชาวอังวะบ้าง จะให้ข้าพเจ้าอุดอู้อยู่แต่ในค่ายมันก็เบื่อเหมือนกัน คิดเสียว่าพาทหารออกไปฝึกอาวุธ จะได้ประโยชน์กว่า ข้าพเจ้าขอรับรองว่าพวกบ้านระจันจะต้องสิ้นชื่อ ก่อนน้ำเหนือหลากแน่นอน"
เนเมียวสีหบดียิ้มชอบใจ
"งาจุ่นหวุ่น....ท่านสมเป็นทหารของข้าจริงๆ เอาซิ...ข้าขอแต่งตั้งให้ท่านเป็นผู้นำทหารไปปราบไอ้พวกระจันอย่าให้เหลือเป็นเยี่ยงอย่างแก่พวกคนไทย ฆ่ามันให้หมดทั้งค่ายได้เลย ไอ้คนพวกนี้เอามาเลี้ยงเป็นเชลย คงสอนให้เชื่องไม่ได้แล้ว"
งาจุ่นหวุ่นไหว้ด้วยความภาคภูมิใจ แล้วรีบก้าวออกไป เนเมียวสีหบดีหันมายิ้มให้มังมหานรธา
"ที่ค่ายสีกุกของท่าน มีทหารกล้าแบบนี้บ้างไม๊...ท่านมังมหานรธา"
มังมหานรธานั่งคอแข็ง เก็บความโกรธไว้ กลัวเสียเชิง
ที่ลานซ้อม ทุกคนกำลังตั้งวงดู ทัพซ้อมดาบกับเมือง ทั้งคู่ผลัดกันรุกรับอย่างรวดเร็ว ฝีมือไม่ด้อยกว่ากัน
แท่น โชติ อิน และคนอื่นๆเดินคุมสอนอยู่
ทัพกับเมืองฟันใส่กันไม่ยั้ง ทัพอาศัยจังหวะไวกว่า ฟันจนดาบเมืองหล่นพื้น
ทุกคนตะลึง ทัพรีบวางดาบ คุกเข่าลงพนมมือไหว้
"ข้าขอสมาลาโทษพ่อเมือง ข้าไม่ได้ตั้งใจ"
"ลุกขึ้น ลุกขึ้น ไอ้ทัพ เอ็งไม่ได้ผิดอะไร ใครๆก็เห็นว่าข้าแพ้เอ็ง"
"พ่อเมืองผ่อนแรงให้ข้าต่างหาก"
"ไม่ใช่ ฝีมือดาบเอ็งรุนแรง เอ็งเก่งจริงๆ"
เมืองดึงทัพลุกขึ้นอย่างยอมรับ
"ข้าได้ยินว่าเอ็งเคยเป็นทหารกรุงศรี"
สังข์บอก
"พวกเราเคยเป็นทหารกรุงศรี สามคน ไอ้ทัพ ข้า ไอ้ขาบ พวกเราเคยไล่ฆ่ากันเอง เพราะถือว่าอยู่คนละฝ่าย แต่ตอนนี้ความเป็นเพื่อน ทำให้เรามาสู้ด้วยกันที่บ้านระจัน"
ทัพมองสังข์ขาบแล้วยิ้มให้กันอย่างลูกผู้ชาย
"คนพากันมาอยู่ในค่ายมากขึ้นทุกวัน หอบลูกจูงหลานหนีภัยศึกกันมา บางคนมาเพราะถูกคนกรุงศรีปิดประตูเมืองใส่หน้า หลายคนมาเพราะความแค้นแน่นอกเหมือนพวกเอ็ง อยากจะไล่ทัพอังวะให้พ้นแผ่นดิน" แท่นบอก
ทุกคนสีหน้าเห็นด้วย
เสียงกลองรัวดังขึ้น ดังมาจากด้านหน้าค่าย
"พวกมันมากันอีกแล้ว" โชติบอก
ผู้ชายทุกคนท่าทางพร้อมระวัง กำดาบกันแน่นทันที หันมองไปที่หอกลอง
บริเวณหอกลอง ลานหน้าค่ายระจัน ชายฉกรรจ์กำลังตีกลองศึกเสียงดังให้สัญญาณ ด้านลานบ้าน ถนนลานตีไก่ในค่าย พวกผู้หญิงอุ้มเด็ก พากันวิ่งกลับเข้าเรือนด้วยความตกใจ
บ้านใครมีเกราะก็วิ่งออกมาตีให้สัญญาณต่อ พวกผู้ชายวิ่งคว้ามีดพร้าออกไป บางครอบครัว ลูกเข้ามากอดพ่อร้องไห้ไม่ให้ไป แม่มาดึงลูกไว้ พ่อตัดใจวิ่งออกไป
ทางเดินหน้ากระท่อมสังข์ในค่าย ชายหลายคน จับดาบ วิ่งตรงไปที่ลานหน้าค่าย
บริเวณโรงครัว ผู้หญิงกำลังทำกับข้าว เสียงกลองศึกดังก้องได้ยินมาถึง บางคนวิ่งไปตีเกราะต่อ
แฟงกำลังจุดเตาวางฟืนลงทันที สไบ จวงที่กำลังหุงข้าวกะทะใหญ่ มองไป
"ฉันไปก่อนนะ แม่"
แฟงไม่รอนางเฟี้ยมอนุญาต วิ่งออกไปก่อนคนแรก เฟื่องกำลังฝานมะม่วง วางมีด ลุกขึ้นเรียกห้าม
"แฟง กลับมาก่อน"
เฟื่องลุกขึ้นแล้วเกิดหน้ามืด วูบลงนั่ง จวงรีบเข้ามาประคอง
"พี่เฟื่อง"
"ไม่เป็นไร จวง พี่แค่หน้ามืดนิดหน่อย"
เฟื่องนั่งหายใจแรง สไบเอาพัดมาช่วยพัด
"พักนี้พี่เฟื่องไม่กินข้าวกินปลาเลย ฉันเห็นกินแต่ของเปรี้ยวๆ"
เฟี้ยมกับจันทร์มองจานมะม่วง แล้วสบตากัน
"เฟื่อง .. อาการเอ็ง เหมือนคนแพ้ท้อง"
เฟื่องมองแม่ด้วยสายตาตกใจ ไม่ทันนึกว่าตัวเองอาจจะท้อง
บริเวณโบสถ์หลวงพ่อธรรมโชติ กลุ่มพ่อค่ายทั้ง 11 คนนั่งอยู่ด้านหน้า ด้านหลังคือกลุ่มทัพ และนักรบทุกคน หลวงพ่อธรรมโชติหลับตาภาวนาแล้วลืมตาขึ้นมองทุกคน
"พวกข้าจะออกศึกในชั่วครู่นี้ ครั้งนี้ ข้าทองแก้ว คนบ้านโพธิ์ทะเล"
"ข้าดอกไม้ คนบ้านตลับ"
"ข้าเมือง คนศรีบัวทอง"
"ข้าโชติ คนบ้านศรีบัวทอง"
ทองแก้วบอก
"ข้าสี่คนจะขอนำกองกำลังพี่น้องเพื่อนตายชาวระจันออกไปสู้กับพวกอังวะ เพื่อรักษาชีวิตพ่อแม่ ลูกเมียพวกเหล่าข้าไว้"
"หากไม่สู้พวกมันก็จะมาพรากเราไปจากกันอยู่ดี เราเกิดกันบนแผ่นดินนี้ ฉะนั้นแผ่นดินนี้...ดินทุกก้อน มันคือของเรา" ดอกไม้บอก
"แผ่นดินนี้เราใช้ปลูกข้าวกินมาครั้งปู่ย่าตายาย พวกมันจะมาแย่งไป เรายอมไม่ได้" เมืองว่า
โชติบอก
"เราจะขอสู้ ถึงตายก็จะสู้"
หลวงพ่อธรรมโชติมองไปที่ทุกคนที่เข้ามาขอพรเป็นกำลังใจ แล้วมาหยุดที่ทัพกับพวก
ทัพพนมมือเอ่ยขึ้นเหมือนคำสัตย์สาบาน
"พวกข้าเคยเป็นข้าทหารในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แต่ศึกนี้เป็นศึกแรกที่พวกข้าจะร่วมรบกับพี่น้องบางระจัน สองแขนข้าจักขอทำศึกป้องกันค่ายระจันและพี่น้องบางระจันทุกคน ชีวิตข้าขอมอบให้แผ่นดิน...เยี่ยงทหาร"
ใจกับเจิดเข้ามาทีหลัง นั่งอยู่ด้านหลังสุด คอยมองเหตุการณ์ทั้งหมด
หลวงพ่อธรรมโชติมองทุกคนที่มากันพร้อมหน้า
"บัดนี้มากันพร้อมมูลมากหลาย ครบเป็นกองทหารแล้ว ศึกนี้พวกเจ้าจำต้องสู้เพื่อป้องกันลูกเมียพ่อแม่ที่เคารพรัก ก็ขอให้ตั้งมั่นในความกตัญญู มิใช่คิดแต่จะแก้แค้นถ่ายเดียว จงอาสาสู้...เอาชีวิตเลือดเนื้อถวายให้แก่แผ่นดินและเจ้าชีวิต หาใช่สู้เพราะความคึกคะนอง แล้วสวัสดีมีชัยจะเกิดแก่พวกเจ้า"
ทัพมองหลวงพ่อด้วยสีหน้า แววตานับถือ นักรบทุกคนแววตาฮึกเหิม
หลวงพ่อหยิบประเจียดออกมาถือไว้
"ประเจียดมงคลของอาตมา คือความห่วงใยแทนตัว ขอมอบให้นักรบบ้านระจัน จงปลอดภัยกลับมาทุกคน"
ทุกคนก้มลงกราบด้วยความศรัทธา
หลวงพ่อสวมประเจียดลงให้ที่หัวเมืองและดอกไม้ก่อน แล้วตามมาด้วยทัพ สังข์ ขาบ เคลิ้ม เอิบ ช่วง
นักรบคนอื่นๆต่างทยอยเข้าไปเรื่อยๆ
ทัพและคนอื่นๆเดินออกมาจากในโบสถ์ หยิบดาบของตัวเองที่วางอยู่บนแคร่หน้าโบสถ์ เตรียมพร้อมจะออกไปรบ ลูกเมียที่คอยอยู่ด้านหน้า ต่างเข้ามาอวยพรให้ด้วยความเป็นห่วง
แฟงยืนมองอยู่อีกด้านรีบเข้ามาหาทัพ
"พี่ทัพ ระวังตัวด้วยนะ เขาพูดกันว่ามันมากันมากกว่าเก่า"
"มันจะมากแค่ไหน ข้าก็จะสู้ เอ็งดูแลแม่พี่ด้วยนะ"
"พี่ไม่ต้องห่วง น้าจันทร์ก็เหมือนแม่ฉัน"
เจิดกับใจตามมาทางด้านหลัง ยืนอยู่ห่างๆไม่มีอาวุธ
"แล้วพี่เจิดพี่ใจไม่ไปช่วยพี่ทัพรบด้วยหรือ"
"เออ..ให้ฉันออกไปด้วยก็ได้นะ" เจิดบอก
"อย่าเลย เจิด เอ็งยังไม่หายดี ลำพังพวกข้า พี่ทัพ ไอ้สังข์ ไอ้ขาบ พวกมันก็ยับหมดแล้ว" ฟักบอก
"ฉันยังไม่เคยได้รบกับพวกอังวะเลย" เจิดบอก
"ศึกนี้ไม่จบเร็วหรอก เก็บแรงเอ็งไว้ เอ็งได้ฟันกับพวกอังวะแน่ ไอ้เจิด ไอ้ใจ" สังข์ว่า
แฟงเข้ามากอดพี่ชาย น้ำตาคลอ
"มีชัยสวัสดีกลับมานะพี่"
"ไม่ต้องห่วง แฟง พี่จะกลับมา"
ฟักเดินออกไป คนอื่นๆตาม ทัพมองแฟงที่ยิ้มให้อย่างเป็นกำลังใจ
บริเวณประตูระเนียดค่าย นักรบบ้านระจันยืนอยู่เต็มลานค่ายพร้อมรบ ทองเหม็น, พันเรือง, ยืนอยู่บนประรำให้กำลังใจ ปลุกขวัญนักรบอยู่
"พวกเราชาวบ้านระจัน สู้ตาย แผ่นดินนี้ต้องเป็นของเรา" ทองเหม็นว่า
นักรบฮึกเหิมร้อง "เฮ"
พันเรืองบอก
"พี่น้องทั้งหลาย ออกไปรบไล่ไอ้พวกอังวะให้พ้นแผ่นดินเราเถิด"
"เฮ"
"นักรบระจัน ออกไปฆ่ามัน"
"เฮ"
ทองแก้ว ดอกไม้ เฮ...นำขบวนนักรบชายเดินออกประตูระเนียดค่ายทันที
โชติกับเมือง เฮ...นำชายฉกรรจ์อีกขบวนออกไป
หลวงพ่อธรรมโชติยืนเด่นอยู่บนซุ้มประตูค่าย ประพรมน้ำมนต์ลงมาให้กับเหล่านักรบที่กำลังเดินผ่านประตูออกไป
สาวชาวบ้านพากันโปรยดอกไม้ แฟง เฟื่อง สไบ จวงที่อยู่ในขบวนโปรยดอกไม้
ทัพ สังข์ ขาบ ฟัก เคลิ้ม เอิบ ช่วง อยู่บนหลังม้า ปิดท้ายขบวนออกไป
ทัพมองไปที่แฟงที่โปรยดอกไม้ให้ ทัพยิ้มกับแฟง จวงโปรยดอกไม้ไปโดนเข้าที่หัวสังข์ สังข์คลำหัวแต่ก็ยิ้ม
ขาบมองหาเฟื่อง เฟื่องถือดอกไม้ไว้ ก่อนจะตัดสินใจโปรยไปที่ขาบ ขาบยิ้มชื่นใจ
กลุ่มผู้หญิงโปรยดอกไม้ด้วยสีหน้าสดชื่น
ใจ เจิด ยืนมองอยู่กับชาวบ้าน มองขบวนนักรบด้วยสายตาที่ยากใครจะอ่านออก
เฟื่องหน้ามืดนั่งลง แฟงกับจวงเดินคุยกันตามมาทางด้านหลัง
"ทัพอังวะมันต้องแหลกด้วยฝีมือพวกเรา"
เฟื่องสีหน้าเพลีย จวงมองแล้วถามขึ้น
"พี่เฟื่อง ไปพักที่เรือนก่อนมั้ยพี่"
แฟงหันมามอง
"พี่เฟื่องเป็นอะไร"
"น้าเฟี้ยมบอกว่า .. พี่เฟื่องท้อง" จวงบอก
รุ่งเดินเข้ามาได้ยินก็พรวดถามทันที
"ฮ้า เฟื่องท้อง ท้องกับใคร"
"พี่รุ่ง ปากเหรอนั่น พี่เฟื่องเค้ามีผัวแล้วนะ พี่ขาบไง" จวงว่า
"ฮึ ... ผัวเมียประสาอะไร ไม่เคยอยู่เรือนเดียวกัน"
"ไอ้พวกตาบอดสอดตาเห็นนี่ระวังเถอะ ส่ายลูกตาแอบดูชาวบ้าน ระวังแม่จะควักลูกตาออกมาเตะเล่น"
แฟงดุใส่ รุ่งวิ่งหนีไปทันทีเพราะกลัวฤทธิ์แฟง แฟงหันมาทางเฟื่อง
"พี่เฟื่องอย่าไปสนใจเสียงนกเสียงกา พี่เฟื่องต้องสวดมนต์ไหว้พระ ต้องอธิษฐานให้พี่ขาบชนะกลับมา"
"พี่ท้อง"
"ทำไมล่ะ พี่เฟื่องท้อง ทำไมพี่เฟื่องไม่ดีใจ"
เฟื่องยิ้มเจื่อนเต็มที ทุกคนมอง เฟื่องหลบตา
"ดีใจสิ พี่ต้องดีใจ"
แฟงกุมมือพี่สาวไว้ เฟื่องมองน้องสีหน้าสับสน บอกไม่ถูกว่าดีใจหรือเสียใจที่ท้องกับขาบ
อ่านต่อหน้า 3
บางระจัน ตอนที่ 8 (ต่อ)
กองทหารอังวะที่มีมากมาย เคลื่อนพลมาตามแนวป่า งาจุ่นหวุ่นอยู่บนหลังม้า มองไปแล้วพูดขึ้นด้วยลำพองใจ
"พวกเอ็งคอยดู ชาวบ้านไร้วินัยศึกแค่หยิบมือ ไม่ทันตะวันคล้อย ก็จะถูกตีนม้าข้าย่ำหัว จนวิ่งเข้าค่ายไม่ทันทีเดียว"
งาจุ่นหวุ่นเคลื่อนทัพมา พอพ้นแนวป่า มองเห็นไม่มีใครเลย
ตะวันตรงหัว งาจุ่นหวุ่นมองท้องฟ้า
"ไม่เห็นเป็นอย่างข่าวลือ พวกเราเดินทัพมาจนจะถึงบ้านระจันมันอยู่แล้ว ไม่เห็นหัวพวกมันออกมาสกัดกั้นทัพเราสักนิด หรือมันวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนไปตั้งแต่ได้ยินเสียงกองม้าเราหายใจแล้ว"
งาจุ่นหวุ่นกับทหารรายรอบหัวเราะ ไม่ทันระวัง
ด้านหลังแนวป่า ทองแก้ว ดอกไม้กับนักรบบางระจันก้าวออกมา งาจุนหวุ่นไม่ทันระวัง พอเห็นว่าถูกล้อมก็ตกใจ
ดอกไม้ประกาศก้อง
"บ้านระจันรบ"
ทุกคนขานรับ"รบ รบ"
สิ้นเสียง นักรบบางระจันชูดาบ พุ่งเข้าหาทัพของงาจุ่นหวุ่น ฝ่ายทหารอังวะไม่ทันตั้งตัว โดนฟันตายล้มหลายคนทันที
ทองแก้ว ดอกไม้ กับนักรบ ตะลุยฟันจนทัพอังวะจนแตกไม่เป็นขบวน งาจุ่นหวุ่นมองตกใจ ควบม้าฝ่าถอยไปอีกด้าน เพื่อตั้งหลัก
ม้าของทหารหลายคนตามงาจุ่นหวุ่นไปทันที ทหารอังวะแตกพ่าย หลายคนกำลังจะหนีหลบเข้าไปในแนวป่า เมือง กับ โชติ พาพวกอีกกลุ่มพุ่งเข้ามาดักไว้ ทหารอังวะที่ไม่คิดว่าจะถูกตลบหลัง โดนฆ่าฟันลงอย่างมาก
งาจุ่นหวุ่นกับทหารกลุ่มหนึ่งควบม้ามาหยุดรอกลางป่า
"พวกมันหลอกเรา จัดกระบวนม้ากลับไปช่วยพวกเราเร็ว"
งาจุ่นหวุ่นพูดด้วยความโกรธ ตั้งแถวม้าหันหน้าไปสู้นักรบบางระจัน เสียงฝีเท้าม้ามาทางด้านหลัง งาจุ่นหวุ่นกับพวกหันไป เห็นทัพนำกองทัพม้า บ้านคำหยาดโผล่ออกจากแนวป่า
ทัพชูดาบ ควบอ้ายเลานำเข้าไป ทุกคนควบม้าตาม งาจุ่นหวุ่นตกใจ
"กองม้าบ้านคำหยาด ตะลุมบอน"
กองม้าคำหยาดเข้าตะลุมบอนกับอังวะอย่างดุเดือด
ทัพพูดไป สู้ไป
"ถ้าพวกมึงไม่กลายเป็นผีเฝ้าป่าบางระจัน พวกกูก็จะไม่ถอยเข้าค่ายอย่างเด็ดขาด บางระจัน... รบ"
ทหารงาจุ่นหวุ่นทุกคนพยายามสู้เอาตัวรอด ทัพ สังข์ ขาบ และทุกคนรบบนหลังม้าด้วยความคล่องแคล่ว งาจุ่นหวุ่นตกตะลึง พยายามจะหนี ทัพฟันทหารล้มทั้งม้าทั้งคนไปหลายศพ ก่อนจะพุ่งม้าฝ่าเข้าไปที่ตัวงาจุ่นหวุ่นที่กำลังจะหนีทันที
ทองแก้ว ดอกไม้ เมือง โชติ ฟันทหารอังวะล้มตายลงเกือบทั้งหมด ศพทหารอังวะเกลื่อนดิน ท่ามกลางนักรบบางระจันที่เลือดข้าศึกโทรมกาย
ทัพพุ่งม้าเข้ามาฟัน งาจุ่นหวุ่นบนหลังม้าชักปืนออกจากข้างเอว ขาบที่ฟันทหารอังวะล้มลง หันมาเตือน
"ทัพ ระวัง"
ขาบพุ่งม้าเข้าขวาง งาจุ่นหวุ่นยิงเปรี้ยงออกไป กระสุนปืนยิงโดนไหล่ขาบ กระดอนตกจากหลังม้า
"ไอ้ขาบ"
ทัพหันไปมองขาบ งาจุ่นหวุ่นได้ที ควบม้าหนีอย่างเร็ว ทหารอังวะกำลังจะถอยม้ามาเหยียบร่างขาบบนพื้น
ทัพพุ่งม้าเฉียดไปฟันร่างทหารอังวะล้มลง แล้วโดดลงจากหลังอ้ายเลา ลากร่างขาบให้ห่างออกมาก่อน
กลุ่มสังข์และทุกคนฟันทหารอังวะล้มตายลงทั้งหมด ทุกคนลงจากหลังม้า มองทัพที่พยุงร่างขาบ
"ตามมันไป ทัพ ไม่ต้องห่วงข้า"
ทัพและทุกคนที่วิ่งมาดูขาบ ก่อนสติขาบจะดับวูบไป
เวลาต่อเนื่องมา เฟื่องนั่งสีหน้าไม่ดี แฟง จวง สไบอยู่ใกล้
"พี่เฟื่องน่าจะนอนพักในเรือน"
"พี่ไม่ได้เป็นอะไรมาก แฟง"
จวงบอก
"นั่งรอพวกผู้ชายอยู่เฉยๆ มันก็กลุ้มนะ"
"ห่วงพี่สังข์ล่ะสิ" สไบบอก
"ห่วงอะไร สไบพูดไปเรื่อย"
แฟงมองพี่สาว เฟื่องแตะที่ท้องเบาๆ แฟงกุมมือให้กำลังใจ เฟื่องมองน้องสาว
เสียงกลองดังรัวมาจากด้านหน้าค่าย ทุกคนพอได้ยินก็ตื่นเต้น
"เสียงกลอง พวกไปรบกลับมาแล้ว" แฟงบอก
แฟง สไบ จวงยิ้มมองกัน เฟื่องทั้งตื่นเต้น ทั้งกังวล
บริเวณหอกลอง ชายฉกรรจ์ร่างกำยำกำลังตีกลองอยู่ บรรดานายค่ายและชาวบ้านพากันเดินออกมารอรับพวกไปรบอย่างตื่นเต้น
แท่น อิน พันเรือง ขุนสรรค์ ทองเหม็น ทองแสงใหญ่ จันทร์หนวดเขี้ยวพากันเดินมาจากเรือนพ่อค่ายออกมารับที่ลานระเนียดค่าย
ประตูค่ายเปิดออก ดอกไม้ เมือง เดินนำนักรบที่เลือดโทรมกาย แต่โห่ร้องด้วยความดีใจที่ได้ชัยชนะเหนือทหารอังวะกลับเข้ามา
ชาวค่ายบ้านระจันโห่ร้อง ต้อนรับ พวกลูกเมียต่างวิ่งเข้าไปกอดกัน นักรบทุกคนสีหน้ายินดี พ่อลูก แม่ลูกกอดกันอย่างดีใจ
พวกนายค่ายต่างดีใจเข้าไปกอดไปไหว้กัน แล้วยืนดูชาวบ้านที่ตั้งใจรบอย่างภูมิใจ
"พ่อดอกไม้ พ่อเมือง ทำได้ดีมาก ดีจริงๆ" แท่นบอก
"แต่ตัวหัวหน้าแม่ทัพมันหนีกลับไปได้" ทองแก้วว่า
ทองเหม็นบอก
"ช่างหัวมัน ให้มันกลับไปรายงานแม่ทัพใหญ่มันว่าพวกระจันสู้ตายแค่ไหน"
พันเรืองมองไปรอบๆแล้วไม่สบายใจ หันมาถามดอกไม้
"แล้วพ่อทองแก้วกับพ่อโชติละ"
ดอกไม้ยิ้มๆบอก
"เดี๋ยวก็ตามมา...ข้าขอไปอาบน้ำก่อน เดี๋ยวจะได้มาฉลองกัน"
ดอกไม้ กับ เมืองเดินออกไปพ่อค่ายต่างมองหน้ากันอย่างแปลกใจกับคำพูดของดอกไม้
ลูกเล็กๆวิ่งไปกอดพ่อ พ่อแบกขึ้นขี่คอกลับบ้าน นักรบชายลงกราบแม่
เอิบ ช่วง นำนักรบหลายคนที่บาดเจ็บจากการโดนฟัน มีเพื่อนๆพยุงร่างกลับเข้ามา
ชาวค่ายหลายคนรีบเข้าประคอง เอาน้ำในกระบอกส่งให้กิน แล้วพาแยกไปที่เรือนคนเจ็บ
ช่วงมองหาพระอาจารย์ธรรมโชติ
"เอิบ..พระอาจารย์ล่ะ"
"อยู่ที่วิหารมั้ง"
ช่วงวิ่งไปทางวิหารพระอาจารย์ทันที เอิบวิ่งตาม
แฟงเดินฝ่ากลุ่มคนขึ้นมามองเห็นขบวนท้ายสุด ทัพขี่อ้ายเลานำกองม้ากลับเข้ามา แฟงยิ้มดีใจเมื่อเห็นทัพ ทัพมีแผลที่หน้าผาก-เลือดซิบๆ
ทัพมองเห็นแฟงท่ามกลางกลุ่มคนก็ใจชื้น ยิ้มออกมา แฟงเดินมาใกล้อ้ายเลา ทัพโดดลงจากม้า
"เฟื่องอยู่ไหน"
แฟงหน้าสลดลงไป ทัพบอกเร็ว
"ไอ้ขาบมันเจ็บ"
แฟงหันไปมอง เห็นขาบที่นอนสลบมาบนหลังม้า แฟงสีหน้าตกใจ
ช่วง กับ เอิบ วิ่งเข้าไปในวิหารอย่างรวดเร็ว พระอาจารย์ธรรมโชติ นั่งสงบนิ่งอยู่มุมหนึ่งในวิหาร ทั้งคู่วิ่งมาทรุดลง คลานเข้าไปกราบ
พระอาจารย์พูดทั้งๆที่ยังหลับตา
"กลับกันมาแล้วหรือ"
"ขอรับพระอาจารย์....ข้าฟันพวกมันตายไปราวๆ สามสิบคน" ช่วงบอก
"ข้าฟันมันได้มากกว่าไอ้ช่วง...น่าจะเกือบสี่สิบ" เอิบบอก
"ถ้าได้บวชจะล้างบาปได้ไม๊หลวงพ่อ" ช่วงว่า
พระอาจารย์นิ่ง ไม่พูดใดๆ
แฟงวิ่งกลับมาที่หน้าเรือน
"พี่เฟื่อง พี่ขาบ พี่ขาบ"
ทุกคนตกใจ มองแฟงที่ยังหอบหายใจ เฟื่องลงจากเรือนมาจับแขนแฟง
"พี่ขาบเป็นอะไร"
เฟื่องถามเร็ว น้ำเสียงเป็นห่วง
ทัพประคองขาบนั่งพิง แฟงกับเฟื่องเข้ามา ทัพเอ่ยบอก
"พวกข้าศึกแพ้เพราะไม่คิดว่าเราจะเตรียมแผนรบไปอย่างดี แบ่งกันแยกเข้าตี แต่ไอ้ขาบมันถูกกระสุน เพราะช่วยพี่ไว้"
ขาบกัดฟันมองไปที่เฟื่อง
"ฉันไม่เป็นไร"
"เลือดยังออกไม่หยุด"
เฟื่องหันไปคว้าผ้ากดลงไปตรงแผลที่ไหล่ ขาบมองแล้วแตะมือเฟื่องเบาๆ
"เฟื่องห่วงพี่หรือ"
ทัพมองภาพขาบกับเฟื่องที่ห่วงใยกัน
แฟงลอบมองหน้าทัพ ทัพหันมาเห็นสายตาแฟงพอดี สังข์วิ่งเข้ามาพร้อมกับหมอ
"พ่อหมอมาแล้ว"
หมอชาวบ้านตรงมาที่ขาบ เฟื่องปล่อยมือ ให้หมอดูแผล
"ทนหน่อยนะไอ้ขาบ ข้าต้องเอาลูกเหล็กออก แล้วเอ็งจะหายเจ็บ"
หมอหยิบมีดออกมา เฟื่องมองกลัว ขาบเอื้อมมือมากุมมือเฟื่อง เฟื่องบีบมือขาบไว้อย่างให้กำลังใจ สังข์เอาผ้าคาดให้ขาบกัด
ทัพ แฟงมองขาบอย่างให้กำลังใจ
"อดทนนะ ไอ้ขาบ"
จวงถือกาน้ำร้อนเก่าๆเข้ามาวางใกล้หมอ
"น้ำร้อนมาแล้ว"
หมอเอามีดลวกลงในกาน้ำร้อนเก่าๆ
ขาบมองมีดที่หมอยกขึ้นมาตรงหน้า เฟื่องมองกลัว บีบมือขาบ ทัพ สังข์ยิ้มให้กำลังใจ แฟง จวงบีบมือกันด้วยความกลัว
ขาบพยักหน้าว่าพร้อม หมอกดมีดลงไปที่แผล เฟื่องเบือนหน้าหนีด้วยความกลัว ขาบเจ็บปวดมาก กัดผ้าจนเหงื่อหยดเม็ดใหญ่
เฟื่องเข้ามาประคองหัวขาบไว้ในอก ขาบสีหน้าอดทน หมอผ่าเอากระสุนออกมา
ขาบหายใจแรง
"เฟื่อง"
ขาบพูดได้แค่นั้นก็หมดสติลง เฟื่องกอดประคองขาบไว้ ทัพทอดสายตามองเฟื่อง แล้วลุกออกไปเงียบๆ
แฟงมองตามทัพด้วยสายตาสงสัยท่าทีของทัพว่า ยังอาลัยรักในตัวเฟื่องอยู่ไม่น้อย
ในป่าเขตบางระจัน เวลาเย็นต่อเนื่อง งาจุ่นหวุ่นพุ่งม้ามาอย่างเร็ว เพื่อหนีการตามล่า แต่ม้าเหนื่อยอ่อน ล้มลง นายทัพฝ่ายอังวะกลิ้งตกจากหลังม้า กลิ้งไปหลายตลบ ก่อนจะหยุดที่ปลายเท้าม้าตัวหนึ่ง
งาจุ่นหวุ่นเงยมอง เห็นเยกินหวุ่นบนหลังม้ากับทหารนับร้อยคนที่ตามมาสมทบ
"เยกินหวุ่น ช่วยข้าด้วย พวกมันฆ่าคนของเราไม่เหลือเลย"
แววเยกินหวุ่นตาลุกวาวด้วยความแค้น
เยกินหวุ่น แม่ทัพอีกคนนำทหารเดินเท้าใกล้เข้ามา ทุกคนมาหยุดที่ลานโล่ง
"เราจะบุกไปแก้แค้นให้ทหารของเรา ตีมันให้ถึงค่าย"
เยกินหวุ่นสีหน้ามั่นใจ แต่ไม่ทันระวัง นักรบบางระจันนำโดยโชติกับทองแก้ว โผล่ออกมาจากหลุมดินที่พรางไว้ ยกดาบพร้อมนักรบบ้านระจัน
"ชาวบางระจันรบ รบเพื่อแผ่นดินของเรา...รบ"
โชติ ทองแก้วชูดาบพร้อมนักรบบ้านระจันวิ่งเข้าหา เยกินหวุ่นสีหน้าตกใจอยู่บนหลังม้า นึกไม่ถึงว่าจะเจอพวกนักรบบ้านระจันที่ดักซุ่มอยู่
โชติ ทองแก้วฟันทหารอังวะหลายคน เลือดพุ่งกระฉูด
ม้าเยกินหวุ่น ตื่น วิ่งวนอยู่ท่ามกลางนักรบบ้านระจัน ท่ามกลางศพทหารอังวะที่ล้มตายลงนับไม่ถ้วน
เยกินหวุ่นเห็นสู้ไม่ได้ ตัดสินใจชักม้าหนีเข้าป่าไป
โชติ ทองแก้ว และนักรบบ้านระจันยืนอยู่ท่ามกลางซากศพทหารอังวะ เนื้อตัวเลือดไหลโทรม
"พวกมันคิดว่าพวกเราตาขาวกลับเข้าค่ายกันหมด ไม่มีการลาดตระเวนรอบค่าย"
"นั่นแหละคือความโง่เง่า พวกมันไม่คิดว่าเราจะเตรียมฟันคอมันซ้ำสอง"
ทองแก้วกับโชติ และเหล่านักรบที่ยิ้มให้กันอย่างพอใจที่ทำลายทัพเยกินหวุ่นได้
บริเวณทุ่งหญ้าเลี้ยงม้า หลังค่ายระจัน เมื่อเวลาเย็น ทัพกำลังดูอ้ายเลาเล็มหญ้า ทัพเข้าไปกอดคออ้ายเลา
"อ้ายเลา เพื่อนยาก .. เอ็งกับข้าจะต้องร่วมทุกข์ร่วมสุขกันไปอย่างนี้ จนกว่าศึกจะสงบ"
แฟงเดินมาด้านหลัง มองทัพที่กำลังลูบขนอ้ายเลา
"... จนกว่าจะได้กลับบ้าน อย่าทิ้งข้าไปอีกคนนะ"
เสียงทัพเศร้าใจ เมื่อนึกถึงเรื่องเฟื่องกับขาบ
อ้ายเลาเห็นแฟง ก็ดันทัพให้หันมาทางแฟง
"อ้าว ... แฟง"
ทัพมองแฟงเก้อๆ
"พี่ว่าใครทิ้งพี่"
ทัพตอบเลี่ยง
"พี่ก็พูดไปเรื่อย"
"พี่เฟื่องไม่เคยอยากทิ้งพี่เลย แต่เพราะฉัน ฉันทำให้พี่กับพี่เฟื่องผิดใจกัน จนไอ้ขาบฉวยโอกาสจับพี่เฟื่องไป"
"อย่าโทษตัวเองเลย แฟง เรื่องมันผ่านมาแล้ว เฟื่องเองก็คงไม่เคยคิดโทษน้องสาว"
"ฉันไม่มีวันลืมได้หรอกพี่ทัพ ฉันเป็นคนทำให้พี่เฟื่องไปตกระกำลำบาก พี่เฟื่องต้องเป็นเมียไอ้ขาบเพราะฉัน"
แฟงเสียงเครือ น้ำตาคลอ
"ทั้งๆที่พี่รักกับพี่เฟื่อง ถ้าไม่มีฉัน พี่กับพี่เฟื่องจะได้อยู่ด้วยกัน"
แฟงน้ำตาหยด ทัพมองแล้วสงสาร เดินเข้าไปใกล้ จับไหล่แฟง
"หยุดเถอะ แฟง หยุดโทษตัวเอง ทุกอย่างมันแล้วแต่เวรแต่กรรมที่พี่กับเฟื่องทำมา ไอ้ขาบเองมันก็รักเฟื่อง"
"แต่พี่เฟื่องไม่อยากมีลูกกับไอ้ขาบ"
ทัพตกใจ
"มีลูก"
"ใช่ พี่เฟื่องท้อง พี่เฟื่องอยากเป็นเมียพี่ มีลูกกับพี่"
ทัพเขย่าร่างแฟง จ้องด้วยแววตาสั่งสอนแบบผู้ใหญ่
"หยุด แฟง หยุดพูด หยุดคิดแบบนี้ เรื่องพี่กับเฟื่องมันไม่มีวันเป็นไปได้"
"พี่ทัพยังรักพี่เฟื่องมั้ย"
"รักซิ"
แฟงหน้าสลดลง ทัพเอ่ยจ้องอธิบายกับแฟง
"แต่เป็นรักแบบน้อง รักที่เป็นห่วงอย่างน้องสาวคนนึง เหมือนที่พี่ห่วงจวง"
"ฉันรู้ว่าพี่สองคนยังรักกัน"
"เอ็งจะมารู้ใจพี่ดีได้ยังไง เอ็งไม่ได้มานั่งกลางใจพี่"
ทัพมองแฟง แววตาสั่งสอน
"จำไว้นะแฟง อย่าคิดโทษตัวเอง อย่าคิดว่าพี่กับเฟื่องยังอาลัยอาวรณ์กัน พี่ไม่เลวพอที่จะรักเมียเพื่อน ไอ้ขาบคือเพื่อน เฟื่องคือน้อง แล้วเฟื่องเองก็รู้ว่าตัวเองต้องรัก ต้องซื่อสัตย์กับขาบ รักแล้วต้องรู้ผิดรู้ชอบ ไม่อย่างนั้น รักมันจะทำลายตัวเราเอง"
ทัพมองแฟงที่มองด้วยสายตาตื่นๆ ถามด้วยเสียงอ่อนลง
"เข้าใจแล้วใช่มั้ย แฟง"
"จ้ะ พี่ทัพ"
ทัพมองแฟงที่เหมือนเด็กน้อยน่าสงสาร ก็ดึงมือไปที่อ้ายเลา ทัพจับมือแฟงลูบลงแผงคออ้ายเลาเบาๆ
"อ้ายเลามันชอบให้ลูบเบาๆ"
แฟงมองตื่นเต้น ลูบอ้ายเลาเบาๆ ทัพหยิบหญ้าส่งให้แฟง แฟงยื่นหญ้าให้ อ้ายเลาเคี้ยวหมดเร็ว แล้วเอาหัวมาไซร้ใกล้ๆแฟง
แฟงจั๊กจี๋หัวเราะ ทัพยืนยิ้มมองแฟงที่กอดอ้ายเลา
"เอ็งมันยังเด็กมาก แฟง เมื่อกี้ยังน้ำตาหยด ตอนนี้หัวเราะเสียแล้ว"
แฟงมองค้อนทัพ แล้วเข้าใกล้หูอ้ายเลา
"อ้ายเลา ช่วยเตะปากผู้ใหญ่ขี้บ่นให้สักป๊าบสองป๊าบ"
อ้ายเลายกขา ร้องดัง ทัพถอย
"เฮ้ย ... เฮ้ย ... อย่า นะ อ้ายเลา"
แฟงกอดอ้ายเลาหัวเราะชอบใจ ลืมความขุ่นเคืองไปหมด
บริเวณลานซ้อมอาวุธ มีวงร้องรำทำเพลงของชาวบ้านที่กำลังฉลอง กิน ดื่มเมื่อได้ชัยชนะ
ดอกไม้-ทองแก้วเป็นต้นเสียงฝ่ายชาย มีแม่เพลงชาวบ้านหญิงเป็นต้นเสียงฝ่ายหญิง
เอิบ ช่วง ฟัก สังข์กินเหล้า จวงกับรุ่งเอาไก่ปิ้งมาวางเพิ่ม สังข์มองเห็นจวงก็แซว
"มารับพี่กลับไปนอนกอดหรือจ๊ะ น้องจวง"
จวงจ้องให้สังข์หยุด แต่สังข์ไม่หยุด แถเข้าไปรวบตัวจวงมานั่งตักแล้วกอดไว้ รุ่งแทบกรี๊ด พวกผู้ชายหัวเราะ
"พี่สังข์หนาวมาหลายคืนแล้ว"
"หนาวมากเหรอจ๊ะ พี่สังข์"
"มากสิจ๊ะ น้องจวง"
จวงฉีกยิ้มแล้วบิดหมับเข้าที่หูสังข์
"เดี๋ยวฉันจะทำให้หายหนาว"
"น้องจวงจ๋า หูพี่"
จวงไม่ฟัง บิดหูสังข์ลากออกไป
"หูขาดแน่มึง ไอ้สังข์"
สไบเดินเข้ามามอง ยิ้มขำจวงที่ดึงหูสังข์ลากออกไปจากวง
ฟักหันไปเห็นสไบก็ถาม
"ไอ้ใจอยู่ไหนน่ะ สไบ ไม่เรียกมากินด้วยกัน"
ช่วงบอก
"หายหัวอีกล่ะสิ ไอ้นี่ชอบหายแว๊บ"
สไบฟังแล้วสีหน้าไม่ดี แต่ใจก้าวมาจากด้านหลัง
"ฉันอยู่นี่"
ใจเดินมาข้างสไบแล้วยิ้มให้
"หายไปไหนมา พี่ใจ"
"ไปหาพี่ทองเหม็นมา"
"พี่เจิดล่ะ"
"เห็นบอกเจ็บแผล"
"ฉันเอายาไปให้มั้ย"
ใจยิ้ม
"ไม่ต้องหรอก หลับไปแล้วล่ะ"
"มามา ไอ้ใจ มานี่ ข้าจะเล่าให้ฟังตอนฟันกับพวกอังวะวันนี้ เสียดายที่เอ็งยังฝีมือไม่พอที่จะออกศึก"
ใจรีบเข้ามานั่งใกล้ฟัก หน้าตาสนใจ สไบมองโล่งใจที่ใจไม่ได้หายไป กระเถิบเข้ามานั่งฟังฟักเล่าใกล้ๆ
"พวกมันน่ะมาเป็นร้อย แต่เจอพวกเราวางแผนล้อมกรอบ ตลบหน้าหลังมันเท่านั้นมันก็ตกใจ แตกขบวนไม่เป็นท่า พวกข้ากับชาวบ้านระจันก็ไล่ฟันกันสนุกมือ พวกอังวะน่ะ มันนึกว่ามีคนเยอะ แล้วจะชนะ ยิ่งมันยกมาอีกเป็นกองสอง ก็ถูกพ่อโชติกับพ่อดอกไม้พรางตัวออกไล่ฆ่ากลับไปอีก คราวนี้มันคงหดหัวไม่กล้าย่ำทัพมาใกล้บ้านระจันอีกนาน"
ใจยิ้มมองฟักเล่า ไม่แสดงพิรุธทั้งๆที่ใจไม่ยินดีด้วยเลย
งาจุ่นหวุ่น และเยกินหวุ่น สองนายกองที่เพิ่งรบแพ้บ้านระจัน ก้มหน้า หมอบจนตัวแทบติดพื้นอยู่
ตรงหน้าเนเมียวสีหบดี
เจิดนั่งก้มหน้าอยู่กับจอกยีโบหรือจาด ถัดมาอีกแถว
ซ้ายขวาคือเหล่าแม่ทัพนายกองคนอื่นๆ มีสุรินทรจอข่องที่ถูกตามตัวมา นั่งอยู่ด้วย
สุรินทจอข่องเอง สีหน้าไม่ดี เมื่อเห็นสภาพงาจุ่นหวุ่นที่แพ้กลับมา
"พวกมันเป็นชาวบ้าน ที่ฝีมือรบของมัน ..."
งาจุนหวุ่นกลืนน้ำลาย พยายามจะสรรหาคำที่พูดแล้วไม่ทำให้ตัวเองต้องคอขาด เยกินหวุ่นรีบต่อให้
"พวกมัน ... สู้ ... สู้แบบยอมตาย"
เนเมียวสีหบดีถาม
"แล้วทำไมเจ้าสองคนถึงกลับมา"
งาจุ่นหวุ่น เยกินหวุ่นแทบหยุดหายใจ เมื่อได้ยินคำถามจากเสียงทรงอำนาจของเนเมียวสีหบดี
ทุกคนตรงนั้น สีหน้าเครียดขึ้ง
"ทำไมถึงไม่ตายเพราะคมดาบชาวบ้าน เอาความพ่ายแพ้กลับมาหาข้าทำไม"
"ข้าพยายามแล้ว แต่พวกมัน... พวกมัน"
เนเมียวสีหบดีลุกขึ้น
"แค่ชาวบ้านไม่กี่ร้อยแม่ทัพของข้าสองคนยังเอาชนะไม่ได้ ข่าวนี้คงทำให้มังมหานรธา แม่ทัพแห่งค่ายสีกุก ได้เย้ยข้าไปทูลถึงพระเจ้ามังระแน่
ทหารเข้ามาคุมตัวงาจุ่นหวุ่น กับ เยกินหวุ่นที่หน้าซีดเผือด คอตก รู้ชะตากรรมของตัวเองออกไปทันที
เนเมียวหันไปทางจอกยีโบและเจิด
"ชาวบ้านพวกนั้น ปล่อยไว้จะเป็นเสี้ยนแก่ทัพเรา จะเป็นเยี่ยงอย่างให้คนไทยมันแข็งข้อ ตั้งตัวต่อสู้ ไม่เกรงกลัวกองทัพของเรา"
สุรินทจอข่องนิ่งกำลังตัดสินใจ แต่ติงจาโบที่สีหน้าหยิ่งทะนง ขยับออกมาอาสาก่อน
ติงจาโบบอก
"ท่านแม่ทัพเนเมียวอย่าเพิ่งวิตกกับไอ้แค่ชาวบ้านระจัน กำลังมันทั้งค่ายคงมีคนรบเป็นไม่เท่าไหร่ ข้า ติงจาโบ ขออาสาไปกำราบพวกมัน กู้ศักดิ์ศรีเราคืนเอง"
ติงจาโบยิ้มมั่นใจ แล้วหันไปทางเจิดกับจอกยีโบ
สุรินทจอข่องหันไปมองอย่างไม่พอใจ
"กองสอดแนมของจอกยีโบบอกว่าถึงพวกมันจะมีแค่ ดาบ มีด ไม้ แต่ที่สำคัญคือ พวกมันใจกล้าบ้าบิ่น ไม่กลัวตาย"
เนเมียวสีหบดีและทุกคนมองติงจาโบ
ติงจาโบไม่พอใจเหมือนสุรินทจข่องสบประมาท จึงรีบอาสา
"แต่ความกล้าของพวกมันก็กล้าอย่างชาวบ้าน ไม่รู้การศึก นี่..มันคงกำลังดีใจกับชัยชนะ ข้าขอกำลังไพร่พลอังวะเพียงแค่ห้าร้อยไปสั่งสอนให้มันรู้ว่ากองทัพเรานั้น มีความเชี่ยวชาญการรบเหนือกว่าพวกมันหลายเท่านัก"
"ข้าจะให้ไพร่พลไปหนึ่งพัน ถ้าเจ้ามั่นใจว่าจะล้างอายให้ข้าได้ จงทำให้พวกมันหลาบจำกับที่ทำกับเรา ชาวบ้านเพียงไม่กี่คน มันจะต้านกำลังทหารที่ฝึกมาอย่างดีได้อย่างไร จงตีค่ายมันให้แหลก อย่างไว้ชีวิตมันแม้แต่คนเดียว"
จอกยีโบหันมามองอูทินลินอย่างหนักใจ อูทินลินนิ่งเงียบจนเราไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
แววตาติงจาโบมีแต่ความทะนงว่าจะเอาชนะให้ได้
อ่านต่อหน้า 4
บางระจัน ตอนที่ 8 (ต่อ)
สังข์นั่งคอพับด้วยความเมาอยู่ในกระท่อม จวงเท้าเอวมองไม่พอใจ
"อย่าเรียกฉันว่า เมียรัก ต่อหน้าคนอื่นอีก ฉันไม่ชอบ"
จวงจะเดินออกไป สังข์รวบตัวจวงมานั่งในตัก
"น้องจวงจ๋า"
จวงดิ้น สังข์รวบตัวจวงไว้ เสียงออดอ้อน
"แต่งงานตั้งนานแล้ว ยังไม่ได้เข้าหอสักที"
จวงดิ้น
"ปล่อยน่ะ ฉันรำคาญ"
"ไม่ปล่อย จวงต้องอยู่ที่นี่"
"แกอยากหัวแตกใช่มั้ย ไอ้สังข์"
"แตกก็ยอมวะ วันนี้เป็นไงเป็นกัน จะต้องกอดเมียให้สมรัก เผื่อไปศึกคราวหน้าโดนฟันตาย ก็จะได้ไม่เสียดายชีวิต"
จวงที่กำลังดิ้นชะงัก หันมองสังข์ที่หน้าตาจริงจัง
"แกตายไม่ได้นะ ไอ้สังข์"
"ใครจะห้ามได้ล่ะ จวง"
สังข์เองก็ตอบจริงจัง มองจวง
"พวกข้าศึกมีทั้งมีด ทั้งปืน ขอ ง้าว ช้าง ม้า ไม่รู้เท่าไหร่ คนอีกเป็นพันเป็นหมื่นถึงคราวรบแล้วต้องตาย พี่ก็ไม่เสียดายเลือดเนื้อ ห่วงก็แต่จวง จะมีใครดูแล"
"ถ้าห่วง แกก็ต้องไม่ตาย แกต้องสู้ ต้องกลับมาให้ได้"
สังข์มองเห็นแววตาจริงใจห่วงใยของจวง ก็ซบลงที่ไหล่ กอดจวงไว้แน่น
"พี่อยากกลับมากอดจวงอย่างนี้ แต่ถ้าถึงคราวพี่ตายจากศึก จวงอยากมีคนดีๆ ดีกว่าพี่ คอยดูแล พี่ก็ไม่ว่า"
"เกิดมาฉันตั้งใจไว้แล้ว จนตายจะขอมีผัวเดียว"
"ชื่นใจนักจวง พี่เคยเลว เคยชั่วมาสารพัด แค่จวงให้อภัยพี่ พี่ก็มีกำลังใจเป็นคนดี"
"แกต้องดีให้ตลอดนะไอ้สังข์ ยามศึกมาประชิดบ้านอย่างนี้ ถ้าแตกสามัคคีชิงดีชิงเด่น แย่งกันเป็นใหญ่ สุดท้ายเลือดไทยจะไม่เหลือ ข้าศึกมันจะเอาแผ่นดินเราไปไม่เหลือสักข้อนิ้วเดียว"
สังข์กอดจวงซบลงในอก
"คนเคยเลวอย่างไอ้สังข์ ภูมิใจที่เกิดมาเป็นไทย ถ้าตายก็ขอตายอย่างไทย ไม่เกรงกลัวศัตรูหน้าไหน จะรบให้เลือดหยดสุดท้าย รักษาดินทุกก้อนให้ เป็นสมบัติของชั่วลูกชั่วหลานไทย"
จวงมองแล้วชื่นใจ ประคองแก้มสังข์แล้วก้มลงจูบ สังข์ตาระยิบ
"ชื่นใจของจวง"
จวงกับสังข์มองสบตากันด้วยความเข้าใจ สังข์จูบแก้มจวงเบาๆ จวงสะเทิ้นอาย สังข์เอนร่างจวงลง บนแคร่ไม้ ทั้งคู่ถ่ายทอดความรักกันแนบแน่นท่ามกลางดาวระยิบระยับบนฟ้า
บนท้องฟ้าเห็นดาวระยิบระยับ ทัพนั่งมองดาวอยู่ อ้ายเลายืนหลับ แฟงที่นั่งข้างทัพ มองดาวแล้วหาวหวอด ทัพหันไปมอง
แฟงซบลงท่อนแขนตัวเอง หลับไป ทัพมองแล้วค่อยๆดึงแฟงซบลงมาที่ไหล่ แฟงหลับไปที่ไหล่ทัพ ทัพลูบผมแฟงเบาๆ
อ้ายเลาส่งเสียงครืดคราด ไล่แมลง ทัพหันไปทำมือจุ๊ให้อ้ายเลาเงียบเสียง อย่ารบกวนแฟง อ้ายเลามองแล้ว เมินหน้า หันไปทางอื่น
ทัพหันกลับมา เหลือบมองแฟง ด้วยรอยยิ้ม แล้วหันกลับไปมองดาวอย่างมีความสุข
ฝ่ายขาบกำลังนอนซมเพราพิษไข้ หลังเอากระสุนออก เฟื่องกำลังเช็ดตัวให้ขาบ ขาบลืมตาฟื้นมามอง
"อย่าเพิ่งขยับนะพี่ขาบ เอากระสุนปืนออกแล้ว หมอให้พี่นอนนิ่งๆก่อน"
"พี่ไม่น่าโดนกระสุนเลย ไม่อย่างงั้นพวกมันต้องตายอีกมาก"
เฟื่องมองขาบที่แววตาไม่ห่วงตัวเองเลย
"พี่นอนพักเถอะ จะได้หายเร็วๆ ศึกหน้าพี่จะได้ฟันพวกมัน เอาคืนจนสมใจ"
ขาบมองเฟื่องที่ยิ้มหวาน
" คืนนี้ฉันจะอยู่ที่นี่ ดูแลพี่เอง"
ขาบสายตามีความสุข ดึงเฟื่องลงมากอดไว้ เฟื่องขืนตัว ขาบเอ่ยอย่างเว้าวอน
"ขอพี่กอดให้ชื่นใจนิดเดียวนะ เฟื่อง แค่กอด"
เฟื่องได้ยินเสียงและแววตาขอร้องของขาบแล้วสงสาร ยอมนอนลงในอกขาบ
"มีเฟื่องอยู่ตรงนี้ พี่ก็ไม่เป็นอะไรแล้ว หลับซะ คนดีของพี่"
ขาบกอดเฟื่องไว้ เฟื่องมองขาบที่ยิ้มหลับไป เฟื่องแตะมือลงที่ท้อง คิดว่าตัวเองกำลังท้อง แววตาเฟื่องรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาอย่างมาก
รุ่งเช้า จวงกำลังทำกับข้าวกับปลาเตรียมไว้ให้สังข์ ด้วยอาการระบมไปทั้งตัว เดินแทบไม่ไหว
สังข์เดินออกมาจากในห้องในชุดลอยชายไม่ใส่เสื้อ ด้วยอาการสดชื่น บิดตัวไปมาด้วยความสุข ก่อนจะหันมาเห็นจวงที่อาการเจ็บปวด สังข์รีบวิ่งมาพยุง....
"เป็นอะไรจวง"
จวงมองสังข์งอน ตาขวาง ไม่ยอมพูดอาย
"จวง เป็นอะไรบอกพี่"
จวงสะบัด
"ไม่ต้องมาพูด"
"อ้าวไม่คุยกันจะรู้เรื่องได้อย่างไร เป็นอะไรบอกพี่เถิด"
จวงจ้องตาสังข์เขม็ง จนสังข์แปลกใจ
"มองพี่เหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ พี่ไปทำร้ายจวงตั้งแต่เพลาใด"
จวงตีสังข์ ทุบอกตุ๊บตั๊บ
"ไม่ต้องมาทำปากดี ก็เมื่อคืนนี้ไง"
สังข์หน้าเด๋อ ก่อนจะพอนึกออก แถหัวเราะเข้าไปกอดจวง
"โถ...ก็พี่รักจวงนี่ ได้กอดได้หอมจวงทั้งคืน ใครจะทนห้ามใจได้ อภัยให้พี่เถอะที่ทำรุนแรงกับจวง....ที่ทำเพราะรักมากดอก"
จวงเริ่มรู้สึกบางอย่าง ตาขวางขึ้นมาทันที
"ไอ้สังข์"
สังข์ตกใจ ชักขยาด
"อะไร...อย่าทำตาอย่างนี้ซิจวงเมียรัก นี่ผัวนะจ๊ะ"
จวงกระชากคอสังข์เข้ามาด้วยโมโห
"ไอ้สัง ครั้งที่แล้วที่เอ็งบอกว่า ข้าตกเป็นของเอ็ง ทำไมข้าไม่เจ็บเท่านี้ บอกความจริงข้ามาดีดี ว่าเอ็งทำอะไรข้าจริงหรือไม่ ไม่อย่างนั้นข้าจะกลับไปนอนกับแม่"
จวงบีบคอสังข์โยกไปมาอย่างโมโห
"โอ้ยๆใจเย็นๆซิจวง ถ้าพี่บอกความจริงจวงอย่าเคืองพี่นะ"
จวงกระชากคอสังข์อย่างแรง จนสังข์หน้าขมำ...
"โอ้ยๆๆ"
"บอกมา บอกความจริงมา"
"บอกจ๊ะ...บอกจ๊ะ"
จวงยอมปล่อยสังข์สังข์ค่อยๆลุกขึ้นมานั่งจ้องจวงอย่างกลัวๆ
คราวนั้น... สังข์เหวี่ยงจวงลงบนแคร่ โถมตัวเข้าหา จวงยกสองเท้าถีบเข้ากลางอก สังข์กระเด็น
จวงวิ่งไปที่ประตู สังข์กระชากตัวกลับมา จวงดิ้นกัดแขน สังข์เหวี่ยงจวง หัวจวงกระแทกเสา หมดสติ ล้มลงกับพื้น
สังข์มองจวงที่นอนสลบบนแคร่ ลูบผมจวง แววตาแสดงความรัก
"ข้าจะพาเอ็งไปอยู่กรุงศรี เป็นข้ารับใช้คุณพระนาย อีกหน่อยชีวิตเราจะสบาย"
เหตุการณ์ต่อมาคือสังข์ก้มลงจูบข้างแก้มจวงที่นอนนิ่ง สังข์จะจูบอีกข้างแต่ชะงักมองจวงที่สลบอยู่
"ข้าทำไม่ได้ว่ะ"
สังข์ถอยห่างออกมา มองจวงที่หลับอย่างหงุดหงิด
"จะให้ข้ากอดเอ็ง หอมเอ็ง มีความสุขอยู่คนเดียวโดยเอ็งไม่รับรู้ ไม่สนใจ ความรักของข้าเลย ข้าก็สิ้นเชิงชายสิวะ"
สังข์ขยับให้จวงนอนสบายๆ แล้วลงนอนข้างๆกอดจวงไว้
"ข้าจะทำให้เอ็งรักข้า จวง เอ็งต้องยอมเป็นของข้าแต่โดยดี"
สังข์ก้มลงหอมแก้มจวง
"คืนนี้มัดจำไว้ก่อน"
สังข์นอนกอดจวงที่สลบไม่ได้สติไว้ด้วยความรัก ไม่ได้ล่วงเกินอย่างที่ตั้งใจ
เช้าต่อมา จวงตบผัวะเข้าหน้าสังข์อย่างแรง สังข์ถึงกับหน้าสะบัด
"ไอ้สังข์ ไอ้คนปลิ้นปล้อน"
จวงผลักสังข์ออกห่างตัวทันที แต่สังข์คว้ามือจวงไว้
"จวง อภัยพี่เถอะ พี่ทำลงไปเพราะพี่รักจวง"
"ฉันไม่อภัยให้แก ไอ้คนกะล่อน"
จวงจะเดินหนีไปด้วยความโมโห สังข์กอดไว้แน่น
"จวง อย่าทิ้งพี่ พี่รักจวงจริงๆ"
จวงพยายามดิ้น
"พี่รักจวง แต่ไม่รู้จะทำยังไง ไอ้ทัพมันก็หวงจวงเหลือเกิน พี่รู้ว่าพี่ผิดที่พาลหาเรื่องไอ้ทัพ ผิดที่เห็นแก่ตัว อยากได้อยากดีจนไม่คิดถึงความเป็นเกลอรักแต่พี่สำนึกผิดแล้ว พี่รู้แล้วว่าคนที่ดีกับพี่ที่สุดให้อภัยพี่มากที่สุดคือเกลออย่างไอ้ทัพ"
จวงยืนฟัง สังข์แววตาสำนึกผิดจริงๆ
"ถ้าพี่ต้องตาย พี่อยากให้จวงอภัย อโหสิให้พี่ด้วย"
"ไอ้สังข์..... ไอ้สังข์"
สังข์มอง กุมมือจวงแน่น
"จวง อภัยให้พี่ได้มั้ย"
จวงรู้สึกสงสาร เริ่มใจอ่อน
"ฉันอภัยให้แกก็ได้ไอ้สังข์ ฉันอภัยแล้ว"
"แค่นี้ พี่ก็ตายตาหลับมีแรงจับดาบไล่ฟันข้าศึกแล้ว พี่สัญญาว่าจะเป็นคนดี ช่วยไอ้ทัพมันไล่ข้าศึกออกไปจากแผ่นดิน เราจะเก็บแผ่นดินนี้ให้ลูกของเรานะจวง"
จวงยิ้มอาย สังข์ยิ้มอย่างมีความสุขที่สุด
ในป่า เมื่ออดีตดอกรัก ทองแก้ว ดอกไม้กำลังตะลุยฟันทหารอังวะ ด้านหลังคือเกวียนเสบียงที่เพิ่งปล้นมา ฝ่ายทหารอังวะพากันล้มตาย ดอกรักพุ่งไปที่เกวียนเสบียง เปิดออกเห็นข้าวที่ใส่กระชุ กระบุงอัดแน่นในเกวียน
"ข้าว"
ทองแก้ว ดอกไม้ฆ่าทหารอังวะตายเรียบ วิ่งมาสมทบดอกรัก
"พวกมันเพิ่งไปปล้นมาจากหมู่บ้าน" ทองแก้วว่า
ดอกไม้บอก
"ฮึ ! สาแก่ใจกูนัก พวกมึงปล้น ฆ่า เผาหมู่บ้านคนไท พวกกูก็มาเอาของๆพวกกูคืน"
ดอกรักมองข้าวเต็มเกวียนแล้วพูดด้วยแววตากร้าว
"ข้าวทุกเม็ดบนแผ่นดินนี้ต้องเป็นของคนไท ไม่ใช่เป็นเสบียงของศัตรูอย่างพวกมึง"
ดอกรักค่อยๆเอาเมล็ดข้าวสวยในมือเข้าปาก แล้วเคี้ยวอย่างอร่อย สไบมองแล้วยิ้ม กระเถิบไปใกล้ เอาข้าวป้อนถึงปากดอกรัก
"กินเถิดนะจ๊ะพี่ กินให้หมดจาน กินให้มีเรี่ยวแรงรบ"
ดอกรักป้อนข้าวเอาปาก สไบยิ้ม
"รบเพื่อรักษาดิน รักษาน้ำ รักษาข้าวให้เป็นเลือดเป็นเนื้อต่อไปแก่ลูกหลานไทย"
สไบยิ้มมองดอกรักที่กินข้าวไปด้วยความอิ่มเอมใจ
เช้าวันใหม่ ณ กองม้า หน้าค่าย ทัพยืนอยู่กับพ่อค่ายทั้งสี่ ชาวบ้านชาย 5-6 คน ทยอยพากันจูงม้ามาผูก เอิบ ฟัก ช่วง เคลิ้มพากันช่วยกั้นคอกให้ม้า
แท่นมองแล้วหันมาสั่งทางทัพ
"ข้าอยากให้พวกบ้านคำหยาดดูแลกองม้าของพวกเรา"
"ได้เลยจ้ะ พ่อแท่น"
"พวกเอ็งถนัดรบบนหลังม้า ต่อไปจะให้เป็นกำลังสำคัญของพวกเรา" อินบอก
"พวกฉันดีใจเหลือเกิน"
ทัพมองไปที่เพื่อนๆที่กำลังดูแลม้าที่เพิ่มขึ้น
"พวกฉันคนบ้านคำหยาด พากันหนีร้อนมาพึ่งเย็นที่บ้านระจัน มีสิ่งใดจะทำได้ ขอให้พ่อค่ายสั่งมาได้เลย"
โชติบอก
"ดูจากเมื่อวาน ทัพอังวะคิดจะหักค่ายเราให้ได้"
"พวกเราคงต้องสู้กับมันอีกหลายครา" เมืองว่า
"ขอให้มันมาเถิด พวกฉันจะห้อม้าฟันมันให้ขาดสองท่อน"
ทัพยิ้มมั่นใจ
อีกมุมหนึ่ง ใจที่ลอบฟังอยู่ค่อยๆถอยตัวออกห่างไปอย่างเงียบกริบ
ใจเดินเร็วมายังลานตีไก่ สังข์ก้าวมายืนขวางทางใจ
"พี่ชายเอ็งหายไปไหน เมื่อคืนข้าไม่เห็นหน้า"
"พี่เจิดนอนซมอยู่ในกระท่อม"
"เป็นอะไร ทำไมไม่พาออกมาหาพ่อหมอ หลบๆซุกๆอยู่ในกระท่อม มันจะหายได้ยังไง ข้าจะไปพามันออกมาเอง"
สังข์จะก้าวไป ใจขยับมาขวาง
"ไม่เป็นไร ฉันดูพี่ฉันได้"
"ข้าไม่เห็นเอ็งจะคอยดูพี่ชาย เห็นเค้าว่าเอ็งชอบหายหัว"
"ถ้าสงสัยกันนัก ก็เอาโซ่มาล่ามฉันไว้"
สังข์เดินเข้าใกล้ใจ มองจ้อง
"ข้าทำแน่ อย่าคิดว่ามีคนรัก แล้วข้าจะเห็นดีกับเอ็งทุกอย่าง เมื่อไหร่ที่ข้าเห็นเอ็งกับพี่ท่าทางขวางหูขวางตา ข้าจะไม่รอให้ใครสั่งว่าต้องทำยังไง"
ใจเองก็มองจ้องสังข์
"ข้ารู้ว่าเอ็งสงสัยข้า มันเป็นนิสัยของพวกวัวสันหลังหวะ เคยทำแต่เรื่องให้คนอื่นเดือดร้อน ถึงคอยระแวงว่าจะถูกเอาคืนเข้าบ้าง"
"ไอ้ใจ"
สังข์ฮึดฮัดทันที เมื่อใจจี้จุด แต่ไม่ทันเถียงกันต่อ เสียงกลองศึกดังขึ้น สังข์หันไปทางลานประชุม
"กลองเรียกระดมคน"
สังข์วิ่งเร็วออกไปทันที ใจมอง ผุดยิ้มออกมานิดเดียวก่อนจะรีบตามไป
พนักงานกลองตีกลองใหญ่ เรียกระดมคนอย่างแข็งขัน
ถนนลานชนไก่ชาวค่ายที่ได้ยินเสียงกลองใหญ่ระดมคนไปศึก ต่างพากันมาตีเกาะ ที่แขวนอยู่หน้าบ้าน ชาวบ้าน ตีเกราะต่อๆกันไป
ถนนหน้าเรือนสังข์ เสียงกลองเล็กดังทอดรับกันไปตามหมู่ต่างๆ ชายฉกรรจ์ต่างวิ่งคว้าดาบวิ่งออกไป
แฟง สไบวิ่งลงจากเรือน นางจันทร์ นางเฟี้ยมตามออกมาดู
"เร็วๆ พี่สไบ กลองตีระดมคนไปศึกแล้ว" แฟงบอก
"พวกข้าศึกนี่ก็ช่างกระไร มันไม่กลัวตาย ไม่พักบ้างเลยหรือ" สไบบอก
"ระวังนะนังแฟง อย่าห้าวออกไปจับดาบกับเค้า" เฟี้ยมบอก
"ฉันจะตามพี่เฟื่องไปที่ลานชุมนุมจ้ะ"
แฟงตอบแล้ววิ่งเร็วออกไปกับสไบ
ทุกคนถืออาวุธวิ่งมารวมตัวกันที่ลานค่าย เสียงกลองยังตีไม่หยุด ทัพ และเพื่อนๆ พ่อค่ายยืนรวมกันอยู่ตรงกลาง สีหน้าเคร่งเครียด
แท่นบอก
"กองตระเวนบอกว่าพวกมันมากันมากกว่าคราวก่อน มากันเป็นพัน"
สีหน้าทุกคนเคร่งเครียด ทัพกำดาบคู่แน่น
"คนเป็นพัน แต่เรามีไม่กี่ร้อย ข้าศึกมันได้เปรียบเราทุกทาง" ทองแสงบอก
ทองเหม็นว่า
"เอ็งคิดอ่านยังไง ก็จงเร่งคิด"
"ตามตำราพิชัยสงคราม การใช้คนน้อยสู้กับคนมาก เราต้องแบ่งคนสู้" แท่นบอก
ทุกคนมองแท่นที่พูดกลศึก ใจที่ก้าวเข้ามา หยุดมองจ้องทัพ
ทัพ สังข์ และทหารม้าคำหยาดกำลังเตรียมม้าอยู่ที่คอก ชาวบ้านยังวิ่งมาไม่ขาดสาย
จวงวิ่งออกมาจากหลังค่าย เห็นสังข์ก็ดีใจ วิ่งเข้ามาหา
"ไอ้...พี่สังข์"
"จวง...ข้าดีใจนักที่ได้เห็นหน้าเอ็งก่อนออกรบ"
ทัพจูงม้าออกมามองสังข์กับจวงที่อาวรณ์กันอยู่ ก็ชะเง้อหาแฟง
"รบให้ชนะนะ...ฉันจะคอยพี่กลับมา"
"ไม่ต้องห่วง...เอ็งคือกำลังใจรบของพี่"
ทัพทนไม่ไหว เอ่ยถาม
"จวง พวกแฟงไม่ออกมาส่งหรือ"
"แฟงกับพี่สไบไปตามพี่เฟื่องจ๊ะ"
ทัพชะเง้อมองไปหลังค่าย เกรงแฟงจะออกมาส่งไม่ทัพ
เสียงกลองระดมยังดังก้อง ขาบที่ยังเจ็บ จับดาบพุ่งออกมาจากด้านใน อยากจะออกไปรบ เฟื่องรีบตามออกมาจากด้านใน
"พี่ขาบ แผลพี่ยังไม่สมาน"
"ไม่เป็นไรเฟื่อง กำลังพลคงยังไม่พอ พ่อค่ายถึงให้กลองระดมตีไม่หยุด พี่ต้องออกไปช่วยพวกระจันฟันกับมัน"
แฟง สไบวิ่งมาถึงหน้ากระท่อม มองไปเห็นขาบกับเฟื่อง
"อย่าเพิ่งไป พี่ขาบ ฉันทายาให้พี่ก่อน"
เฟื่องคว้าจะดึงขาบไว้ แต่ขาบใจร้อน กระโดดจากเรือนลงมาด้านล่าง ขาบโดดลงเท้าติดพื้น แต่เฟื่องเสียหลัก หน้าคว่ำ ตกลงจากชานเรือน
"โอ๊ย"
ขาบหันขวับ
"เฟื่อง"
แฟง / สไบร้อง "พี่เฟื่อง"
ขาบรีบเข้าไปประคองร่างเฟื่องที่สลบแน่นิ่ง แฟงกับสไบวิ่งมา
"พี่เฟื่อง พี่เฟื่องกำลังท้องอยู่ด้วย"
ขาบตกใจ มองแฟง
"เฟื่องท้อง"
ขาบมองเฟื่องอย่างนึกไม่ถึง
พันเรือง กำลังวางแผนการรบอยู่กับพ่อค่ายอื่นๆ และทุกคน ใจอยู่ด้านหลังทุกคน อาศัยร่างชายฉกรรจ์คนอื่นๆบัง แต่ฟังจับใจความทุกอย่าง
"เราจะแบ่งกำลังไพร่พลออกเป็น 3 กอง กองหน้าเป็นกองรุกและปีกซ้ายกับปีกขวา" แท่นบอก
"ข้ากับพ่อทองแสงใหญ่จะเป็นกองรุก ไล่ตะลุยฟันพวกมันเอง"
นายทองเหม็นกับนายทองแสงใหญ่ยิ้มฮึกเหิม
ขุนสรรค์บอก
"ใครจะเป็นปีกคอยตีโอบพวกมัน"
"ปีกขวา ข้ากับไอ้อิน ไอ้เมืองเอง ข้าเจอมันมาคราวที่แล้ว รู้ฝีมือพวกมันอยู่" จันบอก
"ปีกซ้ายที่เหลือ ฉัน ไอ้สังข์กับกองม้าบ้านคำหยาด ขออาสาเอง พ่อค่ายคน ไหนจะเป็นหัวหน้าให้ข้า" ทัพว่า
"ข้าจะไปกับพวกไอ้ทัพเอง" ทองแก้วว่า
ทัพมองทุกคน
แท่นบอก
"เราแบ่งกัน 3 กองตามนี้"
พันเรืองพยักหน้ารับรู้ เดินออกมาที่หน้าโรงประชุมที่นักรบระจันยืนคอยคำสั่งอยู่
"นักรบระจันทั้งหลาย อังวะยกมาครั้งนี้มันเพิ่มกำลังพลมากขึ้น เพราะแค้นที่ศึกที่แล้วเราเอาชนะมันได้ แต่เราไม่เคยกลัว"
ทุกคน "เฮ"
"ครั้งนี้เราจะแบ่งกองรบเป็นสามกอง เข้าโอบตีมัน เด็ดหัวแม่ทัพมันให้ได้"
"เฮ"
ทองแสงใหญ่ชูดาบ
"บ้านระจัน"
"รบ รบ"
ใจฟังแผนทั้งหมดแล้วรีบหลบออกไปทันที
ทองเหม็นบอก
"บ้านระจัน"
"รบ รบ"
เสียงตะโกนสู้ศึก รบๆดังกึกก้อง ทุกคนสีหน้าพร้อมสู้ถวายชีวิต
ขาบอุ้มเฟื่องเข้ามา สีหน้าร้อนใจ แม่หมอที่อยู่ด้านในมอง
"ช่วยด้วย หมอ ช่วยเมียฉันด้วย"
แฟง กับ สไบ วิ่งตามเข้ามา แม่หมอมองอาการเฟื่องที่สลบอยู่
"ช่วยเฟื่องด้วย เมียฉันท้อง หมอ เมียฉันท้อง"
ขาบแทบจะทรุดร่างด้วยความปวดร้าวอยู่ตรงนั้น แม่หมอรีบเข้าไปจับชีพจรเฟื่องที่แขน
เสียงกลองดังขึ้นเป็นจังหวะช้าๆๆ สไบหันมองเห็น แฟงหันรีหันขวาง
"พวกนักรบระจันกำลังจะออกจากค่ายแล้ว"
"ไปเถอะแฟง" สไบบอก
"เดี๋ยวฉันมานะ"
แฟงวิ่งเร็วออกไป
อ่านต่อตอนที่ 9