พรายพยากรณ์ ตอนที่ 9
ภิชาสินีเห็นอรรถพรถูกแทงต่อหน้าต่อตา ก็ตื่นตระหนก เทพอาศัยจังหวะรีบหันหลังจะวิ่งหนี แต่ประตูกลับปิด
ปราชญ์ที่ยืนอยู่หน้าประตูอีกด้าน กำลังเอาตัวดันประตูเอาไว้ มีกานต์กมลและพัณทิพายืนข้างๆ
เทพพยายามออกแรงดึงเต็มที่ ปราชญ์แกล้งเดินออกมา ทำให้ประตูเปิดตามแรงดึง เทพถึงกับหงายหลังล้มก้นจ้ำเบ้า จากนั้นก็รีบขึ้นมา แล้วพุ่งจะออกไปอีก แต่พัณทิพากลับปิดประตูอีกครั้ง พร้อมๆ กับที่ถูกปราชญ์จับคอเสื้อลากไปตามทางก่อนจะเหวี่ยงกระเด็นไปชนระเบียง
เทพตกใจ หน้าตาตื่น
“นี่มันอะไรกัน ใครลากฉันมาตรงนี้วะ? ใคร?”
ภิชาสินีหันไปมองพ่อ แม่ และป้า แล้วยิ้มของคุณ พลางจะหยิบมือถือมาโทร. ตามคนช่วย แต่นึกขึ้นได้ว่าไม่ได้หยิบติดมือมา
ทันใดนั้นเทพก็แหกปากร้งลั่น ทั้งคู่หันไปมอง ก็เห็นฆาตรกรโหดตัวลอยขึ้นมา
“พ่อคุณทำเหรอ?”
อรรถพรกันมาถาม ภิชาสินีส่ายหน้า พลางหันกลับไปมองอีกครั้ง เห็นแยมส้มเป็นคนบีบคอ และยกเทพขึ้นเหนือพื้น
“เพราะแก แกคนเดียว ทำให้ฉันต้องตาย ทั้งๆ ที่ฉันยังไม่อยากตาย ไอ้เทพ ไอ้ชาติชั่ว”
จากนั้นก็ยื่นเทพออกไปนอกระเบียง แล้วก็ปรากฏตัวให้เห็น จนอีกฝ่ายหน้าตาตื่นกลัว
“แยมส้ม ยะ อย่า อย่าฆ่าฉัน ฉันผิดไปแล้ว ฉะฉันขอโทษ”
แยมส้มจ้องมองด้วยแววตามุ่งร้าย พลางกำลังจะปล่อยมือ
ภิชาสินีรีบพนมมือแล้วสวดแผ่เมตตา
“สัพเพ สัตตา อะเวรา โหนตุ อัพพะยาปัชฌา โหนตุ อะนีฆา โหนตุ สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ”
แยมส้มชะงัก วิญญาณพ่อ แม่ ป้า คุกเข่าลงบนพื้นและพนมมือตาม
“สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง ที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งสิ้น จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีความทุกข์กายทุกข์ใจเลย จงมีความสุขกาย สุขใจ รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเทอญ”
แยมส้มคลายมือที่จับคอเทพคลายลง ก่อนจะปล่อยอีกฝ่ายลงบนพื้น เทพตกใจกลัวจนหมดสติ
ภิชาสินีพูดเตือนสติต่อ
“เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร ฉันรู้ว่าเธอโกรธแค้น แต่ความโกรธนั้นเหมือนไฟที่มีแต่จะเผาทำลายตัวเอง ปล่อยวาง แล้วเริ่มต้นใหม่นะแยมส้ม”
แยมส้มที่คุกเข่าอยู่กับพื้น เงยหน้าขึ้นมองภิชาสินีและพยักหน้า พลันใบหน้าที่ซีดขาวก็กลับมีสีชมพูระเรื่อ ริมฝีปากแดงดูสวยงาม ไม่นานก็มีแสงสีทองส่องลงมาจากบนท้องฟ้า แยมส้มเงยหน้ามอง วิญญาณทั้งสามมองตาม อย่างตื่นตะลึง
จากนั้นวิญญาณของแยมส้มก็หายไปพร้อมๆ กับแสงนั้น พร้อมกับที่อรรถพรหมดสติไป เพราะเสียเลือด
อรรถพรที่เลือดเต็มตัวนอนหมดสติอยู่บนเตียง ที่ถูกเข็นมาตามทาง ภิชาสินีเดินตามมาข้างๆ หน้าตากังวลใจมาก
“อย่าเป็นอะไรนะหมวด หมวดได้ยินฉันรึเปล่า ?”
จากนั้นเจ้าหน้าที่ ก็เข็นพาอรรถพรเข้าห้องผ่าตัดไป
ภิชาสินีผุดลุกผุดนั่งเป็นกังวล กระวนกระวายใจ พอหันไปก็สะดุ้งเพราะเห็นอรรถพรยืนอยู่ เธอยิ้มดีใจ
“คุณปลอดภัยแล้ว ว่าแต่ทำไมเค้าปล่อยให้คุณเดินออกมาเองแบบนี้ ยืนไหวแล้วเหรอ?”
พลางยื่นมือจะจับแขน แต่มือกลับวืดไป ภิชาสินีหน้าเสีย มองอรรถพรช้าๆ ก่อนจะก้มมอง เห็นเท้าของเขาลอยเหนือพื้น เธอถึงกับแทบช็อก
“นี่หมวด หมวด หมวด ตายแล้ว”
อรรถพรส่ายหน้างงๆ “ผมไม่รู้”
ภิชาสินีแทบทรุด ไม่นานหมอก็เดินออกมา
“หมอไม่ต้องพูด ฉัน ฉันยังทำใจไม่ได้”
พูดพลางทำท่าจะร้องไห้
“เพื่อนคุณยังไม่ตายนะครับ”
ภิชาสินีกับอรรถพรนิ่งไปด้วยความดีใจ
“เพียงแต่ ยังไม่พ้นขีดอันตราย แต่ผมไม่อยากให้คุณถอดใจ ถ้าให้กำลังใจดีๆ เพื่อนคุณก็อาจจะปลอดภัย”
หมอพูดจบก็เดินออกไป ภิชาสินีหันไปทางอรรถพร ก่อนที่ทั้งสองคนจะยิ้มให้กัน
“แต่คุณจะกลับเข้าร่างได้ยังไง?”
ภิชาสินีไม่วายกังวล
“นั่นสิ ตั้งแต่ผมเกิดมา ผมไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้เลย มันรู้สึกแปลกๆ ตัวเบาๆ โหวงๆ ไม่รู้ร้อน ไม่รู้หนาว แล้วก็ไม่รู้สึกหิวด้วย”
“ฉันว่าตอนนี้เรากลับบ้านกันก่อนดีกว่า พรุ่งนี้ค่อยว่ากันอีกที”
อรรถพรพยักหน้า ภิชาสินีลุกขึ้น ก่อนจะเดินนำออกไป
เมื่อกลับมาถึงอพาร์ทเม้นท์ ปราชญ์ กานต์กมล พัณทิพาก็ยืนยิ้มแย้มต้อนรับ อรรถพรหน้าเหรอพลางหันไปทางภิชาสินี
“อย่าบอกนะว่านี่คือ คุณพ่อ คุณแม่ คุณป้าของคุณ? อย่ามาหลอกผมเลยนะครับ กลัวจริงๆ”
ปราชญ์ยิ้มขำ “กลัวอะไร ? ตอนนี้เราเป็นเหมือนกันแล้วนะ ผีย่อมเห็นผี”
ภิชาสินีรีบบอก
“พ่อคะ หมวดอรรถไม่ใช่ผีนะคะ เค้ายังไม่ตาย แค่วิญญาณหลุดออกจากร่างเท่านั้น”
ทันใดนั้นขวัญทิพย์กับแพนเค้กก็เดินทะลุวิญญาณทั้งสามมายืนตรงหน้าภิชาสินี พลางทำหน้าทำตาสอดรู้
“น้องภิ หมวดอรรถเป็นยังไงบ้าง ตายรึเปล่า?”
ภิชาสินีส่ายหน้า “ยังค่ะ แต่อาการยังไม่ปลอดภัย ภิขอตัวก่อนนะคะ”
อรรถพรหันไปมองขวัญทิพย์กับแพนเค้ก แล้วรีบเดินตามภิชาสินีออกไป
พิณชนิดามองหน้าภิชาสินีด้วยสีหน้าตื่นตะลึง ก่อนจะหันไปมองข้างๆ ที่อรรถพรยืนอยู่
“ตอนนี้หมวดอรรถอยู่ข้างๆภิ?”
ภิชาสินีพยักหน้า
“แล้วภิจะทำยังไงต่อไป ? ให้วิญญาณหมวดอรรถกลับเข้าร่างเดิม”
“พรุ่งนี้ภิจะพาหมวดไปที่โรงพยาบาล แล้วจะลองหาทางดู ว่าแต่พี่พิณเถอะ เจอของที่นายภูมินทร์ให้หาเหรอยัง?”
พิณชนิดาถอนใจ
“ยัง พี่ยังคิดไม่ออกเลยว่าจะไปหาของที่ไหน ?”
ขณะที่พิรชนิดากำลังทำกับข้าวอยู่ในครัว พลางได้ยินเสียงรายการข่าวจากทีวีที่เปิดทิ้งไว้
“คดีฆาตกรรมนางสาว ณมน ไผ่เหลืองทอง”
เธอรีบละมือจากในครัว เดินออกมาด้านนอก พร้อมกับเร่งเสียงทีวีให้ดังขึ้น
“ได้รับการคลี่คลายลงแล้ว ตำรวจจับตัวนายเทพ แฟนเก่าของผู้ตายได้ที่อพาร์ทเม้นต์ของผู้ตายคืนวานนี้ ทำให้นายแสงโชติ อัครมโหฬาร พ้นข้อกล่าวหา”
พิณชนิดาเห็นหน้าแสงโชติในทีวีก็นึกขึ้นมาได้
“จริงสิ เรายังไม่ได้ไปดูที่บ้านคุณแสงโชติ”
แสงโชติกับสัญชัย ยืนคุยตำรวจอยู่ภายในบ้าน หลังจากที่คดีคลี่คลายแล้ว พลันมือถือของ
แสงโชติก็ดังขึ้นมา เขาเห็นชื่อที่หน้าจอ ก็ยิ้มแล้วรีบรับสาย
“สวัสดีครับคุณพิณ อยากมาที่บ้านผม?”
“คือ พอดีว่านายภู เอ่อ คุณภูมินทร์วานให้พิณช่วยหาของสำคัญที่เค้าทำหายไปตั้งนานแล้วให้น่ะค่ะ พิณหาที่บ้านคุณภูไม่เจอ ก็เลยคิดว่าบางทีของอาจจะอยู่ที่บ้านคุณแสงโชติ”
แสงโชติยิ้มมุมปาก “ได้สิครับ ว่าแต่ของนั้นคืออะไร?”
“พิณก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ ถ้าไงพิณไปหาคุณแสงโชติเลยนะคะ”
“ได้ครับ แล้วเจอกัน”
แสงโชติกดวางสาย แล้วก็ยิ้มเหี้ยม
“อยู่ๆ ก็มาหากันง่ายๆ”
อรรถพรยืนมองร่างตัวเองที่นอนให้ออกซิเจนมีสายระโยงระยางเต็มไปหมด พลางหันมาพุดกับ
ภิชาสินีที่ยืนยู่ด้วยกัน
“ท่าทางผมดูแย่มาก ผมจะไม่ตายจริงๆ ใช่มั้ย?”
ภิชาสินีหันขวับมาทันที “ฉันไม่มีวันยอมให้คุณตาย”
“ รู้สึกดีจังเลยที่เห็นคุณเป็นห่วงผมขนาดนี้ ว่าแต่ผมจะกลับเข้าร่างผมได้ยังไง”
ภิชาสินีนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง “คุณลองนอนทับร่างคุณดูสิ”
อรรถพรลองทำตาม แต่ไม่สำเร็จ
“หรือเป็นเพราะร่างกายคุณยังอ่อนแอ คุณก็เลยยังกลับเข้าร่างไม่ได้”
อรรถพรคิดตาม พร้อมๆ กับที่หมอกับพยาบาลเดินเข้ามา ภิชาสินีรีบหันไปถาม
“เพื่อนฉันอาการเป็นไงคะ?”
“เมื่อเช้าผมเข้ามาตรวจร่างกายอย่างละเอียด ทุกอย่างเป็นไปในทางที่ดีขึ้น ผมว่าวันพรุ่งนี้เพื่อนคุณน่าจะออกจากห้องไอซียูไปเข้าห้องพักปกติได้แล้ว คราวนี้ก็เหลือแค่ว่าเพื่อนคุณจะฟื้นขึ้นมาเมื่อไหร่?”
พูดจบหมอก็เดินนำพยาบาลออกไป ภิชาสินีหันมายิ้มให้อรรถพร
“บางทีพรุ่งนี้คุณอาจจะกลับเข้าร่างได้”
อรรถพรหันไปมองร่างตัวเอง ก่อนจะยิ้มอย่างมีความหวัง
แสงโชติเดินนำพิณชนิดาเข้ามาในบ้าน
“บ้านผมไม่มีความลับ เข้าได้ทุกห้อง ทุกซอก ทุกมุม จะเริ่มจากห้องนอนผมก่อนก็ได้นะครับ”
พิณชนิดาชะงัก “ห้องนอน?”
แสงโชติรีบแก้ตัว
“เอ่อ คือ สมัยก่อนที่ผมกับพี่ภูยังญาติดีกัน พี่ภูชอบมานั่งเล่นที่ห้องนอนผมประจำ บางทีเค้าอาจจะทำของชิ้นนั้นหล่นในห้องนอนผมก็ได้”
“ มีความเป็นไปได้ ถ้างั้นพิณไม่เกรงนะคะ”
แสงโชติผายมือ พร้อมกับเดินนำพิณชนิดาไปตามทาง พลางลอบมองเธอด้วยแววตาหื่น
พิณชนิดาก้มๆ เงยๆ หาของในห้องแสงโชติ โดยไม่ทันรู้ตัวว่าถุกอีกฝ่ายแอบถ่ายรูปบั้นท้าย จากนั้นรูปนี้ก็ถูกส่งเข้าไปที่มือถือของภูมินทร์ ที่เพ่งมองอย่างแปลกใจ จากนั้นก็รีบผลุนผลันเดินออกจากบ้านไป ทิ้งให้ก้องภพที่มาคุยเรื่องานมองตามอย่างแปลกใจ
แสงโชติเอียงคอมองบั้นท้ายพิณชนิดาอย่างมีความสุข ภูมินทร์เดินมาเห็น ก็กำมือแน่นด้วยความโมโหหึง โดยไม่รู้ตัว
“ทำอะไร?”
แสงโชติตกใจแทบล้ม แต่ลุกขึ้นมายืนได้ทัน พิณชนิดาหันไป มองภูมินทร์โดยไม่รู้เรื่องรู้ราว พออ้าปากจะตอบว่ากำลังหาของให้เขาอยู่ ภูมินทร์ก็รีบคว้าแขนเธอออกจากห้อง แสงโชติมองตามด้วยความโกรธแค้น
“ซักวันฉันจะทำให้แกหายไปจากโลกนี้ไอ้ภูมินทร์”
พิณชนิดาที่ถูกภูมินทร์ลากออกมา สะบัดแขนอย่างแรง จนหลุดจากการเกาะกุม
“นายโกรธอะไรฉัน นายภูมินทร์?”
“ทำตัวทุเรศ ทำอะไรไม่รู้จักคิด”
พิณชนิดาฉุนกึกขึ้นมาทันที
“ฉันทำตัวทุเรศ ทำอะไรไม่รู้จักคิดตรงไหน? ”
“ฉันสั่งให้เธอหาของของฉัน แล้วเธอไปหาของฉันที่บ้านแสงโชติทำไม? มันคงจะเจอหรอกนะ”
พิณชนิดารีบเถียง “เอ้า! ก็ฉันหาที่บ้านนายไม่เจอ ฉันก็ต้องหาที่อื่น”
“แต่ไม่ใช่ที่บ้านนายนั่น ฉันขอสั่ง ห้ามเธอไปที่บ้านนายนั่นอีก”
พูดจบภูมินทร์ก็จ้ำเดินออกไปด้วยความหงุดหงิด พิณชนิดามองตามอย่างงงๆ พลันก้องภพก็
เดินมาหยุดยืนตรงหน้า
“ผมช่วยมั้ยครับคุณพิณ? ”
“เจ้านายของคุณมีห้องลับ?”
พิณชนิดามองหน้าก้องภพด้วยสีหน้าประหลาดใจกับเรื่องที่ได้ยิน
“ครับ ผมเคยบังเอิญได้ยินคุณนมพูดถึงห้องนั้น มันเป็นห้องของแม่คุณภูครับ ซึ่งห้องนั้นเป็นห้องที่คุณภูไม่เคยให้ใครเข้าไป แม้กระทั่งคุณนม บางทีของสำคัญของคุณภู อาจจะซุกซ่อนอยู่ในห้องนั้นก็ได้ “
พิณชนิดาครุ่นคิดตาม
“มีความเป็นไปได้สูงมาก แล้วเราจะเข้าห้องนั้นได้ไงคะ?”
ก้องภพยิ้ม “ผมมีแผนครับ”
อ่านต่อพรุ่งนี้ เวลา 09.30น.
พรายพยากรณ์ ตอนที่ 9 (ต่อ)
จากนั้นก้องภพก็เข้าไปที่ออฟฟิศเพื่อลางาน ก่อนที่จะย้อนกลับมาที่บ้านอีกครั้ง แล้วตรงเข้าไปที่ห้องนอนของภูมินทร์
“คุณภูจะเอากุญแจไว้ที่ไหน?”
พลันนึกถึงตอนที่เห็นเจ้าของห้องใส่กุญแจในกระเป๋าเสื้อสูทสีขาวที่แขวนอยู่ คิดพลางรีบเปิดตู้เสื้อผ้า แล้วหยิบกุญแจในกระเป๋าเสื้อสูทสีขาวออกมา
จากนั้นก็หลบออกมาที่สวน พลางยื่นกุญแจให้พิณชนิดาที่หลบซุ่มอยู่หลังพุ่มไม้
“สุดยอดเลยค่ะ ไปกันเลยนะคะ”
ก้องภพเห็นใบไม้ติดผมพิณชนิดา ก็เขยิบเข้ามาใกล้ พลางหยิบใบไม้ออกให้
พิณชนิดายิ้มให้ แล้วก็เดินออกไป ก้องภพมองตามอย่างรู้สึกดี
ในที่สุดก้องภพกับพิณชนิดาก็เข้ามาภายในห้องลับได้สำเร็จ ภายในห้องคือห้องนอนที่ตกแต่งเอาไว้อย่างน่ารัก สีออกโทนหวาน มีตุ๊กตา และมีรูปถ่ายแขวนอยู่ตามกำแพง และวางบนชั้น
“คุณพิณตามสบายนะครับ ผมจะเฝ้าต้นทางให้”
ส่วนภูมินทร์ที่นั่งคุยงานกับลูกค้า แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าลืมเอกสารไว้ที่บ้าน จากนั้นก็รีบขอตัวออกมาโทรศัพท์กลับมาที่บ้าน
แม่นมนวลที่เป็นคนรับสายย้อนถามอย่างแปลกใจ
“เอกสารสำคัญ คุณหนูให้คุณก้องกลับมาเอาแล้วไม่ใช่เหรอคะ?”
ภูมินทร์ชะงัก
“ก้องบอกนมว่ามาเอาเอกสารให้ภูเหรอครับ?”
พิณชนิดาพยายามเร่งหาของภายในห้อง ก้องภพที่เฝ้าต้นทางอยู่ พลิกนาฬิกาดูเวลา สีหน้าเป็นกังวล พลันก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินมา เขาค่อยๆ โผล่หน้าไปแอบดู แล้วก็สะดุ้งสุดตัว ที่เห็นภูมินทร์กำลังเดินมา
“แย่แล้ว คุณภู”
ก้องภพรีบเข้ามาหาพิณชนิดาที่กำลังหาของอยู่ในห้อง
“คุณพิณครับ คุณภูกลับมา ผมต้องรีบเอากุญแจไปคืนที่เดิม ถ้าคุณภูจับได้ ทั้งผมทั้งคุณซวยแน่ ถ้าไงคุณอยู่ในห้องนี้ไปก่อนนะครับ อ้อ ล็อกห้องด้วยนะครับ”
พูดจบก็รีบเดินออกไป พิณชนิดาหน้าเครียด
“ต้องเร่งมือแล้ว”
ภูมินทร์เปิดประตูเข้ามาในห้องนอน ก้องภพที่รีบเอากุญแจเก็บไว้ที่เดิม แกล้งทำเป็นแปลกใจ
“คุณภู มาได้ไงครับเนี่ย ?”
ภูมินทร์หรี่ตามองสงสัย
“ฉันต้องถามนายมากกว่าว่านายรู้ได้ไงว่าฉันลืมเอกสารสำคัญไว้ที่บ้าน ทั้งๆ ที่ฉันไม่ได้บอกนาย”
ก้องภพนิ่งคิด แล้วก็เข้าใจเรื่องทันที
“เพราะว่าผมนึกได้น่ะสิครับ ว่าคุณภูจะเตรียมเอกสารนั้นมารึเปล่า ผมก็เลยเช็คที่ห้องทำงานคุณภูก่อนผมจะออกมา แล้วก็เห็นว่าไม่มีเอกสารนั้นจริงๆ ผมก็เลยมาหาให้คุณภูที่บ้านน่ะครับ แต่ก็ยังหาไม่เจอ”
ภูมินทร์หน้านิ่ง แล้วก็เดินไปเปิดลิ้นชัก หยิบแฟ้มเอกสารออกมา ก่อนจะหันมาทางก้องภพ ที่แกล้งหัวเราแห้งๆ
“อยู่ในลิ้นชักนั่นเอง ผมนี่แย่จังที่หาไม่เจอ”
“นายไม่ต้องไปทำธุระแล้วเหรอ?”
ก้องภพส่ายหน้า “ไม่ต้องแล้วครับ พอดีว่าที่บ้านผมโทรมาบอกว่าไว้พรุ่งนี้ก็ได้”
ภูมินทร์รีบยื่นเอกสารไปตรงหน้า “เอากลับไปที่ออฟฟิศ”
“แล้วคุณภูจะไปไหนครับ? ไม่กลับไปที่ออฟฟิศกับผมเหรอ?”
“ไม่ ออกไปได้แล้ว”
ก้องภพหน้าถอดสี แต่ก็จำต้องเดินออกไปจากห้อง ภูมินทร์หันไปมองที่ตู้เสื้อผ้าที่เปิดอ้าไว้ แล้วก็นึกเอะใจ จึงรีบเดินไปเปิดดู แล้วก็เห็นว่าเสื้อสูทสีขาวเหมือนถูกดึงออกมา
ก้องภพออกมาจากห้อง ก็รีบโทร. บอกพิณชนิดาทันที
“รีบออกมาจากห้องนั้นด่วนเลยครับ”
พิณชนิดาหน้าตื่น
“ ได้ค่ะได้ พิณจะรีบออกไปเดี๋ยวนี้”
ขาดคำก็กดวางสาย แล้วจะเก็บใส่กระเป๋ากางเกง
แต่เพราะความลนลาน ทำให้ทำมือถือร่วงลงพื้น พิณชนิดรีบก้มลงเก็บ แล้วก็เหลือบไปเห็นใต้เตียง สังเกตเห็นพื้นไม้ใต้เตียงไม่เรียบสนิทกัน จึงเพ่งมองด้วยความสงสัย
จังหวะที่ภูมินทร์เดินมาถึงหน้าห้อง พลางหยิบกุญแจออกมาไขประตู ก่อนที่จะมองไปรอบๆ แต่ว่าไม่เห็นใคร
พิณชนิดาที่ซ่อนอยู่ใต้เตียง แอบมองอย่างลุ้นระทึก
ภูมินทร์หยุดกลางห้อง มองอย่างสำรวจอีกครั้ง ก่อนจะมาหยุดสายตาที่ใต้เตียง แล้วก็ทำทีเป็นเดินออกจากห้องไป แต่ที่จริงยืนอยู่หลังประตู
“คงจะออกไปแล้ว”
พิณชนิดาพึมพำกับตัวเอง พลางถอนหายใจโล่งอก ก่อนจะคลานออกมาจากใต้เตียง และลุกขึ้นยืน พอหันขวับไปที่ประตูก็สะดุ้งเฮือกอย่างแรง
ภูมินทร์กำมือแน่นด้วยความโกรธ พลางอ้าปากจะด่า แต่พิณชนิดารีบชิงพูดออกมาก่อน
“อย่าเพิ่งด่า ฉันคิดว่าฉันเจอของที่คุณให้หาแล้ว”
พูดพลางรีบยื่นกล่องใส่คุ้กกี้ไปตรงหน้า ภูมินทร์ชะงักมอง
“แน่ใจเหรอ ? ว่าเป็นของที่ฉันให้หา”
พิณชนิดายิ้มอย่างมั่นใจ
“ดูก่อนสิ ถ้าไม่ใช่ ฉันยอมให้คุณด่า และจะไม่มายุ่งกับคุณอีก”
ภูมินทร์ดึงกล่องคุ้กกี้จากมือพลางรีบเปิดฝาออก แล้วก็ตกใจแทบช็อกเมื่อเห็นดรีมแคชเชอร์ เครื่องลางจับฝันร้ายอันเล็กกะทัดรัดอยู่ภายใน พร้อมๆ กับที่ภาพในอดีตย้อนกลับมาในความทรงจำอีกครั้ง
เด็กชายภูมินทร์ในวัย 10 ขวบนอนหนุนแขนแม่ ที่เอาดรีมแคชเชอร์ออกมาตรงหน้า
“อะไรครับแม่?”
“มันคือเครื่องดักจับฝันร้ายจ้ะ ถ้าลูกแขวนอันนี้ไว้ที่หน้าประตูห้องนอน มันจะช่วยทำให้ลูกของแม่นอนหลับ”
เด็กชายตื่นเต้น “จริงนะครับ ภูจะไม่ฝันร้ายอีกแล้วนะครับ”
พลางกอดแม่แน่นด้วยความดีใจ
“แม่โกหก”
เด็กชายภูมินทร์ตะโกนเสียงดัง พร้อมกับปาดรีมแคชเชอร์มาตรงหน้าแม่ ที่ยืนปอกผลไม้ ด้วยหน้าตาที่ซูบเซียวอย่างคนป่วย
“โกหกเรื่องอะไรเหรอลูก?”
“ไหนแม่บอกถ้าภูแขวนไอ้นี่ไว้ที่ประตู จะทำให้ภูไม่ฝันร้าย จะทำให้ภูหลับ ภูก็ยังฝันร้าย แล้วภูก็นอนไม่หลับเหมือนเดิม แม่โกหกภูได้ไง ภูไม่รักแม่แล้ว”
ขาดคำว่าไม่รักแม่ เด็กชายก็เดินออกไป ทิ้งให้แม่ยืนอึ้งด้วยความเสียใจ พลางเดินไปหยิบดรีมแคชเชอร์ขึ้นมามองด้วยแววตาเศร้า
ภูมินทร์นั่งอยู่บนเตียง ถือดรีมแคชเชอร์ในมือ พิณชนิดานั่งอยู่ข้างๆ
“นายนี่มันไม่มีเหตุผลตั้งแต่เด็กจริงๆ นายไปว่าแม่นายแบบนั้นได้ไง? แม่นายจะเสียใจมากแค่ไหน รู้บ้างรึเปล่า?”
ภูมินทร์หน้าเศร้า
“รู้สิ แต่มารู้ก็วันที่สายไปแล้ว หลังจากวันนั้น ฉันไม่คุยกับแม่อีกเลย จนกระทั่งแม่ป่วยหนัก กลายเป็นเจ้าหญิงนิทราไม่ฟื้นขึ้นมาอีก ฉันเสียใจมากที่ไม่มีโอกาสบอกขอโทษท่าน จนกระทั่งฉันเสียแม่ไปจริงๆ”
พิณชนิดามองภูมินทร์ด้วยความเห็นใจ
“ฉันคิดว่ามันหายไปแล้ว ไม่นึกว่าแม่จะเก็บมันไว้ให้ฉัน”
พิณชนิดาลุกพรวดขึ้นมายืนอย่างไม่พอใจ
“นายคิดว่ามันหาย แต่ก็ยังให้ฉันหา นายตั้งใจหลอกฉันน่ะสิ เพราะไม่ว่ายังไงฉันก็ไม่มีทางหาเจอ”
ภูมินทร์ลุกขึ้นยืนมาประจันหน้า “ใช่ แต่สุดท้ายเธอก็หาเจอจริงๆ ฉันยอมรับว่าฉันมองเธอผิด ฉันขอโทษ”
พิณชนิดาแทบไม่เชื่อหูตัวเอง “พูดว่าอะไรนะ?”
“ฉันบอกว่าฉันขอโทษ”
พิณชนิดายิ้มให้
“นายไม่เข้าใจฉันผิดอีก ฉันก็สบายใจแล้ว จำไว้นะว่าอย่าพูดจาดูถูกคนอื่น ให้คิดถึงใจเค้าใจเรา”
ภูมินทร์รับคำ พลางย้อนถาม
“แล้วเราจะทำไงต่อไป เรื่องที่มีคนวางยาฉัน”
“เราก็ต้องสืบหาน่ะสิ”
“เธอใช้ไพ่ของเธอหาตัวฆาตกรเลยไม่ได้เหรอ?”
พิณชนิดาส่ายหน้า “ฉันไม่ใช่หมอดูเทวดา จะได้หยั่งรู้เห็นทุกอย่าง ฉันใช่ไพ่ก็ได้ แต่มันคงไม่ได้บอกตรงๆ ถ้าไงวันนี้ฉันกลับก่อน แล้วเราค่อยคุยกันต่อ”
ปูเปรี้ยวที่กำลังถูพื้นมาตามทาง เห็นภูมินทร์ออกมาจากห้องพร้อมกับพิณชนิดาก็ตกใจ แล้วก็รีบแจ้นโทร. ไปรายงานเปรมสุดาทันที
“ภูกับนังหมอดูคนนั้น? บ้าที่สุด แค่นี้ก่อนนะ”
เปรมสุดาวางสายอย่างแค้นใจ พลาง รีบจ้ำเดินจะออกไป
“จะรีบร้อนไปไหนลูก?”
“เปรมจะไปตบนังหมอพิณพูดเลยค่ะแม่ นังนั่นมันให้ท่าภู ภูเสร็จมันแล้วค่ะ”
เมื่อรู้ว่าเปรมสุดาฟังมาจากปูเปรี้ยว ปณิตาก็ย้อนถาม
“มันเชื่อได้จริงเหรอลูก? แม่ว่าลูกอย่าทำอะไรวู่วาม เพราะทำทีไร คนที่ซวยคือลูกทุกที จะกำจัดศัตรูทั้งที มันก็ต้องเป็นมิตรกับศัตรู เพื่อหาจุดอ่อนเล่นงานมันไม่ใช่เหรอลูก?”
ปณิตาพูดพลางยิ้มมุมปากอย่างมีแผนการ
ฟ้ารุ่งนั่งรอเอกอยู่ที่คอนโดอย่างหงุดหงิด เพราะอีกฝ่ายกลับบ้านผิดเวลาไปมาก จากนั้นก็รีบโทร.ไปโวยวาย อีกฝ่ายพยายามอธิบายว่ายังทำงานไม่เสร็จ แต่เธอก็ไม่ฟัง
“เคลียร์งานอะไร นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว”
“ ผมยังไม่พ้นโปร เลิกงานปุ๊บ ก็รีบกลับบ้าน เจ้านายจะมองผมยังไง?”
ฟ้ารุ่งตะคอกกลับ “มองยังไงก็ช่าง กลับบ้านเดี๋ยวนี้”
เอกวางสายพลางส่ายหน้าอย่างระอา แต่ก็จำยอมต้องทำตาม
เมื่อกลับมาถึงคอนโด ฟ้ารุ่งก็รีบคว้ามือถือของเอกมากดเช็คเบอร์โทร. ออกทันที
“จันทร์จิรา เป็นใคร?”
เอกแอบถอนใจ “ลูกค้า”
“แน่ใจนะว่าลูกค้า”
“ ลูกค้าจริง ๆ”
เอกพยายามใจเย็น ก่อนจะเดินเลี่ยงจะไปอาบน้ำ ฟ้ารุ่งรีบเดินดมตามตัว เมื่อไม่ได้กลิ่นผิดปกติ ก็เริ่มอ่อนลง
พอถึงตอนจะนอน ฟ้ารุ่งก็เอาแต่ถามเซ้าซี้เอกว่ารักเธอหรือเปล่า ? เอกเลยตอบแบบส่งๆ ว่ารัก เพราะง่วงนอนเต็มแก่ แต่กลับถูกฟ้ารุ่งทุบตีเป็นพัลวัน
“โอ๊ย อะไรอีก ตีผมทำไม ?”
“ก็ดูเอกทำสิ จะบอกรักฟ้า ก็บอกแบบขอไปที”
เอกพยายามระงับอารมณ์
“ผมขอโทษ ผมรักฟ้า นอนเถอะนะ ผมขอร้อง ผมง่วง”
เอกค่อย ๆ ดึงฟ้ารุ่งให้ล้มตัวลงนอน เธอเข้าไปกอดเขาไว้อย่างหวงแหน ในขณะที่เอกแอบทำหน้าเบื่อ
ภิชาสินีเดินออกมากับวิญญาณของอรรถพร จะรีบไปโรงพยาบาล ไม่นานหนึ่งก็วิ่งตามมา
“พี่ภิ จะไปเยี่ยมแฟนเหรอครับ?”
ภิชาสินี “แฟน?”
“ก็พี่อรรถไง”
ภิชาสินีหน้าแดงซ่าน อรรถพรแอบลอบยิ้ม
“แฟนบ้าบออะไร พี่กับหมวอรรถเป็นเพื่อนกัน”
“ก็เห็นพูดแบบนี้ทุกราย เป็นเพื่อนกันทีไรก็ลงเอยได้กันทุกที”
จากนั้นเด็กหนุ่มก็ขอติดไปเยี่ยมอรรถพรด้วย
เมื่อทั้งหมดมาถึงโรงพยาบาล ก็เห็นร่างของอรรถพรยังนอนไม่ได้สติ มีสายออกซิเจนอยู่ในจมูก
“ผมจะลองกลับเข้าร่างดูนะ”
อรรถพรขึ้นเตียงนอนทับร่างตัวเอง ภิชาสินีมองลุ้นๆ พอถูกหนึ่งพูดแซว เธอก็เลยรีบบอกให้เด็กหนุ่มออกไปรอด้านนอกก่อน
หนึ่งเดินอกจากห้องไปแบบงงๆ ภิชาสินีหันมาอีกที ก็เจอวิญญาณอรรถพรยืนหน้าเศร้า
“คุณยังกลับเข้าร่างไม่ได้อีกเหรอ?”
“ทำไมผมเข้าร่างผมไม่ได้ หรือว่าผมจะต้องตาย ผมยังไม่อยากตายนะภิ”
ภิชาสินีคิดอะไรบางอย่างได้
“ไม่หรอก คุณต้องไม่ตายสิ เอางี้..”
พูดพลางรีบโทร. ตามพี่สาวมาที่โรงพยาบาลทันที
พอพิณชนิดามาถึง ก็รีบเดินเข้าห้องแล้วล็อกประตู ทิ้งให้หนึ่งมองอย่างงงๆ อยู่หน้าห้อง จากนั้นก็รีบเปิดไพ่ดู ภิชาสินี กับวิญญาณอรรถพรยืนมองอยู่ข้างๆ
“หมวดอรรถดวงยังไม่ถึงที่ตาย”
ภิชาสินีแปลกใจ “แล้วทำไมหมวดอรรถถึงเข้าร่างไม่ได้คะ?”
พิณชนิดาคิดหนัก
“นี่เป็นเรื่องลึกซึ้ง พี่ต้องให้หมวดอรรถจับไพ่”
วิญญาณอรรถพรยื่นมือไปแตะไพ่บนโต๊ะ ภิชาสินีรีบบอก
“หมวดอรรถแตะไพ่แล้วค่ะ”
พิณชนิดาขมวดคิ้ว “วิญญาณหมวดอรรถอยู่ข้างๆ ภิเหรอ?”
เมื่อน้องสาวพยักหน้ารับ พิณชนิดาก็มองไปที่ทางด้านที่อรรถพรยืนอยู่
“ตั้งจิตให้ดีนะคะหมวด เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ฉันดูไพ่ให้กับวิญญาณ”
พิณชนิดาพ่นลมหายใจ ค่อยๆ เปิดไพ่ออกมา แล้วก็ชะงัก พลางเงยหน้ามองน้องสาว
“ที่หมวดอรรถเจอกับเรื่องเลวร้ายแบบนี้ไม่ใช่เป็นเพราะอุบัติเหตุ หรือความบังเอิญ แต่มีบางอย่างจงใจทำให้เกิดขึ้น หมวดอรรถเคยไปสัญญาอะไรกับใครเค้าไว้ แล้วยังไม่ได้ทำตามสัญญารึเปล่า? ”
อรรถพรคิดหนัก “สัญญา? ผมจำได้แล้ว”
จากนั้นก็นึกถึงเหตุการณ์ตอนที่เพิ่งเรียนจบม.ปลาย แล้วก็ไปดื่มฉลองกับเพื่อน จนเมามาย
พร้อมกับแหกปากร้องเพลงเสียงดัง แล้วทั้งหมดก็เดินผ่านศาลเจ้าเก่าๆ ที่มีป้ายไม้เขียนว่า “ศาลเจ้าพ่อสักทอง”
“ไหว้ก่อนเพื่อน”
อรรถพรหันมามองเพื่อนแบบงงๆ “ไหว้ทำไมวะ ก็แค่ศาลเก่าๆ”
“ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ ข้าเคยมาบนที่ศาลเจ้านี้ ว่าขอให้ข้าถูกหวย แล้วข้าก็ถูกจริงๆ”
อรรถพรเบ้ปากแบบไม่เชื่อ พลางเดินอาดๆ ไปตรงหน้าศาลเจ้า
“ถ้าแน่จริง ให้ผมถูกเลขท้ายสามตัวดิ แล้วผมจะเชื่อว่าท่านศักดิ์สิทธิ์ ไม่เท่านั้น ผมจะจัดหานางรำมารำถวายสองคนด้วย”
จากนั้นก็หัวเราะชอบใจ โดยไม่รู้เลยเลยว่าที่ศาลเจ้านั้น มีชายแก่ยืนมองอยู่
ภิชาสินีมองอรรถพรอย่างไม่พอใจ
“คุณนี่มันปากเสียจริงๆ ไปท้าทายท่านแบบนั้นได้ไง?”
พิณชนิดารีบถามต่อ “ว่าแต่หมวดอรรถถูกหวยรึเปล่า”
อรรถพรพยักหน้า
“แล้วได้จัดนางรำไปถวายตามที่บอกท่านไปเหรอยัง?”
อรรถพรส่ายหน้า “ยัง ผมลืม”
พิณชนิดาหน้าเครียด
“พี่จะโทรหาคนที่พี่รู้จักลองถามดูว่าวันนี้มีนางรำว่างรึเปล่า? ยิ่งแก้บนได้เร็วมากเท่าไหร่ หมวดอรรถก็จะได้กลับเข้าร่างเร็วขึ้นเท่านั้น”
แต่พอวางสายก็ยิ่งเครียดหนัก เพราะไม่มีนางรำว่างเลย จู่ๆ อรรถพรก็นึกออก
“ผมว่ามีอยู่สองคนที่ว่าง”
ภิชาสินีหันขวับมาทันที “ใคร?”
“คุณกับคุณพิณไง”
ภิชาสินีสะดุ้ง “คุณจะให้ฉันกับพี่พิณรำแก้บนเนี่ยนะ?”
พรายพยากรณ์ ตอนที่ 9 (ต่อ)
พิณชนิดายืนยันกับน้องสาวว่าหัวเด็ดตีนขาดก็ไม่ยอมรำแก้บนเด็ดขาด ภิชาสินีรีบพูดโน้มน้าว
“ถ้าเราไม่ทำ แล้วใครจะช่วยหมวดอรรถ? หมวดอรรถกำลังขอร้องพี่อยู่ พี่พิณเคยบอกเอง
ไม่ใช่เหรอ ว่าที่เป็นหมอดูก็เพื่อช่วยคน หมวดอรรถเป็นตำรวจที่ดี ฟื้นขึ้นมาเมื่อไหร่ หมวดอรรถจะช่วยคนได้อีกมาก”
พิณชนิดานิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันหน้ามาย้อนถาม
“แล้วเราจะไปฝึกรำแก้บนกับใคร?”
พลันวิญญาณพ่อ แม่ ป้าก็ปรากฎตัวขึ้นพร้อมกัน
“เรื่องนี้ป้าจัดการเอง”
หนึ่งเดินถือถุงกับข้าวเข้ามา พลันก็เห็นแม่กับพ่อเลี้ยงยืนรออยู่หน้าห้องก็ชะงัก
“แม่”
“คุยกันหน่อย แม่มีเรื่องอื่นจะพูดด้วย ไปคุยกันในห้อง”
หนึ่งหันมองพ่อเลี้ยงด้วยแววตาจงชังอย่างเห็นได้ชัด
“ผมคุยแต่กับแม่ คนอื่น ผมไม่คุย”
แม่หันมาทำหน้าดุ “อย่าให้มันมากเกินไปนัก”
แต่พ่อเลี้ยงกลับพูดอย่างใจเย็น
“ไม่เป็นไร คุณคุยกับลูกเถอะ ผมจะลงไปคอยที่รถ”
พูดจบก็เดินงผละไป หนึ่งมองตามอย่างเกลียดชัง
เมื่อเข้ามาอยู่ด้วยกันในห้อง แม่ก็ออกปากบอกว่าพ่อเลี้ยงซื้อบ้านหลังใหม่ อยากให้หนึ่งไปอยู่ด้วยกัน
หนึ่งตอบกลับด้วยน้ำเสียงขมขื่น
“ทิ้งผมอยู่โรงเรียนประจำ อยู่ห้องเช่าคนเดียวมาตั้งนาน จู่ ๆ นึกยังไง จะเอาผมไปอยู่ด้วย เพิ่งจำได้ว่ามีลูกอีกคนรึไง?”
“แกโตแล้ว หัดเข้าใจคนอื่นบ้าง”
หนึ่งย้อนกลับ
“แล้วแม่เข้าใจผมมากแค่ไหนฦ ถ้าแม่เป็นผม แม่จะทนอยู่กับคนที่ทำให้พ่อตายได้รึเปล่า ? “
แม่เงื้อมือจะตบ หนึ่งรีบยื่นหน้าไปทันที พลางพูดทั้งน้ำตา
“เอาเลยแม่ ตบเลย ตบสิ แม่ไม่เคยรัก ไม่เคยสนใจผมอยู่แล้ว ถูกตบอีกสักทีสองที ผมคงเจ็บไม่ถึงตายหรอก”
แม่เห็นน้ำตา เห็นความเจ็บปวดในแววตาของลูกชายก็ลดมือลง พร้อมๆ กับที่น้ำตาเอ่อท้นออกมาคลอเบ้า
“แกไม่เคยเป็นแม่คน แกไม่มีทางเข้าใจ ไม่มีแม่ที่ไหน ไม่รักลูก”
พูดจบแม่ก็เดินออกไป หนึ่งมองตาม น้ำตาร่วงพรู เจ็บปวดไม่ต่างกัน
ทางด้านภูมินทร์ก็มาคาดคั้นก้องภพเรื่องที่เขาพาพิณชนิดาไปที่ห้องลับ อีกฝ่ายยอมรับเสียงอ่อย
“ผมขอโทษครับ”.
“นายมีเหตุผลอะไร ถึงได้ช่วยพิณชนิดา?”
ก้องภพรีบบอก
“ผมรู้สึกว่าคุณพิณเป็นคนดี เธอช่วยคุณภูด้วยความหวังดีจริงๆ ผมไม่อยากให้ความหวังดีของเธอ กลับไปทำร้ายเธอเอง คุณภูตกลงกับคุณพิณไว้ไม่ใช่เหรอครับ ว่าถ้าคุณพิณทำไม่สำเร็จ คุณภูจะแจ้งความจับคุณพิณ”
ภูมินทร์พยักหน้า “แต่ดูแล้ว ยัยนั่นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องจริงๆ”
“ในเมื่อคุณพิณสามารถช่วยคุณภูได้จริง ทำไมเราไม่ให้เธอมาทำงานกับเราล่ะครับ? ในเมื่อยังจับคนที่จ้องจะทำร้ายคุณภูไม่ได้ เราน่าจะให้เธอมาช่วยเราหาคนร้าย นอกจากนี้ คุณพิณยังสามารถเตือนคุณภูเวลาเกิดเหตุร้ายได้ด้วย”
ภูมินทร์ขมวดคิ้ว “จะดีเหรอ?”
“ดีสิครับ ไม่ใช่เพราะคุณพิณเหรอครับ คุณภูถึงยังนั่งอยู่ตรงนี้ได้”
พลันเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นมา พร้อมๆ กับที่สิรวิทย์เปิดเข้ามา พอเห็นหน้าภูมินทร์เครียด ๆ ก็แปลกใจ
“ขอโทษที่เข้ามากวน กำลังประชุมลับอะไรกันอยู่รึเปล่า?”
“ไม่ได้ลึกลับอะไรหรอก แค่ก้องภพเค้าเสนอให้เอาพิณชนิดามาทำงานกับฉัน”
“ทำงาน? หมอดูจะมาทำงานอะไร?”
สิรวิทย์ย้อนถาม ก้องภพรีบอธิบาย
“แต่หมอดูอย่างคุณพิณ เคยช่วยชีวิตคุณภูไว้ได้หลายครั้งนะครับ ในเมื่อคุณภูไม่ยอมใช้
บอดี้การ์ด ก็น่าจะให้คุณพิณช่วยเรื่องความปลอดภัย”
สิรวิทย์รีบโพล่งออกไปทันที “อย่าเลย”
“ถ้าอยู่ใกล้คุณพิณแล้วคุณภูจะปลอดภัยมากขึ้น มันน่าจะดีไม่ใช่เหรอครับ?”
สิรวิทย์อึกอัก ไม่กล้าบอกว่าเป็นห่วงความรู้สึกเปรมสุดา
“แต่ เอ่อ ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ แบบนั้นจะดูแลความปลอดภัยได้ดีเท่าผู้ชายอกสามศอกได้ยังไง เอาคนของฉันไปเป็นบอดี้การ์ดนายดีกว่า”
ภูมินทร์มองสิรวิทย์แล้วนิ่งคิด ขณะที่ก้องภพลอบมองสิรวิทย์ด้วยแววตาที่เริ่มไม่ไว้ใจ
“ขอบคุณความหวังดีของแกมาก แต่อย่างที่บอก ฉันไม่อยากใช้บอดี้การ์ดให้มันดูเอิกเกริก ... ถ้าฉันใช้คนของแก คนที่คิดร้ายกับฉัน มันจะคิดว่าฉันกลัว บอดี้การ์ดอาจจะรู้เรื่องอาวุธ จัดการกับคนที่เข้ามาทำร้ายฉันได้ตรงๆ แต่ถ้ามีคนเข้ามาทำร้ายฉันอ้อม ๆ อย่างการวางยา บอดี้การ์ดของแกจะทำอะไรได้?”
สิรวิทย์ชะงัก “แกอย่าบอกนะว่า..”
“ใช่ ฉันเพิ่งโดนวางยา แต่คนรับเคราะห์คือเอ๋ เลขา ถ้าไม่ได้พิณชนิดาเข้ามาเตือน ป่านนี้ฉันคงไม่ได้มายืนคุยกับแก ฉันไม่ได้บอกว่าระหว่างหมอดูกับบอดี้การ์ด ใครดีกว่าใคร ฉันแค่เลือกสิ่งที่เหมาะกับฉันมากกว่า หวังว่าแกจะเข้าใจ”
สิรวิทย์พยักหน้า แต่แววตาครุ่นคิดวิตก จนไม่ทันสังเกตว่าก้องภพแอบมองแววตานั้นด้วยความสงสัย
2 พี่-น้องฝึกรำแบเก้ๆ กังๆ จนอรรถพร ปราชญ์ กานต์กมล ปิ่นเพชร ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ
พิณชนิดาเห็นสภาพตัวเองกับน้องสาวก็ทนไม่ไหว
“พอ พอเถอะ ดูยังไง เราก็ไม่เหมาะกับรำแก้บน รำแข็งกันเป็นสากกะเบือแบบนี้ ไปรำก็อายเค้าเปล่าๆ “
ภิชาสินียิ้มแหย ๆ อย่างยอมรับสภาพ พิณชนิดารีบเสนอทางเลือก
“เราต้องใช้วิธีอื่นแก้บนแทนการรำ”
กานต์กมลรีบเสนอให้เปลี่ยนเป็นเต้น พลางอาสาจะเป็นคนสอนให้ แต่อรรถพรรีบแย้ง
“แต่ผมบนไว้ ว่าเป็นนางรำนะครับ อยู่ๆ เปลี่ยนเป็นเต้น ท่านเจ้าพ่อจะยอมเหรอครับ?”
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง ฉันจะจัดการให้”
ปราชญ์พูดอย่างมั่นใจ
เมื่อทั้งหมดมาถึงศาลเจ้าพ่อสักทอง ปราชญ์ก็รีบเข้าไปเจรจากับเจ้าพ่อว่าจะขอเปลี่ยนจากรำแก้บนเป็นเต้น พลางพยายามจะอธิบายเหตุผล แต่เจ้าพ่อรีบยกมือห้าม
“จัดอย่างอื่นมาน่ะดีแล้ว ดูแต่รำแก้ทุกวัน เบื่อจะแย่ ข้าอยากดูอย่างอื่นบ้าง”
จากนั้น 2 พี่-น้องในชุดนักร้องและหางเครื่องแบบจัดเต็ม ก็ออกมาวาดลวดลายทั้งร้อง ทั้งเต้นต่อหน้าศาลเจ้าพ่อ พลอยให้วิญญาณทั้งสาม ปิ่นเพชร รวมทั้งอรรถพรลุกขึ้นเต้นตามอย่างสนุกสนาน
เมื่อเพลงใกล้จบ ร่างของอรรถพรก็เหมือนถูกบางสิ่งบางอย่างกระชากดึงไปอย่างแรง แล้วหายไปในอากาศ
ภิชาสินีตะโกนลั่น “หมวดอรรถ” พลางหันขวับไปมองเจ้าพ่อทันที “ท่านทำอะไรกับหมวดอรรถ?”
เจ้าพ่อยิ้ม “สัญญาเมื่อเป็นสัญญา ถึงเวลาสัญญาต้องสิ้นสุดลง”
พูดจบ ร่างของเจ้าพ่อก็หายวับไป
เมื่อทั้งหมดย้อนกลับมาที่โรงพยาบาล ก็พบว่าอรรถพรฟื้นแล้ว ขณะที่หมอบอกว่าขอรอดูอาการอีกวันสองวัน ถ้าไม่มีการติดเชื้อ ก็สามารถกลับบ้านได้ ทุกคนยิ้มอย่างโล่งใจ ยกเว้นปราชญ์ที่ยังกังวลอยู่
“ตราบใดที่ทุกคนยังเกี่ยวข้องกับนายภูมินทร์ คงจะไม่มีใครหมดเคราะห์ง่ายๆ”
ภูมินทร์กับก้องภพนั่งคุยกับแม่นวลด้วยสีหน้าปกติ เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายเป็นห่วงเรื่องถูกวางยา
“วันที่นมทำเค้กส่งไปให้ภูที่บริษัท นมทำคนเดียวรึเปล่าครับ?”
“คนเดียวค่ะ ป่านแก้วกับปูเปรี้ยว กำลังทำความสะอาดข้างบน มีอะไรเหรอคะ?”
ภูมินทร์แกล้งประจบ “เปล่าครับ แค่แปลกใจ ว่าทำไมเค้กอร่อยกว่าเดิม”
แม่นมนวลยิ้มตอบอย่างเอ็นดู ก้องภพรีบถามต่อ
“หลังจากทำเสร็จแล้ว ส่งไปยังไงต่อเหรอครับ?”
“ก็เรียกคนขับรถเข้ามารับเอาไปส่งให้คุณภูที่บริษัทตามปกติค่ะ”
ภูมินทร์กับก้องภพหันมองหน้ากัน โดยไม่พูดอะไร จากนั้นก็มาคุยกับคนขับรถต่อ
“ผมเข้าไปรับเค้กจากคุณนม แล้วก็เอาไปส่งให้ที่บริษัทครับ”
ภูมินทร์ย้อนถาม “ระหว่างทาง เผลอวางเค้กทิ้งไว้ตรงไหนบ้างรึเปล่า?”
“ไม่มีครับ รับจากคุณนมแล้วก็เอาไปส่งเลย”
“โอเค ออกไปได้ แล้วห้ามบอกเรื่องนี้กับนมเด็ดขาด”
คนขับรถรับคำ แล้วรีบเดินผละไป ก้องภพครุ่นคิดหนัก
“ถ้าคนขับรถไม่ได้วางเค้กทิ้งเอาไว้ แล้วสารพิษจะมาได้ยังไง? คนขับรถคนนี้ไว้ใจได้มากแค่ไหนครับ?”
“ทำงานกันมาหลายปี ไว้ใจได้ สิรวิทย์เป็นคนหามาให้”
ก้องภพชะงักกึกทันที “คุณสิรวิทย์?”
ที่แท้ก้องภพเริ่มสงสัยสิรวิทย์แต่ไม่กล้าพูดออกไป
“ถ้าถึงขั้นใส่ยาในอาหารได้ แสดงว่าคนร้ายที่เราตามหา ต้องเป็นคนใกล้ตัวฉันมาก”
“ครับ ผมก็คิดเหมือนกัน ผมว่าต้องรีบให้คุณพิณมาทำงานกับเราแล้วล่ะครับ”
ภูมินทร์หน้าเครียด “พิณชนิดาจะยอมเหรอ?”
“นายภูมินทร์จะจ้างฉันไปเป็นผู้ช่วย?”
พิณชนิดาถามย้ำ เมื่อรู้จุดประสงค์ที่ก้องภพมาหาเธอถึงที่อพาร์ตเม้นต์
“ใช่ครับ ช่วยหาคนร้ายที่จ้องเล่นงานคุณภู ตอนนี้ทางตำรวจก็ยังไม่คืบหน้า ถ้าเราช่วยกัน
หลายๆ ทาง น่าจะดีกว่า ตราบใดที่ยังหาคนร้ายไม่ได้ ชีวิตคุณภูก็ยังอยู่ในอันตราย ตอนนี้เราพอจะรู้คร่าว ๆ แล้วว่าคนร้าย น่าจะเป็นคนใกล้ตัวคุณภู”
พิณชนิดาพยักหน้าเห็นด้วย
“พิณก็ว่าอย่างงั้น คนวางยากันได้ ไม่ใช่คนไกลแน่นอน”
“ยิ่งเป็นคนใกล้ยิ่งน่ากลัว เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่า ใครไว้ใจได้ ใครไว้ใจไม่ได้ ที่น่าเป็นห่วงยิ่งกว่านั้นคือ ไม่รู้ว่ามันจะลงมืออีกเมื่อไหร่ ถ้าคุณพิณอยู่ใกล้ ๆ คุณภูคงจะช่วยได้มาก”
พิณชนิดารีบตอบตกลง จนก้องภพตกใจ
“ฉันตกลงเพราะเห็นแก่มนุษยธรรมค่ะ คนดวงตก ใกล้ตาย ถ้าไม่ช่วย ก็ใจดำเกินไป”
ก้องภพยิ้มดีใจ “คุณพิณนี่จิตใจดีจริง ๆ นะครับ คุณพิณสะดวกย้ายเข้าไปอยู่ที่บ้านคุณภูมินทร์
รึเปล่าครับ?”
พอพิณชนิดาเล่าให้น้องสาวฟัง ภิชาสินีก็ถึงกับอุทานด้วยความตกใจ
“ตกใจอะไร แค่ย้ายไปอยู่บ้านนายภูมินทร์”
“นั่นแหละที่ต้องตกใจ ทำไมพี่พิณตอบตกลงโดยไม่ถามภิก่อน ไหนจะพ่อ แม่ ป้าอีก”
“พ่อ แม่ ป้า ต้องเข้าใจพี่อยู่แล้ว”
วิญญาณพ่อ แม่ ป้า พูดออกมาพร้อมกัน “ไม่เข้าใจ”
“ทำไมต้องไปอยู่บ้านเดียวกับไอ้ภูมินทร์” ปราชญ์โวยวาย
“พ่อถามว่า ทำไมต้องไปอยู่บ้านเดียวกับนายภูมินทร์”
พิณชนิดารีบอธิบาย
“เพราะคนร้ายเป็นคนใกล้ตัวนายภู แล้วไม่รู้ว่าจะลงมืออีกเมื่อไหร่ ถ้าหนูไปช่วยสืบ อาจจะจับคนร้ายได้เร็วขึ้น”
ภิชาสินียิ่งกังวล
“ยิ่งรู้ว่าเป็นคนใกล้ตัวนายภูมินทร์ พี่พิณยิ่งต้องอยู่ห่าง ๆ เกิดโดนหางเลขไปด้วยจะว่าไง?”
“ไม่โดนหรอกน่า ในเมื่อพี่มีน้องภิ สัมผัสพิเศษ ไหนจะพ่อ แม่ ป้า ที่คอยคุ้มครอง แถมมีตุ๊กแกเทพอย่างปิ่นเพชรอีกต่างหาก สบาย ๆ”
พิณชนิดายืนยันเสียงแข็ง พ่อก็ยืนยันเช่นกัน
“ไม่ยอม ยังไงก็ไม่ยอม”
ภิชาสินีรีบหันมาบอกพี่สาว “ภิไม่ยอม พ่อก็ไม่ยอม”
“โอเค. ๆ ถ้าภิกับพ่อไม่ยอม พี่ย้ายไปบ้านนายภูมินทร์คนเดียวก็ได้ อะๆ หนูบรรลุนิติภาวะแล้ว ตัดสินใจเองได้ พ่อห้ามไม่ได้นะคะ”
ภิชาสินีส่ายหน้า“ภิไม่เข้าใจ ทำไมพี่พิณต้องช่วยนายภูมินทร์ ถึงกับต้องเอาตัวลงไปเสี่ยง
ขนาดนี้?”
พิณชนิดายังไม่ทันตอบ ปิ่นเพชรก็ชิงตอบแทน
“คนเราถ้าไม่รักไม่ชอบ ก็คงไม่ห่วงกัน”
พิณชนิดารีบโวยวายปฏิเสธว่าไม่ได้ชอบภูมินทร์
“พี่เป็นหมอดูเพื่อช่วยคน เหมือนอย่างที่ภิเคยเตือนไง ถ้าไพ่ยิปซีของพี่ หรือตัวพี่ จะช่วยชีวิตใครได้ พี่ก็จะทำให้ถึงที่สุด”
ภิชาสินีถอนหายใจ
“เรามีกันแค่สองคนพี่น้อง ถ้าพี่เป็นอะไรไป ภิจะมองหน้าพ่อ แม่ ป้า ได้ยังไง”
“พี่สัญญาจะดูแลตัวเองอย่างดี ไม่ให้เป็นอันตราย”
ภิชาสินีหันไปมองหน้าพ่อ ก่อนจะมองหน้าพี่สาว
“ในเมื่อพี่ตัดสินใจแล้ว ว่าต้องไปให้ได้ ภิก็จะไปด้วย ภิไม่มีทางปล่อยพี่ไว้ในดงเสือคนเดียวแน่”
พิณชนิดายิ้มดีใจ ส่วนพ่อได้แต่ทอดถอนใจ จนแม่กับป้าต้องตบไหล่ปลอบ จากนั้นวิญญาณทั้งสามก็ตกลงใจจะตามไปปกป้อง ดูแลด้วย
ภิชาสินีถึงกับน้ำตาร่วง รีบหันไปบอกพี่สาว
“พ่อ แม่ ป้า จะไปด้วยนะคะ ท่านจะตามไปปกป้องเรา”
พิณชนิดาพลอยน้ำตาร่วงไปด้วย จากนั้นทั้งหมดก็เข้ามาสวมกอดกัน ท่ามกลางกระแสความรักท่วมท้น
พรายพยากรณ์ ตอนที่ 9 (ต่อ)
ภูมินทร์กำลังนอนหนุนตักแม่นมนวลแบบอ้อนๆ ครู่หนึ่งก้องภพก็เดินเข้ามารายงานผล
“คุณพิณพร้อมเริ่มงานพรุ่งนี้ครับ”
ภูมินทร์ยิ้มพอใจ ก่อนจะหันมาแจ้งให้แม่นลนวลสั่งการให้ปูเปรี้ยวกับป่านแก้วจัดห้องพักเตรียมไว้ โดยปดว่าเธอจะมาช่วยงานระหว่างที่เอ๋ลา
ก้องภพนึกขึ้นได้
“คุณพิณบอกว่า น้องปิ่นเพชรมาด้วยครับ”
ภูมินทร์ตกใจ “ไอ้เด็กบ้านั่นจะมาด้วยเหรอ?”
แม่นมนวลรีบหันมาถาม “มีเด็กมาเพิ่ม จัดสองห้องดีมั้ยคะ?”
“ไม่ต้องครับ คุณพิณเธอบอกว่าจะพักรวมกัน”
แม่นมนวลยิ้มอย่างใจดี “ถ้างั้น นมจะจัดห้องใหญ่ ๆ ให้นะคะ”
“ขอบคุณนะครับนม ภูรักนมที่สุดในโลก”
ภูมินทร์พูดพลางโผเข้ากอดอ้อน ก้องภพอมยิ้ม
ขณะที่ 2 พี่-น้อง กำลังเก็บของใส่กระเป๋า ปิ่นเพชรรีบลากถุงของเล่นใบใหญ่มากออกมา
พิณชนิดาส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะรีบบอกให้คัดออกไปบ้าง ปิ่นเพชรทำหน้างอนๆ แต่ก็ยอมทำตาม
พลันเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ภิชาสินีเดินไปดูตาแมว เห็นหนึ่งยืนอยู่ ก็รีบเปิดประตู
“พี่พิณกับพี่ภิ เก็บของไปไหน จะย้ายเหรอครับ?”
พิณชนิดาส่ายหน้า “ไม่ได้ย้าย แค่เปลี่ยนที่อยู่ชั่วคราว”
หนึ่งตกใจ “ พี่พิณจะไปอยู่ที่ไหน?”
“ไปทำงานที่บ้านนายภูมินทร์”
หนึ่งได้ยินก็โวยวายเสียงดัง ไม่ยอมให้ไป จนภิชาสินีต้องรีบเข้ามาพูดปลอบ
“หนึ่งใจเย็น ๆ นะ พี่พิณไม่ได้ไปไหนไกล ยังอยู่ในกรุงเทพ คิดถึงก็โทรหาได้”
“พี่ไปได้ไปอยู่ถาวร ไปแค่แป๊บเดียว เดี๋ยวก็กลับ”
ความเจ็บปวดจากอดีต ทำให้น้ำตาของหนึ่งพรั่งพรูออกมาทันที
“ทุกคนก็พูดแบบนี้ ไปแป๊บเดียว เดี๋ยวก็กลับ สุดท้ายก็ทิ้งผมไป ทิ้งผมไปกันหมด ไม่มีใครรักผมสักคน”
พูดจบหนึ่งก็วิ่งออกไปทันที 2 พี่-น้อง กับปิ่นเพชรถึงกับตกใจ
“แค่พี่พิณไม่อยู่ ทำไมหนึ่งต้องเสียใจขนาดนั้น?”
แล้วหนึ่งก็เข้ามาปรับทุกข์กับอรรถพรทั้งน้ำตานองหน้า
“ผมทำอะไรผิด ทำไมทุกคนต้องทิ้งผมไปกันหมด ?”
อรรถพรรีบลูบหลังปลอบโยน
“หนึ่งไม่ได้ทำอะไรผิด แค่ทุกคนมีวิถีชีวิต มีทางเลือกของตัวเอง”
“ทุกคนเลยเลือกที่จะทิ้งผม”
อรรถพรรู้ว่าพูดยังไงหนึ่งคงจะไม่ฟัง จึงเลือกที่จะใช้วิธีอื่น
“ระบายออกมาให้หมด มีอะไรก็พูดออกมา....”
หนึ่งเล่าให้อรรถพรว่าถึงเหตุการณ์สมัยเด็ก ที่เขาสอบได้เกรดสี่เกือบทุกวิชา แต่พอเอาสมุดพกกลับไปจะอวดแม่ หวังว่าแม่จะดีใจ แต่แม่กลับไม่สนใจ เพราะหงุดหงิดที่พ่อไม่กลับบ้าน
“แม่ดูสมุดพกหนึ่งหรือยังครับ?”
“ยัง” แม่ตอบห้วนๆ
“ดูสิครับ”
“อย่าเซ้าซี้ได้มั้ย กะอีแค่สมุดพก จะรีบให้ดูทำไมนักหนา วุ่นวาย น่ารำคาญ”
แม่ลุกเดินออกไปอย่างหัวเสีย หนึ่งหันมองสมุดพกด้วยใบหน้าเศร้า ก่อนจะพูดกับตัวเอง
“หนึ่งแค่อยากให้แม่อารมณ์ดีขึ้น ถ้าแม่ดูสมุดพก แม่อาจจะหายโกรธพ่อ”
หนึ่งนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง พลันก็มีเสียงโครมคราม ตามด้วยเสียงทะเลาะกันของพ่อกับแม่ แม่ทุบตีพ่อด้วยความโมโห พ่อได้แต่ปัดป้อง เด็กหนุ่มรีบเข้าไปห้าม แต่พ่อกับแม่ไม่ฟัง ยังคงทะเลาะกันไม่เลิก จนเด็กหนุ่มต้องตะโกนออกมาอย่างสุดจะทน
“หยุดทะเลาะกันสักทีเถอะครับ”
แม่สวนกลับมาทันควัน
“มันไม่ใช่เรื่องของเด็ก ไปนอนซะ อย่ายุ่ง”
จากนั้นก็หันมาเอาเรื่องพ่อต่อ พ่อเดินหนี แต่แม่ก็ยังเดินตาม
หนึ่งได้แต่ก้มลงเก็บสมุดพกที่ถูกทิ้งขว้างอยู่กับพื้นขึ้นมา ด้วยใบหน้าเศร้า
หลายเดือนต่อมาถัดจากวันนั้น ขณะที่หนึ่งกำลังกวาดบ้านอยู่ พลันมือถือแม่ที่วางอยู่ก็ดังขึ้น เด็กหนุ่มวางไม้กวาดแล้วรีบกดรับสาย
ผู้ชายทางปลายสายพูดกลับมา “ขอสายนิด”
“สักครู่ครับ”
พลันแม่ที่แต่งตัวสวย ก็เดินออกมาพอดี แม่เห็นหนึ่งรับโทรศัพท์ก็ตวาดลั่น แล้วรีบเข้าไปกระชากมือถือมาคุย ด้วยเสียงอ่อนหวาน
“ ฮัลโหล”
“ เมื่อกี๊ใครรับโทรศัพท์?”
“อ๋อ น้องชายน่ะค่ะ”
หนึ่งหันไปมองแม่ ที่เดินคุยโทรศัพท์ออกไปอย่างแปลกใจ ระคนน้อยใจ
“ น้องชาย?”
หลังจากวันนั้น แม่ก็ไม่ค่อยกลับบ้าน พอหนึ่งโทร. หาก็โดนตวาดกลับ แถมพ่อที่เดินเมาเข้ามา ยังตวาดซ้ำ
“โทร. ตามอีนังกากีนั่นทำไม มันพล่านไปถึงไหนต่อไหน มันไม่กลับมาเหยียบที่นี่ก็ดีแล้ว บ้านเราจะได้ไม่เป็นเสนียด”
หนึ่งหันกลับมามองพ่อ “ พ่อกินเหล้าอีกแล้ว?”
พ่อไม่สนใจ เดินโซเซ ปากก็พร่ำด่าแม่ไม่หยุดปาก ครู่หนึ่งร่างก็กระตุกชักอย่างแรงจนปากเบี้ยว
หนึ่งตกใจ รีบวิ่งเข้าไปประคอง
“พ่อ พ่ออย่าเป็นอะไรนะ พ่อครับ”
หลังงานศพพ่อ จู่ๆ แม่ก็เข้ามาบอกหนึ่งว่าให้เก็บข้าวของ
“แม่จะพาหนึ่งไปไหนครับ?”
“ไปอยู่บ้านใหม่”
หนึ่งแทบช็อก “แล้วบ้านหลังนี้?”
“แม่จะขาย”
ขาดคำ พ่อเลี้ยงของหนึ่งก็เดินเข้ามา
“แม่คงอยู่ที่นี่อีกไม่ได้”
หนึ่งหันมองแม่กับพ่อเลี้ยง ด้วยสายตาเจ็บปวด ก่อนจะตะโกนใส่หน้าแม่
“เพราะแม่กับผู้ชายคนนี้ ทำให้พ่อตายใช่มั้ย?”
แม่ตบหน้าหนึ่งด้วยความโกรธ
“แกไม่มีสิทธิ์มาพูดแบบนี้กับแม่”
หนึ่งน้ำตานอง
“แล้วแม่มีสิทธิ์ทำแบบนี้กับหนึ่งเหรอ? สะใจหรือยังที่เห็นครอบครัวเราพังแบบนี้ สะใจหรือยังที่เห็นพ่อตาย”
พ่อเลี้ยงถึงกับชะงักไป แม่ยิ่งโมโหหนัก หันไปตบตีหนึ่งไม่ยั้ง จนเด็กหนุ่มสะท้านไปทั้งตัว ทั้งหัวใจ น้ำตาร่วงพรู
“อย่าพูดแบบนี้กับเค้า ยังไงเค้าก็มีศักดิ์เป็นพ่อแก”
“หนึ่งไม่มีทางเรียกมันว่าพ่อ”
แม่ประกาศกร้าว
“ถ้าเป็นแบบนี้ก็คงอยู่ร่วมกันไม่ได้ แกไม่ต้องไปอยู่บ้านใหม่ ฉันจะส่งแกไปอยู่โรงเรียนประจำ”
หนึ่งแทบช็อก หัวใจดวงน้อย ๆ เหมือนถูกขยี้จนแหลกสลายไม่มีชิ้นดี
อรรถพรกอดปลอบใจหนึ่ง ที่ยังคงร่ำระบาย และร้องไห้ไม่หยุด
“ผมไม่ดีใช่มั้ย ทุกคนถึงทิ้งผมไป”
“ไม่จริง หนึ่งเป็นเด็กดี และเก่งมาก ที่ผ่านเรื่องพวกนั้นมาได้ โดยไม่ออกนอกลู่นอกทาง สิ่งที่เกิดขึ้น หนึ่งแค่ต้องเปิดใจ เมื่อหนึ่งเปิดใจ หนึ่งจะเริ่มเข้าใจแม่ เข้าใจทุกคน”
หนึ่งพูดด้วยเสียงเจือสะอื้น
“ผมไม่มีทางเข้าใจผู้หญิงที่ทิ้งลูกทิ้งผัวไปมีคนอื่น”
“จริง ๆ อาจจะมีเหตุผลลึกๆ มากกว่านั้น สิ่งที่เห็น กับสิ่งที่เป็น สิ่งที่เข้าใจ อาจจะเป็นคนละเรื่องกัน”
“แต่ผมเชื่อในสิ่งที่ผมเห็น”
อรรถพรพยายามพูดปลอบ
“ถ้าหนึ่งเชื่อแค่นั้น หนึ่งจะไม่มีวันรักษาบาดแผลในใจได้ ที่หนึ่งเรียกร้องความรักจากคุณพิณ เพราะลึก ๆ แล้วหนึ่งโหยหาความรักจากแม่”
หนึ่งพยายามหลอกตัวเอง
“ผมไม่ได้รักแม่ ผมไม่ต้องการแม่ ผมจะโหยหาความรักจากแม่ไปทำไม? ผมเกลียดแม่” “วันนี้ พี่พูดอะไรหนึ่งคงไม่เชื่อ แต่จำคำของพี่เอาไว้ เมื่อหนึ่งยอมเปิดใจเมื่อไหร่ หนึ่งจะเห็นความจริง เมื่อเห็นความจริง หนึ่งจะเข้าใจ และให้อภัยแม่ได้ วันนั้นบาดแผล ความเจ็บปวดจะหายไป หนึ่งจะเห็นความรักมากมายของแม่เข้ามาแทน ความรักที่ไม่เคยหายไปไหน ความรักของแม่ที่อยู่กับหนึ่งตลอดเวลา”
“ผมไม่มีทางให้อภัยแม่ ไม่มีทาง”
ปูเปรี้ยวรีบโทร. ไปรายงานเปรมสุดาว่าภูมินทร์สั่งให้จัดห้องใหญ่ เพราะจะมีคนย้ายเข้ามาอยู่ในบ้าน
“ใคร?”
“ ไม่ทราบค่ะ คุณนมไม่ยอมบอก แต่น่าจะเป็นคนสำคัญ”
เปรมสุดาจิกตาร้าย “คนสำคัญ? โอเค ๆ ขอบใจมาก แค่นี้นะ”
พอวางสายจากปูเปรี้ยว ก็รีบโทร. ไปสืบกับสิรวิทย์
“ได้ข่าวว่าพรุ่งนี้จะมีคนมาพักที่บ้านภู คุณวิทย์พอจะทราบมั๊ยคะว่าเป็นใคร?”
สิรวิทย์อึ้งไปครู่หนึ่ง แล้วก็นึกออก พลางชั่งใจว่าจะบอกดีหรือไม่ จนอีกฝ่ายถามย้ำ
“ไม่ตอบแบบนี้ แสดงว่าคุณวิทย์รู้”
สิรวิทย์อึกอัก “ผมไม่แน่ใจเท่าไหร่ครับ?”
เปรมสุดาทำเสียงอ้อน
“แน่ใจหรือไม่แน่ใจก็บอกสุดามาเถอะค่ะ สุดารับได้ ให้สุดารู้จากคุณวิทย์เถอนะคะอย่าให้รู้จากคนอื่นเลย”
สิรวิทย์ถอนหายใจอย่างหนักใจ
พอเปรมสุดารู้ความจริง ก็กรีดร้องโวยวายลั่นบ้าน จนปณิตาต้องปราม
“โวยวายไปไม่ได้ประโยชน์อะไร เริ่มแผนการของเราแล้วดีกว่า”
“แผนที่คุณแม่เคยบอกน่ะเหรอคะ?”
“ใช่ ศัตรูไกล ไม่น่ากลัวเท่ามิตรใกล้”
2 แม่-ลูก หันมามองหน้ากัน แววตาร้าย
ฟ้ารุ่งตื่นมาเห็นเอกกำลังเก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋า ก็รีบถลาเข้าไปหา
“ฟ้าไม่ยอมให้เอกไปไหนทั้งนั้น เอกจะไปไหนไม่ได้”
พูดพลางรื้อเสื้อผ้าของเอกออกจากกระเป๋า
“พอเถอะฟ้า พอซะที ผมเบื่อคุณจะแย่อยู่แล้ว”
“ทำไมเอกพูดกับฟ้าแบบนั้น?”
“เพราะผมเบื่อ ได้ยินมั้ยว่า เบื่อ”
เอกตะโกนใส่หน้า แล้วเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าต่อไป
“เอกอย่าไปนะ เอกไม่รักฟ้าแล้วเหรอ?”
พลันพิณชนิดาก็เดินเข้ามา พลางปรายตามองแบบเย้ยๆ
“ถามอะไรโง่ๆ เอกเค้ารักฉันคนเดียว เอกไม่เคยรักเธอเลย ยัยฟ้าร่วง”
เอกหยิบกระเป๋าเดินไปหาพิณชนิดา สองคนยิ้มให้กัน และกำลังจะเดินไปด้วยกัน ฟ้ารุ่งรีบเข้าไปคว้าแขนเอกไว้ แต่กลับถูกอีกฝ่ายสะบัดออกอย่างไม่ไยดี พลางมองด้วยแววตารังเกียจ
“ขอโทษนะ ผมคงทนอยู่กับฟ้าไม่ได้อีกแม้นาทีเดียว”
ทั้งสายตาที่รังเกียจ และคำพูดที่เชือดเฉือน ทำให้ฟ้ารุ่งเจ็บปวดใจจนน้ำตาร่วงพรู พิณชนิดายิ้มสะใจ
“เคยทำกรรมอะไรไว้ ถึงเวลา มันต้องชดใช้ รู้รสชาติของการถูกแย่งของรักแล้วใช่มั้ย? คำว่าเจ็บเจียนตาย มันเป็นแบบนี้แหละ จำใส่สมองเอาไว้”
พิณชนิดาหัวเราะเสียงดังสะใจ ก่อนจะดึงแขนเอกออกไป ทิ้งให้ฟ้ารุ่งตะโกนตามอย่าง
คลุ้มคลั่ง
“เอก เอก อย่าไป อย่าทิ้งฟ้าไป”
ฟ้ารุ่งสะดุ้งพรวดขึ้นจากที่นอน เอกรู้สึกตัวตื่นตาม พลางหันมามองอย่างแปลกใจ
“ฝันร้ายเหรอ ละเมอเรียกชื่อผมเสียงดังลั่น”
ฟ้ารุ่งได้สติ หันไปทุบตีเอกอย่างแรงหลายที
“เป็นอะไร อยู่ดี ๆ มาทุบผมทำไม?”
“ฟ้าฝันว่าเอกทิ้งฟ้าไปอยู่กับนังพิณ”
เอกส่ายหน้าอย่างเอือมๆ
“ที่ทุบผม โวยวาย อาละวาด เพราะแค่ฝันเนี่ยนะ”
ฟ้ารุ่งรีบบอกต่อว่าหมอดูก็ทำนายว่าทั้งคู่จะเลิกกัน
“ฟ้าจะเชื่อหมอดู มากกว่าเชื่อผมรึไง ความรักของเรา มีแต่เราที่กำหนด หมอดูที่ไหนก็บอกไม่ได้หรอก นอนเถอะนะ อย่าคิดมาก”
เอกดึงฟ้ารุ่งให้ล้มตัวลงนอน แล้วเขาก็หลับไป ฟ้ารุ่งพลิกตัวไปมา ครุ่นคิด
“ หรือกรรมที่แม่หมอว่า จะหมายถึงนังพิณ มันต้องกลับมาแย่งเอกไปจากเราแน่ๆ”
พิณชนิดาเดินนำภิชาสินี กับเด็กปิ่นเพชรไปขึ้นรถก้องภพที่ขับมารับที่อพาร์ตเม้นต์ ขวัญทิพย์กับแพนเค้กมองตามอย่างสงสัย
“นั่นมันผู้ช่วยคุณภูมินทร์”
“หรือว่าสองคนนั้นจะย้ายไปบ้านคุณภูมินทร์?”
ขวัญทิพย์มองปิ่นเพชรแล้วก็นึกเดาไปเรื่อย
“เด็กคนนั้นอาจจะเป็นลูกของน้องพิณกับคุณภูมินทร์ก็ได้”
“ช่วงเวลาที่คุณภูมินทร์กับน้องพิณคบกันจนบัดนี้ ไม่น่ามีลูกโตขนาดนี้ได้นะเมียจ๋า”
“แล้วเด็กนั่นใคร? น้องพิณกับน้องภิไปอยู่ที่ไหน?”
สองผัวเมียมองหน้ากันด้วยสีหน้าอยากรู้อยากเห็น
ภูมินทร์ยืนรอพวกพิณชนิดาอยู่ที่หน้าบ้านกับแม่นมนวล จู่ๆ เปรมสุดาก็เดินเข้ามา
“มาทำอะไรแต่เช้า?”
“ทำไมถามห่างเหินอย่างงั้นล่ะคะ สุดาคิดถึงก็เลยมาหา มายืนรออะไรกันเหรอคะ?”
ภูมินทร์ตอบเลี่ยงๆ “รอเลขาคนใหม่ของผม เค้าจะมาพักที่นี่”
“อ้าว แล้วคุณเอ๋ล่ะคะ?”
“ป่วย ผมเลยให้ลาพักยาว หายแล้วค่อยว่ากัน”
เปรมสุดาซักต่อ “ทำไมเลขาคนนี้ ถึงต้องมาพักที่บ้านภูด้วยล่ะคะ?”
จังหวะนั้นก้องภพก็ขับรถเข้ามาจอด พิณชนิดา ภิชาสินีลงจากรถ เปรมสุดารีบปราดเข้าไปกอดแขนภูมินทร์ทันที
2 พี่-น้องตรงมายกมือไหว้ แม่นมนวลรับไหว้พร้อมรอยยิ้ม พร้อมๆ กับที่ภูมินทร์หันไปบอก
“ตามสบายนะ มีอะไรขาดเหลือก็บอกนม หรือไม่ก็บอกป่านแก้วกับปูเปรี้ยว”
เปรมสุดาทำทีเป็นยิ้ม แล้วเดินเข้ามาหาพิณชนิดาด้วยใบหน้าแสนจะเป็นมิตร
“ยินดีต้อนรับนะจ๊ะ ที่ผ่านมาเราอาจจะมีเรื่องเข้าใจผิด ทำให้ไม่ลงรอยกันบ้าง หลังจากเกิดเรื่องวันนั้น ฉันก็เอาไปคิดไตร่ตรอง เลยคิดได้ว่า ฉันทำเกินไป ยกโทษให้ฉันด้วยนะจ๊ะ ฉันรู้สึกผิดจริงๆ ในเมื่อต่อไปนี้ เธอจะมาเป็นเลขาของภู เราก็ควรจะดีต่อกันไว้มาก ๆ เรามาเริ่มกันใหม่นะจ๊ะ”
เปรมสุดดาจะยื่นมือไปจับ แต่พิณชนิดาที่ยังอึ้งๆ งงๆ เลยยืนเฉย
“เธอคงรังเกียจฉันมาก ไม่เป็นไร ฉันเข้าใจ เธอคงให้อภัยฉันไม่ได้”
เปรมสุดาตีหน้าเศร้า พลางจะชักมือกลับ พิณชนิดาสงสารเลยจับมือเปรมสุดาเอาไว้ แล้วยิ้มให้
“ที่แล้วก็ให้แล้วกันไป เรามาเริ่มกันใหม่กันนะคะ”
แล้วทั้งคู่ก็จับมือกัน ด้วยรอยยิ้ม ทว่ารอยยิ้มของเปรมสุดาตรงกันข้ามกับความคิดโดยสิ้นเชิง
“ฉันจะทำให้แกกระเด็นออกชีวิตภูให้ได้”
จบตอนที่ 9