บ้านศิลาแดง ตอนที่ 13
วิทวัสแกล้งเอาไดร์เป่าตัวให้ร้อนเหมือนเป็นไข้ แล้วกระโดดเพื่อให้หน้าแดง พอได้ยินเสียงประตูขยับ ก็รีบกลับขึ้นไปนอนบนเตียง
เป็นพรเพ็ญที่เดินเข้ามา ด้วยท่าทางกระสับกระส่าย เพราะกอล์ฟยังไม่กลับมาสักที หญิงสาวเดินเข้าไปแตะหน้าผากอีกฝ่าย
“ตัวอุ่นจัง ไหวไหมคะคุณวัส”
วิทวัสรีบคว้ามือเธอมาจับ
“ผมยังไหวครับ ถ้ายังมีคุณเพ็ญอยู่ข้างๆ ให้ป่วยมากกว่านี้ก็ยังไหว”
พรเพ็ญค่อยๆ ดึงมือออก
“ป่วยขนาดนี้ยังพูดเล่นอีกหรือคะ”
“ผมพูดจริง คุณเป็นคนสำคัญของผมรู้ตัวไหมครับ ทุกคำที่ผมพูดกับคุณ มันมาจากหัวใจทั้งนั้น”พูดพลางจ้องตานิ่ง อีกฝ่ายรีบหลบตาเขินๆ
“นี่ไม่ใช่เวลาพูดเรื่องแบบนี้นะคะคุณวัส”
“คุณจะไม่ยอมใจอ่อนกับผมจริงๆ หรือครับ”
พรเพ็ญอึกอัก จังหวะนั้นกอล์ฟก็โผล่พรวดเข้ามาพอดี ก่อนจะรีบบอกว่าหมอไม่ว่าง ให้พรเพ็ญช่วยดูแลไปก่อน
วิทวัสได้ทีรีบบอกให้พรเพ็ญช่วยเช็ดตัวให้ พอฝ่ายหลังเดินออกไปหยิบผ้าจะมาเช็ดตัว เขาก็รีบให้กอล์ฟเอาไดร์เป่าตัวซ้ำอีก แต่จู่ๆ พรเพ็ญก็เดินกลับเข้ามาเห็นพอดี เธอเดาทุกอย่างได้ทันที ก่อนจะเดินออกไปอย่างโมโห เขาได้สติ ก็รีบตามไปขอโทษ พรเพ็ญหันมาเห็นกอล์ฟวิ่งตามมาด้วย ก็นึกขึ้นได้ทันที
“นี่คุณตากับกอล์ฟก็รู้เรื่องด้วยใช่มั้ย”
กอล์ฟยิ้มแหยๆ วิทวัสรีบอธิบาย
“อย่าโกรธคุณตากับกอล์ฟเลยครับ ถ้าจะโกรธ ก็โกรธผมคนเดียวดีกว่า ผมขอโทษนะครับ ผมแค่อยากรู้ใจคุณเท่านั้น”
“นี่คุณโกหกฉันเพื่อลองใจเหรอ งั้นพอใจมั้ยคะที่เห็นฉันเป็นห่วงคุณ มีความสุขมั้ยที่ฉันไม่สบายใจ ไหนบอกว่าจริงใจทุกคำพูด ต่อไปฉันจะไม่เชื่อคุณอีกแล้ว”
วิทวัสหน้าสลด ก่อนจะรีบพูดงอนง้อ พร้อมกับให้สัญญาว่าจะไม่โกหก พร้อมทั้งไม่เร่งรัดขอคำตอบจากเธออีก ในที่สุดพรเพ็ญก็ใจอ่อน ยอมเกี่ยวก้อยคืนดีด้วย
ตรัยถือถาดใส่เหยือกน้ำส้มและแก้วเข้ามาในห้องนอน ก่อนจะคะยั้นคะยอให้อาภาพรดื่มตามปกติแต่พอลับสายตาเขา อีกฝ่ายก็มองเหยือกน้ำส้มอย่างหวาดระแวง พลางชั่งใจว่าจะกินหรือไม่กินดี
ตรัยเห็นอาภาพรหลับไปแล้วก็รีบย่องเปิดประตูออกไปเงียบๆ ทันทีที่ประตูปิดลง ฝ่ายหลังก็ลืมตาขึ้น
“ที่ผ่านมาเราถูกวางยาจริงๆ ด้วย พี่ตรัยนะพี่ตรัย”
เธอพูดอย่างเจ็บใจ ก่อนจะรีบคว้าเสื้อคลุมมาสวม แล้วตามออกไปทันที
ตรัยเดินหลบๆ เลี่ยงๆ ผ่านสวน ตรงไปที่ห้องของพรเพ็ญ พอเห็นอีกฝ่าย ก็รีบเดินไปสะกิด
“พี่มีเรื่องจะคุยกับพร”
เพ็ญพรอึกอัก “แต่พรไม่..”
ทันใดนั้นเสียงอาภาพรก็แหลมขึ้นมาพอดี
“พี่ตรัย อยู่แถวนี้หรือเปล่าอ่ะ พี่ตรัย”
ตรัยตกใจ รีบฉุดข้อมือเพ็ญพรเข้าไปหลบในห้องของนายตูบ แล้วปิดประตูทันที “พี่อยากขอโทษพร เรื่องเมื่อคืนก่อน ที่พี่..เอ่อ..”
เพ็ญพรรู้ว่าอีกฝ่ายหมายถึงเรื่องที่เขาจุ๊บหน้าผากเธอ ก็หน้าระเรื่อ แต่ทำเป็นโมหกลบเกลื่อน
“จะบอกว่าไม่ตั้งใจ?”
“เปล่า พี่ตั้งใจ พี่อยากขอโทษที่ทำให้พรตกใจ แล้วพี่ก็พร้อมรับผิดชอบทุกอย่างด้วย”
“พี่ตรัยบ้าหรือเปล่าเนี่ย แค่จูบนะ ไม่ได้ทำพรท้อง แล้วพรก็ไม่ได้คิดหรือรู้สึกอะไรสักหน่อย”
ตรัยอมยิ้ม
“จริงเหรอ ถ้าไม่รู้สึกอะไร แล้วช่วงที่ผ่านมา พรหลบหน้าพี่ทำไมล่ะ” พูดพลางจ้องเพ็ญพรตาเป็นประกาย “พี่อยากให้พรรู้ ทุกอย่างที่พี่ทำ พี่จริงจัง พี่ชอบพรจริงๆ รู้ไหม”
เพ็ญพรอึ้ง รีบทำทีจะเลี่ยงไปดูพ่อ
“เดี๋ยวก่อนสิครับ พรยังไม่ได้บอกพี่เลย ว่าพรคิดยังไงกับพี่”
พูดพลางจับแขนอีกฝ่ายไว้ไม่ให้ไป ขณะที่ในใจก็ลุ้นรอฟังคำตอบ แต่ทันใดนั้นเสียงโวยวายของอาภาพรก็ดังมา
“พี่ตรัยอยู่ไหน มาเคลียร์กันเดี๋ยวนี้นะ ภารู้แล้วว่าพี่ตรัยเอายานอนหลับให้ภากินทุกคืน มาคุยกันให้รู้เรื่องนะ ไม่งั้น ภาโกรธจริงๆ ด้วย”
จากนั้นก็กวาดสายตาไปรอบๆ ก่อนจะมาหยุดที่ประตูห้องนายตูบ พลางรีบเดินปรี่เข้าไปลองขยับลูกบิดประตู แต่ประตูปิดล็อก เธอจึงทุบประตูรัว
“พี่ตรัยอยู่ในนี้ใช่ไหม เปิดประตูเดี๋ยวนี้นะ”
เพ็ญพรกับตรัย ที่อยู่ในห้องมองหน้ากันเลิกลัก
“เอาไงดีล่ะ ขืนคุณภาเจอพรอยู่ในนี้ งานเข้าแน่”
“ไปหลบตรงนั้นก่อน”
เพ็ญพรรีบเดินไปหลบ แล้วคลี่ผ้าปูที่นอนที่ถือมาด้วยออกคลุมตัวไว้ ขณะที่ตรัยรีบเปิดประตู พออาภาพรเข้ามา ก็อาละวาดทันที
“พี่ตรัย ทำแบบนี้หมายความว่าไงคะ พี่ตรัยแอบมาหาใคร เมื่อกี๊ภาได้ยินนะ นังพรมันอยู่ในห้องนี้ด้วยใช่มั้ย”
พูดพลางมองไปรอบๆ ห้อง พยายามค้นตามที่ต่างๆ เพ็ญพรที่แอบซ่อนอยู่ ถึงกับตัวเกร็ง
“น้องภาจะหาอะไร ในห้องนี้ไม่มีคนอื่นสักหน่อย ถ้าอยากเคลียร์อะไร ก็กลับไปคุยกันที่ห้องดีกว่า“ไม่ค่ะ หน้าตาพี่ตรัยมีพิรุธมาก ชัวร์ล่ะ นังพรต้องอยู่ในห้องนี้แน่ๆ”
เมื่อกวดตามองไปที่ที่พ็ญพรซ่อนอยู่ ก็เกิดเอะใจ ทำทีจะตรงเข้าไปจะดึงผ้า แต่ตรัยรีบพูดเสียงดัง
“น้องภา ถ้าอยากรู้ว่าทำไมพี่ถึงทำแบบนี้ ก็กลับไปคุยกันที่ห้องครับ ไม่งั้น พี่จะไม่บอกอะไรน้องภาอีกเลย”
ชายหนุ่มแกล้งทำเป็นโมโห แล้วรับเดินออกไป อาภาพรชะงักมือที่กำลังจะกระชากผ้าออก
ก่อนจะรีบวิ่งตามออกไป เพ็ญพรถอนใจอย่างโล่งอก พอเข้ามาอยู่ในห้องของตัวเอง ก็อดที่จะรำพึงรำพันกับตัวเองไม่ได้
“ฉันจะตอบคุณได้ยังไง ฉันไม่ใช่เจ๊ติ๋มนี่นา”
หญิงสาวรู้สึกเศร้าๆ อย่างไรชอบกล
อ่านต่อหน้า 2
บ้านศิลาแดง ตอนที่ 13 (ต่อ)
ทางด้านตรัย พอเข้ามาอยู่ในห้องนอนกับอาภาพรก็ทำทีเป็นออกปากว่าที่ต้องวางยา เพราะไม่อยาก อยู่ห้องเดียวกับเธอ เกรงว่าจะทำให้เธอเสียหาย
“แต่คนทั้งบ้านคิดว่าเรามีอะไรกันแล้ว ถึงทำจริงก็ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่คะ”
“พี่ถือนะครับ เราสองคนยังไม่ได้แต่งงาน พี่ไม่อยากจะชิงสุกก่อนห่ามพี่เคยรับปากแม่พี่ไว้น่ะครับ
ถ้ายังไม่แต่งงาน พี่จะไม่ล่วงเกินคนรักเด็ดขาด ภาเข้าใจพี่นะครับ พี่ไม่อยากผิดสัญญากับแม่”
อาภาพรพยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะพูดมัดมือชกให้เขารีบแต่งงาน แต่ตรัยอ้างว่าจะแต่งงานได้ก็ต่อเมื่อ
สร้างฐานะมั่นคงแล้วเท่านั้น
“โน่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่ได้ แล้วเมื่อไหร่ภาจะสมหวังซักทีละคะ”
“อดทนรอหน่อยนะครับ ระหว่างนี้เราก็ แยกห้องนอนกันไปก่อน”
อาภาพรรีบบอกว่าจะแยกห้องนอนไม่ได้ เพรากลัวสโรชาจะสงสัย ตรัยจึงจำยอมต้องนอนร่วมห้อง
โดยเขาขออาสาเป็นฝ่ายนอนที่พื้นเอง
เชาว์ถูกลูกสมุนจับตัวมาให้นายสอบสวน คาดคั้นถึงเรื่องเงิน เขารีบบอกว่าถูกวาทินีขโมยไปหมดแล้ว ก่อนที่รับปากว่าจะรีบหาเงินทั้งหมดมาคืนให้โดยด่วนที่สุด
“เงินมากขนาดนั้น มึงเอาปัญญาที่ไหนมาใช้กูวะ”
“มีสิครับนาย ผมมีแผน ถ้าสำเร็จ นายได้เงินคืนแน่ๆ”
“แผน มึงจะทำยังไง”
เชาว์พูดอย่างมั่นใจ ขณะที่นายดูเหมือนจะไม่เชื่อในคำพูด
ส่วนสโรชาก็เสียการพนันจนเงินที่เตรียมมาหมดเกลี้ยง นักเลงคุมบ่อนจึงเสนอให้ยิมชิปเพื่อมาเล่นต่อ แต่ยิ่งเล่นก็ยิ่งเสียหนักขึ้นๆ นักเลงแอบยิ้ม ก่อนจะเดินไปหยิบสัญญาเงินกู้มาให้ดู
“สัญญาเงินกู้ หวังว่าคุณนายคงไม่เบี้ยวเรานะ”
พอสโรชาเห็นยอดหนี้ก็ช็อก ถึงกับพูดไม่ออก
ส่วนเชาว์ก็ถูกสมุนของนายโยนออกมาจากบ่อนในสภาพสะบักสะบอม พร้อมกับที่วาทินีโทร.เข้ามือถือมาพอดี
“อีวาทินี อีตัวแสบ นี่มึงยังมีหน้ากล้าโทร. หากูอีกเหรอ อะไรนะ มีเรื่องสำคัญจะคุย ผลประโยชน์ของเรา 2 คนงั้นเหรอ? ผลประโยชน์อะไรวะ”
เชาว์ครุ่นคิดอย่างแปลกใจ
สโรชาผุดลุกผุดนั่งอยู่ในห้องนอน สีหน้าเคร่งเครียด ครู่หนึ่งอาภาพรก็เดินเข้ามา ก่อนจะออกปากขอยืมเงิน 5 ล้าน จะเอาไปเป็นทุนให้ตรัยตั้งตัว สร้างฐานะ เพื่อจะได้รีบๆ แต่งงานกัน ฝ่ายแรกถึงกับโวยวายลั่น
“ 5 ล้าน แกเห็นฉันเป็นอะไร เลิกเพ้อได้เลย ตอนนี้ 5 บาท ฉันก็ไม่มีให้
“ไม่จริง สมบัติในบ้านนี้ตั้งแยะ แล้วเงินตาแก่นั่นอีก หนูอยากได้เงินไปสร้างอนาคตนะ แค่นี้ให้หนูไม่ได้เหรอ ทีพี่ณัฐแม่ยังมีให้เลย ใช่สิ ภามันไม่ใช่ลูกคนโปรดของแม่นี่”
“อย่าพูดบ้าๆนะยัยภา ฉันไม่ได้ให้เงินพี่แก อย่ามาหาเรื่อง”
“ไม่จริง ถ้าแม่ไม่ให้แล้วพี่ณัฐเอาเงินใครไปซื้อทองมาใส่เต็มตัว ภารู้นะ พี่ณัฐเล่นยา แม่ยังไม่ว่าเลย ทีภาขอเงินไปสร้างตัวกลับไม่ให้”
อาภาพรโวยวายไม่หยุด ถึงกับหลุดปากว่าเกลียดแม่ สโรชายิ่งหงุดหงิด เผลอตัวตบลูกสาวไปฉาดใหญ่ ฝ่ายลูกสาวถึงกับน้ำตาคลอ รีบวิ่งออกจากห้องไป
สโรชามองมือตัวเองอย่างสับสน ก่อนจะทรุดตัวลงนั่ง ท่าทางเคร่งเครียด
อาภาพรวิ่งปาดน้ำตาเข้ามาในสวน ตรัยที่ยืนอยู่เห็นเข้าก็ตกใจ แม้จะไม่รู้สาเหตุ แต่ก็เข้าไปกอดปลอบใจ
หมอรุจน์มาตรวจอาการของเอกสิทธิ์ตามปกติ ก่อนจะแจ้งผลว่าอาการเริ่มดีขึ้นตามลำดับ แต่ต้องหมั่นทำกายภาพอย่าได้ขาด
เอกสิทธิ์ค่อยๆ ขยับมือตัวเอง พลางยิ้มอย่างมีความหวัง
หลังจากนั้นพรเพ็ญก็เดินออกมาส่งหมอรุจน์ เขาเห็นสีหน้าเธอไม่สู้ดี ก็นึกเป็นห่วง
“รู้อย่างนี้ผมจัดวิตามินบำรุงให้คุณด้วยดีกว่า ทำงานเหนื่อยก็พักผ่อนด้วยนะครับ อย่าหักโหมมาก ผมเป็นห่วง”
พูดพลางมองจ้องตา พยายามสื่อความในใจ แต่เพ็ญพรไม่รับรู้
“เอ๊ะ นั่นเจ้าตรัยนี่ครับ”
เพ็ญพรมองตาม แล้วชะงัก เมื่อเห็นตรัยกำลังโอบปลอบอาภาพรอยู่ในสวน
“พี่ว่าไม่มีแม่คนไหนที่เกลียดลูกตัวเองหรอก อย่าร้องไห้เลย”
อาภาพรยังร้องไห้ไม่เลิก
“ไม่เกลียดแต่ก็ไม่รักหรือเปล่าคะ ภารู้สึกมานานแล้วว่าแม่แคร์พี่ณัฐมากกว่าภา ภาน่ะตัวคนเดียว ภาเหงาแค่ไหนพี่ตรัยรู้ไหมคะ”
“ไม่คิดมากน่ะภา ภายังมีพี่ชายคนนี้อีกคนนะ ลืมไปแล้วเหรอ”
อาภาพรได้ยิน ก็ถึงกับชะงัก “พี่ชาย?”
ตรัยได้สติ กำลังจะพูดแก้ตัว แต่พอดีเสียงของเพ็ญพรดังขึ้นมาขัด
“สวีทกันแต่เช้าเลยนะคะ กลัวโลกไม่รู้ว่ารักกันมากรึไง ถึงกับต้องมานั่งกอดกันกลางแจ้งแบบนี้”
ตรัยผละออกห่างทันที พร้อมกับรีบปฏิเสธ
“ไม่ต้องแก้ตัวหรอกค่ะ เป็นสามีภรรยากัน ทำอะไรก็ไม่ผิดอยู่แล้ว”
พูดพลางควงแขนหมอรุจน์หน้าตาเฉย
“หมอคะ เราไปกันเถอะค่ะ อย่าอยู่เกะกะพวกเค้าเลย”
จากนั้นก็รีบลากอีกฝ่ายออกไป
หมอรุจน์หันกลับไปมองตรัยและมองเพ็ญพร เริ่มสงสัยบางอย่าง
สุดากำลังเร่งปั่นต้นฉบับอยู่ที่บ้าน พลันก็ได้ยินเสียงกริ่งหน้าบ้านดังขึ้น พอเธอลุกมาดู เห็นหมอรุจน์ยืนอยู่ ก็ตกใจ รีบก้มมองสภาพตัวเอง ก่อนจะรีบผลุบเข้าห้องน้ำทันที ครู่ใหญ่ก็แต่งตัวสวยออกมาต้อนรับ
“โทษที พอดีติดสายบอกออยู่อ่ะ”
หมอรุจน์ทำหน้างง “เวลาอยู่บ้าน แต่งตัวขนาดนี้เลยเหรอ”
“ใช่ ว่าแต่หมอมาทำไม มีธุระอะไร”
เมื่อสุดาพาหมอรุจน์เข้ามาในบ้าน ฝ่ายหลังก็ยิงคำถามทันที
“ผมอยากรู้ว่าตกลงคุณพรชอบใครกันแน่ เมื่อเช้าผมไปบ้านโน้นมา ท่าทางไอ้ตรัยกับคุณพรดูมีอะไรแปลกๆ อยู่นะ แต่วันก่อน คุณเพิ่งบอกผมว่าคุณพรชอบกับนายวิทวัส ผมเลยสงสัยว่ามันยังไงกันแน่”
สุดารีบแถ
“ฉันไม่รู้ ก็มันเรื่องส่วนตัวของคุณพรเค้า แบบว่าสวยเลือกได้อ่ะ เข้าใจป่ะ เค้าอาจจะดูๆ ทั้งพี่ตรัยแล้วก็คุณวิทวัสอยู่ก็ได้ แต่ที่รู้แน่ๆ เค้าไม่สนหมออ่ะ จบมั้ย”
หมอรุจน์มองหน้าอย่างนึกเคือง
“นี่คุณ ผมถามแค่นี้ ทำไมต้องจิกกันด้วย”
“ก็หมอมากวนเวลาทำงานฉันอ่ะ นี่ทีหลังถ้าจะมาด้วยเรื่องไร้สาระแบบนี้ ไม่ต้องมานะ เสียเวลาจริงๆ เลย”
พูดจบก็ผลักอีกฝ่ายอออกไปจากบ้านแล้วปิดประตูใส่ เล่นเอาหมอรุจน์ยืนงง
ทางด้านวาทินีที่นัดเจอกับเชาว์ ก็รีบเสนอเงื่อนไข ว่าให้เขาไปเรียกเงินจากสโรชา 3 ล้าน เพื่อแลกกับคลิปหลักฐาน
“นี่มึงเล่นอย่างนี้เลยเหรอ ถ้ากูช่วยมึง แล้วกูจะได้อะไรวะ”
“ก็ส่วนแบ่งไง ฉันจะให้พี่ 5 แสน ล้านนึงเลยก็ได้”
เชาว์ส่ายหน้า พร้อมกับแค่นหัวเราะ
“ทำไมกูต้องช่วยมึงด้วย ในเมื่อกูมีทางได้ของกูอยู่แล้ว อีกอย่างกูไม่เชื่อใจมึงว่ะ อีวาทินี”
พูดจบหันหลังจะเดินออกไป แต่ก็ยังช้าว่าวาทินี ที่พูดสวนขึ้นมา
“แต่ถ้าพี่ไม่ช่วยฉัน คลิปนี้ก็จะถึงมือตำรวจ ฉันให้เวลาพี่คิด 3 วัน จะร่วมมือกับฉันไถเงินอีแก่ไปคืนนาย หรือจะเข้าคุกไปกับมัน ก็เลือกเอา”
เชาว์อึ้งไป ขณะที่วาทินียิ้มร้ายอย่างคนที่ถือไพ่เหนือกว่า
ทางด้านนักเลงก็บุกมาขู่สโรชาเรื่องเงินที่กู้ไปถึงที่บ้านศิลาแดง
“ยังไม่ถึงกำหนดที่ตกลงกันไว้ไม่ใช่เหรอ”
“ใช่ ผมแค่มาเตือนเพราะห่วงคุณนายน่ะครับ ตอนนี้คุณนายเป็นหนี้เราทั้งหมด 5 ล้าน และถ้าไม่รีบจ่าย มันอาจกลายเป็น 10 ล้าน เร็วๆนี้”
“ 5 ล้าน? เป็นไปไม่ได้ ฉันกู้พวกแกมาแค่ 3 ล้านไม่ใช่เหรอ”
อาภาพรเดินเข้ามาได้ยินพอดี
“คุณแม่กู้เงินทำอะไรตั้ง 3 ล้านคะ”
สโรชาตกใจ ส่วนนักเลงมองอาภาพรตาไม่กระพริบ
“ลูกสาวเหรอคุณนาย หน้าตาไม่เลว ถ้ายังไม่มีเงิน จะเอาลูกมาขัดดอกก่อนก็ได้”
“พูดบ้าๆ อย่ามายุ่งกับลูกฉันนะ แล้วฉันก็ไม่ได้เป็นหนี้แกถึง 5 ล้านด้วย ฉันเอามาแค่ 3 ล้านจริงๆ”นักเลงหัวเราะขำ
“แล้วดอกเบี้ยล่ะคุณนาย เราไม่ใช่นักบุญที่จะให้ใครยืมเงินฟรีๆ นะ ถ้าห่วงลูก ก็จ่ายเงิน 5 ล้านมา แล้วลูกคุณนายจะปลอดภัย แล้วผมจะกลับมาใหม่ จะจ่ายเป็นลูกสาวหรือเงิน ก็เลือกเอา”
พูดพลางทำหน้าขึงขัง ก่อนจะเดินออกไป
สโรชาเข้ามารื้อหาเอกสารในห้องเอกสิทธิ์มือไม้สั่น อาภาพรวิ่งพรวดพราดตามเข้ามา ก่อนที่ 2 แม่ลูกจะช่วยกันรื้อค้นจนทั่วห้อง ครู่หนึ่งอาภาพรก็ค้นเจอกุญแจตู้เซฟ แต่พอเปิดเซฟออก กลับว่างเปล่า
“ไม่จริง มันจะหายไปหมดได้ยังไง หรือว่า” สโรชาตาวาววับ “นังพร”
จากนั้นสโรชาก็บุกเดี่ยวไปเอาเรื่องเพ็ญพรถึงที่บริษัท แต่กลับเสียทีโดนฝ่ายหลังคว้าข้อมือมาบิด ฝ่ายจู่โจมร้องเสียงดังลั่น จนพนักงานพากันมามุงดู เพ็ญพรปล่อยมือ แล้วผลักสโรชาออกไป
“เป็นอะไรไปคะคุณน้า จู่ๆ ก็วิ่งพล่านมากัดคนไม่เลือกหน้าแบบนี้”
สโรชาสีหน้าโกรธจัด โวยวายว่าเธอขโมยของในตู้เซฟไป พร้อมกับขู่ว่าถ้าไม่เอามาคืน จะแจ้งตำรวจ
เพ็ญพรยิ้มเยาะ
“ก็เอาสิคะ พรก็อยากรู้เหมือนกันว่าคุณน้ามีหลักฐานอะไรว่าพรเป็นคนเอาไป ถ้าคุณน้ากล้าแจ้งตำรวจ พรก็จะแจ้งกลับ ข้อหาหมิ่นประมาท ดีไม่ดี ตำรวจอาจจะขุดคุ้ยเจอเรื่องผิดกฏหมายในบ้านศิลาแดงก็ได้นะคะ”
สโรชาสันหลังหวะ รีบสะบัดหน้าเดินหนีไป เพ็ญพรหุบยิ้ม สีหน้าครุ่นคิด
เมื่อมาสอบถามกับทนายสมศักดิ์ ก็ได้รู้ความจริงว่า เขาเป็นคนไปเปิดตู้นิรภัยที่ธนาคาร แล้วก็เอาของในเซฟที่บ้านทั้งหมดไปเก็บไว้ในนั้น
“คุณลุงทนายแน่ใจนะคะว่าไม่มีใครรู้เรื่องนี้”
“แน่นอนครับ นอกจากผม คุณพรแล้วก็คุณท่านแล้ว ไม่มีใครรู้แน่นอนครับ”
“แล้วธนาคารเจ้าของตู้นิรภัยล่ะคะ”
“ไว้ใจได้แน่นอนครับ ผมเลือกใช้บริการธนาคารอื่น ไม่ใช่ธนาคารเดิมที่คุณสโรชาเคยใช้บริการครับ”
เพ็ญพรยิ้มอย่างพอใจ แต่ไม่วายเป็นกังวล
“ทำไมคุณน้าถึงได้ปรี๊ดขนาดนี้นะ มันต้องมีอะไรแน่ๆ”
อ่านต่อหน้า 3
บ้านศิลาแดง ตอนที่ 13 (ต่อ)
ฝ่ายทางพรเพ็ญที่กำลังนั่งปอกผลไม้ ขณะที่มองเหม่อ ครุ่นคิดถึงคำพุดของวิทวัส จนเผลอทำมีดบาดนิ้ว เดือนฉายเดินมาเห็นเข้าก็ช่วยทำแผลให้ ก่อนจะพูดขึ้นมาอย่างรู้ใจ
“มัวแต่ใจลอยไปไหน ถึงได้มีดบาดล่ะ คิดถึงเรื่องคุณวัสใช่มั้ย”
พรเพ็ญหน้าแดง “เปล่านะคะแม่”
“อย่ามาปิดแม่เลย แม่อาบน้ำร้อนมาก่อน แค่เห็นแม่ก็รู้แล้ว”
พรเพ็ญรีบบอกว่าเธออึดอัดใจ ไม่อยากโกหกเขาอีกต่อไป
“งั้นก็บอกความจริงเขาไปสิ ยังไงสักวันเขาก็ต้องรู้ความจริง สู้ให้เขารู้ไปตอนนี้เลย จะได้ไม่ต้องค้างคาใจกันอีก จริงมั้ยลูก”
พรเพ็ญคิดตามที่เดือนฉายพูด สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล
ตรับอาสาลุงเติมกับป้าแจ่มเข้ามาช่วยป้อนอาหารให้เอกสิทธิ์ เมื่ออยู่กันตามลำพัง เขาก็ถามในสิ่งที่ค้างคาใจมานาน
“ถ้าคุณลุงเชื่อใจผม ผมจะขอถามอะไรสักอย่างได้มั้ยครับ คุณลุงต้องตอบผมมาตามความจริงนะครับ นอกจากน้องพรแล้ว คุณลุงมีลูกสาวฝาแฝดอีกคนใช่มั้ยครับ”
เอกสิทธิ์ได้ยินคำถาม ก็ถึงกับตกใจ
ทางด้านเชาว์ก็ดำเนินตามแผนของวาทินีด้วยการมาเรียกเงินจากสโรชา 3 ล้าน แต่ฝ่ายหลังกลับยกเรื่องที่เขาพาเธอไปเล่นการพนัน จนถูกหลอกให้เป็นหนี้ 5 ล้าน มาโวยวายกลับ
“เมื่อเช้ามันบุกมาที่นี่ ขู่ถ้าไม่มีเงินไปคืนมัน มันจะเอายัยภาไปขาย”
เชาว์ได้ยินก็ตกใจ
“เฮ้ย เกี่ยวอะไรกับยัยภาด้วย ทำเกินไปเปล่าวะ”
ก่อนที่จะรีบเสนอทางช่วย ให้อีกฝ่ายขายบ้านศิลาแดง
“ฟังให้ดีนะ วันนี้นังวาทินีมันมาขู่ฉัน ถ้าไม่ได้เงิน 3 ล้านภายใน 3 วัน มันจะเอาคลิปนั่นให้ตำรวจ บ้านนี้น่าขายจะได้หลายสิบล้าน เอาไปใช้หนี้บ่อน จ่ายค่าไถ่คลิปนังวาทินี แล้วก็ยังเหลือมากพอจะเริ่มกันใหม่”
“นึกว่าฉันไม่เคยคิดเหรอ แต่นังพรมันขโมยโฉนดไปแล้ว จะขายบ้านได้ยังไงกัน แต่เดี๋ยวนะ ฉันว่าเรามีทางรอดอยู่”
สโรชาพูดพร้อมกับจิกตาร้าย
ขณะเดียวกันพรเพ็ญก็โทร. จากบ้านสวนมาหาเพ็ญพร เพื่อนัดให้อีกฝ่ายออกมาพบ เพราะว่ามีเรื่อง
สำคัญจะคุย ขณะที่เพ็ญพรกำลังจะออกจากบริษัท เพื่อไปตามนัด ตรัยที่มาหาเธอที่บริษัทพอดี ก็มองตามอย่างสงสัย ก่อนจะรีบเดินตามออกไป
เพ็ญพรเดินเข้ามาในร้านกาแฟตามนัด โดยที่พรเพ็ญกับสุดานั่งรออยู่ก่อนแล้ว
“เจ๊มีอะไรรึเปล่าถึงได้เข้ากรุงเทพฯ กะทันหัน หรือว่าแม่กับตาเป็นอะไร”
“คุณแม่กับคุณตาสบายดี แต่พี่อยากรู้เรื่องพ่อ”
เพ็ญพรถอนหายใจโล่งอก
“พ่อสบายดี เพ็ญให้คนอยู่ดูแลพ่อตลอดเวลา ถ้าไม่ใช่สุดา ก็ให้ป้าแจ่มกับลุงเติมช่วยดูให้”
พูดพลางสังเกตสีหน้าของอีกฝ่าย
“เจ๊ไม่ได้มาเพราะเรื่องพ่อเรื่องเดียวใช่มั้ย”
พรเพ็ญหน้าเครียด
“ไม่สบายใจเลย พี่ไม่อยากโกหกเรื่องของเราอีกแล้ว”
“เรากำลังจะทำสำเร็จ เจ๊จะถอยง่ายๆ ไม่ได้นะ”
อีกฝ่ายรีบอธิบาย
“พี่ไม่ได้ถอย พี่แค่จะขอน้องเพ็ญว่า พี่จะบอกความจริงกับคุณวิทวัสเรื่องของเราได้มั้ย พี่ปรึกษาคุณแม่แล้ว ท่านก็เห็นด้วย พี่ก็เลยมาปรึกษาน้องเพ็ญก่อน”
เพ็ญพรมองแฝดผู้พี่ด้วยสายตาแปลกๆ
“เจ๊ชอบหมอนั่นจริงๆ เหรอ”
ขณะที่ตรัยเดินมา แต่กลับมองไม่เห็น 3 สาวนั่งอยู่ในร้าน จนเดินเลยไป พลางหยิบมือถือมากดโทร.หาสุดา
“พี่ตรัยโทรมา ฮัลโหล พี่ตรัย น่าเสียดายจัง ดาไม่อยู่บ้าน ดาออกมาเม้าท์มอยกับเพื่อนที่ห้างน่ะค่ะ หา พี่ตรัยจะแวะมาหาเหรอคะ ไม่ค่ะ ไม่มีปัญหา เดี๋ยวเจอกันนะคะพี่ตรัย”
พอวางสายก็รีบหันมาบอกเพื่อน
“เราต้องแยกกันแล้วล่ะ เดี๋ยวพี่ตรัยจะจับได้”
แต่พอเดินมาหน้าร้านกำลังจะแยกกัน ตรัยก็ยืนมาขวางหน้า พลางกวาดตามองทุกคนอย่างผู้ชนะ
“ไม่ทันละมั้งสาวๆ”
พรเพ็ญยกมือไหว้ตรัย สีหน้ารู้สึกผิดมากๆ พลางรีบเอ่ยปากขอโทษ แต่อีกฝ่ายกลับบอกว่า
“พี่รู้มาตั้งนานแล้ว”
เพ็ญพรตกใจ
“นี่คุณรู้นานแล้วเหรอ รู้ได้ยังไง? รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“คุณครับ ขอโทษนะครับ ผมเป็นตำรวจนะครับ แม้ตอนนี้จะถูกพักงานแต่ก็แค่ชั่วคราวแน่นอน”
เพ็ญพรถามต่อว่ามีใครรู้อีกมั้ย อีกฝ่ายรีบบอกว่าเขาไม่ได้บอกใคร และสัญญาว่าจะเก็บความลับให้สนิท
พรเพ็ญมองทั้งคู่ที่ต่อปากต่อคำ ด้วยแววตายิ้มๆ เหมือนรู้อะไรบางอย่าง
“เจ๊บ้าไปแล้ว หมอนั่นไม่ได้ชอบเพ็ญหรอก”
เพ็ญพรฝืนใจพูดออกมา ขณะโทร.คุยกับแฝดผู้พี่หลังจากที่แยกย้ายกลับมาอยู่ที่บ้านของแต่ละคนแล้ว
“แต่แววตาที่พี่ตรัยมองน้องเพ็ญ มันดูแปลกๆ อยู่นะ พี่ว่าพี่ตรัยชอบน้องเพ็ญแน่ๆ”
เพ็ญพรอมยิ้มเขิน แล้วรีบทำเป็นหันมาคาดคั้นถามเรื่องวิทวัส ทำเอาอีกฝ่ายหน้าจ๋อย
“มันไม่มีประโยชน์หรอก เพราะคนที่คุณวัสชอบ ไม่ใช่พี่ คุณวัสเค้ามาสารภาพรักกับพี่ เพราะว่าเค้าคิดว่าพี่คือน้องเพ็ญ”
เพ็ญพรเหวอ ก่อนจะรีบปฏิเสธว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะเธอกับเขาเจอกันไม่กี่ครั้ง แถมยังไม่เคยพูดจาดีๆ กันสักครั้งเดียว
“แต่เขาชอบน้องเพ็ญจริงๆ เขาไม่ได้ชอบพี่”
พอต่างฝ่ายต่างวางสายกันไป พรเพ็ญก็อดครุ่นคิดต่อไม่ได้
“ถ้าพี่ตรัยกับน้องเพ็ญรักกัน คุณวัสก็ต้องอกหักน่ะสิ”
เช่นเดียวกับสุดา ที่คิดคล้ายๆ กัน ด้วยความห่วงว่าหมอรุจน์จะผิดหวัง จนร่ำๆ จะโทร. ไปหา แต่ก็ลังเล ไม่กล้าโทร.
ส่วนเชาว์กับสโรชาก็พากันมายื่นข้อเสนอกับเจ้าของบ่อนเพื่อผ่อนผันหนี้ ด้วยการนำโฉนดที่ดินมาค้ำไว้ก่อน
“มันจะพอกับหนี้ที่คุณนายติดผมเหรอ”
“จะบ้าเหรอ โฉนดที่ดินบ้านศิลาแดงเชียวนะยะ ราคาประเมินตอนนี้คงตกอยู่ราวๆ 200 ล้านเข้าไปแล้ว”
เจ้าของบ่อนตาลุกวาว รีบตะครุบไว้ทันที
“นี่ผมเห็นว่าคุณนายเป็นเมียเก่าของนายเชาวน์หรอกนะถึงได้ยอม ถ้าเป็นคนอื่นผมไม่มีทางยอมเด็ดขาด”
สโรชากับเชาวน์แอบสบตากันแบบมีเลศนัย ก่อนที่จะแอบมาคุยกันตามลำพัง ว่าที่แท้โฉนดนั้นเป็นของปลอม
“หวังว่าจะถ่วงเวลามันได้สักพัก อย่างน้อยก็จนกว่าจะหาเงินมาไถ่ได้ ไม่งั้นพวกเราตายหมู่แน่ๆ”
เช้าวันใหม่ ขณะที่วิทวัสนอนเอกเขนกอยู่บนเปลญวน กำลังหลับตาฝันหวาน หมายมั่นว่าจะจ้องพิชิตใจพรเพ็ญให้ได้ แค่คิดเสียงฝ่ายหลังก็ดังขึ้นมาทันที พอเขาลืมตาขึ้นมา เห็นหน้าเธออยู่ใกล้ๆ ก็ตกใจ จนกลิ้งตกจากเปล
พรเพ็ญตกใจ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้มขำกับความน่ารักของเขา แล้วในที่สุดก็ตัดสินใจถามขึ้นมาตรงๆ“คุณวัสรักเพ็ญรึเปล่าคะ”
วิทวัสยิ้มเขิน “คุณเพ็ญเล่นถามตรงๆ แบบนี้ ผมก็เขินแย่สิครับ”
“ตอบมาเถอะค่ะ ฉันรับได้”
เขาไม่ได้เอะใจกับคำพูดของอีกฝ่ายเลยสักนิด
“พูดตรงๆ นะครับ ผมไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับผู้หญิงคนไหนมาก่อน ตั้งแต่ผมเห็นคุณเพ็ญ ผมก็รู้เลยว่านี่แหละคือผู้หญิงที่ผมจะใช้ชีวิตอยู่ด้วยไปตลอดชีวิต”
พรเพ็ญได้ยินคำตอบ ก็ยิ่งจ๋อย คิดว่าเขารักเพ็ญพร ไม่ใช่เธอ
“ถ้าคุณรักเพ็ญมาก ฉันก็มีเรื่องต้องบอกคุณค่ะ”
แต่พออ้าปากจะบอก มือถือของเขาก็ดังขึ้นมาขัดจังหวะ เขารีบกดรับสาย
“ว่าไงนะ ได้ ฉันจะไปเดี๋ยวนี้แหละ”
จากนั้นก็วางสาย แล้วหันกลับมาหาพรเพ็ญ
“คุณเพ็ญครับ เกิดอุบัติเหตุที่โรงงาน คุณเพ็ญจะไปกับผมมั้ยครับ”
พรเพ็ญรับคำ ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินออกไปด้วยกัน
ทางด้านเพ็ญพรก็พึมพำกับตัวเองว่าตรัยไม่มีทางชอบเธอแน่ๆ แต่บังเอิญอีกฝ่ายดันเข้ามาได้ยินพอดี
“ทำไมถึงคิดว่าจะเป็นไปไม่ได้ล่ะครับ”
เพ็ญพรถึงกับสะดุ้งเฮือก ก่อนจะหันไปเห็นอีกฝ่ายยืนอยู่ด้านหลัง สีหน้ายิ้มๆ
“นี่คุณมาแอบฟังฉันพูดเหรอ ฉันก็แค่พูดเล่นๆ ไม่ได้จริงจังซะหน่อย”
“แต่ผมเอาจริง ผมชอบคุณจริงๆ นะ”
เพ็ญพรแอบเบะปาก
“ฉันไม่เชื่อหรอก แม่เคยบอกรถไฟ เรือเมล์ ลิเก ตำรวจ เชื่อไม่ได้”
“งั้นผมจะพิสูจน์ให้ดู”
ขาดคำก็จู่โจมเข้ามาหอมแก้มเพ็ญพรฟอดใหญ่ โดยที่เธอไม่ทันตั้งตัว
“ทีนี้จะเชื่อแล้วยัง”
“ไม่”
“งั้นผมจะจูบคุณแล้วนะ”
พูดพลางดึงเธอเข้ามาทำท่าจะจูบปาก เพ็ญพรรีบผลักออก
“พอๆ ฉันเชื่อแล้ว”
“ถ้าคุณเชื่อแล้ว งั้นเราเป็นแฟนกันนะ”
จังหวะที่เพ็ญพรกำลังคิดว่าจะตอบอย่างไรดี เสียงของอาภาพรก็ดังแปร๋นเข้ามาขัด
“พี่ตรัยขา อยู่ไหนคะ ยู้ฮู”
เพ็ญพรรีบฉวยจังหวะ บอกให้เขาอยู่เคลียร์กับอาภาพร แล้วก็รีบชิ่งออกไปทันที พร้อมกับที่อีกฝ่ายโผล่ออกมาเจอเขาเข้าพอดี
“พี่ตรัยมาทำอะไรที่นี่คะ น้องภาตามหาแทบแย่ เราไปช้อปปิ้งกันดีกว่าค่ะ น้องภาอยากได้เสื้อ
คอลเลกชั่นใหม่จากแพรีสอ่ะค่ะ”
พูดพลางทำท่าจะรีบลากตรัยออกไป แต่หมอรุจน์โทร. เข้ามาพอดี เขารีบกดรับสาย ก่อนจะหันมาบอก
“พอดีเพื่อนพี่มีเรื่องด่วนอยากคุยด้วย พี่คงไปกับน้องภาไม่ได้แล้วละครับ”
อาภาพรทำหน้าผิดหวัง ส่วนตรัยก็ครุ่นคิดสงสัยว่าหมอรุจน์มีเรื่องอะไร
พอทั้งคู่มาเจอกัน หมอรุจน์ก็ไม่รีรอที่จะสารภาพกับตรัยตรงๆ ว่าเขาชอบพรเพ็ญ
“นายชอบน้องพรเหรอ ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ไม่สำคัญหรอก ฉันอยากรู้แค่นายชอบคุณพรหรือเปล่า ถ้าใช่ ฉันจะถอยให้นาย”
ตรัยตกใจ
“เฮ้ยไอ้หมอ แกไม่จำเป็นต้องทำขนาดนี้หรอกนะ โอเค. ถ้าหมายถึงลูกสาวคุณอาเอกสิทธิ์ที่อยู่บ้านศิลาแดงตอนนี้ล่ะก็ ใช่ ฉันชอบเค้า แต่ทุกอย่างมันไม่ใช่อย่างที่นายคิด”
ที่เขาพูดหมายถึงเรื่องฝาแฝด แต่หมอรุจน์เข้าใจไปอีกทาง
“จะไม่ใช่ได้ไงวะ ก็ฉันคิดว่าคุณพรกับนายชอบกัน มันก็ถูกแล้วไม่ใช่เหรอ ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้นหรอกน่า ฉันก็แค่อกหักนิดหน่อย แต่ฉันก็ดีใจนะ ที่เพื่อนรักกับคนที่ฉันชอบจะสมหวัง”
พูดจบหมอรุจน์ก็เดินเลี่ยงออกไป ทิ้งให้ตรัยมองตามอย่างอึ้งๆ
ด้วยเขาไม่สามารถบอกความจริงได้
อ่านต่อตอนต่อไป
บ้านศิลาแดง ตอนที่ 13 (ต่อ)
ฟากหมอรุจน์ก็อยากหาที่ระบาย เลยตัดสินใจมาหาสุดาที่บ้านอีกครั้ง พอสุดาเห็นสีหน้าของอีกฝ่าย ก็พอจะเข้าใจอารมณ์ทันที
“อกหัก?”
หมอรุจน์พยักหน้าซึมๆ
“ไม่เป็นไรนะหมอ อกหักดีกว่ารักไม่เป็น สมัยนี้ผู้หญิงสวยๆ ดีๆ มีเยอะแยะ ถ้าหมอลองมองดีๆ สักวันก็เจอคนของหมอเอง”
“แต่ผมไม่อยากมองหาใครแล้ว ตอนนี้ผมอยากได้เพื่อนสักคนมากกว่า”
“เพื่อนก็อยู่ตรงนี้คนนึงไง”
สุดาพูดพลางชี้มือที่ตัวเองแล้วยิ้มให้กำลังใจ หมอรุจน์มองอย่างตื้นตันใจ แล้วจู่ๆ ๆ ก็ดึงอีกฝ่าย
เข้ามากอด
“ขอบคุณ ขอผมอยู่แบบนี้แป๊บนึงนะ”
สุดายิ้มเขิน ก่อนจะพยักหน้ารับแบบเกร็งๆ
วิทวัสพาพรเพ็ญมาที่โรงงานที่เกิดเหต ทันทีที่เธอเห็นคนเจ็บเล็อดท่วม ก็ยืนหน้าซีด ก่อนจะเป็นลมล้มพับไป จนเขาต้องรีบเข้ามาประคองด้วยความเป็นห่วง ก่อนที่จะรีบพาเธอเข้ามานอนพัก แล้วปฐมพยาบาลจนอาการดีขึ้น
“คุณคงเป็นลมไปเพราะเห็นเลือดของคนงานที่บาดเจ็บน่ะครับ”
พรเพ็ญหน้าจ๋อย
“ฉันนี่แย่จัง ช่วยอะไรคุณก็ไม่ได้ แถมยังก่อเรื่องวุ่นวายให้อีก”
“ไม่เป็นไรครับ คุณเพ็ญ มันเป็นเรื่องสุดวิสัยนี่ครับ”
พรเพ็ญได้ยินวิทวัสออกตัวให้ ก็ยิ่งรู้สึกแย่มากขึ้นไปอีก รีบขอตัวกลับ พอเขาจะไปส่ง ก็รีบบอกว่าไม่เป็นไร
“คุณต้องไปดูคนเจ็บที่โรงพยาบาลไม่ใช่เหรอคะ คุณไปเถอะค่ะ อย่าให้ฉันรู้สึกว่าตัวเองเป็นภาระไปมากกว่านี้เลยนะคะ”
วิทวัสพูดไม่ออก ส่วนพรเพ็ญก็ทำหน้าเศร้า รู้สึกแย่สุดๆ
พอกลับมาถึงบ้านสวน พรเพ็ญที่ยังน้อยใจตัวเองไม่หาย จนต้องแอบมาถามกอล์ฟว่าที่ผ่านมา เพ็ญพรทำอะไรได้บ้าง อีกฝ่ายได้ยินคำถาม ก็ทำหน้างงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะรีบสาธยาย
“คุณเพ็ญคนเก่าอ่ะนะเป็นคนที่เก่งสุดๆ จนเด็กๆ ลูกชาวบ้านแถวนี้ยกย่องให้เป็นเทพเลยล่ะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องยิงนก ตกปลา ตีหัวหมา จิ๊กผลไม้เพื่อนบ้าน ใครกล้ามีเรื่องกับคุณเพ็ญ ก็เรียกได้ว่าชะตาขาดแน่นอน
“แล้วตอนนี้ล่ะ”
“กอล์ฟพูดตรงๆ เลยนะ คุณเพ็ญตอนนี้อ่ะกากมากๆ เทียบกับคุณเพ็ญคนเก่าไม่ติดฝุ่น”
พรเพ็ญได้ยิน ก็ยิ่งจ๋อย
“ถ้าฉันอยากเก่งเหมือนเพ็ญคนเก่า ฉันต้องทำยังไงบ้าง”
“ต้องวิธีนี้เลย”
กอล์ฟยิ้มอย่างมีเลศนัย ก่อนจะพาอีกฝ่ายมาที่ต้นมะม่วงนอกสวน แล้วบอกให้ปีนขึ้นไปเก็บมะม่วงพรเพ็ญอิดออด เพราะเกรงเจ้าของสวนจะโวยวาย แต่พอได้ยินกอล์ฟพูดเหน็บว่าอยากเก่งแบบเพ็ญพร แต่ที่แท้ก็ปอด ก็ฮึดสู้ รีบปีนขึ้นไปทันที พอทำท่าจะเอื้อมมือไปเด็ดมะม่วงที่ปลายกิ่ง เสียงปืนของเจ้าของสวนก็ดังขึ้นมา
พรเพ็ญตกใจ มือไม้อ่อน แทบเกาะกิ่งไม้ไม่อยู่ พยายามจะรีบปีนลงต้นไม้ แต่แข้งขาพันกันจนหล่นตุ๊บลงมาบนพื้นดิน
กอล์ฟที่ชิงวิ่งออกไปก่อน ได้ยินเสียงพรเพ็ญตกต้นไม้ ก็ตกใจ
เดือนฉายทำแผลให้พรเพ็ญเรียบร้อย ก็ถามลูกสาวตรงๆ
“ไหนบอกแม่มาซิ นึกยังไงถึงได้ไปปีนต้นไม้เล่น”
“พรอยากทำแบบน้องเพ็ญบ้างน่ะค่ะ”
“ทำไมต้องเลียนแบบยายเพ็ญด้วยล่ะลูก”
พรเพ็ญหน้าเศร้า
“แต่หนูอยากเก่งเหมือนน้องเพ็ญ เผื่อว่า ...เผื่อว่าคุณวัสจะชอบหนูขึ้นมาบ้างไงคะ คุณแม่”
พูดพลางน้ำตาปริ่ม จนเดือนฉายสงสาร โอบตัวมากอดไว้
“โถ ลูกแม่ อย่าคิดแบบนั้นสิจ๊ะ ลูกก็เป็นแบบของลูก ยายเพ็ญก็เป็นแบบของเค้า ถ้าคุณวัสจะชอบลูก ก็ต้องชอบที่ลูกเป็นตัวของลูกเอง ไม่ใช่เป็นแบบยายเพ็ญ”
“คุณแม่ขา ทำไมความรักถึงได้เจ็บปวดขนาดนี้ล่ะคะ”
พรเพ็ญร้องไห้น้ำตาริน เดือนฉายกอดปลอบลูกด้วยความสงสารจับใจ
ฟากเชาว์ก็รับสายจากวาทินีที่โทร. มาคาดคั้นถามเรื่องเงิน เขารีบอ้างว่าขอเวลาหาเงินก่อน ถ้าได้เงินเมื่อไหร่จะติดต่อกลับไป จากนั้นก็วางสายไปอย่างหงุดหงิด ก่อนจะได้ยินเสียงประตูเอี๊ยดอ๊าดผิดปกติ อยู่ที่ชั้นล่าง ก็รีบคว้าไม้เบสบอลลงไปดู เพราะนึกว่าขโมยเข้าบ้าน
พอลงมาเห็นร่างของผู้ชายกำลังรื้อค้นของในตู้ ก็รีบฟาดไม้ใส่ แต่ฝ่ายนั้นหลบทัน ก่อนจะรีบวิ่งหนีไปอีกทาง เชาวน์รีบวิ่งตามไป จะฟาดซ้ำ ทั้งคู่ยื้อยุดกันไปมา ก่อนที่เชาว์จะสบโอกาสขึ้นคร่อมอีกฝ่ายได้ พลางชกหน้าต่อยไม่ยั้ง
“หนอยแน่ ไอ้แมวขโมย คิดจะกระตุกหนวดเสืองั้นเหรอ ต้องเจอฉันก่อน”
ทันใดนั้น ไฟในโถงกลางก็สว่างขึ้น พร้อมกับที่สโรชา อาภาพรและตรัย ที่เดินเรียงกันลงมาจาก
ชั้นบน
“เกิดอะไรขึ้น ดึกดื่นป่านนี้ ทำเสียงดังลั่นบ้านไปหมด”
“มีขโมยขึ้นบ้านเรานะสิ แต่ไม่ต้องห่วง ฉันจัดการมันได้แล้ว”
“หนอย ไอ้หัวขโมย พ่อแม่ไม่สั่งสอน ไหนขอดูหน้าหน่อยซิ”
สโรชาพูดพลางเดินไปกระชากผมที่ยาวรุงรังของหัวขโมยให้เงยขึ้นมา แล้วก็ถึงกับตกใจ
“ตายแล้ว ลูกณัฐของแม่”
เชาวน์ อาภาพร ตรัย ได้ยินก็ตกใจ พลางเพ่งมองณัฐพงษ์ในสภาพทรุดโทรม ผมยาวรุงรัง หน้าโชกเลือด
จากนั้นสโรชาก็จัดการทำแผลให้ลูกชาย ก่อนที่จะร้องขอให้เลิกยา แต่อีกฝ่ายอยู่ในอาการอยากยา จนมือไม้สั่น
“ไม่ ณัฐอยากได้ยา แม่ต้องช่วยณัฐ แม่ต้องหายามาให้ณัฐ”
“ไม่ได้นะลูก อดทนไว้ มีสติหน่อย”
ณัฐพงษ์เสี้ยนยาจนทนไม่ไหว ผละออกไปรื้อค้นเงินตรมตู้ สโรชาตกใจเข้าไปห้าม
“ไม่ได้นะตาณัฐ มีใครอยู่แถวนี้บ้าง มาช่วยกันหน่อย”
ตรัย อาภาพร และเชาว์รีบวิ่งเข้ามาในห้อง พยายามแยกณัฐพงษ์ออกจากสโรชา แต่ฝ่ายที่อยากยาอยู่ในอาการคลุ้มคลั่ง จนตรัยต้องตัดสินใจต่อยหน้าอย่างแรง จนน็อกลงไป
“ขอโทษที่ทำรุนแรงนะครับ แต่ผมไม่มีทางอื่น”
สโรชารีบกอดประคองลูกชายด้วยความเป็นห่วง ตรัยมองอย่างรู้สึกเวทนา อาภาพรทำหน้าเบื่อหน่าย
“แล้วนี่จะเอาไงกันต่อคะ”
สโรชาหันไปมองหน้าเชาว์ สีหน้าเจ็บแค้น จนอีกฝ่ายถึงกับเจื่อนไป
จากนั้นสโรชาก็ตามมาโวยวายเอากับเชาว์ โทษฐานที่เป็นคนผลักไสให้ณัฐพงษ์ไปติดยา แต่อีกฝ่ายกลับเถียงว่าไม่ใช่ความผิดของเขา
“ถ้าแกกับนังเมียสก๊อยไม่เอาไอ้ยานรกนั่นเข้าบ้าน ตาณัฐจะมีสภาพแบบนี้เหรอ แกต้องรับผิดชอบ”
“จะให้รับอะไร ฉันไม่ได้เป็นคนเอายายัดปากไอ้ณัฐนะ ถ้าจะโกรธ ก็ไปโกรธนังวาทินีโน่น”
สโรชายิ่งคอด ก็ยิ่งแค้น
“นังวาทินี นังงูเห่า มันเกิดมาเพื่อทำลายฉันชัดๆ ฉันจะไม่ยอมถูกมันเล่นงานข้างเดียวอีกแล้ว ไอ้เชาว์ แกโทร.ไปนัดมันออกมา บอกมันว่าเราพร้อมจะแลกคลิปนั่นคืนแล้ว”
“จะทำแบบนั้นได้ยังไง เรายังไม่มีเงินเลยนะ”
“แล้วใครบอกว่าฉันจะให้เงินมันล่ะ”
สโรชายิ้มเหี้ยมเกรียม เชาว์เข้าใจความหมายทันที
เพ็ญพรรู้จากลุงเติมกับป้าแจ่มว่าณัฐพงษ์ติดยา ก็ได้แต่ส่ายหน้าอย่างปลงๆ ว่าเวรกรรมติด จริงๆ
จากนั้นก็เตรียมจะออกไปทำงาน แต่พอเดินออกมาก็ชะงัก เมื่อเห็นสโรชายืนกระวนกระวาย ก่อนที่ครู่หนึ่งเชาว์
จะเดินออกมา
“ว่าไง นังวาทินีมันตกลงรึเปล่า”
เพ็ญพรได้ยิน จึงหลบมุมแอบฟัง
“ตกลงสิ มันอยากได้เงิน ก็เลยยอมทำตามเงื่อนไขของเรา ไม่มีปัญหา”
“ดี งั้นวันนี้มันเสร็จฉันแน่ จะได้จัดการเรื่องคลิปบ้านั่นให้จบสักที ฉันจะไม่ทนอีกแล้ว”
แล้วทั้งคู่ก็นั่งรถออกไปด้วยกัน เพ็ญพรมองตาม พลางครุ่นคิด
“วาทินี? คลิป? หรือจะหมายถึงหลักฐาน”
คิดพลางรีบโบกแท็กซี่ตามไปทันที
วาทินียืนรออยู่เชาว์กับสโรชาอยู่ที่หน้าซูเปอร์มาร์เก็ตในห้างสรรพสินค้า ก่อนจะเหลือบมองไปที่
เคาน์เตอร์รับฝากของ พลางมองกระเป๋าที่ถืออยู่อย่างชั่งใจ
ทางด้านเชาว์กับสโรชาก็มาถึงที่หน้าห้างพอดี
“เดี๋ยวแกทำทุกอย่างตามที่ฉันบอก อย่าให้พลาดล่ะ”
เชาว์พยักหน้า ก่อนจะรีบลงจากรถ ส่วนสโรชาก็เลี้ยวรถเข้าไปในห้าง เพ็ญพรที่นั่งแท็กซี่ตามมาห่างๆ เห็นทั้งคู่แยกกัน ก็ตกใจ รีบบอกแท็กซี่จอด แล้วตัดสินใจวิ่งตามเชาว์ไป จนเห็นอีกฝ่ายเดินเข้าไปหาวาทินี ที่ยืนกระสับกระส่ายรออยู่ ท่าทางระแวงนิดๆ
“เฮ้ย ของอยู่ไหนวะ”
เพ็ญพรรีบหาที่หลบแอบมอง
“แล้วอีแก่นั่นล่ะ ไหนพี่บอกว่ามันมาด้วย”
“นังสโรชามันถือเงินรออยู่ข้างนอก แกเอาคลิปมาก่อน เดี๋ยวฉันเอาเงินมาให้”
วาทินีส่ายหน้ายิกๆ
“ไม่ ฉันต้องได้เงินก่อนถึงจะให้ของ ไม่งั้นพี่ก็โกงฉันสิ”
“โธ่เว้ย ทำไมผู้หญิงนี่เรื่องมากจังวะ นังสโรชามันก็อยากเห็นของก่อนเหมือนกัน ถ้างั้นก็ตามไปคุยกันข้างนอก”
“ไม่ พี่นั่นแหละต้องไปตามอีแก่มาหาฉัน ที่นี่คนเยอะดี ฉันว่าปลอดภัยกว่า”
เชาว์ทำทีเป็นกระซิบกระซาบ
“แล้วแกจะรับเช็คเงิน 3 ล้านท่ามกลางคนขนาดนี้เนี่ยนะ ถามจริง แกโง่หรือบ้าวะเนี่ย”
วาทินีหลงเชื่อคล้อยตาม ก่อนที่เชาว์จะรีบเดินนำออกไป เพ็ญพรออกจากที่ซ่อนแล้วรีบตามทั้งคู่ไป จนถึงลานจอดรถ แต่บังเอิญมีคนเข็นรถตัดหน้าผ่านไป ทำให้เธอคลาดจาก 2 คนนั้นไปแบบฉิวเฉียด
ในที่สุดเชาว์ก็พาวาทินีมาหาสโรชาที่ยืนรออยู่ที่รถ
“ไงป้า เงินฉันล่ะ”
สโรชาแค่นยิ้ม
“อยากได้เงินมากเหรอ แย่จังนะ เพราะที่ฉันจะให้แกมีแต่ไอ้นี่”
ขาดคำ เชาว์ที่เดินตามมา ก็ชักปืนขึ้นมาจ่อเอววาทินีไว้
“ส่งคลิปมาซะดีๆ แล้วแกจะรอด”
“ไอ้เลวเอ๊ย นึกแล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ ก็ลองทำอะไรฉันสิ เรื่องชั่วๆ ของพวกแกกลายเป็นข่าวทีวีแน่”“หมายความว่าไง คลิปนั่นอยู่ไหน”
วาทินียิ้มเยาะ
“ใจเย็นๆ ป้า คลิปก็อยู่แถวนี้แหละ ถ้าป้ายอมจ่ายฉันมาดีๆ ฉันก็จะบอกว่ามันอยู่ที่ไหน แต่ถ้าไม่ มันอาจจะถูกส่งไปให้คนอื่น”
สโรชาโกรธจัด กระชากวาทินีมาบีบคอเขย่าอย่างแรง
“อีงูพิษ นึกว่าขู่แล้วฉันจะกลัวเหรอ บอกมาว่าคลิปอยู่ไหน ไม่งั้นแกตาย”
วาทินีแกะมือสโรชาออก แล้วผลักออกไปอย่างแรง
“เอาซี้ แน่จริงก็ฆ่าเลย ป้าได้ตายตามฉันแน่ บอกตามตรงนะ ป้าตามฉันไม่ทันหรอก เพราะพวกป้ามันโง่ โง่เป็นควายกันทั้งตระกูล ลูกผัวป้าโดนฉันหลอกทุกคน โดยเฉพาะไอ้ณัฐพงศ์น่ะโคตรโง่ ป่านนี้เสี้ยนยาใกล้ตายรึยังล่ะ”
สโรชากรี๊ดลั่น ก่อนที่จะคลั่งหนักกระชากวาทินีมาตบ อีกฝ่ายตบคืนอย่างไม่กลัวเกรง เชาว์ถือปืนส่ายไปมาทำอะไรไม่ถูก
วาทินีถีบสโรชาเสียหลักไปแล้วจะวิ่งหนี อีกฝ่ายค้นลุกได้ก็วิ่งตามไปจิกหัว ก่อนที่จะเสียหลักล้มลงไปทั้งคู่ วาทินีล้มไปกระแทกกับเสาจนแน่นิ่งไป ส่วนสโรชนั่งนิ่ง หอบ หมดแรง
“เฮ้ย ทำไมมันนิ่งไปวะ”
สโรชาสบตากับเชาว์ ฝ่ายหลังเอะใจ รีบรีบเข้าไปดูวาทินี
ทางด้านเพ็ญพรก็ยังวิ่งตามหาไม่เลิก ก่อนที่จะมองไปนอกอาคารโดยไม่ตั้งใจ พอเห็นรถสโรชาจอดอยู่ก็ชะงัก
“ปัดโธ่เอ๊ย ออกไปตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย”
คิดพลางรีบรีบวิ่งลงจากอาคารไปทันที
ทางด้านเชาว์กับสโรชาพอเห็นว่าวาทินีขาดใจตายไปแล้ว ก็ตกใจ ต่างคนต่างโยนความผิดให้อีก
ฝ่าย ก่อนจะรีบค้นในกระเป็นของวาทินี จนเจอทรัมไดรฟ์กับมือถืออยู่ในกระเป๋า ก็รีบเก็บไว้ จากนั้นก็ช่วยกันอุ้มศพยัดท้ายรถ แล้วรีบขับออกไป
เพ็ญพรวิ่งตามมา เห็นหลังรถแล่นออกไปแล้ว พลันสายตาก็เหลือบเห็นของเกลื่อนกระจายอยู่ที่พื้น รวมถึงบัตรฝากของด้วย
“บัตรฝากของ ยัยวาทินีฝากอะไรไว้ที่นี่ด้วยเหรอ”
ทางด้านเชาว์กับสโรชาก็ช่วยกันเปิดดูข้อมูลทั้งในมือถือ และทรัมไดรฟ์ แต่กลับไม่เจอคลิปที่วาทินีอ้างถึงอยู่ในนั้น
เชาว์ถึงกับหัวเสีย
“อะไรวะ อีวาทินีมันแสบจริงๆ แล้วจะรู้ได้ไงว่าคลิปนั่นอยู่ไหน”
สโรชาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันมาบอกว่าจริงๆ แล้ววาทินีอาจจะแค่ขู่ ก่อนที่จะหันมาหาทางจัดการกับศพของวาทินี
พอเพ็ญพรกลับมาถึงบ้านศิลาแดง ก็รีบลากตัวสุดาออกไปคุย ก่อนจะเปิดคลิปที่ได้มาให้ดู
“แพร์รี่ ไปเอาคลิปนี้มาจากไหน”
“เรื่องมันยาว ขอเล่าทีหลังนะ ตอนนี้รู้แค่เรามีหลักฐานเล่นพวกนั้นแล้วก็พอ”
“ไม่ใช่หลักฐานธรรมดานะ แต่เป็นชนิดมัดแน่นดิ้นไม่หลุดเลยด้วย แล้วจะแจ้งความจับพวกมันเลยป่ะ”
เพ็ญพรยังกังวลอยู่
“ก็นี่ล่ะที่อยากปรึกษาเธอกับพี่ตรัยก่อน เรื่องนี้เกี่ยวกับนายเชาว์ด้วย ฉันไม่รู้ว่ามันจะมีผลกับงานพี่ตรัยรึเปล่าสิ”
“เออใช่ แต่พี่ตรัยออกไปคุยกับเพื่อนเรื่องคดี ยังไม่กลับเลยอ่ะ”
เพ็ญพรรีบฝากคลิปไว้ที่สุดา ฝ่ายหลังบอกว่าจะอัดสำเนาไว้หลายๆ ชุด กันพลาด จากนั้นทั้งคู่ก็แยกย้ายกันไป ครู่หนึ่งสโรชากับเชาว์ก็กลับเข้าบ้านมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“แน่ใจนะ ว่าทิ้งศพแบบนั้นแล้วจะไม่มีคนไปเจอ”
สโรชายังหงุดหงิดอยู่ เลยตวาดกลับไป
“แน่สิ ขืนแกถามอีกที ชั้นจะฆ่าแกอีกคน เข้าบ้านกันได้ล่ะ แล้วก็เลิกพูดเรื่องนี้ด้วย ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เข้าใจมั้ย”
จังหวะที่ทั้งคู่จะเดินเข้าบ้าน นายใหญ่ของเชาว์ก็โทร. เข้ามือถือมาพอดี เขารีบกลั้นใจก่อนจะกดรับสาย
“ครับนาย มีอะไรจะใช้ผมหรือครับ”
พอวางสาย เชาว์ก็กดมือถือต่อหาตรัยทันที
“ฮัลโหล คุณพ่อมีอะไรหรือครับ นายใหญ่ต้องการให้ผมไปพบ ได้สิครับ คุณพ่อจะให้ผมไปเจอที่ไหน ผมจะรีบไปเดี๋ยวนี้”
ตรัยกดวางแล้วรีบออกไปอย่างพร้อมลุย
ทางด้านณัฐพงษ์ก็นอนทุรนทุรายด้วยอาการเสี้ยนยา สโรชาเข้ามาดูแลด้วยความเป็นห่วง พลางบอกลูกชายให้อดทน ครู่หนึ่งฝ่ายแรกก็อยากยาทนไม่ไหว ถึงกับอาเจียนออกมา
“แม่ ฉันจะตายหรือเปล่า”
สโรชาโอบกอดลูกด้วยความสงสารจับใจ ทันใดนั้นเสียงเอะอะกรีดร้องของอาภาพรก็ดังขึ้น ก่อนที่ป้าแจ่มจะวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา
“แย่แล้วค่ะคุณผู้หญิง ไอ้พวกที่มาทวงหนี้วันก่อน มันจะเอาตัวคุณภาไปค่ะ”
สโรชาตกใจรีบออกจากห้องไปทันที
อ่านต่อตอนที่ 14