ลีลาวดีเพลิง ตอนที่ 15
“แล้วตกลงคุณสุชาติสนใจโรงแรมผมหรือเปล่าครับ?” ศักดิ์สิทธิ์หันมาถามย้ำ หลังจากที่พาสุชาติเดินชมรอบโรงแรมแล้ว
“อืม ที่จริงก็น่าสนใจนะ แต่ผมว่าราคามันยังสูงไปหน่อย ลดหน่อยได้มั้ยล่ะ?”
“คงไม่ได้แล้วจริงๆ ครับ นี่ผมก็ให้ราคาพิเศษสำหรับคุณสุชาติแล้วนะครับ”
สุชาติหัวเราะขำ
“พิเศษ แพงเป็นพิเศษน่ะสิ ถ้าผมจะซื้อไปทุบทิ้งแล้วทำเป็นคอมมูนิตี้มอลล์ก็ถือว่าแพงไป ก็เอาเถอะไหนๆ ก็ลดไม่ได้แล้วใช่มั้ย? งั้นคุณก็จัดการเรื่องไล่พนักงานออกกับเงินค่าชดเชยให้เรียบร้อยก็แล้วกัน”
ศักดิ์สิทธิ์ทำหน้าเหวอ แต่ก็รีบรับคำไปก่อน พอสุชาติเดินออกไป วิชนีก็เข้ามาโวยทันที
“ห้ามขายเด็ดขาด นายไม่ได้ยินเหรอว่าเขาจะทุบทิ้ง”
“ฉันจะขาย ฉันตัดสินใจแล้ว”
พูดพลางรีบเดินหนี แต่อีกฝ่ายเข้าไปขวางอีก
“ถ้านายขาย นายไม่คิดบ้างหรือไงว่าจะมีพนักงานกี่คนต้องตกงาน”
“ไม่สน”
ศักดิ์สิทธิ์พูดเสียงแข็ง ก่อนจะเดินออกไป วิชนีมองตามอย่างหงุดหงิด
ทางด้านลิลินก็พาทิวัตถ์เข้ามาที่ร้านกาแฟ
“คุณพาผมมาทำอะไรที่นี่? ผมไม่เห็นว่าจะมีอะไรเลย”
ลิลินไม่ตอบ แต่กลับย้อนถาม
“คุณจำคนใช้ที่ชื่อเจี๊ยบได้มั้ย?”
“อืม คุ้นๆ แต่ผมนึกไม่ออก”
“เจี๊ยบคือคนรับใช้ที่อยู่บ้านคุณในวันนั้นไง”
ทิวัตถ์นิ่งคิด ก่อนจะนึกออก “ผมนึกออกแล้ว”
“แล้วคุณรู้มั้ยว่าเธอหายไปไหน?”
“ไม่รู้เหมือนกัน ถ้าคุณไม่พูดผมก็ลืมไปแล้ว”
ลิลินครุ่นคิดอย่างสงสัย
“ถ้าคนที่ชื่อเจี๊ยบไม่รู้เห็นอะไร แล้วทำไมหลังจากเหตุการณ์วันนั้นถึงไม่มีใครเห็นเธออีกเลย”
“นี่คุณนัดคนชื่อเจี๊ยบไว้เหรอ?”
ลิลินยังไม่ทันตอบ เสียงปรมัตถ์ก็ดังขึ้น
“ลิน”
พอเห็นทิวัตถ์นั่งอยู่ด้วย เขาก็หันไปถามอย่างแปลกใจ
พอเห็นทิวัตถ์นั่งอยู่ด้วย เขาก็หันไปถามอย่างแปลกใจ
“ทำไมลินต้องพาไอ้หมอนี่มาด้วย?”
“มัต ตอนนี้คุณวินเป็นพวกเดียวกับเรา”
“แล้วลินไว้ใจหมอนี่ได้เหรอ?”
ลิลินพยักหน้า
“คุณวินไม่ได้เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ครอบครัวของเขาทำ และเขาก็อยากรู้ความจริงเหมือนกัน”
ระหว่างนั้นทั้งหมดก็ได้ยินข่าวในทีวี. ดังแทรกขึ้นมา
“ขณะนี้ดิฉันยืนอยู่ที่หน้าตลาดเก่า ซึ่งเมื่อคืนนี้ได้เกิดเหตุเพลิงไหม้”
ลิลินหันไปมองข่าวอย่างสนใจ ก่อนจะเอะใจเมื่อเห็นบรรยากาศด้านหลังผู้สื่อข่าว
“นั่นมัน ชุมชนที่ผู้กำกับอยู่นี่”
ผู้สื่อข่าวรายงานต่อ
“คาดว่าบ้านเรือนที่ถูกไฟไหม้เมื่อคืน ไม่น่าจะต่ำกว่า 30 หลังคาเรือน”
ทั้งลิลิน ทิวัตถ์ และปรมัตถ์ต่างตกใจกับข่าวที่ได้ยิน
จากนั้นทั้งหมดก็ตรงไปที่ชุมชมแห่งนั้นทันที แล้วก็ต้องตกตะลึง เมื่อเห็นชุมชนถูกไฟไหม้ไม่เหลือชิ้นดี
ทิวัตถ์เข้าไปถามตำรวจที่อยู่บริเวณนั้น
“ขอโทษครับคุณตำรวจ เกิดอะไรขึ้นครับ?”
“ไฟไหม้เมื่อคืนนี้ นี่ก็เสียหายไปกว่า 30 กว่าหลังคาเรือน”
ลิลินรีบถามต่อด้วยความร้อนใจ “แล้วบ้านผู้กำกับทรงเผ่าล่ะคะ?”
“เห็นชาวบ้านบอกว่าต้นเพลิงมาจากบ้านผู้กำกับทรงเผ่าด้วย แกคงจะเมาไม่รู้เรื่อง”
ปรมัตถ์ถามขึ้นมาบ้าง “แล้วผู้กำกับเป็นไงบ้างครับ?”
“เสียชีวิตในกองเพลิงแล้ว”
ทั้งหมดถึงกับอึ้งไป อีกด้านหนึ่งนพกรยืนมองผลงานตัวเองอยู่อย่างสะใจ พลางย้อนนึกไปถึงตอนที่มันเข้าไปหาทรงเผ่าที่บ้าน
ทรงเผ่าเห็นนพกรยืนยิ้มเหี้ยมอยู่ ก็จำได้ทันที
“แก แกมันคนขับรถของคุณต่ายนี่ แกมาที่นี่ทำไม?”
“ฉันก็จะมาเอาข้อมูลของไอ้พวกทรงพล”
ทรงเผ่าย้อนถาม “ทำไม พวกมันให้แกมาเอาหรือไง?”
“ไม่ต้องถาม บอกให้เอามาไง”
ทรงเผ่ามองไปที่โต๊ะ แต่ต้นฉบับนิยายได้หายไปแล้ว
“เฮ้ย”
พูดพลางรีบเข้าไปรื้อค้นที่โต๊ะ พลางมองไปรอบๆ
“ไม่ต้องมาเล่นละคร มันอยู่ไหน?”
“ไม่จริง ตอนแรกมันวางอยู่ตรงนี้นี่ ฉันวางมันไว้ตรงนี้กับมือจริงๆ นะ”
นพกรเริ่มหงุดหงิด ที่อีกฝ่ายไม่มีข้อมูลให้ จึงตรงเข้าไปผลักจนล้มลง
“ในเมื่อแกไม่มีของที่ฉันต้องการ ถึงอยู่ไปก็รกโลก”
พูดพลางเข้าไปเหยียบขยี้ขาที่เป๋ของทรงเผ่า ฝ่ายถูกเหยียบร้องโอดครวญอย่างทรมาน แต่มันไม่สนใจกลับกระชากคอเสื้อขึ้นมา ก่อนจะเข้าไปต่อยอัดใส่หน้ารัวๆ จนอีกฝ่ายเลือดอาบ
พอมันเห็นว่าอีกฝ่ายแน่นิ่งไป ก็โยนร่างทิ้งลงพื้น ก่อนจะหันไปหยิบเทียนขึ้นมา พลางโยนลงกองกระดาษที่ค่อยๆ ติดไฟ จากนั้นก็ยิ้มเหี้ยมท่ามกลางเปลวไฟที่ค่อยๆ ลุกโชน
ลิลิน ทิวัตถ์ ปรมัตถ์เดินสีหน้าเครียดออกมาจากชุมชน
“มันเป็นความผิดของมัตเอง เมื่อคืนมัตเอาเหล้าให้ผู้กำกับกิน ถ้าผู้กำกับไม่เมา ก็คงไม่เป็นอย่างนี้”
“ช่างเถอะมัต อย่าโทษตัวเองเลย”
ทิวัตถ์หน้าเครียด “แล้วทีนี้เราจะเอาไงต่อ? ตอนนี้คนที่มีเบาะแสเรื่องเจี๊ยบก็ไม่มีแล้ว”
ปรมัตถ์นึกขึ้นมาได้
“แต่ก่อนผู้กำกับจะเมาจนหลับไป เขาบอกมัตว่าเจี๊ยบอยู่ที่บ้านหวาย”
ลิลินนิ่งคิด ก่อนจะหันไปปรึกษาปรมัตถ์
“แล้วเราจะไปบ้านหวายยังไง?”
ทิวัตถ์รีบบอก “ผมกับคุณไปไม่ได้แน่ๆ ไม่อย่างนั้นทุกคนต้องสงสัย”
“มัตไปเอง”
ลิลินหันมองปรมัตถ์ด้วยความเป็นห่วง เขาเข้ามาจับมือเธอไว้ ขณะที่ทิวัตถ์แอบมองอย่างรู้สึกขัดใจ
“ไม่ต้องห่วงนะลิน มัตจะพยายามเต็มที่ แล้วระหว่างที่มัตไม่อยู่ ลินก็ดูแลตัวเองด้วยนะ แล้วถ้ามีใครทำอะไรลิน ลินรีบบอกมัตนะ”
พูดพลางปรายตามองไปที่ทิวัตถ์ ที่รีบพูดขัดขึ้นอย่างหมั่นไส้
“ไม่มีใครทำอะไรคุณลินทั้งนั้น นอกจากความคิดของนายเองนั่นแหละ”
ทั้งคู่มองหน้าอย่างจะมีเรื่องกันอีก ลิลินรีบตัดบท
“มัตรีบไปเถอะ ไม่ต้องห่วงลิน”
ปรมัตถ์หันมาพยักหน้ากับลิลิน ก่อนจะเดินออกไป ทิวัตถ์อดไม่ได้ ที่จะพูดจากระแนะกระแหน
“ท่าทางคุณ 2 คนจะสนิทกันจังนะ”
“ใช่ มัตเป็นเหมือนพี่ชายที่คอยดูแลฉันตอนที่ยังอยู่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า”
ทิวัตถ์ทำเหมือนจะเข้าใจ แต่จู่ๆ เสียงมือถือก็ดังขึ้น เขารีบกดรับ
“ครับพ่อ รีบกลับบ้าน? ทำไมครับ แม่ต่ายเป็นอะไรครับ?”
อนันยชกับศุภารมย์กำลังนั่งเครียดอยู่ที่มุมหนึ่งของห้องรับแขก ขณะที่ทรงพลกำลังคุยโทรศัพท์กับตำรวจนายหนึ่ง
“ยังไงผมฝากเป็นธุระด้วยนะครับ แล้วถ้าคดีนี้เรียบร้อยเมื่อไหร่ ผมจะตอบแทนให้ท่านมากกว่าคนอื่นๆ ที่เคยได้รับจากผม”
พอทรงพลวางสาย ทิวัตถ์กับลิลินก็เดินเข้ามาพอดี
“คุณพ่อ เมื่อกี้ผมเจอยายจวน ยายบอกว่าเกิดเรื่องกับรองฯ ศัลย์”
ศุภารมย์มองลิลิน ก่อนจะลุกเข้ามาหา
“แม่ว่าให้คุณลินไปพักผ่อนก่อนเถอะ”
ทิวัตถ์หันมาพยักหน้าให้ ลิลินจึงจำยอมต้องเดินไป
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นครับ?”
ทรงพลรีบเล่าเหตุการณ์ให้ฟัง
“รองฯ ศัลย์ทำร้ายแม่เรา โชคดีที่วันได้ยินก็เข้ามาช่วย แต่ดันพลั้งมือฆ่ารองฯ ศัลย์เข้า”
ลิลินแอบฟังอยู่มุมหนึ่งถึงกับตกใจ จังหวะนั้นป้าจวนก็เดินมาที่ทรงพล
“เรียบร้อยหรือยัง?”
“จวนให้เด็กทำความสะอาดห้องเรียบร้อยแล้วค่ะ”
ทรงพลพยักหน้า
“อย่าลืมกำชับทุกคนด้วยว่าห้ามพูดถึงเรื่องวันนี้อีกเด็ดขาด”
ป้าจวนรับคำก่อนจะเดินออกไป ลิลินที่แอบฟังอยู่นิ่งคิด
ทิวัตถ์รีบถามต่อ “เรื่องใหญ่อย่างนี้คุณพ่อจะทำยังไงครับ?”
“ไม่ต้องห่วง พ่อจัดการทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้ว ขอแค่ทุกคนไม่พูดถึงเรื่องวันนี้อีก เข้าใจนะ
ส่วนวันพักนี้น้าขอให้อยู่แต่ในบ้านก่อน รอให้เรื่องเงียบ เข้าใจที่น้าพูดใช่มั้ย?”
ลิลินแอบฟังอยู่ก็แปลกใจที่ทรงพลให้ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น อนันยชที่สลดอยู่ก็พยักหน้าตอบรับ ฝ่ายทิวัตถ์ก็อึ้งกับท่าทางของพ่อ ที่ดูจะจัดการอะไรได้อย่างลงตัว ก่อนจะมาเหลือบเห็นลิลินยืนอยู่ที่มุมหนึ่ง
ทิวัตถ์ยืนใช้ความคิดอยู่ที่มุมระเบียงเงียบๆ คนเดียว ครู่หนึ่งลิลินก็เดินเข้ามา
“คุณรู้เรื่องรองฯศัลย์แล้วใช่มั้ย? แล้วคุณคิดยังไงกับเรื่องนี้?”
ลิลินพูดอย่างจริงใจ
“ถึงรองฯศัลย์จะฆ่าคนที่ฉันรักไปหลายคน แต่สิ่งที่เขาสมควรได้รับ คือการได้รับโทษ ไม่ใช่ความตายแต่ที่ฉันสงสัยคือ การกระทำของพ่อคุณที่ดูเหมือนจะรู้ว่าต้องทำอะไรเมื่อเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น”
“หมายความว่าไง?”
ลิลินนิ่งคิด ก่อนจะตัดสินใจพูด
“ถ้าวันนั้นเมื่อ 15 ปีก่อน พ่อคุณก็ทำแบบเดียวกันนี้ล่ะ? เพราะฉะนั้นฉันคิดว่าเจี๊ยบก็ต้องรู้เรื่องนี้แน่นอน”
แววตาของลิลินฉายความมั่นใจขึ้นเมื่อพุดถึงตรงนี้
อ่านต่อหน้า 2
ลีลาวดีเพลิง ตอนที่ 15 (ต่อ)
ลิลินกำลังเอื้อมมือไปบิดลูกบิดประตูห้องทำงานทรงพล แต่บังเอิญได้ยินเสียงศุภารมย์ที่กำลังดุนพกรดังขัดจังหวะขึ้นมาก่อน
“ใครให้นายขึ้นมาบนนี้”
“ผมแค่จะเอาจดหมายมาให้”
นพกรชักสีหน้าไม่พอใจ ก่อนจะยื่นจดหมายให้ ศุภารมย์รับไป แต่ไม่วายสงสัย
“เรื่องจดหมาย มันไม่ใช่หน้าที่นายไม่ใช่หรือ? ไปได้แล้ว คราวหลังถ้าไม่มีอะไร ก็ห้ามขึ้นมาบนนี้อีก”
นพกรเดินออกไปอย่างไม่สนใจ ศุภารมย์ส่ายหัวด้วยความระอา พลางเปิดจดหมายออกดู แล้วก็ถึงกับตกใจ
ลิลินลอบมองด้วยความสงสัย
“เงิน 5 ล้าน แลกกับหลักฐานที่จะทำให้พวกแกติดคุก”
ทรงพลอ่านข้อความในจดหมาย แล้วก็ตกใจไม่แพ้กัน ขณะที่ลิลินแอบได้ยินอยู่ที่มุมหนึ่งอย่างสนใจ
“เจี๊ยบ เจี๊ยบไหน?”
“ก็นังเด็กเจี๊ยบที่เราไล่ออกไป หลังจากเกิดเรื่องต้อยไงคะ”
“ถ้าเป็นเด็กคนนั้น ผมว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ เด็กนั่นหายไปนานแล้วนะ ทำไมจู่ๆ ถึงขู่จะเอาความลับจากผู้กำกับมาแลกกับเงินตอนนี้นะ”
ศุภารมย์คิดหนัก
“หรือเธอจะรู้ว่ารองฯ ศัลย์ตายแล้ว เลยไม่ต้องกังวลเรื่องตำรวจที่จะคอยจับตาเธอเป็นพิเศษ”
“อาจจะเป็นไปได้ ไม่อย่างนั้นผมว่าเธอคงไม่กล้าทำแบบนี้ แล้วคุณจะทำยังไง?”
“ในเมื่อมันต้องการเงิน เราก็จะให้เงินมัน เท่าไหร่ก็ต้องยอมแลก”
ลิลินแอบฟัง พลางครุ่นคิดตาม
“เมื่อเช้าเจี๊ยบส่งจดหมายมาที่บ้านนี้”
ลิลินรีบบอกกับทิวัตถ์ทันทีที่มีโอกาสอยู่ด้วยกันตามลำพัง
“แน่ใจเหรอคุณ?”
“ยิ่งกว่าแน่อีก ฉันอยู่ตอนนพกรเอาจดหมายมาให้แม่คุณ แม่คุณดูตกใจมาก แล้วฉันก็ได้ยินพ่อกับแม่คุณคุยกันว่า เจี๊ยบถูกพ่อแม่คุณไล่ออกหลังจากเกิดเรื่องจริงๆ แล้วก็หายไปนาน เพิ่งจะติดต่อมาหลังจากที่รองฯ ศัลย์ตาย”
“แล้วคุณรู้มั้ยว่าเธอส่งจดหมายมาทำไม?”
“เธอต้องการเงิน 5 ล้าน เพื่อแลกกับหลักฐานที่จะทำลายครอบครัวคุณ”
จากนั้นลิลินก็รีบโทร. หาทิวัตถ์ ขณะที่อีกฝ่ายกำลังเดินตามหาบ้านของเจี๊ยบที่บ้านหวาย
“มัต เจอตัวเจี๊ยบรึยัง?”
ปรมัตถ์นิ่งไปก่อนจะบอกความคิดเห็นตัวเอง
“ยังเลย ลิน มัตว่าบางที เจี๊ยบอาจโดนรองฯ ศัลย์เก็บไปแล้วก็ได้”
“เมื่อเช้านี้เจี๊ยบเพิ่งส่งจดหมายให้คุณต่าย ลินเข้าใจนะว่าการหาตัวคนน่ะมันยาก แต่ลินอยากให้มัตเร่งมือหน่อย เพราะหลักฐานชิ้นเดียวตอนนี้อยู่ในมือเจี๊ยบ แล้วเราก็ต้องได้หลักฐานชิ้นนั้นก่อนที่เจี๊ยบจะมอบให้คุณต่าย”
ปรมัตถ์หน้าเครียด หนักใจ
อนันยชนั่งดื่มเหล้าไปดูทีวีไป ครู่หนึ่งวาสนาก็เดินเข้ามา ขณะกำลังจะบอกเรื่องวรรณิตท้อง วรรณิตก็เข้ามาขัดไว้ก่อน
วาสนาจึงเบนความสนใจมาที่วรรณิตทันที
“ได้ข่าวว่าแกขายสร้อยแม่ต้อยไป คงได้หลายตังเลยสิ”
“ยายรู้ได้ไง?”
“ฉันรู้ได้ยังไง คงไม่สำคัญเท่ากับแกจะให้ฉันเท่าไหร่หรอก”
วรรณิตอึ้งไปที่โดนวาสนารีดไถเงิน
วรรณิตกำลังจะยื่นเงินให้กับวาสนา แลกกับเงื่อนไขที่ต้องอนุญาตให้เธอหย่ากับอนันยช
“นังโง่ แกยังไม่เลิกคิดเรื่องนี้อีกเหรอ?”
“ที่ผ่านมาณิตยอมแต่งกับคุณวันเพราะต้องการเงินไปรักษาแม่ แต่ตอนนี้ณิตคงไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว”
วาสนาส่ายหน้าอย่างขัดใจ
“แกคิดอะไรของแก แต่งแล้วก็แต่งเลยสิ ทำอย่างนี้แล้วแกจะได้อะไร?”
“อิสรภาพไงค่ะ ทั้งทางกายแล้วก็ทางใจ”
“ยังไงฉันไม่เห็นด้วยหรอก อย่างน้อยที่นี่ก็เป็นบ่อเงินบ่อทองขนาดย่อมของแก”
วรรณิตสวนกลับทันควัน “ของณิตหรือของยายกันแน่คะ?”
วาสนารีบฉกมือไปเอาเงินจากวรรณิต ก่อนคันปากจะด่าต่อ
“แกมัน..... โอ๊ย แล้วนี่แกจะบอกแม่ต่ายเมื่อไหร่?”
“ยายไม่ต้องห่วง เดี๋ยวณิตหาทางบอกเอง”
ขณะที่ศุภารมย์ไปเบิกเงินสดที่ธนาคาร หลังจากเสร็จธุระ บังเอิญเดินสวนกับรุ่งทิพย์เจ้าของร้านจิวเวอรี่ ที่ใส่สร้อยคอของศุภิสรา เธอถึงกับเพ่งมองด้วยความสนใจ
“สร้อยเส้นนี้เหมือนกับของน้องสาวฉันจริงๆ ถ้าไม่รังเกียจ พอจะบอกได้มั้ยคะว่าได้มายังไง?”
เมื่อกลับมาถึงบ้าน ศุภารมย์ก็ตรงเข้ามาหาวรรณิต ขณะที่อีกฝ่ายนั่งอยู่กับลิลินที่ห้องโถง
“เป็นอะไรรึเปล่า ดูหน้าซีดๆ นะ”
ลิลินรีบบอก “เมื่อกี้คุณณิตเธอเกิดหน้ามืดขึ้นมาค่ะ”
“แล้วเป็นอะไรมากรึเปล่า?”
วรรณิตส่ายหัวช้าๆ “ไม่เป็นอะไรค่ะ ดีที่คุณลินมาช่วยไว้ทัน”
“แล้วนี่คุณต่ายไปไหนมาเหรอคะ?”
“ไปแบงก์มา แล้วพวกเธอรู้มั้ยว่าฉันเจอใคร? คุณรุ่งทิพย์ เจ้าของร้านจิวเวอรี่ที่อยู่ในเมือง แล้วรู้มั้ยฉันเห็นอะไร? ฉันเห็นสร้อยที่รุ่งทิพย์ใส่ มันเหมือนกับของขวัญวันแต่งงานของเธอ วรรณิต”
วรรณิตตกใจ แต่พยายามปั้นหน้าเฉย “เหรอคะ?”
“เธอช่วยไปเอาสร้อยลงมาให้ดูหน่อย”
“ค่ะ”
วรรณิตเดินออกไป ลิลินกำลังจะลุกตาม แต่ศุภารมย์กลับรั้งให้อยู่ก่อน ครู่หนึ่งทิวัตถ์ก็เดินเข้ามา
“มีอะไรกันรึเปล่าครับ?”
“วินมาก็ดีแล้วลูก จะได้มาช่วยแม่จับขโมย”
ทิวัตถ์ตกใจ “ขโมย? หมายความว่าไงครับ เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ?”
จังหวะนั้นวรรณิตก็วิ่งหน้าตาตื่นลงมา
“แย่แล้วค่ะ สร้อย สร้อยหายไปค่ะคุณแม่”
ศุภารมย์รีบบอกทิวัตถ์ ที่ทำหน้าสงสัย “สร้อยที่แม่ให้เป็นของขวัญวันแต่งงานกับหนูณิต”
“สร้อยแม่ต้อยเหรอครับ?”
“ใช่วิน วันนี้แม่ไปเจอคุณรุ่งทิพย์ เธอใส่สร้อยเหมือนสร้อยของต้อยไม่มีผิด”
“ถ้าผมจำไม่ผิด แม่ต่ายเคยบอกว่ามันมีเส้นเดียวไม่ใช่เหรอครับ งั้นก็หมายความว่า....”
ศุภารมย์พยักหน้า “ต้องมีคนขโมยสร้อยไปขายให้คุณรุ่งทิพย์”
“เอ่อ คุณแม่แน่ใจเหรอครับว่าเป็นเส้นเดียวกัน”
“ใช่วิน จากที่ดูก็เป็นของแท้ไม่ผิดแน่ แต่ที่สำคัญรุ่งทิพย์บอกว่าคนที่เป็นนักร้อง เอาสร้อยเส้นนี้มาขายให้เธอ”
พูดพลางปรายตามองมาที่ลิลิน อีกฝ่ายนึกรู้ทันทีว่าศุภารมย์คิดว่าเธอเป็นขโมย แต่ก็ต้องพยายามนิ่งไว้ให้เสมือนว่าตัวเองความจำเสื่อม
“มีอะไรเหรอคะ?”
“เธอคงลืมใช่มั้ยว่าเธอเป็นนักร้อง”
ลิลินแสร้งทำหน้างง “คุณต่ายจะบอกว่าเป็นฝีมือฉันใช่มั้ยคะ?”
“ไม่ใช่ลินแน่นอนครับคุณแม่”
“แล้วสร้อยจะหายไปได้ยังไง? เมื่อก่อนบ้านเราไม่เคยเกิดเรื่องแบบนี้ จนวันที่เธอเข้ามาอยู่ในบ้านเรา”
วรรณิตหน้าเสีย สงสารลิลิน แต่ก็ทำอะไรไม่ได้
“ฉันเห็นเธอชอบเดินเข้าออกห้องโน้นห้องนี้อยู่เรื่อย วันนึงเธออาจเข้าไปในห้องหนูณิตแล้วเห็นมันวางอยู่เธอเลยอดใจไม่ไหวใช่มั้ยลิลิน?”
“ไม่ใช่นะคะ ฉันไม่ได้เป็นขโมยจริงๆ ค่ะ”
ทิวัตถ์รีบช่วยพูดแก้แทน
“คุณแม่ครับ ผมว่าไม่ใช่คุณลินแน่นอนครับ คุณลินเธอเพิ่งเข้ามาอยู่ในบ้านเรา แล้วอีกอย่างผมว่ามันผิดวิสัยของขโมย เพราะถ้าคุณลินขโมยไปจริงๆ เธอคงไม่บอกว่าตัวเองเป็นใครเพื่อให้คนอื่นจับได้หรอกครับ”
พูดพลางรีบพาลิลินเดินออกไป พร้อมกับที่ศุภารมย์พูดไล่หลัง
“ฉันไม่ชอบพวกขี้ขโมย ถ้าฉันรู้ว่าเป็นใคร ก็ย้ายออกไปจากบ้านหลังนี้ได้เลย”
วรรณิตหน้าซีดเผือด
ทางด้านทิวัตถ์ก็ต่อว่าลิลินว่าการที่ไปเถียงกับศุภารมย์นั้น อาจจะเป็นสาเหตุให้อีกฝ่ายจับได้ว่าเธอแกล้งความจำเสื่อม
“ฉันขอโทษ คุณต่ายบอกว่าไปธนาคารมา คุณคิดว่าแม่คุณไปธนาคารทำไม?”
“เรื่องจดหมายจากเจี๊ยบน่ะเหรอ? แต่เราก็ไม่รู้อยู่ดีว่าเขานัดกันเมื่อไหร่?”
ลิลินรีบบอก
“แต่ฉันคิดว่าต้องเป็นเร็วๆ นี้แน่ ถ้าเจี๊ยบกลับมาเพราะไม่มีรองฯ ศัลย์แล้ว ฉันว่าเธอคงจะรีบใช้โอกาสนี้เอาเงินให้เร็วที่สุด”
ทิวัตถ์คิดตาม ก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วย
ทางด้านศักดิ์สิทธิ์ตัดสินใจโทร. ไปหาสุชาติ ก่อนจะเรียกพนักงานทุกคนมาพร้อมกันที่ห้องโถงของโรงแรม รวมทั้งวิชนีด้วย
“นายกำลังจะทำอะไรเหรอ?”
ศักดิ์สิทธิ์รู้ว่าวิชนีต้องห้าม เลยรีบบอกก่อน
“ฉันกำลังจะทำเพื่อเธอ”
“ทำอะไรเพื่อฉัน ทำอะไร?”
ศักดิ์สิทธิ์ไม่ตอบ แต่กลับหันไปปรบมือให้ทุกคนฟัง
“ตอนนี้ทุกคนคงรู้แล้วใช่มั้ยว่า โรงแรมกำลังมีปัญหา แต่ไม่ต้องกังวล ผมไม่ปล่อยให้โรงแรมนี้เจ๊งแน่”
วิชนีที่หน้าเสีย เริ่มยิ้มได้ ขณะที่พนักงานอื่นเฮลั่น
“เพราะตอนนี้จะมีคนเข้ามาบริหารโรงแรมแทนผม ผมจะขายโรงแรมนี้”
พนักงานหน้าถอดสีขึ้นมาทันที วิชนีโวยลั่น
“เฮ้ย ได้ไงอ่ะ”
“ที่ผมเรียกทุกคนมา เพราะเจ้าของคนใหม่ อาจจะไม่ต้องการทำโรงแรมต่อ เพราะฉะนั้นผมจะจ่ายชดเชยให้กับทุกคน คุณปกติ ผมขอบคุณที่คุณดูแลผมมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา แต่จากวันนี้ไปผมจะดูแลตัวเองแล้ว”
ปกติทำท่าเหมือนจะร้องไห้ วิชนีเข้ามาจับมือศักดิ์สิทธิ์
“นายคิดดีๆ ก่อนมั้ย อย่าเพิ่งตัดสินใจทำอะไรเลยนะ”
“ฉัน คิดดีแล้วล่ะ”
พูดจบก็เดินออกไป วิชนีมองตามอย่างเป็นห่วง
อ่านต่อหน้า 3
ลีลาวดีเพลิง ตอนที่ 15 (ต่อ)
ศุภารมย์ยืนใช้ความคิดอยู่ที่สวน พร้อมๆ กับรอเจี๊ยบติดต่อมา ลิลินเดินออกมาเห็นก็ชะงัก รีบเข้าไปหลบมุมทันที ครู่หนึ่งอนันยชก็เดินมาหาพร้อมหนังสือพิมพ์ที่อยู่ในมือ
“ทุกคนเห็นข่าวรึยังครับ รองฯ ศัลย์ตายเพราะไล่จับพวกค้ายา แหม แกเลยกลายเป็นวีรบุรุษไปเลยนะครับ”
“แบบนี้มันก็ดีต่อทุกฝ่ายนี่”
อนันยชนยิ้มดีใจ ทำท่าจะออกไปเที่ยวต่อ แต่ศุภารมนย์ห้ามไว้ว่ายังไม่ถึงเวลา
“นี่เราต้องตัดขาดจากโลกภายนอกเหมือนตอนที่น้าต้อยตายอีกแล้วเหรอครับ”
ขาดคำก็เดินหงุดหงิดออกไป ศุภารมย์มองตาม ก่อนจะเห็นลิลินยืนอยู่ เธอจำใจต้องเดินเข้ามา เพราะเกรงว่าถ้าหันหลังเดินหนีจะทำให้อีกฝ่ายสงสัย
“คุณวันคงจะเครียดที่ต้องอยู่แต่ในบ้านน่ะค่ะ”
“ฉันชักจะสงสัยในการอยู่ถูกที่ถูกเวลาของเธอแล้วนะ”
ลิลินพยายามตั้งสติ “ฉันแค่อยากจะอธิบายเรื่องสร้อยน่ะค่ะ”
“ก็ดี ฉันเองก็นึกอะไรออกเหมือนกัน ใครจะไปรู้ เธออาจบอกความจริงว่าเธอเป็นนักร้องให้คนอื่นรู้
เพื่อให้คนอื่นเข้าใจว่าไม่ได้ฝีมือเธอ แล้วฉันเองก็ชักจะสงสัยว่าเธออาจจะไม่ได้ความจำเสื่อม อย่างที่เธอพยายามเล่นละครอยู่ตอนนี้”
ลิลินถึงกับชะงักไป แต่แล้วเสียงข้อความที่มือถือของศุภารมย์ก็ดังเตือนขึ้นมา เธอรีบหยิบมากดอ่าน
“เอาเงินไปให้ที่ตึกร้างตอนนี้ ห้ามให้ใครรู้เด็ดขาด”
ศุภารมย์หน้าเปลี่ยนสี ลิลินสังเกตเห็นก็แกล้งถาม
“เป็นอะไรรึเปล่าคะ? สีหน้าดูไม่ดีเลย”
“ไม่สำคัญหรอก”
ศุภารมย์เดินออกไปนิ่งๆ ลิลินมองตามอย่างอยากรู้
ขณะที่ปรัมตถ์ยืนซื้อน้ำอยู่ที่ร้านชำแห่งหนึ่งละแวกบ้านเจี๊ยบ เจ้าของร้านเห็นหน้าไม่คุ้นก็เลยออกปากทัก เขาจึงรีบถามถึงเจี๊ยบทันที
“จะเอาเจี๊ยบไหนล่ะ เจี๊ยบเมียทอม เจี๊ยบบึ้ม เจี๊ยบหกสิบ เจี๊ยบเครา หรือว่าเจี๊ยบเงินแสน?”
ปรมัตถ์สะดุดหูกับเจี๊ยบเงินแสน จึงรีบถามต่อ
“คนอื่นพอจะเข้าใจนะเฮีย แต่เจี๊ยบเงินแสนเนี่ย คืออะไรเหรอ?”
“ก็แต่ก่อนนังเจี๊ยบมันเคยเป็นคนใช้บ้านเศรษฐี แล้วเขารักเอ็นดูมันอีท่าไหนไม่รู้ ให้เงินมันมาตั้งตัวตั้งเป็นแสนเลยนะ”
ปรมัตถ์ได้ฟังก็ดีใจแทบกระโดด รีบถามต่ออย่างตื่นเต้น
“จริงเหรอเฮีย เฮียรู้มั้ยว่าเธออยู่ที่ไหน?”
ในที่สุดปรมัตถ์ก็เจอกับเจี๊ยบจนได้ ก่อนจะบอกเหตุผลที่มา
“ผมแค่อยากรู้ความจริงในบ้านคุณทรงพลเมื่อ 15 ปีก่อนเท่านั้น”
เจี๊ยบได้ยินเรื่องก็ตกใจไป อึกๆ อักๆ เหมือนกลัวอะไรอยู่
“คุณทรงพล ผัวคุณต้อยน่ะเหรอ?”
ทางด้านลิลินก็จับตามองศุภารมย์ที่หิ้วกระเป๋า ก่อนจะขับรถออกจากบ้าน พร้อมๆ กับที่ปรมัตถ์โทร. เข้ามาพอดี
“ลิน มัตเจอเจี๊ยบแล้วนะ”
ลิลินยิ้มดีใจ “จริงเหรอมัต แล้วมัตได้หลักฐานจากเธอมามั้ย?”
“ลิน เธอบอกว่าเธอไม่ได้เป็นคนส่งจดหมายขู่ฉบับนั้น”
“มัตแน่ใจนะว่าเธอไม่ได้โกหก”
“แน่ใจลิน ดูเธอไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวกับบ้านนั่นเท่าไหร่ ดูเธอจะกลัวคนในบ้านนั้นมาก”
“มัตรีบกลับมาที่นี่ด่วนเลย”
ลิลินรีบวางสาย ก่อนจะโทร. หาทิวัตถ์อย่างร้อนใจ
“จดหมายขู่ขอเงินแม่คุณ ไม่ใช่ฝีมือเจี๊ยบ”
ทิวัตถ์ทั้งแปลกใจ ทั้งตกใจ “อะไรนะ ?”
“มัตเจอเจี๊ยบแล้ว แล้วเธอก็บอกว่าเธอไม่ได้ทำ”
“แล้วใครเป็นคนทำเรื่องนี้?”
“ตอนนี้คุณอย่าเพิ่งคิดเรื่องอื่นเลย ฉันเพิ่งเห็นคุณต่ายถือกระเป๋าเงินออกไป”
ทิวัตถ์ยิ่งตกใจหนัก “แล้วคุณรู้มั้ยว่าแม่ต่ายไปไหน?”
“ฉันคิดว่าจะไปหาคนที่แอบอ้างเป็นเจี๊ยบแน่ๆ”
ทิวัตถ์หน้าเครียดขึ้นมาทันที
ศุภารมย์ยืนอยู่ในตึกร้าง พลางตะโกนเรียกหาเจี๊ยบ แต่จู่ๆ ทิวัตถ์ก็โทร.เข้ามือถือมา
“ตอนนี้แม่อยู่ไหนครับ?”
ศุภารมย์อึกอัก “ทำไมเหรอวิน?”
“แม่รีบบอกมาเถอะครับ ผมรู้เรื่องที่เจี๊ยบเขียนจดหมายมาขู่แม่แล้ว”
ศุภารมย์ถึงกับชะงักไป “วินรู้ได้ยังไงลูก?”
“อย่าเพิ่งถามเลยครับ ตอนนี้ผมอยากรู้ว่าแม่อยู่ไหน? แม่กำลังโดนหลอกนะครับ จดหมายฉบับนั้นไม่ใช่ฝีมือเจี๊ยบ”
ศุภารมย์ตกใจ ระหว่างนั้นก็มีเสียงมอเตอร์ไซค์ดังขึ้นภายในตึกร้าง
“แม่อยู่โกดังเก่าที่นอกเมือง แค่นี้ก่อนนะวิน มันมาแล้ว”
“ได้ครับ เดี๋ยวผมรีบไป”
ทิวัตถ์วางวาย แล้วรีบขับออกไปทันที
มอเตอร์ไซค์เข้ามาจอดพร้อมชายใส่หมวกกันน็อกมิดชิดเดินเข้ามา ศุภารมย์พยายามใจดีสู้เสือ
“แกเป็นใคร?”
“เจี๊ยบส่งฉันมา เงินอยู่ไหน?”
ศุภารมย์พยายามถ่วงเวลา “ขอดูหลักฐานก่อน”
ชายคนนั้นยื่นซองกระดาษให้ ศุภารมย์รับมา ก่อนจะปิดซองออก แต่กลับมีแต่กระดาษหนังสือพิมพ์เก่าๆ ยัดมาเต็ม
“แกหลอกฉัน”
พูดพลางขว้างกระดาษทิ้ง ก่อนจะหันหลังเตรียมกลับ แต่กลับโดนอีกฝ่ายคว้าแขนไว้
“แกเป็นใครปล่อยฉันนะ”
มันพยายามยื้อกระเป๋าใส่เงิน แต่ศุภารมย์ก็ไม่ยอมให้ง่ายๆ เลยถูกตบหน้าฉาดใหญ่
“ช่วยด้วย”
พลางแกล้งมองไปข้างหลัง แล้วตะโกนด้วยความดีใจ
“วิน ช่วยแม่ด้วย”
พอมันหันหลังไปดู ศุภารมย์ได้โอกาสยกประเป๋าฟาดไปเต็มแรง จนหมวกกันน็อกหลุดร่วงลงกับพื้น
ศุภารมย์ตกใจสุดขีด
“แก”
จังหวะนั้นทิวัตถ์มาถึงพอดี เห็นข้างหลังของมัน ขณะยืนอยู่กับศุภารมย์
“เฮ้ย หยุดนะ”
มันได้ยินเสียงทิวัตถ์ ก็รีบกระชากกระเป๋าเงินแล้วฟาดใส่ศุภารมย์จนสลบไป ก่อนจะวิ่งหนีไปพร้อมกระเป๋า
ทิวัตถ์รีบวิ่งเข้ามาหาศุภารมย์ทันที
ลิลินเดินไปเดินมาอย่างร้อนใจอยู่หน้าบ้าน ในมือกำโทรศัพท์อยู่แน่น อนันยชแอบมองอยู่ที่มุมหนึ่ง ก่อนจะเดินเข้ามาหา
“มายืนข้างนอกแบบนี้ระวังเป็นหวัดนะครับคุณลิน”
พูดพลางยิ้มกรุ้มกริ่ม จนลิลินเริ่มรู้สึกแปลกๆ
“ไม่หรอกค่ะ ลินแข็งแรงดี คุณควรเป็นห่วงภรรยาคุณมากกว่านะคะ”
“ภรรยาเหรอ ถ้าผมย้อนเวลาได้ ผมคงจะมองมาทางคุณลินมากกว่าเธอ”
ลิลินทั้งอึ้ง ทั้งงง แต่จู่ๆ นพกรก็เดินหน้าเครียดเข้ามา พลางมองไปทางอนันยชอย่างไม่พอใจ ก่อนจะหันไปบอกลิลิน
“มีคนบอกว่าเป็นแม่ของเจี๊ยบ เขาบอกว่าอยากเจอคุณครับ”
ลิลินตกใจ “แม่ของเจี๊ยบเหรอ อยู่ไหน?”
“เขาบอกจะรอแถวอู่ที่ผมเอารถไปทำน่ะครับ”
“งั้นช่วยพาฉันไปที”
นพกรพยักหน้าก่อนจะเดินพาลิลินออกไป อนันยชหัวเสียที่ถูกขัดจังหวะ
ศักดิ์สิทธิ์แต่งตัวเรียบร้อย ยืนรอต้อนรับสุชาติอยู่ที่ประตูโรงแรม มีวิชนียืนอยู่ข้างๆ ก่อนที่ปกติจะเดินนำพนักงานเข้ามา
“พวกเราคุยกันแล้วครับ พวกเรารู้ว่าคุณหนูมีปัญหาเรื่องสภาพคล่อง พวกเลยตัดสินใจว่าจะขอไม่รับเงินเดือน 3 เดือนเพื่อช่วยคุณหนูครับ พวกเราจะทำงานอย่างเต็มที่ คุณหนูก็ต้องสู้ไปพร้อมๆ กันนะครับ พวกเราจะไม่ทิ้งคุณหนูแน่นอน”
ศักดิ์สิทธิ์ซึ้งใจ แต่ทุกอย่างสายเกินไปแล้ว
“ขอบใจมากนะทุกคน แต่คงไม่ทันแล้วล่ะ เพราะผมตกลงขายโรงแรมไปแล้ว”
ทุกคนหน้าเสียไปตามๆ กัน ระหว่างนั้นสุชาติก็เข้ามาด้วยท่าทางวางมาด
“สวัสดีครับคุณสุชาติ เชิญที่ห้องดีกว่าครับ”
ศักดิ์สิทธิ์ผายมือกำลังจะเดินนำ แต่สุชาติก็ปาดหน้าเดินนำไปก่อน วิชนีรีบเดินเดินตามไป ปกติหันไปมองหน้าพนักงานทุกคน ก่อนจะพยักหน้าส่งสัญญาณเป็นอันว่ารู้กันว่าต้องตามไปดูด้วย
สุชาติเซ็นเอกสารสัญญาซื้อขายเสร็จ ก็ยื่นให้ศักดิ์สิทธิ์เซ็นต่อ แต่วิชนีรีบจับมือไว้ก่อน
“อย่าเพิ่ง นายคิดดูใหม่รึยัง?”
ศักดิ์สิทธิ์หันไปกวาดตามองหน้าพนักงานที่อยู่ในห้องทุกคน ก่อนจะบอกสุชาติ
“ก่อนเซ็นสัญญา ผมขออะไรอย่างหนึ่งก่อน ผมไม่รู้ว่าคุณสุชาติจะเอาที่ดินไปทำอะไร แต่ช่วยรับพนักงานของผมไว้ทำงานได้มั้ยครับ?”
“นี่คุณศักดิ์สิทธิ์ ขืนผมบริหารแบบคุณผมก็คงเจ๊งไม่เป็นท่าสิ แล้วอีกอย่างคุณจะสนใจพวกพนักงานทำไม แต่ถ้าคุณยอมลดราคาให้สัก 2-3 ล้าน บางทีผมอาจจะคิดดูก่อนก็ได้”
ศักดิ์สิทธิ์ก้มหัวให้สุชาติอย่างอ้อนวอน วิชนี ปกติและทุกคนถึงกับอึ้งไป
“แหม อย่าบอกนะว่าจะทำซึ้งแบบในละคร นี่มันชีวิตจริงนะคุณ ธุรกิจก็คือธุรกิจ นี่ผมถามจริงๆ เถอะ
จะให้ผมรับไอ้แก่อย่างนั้นมาทำงานเนี่ยนะ ไม่แปลกใจเลยถ้าที่นี่มันจะเจ๊ง ใครไปใครมาเขาคงคิดว่าเป็นบ้านพักคนชรา
นั่นเชฟเหรอ ผมว่าท่าทางเธอเหมือนนักมวยมากกว่านะ ดีนะที่อยู่แต่ในครัว ถ้าให้แขกเห็นคงจะพากันกินไม่ลง”
วิชนีเหลืออด จะเข้าไปเอาเรื่อง แต่ศักดิ์สิทธิ์ร้องห้ามไว้
“ที่ฉันบอกว่าอย่า ก็เพราะว่าฉันจะคนต่อยหน้ามันเอง”
ขาดคำก็ต่อยจนสุชาติหน้าหงายไป ก่อนจะฉีกสัญญาปาใส่หน้า
“ถ้าพนักงานของผมต้องทนอยู่กับเจ้านายแบบคุณ ผมขอยกเลิกสัญญาทั้งหมดดีกว่า ผมไม่ขายแล้ว”
พนักงานยิ้มดีใจ ส่วนสุชาติโมโหจนเลือดขึ้นหน้า
“เอาสิ ยังไงนายก็ไปไม่รอดแน่ เงินไม่มีจะเอาอะไรไปจ้างใครเค้า ฉันจะคอยดูวันที่โรงแรมของแกเจ๊ง”
พูดจบก็เดินออกไป ศักดิ์สิทธิ์เครียดจนต้องทรุดตัวลงนั่ง เหมือนจะรู้ถึงปัญหาที่กำลังจะตามมา แต่จู่ๆ ซือเฟินก็โผล่เข้ามาพอดี
“อาม่า อาม่ามาได้ยังไงเนี่ย?”
“อาหมวยวิชนีโทรไปขอร้องให้อั๊วมาช่วยลื้อ”
ศักดิ์สิทธิ์หันไปมองวิชนี ที่พยักหน้ารับ
“ขอโทษนะ แต่โรงแรมนี้มันสำคัญกับชีวิตนายมาก ฉันมองตานายฉันก็รู้แล้ว นายคิดว่าฉันจะยอมให้นายทิ้งชีวิตตัวเองไว้ข้างหลังเหรอ ฉันทำไม่ได้หรอก”
ศักดิ์สิทธิ์ถึงกับพูดไม่ออก “แต่ว่า...”
ซือเฟินรีบพูดขัดขึ้นมา
“ไม่มีแต่ เพราะสิ่งที่ลื้อทำเมื่อกี๊ มันทำให้อั้วมั่นใจว่าลื้อรักและคิดจะดูแลกิจการของเตี่ยลื้อ เอาเป็นว่าอั้วช่วยลื้อแบบไม่มีเงื่อนไขก็แล้วกัน”
ศักดิ์สิทธิ์ถึงกับน้ำตาซึม พลางเข้าไปกอดซือเฟินแล้วหอมแก้ม
“ขอบคุณนะครับอาม่า”
“อั้วว่ามีอีกคนที่ลื้อต้องทำแบบนี้นะ”
ศักดิ์สิทธิ์นึกได้ คว้าวิชนีมากอดแล้วหอมแก้ม ฝ่ายถูกหอมเขินจนจนหน้าแดง รีบเดินหนีออกไป
“ทีนี้อั้วไม่บังคับให้แต่ง ลื้อก็คงอยากจะแต่งแล้วใช่มั้ย? อาเม้ง”
ศักดิ์สิทธิ์มองตามวิชนีด้วยสายตาแห่งความรัก
อ่านต่อหน้า 4
ลีลาวดีเพลิง ตอนที่ 15 (ต่อ)
ศุภารมย์ค่อยๆ ฟื้นลืมตาขึ้นมา พลางเห็นทรงพล ทิวัตถ์ อนันยช นั่งอยู่รายล้อมด้วยความเป็นห่วง
“เกิดอะไรขึ้นคุณ?”
ทรงพลถามขึ้นทันที
“คุณ คนที่ส่งจดหมายมาขู่เรา ไม่ใช่เจี๊ยบ”
ทิวัตถ์ถามต่อทันที “แล้วมันเป็นใคร? แม่รู้รึเปล่าครับ”
“นพกร”
“แม่แน่ใจเหรอว่าเป็นมัน”
ทรงพลหันขวับไปทางอนันยชทันที “ทำไมเหรอวัน?”
“เอ้า ก็เมื่อกี้ผมยังเห็นมันมาพาตัวคุณลินออกไปอยู่เลย”
ทิวัตถ์ถึงกับตกใจ
ทางด้านนพกร ก็ขับรถพาลิลินออกมาตามถนนนอกเมือง พลางยิ้มอย่างมีความสุข จนอีกฝ่ายนึกเอะใจว่าต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่ๆ คิดพลางค่อยๆ ล้วงเข้าไปในกระเป๋า แล้วหยิบโทรศัพท์มากดโทร. ออก
ขณะที่ปรมัตถ์ขับรถอยู่ก็รีบหยิบโทรศัพท์มารับ
“ฮัลโหลลิน ใกล้ถึงแล้ว รอเดี๋ยวนะ”
ลิลินพยายามพูดชวนคุย เพื่อส่งสัญญาณให้คนปลายสายฟัง
“แม่ของเจี๊ยบไม่ได้นัดฉันออกมาใช่มั้ย?”
นพกรยิ้มอย่างโรคจิต “ใช่ ผมดีใจนะ ที่คุณรู้แต่คุณก็ยอมมากับผม”
“นพกร นายจะพาฉันไปไหนเหรอ?”
“ไปไหนก็ได้ ที่ไม่มีคนคอยขัดขวางความรักของเรา”
ปรมัตถ์ได้ฟัง ก็ตกใจ รู้แล้วว่าเธอกำลังต้องการความช่วยเหลือ
ลิลินแกล้งมองออกไปนอกรถ แล้วตื่นตาตื่นใจกับวิวข้างทาง
“โห สวยจัง ดอกไม้เต็มไปหมดเลย”
“เวลานี้ของทุกปี ที่นี่จะมีดอกไม้บานเต็มไปหมด คุณชอบมั้ย?”
“อืม จะเป็นไรมั้ยถ้าฉันขอลงไปถ่ายรูปหน่อย”
นพกรรีบหันมามองลิลิน
“ก่อนที่จะถ่ายรูป ผมว่าเรามีบางอย่างต้องทำ”
พูดจบก็คว้ามือถือโยนทิ้งนอกรถ ลิลินตกใจ
ปรมัตถ์พยายามเรียกลิลิน แต่สายกลับถูกตัดไป เขารีบกดโทร. หาทิวัตถ์ทันที
“ลินถูกคนชื่อนพกรจับตัวไป”
“ผมรู้แล้ว ผมกำลังขับรถออกตามหาอยู่”
ปรมัตถ์ร้อนใจด้วยความเป็นห่วง “แล้วคุณรู้รึเปล่าว่าเขาไปที่ไหน?”
“ไม่รู้เลย”
“ลินบอกว่าข้างทางวิวสวย มีดอกไม้บานเต็มไปหมด ผมรู้แค่นี้”
ทิวัตถ์นิ่งคิด อย่างเป็นกังวล
“ทางที่มีดอกไม้บาน คือถนนออกนอกเมือง มีอยู่เส้นเดียวนั่นแหละ ผมจะรีบไป”
ทิวัตถ์วางสาย ก่อนจะรีบเหยียบคันเร่งอย่างเต็มกำลัง
“นายปามือถือฉันทิ้งทำไม?” ลิลินหันมาถามด้วยความตกใจ
“ผมขอโทษ แต่ผมกลัวว่าพวกมันจะเข้ามาขัดขวางความรักของเราน่ะสิ”
เธอนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะแกล้งกุมขมับปวดหัว
“ไม่ต้องมาเล่นละครกับผม ผมรู้ว่าคุณไม่ได้ความจำเสื่อม”
“ฉันรู้ว่านายรู้ แต่ฉันปวดหัวจริงๆ ถ้าได้ลงไปสูดอากาศสักหน่อยก็คงดีขึ้นบ้าง แล้วเราก็จะได้ถ่ายรูปคู่กันด้วยไง ไหนว่าเรารักกันไม่ใช่เหรอ?”
นพกรนิ่งไปเหมือนใช้ความคิด
นพกรเอารถมาจอดข้างทาง ก่อนจะพาลิลินเดินไปยังทุ่งดอกไม้
“คุณชอบธรรมชาติ คุณชอบดอกไม้ คุณชอบดอกลีลาวดี”
ลิลินเริ่มตะหงิดๆ อย่างแปลกใจ “ใช่ นายรู้ได้ยังไง?”
นพกรยิ้มดีใจ มองลิลินอย่างคนตกหลุมรัก
“ผมดีใจที่คุณชอบดอกลีลาวดีที่ผมส่งให้ ผมเห็นคุณครั้งแรกในชุดราตรีสีแดงเพลิง ผมก็รู้ว่าของพวกนี้มันต้องเหมาะสมกับคุณมากแน่ๆ แล้ววันนี้คุณเอาผ้าคลุมไหล่มาด้วยรึเปล่า?”
“เปล่า ฉันไม่รู้ว่านายเป็นคนให้”
นพกรได้ยินก็โกรธ “อะไรกัน ไม่รู้ว่ากูให้ มึงไม่เคยเห็นกูในสายตาเลยใช่มั้ย?”
ลิลินตกใจที่นพกรเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย
“ฉันขอโทษ ฉันเสียใจ แต่ฉันอยากใกล้ชิดกับนายนะนพกร แล้วที่ฉันแกล้งความจำเสื่อม ก็เพื่อที่จะได้เข้ามาอยู่ในบ้านกับนายไงล่ะ”
นพกรแสยะยิ้มขึ้นมาอย่างน่ากลัว
“นังแก่ต่ายหน้าโง่ โดนหลอกไปซะหมด นี่ฉันหลอกว่ามีเอกสารของเจี๊ยบ มันก็ตาลีตาเหลือกเอาเงินมาให้ ดีเหมือนกัน เราจะได้อยู่กันอย่างสุขสบาย ไม่เชื่อเหรอ นี่ไง”
พูดพลางหันหลังจะเดินกลับไปหยิบกระเป๋าเงินในรถ ลิลินอาศัยจังหวะนั้นวิ่งหนี แต่มันรู้ทัน
“จะหนีไปไหน? นังแพศยา แกจะหนีไปหาผู้ชายคนอื่นใช่มั้ย?”
พูดพลางต่อยเข้าไปที่ท้องจังๆ จนลิลินตัวงอด้วยความจุก พลางจะเข้าไปซ้ำ แต่กลับถูกปรมัตถ์ที่วิ่งเข้ามาก็ชิงถีบก่อน
ปรมัตถ์กับนพกรชกต่อยกันอยู่พักใหญ่ ก่อนที่ฝ่ายแรกจะฉวยจังหวะคว้าไม้มาฟาดอย่างจังจนมันแน่นิ่งจากนั้นเขาก็เดินเข้าไปช่วยพยุงลิลินขึ้นมา
“ไปเถอะลิน มา มัตช่วย”
ลิลินมองอย่างขอบคุณ แต่ไม่ทันไรปรมัตถ์ ก็มีสีหน้าเจ็บปวด ก่อนจะทรุดตัวลง เพราถูกนพกรใช้มีดเสียบจากด้านหลัง
ระหว่างนั้นทิวัตถ์วิ่งเข้ามาพอดี นพกรเห็นก็รีบวิ่งหนีไป เขากำลังจะวิ่งตาม แต่เสียงลิลินก็ทำให้เขาต้องหยุด
“คุณวิน พามัตไปส่งโรงพยาบาล เร็ว”
ทิวัตถ์พยายามจะโอบปรมัตถ์ ที่ร้องอย่างเจ็บปวดขึ้นมา
“มัต ทนหน่อยนะ อีกนิดเดียว”
ปรมัตถ์ส่ายหัว ก่อนจะจับมือลิลินข้างหนึ่ง อีกข้างจับมือทิวัตถ์
“มัตไม่ไหวแล้วลิน”
พูดพลางมองหน้าลิลินเหมือนต้องการจะจดจำเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะหันไปมองทิวัตถ์
“คุณวิน”
ทิวัตถ์พยายามห้าม “อย่าเพิ่งพูดอะไรเลย”
“ไม่ ผมต้องพูด เวลาที่ลินร้องเพลงให้คุณฟัง ไม่ว่าคุณจะชอบหรือไม่ชอบ คุณต้องบอกว่าเพราะไว้ก่อน
เธอชอบของทอด อย่าให้เธอกินมาก เพราะมันไม่ดีกับเสียงของเธอ ตอนเช้าเธอชอบกินกาแฟกับน้ำผึ้ง”
ลิลินร้องไห้โฮ “ไม่นะมัต”
“คุณบอกผมทำไม?”
“ผมคงจะอยู่ดูแลลินไม่ได้แล้ว ผมฝากลินด้วย”
“ไม่นะมัต ลินขอโทษ ลินขอโทษ”
ปรมัตถ์พยายามฝืนความเจ็บปวดเป็นครั้งสุดท้าย
“ไม่เป็นไร ลินอย่าร้องไห้ซิ ลิน ความแค้นไม่เคยทำให้ใครมีความสุขนะ มัตอยากเห็นลินมีความสุ....”
พูดไม่จบมือของเขาก็ร่วงลง ตาปิดลง ลิลินร้องไห้โฮลั่นออกมาด้วยความเสียใจ
ทิวัตถ์เดินมาส่งตำรวจที่หน้าบ้าน หลังจากการพูดคุยสอบถามเกี่ยวกับคดีนพกรแล้ว
“คุณตำรวจอยากได้ข้อมูลอะไรเพิ่มมั้ยครับ?”
“ไม่แล้วครับ ตอนนี้ทางเรากระจายกำลังกันเต็มพื้นที่เพื่อกดดันคนร้าย คุณวินไม่ต้องเป็นห่วงนะครับขอบคุณนะครับ คุณต่ายกับคุณลินก็ให้การได้เป็นประโยชน์มาก ตอนนี้เชื่อว่าคนร้ายยังหนีไปได้ไม่ไกล ผมขอตัวก่อน”
ตำรวจเดินออกไป ทิวัตถ์หันไปมองที่สวนด้วยความเป็นห่วงลิลิน ก่อนจะเดินเข้าไปหา ขณะที่อีกฝ่ายกำลังยืนเศร้ากับการจากไปของปรมัตถ์
“เขาไปสบายแล้วล่ะคุณ”
“ทั้งหมดมันเป็นเพราะฉัน เป็นความผิดฉันตั้งแต่แรก มัตควรจะนั่งทำงานใช้ชีวิตปกติอยู่ที่กรุงเทพ
แต่มัตมาช่วยฉัน แล้วทุกๆ คนที่ตายก็เป็นเพราะฉัน ฉันต่างหากที่สมควร....”
ทิวัตถ์จับลิลินหันมาก่อนจะพยายามเรียกสติ
“มองหน้าผม มัตคงไม่อยากให้คุณคิดแบบนี้”
จังหวะนั้นศุภารมย์ก็เดินเข้ามา
“ฉันเสียใจด้วยนะ เรื่องเพื่อนเธอ แต่ฉันต้องการคำอธิบาย”
ทิวัตถ์พยายามจะช่วยพูดแทน แต่ลิลินกลับเป็นฝ่ายสารภาพทุกอย่าง
“ใช่ ฉันโกหกเรื่องความจำเสื่อม แต่ถ้าฉันไม่ทำอย่างนั้น คุณคิดว่ารองฯ ศัลย์จะปล่อยฉันไว้เหรอ?”
ศุภารมย์ทำหน้าสงสัย ทิวัตถ์จึงรีบพูดเสริม
“รถของคุณวิทยาประสบอุบัติเหตุก็เพราะรองฯ ศัลย์ ตอนแรกผมก็ไม่เชื่อ แต่เมื่อเห็นรองฯ ศัลย์ที่โรงพยาบาลทำให้ผมรู้ว่ารองฯ ศัลย์พยายามจะฆ่าคุณลินครับ”
“ถ้ามันจะทำให้คุณสบายใจ ฉันจะย้ายออกจากที่นี่”
ลิลินตัดสินใจพูดออกมา แต่ศุภารมย์กลับบอกว่า
“เธออยู่ที่นี่แหละ อย่างน้อยเธอก็ช่วยฉันเอาไว้จากไอ้โรคจิตนพกรนั่น”
พูดจบก็เดินกลับเข้าบ้านไป ทิวัตถ์กับลิลินมองหน้ากันอย่างงงๆ
อนันยชดูหงุดหงิดหลังจากรู้เรื่องทั้งหมดจากศุภารมย์
“ไอ้ชั่ว! เสียดายถ้าผมรู้เรื่องนี้เร็วกว่านี้ ไอ้บ้านั่นคงไม่มีโอกาสได้หายใจอีก”
ศุภารมย์เห็นอาการของลูกชายก็กังวล
“เรื่องบางเรื่อง ปล่อยให้เป็นเรื่องของแม่กับคุณน้าเถอะ แค่มันไม่ได้อยู่ด้วยใกล้ๆ แม่ก็สบายใจแล้ว”
“แล้วคุณลินล่ะครับ? แม่จะจัดการเรื่องที่เธอไม่ได้ความจำเสื่อมยังไง จะให้เธอออกไปจากบ้านหรือเปล่า?”
ศุภารมย์ส่ายหน้า “ยังไม่ใช่ตอนนี้ แม่ยังไม่อยากมีปัญหากับวินอีกคน”
พลันวาสนาเข้ามาแสดงความเป็นห่วงศุภารมย์
“แม่ต่าย เธอเป็นยังไงบ้าง เจ็บตรงไหนรึเปล่า? ยายขอโทษจริงๆ ฉันขอโทษนะแม่ต่าย ใครจะไป
รู้ว่าไอ้นพกรมันจะใจคอเหี้ยมโหดอำมหิตขนาดนั้น ฉันไม่ได้ตั้งใจจริงๆ นะ”
อนันยชมองอย่างไม่อยากจะเชื่อในคำพูด
“จะไม่รู้ได้ไง แค่ผมมองหน้ามันก็รู้แล้วว่าไอ้นี่มันแปลกๆ แล้วนี่ยายรู้จักแทบจะคลุกคลีอยู่กับมันแบบนี้เนี่ยนะเรียกว่าไม่รู้”
ศุภารมย์รีบพูดปราม อนันยชหงุดหงิดที่ทำอะไรไม่ได้ก็เลยเดินออกไป วาสนาได้ทีจึงพูดบ้าง
“พ่อพล แม่ต่าย ฉันขอมาอยู่ที่นี่ด้วยได้มั้ย? ฉันกลัวไอ้นพกรมันไปหาที่บ้าน”
ศุภารมย์หันมองหน้าทรงพลอย่างหนักใจ
ทุกคนนั่งพร้อมหน้าพร้อมตากันที่โต๊ะอาหาร อนันยชพอรู้จากทรงพลว่าวาสนาจะมาขอพักอยู่ด้วย ก็ทำหน้าไม่พอใจ
บรรยากาศบนโต๊ะเต็มไปด้วยความตึงเครียด ก่อนที่ทิวัตถ์จะตักกับข้าวให้ลิลินที่สีหน้าเครียดกินอะไรไม่ลง
อนันยชรีบบอก “คุณลินเพิ่งจะผ่านเรื่องร้ายๆมา จะให้กินลงได้ยังไงวะวิน”
วาสนามองค้อน “แหม พ่อวัน รู้สึกว่าจะเข้าใจคนอื่นดีเหลือเกินนะ แต่ไม่ยักกะเห็นว่าเข้าใจเมีย
ตัวเอง”
วรรณิตหน้าเจื่อน ขณะที่ลิลินรีบขอตัวจะเดินออกไป แต่ทิวัตถ์รีบพูดขึ้นมาก่อน
“จริงสิ คืนนี้ผมขอไปหาสิทธิ์ที่โรงแรมนะครับแม่ เห็นว่าอยากจะคุยเรื่องแต่งงาน คุณไม่ต้องไปก็ได้ แผลยังไม่หายดีเลย เดี๋ยวผมบอกไอ้สิทธิ์กับคุณนีเอง”
“ฉันฝากขอโทษด้วยนะ”
ลิลินพูดพลางลุกเดินออกไปอย่างเศร้าๆ ทิวัตถ์มองตามอย่างเป็นห่วง ตรงข้ามกับอนันยชที่มองตามด้วยแววตาหื่นกระหาย
เมื่อทิวัตถ์มานั่งคุยเรื่องงานแต่งงานของศักดิ์สิทธิ์กับวิชนี ทั้งคู่ก็ออกตัวว่าไม่มีเจตนาจะจัดงานมงคลในช่วงที่ลิลินไม่สบายใจ แต่ติดตรงที่ได้ฤกษ์มาแบบนี้
“ว่าแต่ คุณวินจะให้ลินอยู่ในบ้านต่อไปเหรอ?”
วิชนีอดที่จะถามขึ้นมาไม่ได้ ศักดิ์สิทธิ์พยักหน้าเห็นด้วย
“เออ นั่นดิ โดนจับได้ว่าแกล้งความจำเสื่อมแล้วนี่หว่า”
ทิวัตถ์ครุ่นคิดหนัก
ลิลินยืนมองฟ้ามองดาวอยู่ที่ระเบียงห้องพัก คิดถึงพ่อและเหตุการณ์สูญเสียทั้งหลายที่เกิดขึ้นเพราะตัวเองอย่างเศร้าใจ
“พ่อคะ หนูควรทำอะไรต่อไปดี หนูใกล้จะถึงเป้าหมายที่หนูตั้งเอาไว้แล้ว แต่ทำไมหนูถึงไม่มีความสุขเลยคะ คนรอบข้างหนู คนที่ดีกับหนู ก็ต้องมาจากไปเพราะหนูอีก หนูมันแย่มากใช่มั้ยคะพ่อ?”
จู่ๆ เสียงอนันยชก็ดังขึ้น
“อย่าโทษตัวเองเลยครับ”
ลิลินหันไปก็ตกใจที่เห็นอนันยชกำลังเดินตรงเข้ามาหาเธอ
“ผมเองก็เข้าใจความรู้สึกของคนที่ต้องเสียคนรักไป มันแย่มากจริงๆ แต่ผมมีวิธีทำให้คุณหายจากความเป็นทุกข์นะครับ”
พูดพลางหยิบห่อยาไอซ์ขึ้นมา ลิลินตกใจ
“คุณวัน ฉันไม่ต้องการค่ะ ขอตัวลงไปข้างล่างนะคะ”
ลิลินกำลังจะเดินผ่านอนันยชไป อีกฝ่ายรีบดึงมือไว้
“คุณไม่เหมาะสมกับนายวินหรอก ไฟมันต้องคู่กับน้ำมันสิถึงจะถูก”
พูดพลางดึงลิลินเข้ามาหาตัวก่อนจะลงมือปลุกปล้ำ อีกฝ่ายพยายามขัดขืน ทิวัตถ์ที่เดินกลับเข้ามาในบ้าน ได้ยินเสียงลิลินดังออกมาจากห้องก็ตกใจ รีบวิ่งขึ้นไปทันที พอเปิดประตูห้องเข้าไป ก็เห็นอนันยชกำลังปลุกปล้ำลิลิน เขารีบเข้ามากระชากอนันยชขึ้นมาต่อยจนร่วงไปกับพื้น
“วัน ทำไมนายทำอย่างนี้?”
พลันเสียงศุภารมย์ก็ดังขึ้น ก่อนที่จะเดินเข้ามาในห้อง
“เอะอะอะไรกัน”
เมื่อเห็นภาพลิลินอยู่บนเตียง เสื้อผ้าหลุดลุ่ย อนันยชจับปากที่มีเลือดซิบๆ โดยมีทิวัตถ์ยืนค้ำหัวอยู่ ก็พอจะเดาเหตุการณ์ได้
อ่านต่อตอนที่ 16