ลีลาวดีเพลิง ตอนที่ 8
“คุณณิตเป็นอะไรครับ? หรือว่าไอ้หมอนั่นทำให้คุณณิตตกใจใช่มั้ยครับ” อนันยชหันมาถามอย่างเป็นห่วง วรรณิตอ้ำอึ้งก่อนจะพยักหน้ารับคำ
“ไม่เป็นไรนะครับ อยู่กับผมคุณณิตไม่ต้องกลัวอะไร หรือจะให้ผมแจ้งรปภ.ห้างให้จับไอ้หมอนั่นดี”
วรรณิตรีบห้าม “อย่านะคะ คือณิตไม่เป็นอะไรค่ะ”
วาสนาเดินเข้ามาทำเป็นไม่รู้เรื่อง
“ยาย ยายไปไหนมาคะ ณิตกลัว”
“ฉันก็เดินไปดูของตรงนู้นมาน่ะสิ”
วรรณิตหน้าซีด “เมื่อกี้ยายเห็น...”
“อ๋อเห็นสิ แหวนเพชรวงนั้นใช่มั้ยน้ำงามมาก แหม แม่ณิตจะว่าไปเธอนี่สายตาดีเหมือนกันนะ ไปเถอะยายหิวแล้ว ไปหาอะไรอร่อยๆ กินกันเถอะนะพ่อวัน”
ขาดคำวาสนาเดินไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ลิลินเดินมาตามทางเดิน แล้วต้องแปลกใจเมื่อเห็นทิวัตถ์ยืนมองอยู่ที่หน้าประตูห้อง พยายามแอบดูว่าเธออยู่กับใครในห้องหรือเปล่า?
“แอบดูอะไร?”
ทิวัตถ์ตกใจ รีบปฏิเสธ
“เปล่า ก็แค่กลัวว่าจะอยู่กับผู้ชายเลยต้องดูก่อน”
ลิลินแปลกใจ “ผู้ชาย ?”
“ก็คุณวิทยาไง”
“อ๋อ คุณวิท ใช่ค่ะเมื่อวานเขามาเยี่ยมฉัน ตกลงคุณมีอะไรกับฉันกันแน่”
ทิวัตถ์อ้ำอึ้ง ระหว่างนั้นพยาบาลก็ยกถาดอาหารมาให้ ก่อนจะเดินนำลิลินเข้าห้องไป
“คุณพยาบาลคะ ฉันเบื่ออาหารจืดๆ จะแย่แล้ว มื้อต่อไปขอที่รสจัดๆ ได้มั้ยคะ”
“แต่คุณยังป่วยอยู่ ไม่ควรกินรสจัดนะคะ”
ลิลินหน้าหงอย “ก็ได้ค่ะ”
ทิวัตถ์ได้ยินอย่างนั้นก็คิดบางอย่างขึ้นมาได้ ก่อนจะเดินผละออกมาที่เคาน์เตอร์ แล้วขอใช้โทรซัพท์โทร. หาคฑาวุธ
ทิวัตถ์ยืนกระสับกระส่ายอยู่ด้านหน้าโรงพยาบาล พักใหญ่คฑาวุธก็เดินเข้ามา
“ได้มาครบที่สั่งมั้ย?”
คฑาวุธรีบแจกแจง
“ก็มีส้มตำ ไก่ย่าง น้ำตก ว่าแต่หมอให้คุณวินทานอาหารแบบนี้ได้แล้วเหรอครับ?”
“ขอบใจมาก นายกลับไปได้แล้ว แล้วไม่ต้องบอกใคร”
ทิวัตถ์รีบส่งเงินให้คฑาวุธ แล้วเดินแยกไป คฑาวุธมองอย่างแปลกใจ
ทิวัตถ์กำลังเดินถือถุงส้มตำมาตามทางอย่างหมายมั่นปั้นมือว่าลิลินต้องประทับใจแน่ๆ แต่แล้วกลับได้ยินเสียงของเธอดังมา
“ขอบคุณมากนะคะคุณวิท”
พอหันไปมองตามเสียง ก็เห็นลิลินกับวิทยาอยู่ในสวน
“รู้ได้ยังไงคะว่าลินกำลังอยากกินอะไรที่มันรสจัดหน่อย”
วิทยายิ้มดีใจ
“แสดงว่าผมคิดถูก ทานอาหารจืดๆ ทุกมื้อคุณลินคงเบื่อ เป็นไงครับเจ้านี้อร่อยมั้ย?”
ลิลินที่กำลังกินอยู่ รีบยกนิ้วให้
“แซ่บมากค่ะ คุณวิททานด้วยกันสิคะ”
ทิวัตถ์ก้มมองถุงส้มตำในมือ แล้วก็ใจแฟ่บลง พอเห็นบุรุษพยาบาลเดินผ่านมา เขาก็เลยยกส้มตำทั้งถุงให้ไป ก่อนจะเดินออกไปอย่างหงุดหงิด
วิทยากับลิลินที่กำลังกินส้มตำไก่ย่างกันอย่างอร่อย
“กินกับผักแกล้มซิครับ”
ลิลินรีบส่ายหน้า
“เอ่อ ลินไม่ชอบกินผักน่ะค่ะ ส้มตำน่ะเท่าไหร่เท่ากัน แต่ผักเนี่ย ลินขอนะคะ”
วิทยาได้ยิน ก็เหมือนคิดบางอย่างขึ้นมาได้ พลางหยิบผักกาดมาแล้วฉีกไก่ย่างตักน้ำจิ้มแจ่วใส่ ก่อนจะส่งให้ลิลิน
“คุณลินลองทานดูนะครับ นี่อาหารสูตรเกาหลีน้อยๆ ของผม รับรองคุณลินทานแล้วจะต้องติดใจ”
ลิลินมองอึ้งๆ เพราะมันทำให้เธอคิดถึงปองภพ
“มีอะไรหรือเปล่าครับ?”
“เอ่อ เปล่าค่ะ ขอบคุณค่ะ”
วิทยามองลิลินด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความรัก
ทิวัตถ์เดินเข้ามาในห้องอย่างหงุดหงิด แต่แล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นศุภารมย์กับศัลย์อยู่ในห้อง
“ไปไหนมาเหรอวิน?”
“เอ่อ ไปเดินเล่นมาน่ะครับ”
“ยังไม่หายดีแล้วไปเดินเล่นได้ยังไง? ไม่ได้ล่ะ อุตส่าห์บอกพยาบาลเอาไว้ ฝากอะไรไม่ได้เลยซักคน”
ศัลย์รีบพูดขัดขึ้น
“ผมว่าเราเข้าเรื่องกันเลยดีมั้ยครับ”
ศุภารมย์รีบอธิบาย “แม่จะให้รองฯ ศัลย์มาทำคดีของวิน”
“เท่าที่ฟังคุณต่ายเล่า ดูเหมือนคนที่ทำร้ายคุณวินจะวางแผนมาอย่างดี คุณวิน พอจะคิดออกมั้ยว่าเคยมีปัญหากับใครที่ไหนหรือเปล่า? ทั้งเรื่องธุรกิจหรือไม่ก็เรื่องส่วนตัว”
ทิวัตถ์ที่ได้ยินก็นิ่งอึ้งไป
ลิลินกับวิทยาเดินกลับเข้ามาในห้องด้วยกัน ก่อนที่ฝ่ายหลังตัดสินใจพูดขึ้นมา
“คุณลินครับ ผมมีบางอย่างอยากจะบอกคุณลินน่ะครับ ที่จริงผม ผม ผมจำ....”
แต่ยังไม่ทันพูดอะไรต่อ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นขัดจังหวะ ก่อนที่ศุภารมย์จะเดินเข้ามา
“ฉันมาเยี่ยมคุณลิน ขอโทษด้วย ฉันไม่รู้ว่าเธอมีแขก”
“เอ่อ ไม่เป็นไรครับ ผมกำลังจะกลับพอดี ขอตัวก่อนนะครับ”
วิทยาเดินเลี่ยงออกไป ศุภารมย์มองตาม ก่อนจะหันมาถามลิลิน
“ใครเหรอคะ?”
“คุณวิทยา หลานของลุงช่วยน่ะค่ะ”
ศุภารมย์ได้ยินก็นึกย้อนกลับไปในตอนที่นั่งคุยกันที่โรงแรม
“คนสนิทที่เธอเล่าให้ฟังนั่นเอง”
ลิลินพยักหน้ายิ้มๆ
“ที่จริงฉันไม่ได้เป็นอะไรมาก คุณต่ายไม่น่าลำบากมาเลย”
“ได้ยังไง ครูสอนร้องเพลงประจำตัวไม่สบายทั้งที ถ้าไม่มาเยี่ยม ก็ดูจะแล้งน้ำใจไปหน่อย”
“ขอบคุณค่ะ แต่คิดว่าคุณต่ายคงไม่ได้มาเยี่ยมฉันเฉยๆ ใช่มั้ย?”
ศุภารมย์อมยิ้มที่ลิลินรู้ทัน
ทางด้านวิทยาที่เดินมาตามทาง พร้อมๆ กับหวนนึกถึงอดีต ขณะที่เขากับลิลินในวัยเด็กกำลังนั่งกินส้มตำอยู่กับปองภพ
ลิลินที่เอาแต่เขี่ยผักออก วิทยาเห็นอย่างนั้นก็รีบบอก
“หนูลีกินผักด้วยสิ จะได้โตทันพี่”
เด็กหญิงส่ายหน้า
“ไม่เอา หนูลีไม่ชอบกินผัก หนูลียอมให้พี่วิทโตไปก่อนเลย”
ปองภพเห็นอย่างนั้นก็นึกวิธีที่จะทำให้ลูกสาวกินผัก โดยการเอาผักมาก่อนจะฉีกไก่ใส่ลงไปพร้อมกับเอาผักต่างๆ ใส่ตาม แล้วราดน้ำจิ้มไก่ลงไป
“เป็นไง อร่อยใช่มั้ย?”
เด็กหญิงเคี้ยวตุ้ยๆ พลางพยักหน้ายิ้มให้พ่อ
วิทยาคิดพลางอมยิ้มมีความสุข อีกมุมหนึ่งศัลย์เดินออกมามองตามอย่างสงสัย
“ฉันอยากรู้ว่าใครเป็นคนทำร้ายวิน? เพราะฉะนั้นถ้าจะมีคนมาถามอะไรเธอนิดหน่อย หวังว่าเธอคงไม่ขัดข้องนะ” ศุภารมย์รีบพูดเข้าประเด็น
“ใครเหรอคะ?”
ขาดคำศัลย์ก็เปิดประตูเข้ามา ต่างคนต่างมองตากันอย่างหยั่งเชิง
“นี่รองฯ ศัลย์จะมาเป็นคนทำคดีนี้ ไม่ต้องห่วง รองศัลย์เป็นตำรวจที่ฉันไว้ใจที่สุด ฝากด้วยนะ”
ศุภารมย์ใช้สายตากำชับก่อนจะเดินออกจากห้องไป ศัลย์หันมามองหน้าลิลินเพื่อดูปฏิกิริยา“พบกันอีกแล้วนะครับ”
ลิลินชะงักไปกับคำทักทายของศัลย์
“เราเคยเจอกันเหรอคะ?”
“ไม่แน่ใจเหมือนกัน จังหวัดนี้มันเป็นจังหวัดเล็กๆ เราอาจจะเคยเห็นหน้าค่าตากันแล้วก็ได้”
“ไม่หรอกค่ะ เพราะฉันเป็นคนความจำดี ถ้าเคยได้เจอกับใครแล้ว รับรองว่าไม่มีทางลืม”
ศัลย์ต้องการพูดหยั่งเชิงที่ลิลินเจอเขาที่วัด ขณะที่อีกฝ่ายก็พูดทำนองว่าจำศัลย์ได้เช่นกัน
“ถ้าอย่างนั้นคุณก็คงจำคนที่ทำร้ายคุณกับคุณวินได้”
“ไม่ค่ะ คนร้ายใส่หน้ากากปิดหน้า แล้วทุกอย่างก็เกิดขึ้นเร็วมาก”
“คุณเคยมีเรื่องกับใครหรือเปล่า? เผื่อบางทีคนร้ายพวกนั้นอาจจะไม่ได้ต้องการมาทำร้ายคุณวินก็ได้”
ลิลินฟังแล้วนิ่งไปก่อนจะตอบออกมาอย่างไม่เกรงกลัว
“ถ้าอย่างนั้น ฉันก็บอกได้เลยว่าไม่มีค่ะ ตกลงคุณตำรวจมาถามข้อมูลหรือมาสอบสวนฉันกันแน่คะ?”
“ผมก็ต้องสอบให้ละเอียด เพราะทุกอย่างเป็นประโยชน์กับรูปคดี ใครจะไปรู้ว่าบางทีคนที่เราคิดว่าไม่มีพิษไม่มีภัย บางทีอาจจะเป็นงูพิษดีๆ นี่เอง”
ลิลินยิ้มเยาะ ก่อนจะพูดสวนกลับ
“งูฉันไม่ค่อยกลัว แต่กลัวคนมากกว่า ยิ่งคนที่ฉากหน้าขาวสะอาดเท่าไหร่ ข้างหลังก็ยิ่งดำสกปรกเท่านั้น”
ศุภารมย์ครุ่นคิดหลังจากศัลย์รายงานการสอบสวนลิลินให้ฟัง
“ถามเธอแบบนั้น เพราะคิดว่าเธอมีส่วนเกี่ยวข้องกับคนร้ายพวกนั้นด้วยงั้นเหรอ?”
ศัลย์พยักหน้า
“ผมแค่ต้องสงสัยไว้ก่อน แต่ถ้าได้ภาพจากกล้องวงจรปิดที่รีสอร์ทมา น่าจะได้ความชัดเจนมากกว่านี้”
“นอกจากความชัดเจนแล้ว ฉันอยากให้เร่งมือเร็วที่สุด”
ศัลย์รับคำก่อนจะเดินออกไป แต่แล้วก็เหมือนนึกขึ้นมาได้
“ผมว่าคุณควรระวังเธอเอาไว้ก็ดี เหมือนเธอจะรู้ว่าผมมีส่วนร่วมกับการตายของไอ้บุญช่วยในคืนนั้น”
ศุภารมย์แอบใจหาย กลัวว่าจะเป็นเรื่องใหญ่
“แล้วทำไมเธอไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย?”
“นั่นแหละที่ผมถึงบอกให้ระวังผู้หญิงคนนี้ให้ดี ผมคิดว่าเธอต้องมีแผนที่จะทำอะไรบางอย่างแน่นอน”
ศัลย์พูดจบก็เดินออกไป ศุภารมย์ครุ่นคิดตามหน้าเครียด
ลิลินยืนอยู่ในสวนของโรงพยาบาล กำลังครุ่นคิดถึงเรื่องที่ศัลย์กับศุภารมย์มาคุยด้วยวันนี้ ครู่หนึ่งเสียงทิวัตถ์ก็ดังขึ้นมา
“เป็นไข้แล้วออกมาโดนลมอย่างนี้ เดี๋ยวก็ได้เป็นหนักอีกหรอก”
ลิลินหันไปมอง ก่อนจะย้อนถาม
“แล้วทีคุณล่ะลงมาทำไม?”
“อยู่แต่ในห้องอุดอู้น่าเบื่อจะตาย”
“เบื่อมากก็กลับไปหลงป่าอีกทีซิ”
ทิวัตถ์มองอย่างหมั่นไส้
“แต่ผมว่าหลงป่ามันก็ยังดีกว่าหลงเสน่ห์นะ”
ลิลินถอนหายใจ
“ถ้าคุณคิดจะมาหาเรื่องฉันล่ะก็ เชิญคุณกลับไปอุดอู้เหมือนเดิมดีกว่า ฉันยิ่งปวดหัวจากแม่คุณที่พาตำรวจมาสอบปากคำอย่างกับฉันเป็นคนร้ายซะเอง”
ทิวัตถ์ได้ยินก็ตกใจ “แล้วคุณบอกไปว่าไง?”
“บอกอะไรล่ะ ฉันก็พูดไปตามความจริง แต่ท่าทางนายตำรวจนั่นคงจะไม่เชื่อ คิดว่าฉันทำให้คุณถูก
ทำร้าย ท่าทางตำรวจคนนั้นจะสนิทกับครอบครัวคุณนะ”
“เขาทำงานให้กับพ่อผมตั้งแต่ผมยังเด็ก”
ลิลินนิ่งคิด “ตั้งแต่เด็กเลยเหรอ? ถ้าอย่างนั้นฆาตกรที่ฆ่าแม่คุณ ก็ถูกจับได้เพราะเขาด้วยน่ะสิ”
“ใช่”
ลิลินรู้สึกว่าอะไรแปลกๆ ซ่อนอยู่
“แล้วคุณมั่นใจใช่มั้ยว่า ฆาตกรคนนั้นคือคนที่ฆ่าแม่คุณ”
“หมายความว่าไง?”
“เอ่อ ฉันแค่เห็นว่าตำรวจคนนั้นท่าทางไม่น่าเชื่อถือเท่าไหร่”
จู่ๆ ทิวัตถ์ปวดหัวขึ้นมา ลิลินเห็นก็ตกใจ
“เป็นไรคุณ เจ็บแผลเหรอ?”
ทิวัตถ์ส่ายหน้า
“อาการเก่าน่ะ ผมจะปวดหัวทุกครั้งที่คิดถึงเหตุการณ์วันนั้น”
“แล้วฉันต้องทำยังไง ให้ฉันไปเรียกหมอให้มั้ย?”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมกินยาหมอศรัณย์ก็คงดีขึ้น”
“หมอศรัณย์?"
ลิลินได้ยินชื่อหมอศรัณย์ก็คิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
ตกดึกลิลินก็รีบโทร. หาปรมัตถ์ทันที พอเขาเห็นเธอโทร. มาก็รีบรับสายด้วยความดีใจ
“ฮัลโหลลิน ลินเป็นไงบ้าง ลินสบายดีใช่มั้ย?”
“มัตช่วยลินหน่อยได้มั้ย ลินคิดว่าลินเจอกุญแจอีกดอกที่อาจจะมีส่วนรู้เห็นเหตุการณ์ฆาตกรรม
ในวันนั้น”
“ใครเหรอ?”
ลิลินหน้าเครียด “หมอศรัณย์”
“ลินแน่ใจนะว่าเราจะไม่โดนหลอกให้หลงทาง”
“นี่แหละที่ลินอยากให้มัตช่วย มัตช่วยหาข้อมูลของหมอศรัณย์ให้ลินหน่อยได้มั้ย?”
สีหน้าและแววตาของลิลินมุ่งมั่น
หลังวางสายจากปรมัตถ์ ลิลินก็มานั่งเขียนจดหมายหาแม่ดาในห้องพัก
“หนูลีกราบขอโทษแม่ดาที่หายไปหลายวัน หนูลีไปช่วยคุณศักดิ์สิทธิ์ถ่ายงานที่ต่างจังหวัดแล้วเจอคนร้ายกำลังทำร้ายคุณวิน หนูลีจึงเข้าไปช่วย หนูลีกับคุณวินพลัดหลงเข้าไปในป่า แต่ตอนนี้หนูลีปลอดภัยแล้ว แม่ดาไม่ต้องเป็นห่วง หนูลีได้คุยกับคุณวินแล้ว ทำให้หนูลีรู้ว่าคุณวินไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับการตายและการใส่ร้ายพ่อป้อง แต่ครอบครัวของคุณวินต่างหากที่เป็นคนทำ”
ลิลินวางปากกาลงนั่งครุ่นคิดถึงเรื่องที่คุยกับทิวัตถ์
กานดาถือกล่องกระดาษเดินเข้ามา ก่อนจะเปิดออกดู เห็นจดหมายจ่าหน้า ตู้ ป.ณ...ที่อัดแน่นอยู่ข้างใน เธอกำลังจะเปิดอ่าน แต่แล้วเสียงศุภารมย์ก็ดังขึ้น
“จดหมายอะไร? หวังว่าคงไม่ใช่จดหมายรักที่คุณกานดาแอบเขียนหาใครใช่มั้ย?”
กานดาตกใจรีบพับจดหมายลงกล่อง
“ไม่ใช่หรอกค่ะ เอ่อ คุณต่ายมาหาคุณทรงพลเหรอคะ”
“แล้วจะให้ฉันมาหาใครล่ะ?”
พูดจบศุภารมย์ก็เดินเข้าไป กานดามองตามก่อนจะเก็บจดหมายลงในกล่อง โดยไม่ทันได้เปิดอ่าน
ศุภารมย์เข้ามาในห้องทำงานของทรงพล ขณะที่อีกฝ่ายสั่งงานลูกน้องเสร็จพอดี
“ทำไมต้องลงมาดูรายละเอียดเกี่ยวกับโครงการเองล่ะคะ?”
“ตอนนี้วินก็เข้าโรงพยาบาล วันเองก็ยุ่งๆ เตรียมงานแต่ง ไม่เป็นไรหรอก เรื่องแค่นี้เองผมจัดการได้
แล้วคุณมีอะไรหรือเปล่า? หรือว่าจับคนร้ายได้แล้ว”
ศุภารมย์พยักหน้ารับ “ค่ะ รองฯศัลย์ได้ภาพจากกล้องวงจรปิดที่รีสอร์ทมาแล้ว”
“มันเป็นใคร?” ทรงพลถามอย่างร้อนใจ
“ใจเย็นก่อนเถอะค่ะ เรื่องนี้ปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการของกฎหมายดีกว่า”
ศุภารมย์ยิ้มอย่างมีเลศนัย
ทิวัตถ์เดินงุ่นง่านอยู่ภายในห้อง หงุดหงิดที่ลิลินไม่เข้ามาเยี่ยม พอตัดสินใจจะเดินออกจากห้องพยาบาลเข็นรถอาหารเข้ามาพอดี
“เอ่อ ถ้าผมสั่งอาหารให้ทำตามออร์เดอร์ได้มั้ยครับ?”
“ได้ค่ะ”
ทิวัตถ์ยิ้มดีใจ
“ถ้าอย่างนั้นผมขออาหารที่รสจัดๆ หน่อย ช่วยเอาไปส่งที่ห้อง 1402 เอ่อ มีเมนูให้เลือกมั้ยครับ?”
พยาบาลแปลกใจ “ห้อง 1402 เหรอคะ?”
“ใช่ครับ เธอชอบรสจัด แต่อย่าบอกนะครับว่าผมเป็นคนสั่ง”
“คงบอกไม่ได้หรอกค่ะ เพราะคนไข้เพิ่งออกไปเมื่อกี๊นี้เอง”
ทิวัตถ์ตกใจ
“ออกไปแล้ว?”
วิทยาเดินมากับลิลินตามทางเดินในโรงพยาบาล
“จริงๆ คุณวิทไม่น่าลำบากมารับลินเลยนะคะ ลินกลับเองได้”
“ไม่ได้หรอกครับ ถ้าคุณลินเป็นอะไรไปอีก ผมจะยิ่งรู้สึกผิด”
ลิลินขมวดคิ้วสงสัย
“รู้สึกผิด? ทำไมคุณวิทต้องรู้สึกผิดด้วยคะ”
“อ้าว หรือว่าคุณลินจะให้ผมดีใจดีที่คุณลินไม่สบาย ไปกันดีกว่าครับ เดินดีๆ นะครับ”
วิทยาเป็นห่วงลิลินจนดูแลไม่ยอมห่าง พอทั้งคู่เดินผ่านไป ทิวัตถ์ที่แอบมองอยู่อีกมุมหนึ่ง ก็ถึงกับนิ่งไปรู้สึกเศร้าเหมือนคนอกหัก
จากนั้นก็เดินคอตกกลับเข้ามาในห้อง แล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นอนันยชนั่งรออยู่
“ไอ้วิน ไปไหนมาวะ?”
“ก็เดินเล่นแถวนี้แหละ”
“นี่ฉันเกือบโทรไปบอกแม่แล้วว่าแกหายตัวไป”
ทิวัตถ์ขมวดคิ้ว แปลกใจ “ไม่เห็นต้องตกใจขนาดนั้นเลย”
“อ้าว ฉันก็นึกว่าไอ้คนที่ทำร้ายแกมันย้อนมาอีกน่ะซิ พูดแล้วก็ยิ่งเจ็บใจ แกไม่ต้องห่วง ถ้าฉันรู้ว่าใครทำแก รับรองว่ามันต้องเจ็บกว่าแกแน่”
ทิวัตถ์รู้สึกดีเมื่อสัมผัสถึงความเป็นห่วงที่อนันยชมีให้
“เออ วัน นายมาก็ดีแล้ว ฉันอยากจะกลับบ้านอยู่พอดี”
“นายไม่เป็นอะไรแล้วแน่นะ ก็ได้ งั้นแกเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วกัน เดี๋ยวฉันลงไปเคลียร์ค่าใช้จ่ายก่อน”
อนันยชเข้ามาตบไหล่ ทิวัตถ์สะดุ้งร้องลั่น
“โทษๆ งั้นเดี๋ยวฉันมา”
พูดจบอนันยชก็รีบเดินออกจากห้องไป ทิวัตถ์เจ็บแผลก็ยิ่งทำให้นึกถึงลิลิน
อ่านต่อหน้า 2
ลีลาวดีเพลิง ตอนที่ 8 (ต่อ)
ปรมัตถ์นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน กำลังเปิดหน้าเว็บ ค้นหาคำ “ศรัณย์ พิทักษ์ศิลป์”
“ศรัณย์ พิทักษ์ศิลป์ ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตใต้สำนึก”
ทันทีที่เขาเห็นข้อมูล ก็รู้สึกว่ากำลังจะเจอบางอย่าง จึงกดเข้าไปอ่านรายละเอียด
“ความแตกต่างระหว่างการสั่งจิตใต้สำนึกกับการสะกดจิต จิตใต้สำนึกจะมีการเก็บข้อมูลมาหลายภพหลายชาติ บางทีปัญหาที่เกิดขึ้น เราอาจจะต้องย้อนกลับไปแก้ไขที่จิตใต้สำนึก เพื่อลบล้างหรือสร้างความรู้สึกขึ้นมาใหม่ได้”
ปรมัตถ์ยิ้มอย่างมีความหวัง
วีระเดินมาตามทางคนเดียว ระหว่างนั้นเห็นเท้าของใครบางคนเดินตาม แต่พอหันไปดู กลับไม่มีใคร
เขารีบจ้ำเดิน จนเลี้ยวมุมถนน ด้วยความร้อนรน ทำให้สะดุดล้ม พอหันกลับไปด้านหลัง ก็ต้องตกใจเพราะเห็นศัลย์ยืนอยู่
“รองศัลย์ มาทำอะไรแถวนี้ครับ?”
“มีเรื่องให้ช่วยหน่อย”
วีระรีบลุกขึ้น
“ยินดีครับ คราวที่แล้วเพราะรองฯ ให้ข่าวผม ผมเลยได้คำชมจากบก. ยังไงผมต้องตอบแทนท่านอยู่แล้ว”
“ใช่ ยังไงนายก็ช่วยฉันได้อยู่แล้ว”
ศัลย์พูดพลางยิ้มร้าย
วีระถูกจับมัดกับเก้าอี้อยู่ในตึกร้าง เขาพยายามดิ้นไปดิ้นมาเพื่อให้เชือกหลุด ครู่หนึ่งศัลย์ก็เดินเข้ามาแก้ผ้าที่มัดปากออก
“รองฯ ทำอย่างนี้ทำไม?”
ศัลย์ยิ้มเหี้ยม “ไม่ต้องกลัว แค่ทำตามที่ฉันสั่งก็พอ”
“อย่าทำอะไรผมเลย ปล่อยผมไปเถอะ”
“ปล่อยหรือไม่ปล่อย นั่นมันขึ้นอยู่กับแก”
วีระหวาดกลัวจนตัวสั่น
ทางด้านปรมัตถ์ก็ตามมาหาข้อมูลของหมอศรัณย์ถึงที่คลีนิค โดยทำทีมาปรึกษาเรื่องอาการเครียด
“จริงๆ แล้วอาการเครียดเนี่ย ส่วนใหญ่มาจากสภาพจิตใจ ตอนนี้คุณมีเรื่องกังวลใจอะไรอยู่หรือเปล่าครับ?”
“มีครับ แต่มันหลายเรื่องมาก”
ศรัณย์เตรียมจะจัดยาให้กิน แต่ปรมัตถ์รีบแย้ง
“ผมเคยกินยาแล้ว แต่ไม่ได้ผล พอดีผมได้ยินว่าคุณหมอใช้วิธีรักษาแบบบำบัดจิตใต้สำนึก ผมเลยอยากลองวิธีนี้ดู”
ศรัณย์ชะงักไป ก่อนตัดสินใจรับคำ
“ได้ครับ แต่คงต้องนัดอีกที”
“ขอเร็วที่สุดนะครับ ผมไม่ชอบอาการของตัวเองเลย”
ปรมัตถ์พูดพลางเหลือบไปเห็นกล้องวีดีโอที่วางอยู่
“คุณหมอครับ นั่นมีไว้ทำไม?”
“อ๋อ นั่นเป็นกล้องวีดิโอ เอาไว้อัดเพื่อดูพัฒนาการคนไข้ และหาข้อรักษาที่ทำให้หายได้อย่างแท้จริงครับ”
“ต้องอัดทุกคนเลยเหรอครับ?”
ศรัณย์พยักหน้า “ใช่ครับ ไม่สะดวกอะไรหรือเปล่า?”
“คือผมกลัวว่าระหว่างที่รักษา ผมอาจจะเผลอพูดอะไรออกไป”
“พวกความลับน่ะเหรอครับ? ไม่ต้องห่วงครับทุกขั้นตอนของการรักษาจะเป็นความลับที่สุด”
“แล้วเคยมีคนไข้ที่ไม่ยอมให้ถ่ายหรือเปล่าครับ?” ปรมัตถ์พยายามแอบถามข้อมูล
“ไม่มีครับ เพราะนี่เป็นขั้นแรกของการรักษา นั่นคือความไว้ใจ หากคนไข้ไม่ไว้ใจหมอแล้ว จิตใต้สำนึกก็จะไม่เปิด”
ปรมัตถ์ครุ่นคิดตาม
ศักดิ์สิทธิ์ยืนชะเง้อหาวิชนีอยู่ที่ล็อบบี้ของโรงแรม พักใหญ่อีกฝ่ายก็เดินเข้ามา
“ที่ฉันช้าก็เพราะนายบอกให้ทำอาหารเช้าให้แขกไม่ใช่เหรอ? หรือยังไง หรือสมองเสื่อม หรือ...”
ศักดิ์สิทธิ์รีบตัดบท
“โอเค. ก็ได้ แต่จริงๆ แล้วเธอไม่ต้องไปเลยก็ได้นะ”
“ได้ไงล่ะ ฉันจะไปเยี่ยมลิน”
ขาดคำเสียงลิลินก็ดังแทรกเข้ามา
“ไม่ต้องไปแล้วล่ะนี”
พอทั้งคู่หันไป ก็เห็นลิลินเดินเข้ามาพร้อมกับวิทยา
“ลิน เธอออกมาได้ไง หายแล้วเหรอ?”
ลิลินยิ้มกว้าง
“ค่อยยังชั่วแล้ว อยู่โรงพยาบาลก็เบื่อ อยากกลับมาอยู่ที่นี่มากกว่า”
ศักดิ์สิทธิ์รีบถามต่อ “แล้วไอ้วินล่ะครับ?”
ขาดคำวิชนีก็กระทุ้งศอกใส่
“ลิน ไปรบกวนคุณวิททำไม? ทำไมไม่โทรบอกพวกเรา”
วิทยายิ้มรับ
“พอดีผมไปเยี่ยมลิน เห็นเธอเบื่อร้องอยากออกจากโรงพยาบาล ก็เลยพากลับมาเลยน่ะครับ”
จากนั้นวิทยาก็เดินพาลิลินไปส่งที่ห้องพัก ศักดิ์สิทธิ์กับวิชนีมองตามอย่างรู้ทันว่าวิทยามาจีบลิลินแน่ๆ ก่อนจะหันมาเห็นกัน ต่างคนต่างสะดุ้ง
“คุณลินอยู่ตัวคนเดียวแบบนี้ไม่เหงาเหรอครับ?”
วิทยาหันมาถาม ขณะเดินมาตามทางด้วยกัน
“ไม่เลยค่ะ ลินมีอะไรให้ทำเยอะ”
ลิลินหมายถึงเรื่องสืบคดี แต่พอเห็นอีกฝ่ายทำหน้างง ก็รีบแก้ตัว
“ลินหมายถึงงานร้องเพลงน่ะค่ะ แล้วลินก็ไม่ได้อยู่คนเดียวด้วย ลินอยู่กับนีค่ะ”
“อ๋อ งั้นก็ดีครับ คุณลินจะได้มีเพื่อน”
จังหวะนั้นลิลินก็นึกอะไรขึ้นได้
“คุณวิทคะ ลินสงสัยตั้งแต่อยู่ที่โรงพยาบาลแล้วล่ะค่ะ ที่คุณบอกว่าคุณจะรู้สึกผิด ถ้าลินเป็นอะไรไปอีกหมายความว่าไงคะ?”
วิทยาตั้งใจจะหมายถึงตอนที่ปล่อยให้ลิลินถูกจับตัวไปสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า แต่ก็ไม่ยอมบอกความจริง
“ไม่รู้ซิครับ ผมรู้สึกว่าการที่คุณลินหลงป่า มันเกิดจากการที่ผมดูแลคุณลินไม่ได้”
“แค่นี้เหรอคะ? มันไม่ใช่ความผิดคุณหรอกค่ะ ไม่ต้องคิดมาก”
วิทยาตัดสินใจบางอย่างอยู่ ก่อนจะพูดขึ้น
“คุณลินครับ ถ้าคุณหายดีเมื่อไหร่ ผมมีบางอย่างอยากจะบอกคุณ”
“เห็นคุณวิทบอกตั้งแต่ที่โรงพยาบาลแล้ว เรื่องอะไรเหรอคะ? สำคัญหรือเปล่า?”
“มันอาจจะไม่สำคัญกับคุณลิน แต่มันสำคัญสำหรับผมมาก ที่จริงแล้วผม...”
วิทยายังพูดไม่ทันจบ เสียงโทรศัพท์ของลิลินก็ดังขึ้นมาขัด
“ไม่เป็นไรครับ ไว้เราคุยกันวันหลัง ดูแลตัวเองด้วยนะครับ”
พูดพลางยิ้มให้ลิลินก่อนจะเดินจากไป ฝ่ายหลังมองตาม ก่อนจะกดรับสาย
“ว่าไงมัต?”
“มัตเจอกุญแจดอกสำคัญที่ลินว่าแล้ว”
ลิลินยิ้มดีใจ
“จริงเหรอมัต แล้วมัตได้อะไรมาบ้าง?”
“หมอศรัณย์เป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านจิตใต้สำนึก เท่าที่มัตอ่านดู หมอศรัณย์เขียนบทความที่สามารถสะกดจิตเพื่อเปลี่ยนความทรงจำของคนได้”
ลิลินใจเต้นเหมือนได้เจอขุมทรัพย์
“หรือว่าหมอศรัณย์จะเปลี่ยนความทรงจำของคุณวิน?”
“ก็อาจจะเป็นไปได้”
“ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง เราก็ต้องการหลักฐาน แต่เรื่องอย่างนี้เราจะไปหาหลักฐานจากที่ไหน?”
ลิลินหน้าเครียดอย่างใช้ความคิดหนัก ปรมัตถ์นึกบางอย่างขึ้นมาได้
“เดี๋ยวนะลิน ดูเหมือนหมอศรัณย์จะอัดวีดิโอเพื่อเก็บข้อมูลของคนไข้ไว้ทุกครั้ง หมอศรัณย์จะต้องมีวีดีโอรักษาคุณวินแน่ๆ”
แววตาของลิลินเป็นประกาย ดูมีความหวังขึ้นมาทันที
วีระถูกซ้อมจนน่วมนอนกองอยู่กับพื้น
“ผมยอมแล้ว ผมยอมแล้ว”
“ง่ายๆ แค่นี้ ไม่น่าจะต้องให้ใช้ความรุนแรงกันเลย”
ศัลย์ยิ้มเหี้ยม ก่อนจะกดมือถือส่งข้อความไปให้ใครบางคน
ศุภารมย์หยิบมือถือขึ้นมาดู ก่อนจะอุทานอย่างตกใจ
“รองฯศัลย์”
ทรงพลหันขวับมาทันที “ได้เรื่องแล้วใช่มั้ย?”
พูดพลางฟาดหนังสือพิมพ์ลงที่โต๊ะด้วยความโกรธ
เสี่ยหาญกำลังคุยงานกับลูกค้าอยู่ จู่ๆ พนักงานก็เปิดประตูพรวดเข้ามา
“เกิดเรื่องแล้วครับเสี่ย”
“เรื่องอะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับตอนนี้ฉันกำลังคุยกับคุณชาญอยู่”
“แล้วเรื่องนี้สำคัญพอไหม?”
เสี่ยหาญหันไป ก็เห็นศุภารมย์กับทรงพลเดินเข้ามาพร้อมกับศัลย์ จึงรีบหันมาพูดตัดบทให้ลูกค้าออกไป ก่อนจะหันมาถาม
“มีเรื่องอะไร? ถึงได้ทำใหญ่โตอย่างนี้”
ทรงพลตะคอกถาม “กฤษดาอยู่ไหน?”
เสี่ยหาญย้อนถาม “ทำไม มีอะไร?”
ศัลย์รีบตอบแทน
“พวกเรามาพาตัวนายกฤษดาลูกชายคุณ ไปสอบปากคำหน่อย”
“สอบปากคำ? เรื่องอะไร ทำไมต้องสอบปากคำ”
“เรามีหลักฐานว่าลูกชายคุณ กระทำผิดในข้อหาพยายามฆ่า”
เสี่ยหาญงงว่าเกิดอะไรขึ้น
“พยายามฆ่า? นี่มันเรื่องอะไร ใครช่วยเล่าให้ฟังหน่อยได้มั้ย?”
“มีคนลอบทำร้ายลูกชายฉันที่รีสอร์ท แล้ววินก็เกือบตายเพราะหลงอยู่ในป่า”
เสี่ยหาญขมวดคิ้ว ข้องใจ
“แล้วมันไปเกี่ยวอะไรกับเจ้ากฤษ?”
“จากกล้องวงจรปิดของรีสอร์ท เราเห็นว่าเป็นรถยนต์ของกฤษดา”
“เห็นรถที่รีสอร์ท แล้วยังไง? ลูกผมไปเที่ยวพักผ่อนบ้างไม่ได้เลยเหรอ”
ศุภารมย์กับทรงพลเหลืออดที่เสี่ยหาญแก้ตัวไม่หยุด ทรงพลจึงหยิบมือถือขึ้นมาเปิดคลิปเสียงของวีระให้ทุกคนฟัง
“ใช่ กฤษดา เป็นคนสั่งการให้ไปเก็บคุณวิน”
เสี่ยหาญถึงกับอึ้งไป ทรงพลเก็บมือถือและยื่นคำขาด
“เอาตัวกฤษดามาให้เรา ถ้าไม่อย่างนั้นเมืองนี้ทั้งเมืองคงต้องลุกเป็นไฟแน่”
ทิวัตถ์กับอนันยชเดินเข้ามาน้านพร้อมกัน ก่อนที่ฝ่ายแรกจะหันไปถาม
“แล้วงานแต่งนายกับคุณณิตเป็นไงมั่ง?”
“เลื่อนออกไปก่อน”
ทิวัตถ์หน้าสลด “เพราะฉันใช่มั้ย?”
“เฮ้ย ทำหน้าเศร้าทำไม? ก็แค่เลื่อนออกไป ไม่ได้ยกเลิกซะหน่อย แล้วอีกอย่าง ถ้านายยังไม่หาย
ยังจับตัวไอ้คนที่ทำนายไม่ได้ แต่งไปฉันก็ไม่มีความสุข”
ทิวัตถ์อมยิ้ม พร้อมๆ กับที่ทรงพลกับศุภารมย์ก็หน้าเครียดกลับมาพอดี
“วิน กลับมาได้ยังไง หมอให้กลับบ้านได้แล้วเหรอลูก?”
ทิวัตถ์ยิ้มให้พ่อ
“ครับ หมอบอกว่าแผลไม่ติดเชื้อแล้วก็สบายใจได้ แล้วผมก็อยากทำงานแล้วด้วย”
ศุภารมย์รีบปราม
“วินเลิกห่วงเรื่องงานแล้วก็ห่วงตัวเองบ้างเถอะลูก งานน่ะมันไม่หนีไปไหนหรอก”
ขาดคำ เสียงมือถือของทรงพลก็ดังขึ้นมา เขารีบกดรับสาย
“ดี เตรียมให้พร้อม ถ้าจำเป็นก็ต้องเปิดศึกกัน”
พูดจบก็กดวางสาย ศุภารมย์หน้าเครียด ทิวัตถ์ถามขึ้น
“พ่อกับแม่ต่ายไปไหนกันมาครับ? ทำไมดูหน้าเครียดกันจัง”
กฤษดาเปิดประตูเข้ามาในห้องทำงานของเสี่ยหาญอย่างอารมณ์ดี
“ว่าไงพ่อ? เรียกผมมาด่วนอย่างนี้ คงมีอะไรดีๆ แน่ๆ”
เสี่ยหาญหน้าเครียด พลางเดินเข้ามาหากฤษดาก่อนจะตบหน้าอย่างแรง
“แกรู้มั้ยว่าเมื่อกี๊เกิดอะไรขึ้น ไอ้ทรงพลมันเอาตำรวจมาลากคอแก ข้อหาพยายามฆ่า”
กฤษดาชะงักไป แต่ไม่วายแก้ตัว
“พยายามฆ่าอะไร? พวกมันชักจะมากไปแล้ว”
เสี่ยหาญเข้าไปกระชากคอลูกชายด้วยความโมโห
“นี่แกยังจะปากแข็งอีกเหรอ บอกมาว่าแกไปไล่ยิงไอ้ทิวัตถ์ใช่มั้ย? ตอบมาเดี๋ยวนี้”
กฤษดาอึกอัก “ใช่ แล้วไงพ่อ มันทำผม ผมก็เอาคืน แล้วมันผิดตรงไหน?”
ขาดคำเสี่ยหาญก็ตบหน้ากฤษดาซ้ำ
“ก็ตรงที่มันไม่ตายไง ฉันเคยบอกแกแล้วใช่มั้ยว่าตีงูต้องตีให้ตาย ไม่อย่างนั้นมันจะกลับมาแว้งกัดเอาได้”
“แล้วพ่อบอกพวกมันว่าไง?”
เสี่ยหาญนิ่งไป พร้อมกับใช้ความคิดอย่างหนัก
อนันยชเดินออกมาหน้าบ้าน ก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมากดโทร. หาวรรณิต อีกฝ่ายเห็นชื่อที่หน้าจอ ก็จำใจต้องรับสาย
“ค่ะคุณวัน”
“แค่ได้ยินเสียงคุณณิต ผมก็ชื่นใจแล้วครับ ผมจะบอกว่าเดี๋ยวผมไปรับ ณิตอาบน้ำแต่งตัวรอไว้ได้เลยนะ”
วรรณิตแปลกใจ “มารับทำไมคะ?”
“งานแต่งมันต้องเตรียมอะไรหลายอย่างนะณิต แล้วผมก็อยากให้ณิตเลือกสิ่งที่ณิตชอบด้วยตัวเอง”
วรรณิตอึกอักเพราะไม่อยากไป
“ทำไมล่ะ? หรือตอนนี้ณิตไม่ได้อยู่ที่บ้าน”
“เปล่าค่ะ”
พูดจบวรรณิตก็ต้องตกใจสุดขีดเมื่อหันไปเห็นยงยุทธกำลังเดินเข้ามา
“พี่ยุทธ”
อนันยชได้ยินก็แปลกใจ
“อะไรณิต ฮัลโหลณิต อย่าเพิ่งวาง”
แต่อีกฝ่ายกลับวางสายไปก่อน เขาจะต้องวางสายตาม พลางทำสีหน้าสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับวรรณิต“ พี่ยุทธ?”
ยงยุทธยืนมองวรรณิตที่กลัวจนตัวสั่นอย่างสงสัย
“เธอเรียกชื่อฉันถูกได้ไง?”
วรรณิตรีบปฏิเสธ “เปล่านะ ฉันไม่ได้เรียก”
“ไม่ได้เรียกอะไร ก็ฉันได้ยินอยู่”
พูดพลางค่อยๆ เดินเข้าไปหาวรรณิตพยายามถอยออกห่าง
“บอกมาว่ารู้จักฉันได้ไง? หรือว่าคนสวยอย่างเธอ จะชอบฉัน”
ยงยุทธเดินเข้าไปใกล้อีก กำลังยกมือจะไปจับคางวรรณิต แต่แล้วเสียงวาสนาก็ดังขึ้นก่อน
“ หยุดนะ”
จากนั้นก็เดินเข้ามาดึงตัววรรณิตออกไป “เข้าบ้าน”
วรรณิตรีบเดินเข้าบ้านไปอย่างรวดเร็ว วาสนาหันมาทำตาขวางใส่ยงยุทธที่มองตามไม่เลิก
“แกมาทำอะไรที่นี่?”
ยงยุทธไม่ตอบ แต่กลับย้อนถาม
“ผู้หญิงคนเมื่อกี้เป็นใคร?”
“แกจะรู้ไปทำไม ฉันบอกแล้วใช่มั้ยว่าอย่ามาให้เห็นหน้าอีก ต้องการอะไร?”
ยงยุทธหันมามองวาสนาอย่างไม่มีทีท่าจะเกรงกลัว
“คิดว่าเงินแค่นั้น จะทำให้ฉันปล่อยนังปรางไปหรือไง บอกมาว่ามันอยู่ไหน?”
“เอ๊ะ ฉันบอกไม่รู้ก็คือไม่รู้สิ แกห้ามมาที่นี่อีก ไม่อย่างนั้นฉันจะไปบอกตำรวจให้มาจับแกกลับเข้าไปอยู่ในคุกเหมือนเดิม”
พูดจบวาสนาก็รีบหันหลังหนี เดินหายเข้าบ้านไป ยงยุทธมองตามด้วยความสงสัย
อ่านต่อหน้า 3
ลีลาวดีเพลิง ตอนที่ 8 (ต่อ)
ทิวัตถ์รู้จากทรงพลกับศุภารมย์ว่าทั้งหมดเป็นแผนการของกฤษดาก็ถึงกับตกใจ
“พ่อไม่คิดว่ากฤษดากับเสี่ยหาญมันจะกล้าเหยียบหน้ากันถึงขนาดนี้”
“แต่ผมว่าเรื่องนี้ไม่น่าจะเกี่ยวกับเสี่ยหาญนะครับ เพราะถ้าเสี่ยหาญรู้เรื่องด้วยจริงๆ ผมคงไม่รอดออกจากป่าแน่”
ศุภารมย์เห็นด้วย
“ใช่ค่ะ เสี่ยหาญคงไม่ทำอะไรโง่ๆ แบบนี้”
“ใครจะไปรู้ พวกมันอาจจะเล่นไพ่สองหน้าก็ได้”
ศุภารมย์หันมาถามทิวัตถ์ต่อ
“แล้ววินไปทำอะไรให้กฤษดาโกรธแค้นขนาดนั้น?”
ทิวัตถ์นิ่งคิด ไม่กล้าบอกว่าเรื่องที่ไปช่วยลิลิน จนทำให้กฤษดาขายหน้า
“คงจะแค้นที่มีเรื่องกันคราวก่อนมั้งครับ”
“ยังไงมันก็ไม่ควรมาทำกับวินแบบนี้ สงสัยว่าพ่อคงต้องทำอะไรซักอย่างแล้ว”
ทรงพลพูดอย่างโกรธแค้น จน ศุภารมย์เข้ามาจับแขนให้ใจเย็นลง
“ทำอย่างนี้เท่ากับว่าไอ้เสี่ยหาญมันไม่เห็นหัวผมเลย คุณก็รู้ว่าผมไม่ชอบให้ใครทำแบบนี้กับผม”
ทรงพลประกาศกร้าว ทิวัตถ์ถึงกับอึ้ง เพราะไม่เคยเห็นท่าทางของพ่อเกรี้ยวกราดแบบนี้มาก่อน
วิชนีถือถาดอาหารเดินมาเสิร์ฟให้ลิลินที่นั่งรออยู่ที่โต๊ะ ฝ่ายหลังก้มหน้าก้มตากินอยางเอร็ดอร่อย
สักพักฝ่ายแรกก็ถามขึ้น
“ลินถามไรหน่อยสิ แล้วลินต้องตอบตามจริงด้วยนะ ลินกับคุณวิท เป็นแฟนกันเหรอ?”
ลิลินชะงักด้วยความแปลกใจ
“ทำไมนีถามอย่างนี้ล่ะ”
“ก็ฉันเห็นสายตาเวลาที่คุณวิทมองเธอ มันเหมือนคนที่แอบหลงรักกันยังไงอย่างนั้นเลย”
ลิลินนิ่งไป พร้อมพยายาทสำรวจความรู้สึกตัวเอง ก่อนจะรู้คำตอบ
“ไม่ใช่หรอก ลินไม่ได้คิดกับคุณวิทแบบนั้นเลย”
“งั้นก็คิดกับคุณวินสิ?”
ลิลินที่กำลังจะดื่มน้ำถึงกับสำลัก
“บ้าเหรอนี”
“ก็เหมือนในละครไง พอพระเอกนางเอกหลงป่าไปด้วยกันก็รักกัน เอ๊ะ หรือว่าเธอกับคุณวินมีอะไรกันแล้ว?”
ลิลินตกใจรีบเอาขนมปังยัดปากวิชนีแก้เก้อ ครู่หนึ่งพนักงานก็เข้ามาตามวิชนี
“ไปก็ได้ เดี๋ยวมาถามใหม่นะจ๊ะ”
วิชนีรีบวิ่งออกไป ทิ้งให้ลิลินนั่งจมอยู่กับการทบทวนความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อทิวัตถ์
วาสนากำลังนั่งคุยโทรศัพท์กับเพื่อน โอ้อวดเรื่องที่วรรณิตจะได้แต่งงานกับอนันยช จู่ๆ ฝ่ายที่ถูกพูดถึงก็โผล่เข้ามา ฝ่ายแรกรีบกดวางสายทันที
“มาไม่บอกไม่กล่าวกันเลยนะพ่อวัน”
อนันยชกวาดตามองไปรอบบ้าน “ณิตล่ะครับ?”
วาสนาอึกอัก “เอ่อ ไปซื้อของให้ยายน่ะ แถวนี้แหละ”
“แน่ใจเหรอครับ?”
“เอ้า ก็ต้องแน่ใจซิ พ่อวันนี่ก็ถามแปลก”
อนันยชจ้องหน้าอย่างคาดคั้น
“ไม่แปลกหรอกครับ เพราะตอนที่ผมคุยโทรศัพท์กับณิต เหมือนได้ยินณิตเรียกชื่อใครว่ายุทธๆ อะไร
สักอย่าง ยุทธคือใครครับ? ”
วาสนาชะงักไป แต่พยายามทำตัวให้ปรกติ
“อ๋อ ก็คนขับรถรับจ้างแถวๆ นี้แหละ สงสัยแม่ณิตจะไหว้วานอะไรล่ะมั้ง เอาน่านั่งรอนี่แหละพ่อวัน
ใจเย็นๆ เดี๋ยวแม่ณิตก็มาแล้ว”
อนันยชท่าทางร้อนใจ ขณะที่วาสนาหวั่นใจ เพราะไม่รู้จะโกหกไปได้อีกแค่ไหน
วรรณิตเปิดประตูเข้ามาในห้องคนป่วย ที่โรงพยาบาลก่อนจะรีบปิดประตูตามหลัง สาที่นอนอยู่บนเตียงคนไข้ด้วยท่าทางเหนื่อยอ่อน มองด้วยความแปลกใจ เพราะจำลูกสาวที่ไปทำศัลยกรรมมาทั้งหน้าไม่ได้
“คุณเป็นใคร?”
วรรณิตยกมือไหว้ก่อนจะเดินมาที่ข้างเตียง
“สวัสดีค่ะคุณน้า หนูเป็นเพื่อนของปรางค่ะ”
สาตาเป็นประกายที่ได้ยินชื่อลูก “ปรางเหรอ?”
“ค่ะ ปรางให้หนูแวะมาดูคุณน้าให้หน่อย แล้วคุณน้าเป็นยังไงบ้างคะ?”
สายิ้มดีใจ พลางส่ายหัวเพื่อบอกว่าไม่เป็นไร
“แล้วปรางล่ะเป็นยังไง? สบายดีไหม?”
วรรณิตมองแม่ ที่พยายามถามหาลูกอย่างอ่อนแรงเพราะร่างกายไม่ค่อยสมบูรณ์ ก็สงสารแต่ไม่สามารถพูดความจริงได้ ได้แต่พยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้
“ปรางสบายดีค่ะ เธอฝากบอกว่าไม่ต้องเป็นห่วง เธอกำลังหาเงินมารักษาคุณแม่”
สาน้ำตาซึม
“บอกปรางว่าอย่าหักโหมมาก เงินซื้อมะเร็งไม่ได้หรอก มันไม่มีประโยชน์”
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ปรางคงไม่มีทางเลือกอื่นแล้วจริงๆ ค่ะ”
สาพยายามจะพูดต่อ แต่ก็ปวดไปทั้งตัว จนพูดต่อไม่ได้ วรรณิตเห็นก็ทนไม่ได้
“คุณน้าพักผ่อนเถอะค่ะ เดี๋ยวหนูอยู่ดูแลคุณน้าเอง”
สาพยักหน้าแล้วหลับไปอย่างมีความสุขที่ได้รู้ข่าวคราวของลูกสาว วรรณิตเห็นแม่หลับไปก็ถึงกับทรุดตัวลงอย่างอ่อนแรง ก่อนจะเดินไปกราบที่เท้า พร้อมกับน้ำตาไหลที่ออกมาอย่างหยุดไม่อยู่
“ปรางขอโทษ ปรางรักแม่นะ”
ยงยุทธยืนอยู่หน้าโรงพยาบาลฝั่งตรงข้ามคอยมองผู้คนที่เข้าออกโรงพยาบาล
“คิดว่าจะหนีฉันพ้นหรือไงนังปราง ยังไงแกก็ต้องกลับมาหาแม่แกอยู่ดี”
พักหนึ่งวรรณิตเดินออกมาจากโรงพยาบาล ยงยุทธเห็นก็จำได้ทันที
“นั่นคนที่อยู่กับยายน้อยนี่หว่า แล้วมาทำอะไรที่นี่วะ?”
วรรณิตเดินมาตามทาง พร้อมๆ กับคุยมือถือไปด้วย
“จ้ะยาย ใกล้ถึงแล้วค่ะ ค่ะๆ”
จากนั้นก็กดวางสายก่อนจะรีบเดินให้เร็วที่สุด ขณะเดียวกันยงยุทธก็แอบเดินตามมาอย่างเงียบๆ
พลางพยายามจับสังเกตการเดินและท่าทาง ก่อนจะตะโกนออกไป
“ปราง”
วรรณิตลืมตัวหันไป แล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นยงยุทธยืนอยู่
“นึกแล้วว่าแกคือนังปราง”
“ไม่ ไม่ใช่ ฉันไม่ใช่ปราง”
ยงยุทธตวาดเสียงดัง “โกหก”
วรรณิตกำลังจะวิ่งหนี แต่กลับถูกอีกฝ่ายจับมือขึ้นมาก่อนจะพลิกข้อมือขึ้นดูรอยแผลเป็น
“ทีนี้ยังจะเถียงอีกมั้ยว่าไม่ใช่ ก็นี่มันรอยแผลเป็นที่แกกรีดข้อมือเพื่อจะฆ่าตัวตายหนีฉันยังไงล่ะ”
“ไม่นะ ไม่จริง ฉันไม่ใช่ปราง ปล่อย”
วรรณิตพยายามดิ้นรน ก่อนจะอาศัยจังหวะสะบัดมือหลุด แล้วรีบวิ่งหนีไปทันที
“แกจะหนีฉันไปไหนอีก นังณิต”
ยงยุทธมองอย่างเคียดแค้น ก่อนจะรีบวิ่งตามไป จนมาถึงตัววรรณิต พลางรีบคว้าแขนไว้ แต่
ทันใดนั้นก็มีมือหนึ่งยื่นเข้ามาจับไหล่ยงยุทธก่อนจะกระชากมาต่อย
“อย่ายุ่งกับเธอ”
อนันยชที่เดินมาพร้อมกับวาสนาตะคอกเสียงดัง ก่อนจะดึงวรรณิตมาอยู่ข้างหลัง
“แกนั่นแหละอย่ายุ่ง”
ขาดคำก็ปราดเข้ามาจะมาต่อย แต่กลับโดนอนันยชซัดอีกหมัดจนหมอบไป
“ณิตเจ็บตรงไหนหรือเปล่า?”
จังหวะที่อนันยชเผลอ ยงยุทธลุกขึ้นมากระโจนเข้าใส่ แต่วาสนาเห็นซะก่อนจึงรีบวิ่งเข้ามาขวาง
“ไปเลยนะ หรือจะให้ฉันเรียกตำรวจ เอาซิ คดีที่แกหนีอยู่จะทำให้แกติดคุกกี่ปี”
ยงยุทธได้ยินก็ชะงักไปก่อนจะชี้หน้าอนันยช
“ไม่จบแค่นี้แน่”
ขาดคำก็เดินผละไป พร้อมกับความแค้น
“ยงยุทธ มันเป็นใคร?” อนันยชหันมาคาดคั้นถาม วาสนากับวรรณิตมองหน้ากัน
“ไหนยายบอกว่ามันคือคนขับรถรับจ้างแถวบ้านไง”
วรรณิตอึกอัก “เอ่อ...ที่จริงฉันก็ไม่อยากบอกหรอก แต่ในเมื่อถึงขนาดนี้แล้ว”
วาสนาตกใจ กลัวเสียเรื่อง รีบหาเรื่องโกหก
“ไอ้ยงยุทธมันมาตามก้อร่อก้อติกยัยณิตน่ะ แหม ก็แม่ณิตสวยซะขนาดนี้ ไม่แปลกหรอกที่จะมีคนมาชอบ ใช่มั้ยแม่ณิต?”
วรรณิตจำต้องไหลตามน้ำ “ค่ะ”
“แต่ผมไม่ต้องการให้ใครมาเกาะแกะณิต ณิตไม่ต้องกลัวนะครับ ต่อไปนี้ผมจะดูแลคุณเอง”
วรรณิตได้ยินอย่างนั้น ก็รู้สึกดีกับอนันยชขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ทิวัตถ์ที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จ มองไปที่มือถือ ก่อนจะตัดสินใจลุกไปหยิบมาโทรหาศักดิ์สิทธิ์เพื่อถามข่าว
ลิลิน
“ไอ้วิน ได้ข่าวว่าออกจากโรงพยาบาลแล้ว ไม่คิดจะบอกเพื่อนเลยหรือไงวะ”
“ก็โทร. มาบอกอยู่นี่ไง”
“ขอบใจมากเลยนะ ออกตอนเช้า กว่าจะบอกได้ก็มืดพอดี”
ทิวัตถ์พยายามนึกคำพูดว่าจะถามถึงลิลินยังไง
“ฉันนึกว่าแกยุ่งจริงๆ นี่หว่า อ๋อ หรือเป็นเพราะนักร้องแกไม่สบาย แกก็เลยปิดผับใช่ไหม?”
“คุณลินดีขึ้นเยอะแล้วเว้ย เห็นว่าอีกไม่เกินสองวันก็คงขึ้นเวทีได้ ทำไมเป็นห่วงคุณลินหรือไง?”
ยังไม่ทันที่ทิวัตถ์จะพูดอะไรต่อ เม็ดนุ่นก็เคาะประตู ก่อนจะเดินเข้ามาบอกว่าศุภารมย์ให้มาตาม
ทิวัตถ์ทำหน้าเสียดายก่อนจะจำใจต้องกดวางโทรศัพท์
ทิวัตถ์เดินลงมาที่ห้องโถง แล้วก็ต้องแปลกใจ ที่เห็นทรงพล ศุภารมย์ กฤษดาและเสี่ยหาญนั่งอยู่อย่างพร้อมหน้า โดยมีลูกน้องเสี่ยหาญยืนคุ้มกันอยู่ข้างหลัง
“นี่มันอะไรกันครับ?”
เสี่ยหาญรีบบอก
“เอ้า เจ้าตัวลงมาแล้ว ฉันพาเจ้ากฤษมาขอโทษเรื่องที่มันก่อไว้น่ะ”
ทิวัตถ์มองอย่างแปลกใจ ก่อนจะเดินเข้ามานั่งข้างๆ ทรงพล
“ในเมืองนี้เราต่างก็รู้อยู่ว่าใครเป็นใคร ต่างคนต่างไม่ล้ำเส้นกัน แต่ในเมื่อมีใครล้ำเส้นเข้ามา คนนั้นก็ต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองทำ”
กฤษดาฟังที่ทรงพลพูด ก็เริ่มฉุน
“แล้วที่มานี่ไม่รับผิดชอบหรือไง จะเอาไงก็ว่ามา”
เสี่ยหาญหันไปดุลูกชาย
“เงียบไปเลย ถ้าไม่ทำให้ดีขึ้นก็ไม่ต้องพูด” ก่อนจะหันไปบกทิวัตถ์ “อยากทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น”
พลางหยิบปืนออกมาวางไว้บนโต๊ะต่อหน้าทุกคน
“แต่อย่าให้ถึงตายก็แล้วกัน”
ทิวัตถ์หยิบปืนขึ้นมา กฤษดาหน้าเสีย แต่แล้วฝ่ายแรกก็กลับวางปืนลงที่เดิม
“ผมอยากให้เรื่องจบเพียงแค่นี้ ถ้าผมทำ ต่อไปก็คงไม่จบแค่นี้ แต่ผมหวังว่าจะไม่เกิดเรื่องอย่างนี้อีก”
ทรงพลกับศุภารมย์ถึงกับอึ้ง ส่วนกฤษดาหัวเราะชอบใจ
“ดี จบก็จบ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ก็กลับ”
พูดจบก็ลุกขึ้นยืนกำลังจะหันหลังเดินออก แต่เสี่ยหาญลุกขึ้น หยิบปืนมาแล้วยิงไปที่เท้าของลูกชาย กฤษดาล้มลงที่พื้นทันที
ทิวัตถ์ ทรงพล ศุภารมย์ต่างก็ตกใจ
“คนบ้านบ่ออิฐ ในเมื่อทำอะไรเอาไว้ก็ต้องกล้ารับ หวังว่าเลือดของลูกชายผม คงจะพอชดใช้ความผิดของมันได้”
ขาดคำก็หันหลังกลับ พร้อมกับส่งสัญญาณให้ลูกน้อง
“พาออกไป”
ลูกน้องพากันมาอุ้มกฤษดาแล้วเดินตามออกไป ทรงพลกับศุภารมย์หน้าเครียด แต่ก็ต้องยอมจบเรื่อง ตามที่ทิวัตถ์พูด
เสี่ยหาญเดินมาตามทาง ขณะที่ลูกน้องพยุงกฤษดาเดินตามมา
“เจ็บแค่นี้ไม่ตายหรอก แกเลือกเอาว่าระหว่างกระสุนยิงเข้าเท้า กับยิงเข้าสมอง แกจะเลือกอะไร?
ถ้าฉันไม่ทำอย่างนี้ ไอ้ทรงพลมันไม่เลิกราง่ายๆ แน่ พามันไปโรงพยาบาล”
ลูกน้องรับคำ ก่อนที่เสี่ยหาญจะเดินออกไป กฤษดาหันไปมองบ้านทิวัตถ์อย่างอาฆาตแค้น
เช้ารุ่งขึ้น ขณะที่นั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร ทรงพลหันไปเห็นศุภารมย์นั่งนิ่งผิดปรกติ ก็ถามอย่างเป็นห่วง
“คิดอะไรอยู่เหรอคุณ? ทำไมไม่ทานล่ะ”
“เรื่องเมื่อคืนน่ะค่ะ”
“นักเลงเจ้าเล่ห์อย่างเสี่ยหาญ คงไม่ยิงลูกตัวเองเล่นถ้าไม่ได้ประโยชน์อะไร”
ศุภารมย์ถอนหายใจ “อย่างน้อย ก็ทำให้รู้ว่าเสี่ยหาญไม่กล้าเปิดศึกกับเรา”
ครู่หนึ่งทิวัตถ์ก็เดินลงบันไดมา เตรียมจะออกจากบ้าน ศุภารมย์รีบเรียกไว้
“วิน จะออกไปไหนน่ะ”
ทิวัตถ์เลี่ยงไม่ได้ จำต้องเดินเข้าไปหา
“ไปทำงานครับ”
ทรงพลรีบบอก “ตอนนี้ที่บริษัทไม่ได้มีงานด่วนอะไร เราไม่ต้องไปก็ได้”
ทิวัตถ์อ้ำอึ้งเพราะจริงๆ อยากไปหาลิลิน จึงหาข้ออ้าง
“พอดีไอ้สิทธิ์มันอยากคุยด้วยน่ะครับ ตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาลมาก็ยังไม่ได้ไปหามันเลย”
“อะไรกัน มีแต่คนปรกติจะมาหาคนป่วย ไม่ใช่ให้คนป่วยไปหาแบบนี้”
ศุภารมย์เดาออกว่าทิวัตถ์อยากไปหาลิลิน จึงจับแขนส่งสัญญาณให้ทรงพลรู้ว่าอย่าขัด
“ไหนๆ ก็ไปรอยัลเพิร์ลแล้ว วินคงจะไปเยี่ยมคุณลินด้วยใช่มั้ยจ๊ะ ถ้างั้นแม่ฝากเยี่ยมด้วยแล้วกัน
บอกเธอด้วยว่าถ้าหายเมื่อไหร่ให้กลับมาสอนแม่เหมือนเดิม”
ทิวัตถ์ชะงักไปที่ศุภารมย์รู้ทัน แต่พยายามเก็บอาการ
“ดูไปดูมา แกกับคุณลินดูเหมือนเป็นคู่รักกันจริงๆ เลยว่ะ”
ศักดิ์สิทธิ์หันมาบอกทิวัตถ์ ขณะนั่งดูรูปถ่ายโปรโมทโรงแรมด้วยกัน
ทิวัตถ์นั่งดูรูปแล้วก็ยิ้มชอบใจ ยิ่งได้ยินศักดิ์สิทธิ์พูดอย่างนั้นก็เขินขึ้นมา
“อ้าวหน้าแดงซะงั้น ยอมรับแล้วใช่มั้ยว่าคุณลินสวยจริงๆ”
“สวยอะไร ฉันว่าฉากหลังยังสวยกว่าเลย”
จากนั้นก็รีบเปลี่ยนเรื่อง
“แล้วแกจะทำยังไงกับรูปพวกนี้”
“ตอนนี้ฉันกำลังดีลกับพวกร้านเวดดิ้งต่างๆ อยู่ น่าจะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ง่ายดี”
ทิวัตถ์ค่อยๆถามถึงลิลินแบบเนียนๆ
“แล้วถ้าแกจะทำโปรโมทต่อ นักร้องแกจะว่างเหรอวะ”
พอศักดิ์สิทธิ์บอกว่าไม่มีปัญหา ทิวัตถ์ก็แย้งขึ้นมา
“ถ้าเขาไม่มีปัญหาแล้วทำไมไม่มาอยู่คุยงานกับแกล่ะ?”
“เอ้า ไอ้นี่ ถามแปลก เขาก็พักผ่อนของเขาไปสิวะ ฉันยังไม่มีอะไรให้ทำซะหน่อย ถามหากันแต่เช้า
แบบนี้อย่าบอกนะว่าแกกับคุณลิน ดีกันแล้ว”
ทิวัตถ์รีบปฏิเสธ “ดีอะไรล่ะ ฉันก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรสักหน่อย”
“เป็นงั้นก็ดี แกจะได้ไม่ไปไล่กัดใครๆ แบบไม่เป็นเรื่องอีก ต่อไปนี้แกก็อย่าไปยุ่งกับเขามากล่ะ เพราะดู
เหมือนว่าคุณลินเขาจะมีคนที่ชอบจริงๆ แล้วว่ะ”
ศักดิ์สิทธิ์หมายถึงวิทยา ทิวัตถ์ได้ยินก็อึ้งไป
ทางด้านวิชนีก็พยายามถามคาดคั้นลิลินว่าเธอชอบใคร ระหว่างทิวัตถ์กับวิทยา ลิลินไม่ตอบ แต่กลับย้อนถาม
“แล้วคุณศักดิ์สิทธิ์ล่ะ?”
วิชนีถึงกับหน้างอ
“คนกำลังอารมณ์ดี จะพูดถึงผู้ชายอย่างนั้นให้เสียรมณ์ไมเนี่ย ? เร็วซิ บอกมาว่าเธอชอบแบบไหน?”
ลิลินหน้าระเรื่อ “ไม่เอา ฉันไม่ได้ชอบอะไรทั้งนั้น”
“ไม่ได้ชอบ แล้วทำไมต้องเขินด้วย”
ระหว่างนั้นทิวัตถ์เดินออกมาพอดี ก่อนจะชะงักไปเมื่อเห็นลิลินกับวิชนี
“คุณวิน”
วิชนีเอ่ยชื่อออกมาเบาๆ แต่ลิลินยังไม่รู้ตัว
“คุณวินอะไร? เขาน่ะเกลียดฉันอย่างกับอะไรดี”
วิชนีพยายามยักคิ้วหลิ่วตา จนลิลินรู้ ก่อนจะหันไปก็เห็นทิวัตถ์ยืนอยู่
ลิลินกับทิวัตถ์ท่าทางเขินๆ วิชนีแอบสังเกตท่าทางของทั้งคู่
“อุ้ย ฉันลืมไปว่าต้องไปเช็คสต๊อกของก่อน”
ลิลินรีบบอก “งั้นฉันไปด้วย เอ่อ ก็ไปช่วยเธอไง”
“ไม่เป็นไร เธอคุยกับคุณวินไปเถอะ ไปก่อนนะคะคุณวิน”
พูดจบก็รีบเดินออกไป ทิวัตถ์กับลิลินทำหน้าไม่ถูก ต่างคนต่างเขินกัน
อ่านต่อหน้า 4
ลีลาวดีเพลิง ตอนที่ 8 (ต่อ)
วิชนีเดินพ้นมุมออกมา ก็เจอกับศักดิ์สิทธิ์ที่เดินเข้ามาพอดี
“นายมาก็ดีแล้ว ฉันถามอะไรหน่อยซิ คุณวินนี่ เขาเคยบอกหรือพูดเป็นนัยๆ ว่าชอบลินมั้ยอ่ะ?”
ศักดิ์สิทธิ์พยายามนึก “อืม ก็ไม่นี่ มีอะไร?”
“เอ้า ก็เมื่อกี้ฉันเห็นคุณวินกับลินท่าทางแปลกๆ นะ”
ศักดิ์สิทธิ์ทำหน้าไม่เชื่อ
“ก็แล้วแต่ ไม่เชื่อก็ตามใจ แต่ฉันว่าฉันมองไม่ผิดนะ”
ศักดิ์สิทธิ์มองอย่างสงสัย
ทิวัตถ์กับลิลินกำลังเดินมาตามทางด้วยกัน ด้วยท่าทางเก้อเขิน ต่างคนต่างจะเดินแยกไป ทั้งที่ยังอยากจะคุยกันต่อ จู่ๆ ทิวัตถ์ก็หาเรื่องคุยต่อได้
“คือ รู้ตัวคนร้ายแล้วนะครับ”
“ใครเหรอคะ?”
“กฤษดา”
ศักดิ์สิทธิ์กับวิชนียืนแอบมองทิวัตถ์กับลิลินอยู่ที่มุมเสา
“ดูสิ นายคิดว่าพวกเขาคุยอะไรกัน?”
วิชนีหันไปบอก แล้วก็ต้องตกใจที่ศักดิ์สิทธิ์อยู่ใกล้กับเธอมาก
“โอ๊ย นี่นาย เขยิบไปหน่อยสิ”
พูดพลางผลักศักดิ์สิทธิ์ให้ไกลออกไป แต่อีกฝ่ายกลับฝืนไว้ พร้อมเอานิ้วชี้แตะที่ปาก
“เบาหน่อยสิเธอ เดี๋ยวคุณลินก็ได้ยินหรอก”
ศักดิ์สิทธิ์ทำไม่สนใจแล้วแอบดูต่อ วิชนีเลยหมดทางเลือก
“ขอโทษนะที่ฉันเป็นต้นเหตุ”
ลิลินรู้สึกผิดเพราะคิดว่าตัวเองเป็นต้นเหตุ
“ ไม่ใช่เลยครับ กฤษดาน่ะไม่ค่อยถูกกับครอบครัวผมมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว”
“แต่ฉันก็เป็นส่วนนึง”
ทิวัตถ์จับลิลินมาสบตา ก่อนจะพูดอย่างจริงจัง
“ผมต่างหากที่ทำปัญหาให้คุณ ถ้าคุณไม่เข้ามาช่วยผมวันนั้น คุณก็คงไม่ต้องเจอเรื่องยุ่งยากอย่างนี้”
ลิลินมองสบตาทิวัตถ์ก่อนที่ทั้งคู่จะรู้สึกตัว ทิวัตถ์รีบลดมือลง แล้วพยายามข่มความเขินพร้อมกับ
พูดขึ้นแบบไม่ใส่ใจ
“ขอบคุณที่ช่วยผม”
ลิลินรู้สึกดีกับทิวัตถ์ เห็นว่าเขาก็ไม่ได้เป็นคนที่เลวร้ายอย่างที่คิดไว้แต่แรก
“ฉันเองก็ต้องขอบคุณคุณเหมือนกัน ถ้าคุณไม่แบกฉันออกมาจนเจอกับชาวบ้าน ป่านนี้ฉันคงตายในป่าแล้ว”
ทิวัตถ์ยิ้มเขิน
“ไม่เป็นไร ก็ถือว่าเราหายกันแล้วกัน”
จากนั้นต่างคนก็ต่างเงียบไป เพราะไม่เคยพูดกันดีๆ
ศักดิ์สิทธิ์กับวิชนีที่แอบมองแล้วเห็นทุกสิ่งอย่างชัดเจน
“นายก็คิดเหมือนฉันใช่มั้ย? ว่าลินกับคุณวินเปลี่ยนไปจริงๆ”
ศักดิ์สิทธิ์เริ่มคิดตาม
“นั่นสิ หรือว่าไอ้วินจะโดนผีป่าเข้าสิง”
“จะบ้าเหรอ ฉันว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาของคนที่เคยผ่านความเป็นความตายมาด้วยกัน ก็คงจะปรับความเข้าใจกันได้มากกว่า”
“ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงคุณลินอาจต้องเจอเรื่องยุ่งยาก มากกว่าตอนที่เกลียดกันก็ได้”
วิชนีได้ฟัง ก็ขมวดคิ้วแปลกใจ
ขณะที่อนันยชกับวรรณิตนั่งปรึกษากันเรื่องแบบงานแต่งงาน และของชำร่วย ฝ่ายหลัง
เหลือบไปเห็นยงยุทธยืนอยู่ที่หน้าต่าง ก็ตกใจรีบหันหน้าหนี จนไม่ทันฟังที่อนันยชพูด
“ณิต ณิตครับ ณิตเป็นอะไร?”
“เอ่อ เปล่าค่ะ”
พอเหลือบไปมองที่หน้าต่างก็ไม่เห็นยงยุทธยืนอยู่แล้ว วรรณิตถอนหายใจโล่งอก
“คุณวันว่าอะไรนะคะ”
วาสนาเห็นอนันยชไม่ค่อยพอใจที่วรรณิตไม่ใส่ใจจึงรีบแก้ให้
“โถแม่คุณ นี่คงจะตื่นเต้นจนทำอะไรไม่ถูกละซิ คนไม่เคยแต่งงานก็อย่างนี้แหละ”
วรรณิตแอบสะอึกในใจ พออนันยชเอื้อมมือไปจับมือ เธอก็ไม่ได้ชักมือหนีเหมือนทุกครั้ง กลับรู้สึกอุ่นใจมากขึ้น
จากนั้นอนันยชก็ขับรถพาวรรณิตไปข้างนอก ขณะที่ยงยุทธแอบมองเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ไม่ห่าง ก่อนจะเดินเข้าไปด้านในบ้าน
“นี่ยายน้อย”
วาสนาหันกลับไปมองก็ตกใจที่เห็นยงยุทธยืนอยู่
“ไอ้ยุทธ ฉันบอกแล้วใช่มั้ยว่าอย่ามาที่นี่อีก”
ยงยุทธยิ้มเหี้ยม
“ฉลาดนักนะแก แกพานังปรางไปทำศัลยกรรม เพื่อมาหลอกให้แต่งงานกับไอ้หมอนั่นใช่มั้ย?” วาสนาตกใจที่ยงยุทธรู้ความลับ
“ฉันรู้อีกด้วย ว่าไอ้หมอนั่นเป็นใคร”
“ตอแหล คนโง่อย่างแกจะไปรู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไง”
“ถ้าฉันโง่จริง ฉันคงไม่รู้ทันแล้วมาหาแกที่นี่หรอก”
วาสนาสะอึก “แกต้องการอะไร?”
“ถ้าแกไม่ให้เงินฉัน ฉันจะบอกความจริงกับไอ้หมอนั่นให้หมดว่านังปรางมันเป็นใคร? มาจากไหน?”
กฤษดาขัดใจที่โดนเสี่ยหาญสั่งให้ลูกน้องควบคุมตัวไม่ให้ออกจากบ้าน แต่เขาก็โวยวายใส่จนพวกลูกน้องไม่กล้าหือ ขณะนั้นลูกน้องอีกคนก็เข้ามาพอดี
“เฮ้ย ไอ้วีระมันอยู่ไหน? ”
ลูกน้องอึกอัก
“เอ่อ หาไม่เจอเลยพี่ พวกเราไปหามันทั้งที่บ้านที่ทำงาน มีแต่คนบอกว่าไม่เห็นมันมาเป็นอาทิตย์แล้วครับ”
“อะไรวะ จังหวัดแค่นี้ทำไมหาไม่เจอ ไปหามัน แล้วลากคอมันมาให้ฉัน”
กฤษดาตะคอกสั่ง ด้วยแววตาเคียดแค้น
ฝ่ายสิตาก็เห็นรูปโปรโมทของโรงแรมรอยัลเพิร์ล ที่ทิวัตถ์ถ่ายคู่กับลิลินแล้วก็หงุดหงิด พลางคิดตามคำพูดของเพื่อน ที่ว่าคนทั้งจังหวัดเห็นรูปแล้วอาจจะเข้าใจว่า 2 คนนั้น เป็นคู่รักกันจริงๆ จากนั้นเธอก็รี่เข้ามาที่โรงแรมทันที ศักดิ์สิทธิ์ที่กำลังใช้โปสเตอร์ตกแต่งสถานที่อยู่ หันมาเห็นก็ตกใจ
“ยัยสิตา” พลางดึงตัวปกติไว้ “เดี๋ยวฝากดูความเรียบร้อยด้วยนะ ผมเพิ่งนึกได้ว่ามีธุระ”
ขาดคำสิตาก็เดินมาถึงตัวพอดี
“ศักดิ์สิทธิ์ ฉันอยากให้นายเอารูปพวกนี้ลงให้หมด แล้วก็ไม่ใช่แค่ที่นี่ ทั้งเมืองที่นายกำลังเอาไอ้รูปพวกนี้ไปติดด้วย”
ศักดิ์สิทธิ์โมโห
“นี่ ชักจะมากเกินไปแล้วนะ ดูปากฉันนะ ไม่ มี ทาง ฉันจะไม่ยอมให้ใครมาเอาป้ายโปรโมทโรงแรมฉันลงอย่างเด็ดขาด”
“ในเมื่อพูดกันดีๆ แล้วไม่ฟัง ได้”
สิตาไม่พูดพล่ามทำเพลง เดินเข้าไปผลักพนักงานที่กำลังช่วยกันถือป้ายจนกระเด็น
“สิตา ทำอะไรของเธอเนี่ย เอ้า ยืนดูทำไม ห้ามเธอซิ”
ปกติกับพนักงานคนอื่นๆ เข้าไปห้าม สิตาร้องโวยวายลั่น
“ปล่อย อย่ามาถูกตัวฉันนะ”
พูดพลางหันไปคว้าคัตเตอร์ที่วางอยู่ขึ้นมาขู่ ศักดิ์สิทธิ์กับพวกพนักงานชะงักทันที ฝ่ายแรกได้ทีหันไปที่ป้ายก่อนจะกระหน่ำกรีดที่ป้ายจนขาดวิ่น
“ไม่เอาลงใช่มั้ย”
ศักดิ์สิทธิ์ร้องลั่น
“หยุดนะตา ไม่งั้นฉันจะแจ้งความ”
สิตาหันมองศักดิ์สิทธิ์ตาขวาง “ถ้างั้นก็ห้ามติดรูปวินกับนังนักร้องโปรโมทอีกเด็ดขาด”
“เธอจะบ้าหรือไง เธอก็รู้ว่าฉันลงทุนกับงานครั้งนี้ไปตั้งเยอะ”
สิตาหันขวับมาจ้องหน้า
“ก็ลองดู ติดเลย แล้วคอยดูถ้าแกติดฉันก็จะทำลายทุกอัน”
ลิลินเดินออกมาที่ล็อบบี้ พอเห็นป้ายของตัวเองที่ถูกทำลายยับเยินก็ชะงักไป จังหวะเดียวกับที่
สิตาหันไปจะเอาคัตเตอร์กรีดที่รูปอีก พอเห็นลิลินยืนอยู่ ก็โวยวายเสียงดัง
“แก นังตัวปัญหา”
ลิลินส่ายหน้าอย่างระอา “ฉันว่าคนที่เป็นปัญหาน่าจะเป็นคุณมากกว่า”
“ดีใจล๋ะซิ ที่ภาพของแกกับวินจะติดไปทั้งเมือง แต่ขอบอกไว้เลยนะ ฉันจะทำลายมันให้หมด”
“คุณสิตา ถ้าคุณวินยังเป็นแฟนกับคุณ ฉันพอจะเข้าใจที่คุณโกรธ”
ลิลินพูดจี้ใจดำ สิตายิ่งฟังยิ่งเสียดแทงใจ
“หุบปากไปเลย ถึงวินกับฉันจะไม่ได้เป็นแฟนกัน แต่เราก็รักกัน”
“แต่เท่าที่เห็น รู้สึกจะไม่ใช่นะ คุณอยากจะทำลายหรือทำอะไรก็ทำไปเถอะ คุณอาจจะทำลายภาพได้ แต่ทำลายความรู้สึกไม่ได้ ถ้าฉันกับคุณวินรู้สึกอะไรกันจริงๆ ต่อให้คุณทำลายรูปเป็นร้อยเป็นพัน ก็ไม่มีประโยชน์”
“ปากดีใช่มั้ย ดูซิ ถ้าหน้าแกมีแผลเป็น วินยังจะสนใจแกอยู่มั้ย”
สิตาพูดพลางเดินถือคัตเตอร์เข้ามา ตั้งท่าจะทำร้ายลิลิน แต่เสียงวิทยาแทรกขึ้นมาก่อน
“คุณลินไม่ได้ชอบคุณทิวัตถ์อย่างที่คุณคิดหรอก”
พูดพลางเดินเข้ามาขวางระหว่างลิลินกับสิตาไว้
“ผมกับคุณลิน เราเป็นแฟนกัน”
ทั้งลิลินและคนอื่นที่ได้ยินถึงกับอึ้ง
“คุณวางใจเถอะ ว่าผู้หญิงของผมไม่มีทางไปรักผู้ชายของคุณเด็ดขาด”
สิตาเบ้ปากไม่ค่อยอยากจะเชื่อที่วิทยาพูด ขณะที่ลิลินมองวิทยาอย่างอึ้งๆ
นพกรกำลังยืนอยู่หน้ากระจกภายในห้องน้ำ เขาเปลือยท่อนบน เผยให้เห็นมัดกล้ามและแผลเป็นทั่วร่าง ก่อนจะค่อยๆ โกนหนวด ไล่มีดลงมาเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงที่คอตัวเอง
ดวงตาที่สะท้อนในกระจกเหมือนตกอยู่ในภวังค์ ครู่หนึ่งก็รู้สึกตัว พร้อมๆ กับเลือดไหลออกมาจากลำคอ เขามองเลือดและมีดในมือตัวเองก่อนจะหลับตาลงอย่างมีความสุขที่ได้ความเจ็บปวด
แต่พอเดินออกมาจากห้องน้ำ ก็ต้องสะดุ้งตกใจเมื่อเห็นวาสนานั่งอยู่ นพกรรีบคว้ามีดขึ้นมาก่อนจะเดินไปมองที่หน้าต่างอย่างระแวดระวัง
“ไม่ต้องกลัว ฉันไม่ได้เอาตำรวจมาลากคอแกหรอกน่า”
“แล้วมาทำไม?”
“ฉันมีงานชิ้นนึงให้แกทำ ถ้าแกทำสำเร็จ รับรองว่าแกอาจจะได้เงินที่เยอะที่สุดในชีวิตก็ได้”
นพกรมองวาสนาที่เอาข้อเสนอมาให้ถึงที่อย่างไม่ค่อยไว้วางใจ
ทิวัตถ์กำลังดูภาพของตัวเองกับลิลินในชุดบ่าวสาวในไอแพด พร้อมๆ กับอมยิ้มไปด้วย ศุภารมย์เดินเข้ามาในห้อง เห็นเขามีท่าทีแปลกไปก็พูดกระเซ้า
“อารมณ์ดีอะไรเหรอวิน? ”
ทิวัตถ์ได้ยินเสียงศุภารมณ์ก็สะดุ้งโหยง ก่อนจะรีบปิดไอแพด กลับมาวางมาดขรึมเหมือนเดิม
“แม่ต่าย เอ่อ ผมกำลังคิดเรื่องงานน่ะครับ แม่ต่ายมีอะไรหรือเปล่าครับ?”
“แม่จะถามว่าวินไปหาสิทธิ์ที่โรงแรมมา เป็นยังไงบ้าง?”
ทิวัตถ์รีบบอก “ก็ไม่มีอะไรครับ ตอนนี้พอข่าวร้ายๆ เริ่มซา คนก็เริ่มกลับมาแล้วครับ”
“ดีจัง แล้วคุณลินล่ะ”
“ก็สวยดีครับ” พูดเองก็ชะงักตกใจเอง เหมือนคนมีชนักปักหลัง “เปล่าครับ ไม่มีอะไรครับ เอ่อ...ผมหมายถึงคุณลินเขาก็สบายดีครับ”
ศุภารมย์มองทิวัตถ์ด้วยความสงสัยในท่าที
“วินดูแปลกๆ นะ”
ทิวัตถ์รีบพูดแก้เก้อ
“พอดีผมคิดเรื่องงาน เลยไม่ทันได้ฟังที่แม่ต่ายถามน่ะครับ ไม่มีอะไรหรอกครับ”
“แม่หมายถึงที่เราพูดถึงคุณลินต่างหาก”
ทิวัตถ์อึกอัก ระหว่างนั้นได้ยินเสียงป้าจวนกับสิตาดังโวยวายขึ้นมา
“เข้าไม่ได้นะคะ”
“ทำไมฉันจะเข้าไม่ได้”
ทิวัตถ์หันมามองหน้าศุภารมย์อย่างแปลกใจ
สิตากับป้าจวนโต้เถียงกันอยู่หน้าห้อง ฝ่ายแรกทำท่าจะเงื้อมือตบ ฝ่ายหลังตั้งท่าจะสู้ จังหวะเดียวกับที่ศุภารมย์กับทิวัตถ์ออกมาจากห้องพอดี
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ ทั้งคู่นั่นแหละ”
ทั้งคู่รีบลดมืออลง สิตาชิงฟ้องก่อน
“คุณอาต้องจัดการยัยแก่นี่ให้ตานะคะ เป็นคนใช้ภาษาอะไร ถึงกล้าไล่แขกอย่างนี้”
“ป้าจวนเขาคงจะเห็นว่าพวกเธอมาทีไรก็สร้างแต่ความวุ่นวายมั้ง”
ป้าจวนยิ้มเยาะ สิตาชะงัก
“วินคะ”
สิตาเข้าไปออดอ้อนทิวัตถ์ ป้าจวนถามขึ้นทันที
“คุณท่านจะให้อิฉันโทร. หาเสี่ยหาญมั้ยคะ”
ทิวัตถ์ส่ายหน้า
“ไม่เป็นไรครับแม่ต่าย เดี๋ยวผมจัดการเอง ขอตัวนะครับ ไปตา”
พูดพลางเดินนำสิตาออกไป ศุภารมย์ส่ายหน้าอย่างเอือมระอา
จากนั้นสิตาก็เดินเกาะแขนออดอ้อนทิวัตถ์เข้ามาที่สวน
“วินต้องจัดการสั่งสอนคนใช้ในบ้านให้มากกว่านี้นะคะ ไม่อย่างนั้นมันจะเสียชื่อมาถึงเจ้านายได้”
ทิวัตถ์ไม่รับคำ กลับย้อนถาม “ตามีอะไรหรือเปล่า?”
“ตาแค่อยากจะมาขอโทษวิน เรื่องที่ตาหึงวินกับนังลิลินไงล่ะคะ ตาเพิ่งรู้นะคะว่ายัยนั่นไม่ได้คิดอะไรกับวินจริงๆ แถมมีบอดี้การ์ดคอยออกตัวปกป้องให้กันตลอด วันนี้ตาไปที่โรงแรมคุณสิทธิ์มา แล้วตาก็เห็นว่ายัยลิลินนั่นอยู่กับแฟนของเธอด้วยนะคะ”
ทิวัตถ์เลิกคิ้วสงสัย “แฟน ?”
“ใช่ค่ะ ตอนแรกตาก็ไม่เชื่อ แต่พอเห็นที่ 2 คนนั้นเขาแสดงออกต่อกัน เลยทำให้ตามั่นใจว่า
เขา 2 คนเป็นแฟนกันจริงๆ”
ทิวัตถ์ได้ยินอย่างนั้นก็สะอึก สิตายิ้มร้ายเมื่อสังเกตเห็นอีกฝ่ายสะอึกกับคำพูดของเธอ
ลิลินสีหน้าเครียดครุ่นคิดถึงคำที่วิทยาพูดกับสิตา
“คุณลินโกรธผมเหรอครับ?”
“เอ่อ เปล่าหรอกค่ะ”
วิทยาหน้าเจื่อน
“ผมรู้ว่าคุณลินไม่พอใจที่ผมแสดงออกไปอย่างนั้นต่อหน้าทุกคน แต่ถ้าผมไม่บอกอย่างนั้น ผู้หญิงคนนั้นคงต้องยังเชื่อว่าคุณลินเป็นอะไรกับแฟนเธอ”
ลิลินชะงักไปเพราะคิดถึงทิวัตถ์ แล้วก็รีบเปลี่ยนเรื่อง
“แล้วคุณวิทมาหาฉัน มีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ?”
“คุณลินจำได้มั้ยครับว่าผมมีบางอย่างอยากจะบอกกับคุณลิน”
“ค่ะ”
วิทยายิ้มจริงใจ
“ผมอยากพาคุณลินไปสถานที่แห่งหนึ่ง เย็นนี้คุณลินว่างมั้ยครับ?”
ลิลินมองวิทยาด้วยความสงสัย
ยงยุทธนั่งรออย่างกระสับกระส่างอยู่ที่ตึกร้างก่อนจะลุกขึ้น แล้วหยิบมือถือขึ้นมาแล้วกดโทร.ออกหาวาสนา
“ทำไมยังไม่มาอีก คิดลูกเล่นอะไรอีกฮะ”
วาสนาที่รับโทรศัพท์อยู่หน้าบ้าน ตอบกลับมาทางปลายสาย
“ใจร้อนจริงนะพ่อยุทธ นี่ฉันกำลังไปอยู่ เห็นใจคนแก่กันบ้างสิ”
ยงยุทธกำลังคุยโทรศัพท์อยู่ จึงไม่เห็นเท้าของใครบางคนกำลังย่องเข้ามาทางด้านหลัง
“ฉันให้เวลาอีกสิบนาที ไม่งั้นล่ะก็...”
ยังไม่ทันพูดจบ ร่างที่เดินเข้ามาด้านหลัง ก็ชักปืนขึ้นมาหมายจะยิง ยงยุทธได้ยินเสียงก็หันขวับมา แล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นนพกรกำลังเล็งปืนมา ก่อนจะรีบกระโดดหลบเข้าที่มุมตึกทันที พร้อมกับเสียงปืนดังขึ้น นพกรวิ่งตามเข้ามาทันที แต่ก็ต้องแปลกใจเมื่อไม่เห็นยงยุทธอยู่ตรงนั้น ก่อนจะถูกถีบจากทางด้านหลัง จนล้มกลิ้งไป
ยงยุทธเข้ามาแล้วเตะเข้าที่มือนพกรจนปืนหลุดจากมือกระเด็นไป ก่อนจะดินตามเข้าไปเตะซ้ำไม่ยั้ง
“ไง อย่างแกมันคนละชั้นเว้ย ลุกมาซิวะ”
พูดพร้อมกับเตะซ้ำอีก แต่กลับถูกนพกรจับขาเอาไว้ก่อนจะยื้อยุดจนยงยุทธล้มลง พร้อมกับขึ้นคร่อม และระดมหมัดใส่
ทั้งคู่ต่างระดมหมัดและปัดป้องกันอย่างกินกันไม่ลง
วาสนาพยายามโทร. หานพกร แต่อีกฝ่ายไม่รับสาย
“มัวทำอะไรของมันนะไอ้นพ อย่างนี้ทุกที”
พลันเสียงของยงยุทธก็ดังขึ้น
“หาตัวไอ้นี่อยู่ใช่มั้ย?”
จากนั้นก็ลากนพกรที่ถูกซ้อมสภาพสะบักสะบอมเข้ามา ก่อนจะโยนลงที่พื้น วาสนาตกใจ
หน้าเสีย
“ทีหลังคิดจะเก็บใคร ก็ใช้คนที่มีฝีมือกว่านี้หน่อยสิ ส่งเด็กเมื่อวานซืนมาอย่างนี้มันไม่ดูถูกกันเกินไปหน่อยเหรอ”
พูดพลางจ้องหน้าเอาเรื่องวาสนา
“มึงคิดจะเก็บกูงั้นเหรอ? มันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก”
วาสนารีบปฏิเสธ “เปล่า”
“รู้มั้ยว่าฉันมีชีวิตอยู่ในคุกได้ยังไง? ทั้งๆ ที่ในนั้นมันมีแต่พวกเดนตายทั้งนั้น”
ยงยุทธเดินรี่เข้าใกล้มากยิ่งขึ้น จนวาสนาหวาดกลัวจนตัวสั่น
“ฉันรอดมาได้เพราะฉันเล่นพวกมันก่อน ก่อนที่พวกมันจะเล่นฉัน แล้วในเมื่อแกคิดจะเล่นงานฉัน งั้นแกก็ตายซะ”
ขาดคำก็ตรงเข้าไปบีบคอ วาสนาพยายามดิ้นคิดหาทางรอด
“ไอ้ยุทธถ้าแกฆ่าฉัน แกก็จะไม่ได้เงิน”
“ไม่ต้องห่วงหรอก ไว้ฆ่าแกเสร็จแล้วฉันจะแบล็กเมล์ไอ้ลูกเขยเศรษฐีนั่นเอง”
ทันใดนั้นก็มีขวดมาตีเข้าที่หัว จนยงยุทธถึงกับเซ จนต้องปล่อยมือออกจากคอวาสนา ก่อนจะ หันไปเห็นว่านพกรถือขวดแก้วปากฉลามอยู่
นพกรง้างมือขึ้นเสียบขวดปากฉลามเข้าที่ท้องของยงยุทธ ก่อนจะดึงออก แล้วจ้วงแทงเข้าไป
อีกครั้ง
ยงยุทธล้มลงเลือดสาดกระเซ็นเต็มหน้านพกร ก่อนจะแน่นิ่งไป
นพกรหลับตาผ่อนลมหายใจออกมา วาสนาเดินเข้ามามองร่างของยงยุทธด้วยความสมเพช
“ฉันเคยบอกแล้วใช่มั้ย ว่าคนอย่างแกต้องตายเหมือนหมาข้างถนน”
“แล้วจะเอายังไงต่อ?”
“แกจะให้มันขึ้นอืดแล้วให้ตำรวจมาตามกลิ่นหรือไง เอาไปทิ้งซะ”
วาสนามองดูร่างของยงยุทธ แววตาเต็มไปด้วยความอำมหิต
อ่านต่อตอนที่ 9