ปลาหลงฟ้า ตอนที่ 7
น่านฟ้าขับรถมาที่บ้านมัศยา เขารีบเปิดประตูรถออกมา เมื่อเห็นมัศยา สมใจและนะดีออกมาพอดี นะดีเห็นน่านฟ้าก็ยิ้มต้อนรับอย่างดีใจ
“อาน่าน”
“มาแต่เช้าเลยนะคะคุณน่าน”
“พอดีมีเรื่องด่วนมากน่ะครับ”
น่านฟ้าหันขวับไปคว้ามือมัศยาอย่างร้อนใจ
“เจ๊ต้องไปกับผมเดี๋ยวนี้”
“ไปไหน”
“เถอะน่า”
น่านฟ้าจะลากมัศยาออกไปให้ได้ ขณะที่มัศยาแกะมือชายหนุ่มออกอย่างอายๆ
“นี่อย่ามารุ่มร่ามแถวนี้นะ บอกมาก่อนว่าจะพาฉันไปไหน”
“ไปทำข้าวเกรียบ”
“งั้นรอก่อน ฉันจะไปส่งนะดีที่โรงเรียน”
น่านฟ้าหันมามองนะดี ครุ่นคิด แล้วเข้าไปอุ้มนะดีทันที
“อ่ะนะดี งั้นอาน่านไปส่งเอง”
น่านฟ้าใช้มืออีกข้างคว้ามือมัศยา
“จบมั้ยเจ๊ รีบไปกันดีกว่า”
น่านฟ้าอุ้มนะดีและจูงมัศยาออกไป สมใจมองตามยิ้มๆ
วิภากำลังเซ็นเอกสารอยู่ในห้องทำงาน ขณะที่ต๋องยืนพล่ามไปด้วย
“พูดก็พูดเถอะนะครับคุณท่าน ผมว่านับวันคุณน่านกับเจ๊หยีนี่ดูจะสนิทสนมกันเหลือเกิน ดูสิครับ เล่นซะต๋องตกงานจนต้องมาช่วยเดินเอกสารให้คุณท่านเลย”
วิภายื่นแฟ้มให้ต๋อง มองอย่างรำคาญ
“แล้วมันไม่ดีรึไง หรือแกอยากให้ตาน่านกับมัศยาตีกันแบบเมื่อก่อนงั้นเหรอ”
“เปล่าหรอกครับ มันก็แค่เหงาๆ น่ะครับคุณท่าน เคยตื่นเช้าไปลากคุณน่านทุกเช้า เดี๋ยวนี้ไม่เห็นหัวต๋องเลย”
สักพักเสียงเคาะประตูดังขึ้น สุกิจเดินเข้ามาหาวิภายิ้มแย้ม
“ว่าไงสุกิจ”
วิภาพยักเพยิดให้ต๋องออกไป
“ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมมีเรื่องสำคัญของนายน่านจะมารายงานพี่วิภาครับ”
ต๋องชะงักสนใจขึ้นมาทันที
น่านฟ้าและมัศยาจูงมือนะดีคนละข้างเดินเข้าไปในโรงเรียน ขณะที่มัศยาคุยโทรศัพท์ไปด้วย
“ว่าไงนะ คุณสุกิจน่ะเหรอ”
ต๋องแอบคุยโทรศัพท์อย่างระแวดระวัง รีบรายงานข่าว
“ใช่เจ๊ เห็นบอกว่าจะมารายงานเรื่องคุณน่าน เท่าที่ดูท่าทาง น่าจะฟ้องหรือไม่ก็แฉเรื่องคุณน่านมากกว่านะเจ๊”
มัศยาไม่ค่อยไว้ใจ
“ได้ๆ เดี๋ยวฉันจะบอกคุณน่านให้เอง”
น่านฟ้าหันมาทันที
“จะบอกอะไรผมเหรอเจ๊”
ต๋องได้ยินเสียงน่านฟ้าก็ชะงัก
“อ้าว คุณน่านอยู่กับเจ๊เหรอ แหมๆๆๆ เจอกันแต่เช้าเลยนะ”
มัศยาสะอึกไม่รู้จะอธิบายอย่างไรดี นะดีหันมาพูดกับน่านฟ้าและมัศยา
“เดี๋ยวนะดีเดินเข้าห้องเรียนเองก็ได้ค่ะ สวัสดีค่ะแม่หยี สวัสดีค่ะอาน่าน”
นะดียกมือไหว้ทั้งสองคนอย่างสวยงาม แล้ววิ่งออกไป
“อย่าวิ่งสิลูก เดี๋ยวหกล้ม”
นะดีหันมายิ้มหวานให้น่านฟ้า
“ค่า”
นะดีรีบเดินเข้าไป น่านฟ้าหันมาถามมัศยาอีกครั้ง
“ตกลงมีใครจะบอกอะไรผมเหรอเจ๊”
มัศยาชะงัก พูดโทรศัพท์ต่อ
“เอ่อ เดี๋ยวฉันคุยกับคุณน่านแล้วจะอัพเดทกับแกอีกทีนะต๋อง”
ต๋องยิ้มแซวๆ แกมหมั่นไส้
“รีบตัดบทเลยนะ บรรยากาศครอบครัวสุขสันต์ส่งลูกไปโรงเรียนแบบนี้ ต๋องไม่รบกวนดีกว่า แค่นี้นะเจ๊”
ต๋องวางสายทันที มัศยาว่าจะแก้ตัวแต่ไม่ทัน
“เดี๋ยวก่อนต๋อง ไอ้ต๋อง”
น่านฟ้าหันมามองงงๆ
น่านฟ้าเดินคุยมากับมัศยาตามทางเดินในตลาดสดแห่งหนึ่ง
“โธ่ จะเรื่องอะไร ก็คงจะหาเรื่องเป่าหูแม่ใหญ่เรื่องความไม่เอาถ่านของผม ไม่ก็เรื่องติดหญิงที่อาสุกิจจ้างมานั่นแหละ”
มัศยามองค้อนแขวะน่านฟ้า
“หมายถึงคุณนิ้มคนสวยที่คุณติดกับนั่นน่ะเหรอ”
น่านฟ้าหันมาค้อนกลับ
“โธ่ เจ๊ โบราณเขาว่า คนล้มอย่าข้าม นี่เจ๊เล่นทั้งเหยียบ ทั้งขยี้ ทั้งกระทืบ จะให้ผมอับอายไปถึงไหนนะ”
“ก็เพราะนิสัยเจ้าชู้หื่นกามของคุณไง ที่ทำให้ต้องตกหลุมพรางนายสุกิจ”
“เอาน่า อย่างน้อยผมก็ใส่เกียร์ถอยหลังทัน ทีหน้าทีหลังเจ๊ก็อย่าห่างผมสิ ผมจะได้อุ่นใจไม่วอกแวกไปมองผู้หญิงอื่น”
มัศยาอายหน้าแดง
“เพ้อเจ้อ”
น่านฟ้าแอบขำที่เห็นมัศยาอาย เลยเดินนำไป
“แล้วนี่ชวนฉันมาเดินตลาดทำไม หะ ไม่ไปช่วยป้ามะลิขายข้าวเกรียบเหรอ ไปสายเดี๋ยวแกก็ด่าตายหรอก”
“วันนี้ขอเบี้ยวป้าแกหนึ่งวัน เพราะผมมีภารกิจที่สำคัญกว่า”
น่านฟ้ามองรอบๆ จนเหลือบไปเห็นแผงขายใบเตยก็รีบปรี่เข้าไปทันที มัศยาเดินตามงงๆ
“ภารกิจซื้อใบเตยไปแจกแท็กซี่รึไง”
“เจ๊นี่ ไม่รู้อะไรเลย ใบเตยมัดเท่าไหร่ครับ”
มัศยางงเป็นไก่ตาแตก
น่านฟ้าหอบใบเตยกลับมาบ้าน ขณะที่มัศยาและสุกัญญายืนมองทึ่งๆ
“นี่เอาจริงเหรอตาน่าน”
“แน่นอนสิครับ คนอย่างน่านฟ้าสะกดคำว่า เล่นๆ ไม่เป็นอยู่แล้ว”
สุกัญญาหันไปพยักเพยิดด้วยความหมั่นไส้กับมัศยา
“แล้วนี่คุณรู้แล้วเหรอว่าจะทำยังไงต่อ”
“บานาน่า บานาน่า กล้วยๆ ผมจำวิธีทำข้าวเกรียบป้ามะลิมาหมดแล้ว ไม่เห็นจะยากตรงไหนเลย มัวยืนรออะไรอยู่ล่ะเจ๊ มาช่วยกันทำสิ”
“ต้องให้แม่ช่วยด้วยมั้ย”
“ไม่เป็นไรครับแม่ ขอให้ผมได้ค้นสูตรด้วยตัวเองดีกว่า เป็นประธานบริษัทข้าวเกรียบ มันก็ต้องทำเป็นสิครับ”
“อยากอัดคำพูดนี้ให้คุณท่านฟังจริงๆ ฉันว่าคุณท่านต้องปลื้มปริ่มกินข้าวไม่ลงหลายวันแน่ๆ”
สุกัญญาแอบขำ
วิภาคุยโทรศัพท์ด้วยความตื่นเต้น
“อะไรนะ ตาน่านน่ะเหรอคิดสูตรทำข้าวเกรียบเอง ดีๆ ฉันจะไปดูให้เห็นกับตา”
วิภาวางสายแล้วรีบหันไปหยิบกระเป๋าสะพาย เสียงเคาะประตูดังขึ้น ต๋องเปิดประตูเข้ามาพร้อมแฟ้มเอกสาร
“เอกสารด่วนครับคุณท่าน”
“วางไว้บนโต๊ะนี่แหละ แล้วแกไปกับฉัน”
“ไปไหนครับคุณท่าน”
“เถอะน่า”
วิภารีบเดินนำต๋องไป ขณะที่ต๋องเดินตามไปอย่างงงๆ
น่านฟ้าเทน้ำใบเตยลงในกะละมังขนาดใหญ่ จากนั้นก็หันมาพยักเพยิดกับมัศยา
“ลงมือเลยนะเจ๊”
“ได้ค่ะ”
สองคนตีมือกัน แล้วลงมือทำข้าวเกรียบ มัศยาฉีกถุงแป้งมันสำปะหลัง จากนั้นก็เทผสมลงกับน้ำใบเตยที่น่านฟ้าเตรียมไว้ ทั้งสองช่วยกันนวดแป้ง นวดไปนวดมามือน่านฟ้าจับมือมัศยา มัศยาชะงักมองเหล่ๆ น่านฟ้ายักคิ้วกวนๆ ใส่ มัศยาหมั่นไส้เอาแป้งที่นวดป้ายหน้าน่านฟ้า
ทั้งสองช่วยกันปั้นแป้งที่ได้อย่างตั้งอกตั้งใจ มัศยาบรรจงวางแป้งที่ปั้นลงในซึ้งแล้วนึ่ง เวลาผ่านไป น่านฟ้าเปิดฝาซึ้งออกมา ควันฉุย สองคนมองหน้ากันยิ้มๆ อย่างภูมิใจ
วิภาและต๋องเดินเข้ามาในบ้านน่านฟ้า สุกัญญารอต้อนรับอยู่
“ไหน เขาทำข้าวเกรียบกันที่ไหน”
“เชิญหลังบ้านเลยค่ะคุณพี่”
วิภาและสุกัญญารีบเดินตามไป ต๋องรีบย่องตามไปด้วยความตื่นเต้น
มัศยายกจานที่นึ่งแป้งข้าวเกรียบออกมา แต่ปรากฏว่าร้อนมากเลยรีบวางลง
“โอ๊ย ร้อนๆๆๆ”
น่านฟ้าตกใจรีบคว้ามือมัศยามาดู
“ไหนเจ๊ พองรึเปล่า”
มัศยาชะงักมองน่านฟ้าด้วยความเขิน น่านฟ้าเงยหน้าขึ้นมา สองคนเผลอสบตากัน ทันใดนั้นเสียงกระแอมของวิภาก็ดังขึ้น
“อะแฮ่ม”
น่านฟ้าและมัศยาหันมา เห็นวิภา สุกัญญาและต๋องยืนอยู่ก็ตกใจ น่านฟ้ารีบบอกวิภา
“เอ่อ พอดีเรากำลังเป่ายิ้งฉุบเกี่ยงกันยกแป้งข้าวเกรียบอยู่น่ะครับ ใช่มั้ยเจ๊”
มัศยาชะงักรีบรับมุกทันที
“ใช่ค่ะ เป่ายิ้งฉุบ”
น่านฟ้าและมัศยาเป่ายิ้งฉุบกัน ขณะที่ต๋องแอบขำอย่างรู้ทัน น่านฟ้าหันมาเหล่ๆ ต๋อง
“ขำอะไรฮะไอ้ต๋อง”
“ปละ เปล่า คร้าบ ทำข้าวเกรียบสนุกมั้ยครับคุณน่าน แต่เท่าที่ต๋องดู ต๋องว่าข้าวเกรียบต้องหวาน ผิดปกติแน่ๆ”
น่านฟ้าหันมาดุต๋อง
“ปากว่างใช่มั้ยวะ เดี๋ยวพ่อให้คาบซึ้งเดินรอบบ้านเลยนี่”
ต๋องรีบหลบหลังวิภาทันที
“เป็นไง สำเร็จมั้ยน่าน”
“ต้องรอดูพรุ่งนี้ครับแม่ใหญ่ แต่ผมมั่นใจว่า สูตรที่ผมคิดเองมันต้องอร่อยแน่นอน น่านฟ้าการันตี”
น่านฟ้ายักคิ้วมั่นใจมาก
วิภาเดินยิ้มอย่างมีความสุข เข้าบริษัทมากับต๋อง
“ทำไมวันนี้ฉันถึงอดยิ้มไม่ได้นะนายต๋อง”
“แหม เป็นผมนี่จัดเชิดสิงโตแล้วมั้งครับคุณท่าน ที่เห็นคุณน่านจริงจังกับบริษัทขนาดนี้”
ภูริชเดินมาพอดี ได้ยินก็ชะงัก
“ถ้าตาน่านคิดสูตรข้าวเกรียบเองได้ ฉันจะวางมือทุกอย่างให้ตาน่านดูแลมีโชค นายว่าดีมั้ย”
“หูย ผมเป็นแค่พนักงานเล็กๆ ไม่กล้าออกความเห็นหรอกครับ”
วิภายิ้ม แอบวาดฝันในใจ พอหันไปเห็นภูริชยินอยู่ก็ชะงัก
“อ้าว ว่าไงภูริช มีอะไรกับฉันรึเปล่า”
“เปล่าครับ ผมขอตัวไปทำงานต่อนะครับ”
ภูริชจะเดินไป แต่วิภานึกขึ้นได้ก็หันไปเรียกไว้
“เดี๋ยวก่อนภูริช”
ภูริชชะงักหันมา เริ่มระแวง
“ครับคุณท่าน”
“เธอช่วยงานสุกิจมานานแค่ไหนแล้ว”
“7-8 ปีได้ครับ”
“อืม อย่าเพิ่งไปไหนนะ อีกไม่นานเราจะได้ช่วยกันดันประธานคนใหม่ บริษัทของเราจะได้ก้าวไปข้างหน้า ตอนนี้ฉันว่าถึงเวลาของคนรุ่นใหม่แล้วล่ะ”
วิภายิ้มมีความสุข
สุกิจหวดลูกกอล์ฟออกไปเต็มแรง เมื่อภูริชมาเล่าเรื่องน่านฟ้าให้ฟัง
“หึ คนรุ่นใหม่เหรอ รู้สึกพี่วิภาจะมั่นใจในตัวไอ้เด็กนั่นเหลือเกินนะ”
ภูริชกุลีกุจอมารับไม้กอล์ฟจากมือสุกิจ สุกิจทิ้งตัวนั่งลงเซ็งๆ
“ผมว่า เรารอช้าไม่ได้แล้วนะครับ ท่าทางช่วงนี้นายน่านฟ้าจะขึ้นหม้อ”
“คิดว่าฉันเอ้อละเหยอยู่รึไง ฉันเองก็ร้อนใจเหมือนกัน”
ปารณเดินเข้ามา สุกิจรีบเรียก ปารณเห็นสุกิจก็เข้ามาหาที่โต๊ะ
“ขอโทษที่มาสายนะครับคุณสุกิจ”
“ไม่เป็นไร รอแค่นี้น่ะผมรอได้ แต่เรื่องโรงงานนี่สิ ที่ผมรอไม่ไหว”
“ตกลงคุณสุกิจพร้อมจะเปิดโรงงานแล้วใช่มั้ยครับ”
“ไม่พร้อมก็ต้องพร้อมแล้วล่ะ คืออย่างนี้นะคุณปารณ ผมพอมีทุนบางส่วนแต่คงไม่พอจะซื้อที่สร้างโรงงานที่คุณแนะนำ คุณพอจะมีแผนสองมั้ย แต่ผมรับรองว่าเรื่องเงินที่จ้างบริษัทคุณ ผมไม่มีปัญหาแน่”
ปารณชะงัก ครุ่นคิด
“งั้นถ้าผมให้เช่าที่ผืนนี้ระยะยาวล่ะ คุณยังพอสนใจมั้ยครับ”
สุกิจชะงักสนใจขึ้นมาทันที
คืนนั้น น่านฟ้านั่งอยู่บนเตียง อยู่ๆ ก็นึกถึงตอนที่จับมือกับมัศยาในครัว เขาเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น น่านฟ้าชะงัก ก่อนกดรับ
“มีไรวะ โทรมาดึกๆ ดื่นๆ”
ปารณคุยโทรศัพท์หน้าเครียด
“นี่ถ้าเป็นสาวๆ โทรมา แกจะบ่นแบบนี้มั้ย นี่ ดึกแค่ไหนแกก็ต้องออกมาหาฉัน ฉันมีเรื่องสำคัญจะคุยด้วย”
น่านฟ้าชะงัก แปลกใจ
น่านฟ้าเดินเข้ามาในร้านกาแฟ เห็นปารณนั่งรออยู่
“อ่ะ เรื่องสำคัญอะไรนักหนา ถึงคุยทางโทรศัพท์ไม่ได้”
“แกบอกฉันมาตรงๆ ตกลงแกจะเอาไงกับบริษัทมีโชคกันแน่”
น่านฟ้าชะงักหน้าเจื่อน
“ทำไมต้องซีเรียสขนาดนั้นวะ”
“วันนี้นายสุกิจอาแกนัดฉันมาคุยอีกรอบ คราวนี้เขาเอาจริงแน่ๆ”
“แกหมายความว่าไงฮะเป้”
“แกคือนายน่านฟ้า ซีอีโอบริษัทของเรา แต่แกบอกฉันว่าแกจะต้องไปทำให้แม่ใหญ่ของแกถอดแกออกจากตำแหน่งประธานบริษัทให้ได้ ตอนนี้แกต้องบอกฉันแล้วว่า แกยังยืนยันคำเดิม หรือแกจะเอาไง”
น่านฟ้าเครียด
“ในเมื่อแกอยากได้คำตอบ ฉันก็จะตอบอย่างลูกผู้ชายว่า ฉันขอโทษ”
ปารณถอนใจ
“ซื้อหุ้นไม่เกร็งแม่นแบบนี้บ้างวะ สรุปว่าแกต้องควบตำแหน่งประธานบริษัทมีโชคต่อไป”
น่านฟ้าพยักหน้า
“งั้นเรื่องงานในบริษัทเราค่อยมาว่ากัน แต่ตอนนี้แกควรจะรู้ว่า อาสุกิจของแกกำลังเดินหน้าเปิดโรงงานแข่งกับมีโชคแล้ว คราวนี้เอาจริงชัวร์ ฉันในฐานะลูกค้าก็ต้องรักษาจรรยาบรรณของฉัน”
“ฉันเข้าใจว่ะเป้ งั้นแกก็ทำหน้าที่ของแกไป เอาที่แกสบายใจ ส่วนฉันก็จะทำหน้าที่ของฉันเหมือนกัน”
ปารณมองหน้าน่านฟ้าเห็นในความมุ่งมั่น
“แน่ใจนะว่าแกจะให้ฉันรับงานนี้”
“ถ้าฉันห้ามไม่ให้แกรับงานอาสุกิจ ฉันก็เป็นคนไม่รู้จักแยกแยะเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวสิวะ”
น่านฟ้าจริงจังมาก
เช้าวันรุ่งขึ้น น่านฟ้าลากแขนวิภาเข้ามาในครัวด้วยความตื่นเต้น
“โอ๊ย ช้าๆ ก็ได้ตาน่าน นี่ฉันยอมถ่อมาหาแต่เช้านี่จะไม่ให้พักกันเลยรึไง”
“พักได้ครับแม่ใหญ่ แต่ต้องหลังจากที่ได้เปิดซิงชิมข้าวเกรียบของผมเป็นคนแรกก่อน”
สุกัญญาเดินเข้ามาแอบยิ้มนิดๆ
“ตาน่านตื่นมาเตรียมแป้งแต่เช้าเลยค่ะคุณพี่ ตั้งใจมากที่จะให้คุณพี่ชิม”
วิภาหันมามองน่านฟ้าทำหน้าหมั่นไส้
“เรื่องเห่อนี่ไม่มีใครเกินนะแกเนี่ย”
เสียงออดดังมาจากหน้าบ้าน
“เดี๋ยวแม่ไปดูเอง คุยกับแม่ใหญ่ไปเถอะ”
สุกัญญาเดินออกไป น่านฟ้าหยิบตะแกรงเตรียมตักข้าวเกรียบในกระทะออกมา
สุกัญญาเดินมาหน้าบ้านเห็นต๋องและมัศยายืนอยู่ ก็รีบเปิดประตูให้
“นี่ตาน่านโทรตามกันหมดเลยเหรอ”
“โอ๊ย โทรปลุกผมตั้งแต่ไก่โห่เลยครับ ให้ผมรีบไปรับเจ๊หยีมาชิมข้าวเกรียบ”
“เป็นไงคะ ได้ชิมรึยัง”
“ยังเลยจ้ะหนู แต่พี่วิภากำลังชิมอยู่ในครัวแน่ะ”
มัศยาและต๋องชะงักมองหน้ากัน
“โห ขนาดคุณท่านยังโดนจิก งั้นผมก็ไม่แปลกอะไรแล้วล่ะเจ๊”
วิภาหยิบข้าวเกรียบขึ้นมา น่านฟ้าลุ้นๆ มัศยา ต๋อง และ สุกัญญาเดินตามเข้ามาด้วยอาการตื่นเต้น วิภาเคี้ยวข้าวเกรียบเสร็จก็ทำหน้านิ่งมาก ไม่แสดงออกว่าอร่อยหรือไม่
“เป็นไงครับแม่ใหญ่”
วิภารีบหันไปบอกมัศยากับต๋องทันที
“เธอสองคนช่วยกันชิมหน่อยสิ”
มัศยาและต๋องรีบหยิบข้าวเกรียบในตะแกรงขึ้นมาชิม น่านฟ้าเริงร่าออกอาการลุ้นสุดๆ มัศยาและต๋องมองหน้ากัน ไม่รู้จะตอบอะไร
น่านฟ้านั่งเซ็งอยู่ที่โต๊ะทำงาน วิภาเดินเข้ามาในห้อง
“ยุ่งรึเปล่าตาน่าน”
“ไม่ครับ”
วิภาเข้ามาหาน่านฟ้า มองอย่างเห็นใจ
“อย่าคิดมาก แกทำดีที่สุดแล้ว เรื่องแค่นี้เองไม่เห็นต้องเสียใจเลย”
“ผมเปล่าเสียใจครับแม่ใหญ่ ผมแค่รู้สึกว่าตัวเองยังพยายามไม่มากพอ”
“รู้มั้ยว่า กว่าคุณโชคพ่อแกจะมีวันนี้ได้ ต้องทำอะไรมาบ้าง”
น่านฟ้าชะงักสนใจขึ้นมาทันที
โชคในวัยหนุ่มกำลังผสมแป้งอย่างตั้งอกตั้งใจ
“คุณโชคใช้เวลาตั้งนานกว่าจะหาแป้งที่ดีที่สุดมาได้”
โชคนวดแป้ง
“พอได้แป้งมาแล้วก็ต้องหาสารพัดวิธีในการผสมแป้งให้ได้สูตรของแป้งข้าวเกรียบที่ดีที่สุด เขาทำซ้ำแล้วซ้ำอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีก เป็นสิบเป็นร้อยครั้ง กว่าจะได้แป้งที่พอดีกับการทำข้าวเกรียบ”
โชคนึ่งแป้ง ปาดเหงื่ออย่างเหน็ดเหนื่อย
“ได้ส่วนผสมที่ดีก็ยังต้องหากรรมวิธีการทำที่ดีด้วย”
โชคทอดข้าวเกรียบด้วยแววตามุ่งมั่น
“ไหนจะต้องทอดข้าวเกรียบให้พอดี”
โชคแพ็คข้าวเกรียบใส่ถุง
“ได้มาแล้วก็ยังต้องวิ่งหาที่รับซื้ออีก”
ปลาหลงฟ้า ตอนที่ 7 (ต่อ)
วิภาคุยกับน่านฟ้าด้วยสีหน้าจริงจัง
“ชีวิตในโลกของธุรกิจ มันไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบหรอกนะ”
น่านฟ้ามองวิภาด้วยความรู้สึกผิด
“แต่ผมกลัวจะทำไม่ได้อย่างที่พูดไว้ นี่เวลาก็ใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว”
“ได้แค่ไหนก็แค่นั้น ฉันเชื่อว่าแกทำดีที่สุดแล้ว ไม่ต้องคิดมากหรอกนะ”
น่านฟ้าตื้นตัน
“แม่ใหญ่ครับ ผมขออะไรแม่ใหญ่หน่อยได้มั้ยครับ”
วิภาชะงักมองน่านฟ้างงๆ
“ขออะไร ฮะ”
วิภายังพูดไม่ทันขาดคำ น่านฟ้าก็โผเข้ากอดเธอแน่น วิภางง แต่ก็ลูบหัวน่านฟ้าอย่างเอ็นดู สักพักน่านฟ้าผละออกจากวิภา หน้าระรื่นทันที
“ไม่คิดเลยนะครับว่า กอดของคนแก่จะอบอุ่นไม่แพ้สาวๆ เลย”
วิภาเขกมะเหงกน่านฟ้าทันที
“ไอ้ทะลึ่ง”
“ขอบคุณนะครับแม่ใหญ่ ผมจะไม่ท้อง่ายๆ ครับ ลูกชายคุณโชคแห่งมีโชคจะต้องไม่ทำให้พ่อ ให้แม่ใหญ่ และทุกคนผิดหวัง”
วิภายิ้มอย่างภูมิใจในตัวน่านฟ้า
ต๋องยืนพิงโต๊ะมัศยา พลางกินข้าวเกรียบไปด้วย
“จริงๆ ข้าวเกรียบคุณน่านก็ไม่ถึงกับแย่มากนะเจ๊ แค่ยังขาดอะไรบางอย่างไปแค่นั้นเอง”
“แต่ยังไงมันก็ยังไม่ดีพอที่จะเปิดตัวเป็นข้าวเกรียบตัวใหม่อยู่ดี”
“ก็จริง แล้วนี่เจ๊คิดว่าจะทำยังไงต่อ ผมเห็นสีหน้าคุณน่านวันนี้ ผมรู้เลยว่าแกผิดหวังแล้วก็เสียใจมาก ดูแล้วน่าสงสารเลยนะเจ๊”
มัศยาคิดตามพลอยสงสารไปด้วย ต๋องหันมาแซว
“ฮั่นแน่ ดูจากหน้าเจ๊ นี่เป็นห่วงเขาใช่เล่นนะเนี่ย”
มัศยาค้อนต๋องทันที หยิบข้าวเกรียบยัดใส่ปากต๋องเต็มๆ
“ถ้าปากว่างมากก็กินๆ เข้าไปเลยไป”
มัศยาหยุดชะงักคิด หาทางแก้ปัญหา
น่านฟ้าเดินออกมามุมหนึ่งของบริษัท สุกิจและภูริชเดินเข้ามาหา
“เป็นไงตาน่าน วันนี้เข้ามาทำงานด้วยเหรอ ปกติไม่เห็นหน้าเห็นตาเลย”
น่านฟ้ามองสุกิจยิ้มๆ ทำเหมือนไม่รู้อะไร
“ก็งานที่ออฟฟิศมันน่าเบื่อนี่ครับอาสุกิจ ผมเลยนั่งๆ นอนๆ อยู่บ้านบ้าง ไปกับสาวๆ บ้าง เป็นความสุขเล็กๆ ของคนวัยหนุ่มน่ะครับ”
สุกิจฟังก็หัวเราะชอบใจใหญ่
“เรานี่มันเหลือเกินจริงๆ แล้วที่ไปรับปากเขาไว้ว่าจะทำยอดขายล่ะ อย่าทำเป็นเล่นนะ หุ้นส่วนเขาจับตามองเราอยู่”
“ก็ให้เขามองไปเถอะครับ ผมก็จะหาวิธีในแบบฉบับของผมนี่แหละ”
“อ่ะ งั้นก็ดี อาเอาใจช่วยแล้วกันนะ”
“ขอบคุณครับอาสุกิจ งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”
น่านฟ้าเดินออกไป ภูริชรีบหันมาพูดกับสุกิจทันที
“อะไรจะใจเย็นขนาดนั้น ว่ามั้ยครับ”
“หึ คิดจะตบตาฉันเหรอ ไอ้เด็กเมื่อวานซืน คอยดูฉันบ้าง ว่าฉันจะทำให้แกอับอายขายหน้าได้ขนาดไหน”
สุกิจยิ้มร้าย
น่านฟ้าเดินมาที่รถ เห็นมัศยายืนอยู่ก็แปลกใจ
“อ้าวเจ๊ มายืนทำอะไรแถวนี้”
“เราลงเรือลำเดียวกันแล้ว จะให้ฉันทิ้งคุณคนเดียวได้ไง”
มัศยาเปิดประตูรถ
“เจ๊จะไปไหนเนี่ย”
“ก็ไปทำข้าวเกรียบกับคุณน่ะสิ มัวยืนอะไรอยู่ล่ะ ขึ้นรถสักทีสิ”
น่านฟ้าแอบยิ้มปลื้มๆ เดินไปเปิดประตูขึ้นรถบ้าง
ภูริชยื่นนามบัตรให้กับสุกิจ
“นี่ครับ นามบัตรผู้รับเหมาที่จะมาทำโรงงานให้”
สุกิจรับมา ยิ้มพอใจ
“คัดมาดีแล้วใช่มั้ย ผมไม่อยากเสียเวลาต้องเปลี่ยนผู้รับเหมาบ่อยๆ นะ”
“คนนี้เพื่อนผมไว้ใจได้ครับ”
“ดี งั้นนัดมาคุยกับผมได้เลย อ้อ แล้วนี่นิรชาส่งข่าวมาบ้างรึเปล่า ตั้งแต่ได้เงิน หายเงียบไปเลยนะ”
ภูริชชะงักหน้าเจื่อนๆ
“เอ่อ ช่วงนี้ผมยุ่งๆ เลยไม่ได้ติดต่อนิรชาเลยครับ”
“กำชับให้ด้วยว่า รับเงินไปแล้วช่วยทำงานให้คุ้มหน่อย ผมไม่ใช่คนที่ชอบเสียเงินฟรีๆ โดยไม่ได้อะไรคืนมานะ”
“ครับคุณสุกิจ”
ภูริชเดินไปที่ประตู ครุ่นคิด
น่านฟ้าและมัศยาเดินมาที่หน้าบ้านป้ามะลิ
“นี่ตกลงเรากำลังเริ่มนับหนึ่งใหม่อยู่ใช่มั้ย”
“ใช่ แต่เจ๊เคยท่องสูตรคูณมั้ย อย่างผมน่ะ ต้องใช้สูตรแบบก้าวหน้า สอง สี่ หก แปด สิบ เอาที่เร่งรัดกว่า หนึ่งสองสาม”
มัศยางงๆ
“เถอะน่า เดี๋ยวเจ๊ก็รู้เองแหละ”
น่านฟ้ารีบตะโกนเรียกป้ามะลิทันที
“ป้ามะลิคร้าบ อยู่บ้านมั้ยคร้าบ”
เวลาต่อมา ป้ามะลินั่งคุยอยู่กับน่านฟ้า พลางตักข้าวใส่จานยื่นให้ทั้งสองคน
“เห็นหายหัวไป ข้านึกว่าเอ็งสองคนจะเลิกมาช่วยข้าซะแล้วอีก”
“ได้ไงครับป้า ผมน่ะเป็นคนจริงใจ ไม่ใช่จะทิ้งใครง่ายๆ นะครับ”
น่านฟ้าพูดพลางหันไปยักคิ้วให้มัศยา มัศยาเบ้หน้ารังเกียจ
“อ่ะ งั้นก็กินข้าวกินปลาซะ จะได้มาช่วยข้านวดแป้งต่อ”
น่านฟ้ารีบตักกับข้าวใส่จานให้ป้ามะลิ
“นี่ครับป้า ทานเยอะๆ นะครับจะได้แข็งแรง”
ป้ามะลิมองเหล่ๆ ก่อนจะหันมาพูดกับน่านฟ้า
“เออ ขอบใจนะ”
น่านฟ้าตักข้าวใส่ปากเคี้ยวตุ้ยๆ แล้วนึกอะไรได้ รีบลุกพรวดไปหยิบแก้วน้ำกับน้ำมารินให้
“น้ำครับป้า เผื่อข้าวติดคอ”
ป้ามะลิมอง หันมาขอบใจ
“เอ้อ ดีๆ”
น่านฟ้าเห็นป้ามะลิปาดเหงื่อ ก็รีบลุกพรวดไปยกพัดลมมาวางใกล้ๆ
“ร้อนใช่มั้ยครับ นี่ พัดลมเย็นๆ คลายร้อน ยุงจะได้ไม่กัดด้วย”
มัศยามองน่านฟ้าอย่างจับผิด ป้ามะลิวางช้อนลงทันที
“เอาล่ะ อยากได้อะไรจากข้า ว่ามาเลยดีกว่า ถ้าขืนสอพลออีกครั้งเดียว ข้าเตะโด่งออกจากบ้านจริงๆ ด้วย รำคาญจริง”
น่านฟ้าหน้าเจื่อนไป
“อุ๊ย ป้ามะลิฉลาดจัง รู้ด้วยอ่ะ”
“อย่าว่าแต่ป้ามะลิเลย ฉันยังรู้เลย ฉันว่ามีอะไรบอกป้ามะลิตรงๆ ดีกว่ามั้ยคุณน่าน”
น่านฟ้ายิ้มแหยๆ
“ก็ได้ งั้นรอเดี๋ยวนะครับ”
น่านฟ้าลุกพรวดออกไปทันที
ป้ามะลิพิจารณาข้าวเกรียบของน่านฟ้า ก่อนจะลองชิมดู มัศยากับน่านฟ้าลุ้นไปด้วย
“เป็นไงบ้างคะป้า ฝีมือคุณน่านกับหนู”
ป้ามะลิหันไปที่ถังขยะข้างๆ แล้วบ้วนทิ้ง น่านฟ้าและมัศยาหน้าเจื่อน
“ให้หมากินหมามันยังด่าเลย ข้าวเกรียบอะไรวะเนี่ย”
“โห ป้าพูดไม่ถนอมน้ำใจกันเลยนะครับ”
“ก็ข้าคนจริงใจ คิดยังไงก็พูดอย่างนั้น นี่อย่าบอกนะว่าจะเอาไอ้แผ่นๆ กระดาษทรายทอดนี่ไปผลิตขายที่มีโชค คนซื้อได้ด่ากันขรมพอดี”
น่านฟ้าจ๋อยกว่าเดิม มัศยาเห็นน่านฟ้าจ๋อยก็รีบโพล่งขึ้นทันที
“จริงค่ะป้า รสชาติสุนัขไม่รับประทานแม้แต่นิดเดียว”
“อ้าวเฮ้ย”
“อย่าว่าแต่สุนัขเลย แมลงวันเผลอไปตอมยังแทบสลบ แมวดมยังซมไข้ แม้แต่ควาย”
ป้ามะลิได้ฟังก็รีบแทรกขึ้นทันที
“พอๆ เลยนังหนู จะขยี้ซ้ำเติมกันไปถึงไหน ความจริงมันก็ไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้นหรอก”
“แต่หนูเชื่อป้านะคะว่ามันแย่จริงๆ”
“ก็เพราะพวกเอ็งมือไม่นิ่งพอ ของแบบนี้มันต้องผ่านการฝึกฝนด้วย ทั้งการนวดแป้ง ทั้งการทอด โอ๊ย ทำไมข้าต้องมาเจอเอ็งสองคนด้วยนะ”
ป้ามะลิลุกพรวดขึ้นทันทีด้วยความรำคาญ
“ไปๆ กลับบ้านกันไปได้แล้ว”
มัศยาและน่านฟ้าหน้าเจื่อน
“อ้าว ไล่กันดื้อๆ เลยเหรอครับป้า”
“เออ รีบกลับไปนอนไป พรุ่งนี้มาช่วยข้าขายแต่เช้า แล้วข้าจะบอกเทคนิคให้”
น่านฟ้าและมัศยายิ้มดีใจมาก
น่านฟ้าและมัศยาเดินคุยกันมาถึงหน้าบ้านหญิงสาว น่านฟ้าตื่นเต้นมาก
“ตอนแรกผมก็นึกว่าเจ๊เพี้ยนไปรึเปล่า อยู่ๆ มาด่าข้าวเกรียบฝีมือตัวเอง ไม่คิดเลยว่าป้าแกจะบ้าจี้ตามเจ๊ด้วย”
“ฉันว่าคนอย่างป้ามะลิน่ะ ใจดีจะตาย แต่ปากแกร้ายไปอย่างนั้นเองแหละ”
“เหมือนเจ๊ใช่มั้ย ปากร้ายแต่”
มัศยาชะงัก ขณะที่น่านฟ้าส่งสายตาหวานซึ้ง
“น่ารัก”
มัศยาชะงักเก็บอาการอายแทบไม่อยู่ เลยแกล้งทำเป็นไม่พอใจ
“นี่คุณน่าน อย่ามาทำท่าทางเจ้าชู้ใส่ฉันนะ ฉันไม่ชอบ”
มัศยาหันขวับจะเดินหนี น่านฟ้ารีบดึงแขนไว้
“เดี๋ยวสิเจ๊ จะรีบไปไหนอ่ะ เขาพูดความจริงแค่นี้ก็ต้องโมโหด้วย”
“ก็เพราะปากผู้ชายอย่างคุณน่ะ มันหาความจริงไม่ได้น่ะสิ”
“โห พูดอย่างนี้ผมเสียใจนะ ผมอุตส่าห์มองว่าเจ๊น่ารัก ดีกว่ามองว่าเจ๊หน้ายักษ์เป็นไหนๆ เอามั้ยล่ะ ให้เรียกเจ๊หน้ายักษ์น่ะ หน้ายักษ์ หน้ายักษ์ หน้ายักษ์”
มัศยายั้วขึ้นมา เงื้อหมัดขึ้น
“ว่าฉันหน้ายักษ์เหรอ”
น่านฟ้าคว้าหมัดมัศยาได้รีบดึงมือมาวางแทบอก
“อ่ะ ไม่ว่าก็ไม่ว่า”
มัศยารู้สึกหวั่นไหวไปกับน่านฟ้า ทันใดนั้นเองเสียงของสินธุก็ดังขึ้น
“หยี”
มัศยาและน่านฟ้าหันมาเห็นสินธุยืนอยู่อย่างเอาเรื่อง
“นี่มันอะไร ฮะ คิดจะจีบแฟนฉันรึไง”
น่านฟ้านิ่งเงียบ มัศยาเห็นท่าไม่ดีรีบปราดเข้ามาห้าม
“ไม่มีอะไรหรอกสินธุ เข้าบ้านดีกว่า ขอบคุณมากนะคะที่มาส่ง”
มัศยาลากแขนสินธุให้เข้าบ้าน น่านฟ้าตะโกนไล่หลัง
“ทำเป็นหวงก้าง ระวังพฤติกรรมตัวเองให้ดีก่อนเถอะ อย่าคิดว่าคนอื่นไม่รู้”
สินธุได้ยินก็ชะงัก รีบหันมาเอาเรื่อง
“พูดแบบนี้หมายความว่าไง”
น่านฟ้ายิ้มเยาะ
“ของแบบนี้น่าจะรู้อยู่แก่ใจตัวเองนะ”
น่านฟ้าพูดจบก็เดินออกไปเลย สินธุหน้าเสียเหมือนรู้ตัว แต่แกล้งทำเป็นเหวี่ยงกับมัศยา
“หยี ผมว่าเรามีเรื่องต้องคุยกัน”
สินธุดึงแขนมัศยาเข้ามาในบ้านอย่างอารมณ์เสีย ตั้งใจเอาเรื่อง มัศยากังวลรู้สึกผิด
“หยีทำแบบนี้ได้ยังไง พอผมไม่อยู่หยีก็ไปอี๋อ๋อกับมันเนี่ยนะ”
“ใจเย็นๆ ก่อนสินธุ หยีไปทำงานนะคะ แล้วคุณน่านเขาก็เป็นเจ้านายหยี”
“สมภารกินไก่วัดต่างหาก ผมมองตามันก็รู้ว่ามันน่ะจ้องจะกลืนกินหยีอยู่แล้ว”
“พูดจาน่าเกลียดน่ะสินธุ หยีกับคุณน่านไม่เคยคิดอะไรแบบนั้นกันเลยนะ”
“งั้นปล่อยให้มันจับมือถือแขนทำไม”
มัศยาหน้าเจื่อนเถียงไม่ออก
“หยีทำให้ผมผิดหวังมากเลยนะ หยีก็รู้ว่าผมรักหยีมากแค่ไหน”
สินธุทิ้งตัวนั่งลงทำเป็นเศร้าเสียใจมาก มัศยารู้สึกผิด เข้ามานั่งข้างๆ สินธุแล้วกอดแขนไว้
“หยีขอโทษ ต่อไปหยีจะไม่ทำให้สินธุรู้สึกไม่ดีอีกแล้ว”
สินธุแกะมือมัศยาออกอย่างไม่พอใจ
“พอเถอะ ผมไม่อยากฟัง”
สินธุลุกขึ้นจะเดินหนี แต่มัศยารั้งไว้
“อภัยให้หยีได้มั้ยสินธุ หยีขอโทษจริงๆ”
มัศยาน้ำตาไหลพรากด้วยความเสียใจ สินธุทำใจอ่อน หันมามองมัศยา ดึงหัวเธอเข้ามาแนบ
อก
“ไม่เอาไม่ร้องน่าหยี”
มัศยาร้องไห้หนัก สินธุจูงมือหญิงสาวกลับมานั่งที่เดิม
“โอเคๆ ผมไม่โกรธแล้ว ผมแค่กำลังมีเรื่องไม่สบายใจเลยมาลงกับหยี ผมขอโทษนะ”
มัศยาหันมาถามสินธุด้วยความสงสัย
“เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ”
“ผมพลาดเอง ไปเซ็นค้ำประกันซื้อรถให้เพื่อน พอเพื่อนหนีหนี้ผมเลยต้องรับภาระแทน”
มัศยาหน้าเสีย
มัศยาเดินเข้ามาในห้อง เปิดลิ้นชักแล้วหยิบซองกระดาษ ดึงเงินปึกหนึ่งออกมาอย่างครุ่นคิด แล้วนำมายื่นเงินให้สินธุ สินธุแกล้งทำเป็นเกรงใจ
“นี่สินธุรบกวนหยีรึเปล่า”
“เอาไปเถอะ จริงๆ หยีมีแค่เจ็ดหมื่นนี่แหละค่ะ แต่ไม่เป็นไร อาทิตย์หน้าก็สิ้นเดือนแล้ว เดี๋ยวเงินเดือนหยีก็ออก”
สินธุรีบเก็บเงินลงกระเป๋าแล้วคว้ามือมัศยามาจูบ
“ขอบคุณหยีมากนะครับ ถ้าไม่มีหยีผมเองก็ไม่รู้จะทำยังไง”
“แต่มันยังไม่พอเท่าหนี้ที่สินธุต้องรับผิดชอบนะ”
“นั่นสิ แต่เดี๋ยวสินธุจะลองหาทางอีกที”
มัศยามองสินธุด้วยความเห็นใจ
“เอาอย่างนี้นะ ถ้าหยีหามาได้อีก หยีจะช่วยอีกทีแล้วกัน”
สินธุชะงักพอใจ แต่เก็บอาการไว้
“ขอบคุณหยีมากนะ ผมรักหยีที่สุดเลยรู้มั้ย”
มัศยายิ้มรับ
“ดึกแล้ว ผมไม่กวนหยีดีกว่า ฝันดีนะครับ”
“ค่ะ”
สินธุรีบเดินออกไป สมใจยืนดูอยู่มุมหนึ่ง นะดีรีบเดินตามลงมา
“คุณยายขา”
มัศยาได้ยินเสียงนะดีก็รีบหันไปมองด้วยความตกใจ
นะดีหลับอยู่บนเตียง สมใจเดินเข้ามาคุยกับมัศยาอย่างไม่พอใจ
“คิดดีแล้วเหรอถึงได้ช่วยสินธุขนาดนั้น”
มัศยาหน้าเจื่อน หันมาทำเป็นยิ้มกลบเกลื่อน
“เงินมันก็ไม่ได้มากอะไรนี่คะแม่”
“อย่าลืมสิว่าเรายังต้องเลี้ยงนะดี ต้องรับผิดชอบอะไรอีกเยอะ เขาเป็นผู้ชายทำไมไม่ให้เขาไปดิ้นรนหาเอง จะได้รู้กันไปว่าคนๆ นี้จะพาครอบครัวไปรอดมั้ย”
“แต่หยี”
“ไม่ต้องแก้ตัวออกหน้ารับแทนสินธุหรอก แม่อยากให้หยีคิดดีๆ ใครที่รักเราจริงเขาต้องไม่ทำให้เราลำบาก หยีลองทบทวนดีๆ ซิว่าตั้งแต่คบสินธุ เขาทำให้หยีลำบากมากี่ครั้งแล้ว”
สมใจพูดจบก็เดินออกไป มัศยาหน้าเจื่อน สะเทือนใจไม่น้อย
ปลาหลงฟ้า ตอนที่ 7 (ต่อ)
เสียงออดดังย้ำๆๆ หลายครั้ง ปารณเดินมาที่ประตูด้วยความหงุดหงิด
“มาแล้วๆๆๆ โอ๊ย อะไรจะใจร้อนขนาดนั้น”
ปารณเปิดประตูออกมา น่านฟ้าเดินเบียดเข้ามาเลย
“ฉันหงุดหงิดมาก ห้ามแกพูดจากวนประสาทเด็ดขาด ไม่งั้นฉันกัดแกสะบัดไปสะบัดมาจริงๆ ด้วย”
“โอ้โห นี่มันหมาบ้าชัดๆ เป็นไร ฮะ ถึงได้ถ่อมาหาเรื่องฉันดึกๆ ดื่นๆ แบบนี้”
“โมโหเจ๊โหดน่ะสิวะ ฉลาดได้ทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องเดียว เรื่องผู้ชาย”
น่านฟ้าทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาอย่างไม่สบอารมณ์
“แล้วแกจะไปเดือดร้อนอะไรนักหนา ฉันเห็นแกมีอาการแบบนี้หลายทีแล้วนะ นี่อย่าบอกนะว่าตกหลุมรักผู้ช่วยเข้าให้แล้ว”
น่านฟ้าสะอึก
“ใครบอก ฉันแค่นับถือเจ๊เขาเหมือนญาติผู้ใหญ่ ถ้าญาติผู้ใหญ่แกกำลังจะโดนหลอก แกจะเดือดร้อนมั้ย”
“เดือดร้อน แต่จะไม่ออกอาการอย่างกับหึงแบบนี้”
น่านฟ้าหัวแทบคะมำ
“สาบานว่านั่นปาก ที่พูดออกมาน่ะ”
“สาบานมั้ยล่ะว่าฉันพูดผิด”
น่านฟ้าอึกอักไม่รู้จะแก้ตัวอย่างไรดี
“คิดผิดจริงๆ ที่มาที่นี่ อารมณ์เสียจริงเว้ย”
น่านฟ้าลุกแล้วเดินออกไปเลย ปารณมองตามงงๆ
“เฮ้ย นี่นึกจะมาก็มา นึกจะไปก็ไปแบบนี้เลยเหรอวะ แล้วนี่แกจะไปไหนวะ”
“ไปหาน้องนิ้ม”
“ไปหาน้องนิ้ม นิรชา”
ปารณรีบตะโกนไล่หลังตามไปทันที
“แม่เขาป่วยอยู่ แกไม่ต้องไปเลยนะไอ้น่าน”
ปารณหงุดหงิดฮึดฮัด
มัศยานั่งเหม่ออยู่ที่ห้อง ครุ่นคิดถึงเรื่องที่น่านฟ้าตะโกนไล่หลังสินธุ ให้สินธุระวังพฤติกรรมตัวเอง และตอนที่สมใจเตือนว่าถ้าสินธุรักมัศยาจริงต้องไม่ทำให้เธอลำบาก มัศยาถอนหายใจเฮือกใหญ่ ไม่สบายใจอย่างมาก
คืนนั้น น่านฟ้านอนอยู่บนเตียง นึกถึงเรื่องที่เจอสินธุแล้วเซ็งๆ
“เจ๊เขาเป็นอะไรของเขาวะ ความรักบังตาเหรอ กำลังโดนแฟนหลอกแท้ๆ ไม่รู้ตัว ทีเรื่องอื่นน่ะเก่งนัก”
น่านฟ้าบ่นกับตัวเองอย่างหัวเสีย เสียงโทรศัพท์มือถือของเขาดังขึ้น เขาหยิบขึ้นมาดูเห็นว่าเป็นเบอร์ของ แอนนา
“สวัสดีครับแอน”
น่านฟ้ารับสายกึ่งแปลกใจกึ่งดีใจ
คืนนั้น น่านฟ้ากับแอนนานัดมาเจอกันที่ร้านแห่งหนึ่ง
“ไหนแอนบอกว่าจะอยู่ที่โน่นอีกหลายเดือน”
“ถ้าตามสเกลดวลก็อีกหลายเดือนค่ะ แต่พอดีแอนได้เบรกงานก็เลยบินกลับมาหาน่าน คิดถึงค่ะ แต่น่านทำเหมือนไม่ดีใจที่เจอแอนเลย”
“ดีใจสิครับ ผมก็คิดถึงแอนเหมือนกัน”
น่านฟ้าบอกเสียงเรียบๆ
“แต่สีหน้ากับน้ำเสียงของน่านไม่บอกเลยนะคะว่าคิดถึง ยังโกรธแอนเรื่องนั้นอยู่เหรอคะ”
น่านฟ้านึกถึงเรื่องราวในอดีต ขณะอยู่ในอพาร์ทเมนต์ที่เมืองนอก แอนนาเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าเดินทางใบเล็ก เขานั่งดูอยู่ใกล้ๆ
“ตกลงแอนจะไปจริงๆ เหรอ”
“จริงสิคะน่าน แอนรอโอกาสนี้มาตั้งนาน กว่าจะให้เอเจนซี่ยอมรับมันไม่ง่ายเลยนะน่าน แอนกำลังจะได้เป็นนางแบบอาชีพ ไม่ใช่ถ่ายสวยๆ เหมือนอยู่เมืองไทย แอนไม่ทิ้งมันไปง่ายๆ หรอก”
“แอนก็เลยเลือกที่จะทิ้งผมแทน”
น่านฟ้าบอกอย่างน้อยใจ แอนนาหยุดเก็บของแล้วหันมามองน่านฟ้าก่อนจะเดินมานั่งลงข้างๆ
“น่านก็ไปกับแอนสิ ไปอยู่ด้วยกันที่โน่น”
“แล้วแอนจะให้ผมไปทำอะไร ถือกระเป๋าเดินตามแอนยังงั้นเหรอ แอนไปเถอะ ผมรับปริญญาเสร็จแล้วก็จะบินกลับเมืองไทยเลย”
“ถ้าน่านคุยไม่รู้เรื่องแบบนี้แอนไม่คุยด้วยดีกว่า เรื่องของเราก็แล้วแต่น่านจะตัดสินใจก็แล้วกัน แอนไปแล้วนะคะ”
แอนนาหอมแก้มน่านฟ้าแล้วก็หิ้วกระเป๋าเดินออกไป
น่านฟ้าแอบถอนหายใจเมื่อคิดถึงเรื่องที่ผ่านมา
“ผมไม่มีสิทธิ์ไปโกรธแอนหรอก คนเราต้องมีทางที่เลือกจะเดินของตัวเอง แต่ทางของผมกับแอนมันอาจจะเป็นทางขนานกันเท่านั้นเอง”
“พูดแบบนี้แสดงว่ายังโกรธ น่านนี่ยังเหมือนเดิมไม่มีผิดเลย พยายามเก็บความรู้สึกแต่ไม่เคยสำเร็จสักที”
“แล้วนี่แอนจะอยู่เมืองไทยกี่วัน”
“ยังไม่รู้เลยค่ะ ไม่แน่นะถ้าอยู่แล้วมีความสุขแอนอาจจะไม่กลับไปโน่นเลยก็ได้”
แอนนาส่งสายตาไปที่น่านฟ้าเป็นนัยๆ ว่าความสุขของเธอคือเขา
“ผมมีเรื่องที่คงต้องขอให้แอนช่วยเรื่องหนึ่ง”
“เรื่องอะไรคะ แอนเต็มใจช่วยน่านทุกเรื่องอยู่แล้ว”
“ผมอยากให้แอนช่วยปิดเรื่องที่ผมคือมิสเตอร์คินแล้วก็เป็นหุ้นส่วนบริษัทกับนายเป้ ผมกำลังทำงานสำคัญอยู่ เรื่องนี้มันจะแพร่งพรายออกไปไม่ได้”
“เรื่องแค่นี้เองไม่มีปัญหาค่ะ แต่แอนก็มีเรื่องจะขอน่านเหมือนกัน เรากลับมาเป็นเหมือนเดิมกันนะคะ”
“ผมขอเวลาหน่อยนะแอน บอกตรงๆ ว่าผมกลัว คุณอยากจะไปคุณก็ไป อยากจะมาคุณก็มา ผมทำตัวไม่ถูก”
“ได้ค่ะ แอนจะรอ”
น่านฟ้าใช้ความคิด
ตอนเช้า น่านฟ้ากับมัศยามาช่วยป้ามะลิขนของที่ร้านจนเสร็จ ทั้งสองดูเหม่อลอยเพราะต่างคนต่างมีเรื่องคิด
“เอ็งสองคนมานั่งตรงนี้”
ป้ามะลิกวักมือเรียก น่านฟ้ากับมัศยาเดินเข้าไปนั่งตรงที่ป้ามะลิบอก
“เอ็งเป็นอะไรกันทั้งคู่เลย ท่ายังกะวิญญาณไม่เข้าร่าง”
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะป้า”
“ไม่มีอะไรหรอกครับป้า”
ทั้งสองพูดออกมาพร้อมกันเหมือนกัน ต่างมองหน้ากันแล้วก็ถอนหายใจ
“เอาข้าวเกรียบของเอ็งมาหรือเปล่าไอ้หนุ่ม”
“เอามาครับป้า”
น่านฟ้าส่งถุงใส่ข้าวเกรียบให้ป้ามะลิ ป้ามะลิรับไปเปิดถุงออกแล้วหยิบข้าวเกรียบส่งให้น่านฟ้ากับมัศยาคนละชิ้น
“ให้กินอีกเหรอป้า ผมกินจนลิ้นจะเสื่อมแล้วเนี่ย”
น่านฟ้าโอด
“นี่คุณน่าน ข้าวเกรียบสูตรตัวเองคุณยังไม่อยากกินแล้วจะเอาไปขายใครเขาได้”
“แล้วเจ๊ล่ะอยากกินเหรอ”
“ฉันไม่ได้เป็นคนคิดสูตรนี่”
“ไม่ต้องเถียงกันเลย กินเข้าไปทั้งคู่นั่นแหละ”
ป้ามะลิว่าเสียงดัง น่านฟ้ากับมัศยาจ๋อยๆ ทั้งคู่เอาข้าวเกรียบใส่ปากแล้วเคี้ยว
“เป็นไง”
“ก็เหมือนเดิมนี่ครับป้า เกือบอร่อย”
“ใช่ ของเอ็งน่ะเกือบอร่อย แต่ของข้าน่ะอร่อยแล้ว รู้มั้ยว่าเพราะอะไร เอ้าลองกินแล้วเปรียบเทียบกันดู”
ป้ามะลิส่งข้าวเกรียบของตัวเองให้น่านฟ้ากับมัศยา ทั้งคู่รับไปกิน
“ข้าวเกรียบของคุณน่านมันหอมกลิ่นใบเตยจางๆ แต่ข้าวเกรียบของป้ามะลิได้ทั้งกลิ่นและรสชาติของฟักทอง”
“แสดงว่าถ้ามีรสชาติของใบเตยด้วยก็จะอร่อยขึ้นใช่มั้ยครับป้า”
“ไม่รู้โว้ย ของแบบนี้ต้องลองถึงจะรู้ จะมามโนเอาเองไม่ได้หรอก”
ป้ามะลิว่าแล้วก็หันไปสนใจเตรียมทอดข้าวเกรียบ ที่หน้าร้านเริ่มมีลูกค้าวนเวียนมารอซื้อข้าวเกรียบแล้ว
“ไปกันเถอะเจ๊”
“จะไปไหน แล้วไม่อยู่ช่วยป้ามะลิเหรอ”
“เอ็งสองคนจะไปไหนก็ไปเถอะ ข้าทำคนเดียวได้ พวกเอ็งอยู่ก็เกะกะเปล่าๆ”
ป้ามะลิแกล้งว่า น่านฟ้ารีบจูงมือมัศยาออกไป ป้ามะลิมองตามทั้งคู่ไปยิ้มๆ
น่านฟ้ากับมัศยาอยู่ในครัวบ้านบ้านน่านฟ้า มีวัตถุดิบและอุปกรณ์การทำแป้งข้าวเกรียบวางอยู่รวมทั้งใบเตยเขียวสดอีกกำหนึ่ง น่านฟ้าหั่นใบเตยออกเป็นชิ้นๆ แล้วเอาใส่เครื่องปั่น
“คุณจะทำอะไรน่ะคุณน่าน”
“รสชาติของใบเตยไง”
สุกัญญาเข้ามายืนดู
“ไงจ๊ะ เชฟใหญ่ จะทานได้มั้ยนั่น”
“ไม่ใช่แค่ทานได้นะครับแม่ แต่ทานอร่อยด้วย”
น่านฟ้าโม้ สุกัญญายิ้มๆ ก่อนจะเดินกลับออกไป
“มันจะอร่อยจริงๆ เหรอคุณน่าน”
“ของแบบนี้มันต้องลองถึงจะรู้”
น่านฟ้าเอาคำพูดของป้ามะลิมาใช้
วันรุ่งขึ้น น่านฟ้าเอาข้าวเกรียบใบเตยสีเขียวสวยส่งให้ป้ามะลิ
“เอ็งสองคนลองกินดูหรือยัง รสชาติเป็นยังไงบ้าง”
“ผมกับเจ๊ยังไม่ได้ชิมเลยครับ ตั้งใจเอามาให้ป้าเปิดซิงเลยเนี่ย”
“กะจะให้ข้าท้องเสียว่างั้นเถอะ”
ป้ามะลิว่าแล้วก็กัดแล้วเคี้ยวข้าวเกรียบก่อนจะถ่มออกมา
“ข้าวเกรียบอะไรของเอ็งวะทำไมมันเหม็นเขียวแบบนี้”
“ก็ข้าวเกรียบใบเตยไงล่ะป้า”
“เอ็งทำยังไง”
“คุณน่านเขาเอาใบเตยมาปั่นละเอียดแล้วผสมลงไปในแป้งค่ะป้า”
“ข้านึกแล้วว่าต้องเป็นแบบนั้น”
“ผมทำไม่ถูกเหรอครับป้า”
น่านฟ้าถามหน้าจ๋อยๆ
“ถ้ารสชาติแบบนี้บอกได้เลยว่าเจ๊ง แต่ไม่ต้องใจเสียไปไอ้หนุ่ม เท่ากับตอนนี้เอ็งรู้แล้วว่าวิธีไหนมันไม่ถูก แล้วก็หาวิธีที่มันถูกมาทำก็สิ้นเรื่อง”
“ถูกอย่างที่ป้าแกบอกนะคะคุณน่าน ถ้าไม่มีผิดมันก็ไม่มีถูก เราต้องลองจนกว่ามันจะถูกนะคะ”
“เอ็งสองคนตามข้ามานี่”
ป้ามะลิบอกแล้วก็เดินไปทางครัว น่านฟ้ากับมัศยามองหน้ากันงงๆ แต่ก็เดินตามไปโดยดี
“เอ็งสองคนรู้มั้ยว่าทำไมเขาถึงต้องเอาใบชาไปตากให้แห้งก่อนที่จะเอามาชงกิน”
“ถ้าเอามาชงตอนสดๆ มันจะเหม็นเขียวหรือเปล่าคะป้า”
“นังหนูนี่เก่งแฮะเข้าใจอะไรง่าย ไม่เหมือนไอ้หนุ่มนี่”
ป้ามะลิชมแล้วก็อดแขวะน่านฟ้าไม่ได้
“โธ่ป้า ผมก็ตอบได้ว่าจะตอบอยู่แล้วแต่เจ๊แย่งตอบซะก่อน แล้วชามันเกี่ยวอะไรกับข้าวเกรียบผมล่ะป้า”
“แล้วบอกว่ารู้เรื่อง ถ้าชาตากแห้งมันไม่เหม็นเขียว ใบเตยมันก็ต้องไม่เหม็นเขียวเหมือนกันน่ะสิวะ”
น่านฟ้าตาโตเข้าใจ
“ถ้าผมคั้นน้ำใบเตยแล้วเอากากไปตากให้แห้งเอามาปั่นผสมลงไปในแป้งข้าวเกรียบพร้อมกับใส่น้ำใบเตยไปด้วยผมก็จะได้ข้าวเกรียบที่มีทั้งกลิ่นและรสชาติของใบเตยใช่มั้ยป้า”
“ไม่รู้โว้ย”
“ของแบบนี้มันต้องลองถึงจะรู้
ทั้งสามพูดพร้อมกัน
ที่ห้องทำงานของสุกิจ สุกิจกำลังอารมณ์เสียเรื่องของน่านฟ้า
“ช่วงนี้ความเคลื่อนไหวของไอ้น่านฟ้าเป็นยังไงบ้าง”
“ไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรเลยครับคุณสุกิจ”
“ไม่มีหรือมีแต่ไม่รู้กันแน่ เมื่อวันก่อนมันบอกว่าจะแก้ปัญหาตามวิธีของมัน แสดงว่ามันก็ไม่ได้นิ่งดูดายรอเวลาโดนปลดแน่ๆ ข่าวจากทางนิรชาล่ะว่าไงบ้าง”
“ไม่มีข่าวอะไรเหมือนกันครับ”
ภูริชตอบเสียงอ่อยๆ
“อะไรกันวะ ถามอะไรก็ไม่รู้เรื่องเลยสักอย่าง หรือว่าฉันต้องไปหาข้อมูลเอาเอง”
สุกิจโวยวาย
“เดี๋ยวผมจะรีบตามเรื่องให้เลยครับคุณสุกิจ”
ภูริชบอกอย่างเกรงๆ
นิรชาเช็ดตัวให้แม่อยู่ในบ้าน
“เช็ดตัวหน่อยนะคะแม่ จะได้สดชื่น”
“แม่ไม่คิดเลยว่าจะต้องกลายเป็นภาระให้ลูกตอนแก่”
“ภาระที่ไหนกันล่ะแม่ ตอนหนูเด็กๆ แม่ก็อาบน้ำให้หนู ตอนหนูไม่สบายแม่ก็ทั้งเช็ดตัวทั้งป้อนข้าว แม่ยังไม่เคยเห็นหนูเป็นภาระเลย ตอนนี้หนูเต็มใจทำให้แม่ ไม่คิดว่าเป็นภาระเหมือนกัน”
“ขอบใจมากนะลูกนิ”
นารีบอกน้ำตาคลอๆ แล้วก็นิ่งเงียบให้นิรชาเช็ดตัวไป จากนั้น นิรชาถือชามข้าวต้มลงมานั่งข้างๆ แม่
“ทานข้าวนะคะแม่ จะได้มีแรง”
“คอมันตีบตันไปหมด กินอะไรไม่ลงเลยลูกเอ๊ย”
“ยังไงก็ต้องกินให้ได้นะคะแม่ ถ้าแม่ไม่กินอะไรเลยเดี๋ยวจะยิ่งทรุดไปกันใหญ่”
นิรชาบอกแล้วก็ตักข้าวต้มป้อนให้แม่ที่พยายามฝืนกินตามที่ลูกบอก
น่านฟ้า มัศยา ป้ามะลิ อยู่ในห้องครัวบ้านป้ามะลิ
“ไปกันเถอะเจ๊”
“จะไปไหนอีกล่ะคุณน่าน”
“ก็ไปทำข้าวเกรียบสูตรใบเตยแบบที่ป้าแกบอกไง”
“ไม่ต้องไปไหนให้มันเสียเวลาหรอก ข้าเตรียมของเอาไว้ให้เอ็งแล้ว”
ป้ามะลิบอกแล้วก็เดินไปหยิบถาดใส่ใบเตยตากแห้งเอามาส่งให้
“โอ้โห ป้านี่รู้ใจสุดๆ”
“เดี๋ยวถ้าเอ็งทำเสร็จแล้วเอ็งก็ต้องเอามาให้ข้าชิมอยู่ดี แล้วพอมีปัญหาก็มาถาม กลับไปแก้ปัญหาแล้วก็มาถาม มันเสียเวลา เอ็งทำซะที่นี่แหละมีอะไรจะได้ถามตอบกันซะทีเดียว”
ป้ามะลิบอกอย่างนั้นเพราะวางแผนบางอย่างไว้แล้ว
นิรชานั่งดูแม่หลับด้วยความเพลีย เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น เธอรีบหยิบมาดู เห็นเป็นเบอร์ของภูริช จึงกดรับแล้วเดินเลี่ยงไปคุยอีกมุมหนึ่ง
“คุณโทรมาทำไมคุณภูริช”
“เธอคงจะลืมแล้วมั้งว่ายังทำงานให้นายผมไม่เสร็จ เรามีเรื่องต้องคุยกัน ฉันจะรอเธออยู่หน้าซอย ถ้าไม่อยากให้ฉันไปรับถึงในบ้านก็รีบออกมาเร็วๆ ฉันไม่ชอบรอใครนานๆ”
ภูริชวางสายไป นิรชาถอนหายใจด้วยความกลุ้ม หันไปดูแม่ก็เห็นว่าลืมตามองเธออยู่
“ใครโทรมาน่ะลูก”
“ที่ทำงานเขาโทรมาตามน่ะค่ะแม่”
“งั้นก็รีบไปเถอะลูกไม่ต้องห่วงแม่อยู่คนเดียวได้”
นารีรีบบอกเพราะคิดว่าเป็นเรื่องสำคัญ นิรชาแอบถอนหายใจลึก เมื่อไหร่จะพ้นเรื่องพวกนี้สักทีนะ
นิรชาเดินไปที่รถของภูริชที่เปิดกระจกรออยู่หน้าปากซอย
“คุณภูริชมีธุระอะไรก็ว่ามาเลย”
“เธอขึ้นรถมาก่อน เราต้องคุยกันยาว”
“คุยกันตรงนี้ก็ได้”
นิรชาพยายามบ่ายเบี่ยงไม่ยอมขึ้น
“ใครเขาคุยธุระกันข้างถนนบ้างล่ะ ขึ้นมาเหอะ หรือว่าจะต้องให้ฉันลงไปอุ้ม”
ภูริชถามเสียงขู่ๆ แล้วก็เอื้อมมือมาเปิดประตูให้ นิรชาก้าวขึ้นรถอย่างเสียไม่ได้ ภูริชแล่นรถออกไป
“นายฉันอยากรู้ว่าเรื่องของเธอกับไอ้น่านฟ้าไปถึงไหนแล้ว”
“ฉันไม่เจอคุณน่านฟ้าหลายวันแล้ว คุณน่านฟ้าบอกว่าไม่ว่าง ล่าสุดโทรไปก็ไม่รับสาย”
นิรชาตัดสินใจโกหกออกไป
“สรุปก็คือเธอทำงานไม่สำเร็จ อย่าลืมสิว่าเธอรับเงินนายฉันไปแล้วนะ”
“ฉันก็ทำงานให้เต็มที่แล้วนะยังจะเอาอะไรอีก”
นิรชาบอกกึ่งๆ โมโห ภูริชไม่ตอบ แต่แอบยิ้มร้าย
ปารณนั่งอยู่ในรถ พลางคุยโทรศัพท์กับน่านฟ้า
“แกบอกว่ากำลังทำอะไรนะ คิดสูตรข้าวเกรียบเหรอ แกจะทำเองทำไมวะไอ้น่าน แค่แกไปจ้างพวกฟู้ดซายน์ หรือเชฟเก่งๆ คิดให้ก็หมดเรื่อง เอาเถอะๆ ตามใจแกว่ะ แค่นี้นะ”
ปารณกดวางสาย รถติดไฟแดงพอดี เขาก้มลงหยิบแผ่นซีดีจะฟัง พอเงยหน้าก็พอดีกับที่รถของภูริชแล่นเข้ามาจอดติดไฟแดงข้างๆ แต่เยื้องไป ปารณเห็นว่านิรชานั่งหน้าบึ้งๆ อยู่ในรถก็เขยิบรถขึ้นดูว่ามากับใคร พอเห็นว่าเป็นภูริชก็บ่นกับตัวเองอย่างหัวเสีย
“รู้อยู่ว่าพวกนี้เป็นคนเลวยังจะไปยุ่งกับมันอีก ฉันล่ะเหนื่อยกับเธอจริงๆ”
สัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นไฟเขียว รถของภูริชเลี้ยวขวาไป ปารณออกรถตรงไปเพราะคิดว่าจะไม่ยุ่งด้วย แต่แล้วก็เปลี่ยนใจกลับรถ ขับตามรถของภูริชไป
ปลาหลงฟ้า ตอนที่ 7 (ต่อ)
นิรชานั่งอยู่ในรถ ถามภูริชอย่างไม่ไว้ใจ
“นี่คุณจะพาฉันไปไหน”
“ก็ไปหาที่เงียบๆ คุยกันไง ฉันบอกแล้วว่าเรามีเรื่องต้องคุยกันยาว”
“ฉันไม่มีอะไรจะคุยแล้ว เรื่องคุณน่านฟ้าเดี๋ยวฉันจะพยายามติดต่อให้ได้ คุณจะให้ฉันทำยังไงก็บอกมาเลย”
นิรชาบอก พลางมองสองข้างทางเลิ่กลั่กด้วยความระแวง
“ตอนนี้ฉันไม่สนใจเรื่องไอ้น่านฟ้าแล้ว ฉันสนใจเรื่องของเราต่างหาก”
ภูริชบอกเสียงเจ้าเล่ห์ แล้วเลี้ยวรถเข้าโรงแรมม่านรูดไป ปารณขับรถมาที่เดียวกัน ตอนแรกขับเลยโรงแรมไปนิดหนึ่งแล้วก็เบรก เมื่อมองแล้วไม่เห็นวี่แววของรถของภูริช เขาตัดสินใจถอยหลังแล้วเลี้ยวตามเข้าไปในม่านรูด ภูริชขับรถเข้าไปจอดหน้าห้อง พนักงานรีบเข้ามารูดม่านปิดทันที นิรชาโวยวาย
“นี่คุณพาฉันมาที่นี่ทำไม ถ้าคุณอยากคุยกันก็ไปหาที่อื่นก็ได้นี่”
“เธอไม่รู้จริงๆ เหรอว่าคนเขามาทำอะไรกันที่นี่ อย่ามาทำใสซื่อหน่อยเลยมันไม่เนียนหรอก”
นิรชาเปิดประตูวิ่งลงจากรถ ภูริชรีบลงจากรถเข้าไปจับแขนหญิงสาวไว้
“เธอจะไปไหน”
“ฉันจะออกไปจากที่นี่ ปล่อยฉันนะ ไม่งั้นฉันร้องจริงๆ ด้วย”
“ถ้าเธออยากให้คนแห่มาดูก็ร้องเลย หรือว่าอยากจะเดินออกไปให้พวกบ๋อยหรือแท็กซี่รุมโทรมก็ตามใจ”
ภูริชขู่ นิรชานิ่งคิดหาทางออก
ปารณขับรถเข้ามาบริเวณม่านรูด พยายามมองหารถของภูริช พนักงานส่งสัญญาณให้เขาเอารถเข้าช่องแต่ปารณกลับจอดรถแล้วเปิดกระจกถามพนักงานถึงรถของภูริชว่าอยู่ห้องไหน
“รถตั้งเยอะแยะผมจำไม่ได้หรอกพี่”
ปารณหยิบเงินใบละห้าร้อยมาชูให้ดู
“พอจะนึกออกหรือยัง”
นิรชาพยายามยื้ออยู่หน้าห้อง ไม่ยอมเข้าไป
“พาฉันกลับเถอะคุณภูริช ฉันสัญญาว่าจะไม่เอาเรื่องอะไรคุณ”
“เธอคิดว่าอาชีพอย่างเธอนี่จะเอาเรื่องอะไรคนอย่างฉันได้เหรอ ฝันไปหรือเปล่า”
พนักงานเปิดม่านเข้ามา
“ขอโทษครับมีปัญหาอะไรกันหรือเปล่าครับ”
“ช่วยด้วยค่ะเขาหลอกฉันมา”
นิรชาได้ทีรีบบอก
“มึงเป็นแค่พนักงานอย่ายุ่งดีกว่า”
“แต่พี่ทำไม่ถูกนะครับ”
“ที่นี่ม่านรูดนะโว้ยไม่ใช่สถานปฏิบัติธรรมจะมาหาเรื่องผิดถูกอะไร ถ้าไม่อยากตกงานก็อย่ามายุ่ง”
ภูริชโวยวายอารมณ์เสีย พนักงานส่งสัญญาณให้นิรชา นิรชาสะบัดแขนจากการจับของภูริชแล้ววิ่งออกไป ปารณจอดรถรออยู่รีบเลื่อนรถไปประกบแล้วเปิดกระจกร้องบอก
“ขึ้นมาเร็วคุณ”
นิรชาเห็นว่าเป็นปารณก็รีบเปิดประตูขึ้นไปนั่ง ภูริชวิ่งตามออกมาชะงักเมื่อเห็นว่านิรชาขึ้นรถไปแล้ว
“โธ่โว้ย”
ภูริชโวยวายหัวเสีย
ปารณกับนิรชานั่งกันอยู่ในรถ เขาอดแขวะหญิงสาวไมได้
“เดี๋ยวนี้รับงานกลางวันแสกๆ เลยเหรอ”
“ฉันจะรับงานเช้าสายบ่ายเย็นหรือดึกมันก็ไม่เกี่ยวกับคุณ”
“เธอนี่พิลึกคนเนอะ ฉันอุตส่าห์เป็นเจ้าชายขี่ม้าขาวมาช่วย แทนที่จะขอบคุณกลับมาอารมณ์เสียใส่อีก”
“ถ้าเป็นเจ้าชายจริงฉันจะไม่ว่าเลย แต่นี่เป็นอันธพาลชอบแขวะชอบกัดไปเรื่อย”
“ฉันถามจริงๆ เถอะ เธอก็รู้ว่านายภูริชนี่ทำเป็นแต่เรื่องเลวๆ ทำไมเธอยังมากับมันอีก”
“เขาบอกฉันว่ามีเรื่องจะคุยด้วย ก็เรื่องที่ฉันรับเงินนายเขามาแล้วงานไม่คืบหน้านั่นแหละ ฉันไม่คิดว่าเขาจะกล้าทำแบบนี้”
“คนอย่างมันกล้าทำได้มากกว่านี้อีก คนอย่างไอ้ภูริชนี่ต้องเจอดีเข้าสักวัน เธอเองก็อยู่ห่างๆ มันไว้ก็ดีนะ นี่ถ้าฉันไม่เห็นเธอที่ไฟแดงล่ะก็ป่านนี้ เฮ้อ ไม่อยากจะคิด”
ปารณบอกน้ำเสียงเจือความห่วงใย นิรชานิ่งเงียบไปนิดหนึ่งก่อนจะพูดออกมาเบาๆ
“ขอบคุณนะคะ”
ปารณหันมองหญิงสาวแล้วยิ้มให้
ภายในห้องครัวบ้านป้ามะลิ น่านฟ้ากำลังนวดแป้งข้าวเกรียบโดยมีมัศยาเป็นลูกมือ
ป้ามะลิยืนดูอยู่ใกล้ๆ น่านฟ้าเอาน้ำใบเตยลงผสม พอนวดแป้งเข้ากันก็เอาใบเตยแห้งปั่นละเอียดลงไปผสมด้วย ป้ามะลิมองยิ้มๆ ก่อนจะเดินออกไป
“ฉันไม่ไหวแล้วคุณน่าน ปวดเมื่อยไปทั้งตัวเลยขอไปพักหน่อยนะ”
“ให้ผมนวดให้มั้ยเจ๊ จะเอาแบบแผนโบราณเหมือนเจ๊ แผนปัจจุบัน หรือแผนอนาคตบอกได้เลยนะ”
น่านฟ้าบอกกรุ้มกริ่ม
“อย่างคุณฉันว่ามีอยู่แผนเดียวแหละ”
“แผนอะไรเจ๊”
น่านฟ้าถามอยากรู้
“แผนชั่วไง”
มัศยาพูดกระแทกเสียงแล้วก็เดินออกจากครัวไป
“โห เจ๊ ด่าแล้วชิ่งเหรอ ถ้าผมจะมีแผนชั่ว ก็ชั่วฟ้าดินสลายนะเจ๊ คิดได้ไงวะเรา ชั่วฟ้าดินสลาย ฮึ่ย ขนลุก”
น่านฟ้าเปิดลังถึงออก ข้างในมีแป้งข้าวเกรียบที่ผสมใบเตยสีเขียวสวยดูน่าทาน
“เสร็จไปแล้วครึ่งทาง เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็รู้ว่าจะหมู่หรือจ่าหรือว่าจะสารวัตร”
น่านฟ้าบอกกับตัวเองอย่างภาคภูมิใจ ก่อนจะเดินออกมาจากห้องครัว โวยวายทันที เมื่อเห็นมัศยานอนหันหลังให้อยู่ที่พื้นบ้าน
“นี่เจ๊ขอมาพักแป๊บเดียวเหรอเนี่ย ผมนึกว่ากลับบ้านไปแล้วซะอีก”
มัศยาไม่ตอบว่าอะไร น่านฟ้าเดินมาดู
“อ้าว หลับซะแล้ว”
น่านฟ้าเห็นผมตกระหน้ามัศยาก็เลยปัดออกให้ ใบหน้าหยิงสาวนั้นดูจิ้มลิ้มเหมือนเด็ก เขานั่งจ้องอย่างลืมตัว ทำท่าจะหอมแก้ม แต่มัศยาพลิกตัวนอนหงาย น่านฟ้าจึงได้สติ ถอนหายใจแล้วก็ล้มตัวลงนอนข้างๆ มัศยา
ตอนเช้า มัศยานอนหนุนแขนของน่านฟ้า เขาลืมตาขึ้นมาเห็นว่าหญิงสาวนอนหนุนแขนตัวเองอยู่ก็ยิ้มเอ็นดู กระชับวงแขนให้แน่นขึ้น มัศยาขยับตัวนอนยิ้มมีความสุข เสียงทอดข้าวเกรียบและกลิ่นข้าวเกรียบจากในครัวลอยมาปลุกให้มัศยาตื่น
“นี่คุณทำอะไรฉันคุณน่าน”
มัศยาโวยวายแก้เก้อเมื่อรู้สึกตัวว่านอนหนุนแขนน่านฟ้ามาทั้งคืน
“เจ๊ต่างหากที่ปู้ยี่ปู้ยำผม”
“นี่คุณพูดจาให้มันดีๆ หน่อยนะ ใครไปปู้ยี่ปู้ยำคุณ”
“ก็เจ๊นั่นแหละนอนหนุนแขนผมทั้งคืนไม่รู้ว่าแขนจะหักหรือเปล่าเนี่ย”
น่านฟ้าทำท่าปวดแขน
“ฉันไม่ใช่ตุ๊กตาหินอ่อนนะจะได้หนักขนาดนั้น”
“ตุ๊กตาหินอ่อนเลยเหรอเจ๊ อย่างเจ๊น่ะแค่อับเฉาก็หรูแล้วมั้ง ว่าแต่เจ๊ได้กลิ่นข้าวเกรียบทอดเหมือนผมปะ”
ทั้งคู่มองหน้ากัน
ป้ามะลิกำลังทอดข้าวเกรียบอยู่ในครัว น่านฟ้ากับมัศยาเดินเข้ามา
“ข้าวเกรียบสูตรใหม่เหรอครับป้าหอมเชียว”
“ก็ข้าวเกรียบสูตรของเอ็งนั่นแหละ ข้าเอาไปตากจนแห้งแล้วก็หั่นมาทอดนี่แหละ เห็นเอ็งสองคนนอนกอดกันกลมเลยไม่อยากปลุก”
“ไม่ใช่แบบนั้นนะคะป้า”
“จะแบบไหนก็เรื่องของเอ็งเถอะไม่ใช่เรื่องของข้า เอ้าลองชิมดูสิ”
ป้ามะลิส่งข้าวเกรียบให้มัศยากับน่านฟ้า ทั้งคู่รับมาใส่ปาก มองหน้า แล้วอุทานขึ้นพร้อมกัน
“อร่อย”
“นี่แหละข้าวเกรียบสูตรใบเตยของเอ็ง ไอ้หนุ่ม”
“นี่ผมทำสำเร็จแล้วใช่มั้ยครับป้า เจ๊ ผมทำสำเร็จแล้ว เย้ๆๆๆ”
น่านฟ้าโผเข้ากอดมัศยาแล้วกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ มัศยาเองก็เผลอตัวกอดน่านฟ้า กระโดดตาม แต่พอรู้สึกตัว เธอก็ผลักน่านฟ้าออก หน้าเจื่อนๆ
“เข้าบริษัทกันเถอะเจ๊ ผมจะเอาข้าวเกรียบไปให้แม่ใหญ่ชิม”
น่านฟ้าชวนด้วยน้ำเสียงลิงโลด
ภายในห้องทำงานของวิภา น่านฟ้า มัศยา วิภาและต๋องอยู่กันพร้อมหน้า น่านฟ้าส่งข้าวเกรียบให้ต๋อง
“เอ้าต๋อง ฉันให้เกียรติแกชิมก่อนแม่ใหญ่อีกนะ”
“มันจะดีเหรอครับคุณน่าน”
“ดีสิ แกไม่ต้องห่วงเรื่องมารยาทหรอก แม่ใหญ่เขาไม่ถือตัวขนาดนั้นหรอก จริงมั้ยครับแม่ใหญ่”
“คือต๋องไม่ได้ห่วงเรื่องมารยาทหรอกครับ ต๋องห่วงชีวิตต๋อง”
ต๋องบอกเสียงอ่อยๆ
“อย่าเรื่องมากน่ะต๋อง ถ้าแกเป็นอะไรไปเดี๋ยวคุณน่านเขาก็รับผิดชอบดูแลพ่อแม่แกเองแหละ”
มัศยาบอกหน้าตาย ต๋องยิ่งหน้าเสียเข้าไปใหญ่
“ฉันล้อเล่นน่ะ ข้าวเกรียบของคุณน่านรับรองว่าทั้งอร่อยทั้งปลอดภัย ฉันกับคุณน่านชิมมาแล้ว”
ต๋องหน้าแหยๆ ส่งข้าวเกรียบเข้าปาก พอเคี้ยวสีหน้าก็เปลี่ยนไป น่านฟ้ารีบถาม
“เป็นไงมั่ง”
“ยังไม่รู้รสเลยครับต้องอีกสักแผ่นหนึ่ง”
ต๋องบอกหน้าตาย น่านฟ้าหยิบข้าวเกรียบส่งให้ ต๋องรับไปใส่ปากเคี้ยว
“อีกแผ่นน่าจะรู้รสแล้วครับ”
น่านฟ้าเริ่มงงๆ กับต๋อง แต่ก็ส่งให้อีกแผ่น
“เกือบแล้วครับคุณน่าน”
“นี่เลิกทะลึ่งได้แล้วไอ้ต๋อง แกจะชิมไม่เผื่อคนอื่นเลยรึไง อร่อยไม่อร่อยก็บอกเขาไป มาทำเป็นตลกบริโภค คอยดู เดี๋ยวฉันจะหักเงินเดือนเป็นค่าข้าวเกรียบซะเลย”
วิภาพูดทีเล่นทีจริง ต๋องเลยจ๋อยๆ
“อร่อยมากเลยครับคุณท่าน ต๋องไม่เคยกินข้าวเกรียบที่ไหนอร่อยเท่านี้เลย ต๋องพูดจริงๆ นะครับไม่ได้เอาใจ แต่ว่าคุณท่านอย่าหักเงินเดือนต๋องนะครับ”
วิภาส่ายหน้าระอาในความทะเล้นของต๋อง ก่อนจะหยิบข้าวเกรียบมาชิม น่านฟ้ากับมัศยาจ้องวิภา ลุ้นมาก วิภาทำหน้าไม่มั่นใจ หยิบใส่ปากอีกหลายชิ้น
“เอ่อ แม่ใหญ่ครับ ข้าวเกรียบจะหมดแล้วครับแม่ใหญ่ยังไม่รู้รสอีกเหรอครับ”
“ก็มันอร่อยนี่นา”
วิภาตอบเสียงอ่อยๆ น่านฟ้ากับมัศยายิ้มดีใจ
“ตกลงว่าผ่านใช่มั้ยครับแม่ใหญ่”
น่านฟ้าถามด้วยความดีใจ วิภายังไม่ทันได้ตอบสุกิจก็เข้ามาในห้องเสียก่อน
“มีอะไรกันเหรอครับ เสียงดังออกไปนอกห้องแน่ะ”
“เธอมาก็ดีแล้วสุกิจ ลองชิมข้าวเกรียบใบเตยสูตรของนายน่านดูสิ ฉันว่าอร่อยมากเลย”
วิภาส่งข้าวเกรียบให้ สุกิจรับไปชิมอย่างเสียไม่ได้ ยิ่งพอรู้ว่าอร่อยจริงๆ ก็ยิ่งไม่พอใจแต่พยายามเก็บอาการเอาไว้
“เป็นไงบ้างสุกิจ เดี๋ยวแกเอาสูตรไปสั่งให้คนงานผลิตได้เลยนะ นายน่าน ฉันอนุมัติ”
วิภาถามแล้วก็ไม่รอคำตอบหันไปบอกน่านฟ้า น่านฟ้ากับมัศยายิ้มดีใจ สุกิจโมโหมาก
สุกิจกลับมาที่ห้องทำงาน โกรธมากที่น่านฟ้าคิดสูตรสำเร็จ เขาโวยวายกับภูริช
“ฉันไม่นึกเลยว่าไอ้เด็กเมื่อวานซืนอย่างไอ้น่านมันจะทำสำเร็จ”
“มันก็แค่คิดสูตรได้ คนจะชอบหรือเปล่าก็ไม่รู้”
“แต่ฉันจะเสี่ยงยอมให้มันทำข้าวเกรียบใบเตยหรือรสอื่นๆ ของมันออกไปไม่ได้”
“แล้วคุณสุกิจจะทำยังไงล่ะครับ”
“ฉันมีวิธีของฉันก็แล้วกัน”
สุกิจยิ้มร้าย
น่านฟ้ากับมัศยากลับมาที่ห้องทำงานด้วยความดีใจ
“ในฐานะที่เจ๊เหนื่อยในการช่วยคิดสูตรลองผิดลองถูกกับผมมาหลายวัน ผมจะพาไปเลี้ยงฉลองความสำเร็จก้าวแรกกัน”
“ต๋องไปด้วยนะครับ”
“แล้วแกเกี่ยวอะไรด้วยน่ะต๋อง”
“อ้าว ไมเจ๊ถามแบบนั้นล่ะ ต๋องก็ช่วยเชียร์คุณน่านให้ทำสำเร็จไง เหนื่อยเหมือนกันนะเจ๊”
“โอเคๆ ไปกันหมดนี่แหละผมเลี้ยงเอง”
น่านฟ้าตัดบท แอนนาเปิดประตูห้องเข้ามา
“จะไปไหนกันคะ ให้แอนไปด้วยคนนะ”
แอนนาเข้ามากอดแขนน่านฟ้า ต๋องมองตะลึงในความสวยของหญิงสาว มัศยาเห็นท่าทีสนิทสนมขนาดนั้นก็เผลอชักสีหน้าด้วยความไม่พอใจ
“แอนมายังไงเนี่ย ไม่เห็นโทรบอกผมก่อน”
“เดี๋ยวนี้จะเจอน่าน แอนต้องนัดล่วงหน้าด้วยเหรอคะ”
แอนนาถามอย่างน้อยใจ
“ไม่ใช่แบบนั้นครับ แต่เดี๋ยวนี้ผมต้องทำงาน กลัวแอนมาหาแล้วไม่ว่างจะเสียเวลาเอา”
“น่านนี่น่ารักที่สุดเลยห่วงแอนด้วย”
แอนนาเขย่งตัวขึ้นจูบแก้มน่านฟ้า น่านฟ้ามองมัศยา ทำหน้าไม่ถูก
“เชิญคุณน่านตามสบายนะคะ ฉันขอตัวกลับก่อน บังเอิญมีธุระน่ะค่ะ”
“อ้าว แล้วเรื่องฉลองความสำเร็จของเราล่ะเจ๊”
“นั่นสิเจ๊หยี เล่นแบบนี้ต๋องก็อดกินฟรีน่ะสิ”
“แกอยากไปก็ไปสิต๋อง แต่ฉันจะกลับบ้าน”
มัศยาบอกแล้วก็หยิบกระเป๋าถือเดินออกไป
“รอด้วยสิเจ๊ ผมไปนะครับคุณน่าน”
ต๋องรีบตามมัศยาออกไป
มัศยายืนหน้าตูมอยู่ที่ป้ายรถเมล์ ยังอารมณ์เสียเรื่องแอนนาอยู่ ต๋องตามมา
“เจ๊เป็นอะไรน่ะ ทำหน้ายังกะคนอกหัก”
“จะบ้าเหรอ ฉันจะไปอกหักกะใครที่ไหน”
“ไม่รู้สิ ตอนแรกก็เห็นเจ๊ดีๆ อยู่ พอคุณคนสวยเข้ามาเท่านั้นเจ๊ก็เปลี่ยนไป เต็มไปด้วยรังสีอำมหิต”
“ฉันไม่ได้เป็นอะไร แต่ถ้าแกยังไม่เลิกเซ้าซี้ แกนั่นแหละจะเป็น ต๋อง เพราะฉันจะปล่อยรังสีพิฆาตใส่แก”
“งั้นต๋องกลับบ้านดีกว่า ไม่อยากเจอสารพัดรังสีของเจ๊ กลับบ้านดีๆ นะเจ๊”
ต๋องบอกแล้วก็ขึ้นรถเมล์สายประจำที่แล่นเข้ามาจอดพอดีไป รถของน่านฟ้าแล่นเข้ามาจอดเทียบตรงที่มัศยายืนอยู่ ลดกระจกลงมาถาม
“เปลี่ยนใจยังทันนะเจ๊ ไปด้วยกันมั้ย”
“เชิญคุณน่านเถอะ ฉันไม่ใช่คนใจง่ายเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาทั้งวัน”
มัศยาเหน็บ น่านฟ้างงๆ แต่ก็ขับรถออกไปโดยดี มัศยามองด้วยความหมั่นไส้ เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น มัศยาหยิบขึ้นมาดู
“สินธุเหรอคะ หยีกำลังคิดถึงอยู่พอดีเลย”
มัศยานั่งอยู่กับสินธุในร้านกาแฟหรู
“ดีใจจังที่วันนี้สินธุโทรหาหยีได้”
“ผมน่ะอยากโทรหาหยีทุกวันแหละแต่งานมันยุ่งมาก นึกขึ้นได้อีกทีก็ดึกแล้วไม่อยากกวนหยี”
“แล้วทำไมวันนี้สินธุว่างนัดหยีมาเจอได้คะ”
“พอดีผมเข้ามาทำธุระในกรุงเทพน่ะ คิดถึงหยีเลยแอบแว่บสักหน่อย”
สินธุพูดเอาใจ
“ระวังจะโดนตำหนินะคะ ที่จริงแค่โทรคุยกัน หยีก็ดีใจแล้ว”
“คุยโทรศัพท์มันก็ไม่เหมือนเห็นหน้าหรอกหยี ผมมีเรื่องจะถามหยีด้วย”
สินธุทำเป็นอึกอัก
“เรื่องอะไรคะ”
“เรื่องเงินที่หยีบอกว่าจะหามาให้อีกก้อนหนึ่งที่ต้องเอาไปให้เขาน่ะ หยีได้มาหรือยัง ผมเองก็ดูๆหาทางอยู่เหมือนกันนะ แต่เงินมันหายากจังขนาดจะยืมยังยากเลย”
สินธุทำสุ้มเสียงเหมือนเกรงใจ
“ช่วงนี้หยียุ่งเรื่องงานทุกวันเลย ยังไงหยีจะดูๆ ให้นะคะ”
มัศยาจ๋อยๆ ไป เพราะเรื่องที่สินธุอยากคุยคือเรื่องเงิน สินธุเอง พอได้คำตอบว่ายังไม่ได้ก็แอบเซ็ง
ตอนเย็น น่านฟ้ากับแอนนานั่งคุยกันในร้านอาหารหรู
“เราไม่ได้ดินเนอร์กันนานมากแล้วนะคะน่าน แอนคิดถึงบรรยากาศนี้จังเลย”
“ผมนึกว่าแอนจะชอบดินเนอร์เคล้าปาร์ตี้ของพวกนายแบบนางแบบซะอีก”
“แรกๆ มันก็เพลินดีหรอกค่ะน่าน แต่นานไปชักจะไม่สนุก ปั้นหน้ากันจนเหนื่อย สู้ดินเนอร์กับคนรู้ใจกันแบบนี้ไม่ได้”
แอนนาส่งสายตาหวานซึ้งให้ น่านฟ้ายิ้มรับแต่ไม่พูดอะไร
“ผมขอตัวไปห้องน้ำแป๊บนะครับ”
น่านฟ้าลุกจากโต๊ะเดินไปทางห้องน้ำ
แอนนามองตาม หงุดหงิดนิดๆที่น่านฟ้าเหมือนไม่ยินดีกับสิ่งที่เธอแสดงออกเท่าไหร่ น่านฟ้าเดินมาหยุดหน้าห้องน้ำ นึกถึงมัศยาขึ้นมาเลยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดหา
มัศยากับสินธุยังคุยกันในร้านกาแฟ
“ผมขอตัวไปห้องน้ำหน่อยนะหยี”
สินธุลุกขึ้นเดินไปทางห้องน้ำ เสียงโทรศัพท์มือถือของมัศยาดังขึ้น เธอดูเห็นว่าเป็นน่านฟ้าก็ทำหน้าตึงๆ ก่อนจะกดรับ
“มีอะไรคะคุณน่าน”
“อะไรเนี่ยเจ๊ จะทำเสียงดุไปไหน ผมจะโทรมาถามว่าเจ๊ถึงบ้านหรือยัง”
“ยัง”
มัศยาตอบห้วนๆ
“เจ๊นี่เหลวไหลจัง แอบไปเที่ยวไหนคนเดียวอีกล่ะ”
“ฉันอยู่ร้านกาแฟกับสินธุ”
“อะไรกัน หมอนั่นอีกแล้วเหรอ”
น่านฟ้าถามไม่พอใจ
“หมอนั่นของคุณน่ะแฟนฉันนะ ให้เกียรติกันหน่อย ฉันมาทานกาแฟกับแฟนแล้วทำไมคุณต้องมาทำเสียงโกรธ คุณก็ไปดินเนอร์กับแฟนไม่ใช่เหรอ”
มัศยาถามน้ำเสียงน้อยใจนิดๆ
“อ้อ เจ๊หึงผมนี่เองเลยโทรตามแฟนมาเจอกัน โอเคๆ ผมเข้าใจ งั้นแค่นี้นะเจ๊ผมไปดินเนอร์ต่อละ”
น่านฟ้าวางสายไป มัศยามองโทรศัพท์อย่างหงุดหงิด
“อีตาบ้ายังอุตส่าห์โทรมากวนอารมณ์อีก”
มัศยาออกจากร้านกาแฟ เดินมาที่รถพร้อมกับสินธุ เธอเปิดประตูขึ้นไปนั่งข้างคนขับ สินธุจะขึ้นนั่งแต่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เขาจึงเลี่ยงไปรับโทรศัพท์
“ฮัลโหล หมวยเหรอ พี่นึกว่าวันนี้จะไม่ได้เจอซะแล้ว ได้ครับเดี๋ยวพี่ไปรับที่เดิมนะ”
สินธุวางสายไปแล้วก็เดินกลับไปที่รถเปิดประตูขึ้นไปนั่ง
“ขอโทษทีนะหยี ที่ทำงานโทรตาม ผมคงไปส่งหยีไม่ได้แล้ว”
“ไม่เป็นไรค่ะ สินธุรีบกลับเถอะ เดี๋ยวหยีนั่งแท็กซี่กลับเองได้ ขับรถดีๆ นะคะ”
มัศยาลงจากรถ สินธุเปิดกระจกย้ำธุระของตัวเอง
“หยีอย่าลืมดูเรื่องเงินให้ผมด้วยนะครับ จำเป็นจริงๆ”
“ค่ะ หยีไม่ลืมหรอก”
“กลับบ้านดีๆ นะ ผมเป็นห่วง”
สินธุทำเสียงออดอ้อน มัศยายิ้มให้ สินธุขับรถออกไป มัศยาถอนหายใจ เดินเหงาๆ ออกไป
มัศยาเดินมาถึงหน้าบ้านเห็นประตูเปิดอยู่ก็นึกสงสัยว่าทำไมแม่ไม่ปิดประตูบ้าน พลันได้ยินเสียงมนตรีดังมา
“ฉันบอกแล้วไงว่าตอนนี้ฉันไม่มีให้หรอก ถ้ามีแล้วฉันจะรีบเอาไปให้เลย”
“แกใช้มุกนี้มากี่รอบแล้วจำได้มั้ย เป็นหนี้ก็ต้องหามาใช้สิวะ ไม่ใช่ไม่มีก็ไม่ใช้”
เสียงชายแปลกหน้าดังตามมา
“พี่นที แม่ นะดี”
มัศยาอุทานด้วยความเป็นห่วงแล้วรีบเข้าบ้านไป ก็เห็นข้าวของถูกรื้อกระจัดกระจาย สมใจนั่งกอดนะดีร้องไห้กันทั้งคู่อยู่ที่มุมหนึ่ง นทีนั่งคุกเข่าอยู่กับพื้นมีคนทวงหนี้ 3 คน ยืนคุมเชิงอยู่
“นี่มันอะไรกัน พวกแกเป็นใคร”
มัศยาถาม ก่อนจะรีบเข้าไปดูสมใจกับนะดี
“หยีช่วยพี่เขาด้วยลูก ไอ้พวกนั้นมันจะทำร้ายพี่เขา”
“แม่หยี หนูกลัว”
ทั้งสมใจและนะดีร้องแทบจะแข่งกัน
“เธอเป็นน้องสาวมันเหรอ ท่าทางน่าจะได้เรื่องได้ราวหน่อยนะ พี่ชายเธอติดเงินค่าพนันบอลเจ้านายฉันแล้วไม่ยอมใช้ ทวงทีไรก็บอกไม่มี เดี๋ยวมีแล้วจะให้”
“พวกแกก็เลยต้องมารื้อบ้านทำร้ายคนแบบนี้เหรอ ถ้าเขาไม่มี ทำแบบนี้แล้วจะมีมั้ย”
มัศยาถามทำใจดีสู้เสือ
“ถ้ามันไม่อยากเจ็บตัวอีก หรือเธอห่วงว่ามันจะเจ็บตัว ก็ช่วยมันหาเงินมาใช้หนี้สิ”
“พี่นทีติดหนี้พวกนี้อยู่เท่าไหร่”
มัศยาจ้องหน้าพี่ชาย นทีหลบสายตาก่อนจะตอบไม่เต็มเสียง
“สองแสนห้า”
“อะไรนะ ตั้งสองแสนห้า หนี้พนันบอลเนี่ยนะ”
“ก็พี่คิดว่ามันจะได้นี่นา”
นทีให้เหตุผลเสียงอ่อยๆ
“คนเล่นบอลก็คิดว่าจะได้กันทุกคนแหละ แล้วเป็นไงล่ะได้มั้ย ฉันไม่มีเงินขนาดนั้นหรอก”
มัศยาต่อว่านทีแล้วก็หันไปบอกคนทวงหนี้
“ไม่มีก็ไม่เป็นไร แต่ฉันขอนิ้วกลางของแกไปเป็นดอกให้นายฉันสักนิ้วก็แล้วกัน”
คนทวงหนี้บอกกับนทีแล้วก็สั่งอีกสองคน
“เฮ้ย จับมันไว้ กูจะเลาะนิ้วมันไปฝากนาย”
ลูกน้องเข้าไปจับนทีแล้วจับมือยื่นออกมา
“อย่านะ ฉันไม่อยากนิ้วด้วน หยีช่วยพี่ด้วย”
นทีร้องลั่น คนทวงหนี้หยิบมีดพกขึ้นมาควงเล่นแล้วก็นั่งลงปักปลายมีดลงที่พื้นข้างๆ นิ้วกลางของนที
“บอกลานิ้วกลางของแกได้เลย แล้วถ้าคราวหน้าแกยังบ่ายเบี่ยงอีกล่ะก็ฉันจะตัดให้ครบห้านิ้วเลย”
คนทวงหนี้ทำท่าจะหั่นนิ้วนที
“หยุดนะ”
น่านฟ้าร้องห้ามเสียงดัง
จบตอนที่ 7