เงาใจ ตอนที่ 7
ตอนสายวันเดียวกันนี้ ขณะที่ไมตรีกำลังนั่งใส่รองเท้าอยู่หน้าบ้าน มณีถือชี้ทที่วารินทำให้เอามาส่งให้
“ลืมหนังสือเรียนหรือเปล่าเห็นวางอยู่บนโต๊ะทานข้าว”
“อ๋อ...ชี้ทตอนที่ไมขาดเรียน เพื่อนทำมาให้อ่านน่ะครับ”
ไมตรีรับมาวางกับหนังสือของตัวเอง จะเอาไปคืน
“ท่าทางจะเป็นผู้หญิง ลายมือเรียบร้อยเชียว” มณีแซว
“คนที่ไมช่วยจนเกิดเรื่องนั่นแหละแม่ เมื่อก่อนเจอหน้าชอบหาเรื่องกวนไม แล้วก็ดูถูกไมเรื่องไมเรียนไม่เก่งด้วย แต่พอเกิดเรื่องแล้วเป็นอะไรไม่รู้ ชอบมาวุ่นวายทำโน่นทำนี่ให้” ไมตรีบ่นท่าทีรำคาญๆ
มณีบอกเป็นเชิงเตือนลูกว่า “เขาคงรู้สึกผิดเลยอยากทำดีกับไมมั้ง”
“ก็ทำดีแค่เพราะต้องทำ แต่นิสัยเขาไมว่าก็คงเหมือนเดิม ดูถูกคนที่ด้อยกว่า”
“เขาอาจจะเปลี่ยนนิสัยจากวันที่ไมไปช่วยเค้าแล้วก็ได้”
ไมตรียักไหล่ “เปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยนไมไม่สนใจเรื่องเพื่อนแล้วครับ ตอนนี้ไมชินกับการเป็นคนที่ไม่มีใครอยากคบแล้ว”
มณีดึงมากอดด้วยความสงสารลูก “ไม อยากย้ายที่เรียนไหม”
“ไมไม่อยากเสียเวลาไปเริ่มใหม่ มันจะทำให้การเสียสละของพี่เมสูญเปล่า ให้ไมรีบเรียนให้จบแล้วออกมาดูแลแม่กับพี่เมดีกว่านะ”
ไมตรีเข้าไปหอมแก้มมณี แล้วก็หอบของรีบเดินออกไป มณีมองตามส่งลูกชายยิ้มๆ
ในห้องเรียนคณะเกษตรฯ ตอนนี้ ไมตรี วาริน แต ฝ้าย และนักศึกษา กำลังทำข้อสอบอยู่อย่างคร่ำเคร่ง ไมตรีนั่งหลังห้องตามเคย วารินทำเสร็จแล้ว คอยแอบมองไมตรีที่หลังห้องด้วยความเป็นห่วงตลอดๆ แต่เห็นไมตรีก้มหน้าก้มตาเขียนอยู่
เสียงอาจารย์ดังขึ้น “เอาละ หมดเวลา”
ไมตรี วาริน แต ฝ้าย และนักศึกษาทุกคนเดินไปส่งข้อสอบแล้วกลับมานั่ง
วารินหันไปมองไมตรีแล้วอ้าปากถามไม่มีเสียงว่า “ทำได้ปะ”
ไมตรีไม่สนใจนั่งนิ่ง
อาจารย์บอกอีกว่า “เดี๋ยวพวกคุณจับกลุ่มกันทำรายงานนะ กลุ่มละหกคน แล้วตกลงเลือกหัวหน้ากลุ่มเพื่อมาจับหัวข้อที่ครูเลยนะ”
วารินลุกขึ้นเดินมาหาไมตรี “มาอยู่กลุ่มเดียวกันนะ ฉันมีแล้วห้าคน”
“ไม่เป็นไร ฉันหากลุ่มเองได้”
“เธอจะไปอยู่กลุ่มไหน”
ไมตรีมองไปรอบๆ ก็เห็นเพื่อนๆ นั่งจับกลุ่มกันครบแล้ว พอมองไปที่กลุ่มวารินก็เห็นแต ฝ้าย และเพื่อนอีกสองคนนั่งมองอยู่
“ฉันจะไปคุยกับอาจารย์ขอทำเดี่ยว”
ไมตรีกับวารินจ้องหน้ากัน “นี่ฉันพยามจะช่วยเธอแล้วนะ”
“ฉันไม่ได้ขอ” ไมตรีหยิบชี้ทส่งคืนให้วาริน สองคนจ้องหน้ากัน วารินเริ่มโกรธกรุ่นๆ สุดท้ายจึงตัดสินใจเดินไปรวมกลุ่มกับเพื่อน
ไมตรีเดินไปหาที่นั่งคนเดียว เพื่อนๆ ก็ไม่มีใครสนใจไมตรี
ช่วงพักเที่ยง ที่โรงอาหารมหาวิทยาลัยเสียงดังจอแจ วาริน แต และฝ้าย เดินถือจานอาหารมาสามสาวมองหาโต๊ะ จนผ่านโต๊ะไมตรีที่นั่งกินคนเดียว
แตบุ้ยใบ้กระซิบถามวาริน “จะนั่งนี่ไหม”
วารินเดินผ่านไปนั่งห่างๆ แต กับฝ้ายรีบตามไป ไมตรีเองก็ไม่สนใจใคร นั่งกินไปอ่านหนังสือเรียนเตรียมสอบไปด้วย
วารินกับเพื่อนลงนั่งที่โต๊ะห่างโต๊ะไมตรีออกมา
“ริน ตกลงจะให้ไมทำงานคนเดียวจริงๆ เหรอ”
“แล้วจะให้ฉันทำไง อาจารย์ก็ยอมแล้วนี่”
“สงสารไมเนอะ” ฝ้ายว่า
“แต่ฉันไม่สงสารแล้ว” วารินบอก
แตและฝ้ายร้องขึ้นมาพร้อมกัน “เฮ้ย ริน”
“ฉันพูดจริงๆ”
แตแปลกใจ “อะไรของแกเนี่ย ฉันตามไม่ทันแล้วนะ”
“ตอนแรกฉันยอมรับว่าไม่ชอบหน้า แต่พอมาช่วยฉันๆ ก็คิดว่าอยากจะทำดีตอบแทน ยิ่งเห็นว่าไม่มีเพื่อนฉันก็ยิ่งสงสาร แต่ดูที่เขาทำสิพวกแกจะให้ฉันทำยังไง ถามอะไรก็ไม่ตอบ พูดด้วยก็ไม่พูด บอกตรงความอดทนฉันหมดแล้ว”
พอพูดจบวารินก็นั่งกินข้าว โดยไม่แม้แต่จะหันไปมองไมตรีอีกเลย
ทั้งไมตรีและวารินที่นั่งห่างกัน แต่ทั้งสองไม่สนใจใครหรือสิ่งรอบข้าง ต่างคนต่างสนใจแต่กิจกรรมใกล้ตัวของตัวเอง เหมือนกับว่าทั้งคู่จะไม่ได้คบกันอีกแน่ๆ
ระหว่างที่ เมทินีกำลังตัดแต่งดอกไม้อยู่ที่แปลง อังกูรเดินเข้ามาหา พอเมทินีเห็นก็ยิ้มให้
“พี่นึกอยู่แล้วว่าเมต้องอยู่ที่นี่”
อังกูรเข้ามาช่วยถือตะกร้าดอกไม้
“พี่กูรมีธุระอะไรกับเมเหรอ”
“พี่ว่าจะไปธุระในเมืองน่ะ เลยจะชวนเมไปกินข้าวกลางวันด้วยกัน ไปนะไม่นานหรอก เดี๋ยวก็กลับ”
“ก็ดีค่ะ เมอยู่บ้านก็เซ็งๆ”
“งั้นเมบอกวาทิตด้วยนะ เดี๋ยวเค้าจะเข้าใจผิด”
“ผิดหรือถูกเค้าก็มองเมในแง่ร้ายอยู่แล้ว”
“เอาเถอะน่า บอกเค้าดีกว่า”
เมทินีพยักหน้ารับ
รุทรมองหน้าเมทินีที่เล่าจบ แล้วส่ายหน้าปฏิเสธทันที
“คงไม่ได้หรอกเม ผมไม่อยากให้ไป”
“วาทิต นายจะไปด้วยก็ได้นะ” อังกูรบอก
“ไม่ล่ะครับ พอดีผมว่าจะพาเมไปกินข้าวข้างนอกเหมือนกัน จองไว้แล้วด้วย”
“งั้นเราก็เปลี่ยนไปร้านที่นายจองก็ได้” อังกูรว่า
“ผมจองไว้สองที่ และบอกร้านเค้าไปแล้วว่า พิเศษสำหรับสามีภรรยาครับ ขอโทษด้วยนะครับพี่กูร”
อังกูรอึ้งไม่รู้จะแทรกยังไง
“เธอไม่เห็นบอกฉันก่อนเลย” เมทินีบ่น
“ก็บอกอยู่นี่ไง เมไปแต่งตัวเถอะ ผมหิวแล้ว”
เมทินีเดินหลุดเฟรมไป เหลืออังกูรกับรุทรที่มองหน้ากัน
“ขอโทษนะครับที่ต้องทำให้พี่กูรทานข้าวคนเดียว แต่รูปในโทรศัพท์ของพี่กูรวันนั้น มันทำให้ผมคิดว่ากันไว้ดีกว่าแก้”
อังกูรโมโหเดินกลับไปเลย
กินรียืนแอบฟังอยู่อีกมุม หล่อนยิ้มพรายด้วยความสะใจ
“คุณวาทิต ขอโทษนะคะที่นรีเคยประเมินคุณผิด”
ไม่นานต่อมา รุทรกับเมทินีนั่งอยู่กลางร้านอาหารประเภทจิ้มจุ่มข้างถนนตรงคูเมืองเชียงใหม่ รอบบริเวณมีร้านอาหารหลากหลายประเภท เมทินีมองสภาพรอบๆ อย่างงงๆ
“เนี่ยเหรอที่เธอบอกจองไว้พิเศษสำหรับสามีภรรยา”
“ใช่ ผมจองไว้ในใจ เคยเรียนไหม เลขคณิตคิดในใจอ่ะ”
เมทินีอึ้ง “เธอกำลังกวนประสาทฉันใช่ไหมวาทิต”
“เมก็เลิกกวนผมสิ”
“ฉันกวนที่ไหน พี่กูรมาชวนแล้วจะให้เราไปกันสามคน”
“อยู่ห่างๆ พี่กูรเลยได้ไหม”
“เหตุผล...”
“กลัวเมกับพี่กูรจะชอบกัน”
เมทินีฉุน “จะบ้าเหรอ ให้ฉันสาบานที่วัดก็สาบานไปแล้ว”
“เอาเถอะน่า ผมให้อยู่ห่างๆ ก็อยู่แล้วกัน ว่าแต่ร้านนี้เมกินได้ไหม”
“ฉันน่ะได้ เธอน่ะแหละจะได้เหรอ”
“ก็ลองดู”
รุทรกับเมทินีนั่งกินจิ้มจุ่มอย่างเอร็ดอร่อย
ด้านวารินกลับถึงบ้านแล้ว เวลานี้นั่งจ้องหน้าจอคอมพ์สีหน้าเซ็งๆ เพราะหน้าเฟซบุ๊คไมตรียังไม่ยอมรับแอดเป็นเพื่อน เด็กสาวคลิกเมาส์ลูกศรเลื่อนไปที่ยกเลิกคำขอ สุดท้ายเปลี่ยนใจ
“ฉันให้โอกาสอีกวันแล้วกัน”
อนุวัตรเดินผ่านมา มองจากในบ้านเห็นก็เลยเดินแถมาหา
“มานั่งอะไรตรงนี้อ่ะริน”
วารินสะดุ้งรีบเปลี่ยนหน้าจอ “มีอะไรเหรอพี่วัตร”
อนุวัตรยิ้มกริ่ม “แหม...เล่นเฟซก็ไม่เห็นต้องอายเลย พี่ไม่ฟ้องแม่หรอก”
“ตกลงพี่วัตรมีอะไรเนี่ย”
“พรุ่งนี้พี่ต้องไปประชุมแทนเจ้านายที่เชียงใหม่ กะว่าจะลองโทร.หารุทรมัน ถ้าไงจะได้เรียกมันมาทานข้าวเย็น”
“อ่ะจริงดิ” วารินดีใจมาก
“เตรียมเสียงไว้กรี๊ดตอนเจอไอ้รุทรได้เลยน้องรัก”
เย็นนั้น ฝ่ายเมทินีในชุดเล่นโยคะ เดินมาที่ริมสระว่ายน้ำข้างบ้านที่ทิปปี้รออยู่แล้ว เล่นกันอยู่สักครู่ ทิปปี้ก็แยกกลับที่พัก เมทินียังอยู่ในชุดโยคะ ลงสระว่ายน้ำว่ายไปมา
สักพักหนึ่งอังกูรเดินผ่านมา เห็นเมทินีกำลังว่ายน้ำเล่น จึงเดินยิ้มเข้ามาทักทาย
“เมมาว่ายน้ำเย็นๆ แบบนี้ไม่หนาวเหรอ”
“มันก็หนาวเฉพาะตอนแรกค่ะพี่กูร ว่ายไปสักพักก็หายหนาวค่ะ พี่กูรไปธุระในเมืองมา ทำไมกลับเร็วจังคะ”
“อ๋อ พอดีคนที่นัดพี่กลับมาไม่ทัน พี่ก็เลยไม่ไป”
รุทรเดินมากำลังจะเข้าบ้าน แต่เห็นเมทินีกับอังกูรคุยกันกระหนุงกระหนิงก็ไม่พอใจ ยืนมองภาพนั้นและนึกด่าเมทินีอยู่ในใจ
สุดท้ายรุทรเปลี่ยนใจเดินมาที่สระว่ายน้ำ
“เมอยากว่ายน้ำก็ไม่บอกผม”
ว่าพลางรุทรถอดเสื้อผ้าและกางเกงออก เมทินีอึ้ง มองอย่างแปลกใจ
“วาทิตเธอทำอะไรน่ะ”
รุทรถอดกางเกงเหลือแค่บ๊อกเซอร์ตัวเดียว
“ผมก็จะว่ายน้ำกับเมียไง ดีมั้ยจ๊ะเมียจ๋า”
รุทรกระโดดลงสระตูม ว่ายเข้าไปหาเมทินี ที่หน้าเหวออยู่อย่างคาดไม่ถึง รุทรเข้ามากอดเมทินีจากด้านหลัง แล้วหอมแก้มเมทินีพัลวัน เมทินีตกใจมาก
“วาทิตเธอทำอะไรของเธอ”
“อ้าว ผัวก็หอมเมียไง หอมแก้มขวาแล้วเหลือแก้มซ้าย แล้วก็ตามด้วยจูบปาก มามะ”
เมทินีทั้งอายทั้งโกรธจนตัวสั่น “วาทิตนี่เธอจะบ้าไปใหญ่แล้วนะ”
“บ้าที่ไหนกันเม ผมทำหน้าที่ผัวอยู่นะ” รุทรที่ทุกคนคิดว่าเป็นวาทิตหันไปหาอังกูร “พี่กูรครับ พอดีผมกับเมียจะจู๋จี๋กัน พี่กูรช่วยไปที่อื่นได้ไหม เพราะมันอาจจะมีภาพแบบว่า 18 บวก อะไรแบบนั้นน่ะครับ แต่ถ้าพี่กูรจะอยู่ดูก็ได้นะครับ” พูดเท่านั้นรุทรก็หันไปหาเมทินี “มามะเมียจ๋า ขอผัวจูบปากทีดิ”
อังกูรมองทั้งคู่ด้วยความโกรธแค้น เขากำมือแน่นแล้วเดินหนีไป
รุทรที่กำลังจะจูบเมทินีหันมองตามอังกูรด้วยความสะใจ แล้วหันกลับมามองเมทินี โดนเมทินีตบเข้าอย่างจัง
รุทรฉุนกึก “เมตบผมทำไม”
“แล้วเธอทำบ้าอะไรของเธอ”
รุทรเย้ย “อ๋อ เธอแคร์ความรู้สึกพี่กูรอย่างงั้นเหรอ ผมว่าเมคงลืมไปแล้ว ว่าระหว่างผมกับพี่กรู” เขาเน้นคำหนักแน่นตอนท้ายว่า “ใครเป็นผัว”
รุทรผลักเมทินีออกห่าง แล้วเดินขึ้นจากสระ เมทินีเดินขึ้นจากสระน้ำตามมา หยิบเอาเสื้อคลุมมาใส่ ร้องเรียกวาทิตให้หยุด และเดินมาดึงมือรุทรไว้
“หยุดเดี๋ยวนี้นะวาทิต มาคุยกันให้รู้เรื่องก่อน เธอพูดบ้าอะไรของเธอ”
รุทรตอกกลับ “ทำไม หรือไม่จริงว่าผมเป็นผัวเม อ๋อที่แท้ก็ไม่ชอบโชว์ให้ผัวตัวเองดู แต่ชอบอ่อย ชอบโชว์ให้คนอื่นเขาดูแทน มันคงตื่นเต้นดีซินะ”
เมทินีโกรธจัด “วาทิตมันจะมากไปแล้วนะ อย่ามาดูถูกฉันแบบนี้นะ”
“ผมพูดตามที่ผมเห็น หรือว่ามันไม่จริง”
“เธอกลายเป็นคนแบบนี้ไปได้ไงนะวาทิต”
รุทรย้อนว่า “ก็ใครล่ะ ทำให้ผมเป็นแบบนี้”
“ฉันไม่อยากจะคุยกับเธออีกแล้ว”
เมทินีเดินหนี แต่ถูกรุทรคว้าข้อมือเอาไว้
“ทำไม ผมพูดถูกจุดหรือยังไง ถึงกับทนไม่ได้”
“ปล่อยฉันนะ”
รุทรปล่อยมือเมทินี แต่กลับช้อนตัวอุ้มแทน
เมทินีโวยลั่นดิ้นหนีพัลวัน “ปล่อยฉันนะวาทิตเธอทำอะไรของเธอ”
“ก็เธออยากว่ายน้ำนักไม่ใช่เหรอ ก็ว่ายให้สะใจซะก่อนสิ”
พูดจบรุทรก็โยนร่างเมทินีลงสระดังตูม เมทินีทะลึ่งพรวดขึ้นมาสำลักน้ำ
“วาทิตเธอทำอะไรของเธอเนี้ย”
“ผมว่าเมควรจะอยู่ในสระนานๆ นะ เผื่อน้ำเย็นๆ ในสระ มันจะดับความเร้าร้อนของเธอลงบ้าง”
รุทรยิ้มกวนให้แล้วหันเดินหนีไปด้วยความสะใจ
ทิ้งเมทินีให้ตีน้ำด้วยความโมโหอยู่ในสระลำพัง
อ่านต่อหน้า 2
เงาใจ ตอนที่ 7 (ต่อ)
ทางด้านกินรีเดินเล่นเรื่อยเปื่อยมาถึงบ้านพักอังกูร หล่อนมองขึ้นไปเห็นไฟในห้องนอนอังกูรที่เปิดอยู่ สักพักไฟดับลง
“เรานี่คงบ้านะ จะตามเค้าทำไม”
กินรีพึมพำ ขณะจะเดินกลับ แต่เห็นไฟห้องรับแขกเปิดขึ้น และไม่ได้ปิดม่าน เธอเห็นอังกูรในชุดหล่อเท่เตรียมออกไปเที่ยวกลางคืน เดินมาหยิบหมวกกันน็อกแล้วเปิดประตูออกมา
กินรีคิดบางอย่างได้ หล่อนรีบวิ่งกลับไปทางบ้านพ่อเลี้ยง
สักครู่อังกูร ใส่แจ็คเก็ตสวมหมวกกันน็อคขึ้นขี่มอเตอร์ไซค์คนโปรดทะยานออกไป
รถอังกูรขี่ผ่านหน้าบ้านพ่อเลี้ยงไป กินรีนั่งมองตามอยู่ในรถ สตาร์ตเครื่องแล้วขับตามไป
อังกูรพาตัวเองมานั่งดื่มเหล้าดับกลุ้มอยู่คนเดียวในร้านเหล้าตกแต่งเก๋ไก๋ โดยไม่รู้ว่าอีกมุมหนึ่งในร้าน กินรีนั่งหลบคอยสังเกตการณ์อยู่ด้วยความเป็นห่วง ระหว่างนั้นมีผู้หญิงสาวสวยคนหนึ่งเดินมาหาอังกูร พูดคุยกันแล้วนั่งข้างๆ
กินรีเห็นก็หึงหวง ตาลุกวาว ไม่พอใจมาก
อังกูรกับสาวสวยนางนั้นยังคงพูดคุยหัวเราะหัวใคร่อย่างสนุกสนาน จนอังกูรเริ่มเมามากแล้ว เขาหันไปเรียกพนักงานเช็คบิล ระหว่างนี้สาวสวยลุกเดินไปเข้าห้องน้ำ กินรีตามไปทันที
สาวสวยเดินเมาแอ่นออกมาจากห้องน้ำ โซเซมาที่อ่างล้างหน้า พอเงยหน้าก็เห็นกินรียืนจ้องอยู่
“มองอะไร”
“อย่ามายุ่งกับคนของฉัน”
“ใคร อ๋อ...พี่คนนั้นเหรอ ทำไมฉันจะยุ่งไม่ได้”
กินรีบอกเสียงเข้ม “เค้าเป็นคนของฉัน”
“นี่ ฉันยุ่งกับคนของเธอ ไม่ใช่เธอสักหน่อย อย่ามาทำหวงก้างนะฉันไม่สนหรอก”
สาวสวยนางนั้นผลักไหล่กินรีจะเดินออก กินรีจิกหัวกลับมา สาวสวยจะสู้กินรีจับหัวหล่อนฟาดขอบอ่าง สาวสวยกรี๊ดลั่นห้องน้ำ ผู้หญิงคนอื่นถอยหนี แต่ละคนกลัว และไม่อยากยุ่ง
สาวสวยล้มไปกองที่พื้น กินรีลงนั่งคุยด้วยอย่างใจเย็น พร้อมรอยยิ้มนิ่งๆ
“ฉันเป็นคนรักแรง เกลียดแรง ถ้ายังอยากแย่งก้างฉันอีกก็ลองดู”
พูดจบกินรีก็เอากระเป๋าถือตบหัวสาวสวยอีกที แล้วลุกเดินเชิดออกไปนิ่งๆ
“ช่วยกูหน่อยสิ อีบ้าจะยืนดูหาอะไรกัน”
สาวสวยโวยวายกับไทยมุง พยามจะลุกแต่ลุกไม่ขึ้นเพราะเมา
ทางฝ่ายอังกูรนั่งรอในอาการโงนเงนแทบทรงตัวไม่อยู่ จนพนักงานต้องคอยช่วยประคอง
“เฮ้ย ปล่อย อย่ามายุ่ง”
กินรีเดินออกมาแล้วบอกพนักงาน
“เพื่อนฉันเอง”
กินรีเข้าไปประคอง อังกูรมองหน้าไม่ชัด
“ไปกันได้แล้วใช่ไหม”
กินรีไม่ตอบแต่ประคองอังกูรออกไป
ร่างบึกบึนของอังกูรหงายผึ่งลงกับเตียง กินรียืนมองด้วยความสงสารและเห็นใจ
“ที่นี่ที่ไหน คุ้นมาก ห้องน้องเหรอ” อังกูรคิดว่าตนมากับสาวสวยนางนั้น
กินรีส่ายหน้าระอาใจ
“ห้องคุณกูรค่ะ นี่เมาจนจำอะไรไม่ได้เหรอ”
กินรีเดินไปเปิดตู้หาผ้าขนหนูผืนเล็กๆ แล้วเดินเข้าห้องน้ำชุบน้ำออกมาเพื่อเช็ดตัวให้ อังกูรเพ่งมองหน้ากินรีเห็นเป็นเมทินี
“เม...เมมาอยู่นี่ได้ไง”
กินรีเสียใจอยากเลิกเช็ดตัว แต่ก็สงสารเช็ดต่อไปเงียบๆ
“เม...”
“เอ่อ...คะ”
“เมอยู่กับพี่ได้ไหม ชดเชยที่เมื่อกลางวันเมทิ้งพี่ไปกินข้าวกับไอ้วาทิต อยู่กับพี่นะเม”
กินรีสมอ้างรับปากไป “ค่ะ”
อังกูรยิ้ม เอามือจับแก้มกินรีที่คิดว่าเป็นเมทินีเบาๆ นัยน์ตาวาบหวาม
กินรีตัดสินใจโน้มตัวลงซบอกแกร่งของอังกูร กอดเขาอย่างเต็มรัก
สองร่างกอดกระหวัดแทบจะหลอมเป็นเนื้อเดียวกัน เริงแล่นไปตามแรงปรารถนาในใจของใครมัน
ห้องนอนของอังกูรกลายเป็นฉิมพลีของกินรีจวบจนรุ่งเช้า อังกูรยังคงนอนกอดกินรีแน่น กินรีมองผู้ชายตรงหน้าอย่างมีสุขสมและหลงใหล หล่อนเอามือลูบหน้าอังกูรด้วยความรักใคร่
สัมผัสนั้นทำให้อังกูรค่อยๆ รู้สึกตัวตื่นขึ้น พอเห็นกินรีนอนยิ้มมองอยู่ก็ตกใจ
“นรี อะไรกันเนี่ย”
กินรียิ้มหวาน “ไม่ต้องตกใจค่ะ นรีเต็มใจให้มันเกิด”
อังกูรพยามนึกทบทวน “เมื่อคืนนี้...ฉันอยู่กับ...”
“คุณกูรอยู่กับนรีคนเดียว ไม่ต้องคิดถึงคนอื่นให้เสียเวลาหรอกค่ะ” กินรีตัดความ
อังกูรเขยิบหนี “แล้วเธอมาที่นี่ได้ไง”
“ก็คุณกูรเมามากที่ผับ นรีเป็นห่วงไม่อยากให้ขี่มอเตอร์ไซค์กลับมาก็เลยพาคุณกลับมา” กินรีขยับเข้ามาซบ “นรีรักคุณกูร นรีไม่เสียใจในสิ่งที่เกิดขึ้น”
“แต่ฉันไม่ได้รักเธอ” อังกูรเสียงขุ่น
“ก็รักสิคะ นรีสัญญาว่าจะรักจะดีกับคุณกูรตลอดไป”
อังกูรฉุน “นรี เธอบ้าไปหรือไง ฉันไม่ได้รักเธอ ได้ยินไหม”
กินรียิ้มยั่ว “แต่ตอนนี้เราเป็นของกันและกัน”
“แล้วไง”
กินรีอึ้ง “นี่ นี่คุณกูรไม่คิดบ้างเหรอว่านรีให้สิ่งที่มีค่าที่สุดกับคุณ”
อังกูรหัวเราะเยาะ “เธอคิดว่าไอ้แผนตื้นๆ แบบนี้จะจับฉันได้เหรอ” อังกูรชักโกรธจับคางหล่อนบีบ “ฟังไว้นะนรี ผู้หญิงที่มีค่าที่สุดของฉันคือเม”
พอได้ยินชื่อเมทินีก็ปรี๊ดปัดมืออังกูรออก
อังกูรยิ้มเหยียดๆ “เรื่องเมื่อคืนน่ะ เอาเป็นว่า...ขอบใจ”
กินรีเคียดแค้น ยิ้มร้ายจ้องหน้า “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ คนอย่างนรีน่ะต้องได้มากกว่าเสีย”
อังกูรไม่สนลุกขึ้นเดินเข้าห้องน้ำไป กินรีมองตามเจ็บใจ
เช้านี้พ่อเลี้ยงวิทย์แวะมาเยี่ยมวาทิต ที่บ้านท้ายไร่ของรุทร พ่อเลี้ยงลูบหัววาทิตสีหน้าเศร้า แรมยืนมองอยู่มุมหนึ่งด้วยความเข้าใจความรู้สึกพ่อเลี้ยง
“คุณหมอที่พ่อเลี้ยงส่งมาตรวจ บอกว่าอาการของวาทิตยังเหมือนเดิม”
พ่อเลี้ยงวิทย์ยังไม่ท้อ “ไม่ต้องห่วงนะแรม ฉันจะไม่ยอมแพ้เด็ดขาด”
“ขอบคุณค่ะพ่อเลี้ยง”
“แล้วพยาบาลพิเศษล่ะ วันนี้ไม่มาเหรอ”
“ฉันขอไม่เอาค่ะ แค่นี้พ่อเลี้ยงก็สิ้นเปลืองเพราะพวกเรามามากแล้ว”
“โธ่แรม ทำไมคิดอย่างนั้น อย่างน้อยให้พยาบาลพิเศษ ช่วยสลับกับเธอดูแลวาทิตก็ยังดี”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันทำได้ รินกับวัตรก็อยู่ ให้ฉันทำเถอะนะคะพ่อเลี้ยง” แรมว่า
“งั้นก็ตามใจ” พ่อเลี้ยงวิทย์พูดกับวาทิตราวกับว่าเขารับรู้ “หายเร็วๆ นะลูก พี่เค้าจะได้กลับมาอยู่กับแม่แรม แล้ววาทิตก็จะได้กลับไปอยู่กับพ่อนะ”
ทางด้านรุทรนั่งอ่านหนังสือเกี่ยวกับดนตรีของวาทิตอยู่ในห้องนั่งเล่น แต่อ่านไม่รู้เรื่อง จึงเปลี่ยนเล่มใหม่ก็ไม่สนุกอีก เลยวางหนังสือ แล้วเดินไปที่เปียโนนั่งเล่นที่เคยเรียนมา
รุทรเอาโน้ตมาดูแล้วลงมือเล่น แต่จำไม่ได้พยามหัดน๊องๆ แน๊งๆ ไปตามเรื่อง ก็เบื่อ
แล้วรุทรนึกขึ้นได้หยิบเอากล้องมาเปิดดูรูปที่แอบถ่ายเมทินีไว้ หน้าจอเห็นเมทินีในอิริยาบถต่างๆ
“ความสวยของเธอนี่มันน่ากลัวจริงๆ นะ เมทินี”
ระหว่างนั้นโทรศัพท์ของรุทรสั่น รุทรหยิบมาเครื่องหนึ่งแต่ไม่ใช่ หยิบอีกเครื่องมาดู
หน้าจอเห็นชื่ออนุวัตรโทร.เข้า รุทรรีบวิ่งไปล็อคประตู แล้วกดรับ
“ไอ้วัตร ว่าไงวะ”
อนุวัตรยืนอยู่กับนักท่องเที่ยวที่ด้านหน้าไร่ธราธรนี่เอง ในมือถือขวดน้ำส้มดูดไปด้วย
“ไม่ว่าไง จะบอกว่าน้ำส้มไร่แกนี่อร่อยจริงๆ ว่ะ”
รุทรหมั่นไส้ “ไอ้บ้า ว่างมากหรือไงถึงโทรมากวน ฉันก็ตกใจนึกว่าที่บ้านมีอะไร” เขานึกได้ “เฮ้ย เดี๋ยว นี่แกอยู่หน้าไร่เหรอ”
“เออ...น่ะสิ ฉันเพิ่งเสร็จประชุมที่เชียงใหม่ เลยแวะมาหา ไอ้รินก็อยากเจอแก แกออกไปกินข้าวกับฉันกับรินหน่อยได้ไหม แต่รินเลิกบ่ายสามนะ แกมาเจอฉันก่อน”
“ที่หน้าไร่จะไม่สะดวกน่ะสิ เอางี้เลยจากไร่ไปสักครึ่งกิโลจะมีร้านกาแฟอยู่ แกไปคอยฉันที่นั่นนะ”
อนุวัตรกดวางสาย แล้วหันไปสั่งน้ำส้มเพิ่มพร้อมส่งยิ้มหวานให้พนักงาน
เมทินียืนคุยกับจั่นเป็งในห้องครัว
“มื้อกลางวันวันนี้เดี๋ยวฉันทำอาหารเอง”
“ไม่เป็นไรค่ะ คุณไปดูคุณวาทิตเถอะ”
“ไม่เอาล่ะ อยู่ห่างๆ กันบ้างก็ได้”
จั่นเป็งฟังแล้วงง “ทะเลาะกันเหรอคะ”
เมทินีนึกได้ว่าหลุดปาก “เอ่อ...เปล่าหรอก”
“ถ้าคุณเมจะทำอาหาร งั้นจั่นเป็งไปทำอย่างอื่นนะคะ”
“อ้าว...ไม่อยู่ช่วยฉันหน่อยเหรอ”
“ไม่ล่ะค่ะ ป้าเอื้องคำจะโกรธ”
จั่นเป็งเดินออกไปโดยไม่สนใจเมทินีอีก เมทินีเองก็ไม่อยากใส่ใจเดินไปเปิดตู้เย็นหาของ
รอจนจั่นเป็งออกไป รุทรจึงออกมาจากที่ซ่อน แอบดูจนแน่ใจแล้วเดินออกไปทางหน้าบ้าน
ระหว่างที่เมทินี หยิบหมูยกผักออกจากตู้เย็น ปากก็บ่นไป ยังแค้นรุทรที่คิดว่าเป็นวาทิตไม่หาย
“ฮึ คอยดูนะวันนี้ฉันหมกอยู่ในครัวทั้งวันไม่ต้องเจอหน้ากันเลย โทษฐานที่บังอาจรังแกฉันเมื่อคืน”
รุทรเดินออกมาที่โรงรถหน้าบ้านแล้ว เห็นจั่นเป็งเดินออกมาจากบ้านพอดี
“จักรยานนี่ฉันเอาไปขี่ได้หรือเปล่า”
“อ๋อ ได้ซิค่ะ”
“งั้นเดี๋ยวเอามาคืนนะ ขอไปออกกำลังกายหน่อย”
จั่นเป็งนึกเป็นห่วง “อุ้ย แล้วคุณวาทิตจะปั่นไหวเหรอค่ะ”
“สบายมาก”
รุทรขึ้นนั่งอานจะปั่นจักรยานออกไป จั่นเป็งรีบมายืนขวางไว้
“เดี๋ยวค่ะคุณวาทิต แล้วจะปั่นไปไหนค่ะ ไกลหรือเปล่าค่ะ เดี๋ยวเกิดเป็นอะไรขึ้นมาไม่มีคนเห็นจะแย่เอานะคะ”
“ฉันไปแค่หน้าไร่นี่ล่ะ ไม่ต้องห่วงนะ”
จั่นเป็งตกใจ “ห๊า ไปถึงนั่นเลยหรือค่ะ มันจะไกลไปหรือเปล่าค่ะคุณวาทิต ไม่ได้เลยนะคะถ้าคุณวาทิตเป็นอะไรไป จั่นเป็งตายแน่ๆ เลย” จั่นเป็นเหลียวหน้าหลังไปมองขณะพูด “พ่อเลี้ยงก็ต้องว่าทำไมดูแลคุณวาทิตไม่ดี ปล่อยให้ออกไปได้ยังไง ป้าเอื้องคำอีกคน อิจั่นเป็งตายแน่ๆ”พอหันกลับมาพบว่าวาทิตปั่นจักรยานไปไกลแล้ว “อ้าว ไปนู้นแล้ว ตายแน่ๆ นังจั่นเป็ง”
จั่นเป็งมองดูรุทรที่เข้าใจว่าเป็นวาทิตปั่นจักรยานออกไปแล้วใจไม่ดีกลัวโดนดุ
อังกูรเดินมาจากทางบ้านพัก เห็นหลังรุทรไวๆ ก็นึกสงสัยเพราะเห็นถีบจักรยาน เลยเดินไปถามจั่นเป็ง
“วาทิต ปั่นจักรยานได้เหรอ”
“อุ้ย คุณกูร จั่นเป็งก็ยังงงๆ อยู่นี่ล่ะค่ะ แต่ก็น่าเป็นห่วงนะคะ”
“ปั่นไปใกล้ๆ ก็คงไม่เป็นไรมั้ง”
“ไม่ใช่อย่างนั้นน่ะสิค่ะ คุณวาทิตน่ะเธอจะไปถึงหน้าไร่เลยนะคะ”
“ไปหน้าไร่เลยเหรอ”
อังกูรสงสัยในตอนแรก แล้วเปลี่ยนเป็นยิ้มร้ายอย่างมีแผนการ
จั่นเป็งกังวลอยู่นั่น “คุณกูรช่วยไปดูได้ไหมค่ะ ถ้าเกิดคุณวาทิตเป็นอะไรขึ้นมา พ่อเลี้ยงเอาจั่นเป็งตายแน่”
“ได้ ฉันจะดูแลอย่างดี ยังไงคนที่ตายก็ไม่ใช่เธอแน่”
อังกูรยิ้มร้าย แล้วเดินไป
ชาติกับสมุนคู่ใจ ไอ้จ่างอยู่ในบ่อนใกล้ไร่ตั้งแต่เมื่อคืน ชาติลุ้นไพ่นานแล้ว ทำเอาจ่างที่อยู่ในวงกับคนอื่นๆ ร้อนใจ
“เฮ้ย...พี่ชาติอย่าช้าดิ ได้แล้วถ่วงเหรอ”
“ใจเย็นๆ สิวะ ของแบบนี้มันต้องลุ้นกันหน่อย”
คนเล่นคนอื่นพลอยลุ้นไปด้วย ชาติทิ้งไพ่หน้านิ่งๆ ทุกคนเห็นไพ่ชาติต่างเซ็งกันหมด ชาติยิ้มแล้วกวาดเงินมากองตรงหน้า พูดจากวนๆ
“กูกำลังได้ จะถ่วงทำไม...ใช่ไหม”
ระหว่างนั้นโทรศัพท์ชาติสั่น ชาติหยิบมาดูแล้วลุกจากโต๊ะ
คนในบ่อนโวย “เฮ้ย”
ชาติยกมือห้ามคนในบ่อนแล้วเดินมาคุยสาย “ครับคุณกูร”
อังกูรอยู่ในมุมลับตาที่ไร่ธราธร ได้ยินเสียงก็รู้ทันที
“อยู่ในบ่อนแล้วอีกแล้วเหรอ โธ่ เว้ย”
“คุณกูรมีอะไรครับ”
“ไอ้วาทิตมันถีบจักรยานไปนอกไร่ ฉันต้องการให้แกไปจัดการกับมันตอนนี้”
“ไม่ต้องห่วงครับ ผมจัดการทันแน่ คุณกูรรอฟังผลได้เลยครับ”
ชาติปิดมือถือแล้วเดินไปหาจ่าง
“มีงานด่วน”
ชาติรวบรวมเงินใส่กระเป๋าแล้วลากจ่างออกไปเลย คนในบ่อนโวยวายที่ชาติทิ้งวงไปดื้อๆ
ที่บริเวณด้านหน้าทางเข้าไร่ตอนนี้ มีบรรดานักท่องเที่ยวเยอะมาก สักพักเห็นรุทรขี่จักรยานออกจากประตูไร่ ขี่ไปตามถนนผ่านนักท่องเที่ยว
โดยที่มุมหนึ่ง รถของชาติที่มีจ่างนั่งมาด้วยซุ่มดูอยู่
“มันถีบจักรยานอยู่นั่นไงพี่”
“ตามมันไปก่อน ตรงนี้คนเยอะ”
ชาติหยิบหมวกไหมพรมมาส่งให้จ่าง
“ทำให้เหมือนเป็นทำร้ายชิงทรัพย์ ไม่ต้องฆ่าแต่คอยดูให้แน่ว่ามันหัวใจวายตาย แค่นี้ตำรวจก็จะไม่สงสัยเราแล้ว”
จ่างตกใจ “ถึงตายเลยเหรอพี่”
“ก็ต้องให้ตายสิวะมันสะใจดี”
รุทรขี่จักรยานมาคนเดียว ถนนค่อนข้างเปลี่ยว
มีรถกระบะของชาติตามมาห่างๆ ทั้งสองวายร้ายเริ่มใส่หมวกดึงมาปิดหน้า
เงาใจ ตอนที่ 7 (ต่อ)
ส่วนตรงร้านกาแฟริมถนน บริเวณทางสามแพร่ง อนุวัตรนั่งดื่มกาแฟรออยู่ตรงนั้น จนรู้สึกว่านานเกินไปแล้ว เริ่มชะเง้อคอมองไปนอกร้าน ก็ไม่เห็นวี่แวว อนุวัตรลุกไปถามคนขาย
“พี่ครับ แถวนี้มีร้านกาแฟอีกไหมครับ”
คนขายส่ายหน้าปฏิเสธ อนุวัตรเดินกลับไปนั่ง แล้วตัดสินใจกดโทร.ออก
รถของชาติตามรุทรอยู่ห่างๆ ชาติกับจ่างดูสองข้างทาง พบว่าห่างจากไร่มามากแล้วก็พยักหน้าให้กัน
“แถวนี้ละ”
จ่างหยิบไม้หน้าสามขนาดเหมาะมือออกมา ชาติดูกระจกหลังเห็นมีรถมา
“รอเดี๋ยว”
รุทรเองก็เห็นรถที่ตามมา แล่นผ่านไป และยังไม่คิดอะไร แต่สักพักได้ยินเสียงรถกระบะแล่นตามหลัง โดยไม่ยอมแซงไปสักทีจนรุทรเริ่มเอะใจ แล้วจู่ๆ ก็เห็นรถกระบะแล่นมาขวางหน้า รุทรเบรกรถจักรยานทันที
โดยไม่ทันตั้งตัว ชาติกับจ่างลงจากรถ แล้วเอาไม้ฟาดเข้าหน้ารุทรทันที รถรุทรล้มกลิ้งตกข้างทาง ร่างรุทรฟุบอยู่ใกล้ๆ กับจักรยาน
อีกฟาก กินรีกำลังจัดยาวางที่โต๊ะในห้องทานข้าว จั่นเป็งจัดโต๊ะรินน้ำใส่แก้ว เมทินียกอาหารออกมา
“นรี เห็นวาทิตไหม”
“เธอเป็นเมียไม่รู้หรือไง” กินรีตีฝีปาก
“ฉันทำกับข้าวเพิ่งเสร็จ”
“มันหน้าที่เธอเหรอ หรือว่าเธอไม่อยากเป็นเมียวาทิต แต่อยากเป็นคนใช้”
เมทินีรำคาญ แต่พยายามข่มใจ “นรี ถ้าเธอมีอะไรไม่พอใจฉันก็บอกมาตรงๆ ดีกว่า ถ้าฉันแก้ไขอะไรได้ฉันก็จะทำ อย่างน้อยเราก็จะได้ไม่ต้องมามึนตึงใส่กัน”
“ถ้าฉันบอกเธอจะทำให้แน่เหรอ”
“อะไรล่ะ”
“ช่วยตายไปให้พ้นๆ หน้าฉันทีได้ไหม ฉันเกลียดเธอ”
เมทินีได้ยินก็โมโห
“ได้ ในเมื่อฉันพยามดีด้วยแต่เธอไม่รับไมตรี ต่อไปนี้ฉันไม่สนว่าเธอจะโกรธเกลียดอะไรฉัน แต่อย่ามาล้ำเส้นฉันก็แล้วกัน”
กินรีลงนั่งประจำที่ไม่สนใจเมทินีๆก็ลงนั่งไม่มองหน้ากินรี สักพักจั่นเป็งเดินเข้ามา
“คุณเมเจ้า คุณวาทิตเอาจักรยานขี่ไปหน้าไร่น่ะเจ้า จั่นเป็งกลัวว่าคุณวาทิตจะเป็นอะไรไปนะเจ้า”
เมทินีสงสัย “ไปทำไมของเขานะ”
“คุณเมไปไม่ไปดูคุณวาทิตหน่อยเหรอเจ้า”
เมทินีทำเป็นไม่สนใจ “เขาไปเองได้ก็ต้องกลับมาได้”
“คนที่มีหน้าที่ต้องห่วงกับไม่ห่วง มัวไปห่วงแต่คนอื่น”
เมทินีรำคาญมองหน้ากินรีอย่างไม่พอใจ สุดท้ายลุกเดินหนีไป
ทางด้านชาติกับจ่าง ลากร่างของรุทรเข้ามาในพงหญ้าข้างทาง
ระหว่างนั้นเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น จ่างค้นตัวจะหาโทรศัพท์ แล้วทันใดนั้นรุทรก็ฉวยโอกาสเข่าเข้าหน้าจ่างเต็มๆ จนมันหน้าหงาย
ชาติถือไม้ตั้งท่าจะฟาด แต่รุทรรับไว้ได้แล้วถีบใต้คางเต็มแรงจนชาติหงายเงิบ ไม้ตกมาข้างๆ ตัวรุทร
รุทรดีดตัวลุกขึ้น ยืนคว้าไม้เป็นอาวุธ ในขณะที่ชาติชักมีดออกมา แต่รุทรก็สู้ไม่ถอย ฟาดไม้ตีข้อมือจนมีดหลุดจากมือชาติ
เสียงโทรศัพท์ดังจนเงียบไป แล้วดังขึ้นมาใหม่ในขณะที่รุทรต่อสู้กับสองคน
อนุวัตรรอจนสายหลุดแล้วโทร.อีก
“เฮ้ย อะไรของมันวะ” อนุวัตรกดวาง “หรือจะออกมาไม่ได้มีคนเห็น หรือจะโดนทำร้ายเกิดเรื่อง หรือมันจะเบี้ยว”
ยิ่งคิดยิ่งว้าวุ่น สุดท้ายอนุวัตรลุกออกไป
ฝ่ายเมทินีเดินไปเดินมาหน้าบ้าน เริ่มกระวนกระวายใจที่วาทิตยังไม่กลับมา มีจั่นเป็งชะเง้อคอยมองตาม ห่วง
“คุณเมเจ้า จั่นเป็งว่าคุณวาทิตไปนานเกินไปแล้วนะเจ้า ท่าทางไม่ดีแล้วนะเจ้า”
“คนอวดเก่งแบบนั้นไม่เป็นอะไรง่ายๆ หรอก อย่าห่วงไปเลยจั่นเป็ง ขนาดเจ้าตัวยังไม่ห่วงตัวเองเลย”
เมทินีทำเป็นพูดไม่สนใจ แต่ชะเง้อมองหาอยู่ตลอดบ่นกับตัวเอง “บ้าจริง ไม่ห่วงตัวเองบ้างหรือไงนะวาทิต”
“คุณเมเจ้า จั่นเป็งว่าเราออกไปตามคุณวาทิตกันเถอะนะเจ้า เกิดคุณวาทิตเป็นลมหมดสติไปกลางทาง จะได้ช่วยกันทันนะเจ้า”
เมทินีเริ่มใจไม่ดี เป็นห่วงไม่น้อย แต่วางฟอร์ม
“เดี๋ยวฉันจะลองโทร.หาวาทิตดูแล้วกัน”
จั่นเป็งยิ้มมองเมทินีอย่างมีความหวัง เมทินีหยิบโทรศัพท์โทร.หาวาทิต แต่วาทิตไม่รับสาย
“เป็นยังไงบ้างเจ้าคุณเม” จั่นเป็นร้อนใจ
เมทินีหน้าเสีย เป็นห่วงวาทิตขึ้นมาจริงๆ
“ไม่รับสายน่ะ เอาอย่างนี้แล้วกัน จั่นเป็งไปบอกคนงานให้ช่วยตามหาคุณวาทิต”
“ทำไมเราไม่ออกไปตามกันเองล่ะเจ้า” จั่นเป็งท้วง
“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวนี้คุณวาทิตของจั่นเป็งเขาแข็งแรงกว่าเมื่อก่อนมาก ถ้าฝืนตัวเองออกไปขี่จักรยานได้แบบนั้น เดี๋ยวก็คงกลับมาเองนั่นแหละ ฉันไม่อยากออกไปตามให้เสียเวลา”
จั่นเป็งมองงงๆ แต่ก็รีบเดินออกไป
เมทินีหันกลับเข้าบ้าน มองโทรศัพท์ในมือ รู้สึกเป็นห่วงวาทิตขึ้นมา บ่นบ้ากับตัวเองด้วยความเป็นห่วง
“ทำไมไม่กลับมาอีกนะวาทิต คนบ้า”
รุทรยังคงต่อสู้กับสองคนอยู่ จังหวะหนึ่งรุทรใช้ไม้ฟาดจ่างร่วง แต่ชาติลุกขึ้นจากด้านหลังถีบรุทรจนล้มลง และไม้หลุดจากมือ
จ่างเห็นมีดตกที่พื้นจึงหยิบมาหมายจะไปแทง แต่รุทรแย่งมาได้ แล้วแทงปักไปที่แขนมันแทน
จ่างร้อง “อ๊าก...”
ชาติคว้าไม้ได้กระหน่ำฟาดรุทรจนล้มลง แล้วไปพยุงจ่างมาตรงที่รุทรนอนสะลึมสะลืออยู่อย่างหมดแรง
“ไหนพี่บอกมันจะหัวใจวายตายเองไง”
“หัวใจไม่วายก็สงเคราะห์มันหน่อยแล้วกัน”
ชาติลงนั่งแล้วบีบคอรุทรอย่างแรง
เสียงอนุวัตรดังขึ้น “พวกมึงฆ่าคนเหรอ”
ชาติ กับ จ่างหันไปเห็นอนุวัตรก็ตกใจ
“เฮ้ย มีคนเห็น”
อนุวัตรวิ่งกลับไปที่รถแล้วกดแตรดังลั่น ชาติกับจ่างตกใจรีบวิ่งไปที่ถนน อนุวัตรกลัวรีบล็อกรถแต่บีบแตรดังยาวต่อเนื่อง ชาติ กับ จ่าง ขึ้นรถขับหนีไปฝุ่นตลบ
อนุวัตรพอเห็นว่าไปแล้วก็รีบวิ่งไปที่รุทรล้มอยู่ เห็นสภาพรุทรแล้วตกใจมาก
“ไอ้รุทร!”
เมทินียืนกระวนกระวายอยู่หน้าบาน กินรีนั่งรออยู่ไม่ไกล แต่ไม่กระวนกระวายเท่า เอื้องคำเดินหน้าตื่นเข้ามาต่อว่าจั่นเป็งทันที
“นังจั่นเป็งทำไมแกถึงปล่อยให้คุณวาทิตขี่จักรยานไปคนเดียวแบบนั้น แกก็รู้ว่าคุณวาทิตออกแรงมากๆไม่ได้ คอยดูนะถ้าคุณวาทิตเป็นอะไรขึ้นมา ฉันจะฟ้องพ่อเลี้ยงให้เอาผิดกับพวกคุณทุกคน”
กินรีแดกดันขึ้นมาว่า “นี่ป้าจะมาว่าเหมารวมกันแบบนี้ไม่ได้นะ ขนาดเมียเขาอยู่ทั้งคนยังไม่ห่วงสามีตัวเองเลย”
เมทินีรู้สึกขัดหูแต่ไม่อยากทะเลาะด้วย
“ฉันก็ไม่รู้ว่าวาทิตจะทำแบบนี้ ถ้ารู้ฉันห้ามแน่นอน ฉันโทร.ไปก็ไม่รับอีก”
เอื้องคำค้อนไม่พอใจเมทินี ระหว่างนั้นคนงานชายขี่จักรยานกลับมา ทุกคนรีบวิ่งเข้าไปรุมถาม
“เป็นยังไงบ้างเจอตัวคุณวาทิตไหม”
คนงานส่ายหน้า “ผมถามพวกพนักขายที่หน้าไร่แล้ว เขาบอกว่าคุณวาทิตขี่รถออกไปไหนก็ไม่ทราบครับ”
เอื้องคำตกใจโวยวายลั่น “ตายแล้วคุณวาทิตของป้า” พร้อมกับหันมาหาเมทินีมองด้วยความโกรธ “นังจั่นเป็งไปบอกให้คนเอารถออก ข้าจะไปตามคุณวาทิต”
จั่นเป็งมองเอื้องคำที เมทินีที ก่อนจะเดินไป แต่เมทินีเรียกเอาไว้
“ไม่ต้องไปหรอกจั่นเป็ง เดี๋ยวฉันจะไปตามวาทิตเอง”
เมทินีกับเอื้องคำจ้องตากันอย่างไม่มีใครยอมใคร
อนุวัตรพารุทรมาส่งโรงพยาบาล เวลานี้อยู่ในห้องทำแผล
หมอทำแผลตามร่างกาย และหน้าตาที่แตกยับให้รุทร โดยมีพยาบาลคอยช่วยหนึ่งนาง โดยทุกครั้งที่หมอแตะแผลรุทรเจ็บจนสะดุ้ง อนุวัตรที่ยืนดูอยู่มุมห้องก็สะดุ้งเหมือนเจ็บไปด้วย
สุดท้ายหมอปิดพลาสเตอร์เสร็จ ดูแผลต่างๆ เรียบร้อยก็เดินไปคุยกับอนุวัตรเรื่องอาการ อนุวัตรรับทราบพอหมอกับพยาบาลเดินออกไป อนุวัตรเดินมาดูสภาพเพื่อนที่มาผ้าปิดแผลหลายแห่ง และใส่เฝือกอ่อนที่แขนด้วย
“ทำไมเวลาฉันดูละครพระเอกมันต่อสู้กับผู้ร้ายเป็นสิบ ไม่เห็นมันเยินอย่างงี้วะ”
“ไอ้บ้า นี่มันของจริงนะเว้ย ว่าแต่แกเหอะ รู้ได้ไงว่าฉันกำลังจะโดนหมกอยู่ตรงนั้น”
อนุวัตรยืดอกด้วยความภาคภูมิใจ เล่าให้ฟังว่า
เขาขับรถย้อนกลับมาทางไปไร่ รถแล่นมาจนเห็นรถจักรยานล้มอยู่ข้างทาง และใกล้ๆ กันมีรถกระบะจอดขวางในลักษณะแปลกๆ
อนุวัตรขับรถกำลังจะผ่านไปแล้ว แต่ตามองกระจกหลังด้วยสีหน้าครุ่นคิด ในที่สุดก็ตัดสินใจหยุดรถหันกลับไปมอง
“จักรยานที่ล้มริมถนนไงมันดูแปลกๆ แถมดันมีกระบะจอดแบบขวางๆ ผิดธรรมชาติ ฉันเลยถอยกลับไปดู” อนุวัตรเล่า
จนรถอนุวัตรถอยหลังกลับมา เขาลงจากรถแล้วิ่งข้ามฝั่งมาดู มองที่ลงไปที่พงหญ้าข้างทาง เห็นเป็นทางรกร้างมีร่องรอยเละๆ เหมือนคนโดนลาก
“พอฉันเห็นพงหญ้ามีร่องรอยเละๆ เหมือนคนโดนลากก็เลยตามไปดู ว่าแต่แกเถอะไปทำอีท่าไหนวะถึงโดนไอ้พวกนั้นมันรุมซะขนาดนี้”
“ฉันก็ขี่จักรยานมาดีๆ อยู่ๆ ก็โดนซะงั้น”
“สงสัยมันกะฆ่าแล้วชิงทรัพย์ พูดแล้วเสียว นี่ถ้าฉันมาช้าอีกนิดเดียวไอ้รุทรเอ๊ย...”
รุทรสวนขึ้น “แต่ฉันว่ามันไม่ได้ชิงทรัพย์มันตั้งใจมาฆ่าฉัน”
อนุวัตรตกใจ “เฮ้ย ฆ่าแก”
รุทรพยักหน้ารับอย่างมั่นใจ “ตอนที่ฉันทรุดไปได้ยินพวกมันคุยกันเรื่องหัวใจวายของวาทิต คนร้ายต้องเป็นคนที่รู้อาการของวาทิต”
“อุ๊ต๊ะ! นี่เล่นไล่ฆ่ากันเลยเหรอ ไอ้รุทร ฉันว่าแกถอนตัวเหอะ”
รุทรทวนคำ “ถอนตัว”
“ใช่สิ แกจะกลับไปให้โดนฆ่าเหรอ”
รุทรนิ่งคิด “ไม่ ฉันถอนตัวไม่ได้ ตราบใดที่ทุกปัญหาในไร่นี้ยังไม่เคลียร์ ฉันคงทิ้งคุณลุงกับวาทิตไม่ได้ เพราะถ้าวันหนึ่งวาทิตหายกลับมาที่ไร่ เขาจะต้องอยู่อย่างมีความสุขในทุกๆ เรื่อง”
“ไอ้รุทร” อนุวัตรถอนใจเครียดหนัก “ฉันหวังว่าแกจะแก้ไขทุกอย่างได้นะ อย่าเดี้ยงไปกับน้องแกอีกคนแล้วกัน”
รุทรยังคงมีสีหน้ามุ่งมั่นตั้งใจที่จะจัดการกับปัญหานี้
อนุวัตรเห็นความดื้อดึงของเพื่อนแล้วก็ยิ่งกังวล กลัวเป็นอันตรายถึงชีวิต
อีกฟาก บริเวณมุมหนึ่งในป่าเปลี่ยวไม่ของไร่ธนาธร อังกูรยืนมองสภาพชาติและจ่าง ที่สะบักสะบอมทั้งคู่อยู่ที่นั่น สองคนทำแผลกันแล้ว
“มันจะเป็นไปได้ยังไงวะ”
“ตอนแรกผมก็คิดว่ามันน่าจะหัวใจวาย แต่แปลกนะครับ ทำไมมันต่อสู้ได้ ไม่รู้ไปเอาแรงมาจากไหน”
“แค่มันไปรักษาตัวไม่นาน มันไม่น่าจะแข็งแรงอะไรมากมาย” อังกูรหยุดคิดชั่วขณะหนึ่งก่อนหันมาถามชาติ “แล้วมันจำแกได้ไหม”
“ไม่ต้องห่วงครับนาย ผมเอาผ้าปิดหน้าไว้ มันจำผมไม่ได้แน่”
“เป็นอย่างนั้นได้มันก็ดี แต่ยังไงก็หลีกเลี่ยงที่จะเจอมันไปก่อนก็แล้วกัน ถ้ามันเกิดจำได้ขึ้นมาจะซวยกันหมด”
“ครับนาย”
“อยากรู้จริงๆ ว่าไอ้วาทิตมันไปได้ยาดีอะไร ทำไมถึงได้เปลี่ยนไปได้ขนาดนี้”
อังกูรครุ่นคิด เจ็บใจที่ฆ่าไม่สำเร็จ
รถอนุวัตรแล่นมาจอดริมทาง สองหนุ่มลงมาจากรถ อนุวัตรนำเอารถจักรยานลงมาจากท้ายกระบะ
รุทรในสภาพแขนเดียวแต่ยังสามารถขี่จักรยานได้มารับไป
“นี่ดีนะ รินไม่ได้มาด้วย แล้วนี่จะทำไงให้แกได้คุยกับรินวะ”
“คงต้องส่งข้อความหากันไปก่อน ไว้โอกาสดีๆ ฉันจะโทร.ไปคุยกับริน”
“ก็ดี แต่ไง ฉันว่าแกต้องรีบสืบหาคนที่มันทำน้องแกให้เร็วแล้วล่ะ ไม่อย่างนั้นแกเองจะพลาดท่าพวกมันสักวัน”
“เออ ขอบใจ ฉันจะพยามระวังตัวมากขึ้นด้วย”
อนุวัตรพยักหน้าให้ “แต่แกก็ต้องรายงานข่าวให้ฉันรู้เป็นระยะๆ และถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากลฉันจะได้มาช่วยแกทัน”
รุทรพยักหน้ารับ อนุวัตรลืมตัวตบไหล่จนรุทรแทบทรุด อนุวัตรตกใจชักมือกลับหน้าเหยเก
“เดี๋ยวฉันจะขับรถตามแกห่างๆ จนแกเข้าไร่แล้วกัน”
รุทรยิ้มแล้วขี่จักรยานมือเดียวแล่นไป อนุวัตรขึ้นรถขับตามไปช้าๆ
ทางด้านเอื้องคำ จั่นเป็ง พากันเดินกระวนกระวายอยู่หน้าบ้านด้วยความเป็นห่วงวาทิต กินรียืนมองไม่ทุกข์ร้อนใดๆ เมทินีเดินกลับมาหลังจากออกไปตามหาวาทิต จั่นเป็งรีบเดินเข้ามาถามทันที
“คุณเมเจ้า เจอคุณวาทิตไหมเจ้า”
เมทินีส่ายหน้า
เอื้องคำร้อนใจ “โถคุณวาทิตของป้า ป่านนี้จะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้”
เอื้องคำมองเมทินีอย่างไม่พอใจ เมทินีไม่สนใจเพราะห่วงวาทิตมากกว่า
สักครู่หนึ่งจั่นเป็งมองออกไป เห็นรุทรที่คิดว่าเป็นวาทิตซ้อนท้ายคนงานขี่จักรยานเข้ามา จั่นเป็งชี้ไปด้วยความดีใจ
“คุณวาทิตกลับมาแล้วเจ้า”
ทุกคนมองตาม ตรงเข้าไป เมทินีสะดุดกับบาดแผลของวาทิต
“เธอไปโดนอะไรมาวาทิต”
รุทรกับเมทินีจ้องตากัน ทุกคนมองรอฟัง
ถัดมา เมทินี เอื้องคำ และจั่นเป็ง กำลังดูกินรีวัดความดันและตรวจชีพจรหัวใจของรุทร
“แล้วนี่คุณวาทิตคิดยังไงถึงถีบจักรยาน ไปให้เขาหาเรื่องคะเนี่ย” เอื้องคำถามอย่างห่วงใย
รุทรคิดหาคำตอบ “ก็...เอ่อ...ก็อยู่บ้านนั่งๆ นอนๆ มันน่าเบื่อ ฉันก็เลยอยากออกกำลังกายน่ะ”
เอื้องคำค้อน บ่นตามประสา “นี่โชคดีนะคะที่พลเมืองดีคนนั้นมาช่วยไว้ ไม่อย่างนั้นละ โอ๊ย ไม่อยากจะคิด”
ระหว่างนั้น กินรีวัดความดัน ชีพจรหัวใจเสร็จ ก็จดบันทึกด้วยท่าทีงงๆ
“แปลกนะคะ ทุกอย่างของคุณวาทิตดีขึ้นมากเลย ทั้งๆ ที่เพิ่งผ่านเรื่องร้ายๆ มา”
เมทินีที่ยืนดูอยู่ขมวดคิ้วสงสัยทันที รุทรต้องรีบแก้สถานการณ์
“จริงเหรอ นี่ไงที่หมอที่กรุงเทพฯ บอกไว้เลยว่าฉันแข็งแรงขึ้นมากเลยอยากให้กลับบ้าน สงสัยจะเป็นอย่างนี้เอง”
เอื้องคำดีใจไหว้ใหญ่ “เจ้าประคู้ณในที่สุดคุณวาทิตก็แข็งแรง” หัวหน้าแม่บ้านบอกกับรุทรว่า “เดี๋ยวเอาที่อยู่คุณหมอที่กรุงเทพฯ ให้ป้านะคะ ป้าจะส่งผลไม้ไปให้”
“จ้ะๆ แต่ตอนนี้ฉันขอพักผ่อนก่อนนะ”
เอื้องคำ และจั่นเป็งยิ้มปลื้ม เมทินียังยืนนิ่งคิดสงสัยครามครัน
เมทินีพยุงรุทรมานั่งบนโซฟาในห้องนอน แล้วก็ลงนั่งจ้องหน้ารุทร
“มีอะไรเหรอ ทำไมมองผมอย่างนั้น”
“ฉันว่านี่คงเป็นกรรมนะ เมื่อคืนเธอโยนฉันลงน้ำ วันนี้เลยโดนเอาคืน”
“งั้นเมก็คงเสียใจที่ผมไม่ตาย”
“บ้าเหรอ ถึงฉันจะโกรธเธอเรื่องเมื่อคืน แต่ก็ไม่ได้อยากให้เธอโดนอะไรแบบนี้นะ เอาเป็นว่าเธอจะกินอะไรไหม ฉันจะไปทำให้”
“ไม่ต้องหรอก ช่วยผมอย่างอื่นดีกว่า”
เมทินีงง “ช่วยอะไร”
“เช็ดตัวให้หน่อยได้ไหม”
เมทินีชะงัก “อะไรนะ”
“นี่ ผมเดี้ยงขนาดนี้ เมจะไม่ทำให้หน่อยเหรอ”
“ฉันไปเรียกกินรีนะ”
“กินรีไม่ใช่เมียผม เมทำดีกว่า”
เมทินีลุกขึ้นจับตัวรุทรไว้แล้วค่อยๆ ถอดเสื้อออก รุทรมองจ้องเมทินีที่ออกอาการเขิน คอยหลบตาไม่กล้ามองก็หมั่นไส้
“คิดอะไรอยู่ หรือคิดถึงพี่กูร”
“บ้าเหรอ ฉันพยามคิดถึงสมัยมหา’ลัยตอนที่ฉันอยู่ชมรมอาสา”
“อาสาอะไร ช่วยดูคนป่วยเหรอ”
“เปล่า ช่วยทำแผลหมาจรจัด”
รุทรสะดุ้งโหยง
อ่านต่อหน้า 4
เงาใจ ตอนที่ 7 (ต่อ)
ตรงระเบียงห้องนอนตอนนี้ เมทินีเช็ดตัวให้รุทรอยู่ ท่าทีเมทินีอึดอัดที่ต้องทำ จึงพยามเช็ดลวกๆ แต่รุทรจับมือเมทินีให้เช็ดเน้นๆ นานๆ จนเมทินีต้องหลบตาด้วยความอาย แต่รุทรมองแล้วส่ายหน้า ด้วยความรู้สึกเหยียดหยัน คิดว่าเมทินีเสแสร้ง
เมทินีทายาให้ รุทรออกอาการเจ็บแสบเล็กน้อย จนแล้วเสร็จเมทินีแต่งตัวชุดใหม่ให้รุทร ทั้งสองก็เผลอมองหน้ากัน
“คุณรู้สึกยังไงตอนผมหายไป”
“ก็ห่วงสิ ไม่งั้นฉันจะออกตามหาเหรอ”
“ผมควรจะเชื่อดีไหม”
รุทรประชด ขณะจ้องหน้าเมทินี อีกฝ่ายรู้ทันทีว่าเขาไม่เชื่อ
“ไม่เป็นไรหรอก เอาเป็นว่าเธอปลอดภัยกลับมาฉันก็ดีใจ”
เมทินียกอ่างน้ำเดินเข้าห้องน้ำไป รุทรมองตามนิ่งคิด ด่าเมทินีในใจ
“ดีใจหรือเสียใจกันแน่ที่ฉันกลับมา”
เมทินียกอ่างน้ำเข้ามาเทน้ำทิ้ง แล้วยืนนิ่งคิดที่หน้ากระจก
“ทำไมเดี๋ยวนี้วาทิตดูแปลกๆ”
เมทินีเทน้ำทิ้งจนหมด แล้วเหลือบแลไปเห็นอุปกรณ์ใส่คอนแท็คเลนส์วางอยู่ เมทินีหยิบน้ำยามาดูด้วยสีหน้าสงสัย เธอเปิดตลับดูคอนแท็คเลนส์
สักครู่หนึ่ง เมทินีเดินมาจ้องหน้าวาทิต
“มีอะไรเหรอ”
“เธอไม่ได้ใส่คอนแท็คเลนส์เหรอ”
รุทรอึกอัก “เอ่อ...” ลองถามหยั่งเชิง “มีอะไรเหรอ”
“ฉันเทน้ำเกลือแช่เลนส์ให้เธอวันนี้มันก็ไม่พร่องลงเลย แล้วเลนส์ที่อยู่ในตลับก็ยังอยู่ แสดงว่าวันนี้เธอก็ไม่ได้ใส่”
รุทรพยามตั้งสติหาทางเอาตัวรอด
“อ๋อ...เรื่องนี้เอง”
“เรื่องนี้เอง หมายความว่าไง” เมทินีมองฉงน
“เอ่อ...คืองี้ พอดีผมมีคอนแทคเลนส์แบบใช้แล้วทิ้งที่ติดมาจากกรุงเทพฯน่ะ เลยเอาอันนี้ใช้ก่อนให้หมด ก็แค่นั้นเองไม่มีอะไรหรอก”
“เธอเก็บไว้ที่ไหน”
“ในกระเป๋านั่นแหล่ะ เมหาไม่เจอเอง” เมทินีอ้าปากจะซัก รุทรสวนทันที “แล้วก็ไม่ต้องถามหากล่องด้วยนะ เพราะผมทิ้งในถังขยะนั่นล่ะ ถ้าไม่มีก็แสดงว่าจั่นเป็งเก็บไป”
เมทินีฟังแล้วยังมองหน้ารุทรสงสัย
รุทรตั้งสติ “ตกลงเมไม่เชื่อว่าผมใส่เลนส์ใช่ไหม งั้นก็พิสูจน์แล้วกัน”
พูดจบรุทรก็ดึงเมทินีให้นั่งลง แล้วดึงเมทินีมากอดจนแน่นชนิดจมูกชนจมูก
เมทินีไม่ทันตั้งตัวก็ตกใจ รีบเบือนหน้าหนีแล้วพยามจะดิ้นออก
“ทำไมล่ะ หรือยังมองไม่ใกล้พอ”
“พอแล้ว...พอแล้ว ฉันเชื่อเธอแล้ว”
เมทินีรีบผละออกจากอ้อมกอดของรุทรแล้วลุกขึ้นยืน
“เอ่อ...ฉันจะลงไปจัดการเรื่องอาหารให้เธอนะ”
เมทินีรีบเดินออกจากห้องไปเลย ด้วยความเขินอาย รุทรเป่าปากโล่งอก
อีกฟาก ที่ห้องพักฟื้นวาทิตในบ้านท้ายไร่ วารินหงุดหงิดโวยวายใส่อนุวัตรต่อหน้าแรม โดยมีวาทิตนอนหลับอยู่บนเตียง
“โห พี่วัตรอ่ะทำแบบนี้น่าเกลียดมาก”
“เบาๆหน่อยริน เกรงใจพี่วาทิตบ้าง” แรมปราม
“ก็แม่ดูสิ พี่วัตรกับรินนัดกันว่าจะชวนพี่รุทรมาข้างนอก แต่พี่วัตรเล่นแอบไปเจอคนเดียว”
“โธ่ พี่ขอโทษ ก็ไอ้รุทรมันว่างตอนที่รินกำลังเรียน พี่ก็เลยไปตอนนั้นสิ ถ้ามัวแต่รอตอนเย็น รุทรมันไม่สะดวก”
วารินยังงอน มองค้อนอนุวัตรตาคว่ำอยู่ จนแรมต้องปลอบ
“เอาน่าริน ไว้คราวหน้าก็ได้” แรมหันไปทางอนุวัตร “แล้วรุทรเป็นไง บ้างสบายดีไหม”
“เอ่อ ก็...ก็...” อนุวัตรอึกอัก แรมกับวารินจ้องหน้ารอคำตอบ “ก็สบายดี มันฝากความคิดถึงๆ ทุกคนเลยครับ”
“ค่อยโล่งใจหน่อย” แรมยกมือไหว้ “เจ้าประคู้ณ...ขอให้รุทรปลอดภัยอย่ามีอันตรายเลย”
อนุวัตรมองแรมแล้วรู้สึกสงสารว่าถ้าเกิดแรมรู้ว่ารุทรโดนตีสาหัสจะว่าไง
“แม่กับรินสบายใจเถอะ ผมจะดูแลไอ้รุทรอีกแรงนะ”
“ขอบใจมากนะวัตร แม่ฝากรุทรด้วยนะ” แรมยิ้มพลางหันไปหาวาทิตที่นอนอยู่แล้วจับมือ “วาทิต ได้ยินใช่ไหม พี่รุทรเขาสบายดีนะ วาทิตต้องรีบหายเร็วๆ นะลูก จะได้มาเห็นหน้าพี่”
วารินพึมพำ “เห็นหน้าเหรอ นึกออกแล้ว”
วารินหยิบโทรศัพท์ออกมา อนุวัตรมองงงๆ “ทำอะไรอ่ะริน”
“ในเมื่อรินกับพี่รุทรไม่ได้เจอกัน รินก็จะส่งรูปส่งข้อความคุยก็ได้ ไม่ง้อพี่วัตรหรอก” วารินเดินไปนั่งระหว่างแรมกับวาทิต “มาแม่ เราส่งรูปให้พี่รุทรดูดีกว่า”
อนุวัตรโวย “เฮ้ย มีด้วยดิ”
ทั้ง อนุวัตร วาริน และแรม ถ่ายรูปด้วยกล้องมือถือกับวาทิตที่นอนหลับไม่รู้สึกรู้สมอยู่
ทางฝ่ายรุทรนั่งเอนที่เตียง ดูทีวีไปด้วย ระหว่างนั้นโทรศัพท์ของรุทรมีเสียงข้อความเข้า รุทรหยิบมาดู ที่หน้าจอเห็นเป็นข้อความที่วารินส่งมาเป็นรูปภาพ ตามด้วยเสียงข้อความไลน์อีก
“วันนี้โกรธพี่วัตรมาก แอบไปหาพี่รุทรก่อน”
รุทรยิ้ม พิมพ์ตอบกลับไปว่า “ไว้คราวหน้าก็ได้”
วารินพิมพ์ตอบมาอีก “ที่จริงรินก็รู้ว่าพี่รุทรลำบากที่จะเจอริน เอาเป็นว่ารินจะส่งรูปให้พี่รุทรดูเรื่อยๆ นะ พี่รุทรก็ต้องส่งรูปให้รินกับแม่ดูบ้างนะจ๊ะ”
“ได้สิ”
รุทรตั้งท่าจะยกโทรศัพท์ถ่ายรูปตัวเอง แต่มองที่แผล จับที่หน้าแล้วนึกได้ รีบพิมพ์ตอบว่า
“วันนี้พี่ไม่สะดวกถ่ายรูปน่ะ แล้วจะส่งไปให้นะ”
“เย้ๆๆๆ แม่ฝากความคิดถึงด้วยนะ เอารูปไปดูอีกแล้วกันจ้ะ”
มีรูปอีกหลายท่าที่วารินส่งมา รุทรดูแล้วอมยิ้ม
เสียงเมทินีดังขึ้น “ดูอะไรเหรอ”
รุทรตกใจ เห็นเมทินีเดินเช็ดผมออกมาจากห้องน้ำ เลยทำโทรศัพท์หลุดมือ เมทินีจะเดินมาเก็บ
“ไม่เป็นไรเม ผมเก็บเอง”
“ไม่ได้ เธอเจ็บอยู่”
เมทินีขยับจะเดินมาอีก รุทรรีบก้มจนเสียหลักเลยตกเตียง
“ว้าย”
เมทินีวิ่งมา รุทรรีบเอาโทรศัพท์มากำไว้ทั้งๆ ที่เจ็บแผล เมทินีประคองรุทรขึ้นบนเตียง
“เอาโทรศัพท์มาเดี๋ยวฉันชาร์จให้”
“ไม่เป็นไร เมจะเก็บผ้าเช็ดตัวไม่ใช่เหรอ ไปเถอะ”
เมทินีมองรุทรแปลกๆ ก่อนเดินไปแขวนเสื้อคลุมอาบน้ำและผ้าเช็ดตัวที่ข้างตู้เสื้อผ้า
พอเห็นเมทินีไม่ได้สนใจ รุทรก็แอบเปิดดูรูปครอบครัวอย่างมีความสุข
อ่านต่อตอนต่อไป
ด้านกินรียืนอยู่ตรงหน้าต่างห้องนอน มองไปยังบ้านอังกูรด้วยความคิดถึงคนึงหา พอตัดใจจะเข้านอน ก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น กินรีเดินไปหยิบโทรศัพท์ดูแล้วยิ้มดีใจ
“คุณกูร”
กินรีรีบเดินกลับไปที่หน้าต่าง เห็นอังกูรยืนถือโทรศัพท์คุยแล้วโบกมือให้ กินรียิ้มดีใจ
“ยังค่ะ นรียังไม่นอน ค่ะๆๆ นรีจะไปเดี๋ยวนี้ รอแป๊บเดียวนะคะ”
กินรีรีบกดวางสายแล้วเดินไปหน้ากระจก ฉีดน้ำหอมหวีผมเช็คความสวย ก่อนรีบวิ่งออกจากห้องไป
กินรีนอนกอดอังกูรอยู่ภายใต้ผ้าห่มหนาอย่างมีความสุข
“รู้ไหมคะ วันนี้นรีดีใจมากที่คุณกูรอยากเจอนรี”
อังกูรยิ้มเลียบๆ เคียงๆ ถามอาการวาทิต “เห็นคนงานคุยกันว่าวันนี้วาทิตถูกทำร้ายมาเหรอ”
“ใช่ค่ะ คุณวาทิตไปถีบจักรยานเล่น แล้วก็ถูกทำร้ายมา แต่โชคดีมีพลเมืองดีผ่านมาเห็นเลยช่วยได้ทัน ไม่งั้นคงแย่”
อังกูรแกล้งทำเป็นตกใจ “ทั้งออกไปถีบจักรยาน และถูกทำร้ายมาแบบนั้น อาการวาทิตคงกำเริบแย่
“ใครว่าล่ะค่ะ คุณวาทิตไม่เป็นอะไรเลย หอบสักนิดยังไม่มี”
อังกูรอึ้ง แปลกใจไม่น้อย “เธอแน่ใจเหรอ วาทิตอาจจะหอบเหนื่อยแต่เธอไม่เห็นหรือเปล่า”
“แน่ยิ่งกว่าแน่อีกค่ะ นรีวัดความดันทุกอย่างก็ปกติ ยังกับคนออกกำลังกายทุกวันเลยนะคะ”
อังกูรงง “เป็นไปได้ไง สภาพร่างกายของคนเราจะเปลี่ยนกันได้ง่ายๆ เลยเหรอ”
“นรีก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ”
อังกูรชักหงุดหงิด “สรุปก็คือเธอไม่รู้อะไร”
กินรีจ๋อย “ค่ะ”
อังกูรเห็นว่าคงไม่ได้เรื่อง ก็นอนหันหลังให้ กินรีรู้สึกน้อยใจแต่ก็เขยิบมากอดจากด้านหลังหลับ เท่านี้หล่อนก็มีความสุขแล้ว
ส่วนอังกูรนอนไม่หลับ หมกมุ่นครุ่นคิดหาทางแก้แค้นวาทิตต่อ
ในตอนเช้าตรู่ ขณะที่กินรีเดินย่องออกมาจากบ้านของอังกูร เจอกับชาติที่ขี่มอเตอร์ไซค์มาพอดี ชาติจ้องสภาพกินรีแล้วอมยิ้มกวน
“มองอะไร”
“คุณนรีล่ะมาทำอะไรที่นี่ มานอนกับคุณกูรเหรอ”
กินรีตกใจ “ไอ้บ้า...ไอ้ทุเรศ”
“แสดงว่าจริงถึงได้โกรธ”
กินรีเถียงไม่ออก
“เฮ้อ แต่คุณไม่ต้องอายหรอก ผมไม่ถือ เพราะยังไงผมก็ยังชอบคุณ”
“ฝันไปเถอะ ฉันไม่สนคนอย่างนายหรอก”
“ผมรู้ แต่ผมก็ยังชอบคุณอยู่ดี”
กินรีรู้สึกโมโหมากที่ชาติมาล้อเลียน จึงรีบเดินหนีไป ชาติมองตามยิ้มๆ
อังกูรอยู่ในห้องอาหาร วางแก้วกาแฟลงด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ชาติในนั้นอยู่ด้วย
“จริงอย่างที่แกว่าเลย นรียืนยันว่าสุขภาพไอ้วาทิตมันดีขึ้นมาก
“ไม่รู้มันไปได้ยาดีที่ไหนนะครับ”
“ฮึ ไม่ว่ามันจะแข็งแรงจนเป็นซุปเปอร์แมนฉันก็ไม่ยอมแพ้มันแน่”
“ดีครับ ผมจะช่วยคุณกูรเต็มที่”
“ว่าแต่แกเถอะ มีอะไรถึงมาแต่เช้า”
ชาติหยิบถุงกระดาษมาส่งให้นาย อังกูรเปิดดูเห็นเป็นเงินสามปึกใหญ่
“งวดนี้ได้เยอะหน่อย เพราะช่วงที่พ่อเลี้ยงวุ่นๆ เซลส์ปุ๋ยมันส่งของมันมือ ไอ้ผมก็ว่างเลยขนไปขายต่อ จนชักอยากจะขอบใจไอ้วาทิตที่มันสั่งพักงานซะแล้วสิครับ”
“ยังไงก็อย่าให้มันมากจนผิดสังเกต เดี๋ยวทิปปี้จะสงสัยแล้วไปถามคุณลุง ถ้าโดนจับได้ไล่ออกแกต้องกลับไปเป็นมือปืนเหมือนเก่าแน่”
“ครับ”
อังกูรจัดการส่งเงินให้ชาติปึกหนึ่ง แล้วตัวเองเอาสองปึก
“เมื่อคืนคุณนรีมาค้างที่นี่เหรอครับ”
อังกูรยักไหล่ “ก็อยากเสนอ ฉันก็สนอง มาคิดๆ ดูก็ดีอย่างน้อยก็ได้คนใกล้ชิดไอ้วาทิตมารับใช้”
ชาติยิ้มออกที่อังกูรไม่ได้คิดจริงจังกับกินรี
ทางด้านบุษบันทำสัญญาเช่าแผงกับแม่ค้าอยู่ในตลาดสด แม่ค้าเซ็นสัญญาแล้วส่งคืนให้ บุษบันฉีกสัญญาให้หนึ่งแผ่น ตัวเองเก็บไว้หนึ่งแผ่น
“เก็บสัญญาไว้ดีๆ ล่ะ ถ้าเมื่อไหร่จะคืนแผงฉัน ต้องเอาสัญญามาด้วยนะ อ้อ แล้วต้องอยู่อย่างน้อย 1 ปีนะยะ จะมาขายๆ เลิกๆ ฉันไม่คืนมัดจำนะจะบอกให้”
แม่ค้ายกมือไหว้แล้วเดินออกไป บุษบันนับเงินแล้วเก็บใส่กระเป๋า แล้วหันไปเห็นที่ด้านนอก วารินในชุดนักศึกษาลงมาจากรถสองแถว ไปยืนรอรถบขส. ไปเชียงใหม่ที่หน้าตลาด บุษบันรีบเดินจ้ำไปหา
“วันนี้มาเองเหรอน้องริน”
“จ้ะ”
“แสดงว่ารุทรอยู่บ้านใช่ไหม ดีเลย ตอนแรกพี่ว่าจะให้ลูกน้องไปรับผัก แต่สงสัยพี่สะใภ้น้องรินต้องไปเองแล้ว”
“เอ่อ พี่รุทรยังไม่กลับหรอกเจ๊”
“อะไรกัน อบรมไม่เสร็จอีกเหรอ แล้วนี่เขาจะกลับมาเมื่อไหร่”
“ไม่รู้เหมือนกันน่ะ”
ระหว่างนั้นรถมาพอดี วารินจะเดินไปแต่บุษบันดึงไว้
“โกหกอะไรหรือเปล่า”
“จะโกหกเจ๊ทำไม เดี๋ยวพี่รุทรกลับมาแล้วจะมาบอกแล้วกัน”
วารินรีบวิ่งปรู๊ดไปขึ้นรถ บุษบันคว้าตัวไม่ทันได้แต่เจ็บใจ แล้วหันไปเจอลูกน้องกำลังกวาดหน้าตลาดอยู่ บุษบันเห็นก็รีบเดินไปหา
“ไอ้ต๋อง วันนี้แกไม่ต้องกวาดตลาด ไปรับผักกับฉัน”
บุษบันยิ้มร้ายมีแผนบางอย่าง
เวลานั้น อนุวัตรยืนอยู่ไกลๆ กำลังคุมคนงานแยกผักลงเข่ง บุษบันกับต๋องจอดรถซุ่มดูอยู่ สักครู่หนึ่งบุษบันส่งเงินให้
“เดี๋ยวแกไปรับผัก ถ้าใครถามบอกฉันไม่ได้มาด้วยนะ”
ต๋องพยักหน้ารับปาก บุษบันเปิดประตูรถแล้ววิ่งไปทางหนึ่ง ต๋องสตาร์ตรถแล้วขับไป อนุวัตรดูคนงานขนผักใส่รถเรียบร้อย ระหว่างนั้นรถของบุษบันแล่นมาจอด ต๋องลงมาคนเดียว
“จากเจ๊บุษใช่ไหม เตรียมไว้แล้ว เดี๋ยวให้คนงานช่วยขนขึ้นรถเลยนะ”
ต๋องพยักหน้ารับ แล้วรีบไปช่วยคนงานขนผักในเข่งยกใส่รถ
อนุวัตรยืนจดลงบัญชีจนเสร็จ แล้วเดินไปที่ต๋อง
“6,720 ลดให้เป็น 6,700 แล้วกัน”
ต๋องส่งเงินให้ 7,000 อนุวัตรรับไปนับแล้วหาเงินทอนไม่มี
“รอแป๊บนะพี่ เดี๋ยวไปเอาเงินทอนที่บ้าน”
อนุวัตรจะเดินไปต๋องเห็นท่าไม่ดีรีบขวางไว้
“เอ่อ...ไม่ต้องทอนก็ได้พี่”
“เฮ้ย...ได้ไง เจ๊บุษมันเค็มจะตาย เดี๋ยวพี่ก็โดนด่าหรอก”
“ไม่เป็นไรจริงๆ ผมให้”
อนุวัตรมองหน้าสงสัย “พี่เนี่ยนะ จะมาให้เงินผมฟรีๆ 300”
ต๋องพยักหน้ารับ อนุวัตรมองหน้าต๋องแล้วคิดอะไรบางอย่างได้ รีบวิ่งขึ้นรถขับไปเลย ต๋องหน้าเสียกุมขมับ
“ซวยละกู”
บุษบันเปิดประตูด้านหน้าไม่ได้ จึงเดินมาด้านหลังบ้าน เห็นหน้าต่างเปิดอยู่ก็ปีนดูด้านใน เห็นมีแต่บ้านว่างเปล่า
“รุทร รุทรจ๋า มีใครอยู่ไหมเนี่ย แม่แรมจ๊ะ สะใภ้คนสวยและรวยมาแล้ว”
บุษบันลงมาจากหน้าต่างแล้วยืนคิด
“หน้าต่างเปิด แสดงว่าแม่แรมกับรุทรต้องอยู่บ้านถึงปิดแต่ประตูหน้า แล้วหายไปไหนกันหมด อุ๊ย....หรือว่าไปอยู่บ้านท้ายไร่”
บุษบันคิดได้ดังนั้นก็เดินจะไปทางบ้านท้ายไร่ แต่ทันใดนั้นรถของอนุวัตรก็แล่นมาจอดขวางหน้า อนุวัตรรีบลงมาขวาง
“จะไปไหนอ่ะเจ๊”
“รุทรอยู่ใช่ไหม”
“อยู่ก็ต้องเห็นสิ”
“ฉันไม่เชื่อ ฉันว่ารุทรต้องอยู่ที่บ้านท้ายไร่แน่ๆ”
บุษบันจะเดินไปแต่อนุวัตรเข้าดึงไว้ บุษบันตีอนุวัตรผลักเขาล้มแล้ววิ่งหนีไป
“เฮ้ย เจ๊”
อนุวัตรได้สติรีบวิ่งตามไป
อนุวัตรวิ่งตามบุษบันมาถึงกลางทางในสวนผัก จะคว้าตัวได้แต่บุษบันก็เตะหน้าขาอนุวัตรร้องจ๊ากล้มลง ไปอีก แล้วหนีไป อนุวัตรกะเผลกๆ วิ่งตามต่อ
จนมาถึงที่หนึ่ง บุษบันเริ่มหอบ อนุวัตรที่วิ่งตามมาตัดสินใจกระโดดคว้าตัวกอดไว้
“นี่ปล่อยฉันนะไอ้บ้า”
“เจ๊ พูดน่ะให้เชื่อกันบ้างสิ”
สองคนกอดรัดฟัดเหวี่ยงตีกันจนล้มกลิ้งลงไปด้วยกัน แล้วมาหยุดปากชนกัน ทั้งสองตกใจตาโต อนุวัตรผงะนิ่ง แต่บุษบันได้สติก่อนรีบผลักอีกฝ่ายออก แล้วลุกขึ้นนั่ง
“ไอ้บ้าแกลวนลามฉัน”
บุษบันตบสองทีรวดซ้ายขวา เผียะๆ อนุวัตรเจ็บจนหน้าชา
“ผมเปล่าลวนลามนะเจ๊”
บุษบันตบอีกสองทีซ้ายขวา ซ้ายขวารวมกันสี่ที
“นี่เจ๊ เพลินเลยนะ อยากได้แบบมนต์รักอสูรใช่ไหม หรือจะเอาแบบแรงปรารถนา มาเลย เจ๊ตบผมกี่ทีผมจะจูบเท่านั้น”
บุษบันอาศัยจังหวะเผลอจะหนีอีก แต่อนุวัตรรีบคว้าตัวมากอดไว้จนแก้มแนบแก้มโดยไม่ได้ตั้งใจ
“ปล่อยนะ ฉันจะฟ้องตำรวจ”
“แต่ผมจะฟ้องไอ้รุทร เจ๊ก็รู้นี่ว่ามันหวงบ้านนั้นขนาดไหน เจ๊ลองแค่เดินผ่านรั้วไปเท่านั้นถ้าไอ้รุทรมันรู้มันเลิกคบเจ๊แน่ อย่าว่าแต่ขายผักด้วยกันเลย หน้าเจ๊มันก็ไม่มอง ไปสิเจ๊ไปเลย”
บุษบันจะไปแต่ก็ไม่กล้า สุดท้ายก็ไม่ไปเปลี่ยนใจเดินกลับ ช่วงที่เดินผ่านอนุวัตรก็แอบกระทืบเท้าอนุวัตรอีกหนึ่งทีจนอนุวัตรร้องจ๊าก แล้วเดินไป
“เจ๊ ฝากไว้ก่อนเถอะ”
อนุวัตรมองตามไปสักครู่หนึ่ง ก่อนเอามือจับริมฝีปากตัวเองพร้อมกับอมยิ้ม แล้วปิดปากตัวเองร้องกรี๊ดไม่ให้เสียงลอดออกมา ด้วยความดีใจที่ได้จูบสาวใหญ่ในฝัน
รถของวาทิตแล่นมาจอดในสวนส้ม เมทินีเป็นคนขับรุทรนั่งข้างๆ สองคนลงมาจากรถ
“นี่ เธอนึกยังไงถึงออกมาเดินเล่นเวลานี้ ไม่กลัวไม่สบายเหรอ”
“ไม่หรอก อย่างน้อยการเดินเล่นประสาผัวเมีย ก็ดีกว่านั่งจับเจ่าอยู่ในบ้าน แล้วผมก็อยากดูการทำงานของไร่เราด้วย”
เมทินีแปลกใจ “อยากดูการทำงานเหรอ”
รุทรไม่ตอบแต่เดินดูไร่ส้ม เมทินีเดินตาม รุทรเห็นคนงานที่ทำงานแล้วชอบใจ เลยหยิบกล้องมาถ่ายรูป
“ฉันนึกว่าเธอชอบเล่นเปียโนกับวาดรูปแค่นี้ เพิ่งเห็นว่าเธอชอบถ่ายรูปด้วย”
รุทรในคราบวาทิตชะงักคิดหาคำตอบ “เอ่อ ก็ผมเบื่อวาดรูปแล้ว ถ่ายรูปดีกว่าสะดวกดี”
รุทรเดินถ่ายรูปต่อ เมทินีเดินตาม
เสียงอังกูรดังขึ้นมา “เป็นไงมั่งวาทิต วันนี้ลงมาที่นี่ได้เหรอ”
รุทรกับเมทินีหันไปก็เห็นอังกูรเดินยิ้มมาหา
“แล้วแผลเป็นไงบ้าง พี่ขอโทษจริงๆ นะเพิ่งรู้จากคนงานเมื่อเช้าว่านายโดนปล้น”
“ตอนนี้อาการก็ดีขึ้นเยอะแล้วครับ”
“นั่นสิ นายกลับมาคราวนี้ดูแข็งแรงขึ้นมากเลยนะ เจ็บขนาดนี้ยังฟื้นตัวเร็ว”
“เป็นธรรมดา ใครจะอ่อนแอได้ตลอดชีวิตล่ะครับ มันก็ต้องมีช่วงลุกขึ้นสู้บ้าง ใช่ไหมพี่กูร”
“พูดแบบนี้ แสดงว่าอาการโรคหัวใจต่างๆ ของนาย มันหายไปหมดน่ะสิ”
รุทรตัดบท “เอาเป็นว่าใครคิดจะทำร้ายผมตอนนี้ คงต้องคิดหนัก เพราะผมจะไม่อ่อนข้อให้เหมือนเมื่อก่อนแน่นอน”
อังกูรฟังแล้วรู้ทันทีว่ารุทรกำลังท้าทาย
“ดี เก่งแบบนี้ให้ตลอดพี่จะดีใจมาก”
อังกูรกับรุทรมองหน้ากันอย่างไม่มีใครยอมใคร
ทั้งสามเดินมาถึงจุดหนึ่งในไร่ส้มธนาธร คนงานกำลังฉีดน้ำยาบางอย่างลงใต้ต้นส้ม รุทรมองสงสัย
“กำจัดวัชพืชใช้สารเคมีเหรอ ทำไมไม่ใช่เครื่องตัดหญ้า”
อังกูรมองรุทรทันทีสงสัย
“นายจะไปรู้อะไรกับเรื่องการทำงานในไร่ พี่ว่านายเดินชมนกชมไม้ไปตามประสาของนายดีกว่านะ”
“แต่เมก็เห็นด้วยกับวาทิตนะพี่กูร วัชพืชแค่นี้ยอมเสียเวลาใช้เครื่องตัดหญ้าน่าจะดีกว่า ไม่ทำให้ดินเสียด้วย”
รุทเดินเข้าไปหาคนงานแล้วสั่ง
“ต่อไปนี้ห้ามใช้สารเคมีมาฉีดฆ่าหญ้าให้ใช้เครื่องตัดหญ้าหรือถอนเอา เข้าใจมั้ย”
คนงานมองอังกูรเหมือนจะถามว่าจะเอายังไง อังกูรรีบเดินเข้าไปหา
“ไร่ส้มเรามีเป็นพันไร่ ทำแบบนั้นเสียเวลาแย่”
“ยิ่งไร่เราเยอะแล้วใช้สารเคมีแบบนี้สิ ยิ่งเท่ากับเราผลิตส้มเจือสารเคมีออกท้องตลาดเยอะตามไปด้วย มันจะทำลายชื่อเสียงไร่ส้มเรานะครับ”
อังกูรนิ่งมองหน้ารุทร พยามเก็บความไม่พอใจเอาไว้
“เอาเป็นว่าผมไม่รบกวนการทำงานของพี่กูรดีกว่า ขอตัวนะครับ”
รุทรยิ้มแล้วเดินจูงมือเมทินีไปขึ้นรถ อังกูรมองตามด้วยความไม่พอใจ คนงานที่ถูกสั่งให้หยุดเดินถือเครื่องพ่นสารเคมีมาหาอังกูร
“ตกลงพวกผมหยุดพ่นยานะครับ”
อังกูรยืนนิ่งไม่ตอบคนงาน แต่แววตาแข็งกร้าวแสดงว่าไม่ยอมแพ้ง่ายๆ
รถกระบะของรุทรแล่นมาตามทาง สองข้างทางเป็นสวนส้มสวยงามกว้างสุดตา
“ฉันไม่ยักรู้ว่าเธอสนใจเรื่องงานด้วย”
รุทรมองจ้องเมทินีที่กำลังขับรถอยู่ จนเมทินีรู้สึกตัวหันไปมองรุทร
“ยังมีอะไรอีกหลายอย่างที่เมไม่รู้ว่าผมรู้ รวมถึงอะไรที่ผมยังไม่รู้แต่จะต้องรู้ให้ได้”
“พูดอะไรของเธอน่ะวาทิต รู้ไม่รู้ ฉันงงไปหมดแล้ว”
เมทินีถามสีหน้างงๆ
“อย่าไปสนใจเลย ผมก็เพ้อเจ้อไปเรื่อย”
รุทรพูดจบก็ทำเป็นมองไปนอกหน้าต่าง เมทินีลอบมองรุทรด้วยสีหน้าสงสัย
ด้านอังกูรกำลังคุมคนงานเอาเครื่องพ่นยาฆ่าหญ้าเก็บในโรงเก็บเครื่องมือ รถกระบะของชาติขับมาจอด คนงานอีกกลุ่มก็ลงมาพร้อมเครื่องพ่นยาตรงเข้าไปเก็บ
ชาติโมโหมาก “เกิดอะไรขึ้นครับคุณกูร ทำไมอยู่ๆ สั่งให้คนงานเลิกพ่นยา”
“ไอ้วาทิตมันสั่ง”
ชาติแปลกใจ “อะไรนะครับ ไอ้คุณวาทิตมันมาเกี่ยวอะไรด้วย”
“ฉันก็ไม่รู้มันเป็นบ้าอะไรของมัน อยู่ๆ ก็ออกคำสั่งหักหน้าฉัน”
“แล้วคุณกูรยอมมันทำไม” ชาติโมโห ลดเสียงลงในตอนท้าย “ถ้าเราไม่ใช้ยาฆ่าหญ้าค่าคอมจากบริษัทขายยาก็หายสิครับ”
“หยุดพ่นเอาหน้ามันแค่วันเดียวจะหายได้ไง”
“ค่อยยังชั่ว นึกว่าผมจะไม่มีทุนเข้าบ่อนแล้ว” ชาตินึกได้ “เอ แล้วคุณกูรคิดว่าไอ้วาทิตมันจะเข้ามายุ่งกับงานของเราอีกไหมครับ”
“ก็ลองดูสิ ฉันก็อยากจะรู้เหมือนกันไอ้ที่มันทำเป็นเก่งมานี่จะไปได้สักกี่น้ำ”
เมทินีอยู่ที่แปลงดอกไม้ เลือกตัดดอกไม้ใส่ตะกร้า รุทรเดินตามแล้วหยุดมอง เมทินีดูสวยงามและมีความสุขมากยามเดินเลือกตัดดอกไม้ รุทรเดินมาดึงตะกร้าจากมือเมทินีเพื่อขอช่วยถือ
“เค้าว่ากันว่าคนจิตใจดีอ่อนโยนมักจะชอบดอกไม้”
“เหรอ” เมทินีเลือกตัดดอกไม้ต่อ
รุทรยิ้มหยัน “แต่ผมก็ไม่แน่ใจนะ มันอาจจะไม่จริงก็ได้ คนเราบางทีภายนอกเหมือนดอกไม้ ภายในใจอาจเคลือบยาพิษไว้ใครจะรู้”
วูบหนึ่งนั้น รุทรเผลอมองเมทินีนิ่งด้วยแววตาชิงชังเมื่อคิดถึงน้องชาย เมทินีรู้สึกสะดุดหูและสายตาที่รุทรมองจ้องเธอมา
“ทำไมเธอพูดแบบนี้ล่ะ” รุทรนิ่งไม่ตอบ “วาทิตตกลงเธอจำเรื่องวันนั้นได้ แต่แกล้งจำไม่ได้ใช่ไหม”
รุทรทำเป็นจำไม่ได้ “เรื่องวันนั้น เรื่องอะไร”
“ก็เรื่องที่ฉันอยู่กับพี่กูรไง”
“ผมบอกแล้วไงว่าผมจำไม่ได้ แต่ถ้าเมอยากให้ผมจำได้ก็เล่าสิว่าเกิดอะไรขึ้น”
“วันนั้นพี่กูรไม่สบาย ฉันไปเยี่ยมแต่เธอเข้าใจผิดก็เลยโกรธ”
“แค่นี้น่ะเหรอ”
“ก็แค่นี้น่ะสิ ช่างมันเถอะ ยังไงฉันก็เป็นฝ่ายผิดในสายตาทุกคนอยู่ดี”
เมทินีน้อยใจเดินหนีไป รุทรมองตาม นิ่งคิดตริตรองว่าจะเชื่อดีไหม แต่สักพักเขาก็ต้องตกใจ เมื่อสายตาเห็นงูตัวหนึ่งขดตัวอยู่ใกล้ๆ กับเท้าของเมทินี
“คุณเม ระวังงู”
รุทรตกใจถึงขีดสุด จนหลุดปากเผลอเรียกผิด
อ่านต่อตอนที่ 8