บ้านศิลาแดง ตอนที่ 7
สโรชาลุกพรวดขึ้น แล้วเดินออกไปจากห้อง ท่าทางยังไม่คลายกังวลเรื่องเดือนฉาย แต่พอเปิดประตูออกไป วาทินีที่แอบฟังอยู่ ก็ถึงกับถลาหน้าทิ่มเข้ามา
“นี่แกมาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย? แกมาแอบฟังใช่ไหม?”
วาทินีทำลอยหน้าลอยตาไม่รู้ไม่ชี้
“อย่าสู่รู้ให้มันมากนัก ถ้ายังอยากใช้ชีวิตต่อ จำเอาไว้”
พูดพลางจิกสายตามองเขม็ง ก่อนจะเดินสะบัดออกไป วาทินีมองตามอย่างสงสัย
“มาทวงเหรอ? ใคร? แล้วทวงลูกใคร? เรื่องอะไรกันแน่เนี่ยพี่เชาว์”
พอหันกลับจะไปถามเชาว์ แต่อีกฝ่ายกลับนอนหลับกรนครอกๆ ไปเรียบร้อยแล้ว
ทางด้านวิทวัสกับพรเพ็ญ ก็ช่วยกันเดินหาสถานที่จัดงานในที่ต่างๆ ด้วยท่าทีที่สนิทสนมกันมากยิ่งขึ้น ก่อนที่ฝ่ายแรกจะยื่นแก้วน้ำมาให้
“เป็นไง? เหนื่อยไหมคุณ”
“นิดหน่อยค่ะ แต่สนุกดี”
วิทวัสทำหน้าล้อๆ “ไม่บ่นไม่ว่าผมแล้วเหรอ?”
“คุณจะบอกว่าทุกทีฉันบ่นหรือโวยวายอีกแล้วล่ะสิ ฉันก็อยากลองเป็นแบบนั้นดูเหมือนกันนะ เป็นแบบนี้บางทีก็เบื่อเหมือนกัน”
วิทวัสดูดน้ำไปพลางมองหน้าอีกฝ่ายไปพลาง
“คนอะไรเบื่อตัวเอง”
“ก็มันจริงนี่ เป็นอีกแบบไม่ดีกว่าเหรอ คุณไม่ชอบเหรอไง ไม่จืดชืดน่าเบื่อแบบนี้”
วิทวัสได้ยินถึงกับหัวเราะก๊าก
“ให้ตายสิ ผมไม่เคยเห็นใครที่เดี๋ยวก็ชมเดี๋ยวก็ด่าตัวเองแบบคุณมาก่อน คุณนี่สุดยอดเลยแฮะ”
“ฉันไม่ได้พูดให้คุณมาขำนะ ฉันก็แค่รู้สึกว่าคนทั่วไปเค้าน่าจะชอบคนที่ปราดเปรียวแบบเปรี้ยวๆ มากกว่าจืดๆ ชืดๆ”
“แต่ไม่ใช่ผม”
วิทวัสพูดพลางมองตาพรเพ็ญด้วยสีหน้าจริงจัง จนอีกฝ่ายหน้าแดงสะเทิ้นอาย
“นี่คุณ ตกลงเย็นนี้ไม่ไปดูหนังกับผมจริงๆ เหรอ? คุณเดือนห้ามเหรอ? งั้นผมขอให้เอาไหมล่ะ?”
พูดพลางจัดแจงหยิบโทรศัพท์ออกมาโทร.ออก จังหวะเดียวกับที่เพ็ญพรก็โทร.เข้ามือถือของพรเพ็ญเหมือนกัน เธอรีบเดินเลี่ยงออกมาคุย
เพ็ญพรเดินคุยโทรศัพท์อยู่ในสวน มือก็เด็ดดอกไม้เล่นไปด้วย
“พี่พร เพ็ญโทรไปตั้งหลายรอบกว่าจะรับได้ ทำอะไรอยู่เนี่ย งาน? กับนายนั่นน่ะเหรอ อืมๆ ไหวมั้ยล่ะ? หา สนุก? สนุกตรงไหนเนี่ย? อืม เพ็ญเป็นคนส่งแพลนไปให้เองล่ะ พี่พรไม่ต้องทำอะไรมากหรอกให้นายนั่นทำๆ ไป”
“ไม่ได้หรอก เกรงใจเค้า ปกติเค้าก็ทำให้แทบจะทุกอย่างอยู่แล้ว ก็เพ็ญเองไม่ใช่เหรอ ที่ไปท้าพนันกับเค้าน่ะ อืมไม่เป็นไรหรอก พี่ทำได้ สนุกดี จริงแล้วเค้าก็ใจดีออกนะ คอยช่วยพี่ทุกอย่างเลย”
พรเพ็ญพูดไปก็หน้าแดงไป
พอพรเพ็ญวางสาย วิทวัสก็โผล่หน้ามาพอดี พลางรีบถามอย่างแอบหึงว่าโทร.คุยกับใคร อีกฝ่ายรีบแก้ตัวว่าคุยกับเพื่อน
“นี่คุณผมโทรไปขออนุญาตคุณเดือนแล้วนะ คุณเดือนบอกว่า ว่าให้เราไปได้ เย่”
วิทวัสทำท่าดีใจ แต่แล้วก็ต้องหุบยิ้มลง เมื่อเห็นหน้าเรียบเฉยของพรเพ็ญ
“ช่วยดีใจหน่อยไม่ได้เหรอไง?”
“ขอโทษนะคะ แต่ฉันไม่อยากไปจริงๆ ค่ะ”
วิทวัสหุบยิ้ม หน้าเจื่อนลงทันที
“โทรศัพท์เมื่อกี้ คุณคงนัดกับคนอื่นแล้วสินะ”
พรเพ็ญลังเลไม่รู้จะตอบยังไง
“ไม่เป็นไร ผมเข้าใจ เดี๋ยวผมไปดูคนเดียวก็ได้”
ณัฐพงษ์นั่งพิงเก้าอี้โยกไปโยกมา ทำหน้าเซ็งๆ อยู่ในห้องทำงาน ครู่หนึ่งเลขาหุ่นเซ็กซี่ก็ถือกองเอกสารเดินบิดเข้ามา
“คุณณัฐคะ นี่เอกสารที่คุณสโรชาให้คุณณัฐลองศึกษาดูก่อนค่ะ”
เขาละสายตาจากคอมพิวเตอร์เงยหน้าขึ้นมา แล้วก็กระหยิ่มยิ้มออกมาทันที
“ไหนเอกสารอะไร? เอาเข้ามาให้ผมดูใกล้ๆ หน่อยซิ”
เลขาเดินกรีดกรายเข้ามา ยื่นแฟ้มเอกสารให้ สายตายั่วยวน
“นี่ค่ะคุณณัฐ ไม่เข้าใจตรงไหนถามได้นะคะ?”
“รู้สึกจะหลายตรงเลยที่ไม่เข้าใจ สงสัยคุณจะต้องไปอธิบายเชิงลึกให้ผมซะแล้ว”
พูดพลางส่งสายตาเจ้าชู้ พร้อมกับดึงตัวเลขาเข้ามาใกล้ พลางถือโอกาสลูบไล้ต้นขา แต่ยังไม่ทันจะเกินเลยไปมากกว่านั้น สโรชาก็โผล่พรวดเข้ามาขัดจังหวะ ทั้งคู่รีบผละออกจากกันทันที
“ตำแหน่งเลขาอย่างเดียวนี่เงินเดือนไม่พอใช้สินะ อยากลองเปลี่ยนตำแหน่งหรือเปลี่ยนบริษัทดูบ้างมั้ยจ๊ะ?”
เลขาหน้าจ๋อย รีบก้มหน้าก้มตาเดินออกจากห้องไป สโรชาเดินมาที่โต๊ะ หยิบแฟ้มฟาดกับโต๊ะเสียงดัง
“ให้มาวันแรกก็ออกลายเลยนะ ตาณัฐ ฉันบอกแกแล้วนะ ช่วยสร้างภาพให้มันน่าเชื่อถือหน่อย”
ณัฐพงษ์ทำหน้าเซ็ง
“รู้แล้วครับ ณัฐก็ทำอยู่นี่ไง”
“ทำให้มันตลอดรอดฝั่งนะ เรายังต้องทำธุรกิจอีกยาว อย่าให้มามีเรื่องไม่เป็นเรื่องมาทำให้เราพังล่ะกัน
เริ่มดูไปบ้างหรือยัง เอกสารพวกเนี้ย?”
“ให้คนสแกนแล้วส่งเข้าเมล์ณัฐล่ะกัน เดี๋ยวณัฐทยอยดูเอง”
“จะต้องทำอะไรให้มันวุ่นวาย เออ จะเอางั้นก็ได้ แล้วดูให้ละเอียดแล้วกัน มีอะไรไม่เข้าใจก็ถามแม่”
ณัฐพงษ์ทำเป็นคว้าแฟ้มอีกอันขึ้นมาปิดหน้า ไม่สนใจ จนผู้เป็นแม่เดินออกไปแล้ว ก็รีบโยนแฟ้มลงบนโต๊ะทันที
เชาว์เดินบิดขี้เกียจเข้ามาภายในห้องรับแขก แต่พอหันไปเห็นตรัย ที่นั่งอยู่ก่อนแล้ว ก็ถึงกับสะดุ้ง รีบจะเดินหนี
“จะไปไหนเหรอครับคุณน้า?”
ตรัยเงยหน้าขึ้นมองเชาว์พลางยักคิ้วให้
“ฉันไปไหนต้องรายงานใครหรือไง?”
“ไม่หรอกครับ ยกเว้นแต่เป็นผู้ต้องหา หลังๆ มาบ้านนี้ทีไร ไม่ค่อยได้เห็นหน้าคุณน้าเลยนะครับ”
เชาว์เลิ่กลั่กไม่สบตา “ฉันก็มีธุระของฉัน”
“ธุระที่ว่านี่ใช่ ธุรกิจหรือเปล่าครับ? ประมาณว่าธุรกิจเฉพาะอะไรแบบเนี้ย?
เชาว์หน้าซีด จังหวะนั้นอาภาพรก็เดินกรีดกรายเข้ามาเกาะแขนตรัย
“วันนี้พี่ตรัยจะรับภาไปเที่ยวไหนคะ?”
“วันนี้พี่ต้องพาน้องพรไปซื้อของให้คุณลุงน่ะจ้ะ เอาไว้วันหลังนะจ๊ะ”
อาภาพรหน้างอขึ้นมาทันที ตรัยนึกแผนขึ้นมาได้ก็รีบพูดขึ้นมา
“น้องภา เรามาถ่ายรูปกันดีกว่า”
พูดพลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูป พยายามให้เห็นด้านหลังที่เชาว์ยืนอยู่ด้วย
“คุณน้าผู้ชายมาถ่ายด้วยกันก็ได้”
อาภาพรชักสีหน้า “โอ๊ย จะถ่ายคุณพ่อทำไมคะพี่ตรัย เสียมู้ดหมด”
“ก็ถ่ายแบบครอบครัวไงจ๊ะ”
อาภาพรยิ้มเขินรีบดึงมือเชาว์เข้ามา
“คุณพ่อมาๆ อย่าเล่นตัวสิคะคุณพ่อ พี่ตรัยเค้าอุตส่าห์ชวน มาๆ เร็วๆ เข้า”
พลางจัดแจงดันหน้าเชาว์ที่พยายามหลบให้เงยขึ้น ตรัยแอบยิ้มจัดแจงถ่ายภาพเก็บไว้ โดยพยายามซูมเข้าไปให้ใกล้หน้าเชาว์ที่สุด
เพ็ญพรที่เดินเข้ามาพอดี แอบมองอย่างหมั่นไส้
พรเพ็ญยืนจัดโต๊ะอาหาร สีหน้าจ๋อยๆ เดือนฉายพยายามคะยั้นคะยอให้ออกไปดูหนังกับวิทวัส แต่เธอก็ยืนกรานว่าไม่อยากไป
“ไม่ล่ะค่ะ น้องยังวุ่นวายอยู่ จะให้เพ็ญไปสนุกอยู่คนเดียวได้ยังไง พรไม่สบายใจค่ะ ปล่อยให้น้องลำบาก แต่ตัวเองมาอยู่สบาย”
“พร ลูกเองก็ลำบากมามากกว่าคนอื่นแล้วนะลูก เรื่องน้องน่ะ ยังไงแม่ก็ต้องดึงกลับมาให้ได้ พรไม่จำเป็นต้องแบกทุกเรื่องไว้นะลูก”
เดือนฉายมองหน้าลูก ด้วยความสงสารและเห็นใจ
เพ็ญพรเดินลิ่วๆ นำหน้าตรัยมาที่โปรแกรมฉายภาพยนตร์ ก่อนจะออกปากว่าอยากดูการ์ตูน ฝ่ายหลังถึงกับแซวว่าดูอะไรไม่เข้ากับอายุเลย“ทำไม? ต้องแอ๊บใส แอ๊บเด็กแบบคุณน้องภาขา ถึงจะดูได้เหรอไง?”
เขามองหน้าเธอแล้วก็ยิ้มออกมา
“อ๋อ ไอ้ที่หน้าบึ้งตั้งแต่ออกจากบ้านมาเพราะเรื่องนี้ใช่มั้ย โธ่เอ๊ย นึกว่าเรื่องอะไร?”
เพ็ญพรมองค้อนขวับ
“ไม่ไปถ่ายรูปตามประสาครอบครัวต่อล่ะ พ่อตากะลูกเขย น่าร้ากน่ารัก”
“นี่อย่าบอกนะว่ากำลังหึง?”
“บ้า ใครหึง น่าหึงตรงไหน?”
“นี่คุณ ที่ผมถ่ายน่ะผมมีเหตุผลนะ”
เพ็ญพรไม่ฟัง แถมยังพูดยั่ว จนเขาต้องหยิกแก้มเธอด้วยความหมั่นไส้ วิทวัสที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากนั้น เพ่งมองมาที่ทั้งคู่ด้วยสายตาไม่พอใจ
“นี่สินะ เหตุผลที่ไม่ยอมมากับผม”
วิทวัสยืนจ้องหน้าตรัยเขม็ง อีกฝ่ายได้แต่มองอย่างสงสัย แต่ก็จ้องหน้าตอบอย่างไม่ยอมแพ้ เพราะรู้สึกไม่เป็นมิตร
เพ็ญพรหันไปมองทั้งคู่สลับกันอย่างอึ้งๆ ก่อนจะตัดสินใจทำเป็นทักทายวิทวัส
“ไงคุณ มาดูหนังเหรอ?”
“ยังไม่ทันข้ามวัน ทำเป็นลืม เนียนดีนี่”
เพ็ญพรได้ยินอีกฝ่ายตอบ ก็ชักไม่พอใจ
“อะไรของคุณเนี่ย?”
“ผมตะหากที่ต้องถามว่าอะไรของคุณ”
ตรัยยืนมองแบบงงๆ ก่อนที่เพ็ญพรจะแนะนำทั้งคู่ให้รู้จักกัน ตรัยมองหน้าวิทวัสอย่างสังเกตอยู่ครู่หนึ่ง
“คุ้นๆ เหมือนผมจะเคยเจอคุณมาแล้วนะ”
“คุณจำผิดแล้วมั้ง”
วิทวัสตอบด้วยน้ำเสียงไม่เป็นมิตร พลางหันไปมองเพ็ญพรตาเขียว
“มาดูหนังคนเดียวเหรอครับ?”
“ตอนแรกก็ตั้งใจจะมาดู 2 คนครับ พอดีคนที่จะมาด้วยเค้าเกิดเปลี่ยนใจไปดูกับคนอื่นแล้ว จะรังเกียจไหมล่ะครับ? ถ้าผมจะขอดูด้วย”
เพ็ญพรอึ้งไปทำหน้าไม่ถูก หันไปมองตรัยที่งงยิ่งกว่า”ว่าไงนะครับ?”
วิทวัสยักไหล่ยียวน รีบมัดมือชก
“งั้นก็ดีครับ งั้นเอาเป็นว่าเดี๋ยวเรา 3 คน ไปดูด้วยกันเลยนะครับ”
เพ็ญพรหน้าเหรอ “เฮ่ย! ใครเค้าชวน?”
วิทวัสแกล้งเดินเข้ามากระซิบใกล้ๆ หู
“ทำไม อยากดูกับไอ้หมอนี่สองต่อสองเหรอไง?”
“จะดูกับใครมันก็เรื่องของฉัน”
วิทวัสอดไม่ได้ รีบพูดเหน็บ
“พออยู่กับคนอื่นนี่ร่างจริงปรากฏเลยสินะ ดี งั้นผมจะขวางคุณอยู่อย่างนี้ล่ะ โทษฐานที่ไม่ยอมบอกความจริง ชวนมาดูหนังอ้างว่าติดโน่นติดนี่ ที่แท้ก็มากับคนอื่น”
เพ็ญพรจ้องหน้าวิทวัสครู่หนึ่ง ก่อนจะลำดับเหตุการณ์ว่าเขาต้องหมายถึงพรเพ็ญแน่ จึงแกล้งตีเนียนไป
“ก็ฉันเปลี่ยนใจนี่ แล้วพอดีคุณตรัยเค้า...”
ตรัยที่ยืนจ้องอยู่นาน รีบถามแทรกว่ามีอะไรรึเปล่า เพ็ญพรส่ายหน้าปฏิเสธ พร้อมๆ กับที่วิทวัสรีบตีขลุม
“เรา 3 คนเข้าไปดูหนังด้วยกัน คุณคงไม่มีปัญหาอะไรนะครับ?”
พูดจบก็เดินนำไปแบบไม่สนใจ พรเพ็ญทำหน้าแหย ส่วนตรัยมองตามแบบมึนงง
ณัฐพงษ์นั่งหน้าอยู่ที่โต๊ะทำงาน สีหน้าจริงจังจดใจจ่ออยู่หน้าคอมฯ พออาภาพรโผล่พรวดเข้ามา เขาก็รีบปิดหน้าจอทันที
“บ่อนออนไลน์อีกล่ะสิ?”
“แกจะลองซักตาไหมล่ะ”
อาภาพรเบะปาก มองอย่างเหยียดๆ
“ไม่ล่ะ กลัวผีพนันมันมาสิงเหมือนพี่ณัฐกับคุณพ่อ”
ณัฐพงษ์ส่ายหน้าอย่างเซ็งๆ ก่อนจะที่บ่นว่าเพราะอาภาพรไม่ยอมทาทำงาน ความซวยจึงตกอยู่ที่เขา
“ซวยเซยอะไรกันพี่ณัฐ เฮงสิไม่ว่า อุตส่าห์ได้ช่องทางทำเงินเพิ่มมาอีก อยู่ตรงนั้นจะเซ็นจะย้ายโอนถ่ายอะไรก็ง่ายจะตาย แค่หาช่องให้มันเจอแค่นั้นแหล่ะ”
“แกไม่มาทำเองล่ะ ฉันเหนื่อย”
อาภาพรลุกขึ้นเดินมาใกล้ ยืนกอดอกจ้องหน้าพี่ชาย
“แหม พี่ณัฐ มันก็ต้องมีเหนื่อยกันบ้างล่ะ จะให้มาสบายเหมือนเล่นบ่อนหรือปลอมเอกสารคุณแม่ได้ยังไงล่ะ”
ณัฐพงศ์สะดุ้งตกใจ รีบลุกพรวดขึ้นชะเง้อดูที่ประตู แล้วหันมาต่อว่าน้องสาว
“พูดอะไร เบาๆหน่อยได้ไหม เดี๋ยวคุณแม่มาได้ยินก็บรรลัยกันหมดหรอก อย่าลืมนะถ้าโดน แกก็ต้องโดนด้วย”
อาภาพรยักไหล่แบบไม่แคร์
“ไม่โดนหรอกน่า แค่นิดๆ หน่อยเอง ก็เพราะคุณแม่เค้านั่นแหล่ะ อยากให้พวกเราใช้กันไม่พอเอง ช่วยไม่ได้”
“แกอย่าเผลอไปบอกให้ใครรู้ล่ะกัน”
อาภาพรยิ้มอย่างมั่นใจ
“พี่คิดว่าฉันโง่มากหรือไง? รอบหน้าจัดการให้ฉันเหมือนเดิมด้วย แล้วก็ส่งรายละเอียดเข้าเมล์ฉันเหมือนเดิม”
พูดจบก็ผลุนผลันออกจากห้องไป
ณัฐพงษ์ผิวปากอย่างสบายอารมณ์ ก่อนจะก้มหน้าก้มตาเล่นบ่อนออนไลน์ต่อไป
อ่านต่อหน้า 2
บ้านศิลาแดง ตอนที่ 7 (ต่อ)
เพ็ญพร ตรัย และวิทวัส เข้าไปดูหนังด้วยกัน โดยวิทวัสนั่งแทรกอยู่ตรงกลาง ส่วนตรัยกับเพ็ญพรนั่งประกบข้าง
พอตรัยเอียงหน้ามากระซิบถามเรื่องดารากับเพ็ญพร วิทวัสก็ตอบแทรกขึ้นมาทุกครั้ง ก่อนจะแอบมอง
เพ็ญพรด้วยสายตาทั้งโกรธทั้งน้อยใจ
พอหนังจบ ทั้ง 3 คนก็พากันเดินออกมา วิทวัสคอยเดินขวางตรงกลาง หาเรื่องพูดกระทบตรัยตลอดตลอด ก่อนจะหันมาถามเพ็ญพร
“จะไปไหนกันต่อดีเนี่ย?”
“ก็กลับบ้าน”
ตรัยท้วงขึ้นมาทันที
“จะรีบกลับไปไหน? ของใช้คุณลุงก็ยังไม่ได้ซื้อ”
“ถ้างั้นแวะซื้อเสร็จก็กลับ”
วิทวัสพูดแทรกขึ้นมาบ้าง
“จะซื้ออะไรให้ใคร เดี๋ยวไปกับผมก็ได้ เสร็จแล้วเดี๋ยวผมเลยไปส่งที่คอนโดเอง”
ตรัยทำหน้างง “คอนโด? คอนโดที่ไหน?”
เพ็ญพรหน้าเหวอ รีบตัดบทด้วยการไล่ให้วิทวัสกลับไปก่อน
“ทำไม ผมไปส่งไม่ได้เหรอ หรือคุณเดือนเค้าเปลี่ยนคนไว้ใจแล้ว”
“โอ๊ย คุณ พูดไม่รู้เรื่องเหรอไง บอกว่าวันนี้ฉันมีธุระๆ”
เพ็ญพรโวยวายเสียงดัง จนวิทวัสถึงกับหน้าสลดลง ก่อนที่เธอจะรู้ตัว รีบปรับอารมณ์ให้เย็นลง
“คุณกลับไปก่อนเถอะ เดี๋ยวค่อยเจอกันที่ทำงานล่ะกัน”
“โอเค. ขอโทษล่ะกันที่รบกวน เชิญคุณ 2 คนตามสบาย”
พูดพลางมองหน้าเพ็ญพรด้วยแววตาน้อยใจ พร้อมกับปรายตาไปมองตรัย แล้วเดินหนีออกไป ตรัยขมวดคิ้วอย่างงงๆ
“เดี๋ยว ที่ทำงาน? ไหน? ที่ทำงานใครอ่ะน้องพร?”
เพ็ญพรเกาหัวแกรกๆ แล้วรีบเดินหนีออกไป
สุดามองรูปหมอรุจน์อยู่ในโทรศัพท์มือถือ ก่อนที่จะประโคมผักผลไม้แปะทั่วใบหน้า จากนั้นก็นอนหงาย เสียบหูฟังฟังเพลงอย่างสบายอารมณ์
เชาว์ลอบมองอยู่ที่หน้าต่างด้วยสีหน้าเหี้ยม
“นึกว่าแกจะตามกันได้ฝ่ายเดียวงั้นเหรอ?”
จากนั้นก็แอบงัดหน้าต่าง พลางปีนเข้าไปในตัวบ้าน ก่อนจะลอบมองสุดาที่อยู่ในชุดกางเกงขาสั้นเสื้อยืดแบบสองจิตสองใจ ขณะที่อีกฝ่ายยังนอนสบายใจแบบไม่รู้ตัว
เชาว์หันกรอบรูปตั้งโต๊ที่เป็นหน้าตรัยให้หันมองไปทางสุดาที่นอนอยู่
“ดูให้ชัดๆ นะ ยุ่งกะฉัน น้องแกต้องชดใช้”
พูดพลางหยิบหน้ากากไอ้โม่งออกมาสวม ก่อนจะปิดโทรศัพท์ที่สุดาเสียบฟังอยู่
“กลับมาเร็วเกิ๊น พี่ตรัย”
สุดาพูดยิ้มๆ พลางหยิบมะเขือเทศที่ปิดตาออก พอเห็นว่าไม่ใช่พี่ชาย แต่กลับเป็นไอ้โม่ง ก็ผงะตกใจ ร้องโวยวายเสียงหลง เชาว์รีบกอดรัดหมายจะข่มขืน
ขณะเดียวกันหมอรุจน์ที่พยายามจะโทร. หาตรัย แต่อีกฝ่ายไม่ยอมรับสาย เขาเลยเปลี่ยนใจ โทร. เข้ามือถือสุดาแทน
เธอพยายามเอื้อมมือไปเขี่ย จนกดรับสายได้ แล้วกลับถูกเชาว์ปัดจนมือถือกระเด็นออกไป
“สุดา ทำอะไรอยู่ พี่หนูอยู่บ้านมั้ยอ่ะ? โทร.ไปก็ไม่ติด สุดา สุดา สุดา”
สุดาอึกอัก ไม่สามารถพูดตอบโต้ เพราะถูกเชาว์คร่อมกดคอปิดปากเอาไว้
หมอรุจน์มองโทรศัพท์เซ็งๆ ก่อนจะตัดสินใจขับรถออกไป
สุดาโดนเชาวน์ตบจนสลบ ก่อนที่ฝ่ายแรกตั้งท่าจะข่มขืน แต่ช้ากว่าหมอรุจน์ ที่โผล่เข้ามาพร้อมกับเอาไม้ฟาด จนเซกลิ้งไป
“ออกไปเดี๋ยวนี้เลยนะ”
หมอรุจน์ตะโกนเสียงดัง ทั้งที่ใจกล้าๆ กลัวๆ ก่อนจะหลับตาปี๋ แล้วชกไปมั่วๆ แต่กลับโดนเชาวน์ทุกหมัด สุดท้ายก็เตะผ่าหมากเข้ากลางเป้า จนอีกฝ่ายถึงกับต้องล่าถอยออกไป เขารีบปราดเข้าไปประคองสุดาขึ้นมาทันที
“สรุปก็คือเป็นแค่คนรู้จักแค่นั้น ?”
ตรัยเหลียวมาถามขณะที่นั่งอยู่ในรถด้วยกัน เพ็ญพรที่นั่งรื้อตรวจดูข้าวของในถุง เงยหน้าขึ้นมอง ท่าทางหงุดหงิด
“ก็บอกไปแล้วยังจะถามเซ้าซี้อยู่ได้”
พลางจ้องหน้าตรัยตาเขียวปั๊ด แต่อีกฝ่ายกลับพูดจายียวนใส่อีก เธอเลยจัดการด้วยการกระชากข้อมือมาแล้วจับบิดข้อ
“โอ๊ยๆ คุณ ผมขับรถอยู่นะ โอ๊ยๆ คุณ แขนผม ทำอะไรของคุณเนี่ย เจ็บนะ เอะอะๆ ก็ทำร้ายร่างกาย
จะโหดไปไหนเนี่ย แต่ก็ดี โหดๆ แบบนี้ ค่อยสมเป็นแฟนตำรวจหน่อย”
เพ็ญพรหน้าแดง ชกแขนตรัยเข้าเต็มแรง
“ใครเป็นแฟนคุณ? คุณนี่มัน ช่างเหอะๆ ที่บอกว่ามีเรื่องจะถาม มีอะไรว่ามา”
สุดายังคงหลับสลบอยู่ หมอรุจน์พยายามปฐมพยาบาลตามมีตามเกิด แต่พอเธอรู้สึกตัวขึ้นมาในอ้อมแขนของเขา ก็ตกใจ ปล่อยหมัดเข้าหน้าเขาจนเลือดกำเดาไหล
“ว้าย ..อ้าว อุ๊ย มีคนจะทำร้าย”
หมอรุจน์รีบบอก
“ผมไล่มันไปแล้ว ดีนะ ผมมาหาเจ้าตรัยพอดี ไม่งั้น..”
สุดานั่งนิ่งทบทวนเหตุการณ์ ก่อนจะกุลีกุจอเอาน้ำแข็งประคบให้อีกฝ่าย
“รู้มั้ย มันเป็นใคร?”
สุดาครุ่นคิด ก่อนจะส่ายหน้าแบบงงๆ
“ผมจะถามเกี่ยวกับเรื่องของครอบครัวน้องภาเค้าน่ะ”
เพ็ญพรหันขวับมาทันที สีหน้าไม่พอใจ
“จะถามเรื่องครอบครัวน้องภา? แล้วทำไมคุณพี่ตรัยขาไม่ไปถามน้องภาเองล่ะคะ”
“ใจเย็นก่อนดิคุณ มันไม่ใช่อย่างที่คุณคิด ไอ้ที่ผมอยากรู้น่ะ นี่”
พูดพลางหยิบกระเป๋ามาเปิด แล้วล้วงไปหยิบเอาไอแพดออกมา ก่อนจะเลื่อนภาพที่ต้องการให้เพ็ญพรดู
“ผู้ต้องหาค้ายา วันนั้นมันหนีไปได้ ผมตามหามันอยู่ ถ้าจับไอ้หมอนี่ได้ คงสาวไปถึงตัวใหญ่ได้ เสียดาย
คุณว่าหน้าคุ้นๆ มั้ยล่ะ?”
เพ็ญพรยกขึ้นมาดูใกล้ๆ ก่อนจะหันไปมองตรัยอย่างตกใจ
เชาว์ยืนก้มหน้ามือกุมเป้าท่าทางยำเกรงอยู่ต่อหน้านาย ที่ทำหน้าเหมือนว่าสิ่งที่ฝ่ายแรกกำลังกังวลนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่
“แล้วมันจำได้ว่าเป็นแกหรือเปล่าล่ะ?”
“ผมก็ไม่แน่ใจครับนาย แต่ดูท่าเหมือนมันสงสัยอะไรอยู่”
“ถ้างั้นก็ไม่ต้องไปสนใจ แกก็อยู่ของแกไปปกติ ยิ่งแกหาย มันยิ่งน่าสงสัย”
“แล้วถ้ามันรู้ว่าเป็นผมล่ะครับ?”
เชาว์ย้อนถาม นายกระดกแก้วขึ้นดื่มจนหมดแล้วลุกพรวดขึ้น
“แกก็รู้นี่ ว่าฉันจะกำจัดทุกอย่าง ก่อนที่มันจะสาวถึงตัวฉันแน่ ฉะนั้นถ้าแกอยากอยู่ ก็อย่าให้มันรู้ ไม่ว่าจะต้องทำยังไงก็ตาม”
นายเดินมาตบไหล่เบาๆ แล้วเดินเข้าบ้านไป
เชาว์ยืนหน้าซีดกลืนน้ำลายทำอะไรไม่ถูก
พอเพ็ญพรเดินกลับเข้ามาในบ้าน อาภาพรก็รี่เข้ามาพูดจาหาเรื่องทันที แต่ฝ่ายแรกไม่สนใจที่จะต่อล้อต่อเถียงด้วย แถมมองหน้าอีกฝ่ายอย่างสมเพช
“ตอนนี้ ฉันรู้สึกสมเพชเธอจริงๆเลยนะ พวกเธอเนี่ย สกปรกกันทั้งครอบครัวจริงๆ” พูดจบก็เดินเลี่ยงเข้าบ้านไป ทิ้งให้อาภาพรยืนงง
ทางด้านสุดาก็กำลังใช้ผ้าซับจมูกให้หมอรุจน์ ที่พูดแบบติดตลกว่า
“อยากให้เห็นตอนที่สู้กับมัน”
“เป็นต่อ?”
หมอรุจน์ส่ายหน้าแบบเขินๆ “เป็นรอง ฟลุ้คมากอ่ะ”
สุดาอมยิ้ม เข้าใจว่าอีกฝ่ายพูดถ่อมตัว จังหวะนั้นตรัยก็กลับข้ามาในบ้าน พอเห็นสภาพบ้าน ก็นึกแปลกใจ
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”
“โจรขึ้นบ้านแก น้องแกเกือบโดนปล้ำ”
ตรัยผงะตกใจ “เป็นไปได้ไง เห็นหน้ามันมั้ย?”
สุดาส่ายหน้า
“แต่ดาว่า ไม่น่าจะใช่โจรทั่วไป มันน่าจะตั้งใจมาทีเดียวแหละ บ้านเราก็แปะหรา ว่าบ้านตำรวจ”
“แกทำคดีอะไรอยู่บ้างช่วงนี้ ไปเหยียบตาปลาใครเค้ารึเปล่า?”
ตรัยถอนใจ หน้าเครียด
“พี่ขอโทษนะสุดา จากนี้ไป เราคงต้องระวังตัวกันมากขึ้นแล้ว”
สุดาหวั่นใจ แอบกระเถิบเข้าใกล้หมอรุจน์ โดยไม่รู้ตัว
ท่ามกลางการจราจรที่ติดขัด ตามปกติของท้องถนนในยามเช้า วิทวัสนั่งคุยมือถือ ขณะที่รถจอดติดไฟแดงอยู่
“ครับ คุณเดือน ต้องไปหลายที่เลย ตอนบ่ายผมมีธุระด้วย ต้องขอโทษจริงๆ นะครับ เมื่อวาน? อ๋อ
ไม่เป็นอะไรครับ ไม่โกรธเลย ไม่โกรธเลยจริงๆ ครับ สวัสดีครับ”
จากนั้นก็กดวางสาย พลางจ้องดูตัวเองในกระจก พยายามฝืนยิ้ม
“ไม่โกรธเลยเว้ย ยัยตัวแสบ คบคนโน้นคบคนนี้ หลายใจ แถมไอ้หมอนั่นอีก เฮ้อ”
ทางด้านเดือนฉาย พอวางสายแล้ว ก็หันมายิ้มให้กับพรเพ็ญ
“วันนี้ตาวัสต้องไปธุระหลายที่ เค้าเลยไม่ได้รอหนูนะจ๊ะ”
“เค้าโกรธหนูเรื่องเมื่อวานหรือเปล่าคะ?”
เดือนฉายส่ายหน้าอย่างเอ็นดู
“แม่ถามแล้ว เค้าไม่โกรธหรอกลูก ตาวัสเค้าเป็นผู้ใหญ่แล้วคงไม่มาโกรธเรื่องอะไรแค่นี้หรอก”
พรเพ็ญพยักหน้ายิ้มๆ ก่อนจะตัดสินใจพูดขึ้นมา
“ความจริงพรมีเรื่องอยากจะขอ....พรขอไปเยี่ยมคุณพ่อนะคะ”
เดือนฉายหุบยิ้มลงทันที “แม่ไม่อนุญาต”
“คุณแม่ พรขอร้อง พรออกจากบ้านมาหลายวันแล้ว พรอยากรู้ว่าท่านเป็นยังไง?”
“น้องก็ดูแลอยู่แล้วนี่”
“แต่พรเป็นห่วงคุณพ่อ พรคิดถึงคุณพ่อน่ะค่ะ”
เดือนฉายลุกขึ้นเดินหนี น้ำตาซึม
“แล้วแม่ล่ะ? พร อยากเห็นแม่เสียใจอีกใช่มั้ยลูก?”
เดือนฉายนั่งหน้าบึ้งอยู่ในรถที่จอดอยู่หน้าบ้านศิลาแดง พลางถอนหายใจเฮือก ตรงข้ามกับพรเพ็ญที่นั่งอมยิ้มดีใจ
“ขอบคุณนะคะคุณแม่”
ผู้เป็นแม่หันมามองค้อนลูกสาวอย่างเอ็นดู
“ชักเหมือนน้องขึ้นทุกทีแล้วเราน่ะ ช่างอ้อนช่างเจรจา ไม่ต้องมาอ้อน แล้วจะยังไงต่อเนี่ย?”
“พรส่งข้อความไปบอกน้องแล้วค่ะ เดี๋ยวก็คงออกมา นั่นไงคะ น้องออกมาแล้ว”
เพ็ญพรเดินออกมา พลางมองซ้ายมองขวาอย่างระวัง ก่อนจะเดินตรงมาที่รถ พร้อมกับเปิดประตูเข้ามา
“คุณแม่ พี่พร มากันทำไมเนี่ย?”
เดือนฉายเอื้อมมือมาตีแขนเพ็ญพรดังเพี้ยะ
“ดูพูดเข้า คนเค้าอุตส่าห์เป็นห่วง”
“โธ่ คุณแม่ก็หนูบอกแล้วไง ว่าไม่มีอะไรน่าห่วง”
พรเพ็ญนั่งนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจพูดขึ้นมา
“เพ็ญ พี่มาสลับตัวคืน พี่จะเข้าไปดูแลคุณพ่อเอง ส่วนน้องจะได้กลับไปกับคุณแม่”
เพ็ญพรตกใจ เช่นเดียวกับเดือนฉายที่หันขวับมาทันที
“เดี๋ยวนะลูก เมื่อเช้าหนูไม่ได้บอกแม่แบบนี้นี่ หนูขอแค่เข้าไปเยี่ยมคุณพ่อแป๊บเดียว”
“อย่างนี้ล่ะดีแล้วค่ะ หนูทนให้น้องเข้าไปลำบากแทนหนูอีกไม่ได้หรอกค่ะ”
เพ็ญพรก็ไม่ยอมเหมือนกัน
“ไม่ได้ๆ ยิ่งตอนนี้ยิ่งไม่ได้เด็ดขาดเลย เพ็ญมีเรื่องสำคัญจะต้องทำ เรื่องนี้เรื่องสำคัญมากค่ะ ถ้าเรียบร้อยพวกมันจะได้โดนฉีกหน้ากากกันซะที”
เดือนฉายกับพรเพ็ญหันมามองหน้ากันอย่างสงสัย
อ่านต่อหน้า 3
บ้านศิลาแดง ตอนที่ 7 (ต่อ)
สโรชาเดินเข้ามาในครัว ก่อนจะตรงมาเปิดตู้เย็น พลางเงยหน้ามาถามป้าแจ่มอย่างสงสัย
“เอ๊ะป้า น้ำผลไม้ที่ฉันเตรียมไว้ให้คุณเอกอยู่ไหนเนี่ย?”
ป้าแจ่มอึกอัก สีหน้าหวาดวิตก
“เอ่อ คือ”
สโรชามองป้าแจ่มอย่างรำคาญ พลางกวาดสายตาไปมองที่หม้ออาหาร
“แล้วพวกอาหารที่ฉันเตรียมไว้ให้คุณเอกล่ะ อยู่ไหน?”
“ไปแอบทำอะไรมา บอกแม่มาเหอะ”
เดือนฉายคาดคั้นถามเพ็ญพรอย่างอยากรู้ความจริง แต่อีกฝ่ายกลับตอบเลี่ยงๆ ไม่ยอมเล่าความจริง
ขณะที่พรเพ็ญก็จัดแจงสลับมือถือของตัวเองกับเพ็ญพร
“พบกันครึ่งทาง พี่ให้เราได้แค่สลับเสียงแล้วกัน”
ขาดคำก็รีบเปิดประตูรถ แล้วเดินหายเข้าไปในบ้านศิลาแดง เดือนฉายกับเพ็ญพรได้แต่ชะเง้อมองจากในรถ ในเวลาเดียวกัน เชาว์ก็ลงจากรถมอเตอร์ไซค์ ก่อนจะหันซ้ายหันขวา แล้วรีบเดินเข้าบ้านไป
เดือนฉายเพ่งมองอย่างตกใจ
“นายเชาว์”
สโรชาเดินกวาดตามองไปรอบห้องครัว ก่อนจะมาสะดุดที่ที่ถังขยะ พลางเดินไปหยิบถุงพลาสติกที่เทอาหารของเธอทิ้ง
“นี่มันหมายความว่าไง ใครเอามาทิ้ง? นี่เอาอะไรให้คุณเอกกิน?”
ป้าแจ่มตอบไม่เต็มเสียง “คุณหนูเธอทำไว้ให้ท่านแล้วค่ะ”
“แล้วนี่คุณเอกไม่ได้กินอาหารของฉันมานานเท่าไหร่แล้ว?”
“หลายวันแล้วค่ะ เอ่อ แต่จริงๆ มันก็ไม่เป็นอะไรไม่ใช่เหรอคะ? เปลี่ยนบ้างคุณท่านอาจจะชอบ”
สโรชาจ้องหน้าป้าแจ่มอย่างโกรธจัด
“สาระแนรู้ดี ของฉันน่ะเป็นอาหารสำหรับคนป่วยโดยเฉพาะ แล้วนี่เอาอะไรให้คุณเอกกินลงไป เกิดเป็นอะไรขึ้นมาแล้วจะทำยังไง? แส่ไม่เข้าเรื่องกันนัก”
พูดพลางโยนถุงอาหารทิ้งลงตามเดิมแล้วเดินสะบัดออกจากครัวไป
พรเพ็ญก้มหน้าก้มตาเดินเข้ามา โดยมีเชาว์เดินตามมาติดๆ
“หนูพร ..อะ..ออกไปไหนมาเนี่ย?” ฝ่ายหลังถามอย่างระแวง
“พรออกไปทิ้งขยะมาน่ะค่ะ”
“เหรอจ๊ะ แล้วเห็นว่าลุง เอ่อ มากับใครหรือเปล่าจ๊ะ?”
พรเพ็ญส่ายหน้า พลางมองอย่างสงสัย
“ไม่ทราบสิคะ คุณลุงมากับใครเหรอคะ”
เชาว์รีบบอกว่าไม่มีอะไร ก่อนจะเดินจ้ำเข้าบ้านไปทันที
เอกสิทธิ์ที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา พลางมองไปช้าๆ ก่อนจะค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็นตกใจ ตาเหลือกโพลง เมื่อเห็นสโรชายืนจ้องมองอยู่ด้วยสายตาที่ดุดัน
“ดูเหมือนอะไรๆ คุณจะดีขึ้นนะคะ จำได้ว่าฉันเคยบอกคุณไปครั้งหนึ่งแล้วนี่คะ ว่าคุณยังตายไม่ได้ แต่ก็ยังหายไม่ได้เหมือนกัน ลูกสาวคุณเค้าไม่ชอบวิธีเบาๆ”
พลางเอื้อมมือไปหยิบแจกันที่วางอยู่บนหัวเตียงมาถือไว้
“ต้องโทษลูกคุณเองนะคะ”
จากนั้นก็ยกแจกันขึ้น ก่อนจะแสยะยิ้มออกมาอย่างอำมหิต พลางเทน้ำจากแจกันจนชุ่มผ้าขนหนู แล้วนำมาวางปิดหน้าเอกสิทธิ์ ที่ดิ้นอึกอักเพราะขาดอากาศ จนมือเกร็ง
“ไม่ต้องกลัว คุณไม่ขาดใจตายหรอก แค่ขาดออกซิเจนนิดๆ หน่อยๆ เอง”
พรเพ็ญเดินมองซ้ายมองขวา ก่อนจะรีบผลุบเข้ามาในครัว ป้าแจ่มที่กำลังจัดของอยู่หันมาเห็นก็ทักขึ้น
“คุณหนู เปลี่ยนเสื้อผ้าจะออกไปข้างนอกเหรอคะ? หวาดเสียวน้อยหน่อย”
พรเพ็ญก้มลงมองดูเสื้อผ้าตัวเอง ที่ไม่สั้นกุดแบบเพ็ญพรแล้วนึกขึ้นได้
“เอ่อ ว่าแต่ป้าแจ่มกับลุงเติมสบายดีไหมจ๊ะ?”
ป้าแจ่มชะงักมองพรเพ็ญอย่างงงๆ
“ค่ะ ก็ ก็สบายดีค่ะ”
“ขอบคุณนะคะ ที่ช่วยดูแลคุณพ่อให้ตั้งนาน นี่คุณน้า เตรียมอาหารให้คุณพ่อเสร็จแล้วใช่ไหมจ๊ะ พรจะได้ยกไปเลย”
ป้าแจ่มยิ่งงงหนัก “ ก็คุณหนูยกไปป้อนคุณท่านแล้วนี่คะ?”
พรเพ็ญหน้าเหวอ ก่อนจะรีบพูดแก้ตัว
“อ๋อ จริงสินะ คุณพ่อท่านทานแล้วนี่ งั้นเดี๋ยวพรไปดูคุณพ่อก่อนนะจ๊ะ”
“เดี๋ยวค่ะคุณหนู คุณหนูระวังคุณสโรชาไว้ด้วยนะคะ ตะกี๊เธอโมโหมากเลย ที่เอาอาหารของเธอไปทิ้ง”
“อ้าว แล้วไปทิ้งทำไมล่ะจ๊ะ?”
ป้าแจ่มยืนมองตาปริบๆ
“อ่าว ก็คุณหนูเป็นคนเอาไปทิ้ง ทิ้งทำไม? แจ่มก็ไม่ทราบอ่ะค่ะ”
“เดี๋ยวเอาไว้ค่อยคุยกันนะ พรไปเยี่ยมคุณพ่อก่อน คิดถึงท่านมากเลย”
พูดจบก็รีบออกจากห้องครัวไป ป้าแจ่มยืนเอามือกุมหัว พลางหยิบยาดมขึ้นมาดม
สโรชาเปิดประตูเดินออกจากมา ก่อนจะค่อยๆ ปิดประตูลงเบาๆ แล้วยิ้มมุมปากอย่างสะใจ ขณะที่
พรเพ็ญเดินเข้ามาหยุดอยู่ที่หน้าห้อง พลางยิ้มอย่างดีใจ แล้วรีบเปิดประตูห้องเข้าไป ก่อนจะเดินตรงไปที่เตียงที่เอกสิทธิ์นอนอยู่ แล้วนั่งคุกเข่าลง ค่อยๆ ก้มลงกราบ แล้วลุกขึ้นไปกอดพ่อ
“คุณพ่อขา พรกลับมาแล้ว พรกลับมาดูแลคุณพ่อแล้วค่ะ”
พูดพลางซบลงที่อก แต่กลับเห็นอีกฝ่ายหน้าชุ่มเปียกน้ำ หายใจขัดๆ
“คุณพ่อ นี่มันอะไรกันคะเนี่ย?”
พูดพลางมองจ้องที่พ่อ ที่มีอาการคล้ายคนเพิ่งจมน้ำจนขาดอากาศ มือสั่นงอหงิก ใบหน้าเหยเก พยายามหายใจ ปัสสาวะราดไหลนองลงมาที่เตียง
เธอรีบจัดแจงหยิบผ้ามาซับปัสสาวะที่เลอะพื้น ก่อนจะลุกไปหาผ้าอ้อมผู้ใหญ่มาจะใส่ให้ พร้อมกับถกเสื้อขึ้น ก่อนจะเห็นผิวหนังตรงแขน มีรอยนิ้วมือของสโรชากดจนเป็นจ้ำแดงเหมือนห้อเลือด เธอตัดสินใจพลิกดูตามแขน ตามตัว เห็นเป็นรอยจ้ำแดงอยู่ทั่ว
“นี่มันอะไรกัน คุณพ่อไปโดนอะไรมา?”
ตรัยนั่งทำงานพลางยิ้มอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะหยิบมือถือมากดหาพรเพ็ญ ที่ตัวเครื่องถูกสลับกับเพ็ญพรเรียบร้อยแล้ว
เพ็ญพรหยิบมือถือออกมาอย่างหงุดหงิด แล้วรีบกดรับสายอย่าลืมตัว
“ว่าไงคุณ คนยิ่งยุ่งๆ อยู่”
“ยุ่งอะไรกันน้องพร? ก็แค่จะโทรมาเตือน ยังไงอย่าเพิ่งทำอะไรบุ่มบ่ามล่ะ”
เพ็ญพรเผลอตัวตวาดเสียงดัง จนเดือนฉายต้องกระแอมเตือน
“เสียงใครน่ะคุณ?”
“ไม่มีนี่ คลื่นแทรกล่ะมั้ง มีอะไรก็รีบๆ พูดมาซะทีเถอะ ไม่งั้นจะวางแล้วนะ”
“อย่างนี้ทุกที เอาเป็นว่าผมแค่รบกวนคุณคอยสังเกตนายเชาว์แค่นั้น แต่ไม่ต้องถึงกับสะกดรอยตามไปไหนต่อไหนหรอกนะ”
“คุณคิดว่าฉันจะทำอะไรบ้าๆ แบบนั้นหรือไง?”
“ใช่สิ ผมเป็นห่วง”
เพ็ญพรอึ้งไป พลางเหลือบไปดูเห็นเดือนฉายแอบมองมาอย่างสงสัย
“ฉันไม่ทำแบบนั้นหรอกน่า แค่นี้นะ”
“เดี๋ยวๆ พรุ่งนี้ผมเข้าไปหาคุณนะ”
“ก็แล้วแต่สิ”
ขาดคำก็รีบกดวางสาย พร้อมกับที่เดือนฉายหันมาถาม
“มีอะไรที่แม่ไม่รู้รึเปล่า?”
พรเพ็ญนั่งทายาให้เอกสิทธิ์อยู่ ป้าแจ่มยืนอยู่ข้างๆ ยืนมองอย่างแปลกใจ
“เมื่อเช้าตอนป้าเช็ดตัวให้คุณท่าน ก็ยังไม่เป็นแบบนี้นะคะ”
“พรก็เพิ่งเห็นตอนเข้ามานี่ล่ะค่ะ เหมือนถูกกด”
“แล้วคุณท่านเป็นอะไรกันแน่คะ? อย่างกะจะขาดใจ”
พรเพ็ญส่ายหน้าสีหน้ากังวลใจ
“พรไม่แน่ใจเหมือนกันค่ะ ตอนทำอะไรให้ท่านได้กระแทกถูกอะไรหรือเปล่าคะ?”
“ไม่นะคะคุณหนู ป้าจะระวังเป็นพิเศษ แล้วอีกอย่างคุณท่านก็ขยับอะไรไม่ได้มากอยู่แล้ว 2-3 วันนี้อุตส่าห์เห็นคุณท่านดูแข็งแรงขึ้นแล้วแท้ๆ”
พรเพ็ญถอนหายใจ พลางเอื้อมมือไปบีบมือพ่อ
“ถ้ายังไงเดี๋ยวพรจะพาคุณพ่อไปหาหมอเองค่ะ”
เดือนฉายหน้าเคร่งเครียดยืนจ้องหน้าเพ็ญพร
“พี่ชายยัยสุดาน่ะค่ะ”
“แล้วไปสนิทกันตั้งแต่เมื่อไหร่?”
เพ็ญพรรีบแก้ตัว
“สนิทอะไรกันคะแม่ ก็แค่นายนั่นเค้าแวะมาเยี่ยมคุณพ่อบ่อยๆ ก็เท่านั้น”
“แสดงว่าเค้าสนิทกับพี่พรมาก่อน”
เพ็ญพรพยักหน้ารับ สีหน้าครุ่นคิด ก่อนที่เดือนฉายจะถามขึ้นมาตรงๆ
“เพ็ญ เค้าชอบลูกหรือพี่พร?”
อาภาพรแต่งตัวเตรียมจะออกไปปาร์ตี้กับเพื่อน แต่สโรชารีบสั่งให้ยกเลิก เพื่อจะไปหาวิทวัสด้วยกัน
“ไปทำไมคะ? มีอะไรกับนายนั่นอีก”
“แกก็พูดถึงเค้าให้มันดีๆ หน่อยได้ไหม เค้าโทร. มาชวนไปทานข้าว”
“คุณแม่ก็ไปสิคะ เอาเลยค่ะ เค้าว่ากินเด็กแล้วจะเป็นอมตะนะคะ”
สโรชาค้อนขวับ ถลึงตาใส่ลูกสาว
“แกนี่ก็คิดได้นะ เฮ้อ ฉันว่าจริงๆ แล้วเค้าตั้งใจจะชวนแกนั่นล่ะ เห็นบอกอยากให้ไปร่วมงานเปิดตัวน้ำผลไม้ตัวใหม่ของเค้า เห็นว่าอยากให้แกเป็นนางแบบกิตติมศักดิ์ขึ้นไปเปิดตัวสินค้าของเค้าด้วยนะนั่น”
พรเพ็ญที่ยืนอยู่อีกมุมหนึ่ง ได้ยินเข้าถึงกับสลดลงทันที อาภาพรเบะปากทำหน้าเซ็งๆ
“แกรอแม่เปลี่ยนเสื้อผ้าแป๊บนึง เดี๋ยวจะได้ออกไปพร้อมกันเลย”
สโรชารีบหันกลับจะขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่กลับเจอพรเพ็ญที่ยืนอยู่
“แกมายืนทำอะไรตรงนี้ แอบฟังฉันเหรอ?”
พรเพ็ญรีบก้มหน้าหลบสายตา “เปล่าค่ะคุณน้า”
สโรชามองท่าทีของพรเพ็ญแล้วก็เอะใจ
“งั้นจะไปไหนก็ไปสิ”
2 แม่-ลูกมองตามดูพรเพ็ญที่เดินไป อย่างแปลกใจ
“คุณแม่ คุณแม่ว่านังพรมันแปลกๆ อีกแล้วมั้ยคะ?”
พรเพ็ญเดินครุ่นคิดออกมา พร้อมกับนึกถึงคำพูดของเดือนฉาย
“วันนี้ตาวัสต้องไปธุระหลายที่ เค้าเลยไม่ได้รอหนูนะจ๊ะ”
พลันแววตาของเธอก็สลดลง ก่อนจะรีบสะบัดหน้าไล่ความคิดนั่นออกไป
วิทวัสเปิดเอกสารที่วางอยู่บนโต๊ะสลับกับกดเลื่อนไอแพดไปมา ท่าทางดูวุ่นวาย
“ให้ใครเป็นนางแบบรับเชิญอีกดีน้า? แล้วขาดอะไรอีกเนี่ย? วุ่นวายจริงๆ แล้วทำไมฉันต้องมาเตรียมโน่นเตรียมนี่ให้เธอเนี่ย? วางแพลนไว้เอง แต่กลายเป็นฉันต้องมาทำให้ ยัยบ๊องเอ๊ย”
พูดพลางเอนหลังนั่งหลับตา ท่าทีเหน็ดเหนื่อย ตรงหน้าคือเอกสารที่ปริ๊นต์ออกมาจากเมล
เขียนไว้ด้านหน้าว่า "แพลนงานเปิดตัวสินค้า By แพร์รี่”
อ่านต่อหน้า 4
บ้านศิลาแดง ตอนที่ 7 (ต่อ)
เชาว์เดินไปเดินมาในห้องอย่างกระวนกระวาย ก่อนจะตัดสินใจเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า พลางรีบยัดเสื้อผ้าใส่กระเป๋า วาทินีถามว่าจะไปไหน ก็อ้ำอึ้งไม่ยอมตอบ
“ทำไม? ซ่อนอะไรไว้เหรอไง? แอบได้เงินมาแล้วไม่แบ่งฉัน จะแอบเอาเงินไปใช้กับใครใช่ไหม? คิดจะทิ้งฉันใช่ไหม? ”
พูดพลางปรี่เข้ามาทั้งหยิกทั้งข่วน ทั้งทุบทั้งตีเป็นพัลวัน เชาว์หมดความอดทน ผลักอีกฝ่ายจนล้มลงไปกอง
“โธ่เว้ย จะโดนลากเข้าคุกอยู่แล้ว ยังจะมาบ้าไม่เป็นเรื่องอีกเหรอ?”
วาทินีที่ล้มลงอยู่ที่พื้น เงยหน้าขึ้นมามองอย่างตกใจ
วิทวัส สโรชา อาภาพร นั่งทานข้าวอยู่ที่โต๊ะภายในร้านอาหาร ก่อนที่ฝ่ายแรกจะออกปากขอบคุณที่ สโรชาอนุญาตให้อาภาพรรับงานเปิดตัวสินค้า สโรชายิ้มอย่างยินดี พลางพยายามสะกิดอาภาพร ที่เอาแต่นั่งหน้าบูดให้คุยกับวิทวัส
“แล้วต้องทำอะไรยังไงบ้างล่ะ? นอกจากเดินถือน้ำกระป๋องกับพวกนางแบบปลายแถวน่ะ”
“งานนี้นอกจากดารานักแสดงที่เราเชิญมาแล้ว ก็จะมีคุณแพร์รี่ลูกสาวของหุ้นส่วน กับนางแบบกิตติมศักดิ์อีก 2-3 คนน่ะครับ”
อาภาพรยี้ปาก “แพร์รี่? ฝรั่งเหรอ? ไม่เอานะ เดี๋ยวมันสูงเด่นเกินน้องภา”
“คุณแพร์รี่เธอก็เป็นคนไทยนี่ล่ะครับ ชื่อไทยเธอชื่อ...”
วิทวัสยังพูดไม่ทันจบ อาภาพรก็พูดแทรกขึ้นมาอีก
“จะชื่ออะไรก็ช่างเหอะ กินข้าวได้ยังคะ น้องภาหิวแล้ว”
สโรชาแอบหยิกลูกสาว แล้วคุยกับวิทวัสต่อ
“ทีนี้คงได้เจอคุณหุ้นส่วนกับลูกสาวซักที คลาดกันไปคลาดกันมาหลายรอบแล้ว”
“งานนี้ได้เจอแน่นอนครับ”
วาทินีลุกขึ้นเดินมาด่าเชาว์อย่างไม่พอใจ
“พี่ ไม่น่าจะปล่อยให้ตำรวจมันสงสัยได้เลย แล้วนี่ถ้าเกิดโดนจับขึ้นมาจะทำยังไง?”
“ก็ฉันถึงได้จะหนีนี่ไง”
วาทินียืนคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันไปถาม
“แล้วนี่นังเมียชราของพี่รู้เรื่องแล้วใช่ไหม?”
เชาว์พยักหน้าแทนคำตอบ
“ไอ้ที่กระซิบกระซาบกันก็เรื่องนี้สินะ งั้นเอาอย่างนี้ พี่ก็ทำแบบที่หัวหน้าพี่มันบอกนั่นแหล่ะ”
เชาว์หน้าเครียด
“แล้วถ้าเกิดไอ้ตำรวจบ้านั่นมันจับฉันล่ะ ฉันไม่โดนปิดปากเหรอไง?”
“ถ้าจับ มันคงจับไปนานแล้ว นี่แสดงว่ามันยังไม่มีหลักฐาน แล้วอีกอย่างถ้าเกิดเรื่องขึ้นมาจริงๆ นังเมียแก่พี่มันต้องหาทางช่วยพี่แน่ ฉันหมายถึงว่าเมียพี่เค้ากลัวจะเสียมาถึงเค้า เค้าคงไม่ปล่อยให้เป็นเรื่องหรอก”
“แต่ไอ้ตำรวจบ้านั่นมันคอยจ้องฉันอยู่นะ”
“เราก็หาทางทำให้มันออกห่างไปสิ เอาให้พ่อรูปหล่อนั่นเข้าบ้านนี้ไม่ได้ก็หมดเรื่อง ไว้เป็นหน้าที่ฉันเอง”
วาทินียิ้มเจ้าเล่ห์ ท่าทางมั่นอกมั่นใจ
เพ็ญพรนอนนอนพลิกไปพลิกมากระสับกระส่ายอยู่บนเตียง ที่สุดแล้วก็ลุกขึ้นนั่งถอนหายใจอย่างกระวนกระวาย ครู่หนึ่งเดือนฉายก็เดินเข้ามา
“นอนไม่หลับใช่ไหมเราน่ะ”
“จะหลับได้ยังไงล่ะคะ พี่พรเข้าไปอยู่แดนมนุษย์กลายพันธ์แบบนั้นอ่ะ”
“ปากคอเราะร้ายจริงนะเรา อย่าไปว่าเค้าเลย ให้เป็นหน้าที่ของเวรกรรมเถอะ”
“ถ้าพวกนั้นไม่ได้มายุ่งกับครอบครัวเรา เพ็ญก็ไม่อยากจะยุ่งหรอกค่ะ”
เดือนฉายถอนหายใจ สีหน้าเครียด
“เราคงทำกรรมไว้กับเค้าในชาติที่แล้วล่ะมั้ง”
“เพ็ญไม่คิดอย่างนั้นหรอกค่ะคุณแม่”
เดือนฉายเอื้อมมือไปจับไหล่ลูกสาวงเป็นเชิงปราม
“ใจเย็นๆ ตั้งสติ อย่าใช้อารมณ์ลูก”
“เพ็ญเย็นไม่ไหวหรอกค่ะ เพ็ญว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้เพ็ญจะไปกับยัยสุดา ถ้าพี่พรขัดขืน เพ็ญจะใช้กำลัง”
เดือนฉายนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก็พูดขึ้น
“แม่ว่าแม่คงต้องเข้าไปจัดการเองแล้ว”
เพ็ญพรมองแม่อย่างฉงน “คุณแม่จะจัดการยังไงคะ?”
“ก็ไม่ยังไง แม่แค่มาทวงลูกของแม่คืนก็เท่านั้น”
“แม่คะ แม่สัญญาได้ไหม? ถ้าเราพาพี่พรออกมาแล้ว แม่ต้องเล่าทุกเรื่องที่เกิดขึ้นให้เราฟังนะคะ”
เดือนฉายยกมือลูบหัวลูกสาวอย่างรักใคร่
“ได้สิลูก มันถึงเวลาแล้วล่ะ ที่ลูกจะต้องรู้เรื่องทั้งหมด เรื่องที่เกิดขึ้นที่บ้านศิลาแดง”
เพ็ญพรโทร.มาหาสุดา วางแผนให้อีกฝ่ายติดรถออกไปบ้านศิลาแดงพร้อมกับตรัย แล้วก็ให้หาจังหวะชวนพรเพ็ญออกมาข้างนอก จากนั้นเธอก็จะสวมรอยเข้าไปเป็นพรเพ็ญเอง
“ส่วนแกก็พาพี่พรไปส่งคอนโดก็เป็นอันเสร็จ แหม ฉันนี่ช่างอัจฉริยะจริงๆ เรื่องนี้ห้ามบอกแม่ฉันนะ เพราะถ้าแม่รู้แม่ไม่ยอมแน่”
สุดารับคำ พลางหาวหวอดๆ ก่อนจะขอตัวเดินเลี่ยงไปนอน
เพ็ญพรสะพายกระเป๋า พลางมองซ้ายมองขวา ก่อนจะเดินย่องๆ ออกมาที่หน้าประตู แต่ก็ไม่สามารถรอดพ้นสายตาของเดือนฉายไปให้ ผู้เป็นแม่รีบดึงตัวลูกสาวเข้ามานั่งคุยทันที
“ไม่ต้องเลย เราคิดจะทำอะไรแม่รู้นะ”
“โธ่ ให้เพ็ญไปเถอะนะคะ เพ็ญนัดยัยดาไว้แล้วด้วย”
“ไม่ต้องมาอ้างโน่นอ้างนี่เลย แม่บอกแล้วให้เป็นหน้าที่แม่เอง”
พูดพลางพยายามดันให้เพ็ญพรกลับเข้าห้องไป
“งั้นก็ให้เพ็ญไปด้วยสิคะ”
“นี่มันเรื่องของผู้ใหญ่ แม่จัดการเอง ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เดี๋ยววันนี้แม่จะให้เราเข้าออฟฟิศตาวัส ส่วนแม่จะกลับไปปรึกษากับคุณตา เราห้ามหนีไปไหนทั้งนั้น”
เดือนฉายพูดด้วยน้ำเสียงเอาจริง จนเพ็ญพรถึงกับจ๋อย
สโรชายืนทำอาหารอยู่ที่หน้าเตาสีหน้าเรียบเฉย พอหันมาเห็นพรเพ็ญเดินเข้ามา ก็อดพูดกระทบไม่ได้
“ฉันเข้ามาดูอาหารของคุณเอก ว่าจะมีใครสาระแนเอาไปทิ้งอีกไหม?”
“ใครเอาของคุณน้าไปทิ้งเหรอคะ?”
สโรชาคิดว่าอีกฝ่ายแกล้งทำไม่รู้เรื่อง ก็ยิ่งโมโห
“นี่แกจะบอกว่าแกไม่รู้เรื่องงั้นเหรอ? นับวันแกก็ยิ่งร้ายขึ้นทุกวันนะ เลือดแม่แกมันออกฤทธิ์แล้วใช่มั้ย?”พรเพ็ญตกตะลึง “คุณน้า”
พอป้าแจ่มเดินเข้ามา สโรชาก็จัดแจงตักอาหารใส่ถ้วยแล้วรีบยกเดินออกไปทันที พรเพ็ญถอนหายใจเฮือก
“ป้าแจ่มจ๊ะ เมื่อวานนี้ที่ป้าบอกพรเรื่องอาหารของคุณน้า ป้าบอกว่าใครเป็นคนทิ้งนะคะ?”
ป้าแจ่มเดินเข้ามาจับมือพรเพ็ญ พลางยกมือแตะหน้าผาก
“ป้าว่าพักนี้คุณหนูคงทำงานหนักไป คุณหนูไปพักเถอะค่ะ เดี๋ยวป้าทำให้เอง คุณหนูน่ะต้องรีบไปหาหมอนะคะ ไอ้โรคความจำอะไรพวกเนี้ย ถ้าปล่อยไว้เดี๋ยวมันไม่หายนะคะ ก็คุณหนูเองนั่นล่ะ ที่เป็นคนสั่งให้เปลี่ยนอาหารของคุณท่าน ของคุณสโรชาคุณหนูก็เอาทิ้งทั้งหมด”
พรเพ็ญตาโต ตกใจ “จริงเหรอคะ?”
“อ้าว ก็ใช่สิคะคุณหนู แม้กระทั่งน้ำผลไม้ที่คุณสโรชาคั้น คุณหนูยังเอาไปเททิ้งเลย”
พรเพ็ญนึกรู้ทันทีว่าเป็นฝีมือเพ็ญพร ก่อนจะพึมพำเบาๆ กับตัวเอง
“ยัยตัวแสบ ทำอย่างนั้นทำไม?”
สโรชาตักอาหารขึ้นมาเป่า พลางยิ้มมุมปาก ค่อยๆ ปรายตามองไปที่เตียง เอกสิทธิ์ในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอน มองมา ริมฝีปากสั่นเผยอเหมือนจะพูดอะไร ท่าทางหวาดกลัว
“หิวเหรอคะคุณ ใจเย็นนะคะ ฉันกำลังจะป้อนนี่ไง”
พูดพลางตักอาหารขึ้นมายื่นไปป้อนให้ เอกสิทธิ์พยายามเม้มปากขัดขืน แต่กลับโดนอีกฝ่ายยัดช้อนกรอกลงไปจนได้
“กินๆ เข้าไปสิคะ อย่าดื้อ คุณคงไม่อยากให้ฉันใช้วิธีแบบเมื่อวานนะคะ อย่านะคะคุณ ฉันไม่อยากรุนแรงแต่เช้า คุณต้องพยายามกินหน่อยนะคะ เพราะถ้าคุณไม่กิน ลูกสาวของคุณจะต้องกินมันแทน”
เอกสิทธิ์ตาเหลือกโพลงด้วยความตกใจ ที่พยายามส่งเสียงอยู่ก็จำใจเงียบเสียงลง
ได้แต่อ้าปากเผยอ รับอาหารที่สโรชาป้อนเข้าไป คำแล้วคำเล่า น้ำตาไหลริน
อ่านต่อตอนที่ 8