บ้านศิลาแดง ตอนที่ 1
นางพยาบาลเข็นเตียงเด็กทารกแรกเกิดเข้ามาในห้อง เดือนฉายที่อยู่บนเตียงคนป่วย ยังคงอยู่ในอาการสะลึมสะลือด้วยฤทธิ์ยาสลบ ค่อยๆ ปรือตามองไปทางเตียงทารก แต่มองไม่เห็น เพราะยังขยับคอมากไม่ได้ เธอเห็นพยาบาลอุ้มทารกส่งให้ผู้ชายคนหนึ่ง ก่อนจะหลับตาลองด้วยความอ่อนเพลีย
20 ปีผ่านไป
เพ็ญพรเข็นรถเข็นสำหรับขนกระเป๋ามาตามทางเดินของสนามบิน เธอสวมเสื้อแจ็คเก็ตทับเสื้อยืด สวมกางเกงยีนส์ขาด ใส่ผ้าใบ สะพายกระเป๋าชาวเขา ลักษณะเซอร์แต่เท่ แตกต่างจากบรรดาผู้โดยสารคนอื่น พลางกำลังชะเง้อ เหมือนมองหาใครสักคนครู่หนึ่งเสียงของเดือนฉายก็ดังขึ้น
“เพ็ญ ลูกเพ็ญ แม่อยู่นี่ลูก”
พูดพลางยิ้มกว้างท่าทางตื่นเต้น พร้อมกับโบกมือให้ เพ็ญพรเองก็ตื่นเต้นไม่แพ้กัน รีบหันหัวรถเข็นพุ่งไปที่มารดาทันที
“นี่แน่ใจนะว่าเพิ่งกลับจากลอนดอน? แต่งตัวยังกะเพิ่งลงจากดอย”
เพ็ญพรยิ้มขำ พลางทิ้งกระเป๋าลงกับพื้น “โหย แม่อ่ะ รักความเป็นไทยสบายๆ ผิดตรงไหน?”
“แหย่เล่น แม่ชอบออก ลูกแม่ไม่เหมือนใคร”
เดือนฉายยิ้มอย่างภูมิใจ ก่อนที่ 2 แม่-ลูกจะกอดกันกลมด้วยความคิดถึง
“ป่านนี้ตาเขาคงเตรียมอาหารไทยรอ ไว้เต็มโต๊ะแล้วล่ะ”
เพ็ญพรชะงักเล็กน้อย ก่อนจะพูดขึ้นมาว่า
“คราวหน้าอย่าเรียกหนูว่าเพ็ญอีกนะคะ”
เดือนฉายหัวเราะขำ “จ้า แม่แพร์รี่”
คล้อยหลังที่ 2 แม่-ลูกเดินพ้นไป สโรชากับอาภาพร ก็เข็นรถขนกระเป๋าตัวเองออกจากประตูสนามบินตามหลังมา “หิวจนจะกินหัวคนได้อยู่แล้ว อาหารบนเครื่องห่วยแตกสุดๆ แม่โทรไปให้นังพร มันเตรียมอาหารไว้เลยนะคะ”
อาภาพรบ่นอย่างหงุดหงิด สโรชารีบบอก
“โทร.ทำไม? ไม่ต้องโทร.ให้เปลืองค่าโทรศัพท์ มันก็รู้อยู่แล้วว่าเราจะกลับมา ลองมันไม่เตรียมอาหารไว้จะได้สนุก”
จากนั้นคนขับรถก็เดินลงมาเปิดประตูให้ 2 แม่-ลูกขึ้นรถ แล้วกุลีกุจอแบกสัมภาระขึ้นตามไป
เดือนฉายเลี้ยวรถเข้ามาจอดเติมน้ำมันในปั๊ม ส่วนเพ็ญพรเดินเลี่ยงเข้ามาซื้อน้ำดื่มในร้านสะดวกซื้อ จู่ๆ ตรัยก็โผล่เอามือมาปิดตาของเธอ พร้อมทำหน้าทะเล้น
“ใครเอ่ย?”
เพ็ญพรตกใจ พลางบิดตัวดิ้นจนหลุด ก่อนจะมองหน้าตรัย ที่ยิ้มให้อย่างอารมณ์ดี
“มาคนเดียวเหรอ? เอ๊ะ! ทำไมวันนี้แต่งตัวแปลกจัง”
เธอมองอีกฝ่ายแบบงงๆ กึ่งๆ ไม่ไว้ใจ พลางพึมพำคนเดียว
“แกสิแปลก”
“โดนแกล้งมาอีกล่ะสิ มาพี่ถือให้ แต่แต่งตัวแบบนี้ก็น่ารักดีนะ พี่ชอบ”
พูดพลางเหลือบเห็นแก้มอีกฝ่ายมีอะไรดำๆ เปื้อนอยู่ เขารีบเอานิ้วเช็ดให้ แต่กลับถูกอีกฝ่ายจับมือแล้ว
บิด ก่อนจะรีบจ้ำออกไปด้านนอก ตรัยรีบเดินตามไปทันที
พอมาถึงรถ เพ็ญพรก็รีบเล่าให้มารดาฟัง อีกฝ่ายรีบเดา
“หรือว่าเขาจะจำคนผิด”
“โอ้โฮ จำคนผิด? ในโลกนี้ คงไม่มีใครสวย น่ารัก อารมณ์ดี เซ็กซี่ ขี้เล่นและแสนซนเหมือนหนูอีกแล้วล่ะ”
เดือนฉายได้ฟังก็ยิ้ม พลางมองลูกอย่างรักใคร่
อาภาพรมองจานเปล่าบนโต๊ะอาหาร ก่อนจะโวยวายเสียงดัง พรเพ็ญรีบเดินยกถาดอาหารเข้ามา สโรชาหันไปด่าซ้ำ
“ฉันต้องบอกแกทุกอย่างเลยเหรอว่าต้องทำอะไรบ้างน่ะ ดูซิลูกภาหิวจนอารมณ์เสียแล้วเห็นมั้ย? แกก็รู้นี่ว่าอย่าทำให้ลูกภาโมโห ถ้าโมโหแล้วมันหยุดไม่ได้ โถๆ ใจเย็นๆ นะลูกนะ”
“หนูบอกคุณแม่แล้วให้โทร. มาก่อน รู้ก็รู้อยู่ฉลาดแค่ไหน เอามาตั้งนี่สิ อยู่นั่นจะตักถึงมั้ย?”
ป้าแจ่มต้องรีบกระวีกระวาดช่วยจัดโต๊ะอาหาร ขณะที่อาภาพรแกล้งจับหม้อไฟเทใส่พรเพ็ญแล้วก็หัวเราะอย่างสะใจ
พรเพ็ญกัดริมฝีปากแน่น ด้วยความโกรธ แต่ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่รีบหันหลังเดินกลับเข้าครัว
ทางด้านเพ็ญพรก็รู้สึกปวดแสบปวดร้อน ตรงบริเวณเดียวกับที่พรเพ็ญถูกน้ำต้มยำลวก จนต้องเอายามาทา เดือนฉายที่เดินเข้ามาในห้อง มองอย่างสงสัย
“ไปโดนอะไรมาลูก?”
“ไม่รู้เหมือนกันค่ะอยู่ดีๆ ก็ปวดแสบปวดร้อนขึ้นมาเฉยๆ”
“ไอ้โรคเป็นอะไรไม่รู้ของหนูนี่ กลับมาอีกแล้วเหรอ?”
เพ็ญพรส่ายหน้ายิ้มๆ “ตอนอยู่เมืองนอกก็ไม่เป็นนะ นึกว่าหายแล้ว”
“รึจะเป็นภูมิแพ้ อาจจะเป็นเกสรดอกไม้อะไรเปล่า?”
เดือนฉายมองลูกอย่างกังวล ตรงข้ามกับเพ็ญพร ที่ดูจะอารมณ์ดี ไม่ยินดียินร้ายอะไร
ป้าแจ่มเอาน้ำแข็งประคบเบาๆ ที่แขนของเพ็ญพร ก่อนจะมองอีกฝ่ายด้วยความสงสาร
“คุณหนูต้องเข้มแข็งไว้นะคะ”
พรเพ็ญพยักหน้ารับ “หนูเอาอาหารไปให้คุณพ่อก่อนนะจ๊ะ”
“นี่ค่ะคุณหนูป้าเตรียมไว้ให้แล้ว ยกไหวใช่ไหมคะ วันนี้มีซุป คุณหนูถือระวังนะคะ”
“คงไม่หกหรอกค่ะป้า ถ้าไม่มีใครมาชน”
ทางด้านเดือนฉายก็ยังพูดแหย่ลูกสาวเรื่องที่ไม่มีลูกเขยกลับมาให้
“ไม่ต้องกลัวลูกสาวขายไม่ออกหรอกค่ะ มันอยู่ที่หนูนี่ ว่าจะเอาไม่เอา ผู้ชายเดี๋ยวนี้น่ากลัวจะตาย โดนทิ้งขึ้นมาล่ะ ต้องมานั่งน้ำตาเช็ดหัวเข่าอีก ชิ ถ้าได้มาไม่ดีสู้อยู่คนเดียวดีกว่า เนอะแม่เนอะ”
เดือนฉายหน้าเสีย จนเพ็ญพรต้องรีบขอโทษ
“ทำไม? คิดว่าแม่เป็นอะไร? ไม่มีอะไรต้องคิดซะหน่อย”
“หนูนึกว่าแม่จะคิดถึง”
“พ่อของลูกน่ะเหรอ? 20 กว่าปีแล้ว แม่ลืมไปหมดแล้วล่ะ ไม่เห็นมีอะไรต้องคิด”
พูดพลางเอื้อมมือไปตบพุงลูกสาว เพ็ญพรหัวเราะเบาๆ
“คิดถึงตาจัง”
“หนูตื่นมาก็คงเจอตาแล้วล่ะ ยังไม่ง่วงล่ะสิ ตาแป๋วเชียว แม่ไปนอนรอในห้องนะ คืนนี้นอนกับแม่ใช่ไหม?
อย่าลืมแปรงฟันล่ะ”
“ค่ะแม่ ปีนี้ยี่สิบกว่าแล้วค่ะ”
เพ็ญพรพูดพลางมองตามหลังเดือนฉายไป
“ 20 กว่าปี พ่อทำอะไรไว้กับแม่นะ? ถึงได้เศร้าได้ยาวนานขนาดนี้”
เอกสิทธิ์ในสภาพอิดโรยนอนอยู่บนเตียง ครู่หนึ่งก็สำลักน้ำออกมา พรเพ็ญตกใจรีบดึงกระดาษมาเช็ดปากให้
“พ่อขอโทษ เป็นภาระหนู”
พรเพ็ญยิ้มเศร้า
“พูดแบบนี้อีกแล้ว ชีวิตนี้หนูก็มีแค่พ่อคนเดียว ดูแลพ่อจะถือว่าเป็นภาระได้ยังไงคะ?”
“หนูไม่ได้มีพ่อคนเดียว”
พรเพ็ญทำหน้าสงสัย พลางส่งยาให้บิดา “ถ้าพ่อจะหมายถึงคุณน้า...”
“อย่าถือคำพูดน้าเขาเลยลูก ปากร้ายไปอย่างนั้นเอง เอาจริงก็ไม่มีอะไรเขาก็รักหนู เหมือนที่รักแม่
อาภาพรกับณัฐพงษ์น่ะแหละ”
พรเพ็ญฝืนยิ้ม ก่อนจะประคองบิดาให้นอนลง
เช้าวันรุ่งขึ้น
เพ็ญพรในชุดลำลองดูสบาย ๆ ย่องลงบันไดมาจากชั้นบน เดือนฉายถือที่กรวดน้ำเข้ามาเห็นพอดี
“ตื่นเร็วจัง แม่นึกว่าเราจะเจอหน้ากันเย็นๆ ซะล่ะ”
เคนที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ที่โต๊ะอาหาร รีบลดหนังสือพิมพ์ลง พลางหันหลังไปหาหลาน
“อ้าว เพ็ญพรหลานตา”
เพ็ญพรรีบเดินเข้าไปกอดอย่างประจบ “คิดถึงตาจังเลย”
“ถ้ารู้ว่าจะตื่นเร็วแบบนี้จะชวนมาใส่บาตรด้วยกัน”
เพ็ญพรส่ายหน้า
“ตื่นที่ไหนล่ะคะ? ยังไม่ได้นอนเลย นอนไม่หลับ คงจะ 2-3 วันกว่าจะปรับเวลาได้”
“พ่ออยากได้ปาท่องโก๋ไหมคะวันนี้ เห็นเจ้ากอล์ฟบอกจะไปตลาดอยู่”
เพ็ญพรตาโตขึ้นมาทันที
“เจ้ากอล์ฟ จริงสิ เจ้ากอล์ฟอยู่ไหนคะตา?”
ฟากกอล์ฟก็พยายามสอยมะม่วงจากต้นอยู่ เพ็ญพรยิ้มกริ่ม ก่อนจะแกล้งเดินไปด้านหลัง พลางดึงขอบยางกางเกงอีกฝ่ายลงมา จนเห็นกางเกงใน
กอล์ฟตกใจ ทิ้งไม่สอย พลางทำท่าตั้งการ์ดจะต่อสู้ ก่อนจะหันมาเห็นเพ็ญพรที่ยืนกอดอกมองหัวเราะชอบใจ
“คุณเพ็ญ คุณเพ็ญเท่านั้น ที่เล่นแบบนี้ มีคนเดียว ผมเป็นหนุ่มแล้วนะ หล่อด้วยคุณเพ็ญจะมาเล่นอย่างนี้ได้ยังไง”
“อ๋อเหรอ ไม่ได้เหรอ อีกทีไหม”
เพ็ญพรหัวเราะ พลางทำท่าจะดึงกางเกงอีก กอล์ฟรีบกระโดดหนี
“อย่านะ คุณเพ็ญโตเป็นสาวเป็นนางแล้วนะ สวยซะด้วย อย่าเล่นงี้สิ ผมมันเป็นโรคแพ้ผู้หญิงสวยอยู่”
จู่ๆ เพ็ญพรก็คว้าหยิบง่ามหนังสติ๊กที่อีกฝ่ายเหน็บพุงอยู่ออกมา ก่อนจะหยิบหินก้อนเล็กๆ ขึ้นมาง้างง่ามหนังสติ๊ก แล้วเล็งไปยังผลมะม่วงอย่างคล่องแคล่ว
หินจากง่ามหนังสติ๊กพุ่งไปชนลูกมะม่วงหล่นมาทันทีราวกับจับวาง จากนั้นทั้งคู่ก็มาว่ายน้ำเล่นกันในคลองอย่างสนุกสนาน ก่อนที่เพ็ญพรจะขี่จักรยานโดยมีกอล์ฟนั่งซ้อนท้ายไปตลาด
แม่ค้าขาปาท่องโก๋ที่ตลาดทักทายกอล์ฟอย่างสนิทสนม ก่อนจะเอ่ยปากฝากให้ช่วยดูร้าน
“ไอ้คุณกอล์ฟรีบไปรึเปล่า ฝากแผงไว้เดี๋ยวสิ ปวดท้องอั้นมาแต่เช้าแล้ว”
กอล์ฟพยักหน้ารับ พอแม่ค้าเดินไป เพ็ญพรก็มองแป้งที่แม่ค้านวดทิ้งไว้
“นี่ ฉันขอลองทำได้ไหมอ่ะ ไหน ๆ ก็เฝ้าให้เขา จำได้ว่าเมื่อก่อนแม่เคยสอน ขอฟื้นวิชาหน่อยสิเขาจะด่าไหม”
“ไม่ด่าหรอก เอาเลยคุณเพ็ญตามสบาย เดี๋ยวผมมานะ ขอแวะไปทักแฟนคลับนิดนึง คุณเพ็ญก็นวดแป้งเล่นรอไปก่อนละกัน ยายป้าไม่ได้ไปห้องน้ำหรอก คงไปเปียเเชร์ อีกพักนึงล่ะ”
พูดจบก็รีบเดินตรงที่แผงขายดอกไม้ เพ็ญพรมองแป้งบนแผงอย่างนึกสนุก
พรเพ็ญถือซองยากำลังจะเดินออกจากห้องนอนของเอกสิทธิ์ สโรชาที่ผลักประตูเข้ามาพอดีตวัดสายตามอง ก่อนจะรีบคว้าซองยามาถือไว้เอง
“เธอจะเอายาพวกนี้ไปไหน?”
“หนูเห็นยาจะหมดแล้ว พอดีต้องออกไปซื้อของเลยว่าจะไปเอายาเพิ่มจากโรงพยาบาลมาให้คุณพ่อค่ะ”
“ไม่ต้อง”
“มีอะไรกัน?”
เอกสิทธิ์รู้สึกตัวรีบหันมาถาม สโรชาจ้ำเข้าไปข้างเตียง
“ไม่มีอะไรค่ะคุณ แค่เรื่องยา อาการคุณก็ปกติดีคงไม่ต้องไปตรวจเอง เดี๋ยวฉันจะให้คนไปรับยาเพิ่มให้”
พูดพลางรีบบอกให้พรเพ็ญออกไปนอกห้อง ก่อนจะหันมาทำหน้าเครียดใส่เอกสิทธิ์
“ฉันอยากคุยกับคุณเรื่องเงินเดือนนี้หน่อย คุณอยู่แต่ในห้องคงไม่รู้ว่าของกินของใช้ข้างนอกมันแพงขึ้น”
พรเพ็ญที่ยังเดินไม่ทันพ้นห้อง แอบถอนหายใจ
ขณะที่เพ็ญพรกำลังปั้นปาท่องโก๋อย่างสนุกสนาน ก็ได้ยินเสียงเอ็ดตะโรดังมาแต่ไกล
เธอรีบชะเง้อมองไป ก่อนจะเห็นคนกระชากสร้อยกำลังวิ่งตรงมา เธอรีบยื่นเท้าไปสกัด จนโจรเซล้มหน้าทิ่ม ก่อนจะเข้าไปบิดข้อมือซ้ำ จน สร้อยที่มันกระตุกมาหล่นใส่มือเธอ มันเข้ามาจะแย่งคืน แต่ฝีมือสู้เพ็ญพรไม่ได้ สุดท้ายมันถึงกับเป๋ ก่อนจะถูกเธอกระทืบเข่าส่งท้าย มันถึงกับต้องคลานหนีอย่างหมดสภาพ
เจ้าของสร้อยรีบเข้ามาพูดขอบคุณ ก่อนจะเดินผละไป พร้อมๆ กับมีมือหนึ่งเอามาสะกิดด้านหลังเพ็ญพร ลักษณะคล้ายๆ กับจะกระชากสร้อย เธอรีบหันไป ก่อนจะเห็นเป็นชายหนุ่มหน้าตาดี
“อ๋อ มาด้วยกันเหรอ ทำงานเป็นทีมเหรอ แก๊งใช่มั้ย?”
วิทวัสรีบส่ายหน้าปฏิเสธ
“เดี๋ยวๆ ผมขอซื้อปาท่องโก๋ 20 ตัว ซาลาเปา 10 ชิ้นแล้วก็สังขยา 2 กระปุกครับ”
พูดพลางยื่นกระปุกสังขยา 2 กระปุกให้ เพ็ญพรรีบพูดขอโทษ
วิทวัสพยายามกลั้นหัวเราะ ที่เห็นอีกฝ่ายหน้าขาวจั๊วะ เพราะแป้งปาท่องโก๋
“แต่งหน้าจัดนะครับ”
“ฉันเนี่ยนะ แต่งหน้าจัด เดี๊ยะปั๊ด”
“เห็นแล้ว รู้แล้วว่าเก่ง แต่ช่วยใส่ถุงให้ทีได้ไหมครับ ปาท่องโก๋กับซาลาเปานี่แยกเป็น 2 ชุด ชุดละ 10 กับ 5 นะครับ”
เพ็ญพรยังคงยืนทำหน้างง
“ทำไมต้องแยกด้วยล่ะ ยุ่งยากจริง”
“ผมจะเอาไป 2 บ้าน เอางี้นะครับพี่ ผมจะรีบไป พี่พอจะขายให้ผมได้ไหมครับ ถ้าไม่ได้ผมจะได้
ไม่เอา มีเจ้าอื่นไหมเนี่ยเจอคนขายประสาทซะล่ะ”
เพ็ญพรตวัดตามองอย่างไม่พอใจ
“อะไรนะ พูดอะไรน่ะ ได้ยินนะฉันไม่ได้หูตึง นายว่าใครประสาท”
วิทวัสยกมือเกาหัว ก่อนจะเดินออกไป โดยไม่ซื้อ เพ็ญพรมองตามอย่างนึกเคือง
พรเพ็ญล้างจานอย่างซึมๆ สโรชาที่ยืนรินน้ำดื่มอยู่ที่ตู้เย็น แอบชำเลืองมองว่าเธอสงสัยอะไรเรื่องยามั้ย? ครู่หนึ่งป้าแจ่มก็เดินเข้ามา พลางรีบบอกกับพรเพ็ญว่าตรัยมาหา
เพ็ญพรเอาถุงปาท่องโก๋ กับสังขยาวางลงตรงหน้าวิทวัสที่กำลังนั่งกินกาแฟอยู่ แต่ฝ่ายหลังรีบบอกว่าไม่เอาแล้ว พลางรีบเดินไปจ่ายเงินค่ากาแฟอย่างหงุดหงิด เธอรีบเดินมาดักหน้า พลางโวยวายใส่
“เดี๋ยว ยังไปไม่ได้ เมื่อกี๊นายว่าใครประสาท”
วิทวัสส่ายหัว
“ใช่ผมว่าคุณประสาท แต่ตอนนี้ผมว่าคุณบ้าด้วย ทั้งบ้า ทั้งประสาท”
พลางมองรอบๆ อย่างรู้สึกอาย เพราะคนเริ่มมามุง รีบขยับตัวจะเดินผละออกไป แต่อีกฝ่ายเดินตามไปดึงเสื้อไว้อีก จังหวะเดียวกับที่กอล์ฟเดินกลับมาพอดี
“มีไรครับคุณเพ็ญ”
“ไอ้นี่มันหาเรื่อง”
กอล์ฟมองเห็นแต่ด้านหลังของวิทวัส
“หาเรื่องยังไงที่ผมเห็นนี่คุณเพ็ญจะดึงเสื้อเขาอยู่ แล้วนี่หน้าคุณเพ็ญ ฮ่าๆ รู้ตัวไหมเนี่ย?”
เพ็ญพรชะงักควักโทรศัพท์มือถือยกขึ้นมาส่องหน้าตัวเองดู พอเห็นหน้าตัวเองเปรอะแป้งขาวเป็นแถบก็ตกใจ
“ตายแล้ว ไอ้กอล์ฟ กลับ”
พูดพลางรีบวิ่งจู๊ดออกไป กอล์ฟรีบวิ่งตาม วิทวัสมองตามอย่างงงๆ
ป้าแจ่มยกน้ำมาเสิร์ฟให้ตรัย ก่อนทำท่าจะขยับออกไป อีกฝ่ายรีบถามขึ้นมาทันที
“น้องเป็นไงมั่งป้า”
ป้าแจ่มมองซ้ายมองขวาเหมือนกลัวใครจะได้ยิน “ก็เอ่อ อยู่ไปวันๆ น่ะค่ะ”
“วันก่อน ผมเจอที่ปั๊มน้ำมัน น้องพรดูแปลกๆ แถมยังทำท่าไม่อยากคุยกับผม”
“แปลก? ยังไงคะ? เธออาจจะกลัวคุณอาภาพรเห็นน่ะสิ นางจองคุณอยู่”
ตรัยคิดตาม แล้วก็พยักหน้า พร้อมกับที่พรเพ็ญเดินเข้ามาพอดี
“น้องพร คือเรื่องที่ปั๊มน้ำมัน...”
พรเพ็ญขมวดคิ้วงงๆ ตรัยกำลังจะอ้าปากพูดต่อ แต่เสียงแปร๋นๆ ของอาภาพรดังมาขัดจังหวะ
“พี่ตรัย”
ตรัยมองมองพรเพ็ญ สลับกับอาภาพร ที่เดินพุ่งเข้ามา
“พี่ตรัย มาแต่เช้าเลยไม่เห็นบอกกันก่อน”
“ไม่เช้าแล้วมั้งครับ น้องภาเพิ่งตื่นเหรอครับ”
อาภาพรรีบแก้ตัวว่าไม่ได้เพิ่งตื่น แต่ตื่นลงมาใส่บาตรตั้งแต่เช้าแล้ว พลางรีบพูดกันท่าพรเพ็ญ
“น้องพรขา ไหนว่าต้องไปซื้อของไงคะ รีบไปสิคะ เดี๋ยวกลับมาป้อนข้าวเที่ยงคุณพ่อไม่ทันหรอก”
พรเพ็ญหันไปยิ้มน้อย ๆ ให้ตรัยแล้วสาวเท้าไปหน้าประตู อีกฝ่ายทำท่าจะเดินตาม แต่อาภาพรพุ่งมาเกี่ยวแขนไว้
“พี่ตรัยคะ คุณแม่มีเรื่องอยากจะปรึกษาค่ะ มาทางนี้ดีกว่าค่ะพี่ตรัย”
เพ็ญพรขี่จักรยานมีกอล์ฟซ้อนท้ายมาถึงหน้าบ้าน ก่อนจะสะดุดตารถเก๋งคันใหญ่จอดเทียบอยู่
“ของใครน่ะ บ้านเรามีรถสวยขนาดนี้เลยเหรอ?”
กอล์ฟรีบบอก “ฮึ ไม่ใช่อ่ะ รถสวยแต่คนขับขี้เหร่ ของลูกชายไร่ข้าง ๆ น่ะครับ”
เพ็ญพรพยักหน้ารับ แล้วรีบเดินนำเข้าบ้านไป
เดือนฉายนั่งคุยกับวิทวัสที่หันหลังอยู่ พลางมองเลยมาเห็นเพ็ญพรยืนอยู่ที่ประตู
“หน้าไปทำอะไรมาลูก เจ้ากอล์ฟพาไปตลาดไหนมาเนี่ย กลับเอาป่านนี้ มานี่เลยมารู้จักกันไว้”
วิทวัสหันหลังมองตาม เพ็ญพรเห็นก็ชี้หน้าใส่ทันที
“นายมาได้ไงเนี่ย? จะตามมาด่าฉันต่อหรือไง? ไม่เลิกไม่ลาใช่มั้ย?”
เดือนฉายมองทั้งคู่สลับกันแบบงงๆ “อะไรกันลูก ใจเย็น ๆ”
วิทวัสเขม้นตามอง ก่อนจะนึกออก
“อ้อ นี่คือลูกสาวคุณป้าที่เคยเล่าให้ฟังว่าไปเรียนเมืองนอกใช่มั้ยครับ? กลับมากี่วันแล้วครับเนี่ย แล้วเมื่อเช้าขายได้เยอะไหม?”
เดือนฉายทำหน้างง “ขายอะไร? ยัยเพ็ญไปขายอะไร เมื่อไหร่คะ?”
เพ็ญพรรีบฟ้องว่าโดยวิทวัสด่ามา แต่อีกฝ่ายโต้กลับ เดือนฉายยิ่งฟังยิ่งงง
“ลูกสาวคุณน้าอยู่เมืองนอกมามีอะไรกระทบกระเทือน เอ่อ จิตใจมาหรือเปล่าครับเนี่ย?”
เพ็ญพรสวนกลับทันที “อะไร กระทบกระเทือนอะไรจะบอกว่าฉันติงต๊องเหรอ?”
“ผมไม่ได้พูดอะไรนะ เออ แต่คนปกติก็ไม่น่าจะโวยวายขนาดนี้”
เพ็ญพรโมโห หันไปหยิบหนังสือเล่มโตที่วางอยู่มาปาใส่ทันที แต่วิทวัสเบี่ยงตัวหลบทัน กลายเป็นกอล์ฟที่เดินเข้ามาด้านหลัง โดนสันหนังสือเข้าไปเต็ม ๆ จนเห็นดาว
“ถ้าแม่รู้ว่าการที่ให้หนูไปอยู่ห่างแม่นาน ๆ จะทำให้หนูอารมณ์รุนแรงขึ้นขนาดนี้แม่จะจับผูกติดกับตัวไม่ให้ไปไหนเลย”
เดือนฉายพูดพลางส่ายหน้าให้เพ็ญพร ขณะที่ฝ่ายหลังกำลังประคบเจลเย็นให้กอล์ฟที่หน้าผาก วิทวัสมองขำๆ
“อ้าว เหรอครับ? ผมนึกว่าเป็นตั้งแต่เด็กแล้วซะอีก”
เพ็ญพรมองค้อนอย่างไม่ถูกชะตา ก่อนที่วิทวัสจะรีบขอตัวลา
“ผมลาดีกว่าครับคุณน้า ฝากสวัสดีคุณตาด้วย เรื่องเอกสารมารอบหน้าผมจะเอาติดตัวมาด้วย”
เดือนฉายรีบลุกตาม พลางพูดขอโทษ
“น้าต้องขอโทษด้วยที่... “ พูดพลางชำเลืองไปที่เพ็ญพร “ไป เดี๋ยวน้าไปส่งหน้าบ้าน”
จากนั้นก็เดินนำวิทวัสออกไป เพ็ญพรมองตาม ก่อนจะหันมาถามกอล์ฟ
“ตกลงนายคนนี้เป็นใครกันแน่เนี่ย มีเอกสารอะไรกับแม่ด้วย”
“ก็แค่ธุรกิจร่วมกันเล็ก ๆ น้อย ๆ น่ะครับ อู๊ย เจ็บ”
เพ็ญพรส่ายหน้าเซ็ง
“ธุรกิจ? นี่แม่ไปทำธุรกิจอะไรกับอีกตานั่น โอ๊ย นี่แปลว่าฉันกับนายนั่นยังต้องอยู่ร่วมโลกกันอย่างนี้ไปเรื่อยๆ งั้นเหรอ?”
พรเพ็ญถือของพะรุงพะรังกลับเข้าบ้าน ลุงเติมวิ่งไปช่วยรับของ พร้อมๆ กับที่เชาว์เดินเข้ามาบ้านมาพอดี
“อ้าว เจ้าของบ้านอยู่พอดี สบายดีเหรอครับคุณลูกพร”
พรเพ็ญยกมือไหว้เชาว์ พลางหันไปทางลุงเติม
“ลุงจ๋า เดี๋ยวเก็บของแล้วไปเรียนคุณน้าให้ทีนะว่า...”
เชาว์รีบพูดแทรก “สามีเก่ามาหาจ้ะ”
พรเพ็ญรีบขอตัว พลางจะเดินเลี่ยงไป เชาว์รีบสาวเท้าตาม พลางทำท่าจะคว้าข้อมือ แต่ลุงเติมที่เหลือบเห็นรีบส่งเสียงกระแอมเตือน
เชาว์รีบถูมือแก้เก้อ “นาน ๆ เจอกันที แหมเป็นสาวแล้วสวยจัง ขาวด้วย ลุงน่ะไปได้แล้ว”
ลุงเติมจำใจต้องเดินไป เชาว์มองพรเพ็ญอย่างสำรวจตั้งแต่หน้าไล่ลงไป
“ส่วนคุณลูกน่ะ อยู่คุยเป็นเพื่อนก่อนนะจ๊ะ”
พรเพ็ญอึกอัก พอสโรชาโผล่มา เธอจึงฉวยโอกาสรีบเดินเลี่ยงไป
“มีอะไรอีกล่ะรอบนี้?”
เชาว์เดินเข้าไปโอบเอวอย่างสอพลอ พลางก้มกระซิบทำจมูกฟุดฟิด
“จะมีอะไร คิดถึงน่ะสิ อยู่บ้านใหญ่ ๆ นี่ต้องหอมแบบนี้ทุกวันเลยเหรอ?”
สโรชามองซ้ายขวา ก่อนจะผละออกมา “อย่ามารุ่มร่ามแถวนี้นะ”
“แถวนี้ไม่ได้ ก็ที่อื่นสิ”
สโรชานิ่งมอง ก่อนจะเดินนำหน้าออกไป เชาว์ยิ้มกรุ้มกริ่มแล้วก้าวตามไปติด ๆ
“มีอะไรก็ว่ามา วันนี้คนอยู่เยอะ”
เชาว์หัวเราะในคอ “ฉันไม่เข้าใจเลยว่าป่านนี้แล้วเธอยังไม่ลงมือทำอะไรอีก”
“จะผลีผลามได้ยังไง ไก่ตื่นไปเรื่องจะเสีย ไอ้ที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับผีเฝ้าเตียงล่ะ ครึ่งคนครึ่งผี” เชาว์คว้าเอวอีกฝ่ายมาโอบ
“แล้วเธอจะทนอยู่อย่างนี้ ห่างจากฉันได้นานแค่ไหน?”
“เธอล่ะ ทนไม่ได้เหรอ?”
เชาว์เอียงหน้าไปกระซิบข้างหู “เกือบจะไม่ได้ละ”
ทันใดนั้นเสียงโต๊ะข้างประตูก็เลื่อนเสียงดัง ทั้งคู่สะดุ้งตกใจ ก่อนจะหันไปเห็นเอกสิทธิ์ยืนหน้าซีดมือหนึ่งจับโต๊ะยันตัวเองไว้
“นี่หมายความยังไงกัน เธอสองคน”
สโรชาหน้าเสีย แต่รีบเก็บอาการ
“ไม่มีอะไรนี่คะ”
“แต่ที่ฉันเห็นและก็ได้ยินมันไม่ใช่”
สโรชารีบกลบเกลื่อนด้วยการเดินไปประคองเอกสิทธิ์
“ใครปล่อยให้คุณเดินออกมาแบบนี้คะเนี่ย ยัยหนูนี่จริง ๆ เลยสงสัยจะยังจัดอาหารไม่เสร็จ ใครอยู่ข้างนอกบ้างเนี่ย?”
แต่เอกสิทธิ์กลับสะบัดตัวออก จนอีกฝ่ายถึงกับเซ
“เธอกำลังหลอกฉัน เธอสองคน”
สโรชารีบแก้ตัวว่าไม่มีอะไรกัน แค่ปรึกษากันเรื่องลูกเท่านั้น
“อย่าคิดมากสิคะ กลับไปที่ห้องดีกว่า มาค่ะฉันช่วย”
“ไม่จริง เมื่อกี๊เธอพูดถึงฉัน”
เชาว์หงุดหงิดขึ้นมาทันที “แล้วถ้าไม่จริง มันจะทำไมเหรอ สภาพแกตอนนี้จะทำอะไรพวกฉันได้”
สโรชาตกใจ รีบหันไปไล่ให้เชาว์กลับไป แต่อีกฝ่ายไม่ยอมกลับ
“ฉันยังไม่ได้พูดสิ่งที่ฉันต้องการเลย”
“ฉันว่าแล้วต้องมีอะไร ที่แท้ก็จะมาเอาเงิน นังนั่นมันไม่พอใช้ใช่ไหม?”
พูดพลางตรงเข้าผลักอกเชาว์ แต่อีกฝ่ายผลักกลับ
“เธอน่ะมันโง่ ไอ้แก่นี่สภาพมันครึ่งผีครึ่งคนอย่างนี้ เป็นฉันนะฉันกวาดมาได้หมดแล้ว”
“ถึงฉันมีเงินฉันก็ไม่เอาให้แกไปเลี้ยงนังนั่นหรอก”
เอกสิทธิ์ตกใจ “นี่มันอะไรกัน?”
เชาว์ยิ้มเหี้ยม “ไม่มีอะไรมาก ก็แค่แกมันไอ้แก่หน้าโง่ให้นังแม่ม่ายนี่มันหลอกดูดเงินมาเลี้ยงฉันไง”
สโรชารีบตะโกนห้าม ขณะที่เอกสิทธิ์เริ่มหายใจถี่ พลางเอามือกุมหัวใจ ก่อนจะออกปากไล่ทั้งคู่ออกจากบ้าน พร้อมกับลูกๆ
“ไปก็ได้วะ ไปเคลียร์กันให้ดีแล้วกัน ก็บอกแล้วไม่มีอะไร แค่ผัวเก่าน่ะคุณอย่าคิดมาก เราก็แค่ใช้ผู้หญิงแก่ ๆ ร่วมกันแค่นั้น”
เชาว์พูดพลางจงใจเดินสวนไปข้างๆ ก่อนจะแกล้งชนเอกสิทธิ์อย่างแรง จนอีกฝ่ายล้มลง
อ่านต่อหน้า 2
บ้านศิลาแดง ตอนที่ 1 (ต่อ)
สโรชาหน้าถอดสี รีบไล่ให้เชาว์ออกไปก่อน ก่อนจะคุกเข่าข้างร่างเอกสิทธิ์ แล้วแกล้งร้องไห้เสียงดัง
“คุณคะ คุณ ใครอยู่แถวนี้ ช่วยด้วยคุณเอกสิทธิ์ คุณเป็นอะไรน่ะ คุณอย่าเป็นอะไรนะ โธ่ ใครก็ได้เข้ามาช่วยที”
เอกสิทธิ์นอนไม่รู้สึกตัวบนเตียงนอนในโรงพยาบาล ขณะที่พรเพ็ญนั่งหน้าเศร้า กุมมือพ่ออยู่ข้างเตียง
ครู่หนึ่งตรัยก็หน้าตาตื่นเข้ามา
“คุณลุงเป็นยังไงบ้างครับ”
พรเพ็ญส่ายหน้า “ยังไม่รู้สึกตัวเลยค่ะ คุณน้ากำลังคุยกับคุณหมออยู่เดี๋ยวกลับมาคงรู้”
ขาดคำสโรชาเดินหน้าบอกบุญไม่รับเข้ามา
“คุณหมอว่าไงคะคุณน้า”
“ก็ช็อก อยากรู้ทำไมไม่เข้าไปคุยเองล่ะ?”
ตรัยสวนกลับแบบนิ่งๆ “หรือคุณน้าจะให้ผมไปถามคุณหมอเองตอนนี้”
สโรชาหน้าเสีย รีบเปลี่ยนน้ำเสียงทันที
“ไม่มีอะไรมากหรอกจ้ะ แค่ช็อก ความดันขึ้นก็ล้ม หมอจะให้นอนที่นี่ดูอาการสักพัก ตื่นมาก็ไม่รู้จะปกติไหม น้าล่ะกลุ้ม กลับไปพักที่บ้านก็คงต้องนอนเฉย ๆ ทำอะไรมากไม่ได้ จะอัมพาตหรือเปล่าก็ไม่รู้”
พรเพ็ญน้ำตาไหลอาบแก้ม ตรัยมองอย่างเห็นใจ
วิทวัสขับรถมาตามทาง พลางมองออกไปนอกรถ เห็นพรเพ็ญกำลังเดินเลี้ยวเข้าประตูวัด
“รู้จักเข้าวัดเข้าวากะเขาด้วยเหรอ?”
พรเพ็ญก้มกราบพระอยู่ภายในโบสถ์ ก่อนจะอธิษฐานในใจ ขอให้พระคุ้มครองเอกสิทธิ์
อีกด้านหนึ่งวิทวัสแล่นรถเข้ามาจอด ก่อนจะเดินด้อมๆ มองๆ ตรงมายังโบสถ์ เห็นพรเพ็ญนั่งไหว้พระ อยู่ตามลำพัง เขารีบลงมานั่งข้างๆ
“โห มาไหว้พระไกลจังเลยนะ ไม่คิดเลยนะจะเข้าวัดเข้าวาเป็นกะเค้าด้วย”
พรเพ็ญมองไปรอบๆ ว่าเขาคุยกับใคร ก่อนจะเห็นที่หูเหน็บบลูทูธเหน็บอยู่
“พูดโทรศัพท์อยู่ หรือว่าคุยกะดิฉันคะ?”
“คุยกะคุณอ่ะดิ ถามแปลกๆ ติงต๊องอีกแระ”
พรเพ็ญรีบเดินหนี วิทวัสเดินตาม
“ไม่ต้องเขินหรอก ไหว้พระ น่าอายตรงไหน?? ว่าแต่ไม่เห็นบอกกันมั่งว่าจะมากรุงเทพ?”
พรเพ็ญรีบเร่งฝีเท้าหนี
“ตามควายเหรอคุณ?”
พูดพลางคว้ามืออีกฝ่ายให้หยุดเดิน พรเพ็ญรีบดึงมือกลับ
“คุยกันก่อนดิ”
“คุยอะไรคะ?”
วิทวัสยิ้ม หน้าทะเล้น
“เรียบร้อยจังเลยอ่ะ ถ้าทำตัวแบบนี้ ผมอาจจะชอบคุณก็ได้นะ”
พรเพ็ญเริ่มกลัว “ฉันว่าคุณจำคนผิดค่ะ ขอตัวก่อนนะคะ”
พูดพลางรีบเดินออกจากโบสถ์ไป วิทวัสมองตามแบบงงๆ ก่อนจะเดินตามไป แต่กลับหาเธอไม่เจอแล้ว
“ยายนี่ ติงต๊องแน่ๆ แต่วันนี้ น่ารักดีว่ะ”
ขณะที่พรเพ็ญนั่งหลบอยู่อีกมุม มองดูจนวิทวัสเดินลับตาไป ก่อนจะลุกขึ้น
“ทำไม ต้องมาเจอคนอะไรแบบนี้ด้วยนะ น่ากลัวมากเลย”
สโรชากำลังง่วนกับการรื้อค้นเอกสารอยู่ในห้องเอกสิทธิ์ แต่ยังไงก็หาไม่เจอ จนเริ่มหงุดหงิด ครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงบิดลูกบิดประตู เธอถึงกับสะดุ้งตกใจ
“ใครน่ะ ฉันถามว่าใคร”
อาภาพรรีบตอบกลับมา “หนูเองค่ะแม่”
สโรชาถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะเปิดประตูให้
“มีอะไรรึเปล่า? แม่กำลังรีบ”
“นี่คุณแม่หาอะไรอยู่คะเนี่ย?”
สโรชารีบจุ๊ปาก “ชู่ว์ พูดเบาๆ แม่กำลังหาก๊อปปี้พินัยกรรมอยู่”
อาภาพรทำตาโต ตกใจ
“พินัยกรรม? คุณลุงตายแล้วเหรอคะ? บ้านหลังนี้ก็กำลังจะเป็นของคุณแม่สิคะ เยี่ยมไปเลย หนูว่าแล้วบ้านเงียบ ๆ แล้วคุณลุงตายตั้งแต่เมื่อไหร่คะทำไมหนูไม่รู้เรื่อง”
สโรชาถอนหายใจอย่างเซ็งๆ
“ไม่รู้ก็เพราะยังไม่ตายน่ะสิ ยังไม่ตายตอนนี้แต่ก็คงไม่นาน แม่ถึงต้องมาหาก่อนนี่ไง อยากเห็นชัดๆ อีกทีว่าในนั้นระบุว่าบ้านหลังนี้จะเป็นของแม่ แล้วไหนจะสมบัติอื่นๆ อีก”
“แต่ตอนเขียนพินัยกรรมคุณแม่ก็อยู่นี่คะ”
สโรชาพยักหน้า
“อยู่น่ะอยู่ แต่เพื่อความชัวร์ เราควรจะเห็นด้วยตาเผื่อมีอะไรไม่เป็นอย่างคิดจะได้แก้ทัน ยิ่งตอนนี้นังนั่นมันมีผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ถือหางอยู่ด้วย”
“คุณแม่หมายถึงนังพรกับผู้พิทักษ์พี่ตรัยเหรอคะ?”
“ใช่ นี่ก็ตามไปเฝ้ากันอยู่ที่โรงพยาบาลเนี่ย”
อาภาพรหูผึ่งขึ้นมาทันที ก่อนจะรีบผลุนผลันออกจากห้องไป พลางรีบหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดโทร. ออก
“ฮัลโหล พี่ณัฐทำอะไรอยู่ที่ไหนเนี่ย ออกมาเจอภาเดี๋ยวนี้เลยนะ มีเรื่องให้ช่วยไปป่วนหน่อย”
กอล์ฟเดินเข้ามามองโต๊ะอาหารแล้วทำตาโต
“โห อาหารวันนี้ดูตระการตาที่สุดใน 3 โลกบ้านสวนเลย”
เคนยิ้มอย่างภูมิใจ “ไม่ได้สิ หลานรักของฉันกลับมาบ้านทั้งที”
ขาดคำเดือนฉาย ก็เดินยกออกมาวางอีกชาม
“แต่ชามนี้ของโปรด” พูดพลางเหลือบมองเพ็ญพรยิ้ม ๆ “คุณแพร์รี่เขา แม่ทำให้เองสุดฝีมือเลยนะ”
เพ็ญพรก้มลงไปดมแล้วทำท่าสูดกลิ่นเข้าเต็มปอด
“แกงเลียงสูตรคุณนายเดือนฉาย กลิ่นดั้งเดิ๊ม ดั้งเดิมนะคะ”
กอล์ฟทำหน้าสงสัย “ว่าแต่ใครกันครับคุณแพร์รี่เนี่ย?”
เพ็ญพรรีบบอก
“แหม ชื่อสวย ๆ แบบนี้ก็ต้องเหมาะกับคนสวย ๆ สิ อยู่เมืองนอกก็ต้องให้ฝรั่งเขาเรียกง่าย ๆ เพราะไหม ไหนลองพูดซิแพร์-รี่”
กอล์ฟเบะปากแล้วตรงไปนั่งที่โต๊ะ
“เอาเหอะ ไว้ลองเรียกให้หลังอาหารละกัน หิวล่ะ”
ทางด้านเชาว์แต่งตัว เตรียมจะออกไปนอกบ้าน วาทินีเมียเด็ก ก็เข้ามานัวเนีย พลางออดอ้อนขอเงิน แต่อีกฝ่ายกลับอ้างว่าไม่ได้เงินมา เพราะเอกสิทธิ์โผล่มาขัดจังหวะ
“อ้าว แล้วจะเอาเงินที่ไหนไปจ่ายค่าบอลที่พี่ติดเขาล่ะ แล้วก็โดนจับได้ดิ”
“จับไม่ได้ ไม่มีใครจับอะไรได้ แล้วก็เลิกถามซะทีได้ไหม ยิ่งคิดอะไรไม่ออกอยู่”
เชาว์ลุกขึ้นอย่างหัวเสีย ก่อนจะผลุนผลันออกจากห้องไป พร้อมกับกระแทกประตูปิดอย่างแรง
วาทินีมองตาม พลางพึมพำกับตัวเอง
“ได้เมียทั้งเด็ก ทั้งสวยยังไม่พอใจอีก ผู้ชายแก่พวกนี้ เชอะ”
เพ็ญพรนั่งกินข้าวอย่างอารมณ์ดี แต่แล้วจู่ๆ ก็น้ำตารื้น รู้สึกเหมือนอยากจะร้องไห้ขึ้นมา เดือนฉายมองอย่างสงสัย ก่อนจะรีบวางช้อมส้อม พลางเดินเอามือไปแตะหน้าผากอย่างเป็นห่วง
“ตัวก็ไม่ร้อน ไหนแม่ดูหน้าซิ ทำไมทำหน้าเศร้าขนาดนี้”
เพ็ญพรกอดเดือนฉายแน่น
“มันเศร้าขึ้นมาบอกไม่ถูกค่ะแม่ หนูก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน มันจุกๆ ช่วงหลังๆ มานี่เป็นบ่อย แบบจู่ ๆ ก็เศร้าขึ้นมาไม่มีเหตุผล แต่ขอหนูกอดแม่แบบนี้อีกแป๊บนะคะ”
เดือนฉายพยักหน้า พลางสบตากันกับเคน แววตาเป็นกังวล
ทางด้านพรเพ็ญก็นั่งน้ำตาไหลด้วยความเป็นห่วงเอกสิทธิ์ ที่ยังนอนไม่รู้สึกตัวอยู่ในห้องคนป่วย ครู่หนึ่งอาภาพรก็โผล่หน้าเข้ามา
“พี่ตรัย น้องภาว่าแล้วว่าพี่ตรัยต้องยังอยู่”
ณัฐพงษ์ที่เดินตามหลังเข้ามา มองตรัยแบบหยันๆ
“งานตัวเองไม่มีทำเหรอครับ ถึงต้องมาเฝ้าหญิง”
“เค้าไม่ได้เฝ้าหญิงหรอกค่ะ แต่เค้าต้องมานั่งเป็นภาระเฝ้าคนป่วยที่นี่ต่างหาก”
พรเพ็ญสะกิดหูกับคำว่าภาระ ก่อนจะเงยหน้ามองอาภาพร
“คุณภาพูดว่าคุณพ่อเป็นภาระได้ยังไงคะ? ถ้าคุณพ่อได้ยินเข้า....”
อาภาพรยักไหล่
“ทำไม? พูดอย่างกับว่าคุณลุงจะฟื้นงั้นน่ะ”
ณัฐพงษ์รีบเดินไปดูเอกสิทธิ์ที่ข้างเตียง “ ดูท่าไม่ค่อยดีเลยนะ หมอว่าไงเนี่ย?”
“ผมจะรอคุยกับคุณหมอเองพรุ่งนี้เช้าครับ ตอนนี้ดูอาการอยู่”
ณัฐพงษ์ทำหน้ากวน
“พรุ่งนี้เช้า นี่แปลว่าคืนนี้จะอยู่เฝ้าที่นี่กันสองต่อสอง?”
อาภาพรโวยวายไม่ยอม ขณะที่ณัฐพงศ์อาสาจะอยู่ดูแลเป็นเพื่อนเอง พร้อมกับพูดเชิงให้ตรัยไปส่ง
อาภาพรที่บ้าน
พรเพ็ญรีบตัดบทว่าเธออยู่ดูแลคนเดียวได้ ทันใดนั้นมือของเอกสิทธิ์ก็ขยับเหมือนจะรู้สึกตัว เธอรีบพุ่งตามไปที่เตียงด้วยความดีใจ ขณะที่ตรัยรีบกดกริ่งเรียกพยาบาล
อาภาพรกับณัฐพงษ์หันมามองหน้ากันอย่างผิดหวัง ก่อนที่ฝ่ายแรกจะรีบโทร. ไปรายงานสโรชาทันที
“อะไรนะ ฟื้นแล้วเหรอ? อยู่ดูเหตุการณ์ที่นั่นไปก่อนนะ มีอะไรโทร. กลับมาให้แม่รู้เป็นระยะด้วย”
สโรชานั่งไม่ติด เดินงุ่นง่านใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนตัดสินใจกดโทร. ออก
สโรชาผลักประตูเข้ามาหน้าตาตื่น พลางรีบพุ่งไปที่เตียง แทบจะผลักพรเพ็ญที่กำลังช่วยจัดหมอนให้
พ่อออกไป
เอกสิทธิ์เบือนหน้าหนี ก่อนจะหันไปทางพรเพ็ญ
“ยัยหนู พ่อ...น้ำ”
พรเพ็ญกุลีกุจอรินน้ำจากเหยือกใส่แก้ว สโรชารีบแย่งแก้วมาจากมือ พลางแกล้งหันไปพูดดุอาภาพรที่ไม่ยอมช่วยดูแลเอกสิทธิ์ ฝ่ายหลังทำหน้าเซ็ง อ้างแต่ว่าทนนอนเฝ้าทั้งคืนจนปวดหลัง
“นี่ถ้าไม่ใช่ว่าพี่ตรัยอยู่นะ...”
สโรชารีบถลึงตาใส่ เป็นเชิงปราม
“ไปล้างหน้าหน่อยไหมจ๊ะลูก เผื่อจะหายปวดหลัง ยัยหนูน้าขอหลอดหน่อยสิจ๊ะ”
พรเพ็ญหยิบหลอดมาใส่ใสแก้วน้ำ พร้อมๆ กับเสียงเอกสิทธิ์พูดอย่างแผ่วเบา
“ลูก...น้ำ”
พรเพ็ญเหลือบมองหน้าสโรชาหวาดๆ ฝ่ายหลังจำใจต้องยื่นแก้วน้ำให้ พอพรเพ็ญป้อนน้ำเรียบร้อย
สโรชาก็รีบดึงทิชชู่แทรกตัวจะเข้าไปเช็ดปากให้ แต่เอกสิทธิ์เบือนหน้าหนีอีก
“นี่คุณเป็นอะไรไปคะ? คุณกำลังเข้าใจดิฉันผิด ดิฉันอธิบายได้”
“ยัยหนู...นอน”
พรเพ็ญกระวีกระวาดปรับเตียง พลางจัดหมอนให้เอกสิทธิ์นอนลง สโรชามองอย่างไม่พอใจ พลางเดินห่างออกไป พรเพ็ญมองตาม ก่อนจะเห็นภาพพร่าเลือน จนต้องขยี้ตาตัวเองซ้ำ ก่อนที่ภาพทุกอย่างจะกลับมาเป็นปกติ
ตรงข้ามกับเพ็ญพรที่กำลังตีแบดมินตันอยู่กับกอล์ฟ ที่สามารถตีได้อย่างแม่นยำ
ทั้งที่มีผ้าสีดำ คาดตาอยู่
ทางด้านพรเพ็ญที่แปลกใจกับอาการของตัวเอง จนต้องมาวัดสายตา พร้อมกับปรึกษาจักษุแพทย์
“ก็ถือว่าสั้นเอาการอยู่ ถ้าเทียบกับช่วงอายุนะ”
พรเพ็ญรีบอธิบายอาการเพิ่ม
“มันเหมือนกับสั้นลงเรื่อยๆนะคะ อย่างกะมีใครมาแบ่งเอาประสาทการรับรู้ของหนูไป”
“ไม่มีหรอกครับ ก็เป็นไปตาม สภาพร่างกายน่ะครับ”
พรเพ็ญพยักหน้า
“ค่ะ หนูแค่รู้สึกเท่านั้นเอง หูนี่บางทีคนพูดอะไร ก็ฟังไม่ค่อยชัด”
“ถ้าเป็นแบบน้องคิด แสดงว่าต้องมีใครบางคนประสาทสัมผัสดีขึ้นเรื่อยๆ อย่างงั้นสิ”
พรเพ็ญยิ้มเนือยๆ
“นั่นสิคะ มันจะเป็นแบบนั้นไปได้ไง?”
พูดพลางแอบถอนใจ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนเองกันแน่? ก่อนจะหยิบสำลีในขวดแถวนั้นขึ้นมาดม
“แอมโมเนียนะนั่นน่ะ ไม่ฉุนมั่งเหรอ?”
“อ้าว อ๋อ เหรอคะ? ก็ได้กลิ่นหน่อยๆ หมือนกัน กลิ่นยังกะดอกกุหลาบแน่ะค่ะ”
ขณะเดียวกันเพ็ญพรกำลังดมดอกกุหลาบ พลางเดินดูต้นไม้อย่างอารมณ์ดี วิทวัสเดินเข้ามายืนมองยิ้มๆ
“ผมชอบคุณในเวอร์ชั่นสุภาพเรียบร้อยมากกว่านะ”
เพ็ญพรเบะปากใส่ “ไม่มีวัน ฝันไปเถอะ”
“งั้นที่ผมเห็นคงเป็นคู่แฝดคุณล่ะมั้ง”
เพ็ญพรทำหน้างง “พูดเรื่องอะไรเนี่ย?”
“ไม่เห็นต้องอายเลย จะหลบหน้าทำไม? เมื่อวานหายไปไหนเร็วจัง กลับบ้านยังไง?”
เพ็ญพรยิ่งฟัง ก็ยิ่งงง
เพ็ญพรเดินปั้นปึ่งเข้ามาในบ้าน พลางแอบมองวิทวัสจากด้านใน เห็นเขาเดินหันหลังกลับไป
“โหย จะจีบหญิงมาไม้นี้นะ ผู้หญิงเขาคงชอบหรอก...เราเคยเจอกันที่ไหนมาก่อนรึเปล่าครับ? เพื่อนเจี๊ยบใช่มั้ยอ่ะ? ,เมื่อวานไปไหนมา? แอบเห็นนะ...อี่โด่”
“เท่าที่ฉันคุยกับคุณสโรชาวันก่อน เหมือนแกจะอยากให้คุณเอกสิทธิ์กลับไปพักฟื้นที่บ้านมากกว่า”
หมอรุจน์หันมาบอกตรัย ขณที่เดินออกจากห้องมาด้วยกัน
“แล้วแกได้บอกอาการคุณลุงไปอย่างที่แกบอกฉันเมื่อกี้เปล่าวะ?”
หมอรุจน์พยักหน้า “ดีไม่ดีละเอียดกว่าที่บอกแกอีก”
“เหรอ? แล้วแต่ละกันว่ะ ฉันมันคนนอกคงเข้าไปยุ่งมากไม่ได้ ขอบใจแกมากนะ ยังไงก็ฝากด้วย”
พูดพลางนึกขึ้นมาได้
“ฉันว่าฉันไม่อยากให้คุณน้าสโรชารู้ว่าแกกับฉันรู้จักกัน”
หมอรุจน์พยักหน้าตอบอย่างเข้าใจ
ห้องของเชาว์ถูกรื้อค้นจนข้าวของกระจัดกระจายเสียหาย เจ้าของห้องนอนกองอยู่ที่พื้นในสภาพสะบักสะบอมเลือดเปรอะอยู่มุมปาก
นักเลงยืนโทรศัพท์คุยเสียงดัง อีกมือหนึ่งถือแบงค์ห้าร้อยกับแบงค์ร้อยอย่างละใบ
“ครับเสี่ย ตอนนี้กองอยู่กับพื้นครับ พวกผมค้นมันทั้งตัวทั้งห้องได้มาแค่ 600 ของในห้องที่ดูจะเปลี่ยนเป็นเงินได้ก็คงไม่กี่ตังค์ นอกจาก...”
พูดพลางปรายตามองไปที่วาทินี ที่กลัวจนลนลาน กอดผ้าห่มแน่นอยู่บนเตียง ก่อนที่มันจะพูดต่อ
“แต่ผมก็ว่าคงได้ไม่เท่าเงินที่มันต้องใช้เสี่ยครับ ครับ ครับ”
มันส่งสัญญาณให้เพื่อนนักเลงอีก 2 คน ให้ช่วยกันหิ้วปีกเชาว์ขึ้นมา
“ไงวะ ตกลงจ่ายได้เมื่อไหร่”
คนหนึ่งถามอย่างคาดคั้น พร้อมกับที่อีกคนซักหมัดเข้าที่ท้องเชาว์จังๆ
“พรุ่งนี้”
คนที่ถือสายอยู่ รีบรายงายเจ้านาย
“พรุ่งนี้ครับเสี่ย ครับ ครับ สวัสดีครับ”
จากนั้นก็กดวางโทรศัพท์ พร้อมกับเก็บเงิน 600 บาท ใส่กระเป๋า ก่อนที่จะเดินเรียงหน้ากันออกจากห้องไป พร้อมกับที่เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นจากมุมหนึ่งของห้อง
เชาว์เอื้อมไปเขี่ย ๆ โทรศัพท์จากกองแล้วหยิบมากดรับสาย
“ว่าไง โทร. มาได้จังหวะเลยนะ”
สโรชาที่อยู่หน้าห้องคนป่วยในโรงพยาบาล รีบบอกมาทางปลายสาย
“สั้น ๆ ง่าย ๆ นะ ถ้าอยากได้เงินก็รีบออกมาหาฉันเดี๋ยวนี้ ฉันจะรออยู่ร้านเดิม”
เพ็ญพร เคน และเดือนฉายเดินอยู่ในสวนกล้วยไม้ภายในบ้าน ก่อนที่ฝ่ายแรกจะหันมาถาม
“เออ คุณตาคะแล้วตกลงบ้านเราเคยมีต้นเสาวรสสักต้นไหมคะ หรือแค่จะตั้งชื่อบ้านตามชื่อคุณยาย
เฉย ๆ”
เคนหัวเราะร่วน
“ไม่เคยมีหรอก ก็ตามีเสาวรสอยู่ในใจทั้งดวงแล้วทำไมยังต้องปลูกข้างนอกอีกล่ะ”
เพ็ญพรยิ้มปลื้ม
“สุดยอดจริง ๆ ค่ะคุณตา นาน ๆ หนูจะเจอคนที่หนักแน่นในความรักแบบคุณตา”
เดือนฉายได้ฟังก็สะดุดกึก แววตาหม่นลง ครู่หนึ่งกอล์ฟก็เดินเข้ามา พลางยื่นโทรศัพท์ให้เดือนฉาย
“ว่าไงตาวัส สะดวกจ้ะ กรุงเทพฯ เหรอ เดินเล่นเป็นเพื่อนตานะลูก แม่คุยงานเดี๋ยว”
เดือนฉายเดินแยกออกไป กอล์ฟรีบเดินตามไปแอบฟัง เพ็ญพรมองตามหลังทั้งคู่ ก่อนจะหันไปเปรยกับเคน
“กลับมารอบนี้หนูว่าแม่ดูเศร้าๆ ตาว่าแม่จะเศร้าเพราะคิดถึงพ่อไหมคะ?”
“ไม่รู้สิ แต่จะคิดถึงก็ไม่แปลกหรอกนะ คนเคยรักเคยมีความรู้สึกดี ๆ ต่อกัน ถึงนานไปไม่เจอกันมันต้องมีบ้างที่นึกถึง”
เพ็ญพรรีบเปรยขึ้นมา
“นึกถึงในทางดีหรือไม่ดีล่ะเนี่ย? แล้วเมื่อไหร่แม่กับตาจะเล่าเรื่องอะไรให้หนูฟังบ้าง หนูโตแล้วนะคะ”
“ไว้ตาจะเล่าให้ฟัง แต่ตอนนี้ไปเดินหาที่ลงต้นเสาวรสกันเถอะ”
พูดพลางโอบไหล่หลานสาว ก่อนจะพากันเดินไป
เชาว์ยื่นมือออกไปรับซองสีน้ำตาลจากสโรชา พลางแง้มปากซองออกดู แล้วทำตาโต ก่อนจะรีบม้วนเก็บเข้ากระเป๋ากางเกง
สโรชามองหน้าอีกฝ่าย ก่อนจะถามขึ้นมา
“นี่ไปกัดกับใครมาอีกละเนี่ย สภาพแบบนี้จะยังทำงานให้ฉันได้อยู่ไหม?”
“ให้มาล้นซองขนาดนั้น ท่าทางจะให้ทำเยอะซะด้วย”
สโรชารีบบอก
“ช่วงนี้ไม่ต้องโผล่เข้าไปที่ศิลาแดงอีกเลยนะ อีก 3-4 วันตาแก่นั่นคงกลับบ้านได้ล่ะ หนังเหนียวจริง ๆ ส่วนเงินในซองน่ะ ไปจัดมาให้แรงกว่าเดิม”
เชาว์ยิ้มมุมปากอย่างรู้ดี
เดือนฉายวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ ก่อนจะรำพึงกับตัวเอง
“ไปกรุงเทพฯ เหรอ...เฮ้อ”
พลางนั่งตาเหม่อลอยนึกไปถึงอดีต ขณะที่เธอในวัยสาวกำลังท้องอ่อนๆ กำลังนั่งหวีผมอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง พลันเสียงโทรศัพท์มือถือก็สั่นเตื้อนขึ้นมา เธอเหลือบตามองไปที่เสื้อนอกของเอกสิทธิ์ที่ถอดทิ้งไว้ ก่อนจะล้วงหยิบโทรศัพท์ออกมา หน้าจอไม่ปรากฏชื่อคนโทร. เธอรีบกดรับสาย
เสียงของสโรชาดังมาจากปลายสาย
“คุณเอกขา ที่ส่งรูปไปให้ทางไปรษณีย์ได้รับหรือยังคะ? ไม่เห็น text อะไรกลับมาเลย ฮัลโหล”
เดือนฉายยืนแน่นิ่ง มือสั่นระริก ก่อนจะค่อยๆ กดสายทิ้งแล้วไปเปิดตู้รื้อหาดูเอกสารส่วนตัวของเอกสิทธิ์ ก่อนจะเห็นซองเอกสารปั๊มตราไปรษณีย์ เมื่อแกะออกดูก็เห็นรูปคู่ของสโรชากับเอกสิทธิ์ตระกองกอดกันอยู่
ครู่หนึ่งเอกสิทธิ์ในชุดนอน ก็เดินเข้ามาในห้อง พลางเหลือบเห็นโทรศัพท์มือถือตัวเองวางอยู่ข้างตัว
เดือนฉาย
“นี่คุณเช็คโทรศัพท์ผมเหรอ?”
พลางมองซองเอกสารกับรูปภาพในมือของอีกฝ่ายที่น้ำตาคลอเบ้า งมองหน้าสามีนิ่ง ๆ ก่อนจะโยนมือถือไปที่เตียง แล้วรีบเดินออกไปจากห้อง
เดือนฉายดึงตัวเองออกจาภวังค์ พร้อมกับที่กอล์ฟผลักประตูห้องเข้ามา
“เอ เมื่อกี้แว่ว ๆ หน้าประตูว่าอะไรกรุงเทพ ๆ”
“มะรืนต้องเข้าไปทำธุระที่กรุงเทพฯ น่ะ จะทำไม?”
กอล์ฟยิ้มเจ้าเล่ห์
“ช่วงนี้คุณเดือนดูเหนื่อย ๆ แปลก ๆ เศร้า ๆ ผมเป็นห่วง สงสัยรอบนี้ต้องไปดูแลแหงๆ”
“รอบนี้ฉันมีลูกสาวไปเป็นเพื่อนแล้วจ้ะ เราน่ะอยู่ดูแลคุณตาที่นี่เถอะ”
กอล์ฟเบ้หน้าทำตาประหลับประเหลือกอย่างผิดหวัง
สโรชาเดินถือถุงผลไม้เข้ามาในห้องคนป่วยของเอกสิทธิ์ พอเห็นทนายอยู่ด้วย ก็ถึงกับชะงัก
“คุณทนาย คุณทนายมาทำไมคะเนี่ย?”
“ก็มาเยี่ยมท่านน่ะสิครับ”
สโรชามองทั้งคู่แบบจับผิด
“มาเยี่ยม? เยี่ยมอย่างเดียว? แค่นั้นจริงๆ เหรอคะ?”
ทนายรีบยืนยัน ก่อนจะขอตัวจะออกไป แต่ไม่วายหันมาย้ำ
“เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ผมจะดูแลให้เป็นอย่างดี”
เอกสิทธิ์พยายามพยักหน้ารับ สโรชามองอย่างระแวง
ขณะที่สุดากำลังยืนคุยโทรศัพท์อยู่ พอเห็นตรัยเดินเข้ามา เธอก็รีบตัดบทก่อนจะวางสายไป
“น้องสาวฉันสบายจริงๆ แม่นักเขียนอิสระ ออฟฟิศไม่ต้องเข้า งานไม่ต้องทำเนอะ”
สุดามองค้อนพี่ชาย
“แหมๆ เพิ่งกลับมามันต้องจูนสมองก่อนนิดนึง ทำไมหน้าหมองจังพี่ตรัย โจรเยอะเหรอช่วงนี้ วันก่อนได้ข่าวไม่กลับบ้าน”
“พ่อน้องพรเข้าโรงพยาบาลน่ะ เลยไปอยู่เป็นเพื่อนเขา สงสัยนอนน้อยมั้ง”
สุดาทำท่านึก
“พร ผู้หญิงที่พี่จีบอยู่ใช่ไหมอ่ะ ไปเฝ้าพ่อเขาขนาดนี้ เป็นแฟนกันแล้วเหรอคะเนี่ย?”
ตรัยส่ายหัว “เป็นหรือไม่เป็นก็ต้องไปช่วยเขา น้องพรเป็นคนน่าสงสาร สู้คนไม่เป็นเลยสักนิด พี่ว่าถ้าสุดาได้เจอเขาสุดาก็จะชอบ”
“แหม โปรยมาซะขนาดนี้เสียดายจัง ว่าจะแนะนำสาวสวยดีกรีจากเมืองนอกให้รู้จัก อาทิตย์นี้เขาจะมากรุงเทพฯ ซะด้วย แต่ช่างเหอะ โดนเขาหักอกมาแล้วบอกล่ะกัน น้องหาคนดามให้”
ตรัยมองหน้าน้องสาวยิ้มๆ ก่อนจะเดินแยกไป
เพ็ญพรกับเดือนฉายนั่งดูละครทีวีกัน 2 คนแม่-ลูก จู่ๆ ฝ่ายแรกก็โพล่งขึ้นมา
“ถ้ามีคู่แฝดก็คงดี”
เดือนฉายถึงกับชะงัก “ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะลูก?”
“มันจะได้เหมือนเรามองเห็นตัวเองตลอดไงคะ เออ หน้าเราจริงๆ ก็เล็กดีนะ ฮ่า ๆ “
เดือนฉายรีบพูดตัดบท
“แม่ไปเก็บเสื้อผ้านะง่วงแล้วด้วย เอ้อ เราจะไปกรุงเทพฯ กัน”
เพ็ญพรมองตามหลังแม่อย่างทั้งงง ทั้งเป็นห่วง
ด.ญ.พรเพ็ญเห็นเด็กหญิงคนหนึ่งหน้าตาเหมือนตัวเองวิ่งอยู่กลางสนาม พลางกวักมือเรียก
“มานี่เร็ว มาเล่นด้วยกันตรงนี้”
หนูน้อยเขม้นตามองแล้วค่อย ๆ เดินไป ด.ญ.เพ็ญพรรีบเร่ง
“ช้าจังเลย ตรงนั้นมีกระต่ายด้วยนะ เร็วสิเดี๋ยวมันก็หนีไปพอดี”
ด.ญ.พรเพ็ญเห็นอีกฝ่ายอยู่ในกระจกบานใหญ่ที่ไม่ควรจะตั้งอยู่ในสนาม
พรเพ็ญนอนที่อยู่บนโซฟาในห้องพักคนป่วยตกใจสะดุ้งตื่นกลางดึก พลางหันมองเงาสะท้อนตัวเองในกระจกที่ตั้งอยู่ในห้องพักฟื้น
“ฝันหรอกเหรอ?”
จังหวะนั้นเอกสิทธิ์ค่อย ๆ หันหน้ามาหา เหงื่อผุดพรายเต็มหน้า
“คุณพ่อเป็นอะไรไปคะ? ทำไมตัวเกร็งขนาดนี้?”
เอกสิทธิ์ส่ายหน้า พลางจับมือลูกสาวแน่น
“พ่อไม่เป็นไร หนูเป็นอะไรรึเปล่าลูก? นอนกระสับกระส่าย”
“ฝัน ฝันแปลกๆ เฉย ๆ พ่อไม่เป็นไรนะคะ หนูไปเอาผ้ามาเช็ดตัวให้คุณพ่อดีกว่า เดี๋ยวหนูมานะคะ”
พูดพลางเดินออกไป
เอกสิทธิ์หลับตาลง สีหน้าเคร่งเครียด
อ่านต่อหน้า 3
บ้านศิลาแดง ตอนที่ 1 (ต่อ)
เมื่ออยู่กันตามลำพัง 2 คนพ่อ-ลูก เคนก็หันมาทักเดือนฉายด้วยความเป็นห่วง
“พักนี้พ่อว่าลูกดูเครียดนะ”
“ค่ะ หนูว่าช่วงนี้ยัยเพ็ญแปลก ๆ หรือเพราะไม่ได้อยู่ด้วยกันนานก็ไม่รู้”
“พ่อว่ายัยเพ็ญเหมือนเดิมนะ ลูกต่างหากที่แปลก”
เดือนฉายมองหน้าบิดาอย่างครุ่นคิด
“หนูไม่รู้ทำไมยัยเพ็ญพูดถึงแต่...”
“พูดถึงแต่อะไรที่มันชวนให้เรานึกถึงเรื่องอดีต ยัยเพ็ญโตแล้ว แล้วพ่อก็ว่ามันคงไม่แปลก ถ้าเขาจะรู้สึกถึงกันได้ เราเองต่างหากที่ไม่ควรจะขุดความรู้สึกขมขื่นในอดีตออกมาให้ลูกเห็น”
เดือนฉายไม่วายกังวล “แล้วนี่ยิ่งเข้าไปในกรุงเทพฯ ด้วย หนูสังหรณ์ยังไงก็ไม่รู้”
“เอาเถอะ อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิดไป พ่อว่ามันจะเป็นเรื่องดีสำหรับเราซะอีกนะ อาจถึงเวลาแล้วนะที่เราจะต้องได้อะไรของเราคืน”
พรเพ็ญเดินมาตามทางเดินในโรงพยาบาล ตรัยที่เพิ่งมาถึง รีบเดินมาเคียงข้าง ก่อนจะรีบพูดปลุกปลอบกำลังใจ
“พี่อยากให้มั่นใจในตัวเองแล้วก็ลุกขึ้นสู้ซะที”
พรเพ็ญถอนหายใจ “ทำไงได้ ก็พรเกิดมาเป็นแบบนี้นี่คะ”
“พี่จะรอวันนั้น วันที่น้องพรเปลี่ยนเป็นคนใหม่”
พรเพ็ญยิ้ม ก่อนจะแอบส่ายหน้าเบาๆ เป็นเชิงว่าวันนั้นคงมาไม่ถึงแน่ๆ
เอกสิทธิ์นั่งอยู่ขอบเตียงในชุดพร้อมกลับบ้าน ก่อนที่พรเพ็ญจะยื่นไม้เท้าให้ลองถือดู ขณะที่หมอพูดแนะนำให้หาวีลแชร์ไว้ด้วย เผื่อจะได้พาไปเปิดหูเปิดตาข้างนอก สโรชารีบแทรกขึ้นมาทันที
“จะเปิดหูเปิดตาข้างนอก เอาให้หายดีซะก่อนเถอะ เกิดไปล้มไปอะไรข้างนอกจะอาการหนักกว่าเดิม”
เอกสิทธิ์ยิ้มหยัน “เธอ..ก็..ดีใจ..สิ”
จังหวะนั้นพยาบาลก็เดินเอาถุงยามายื่นให้พรเพ็ญ พร้อมกับบุรุษพยาบาลเข็นวีลแชร์เข้ามา พลางช่วยกันกับตรัยประคองเอกสิทธิ์นั่งรถเข็น
สโรชารีบดึงถุงยาจากมือพรเพ็ญไปถือไว้เอง ตรัยมองตาม พลางหันมองหน้ากับหมอรุจน์
เดือนฉายกับเพ็ญพรเตรียมจะขึ้นรถเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เคนที่ออกมายืนส่งพร้อมกับกอล์ฟ เห็นอีกฝ่ายทำท่าอยากไป ก็รีบหันมาบอกเดือนฉาย
“เอาไปด้วยละกัน เผื่อใช้ทำอะไรได้บ้าง พ่ออยู่ทางนี้ ok. ดี”
กอล์ฟยิ้มอย่างดีใจ รีบกระโดดขึ้นรถคนแรก เพ็ญพรกอดลาตา ก่อนจะขึ้นรถตามไป
เดือนฉายกำลังจะขึ้นรถ เคนมองสบตาลูกสาว พลางรีบพูดปลอบ
“อย่าคิดมาก อะไรที่เป็นของเรามันก็เป็นของเราอยู่ดี ไม่มีใครมาเอาไปจากเราได้นานหรอก ซักวันนึงเค้าก็ต้องคืนให้เรา”
อาภาพรนั่งทำผมอยู่ที่ร้าน ก่อนจะมองไปที่กระจกที่สะท้อนจากเคาน์เตอร์ พลางทำตาโต รีบหันขวับไปเมื่อเห็นเพ็ญพรกับสุดากำลังจะเดินออกจากร้าน เธอรีบพุ่งไป พลางตะโกนเรียก
“นังพร นังพร เดี๋ยวสิ”
เพ็ญพรกับสุดาไม่ได้สนใจเลยเดินออกจากร้านไป อาภาพรทำท่าจะวิ่งตามออกไป แต่พนักงานเก็บเงิน รีบชี้ที่ผ้าคลุมกับโรลม้วนผมบนหัว เธอถึงกับชะงัก ก่อนจะถอนหายใจหงุดหงิด
“นังพร หนอย เดี๋ยวนี้กระแดะออกมาทำผมนอกบ้านนังนี่ อยากจะเป็นไฮโซ?”
ขณะที่เอกสิทธิ์นอนพักอยู่คนเดียวในห้อง ครู่หนึ่งสโรชาเปิดประตูเข้ามานั่งข้างเตียง ก่อนจะพูดเสียงเศร้า
“ดิฉันจะมาลาคุณค่ะ คุณคงไม่ต้องการดิฉันแล้ว ยัยหนูก็ดูแลคุณได้อย่างดี แถมตอนนี้ยังมีว่าที่ลูกเขย
ตำรวจอีก”
พูดพลางหลือบดูปฏิกิริยาของอีกฝ่าย แต่เอกสิทธิ์ยังคงนอนนิ่งราวกับไม่รู้สึกอะไร
“ไม่ต้องห่วงนะคะสมบัติอะไรของคุณ ฉันไม่ได้แตะเลย เดี๋ยวฉันรอยัยภากับตาณัฐกลับมาจะให้แกเก็บข้าวของ ขอให้คุณรู้ว่าที่ผ่านมาดิฉันรักคุณจริง ๆ สิ่งที่คุณเข้าใจผิด สักวันคุณจะรู้เองว่าดิฉันมีแต่ความปรารถนาดีให้”
เอกสิทธิ์ถึงกับน้ำตาเอ่อแต่พยายามกลั้นไว้ สโรชาแอบสังเกตเห็นจึงก้มกราบที่อก พลางแกล้งพูดไปร้องไห้ไป
“ขอบพระคุณที่ผ่านมาคุณเมตตาฉันกับลูกๆ มาตลอด ฉันรักคุณนะคะ ตลอดชีวิตนี้ของฉันคงลืมคุณไม่ได้”
เอกสิทธิ์น้ำตาหยด รีบจับมืออีกฝ่ายไว้ “ไป...ไหน”
“ไปตามทางของดิฉันค่ะ คืนนี้คงเปิดโรงแรมสักที่นึงก่อนจะหาบ้านเช่า”
เอกสิทธิ์รีบพูดห้าม สโรชาทำทีเป็นอิดออด ก่อนจะโผเข้ากอดอีกฝ่าย พลางลอบยิ้มสมใจ
สโรชาเดินนวยนาดเข้ามาหาป้าแจ่มในครัว ขณะที่อีกฝ่ายนั่งคุยอยู่กับพรเพ็ญ ก่อนจะพูดแบบเย้ยๆ ว่าเธอจะลงมือทำอาหารเอง และจะทานกับเอกสิทธิ์สองต่อสองในห้อง พลางพูดแกมออกคำสั่งให้ป้าแจ่มอยู่ช่วยเธอด้วย เพื่อกันไม่ให้อีกฝ่ายเตรียมอาหารให้พรเพ็ญ
“หนูไปเตรียมโต๊ะให้น้องภากับพี่ณัฐเองละกันค่ะ ป้าอยู่ช่วยคุณน้าเถอะ ส่วนของหนูน่ะ ทานที่นี่กับป้าแจ่มก็ได้”
พูดจบพรเพ็ญก็เดินออกไป สโรชายักไหล่แบบไม่สนใจ
ขณะที่พรเพ็ญกำลังจัดเตรียมโต๊ะอาหาร อาภาพรก็เดินเข้ามา พลางทำเสียงเข้มใส่
“ไงคะคุณนังพรกลับมาเร็วดีนี่คะ”
เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำหน้างงไม่รู้เรื่อง ก็โวยวายต่อ
“อย่ามาทำแอ๊บนะ พ่อตัวเองป่วยอยู่แทนที่จะดูแล อ้อ แล้วเวลาอยู่ข้างนอกเนี่ยร่าเริงผิดเป็นคนละคนเลยนะคะ วันนี้แอบช้อปหลายตังค์เลยสิท่า”
สโรชาที่เดินเข้ามาพร้อมกับป้าแจ่ม รีบร้องทัก
“กลับมาถึงก็เสียงดังเชียว ว้าว ทำผมมาซะสวยเลยลูก อ่อ เมื่อกี้ได้ยินแว่ว ๆ ใครแอบไปช้อปมาเหรอคะ?”
“จะใครล่ะคะ ก็คุณนังลูกเศรษฐี วันนี้หนูเห็นเดินถือถุงช้อปปิ้งเต็ม 2 มือ แบรนด์เนมทั้งนั้น แถมยังมาทำผมร้านเดียวกับหนูอีก ทีหนูจะเบิกตังค์คุณลุงทียากเย็นแสนเข็ญ ทีลูกตัวเองล่ะก็”
สโรชารีบเดินเข้าไปหยิกแขนเป็นเชิงปรามลูกสาว ขณะที่ป้าแจ่มช่วยพูดยืนยันว่าพรเพ็ญอยู่บ้านทั้งวันอาภาพรเลยหันไปถลึงตาใส่ ก่อนที่สโรชาจะช่วยยืนยันอีกเสียง
“วันนี้นังพรมันอยู่บ้านทั้งวันจริง แม่ก็อยู่ ลูกคงจำผิด”
อาภาพรทำหน้าเหรอ “มันจะเป็นไปได้ยังไงคะ? หนูไม่มีทางจำผิดแน่ ๆ”
สโรชารีบลากแขนลูกสาวเข้าไปในครัว ก่อนจะหยิกแขนอีกฝ่ายอย่างแรง
“แกนี่มันไม่ได้เชื้อฉันไปซักนิด โง่ไม่ต่างกับพ่อแกจริง ๆ ขยันแต่สร้างเรื่องให้ฉันแก้ ถ้าแกยังอยากอยู่บ้านหลังนี้ มีเงินใช้สบายๆ ไม่ต้องแร่ออกไปทำงานข้างนอกล่ะก็ หัดสร้างภาพทำดีกับคุณลุงกับนังพรเอาไว้ ลับหลังจะอะไรฉันไม่รู้แต่ต่อหน้าคุณลุง ต่อไปนี้แกห้ามจิกกัดทำอะไรนังพรเด็ดขาด”
อาภาพรมองหน้ามารดาอย่างไม่พอใจ
“นี่คุณแม่โดนยาสั่งของมันหรือไม่สบายคะเนี่ย ปกตินังนั่นมันใช้เงิน 10-20 คุณแม่ก็แทบจะหักคอมัน ตายอยู่แล้ว วันนี้อะไรเข้าสิงคะเนี่ย?”
สโรชาทำหน้าระอา
“แกรู้ไหมตั้งแต่พ่อแกมาสร้างเรื่องให้ฉันคราวก่อน เงินสักแดงเดียวยังไม่ได้ถึงมือฉันเลย กว่าฉันจะทำให้ไอ้แก่นั่นใจอ่อนฉันต้องบีบน้ำตาไปตั้งกี่ปี๊บแกรู้บ้างไหม”
“แปลว่าอะไรคะ ตอนนี้คุณลุงกับคุณแม่ดีกันแล้ว”
“ใช่ อย่างน้อยก็ต้องให้มันตายใจสักระยะ จนกว่า... ช่างเหอะ เอาเป็นว่าต่อไปนี้ฝืนทำดีกับคุณลุงกับ
นังพรเข้าไว้ แล้วจะดีเอง”
อาภาพรหน้าบึ้ง “แล้วมันต้องนานแค่ไหนล่ะคะคุณแม่ หนูกลัวอกจะแตกตายซะก่อน”
“ไม่นานหรอก อีกไม่นาน”
สโรชาพูดพลางยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์
เพ็ญพรกับสุดากำลังเต้นรำกันอย่างสนุกสนานอยู่ในผับภายในโรงแรมใจกลางเมือง ขณะที่ณัฐพงษ์กับเพื่อนๆ ที่ท่าทางเมาๆ เต้นอยู่ไม่ห่าง
“นั่นมัน...”
“เฮ้ย อย่าบอกนะว่ารู้จัก”
“ฮึ ๆ ยิ่งกว่ารู้จักอีก เดี๋ยวมานะ”
ณัฐพงษ์พูดพลาง รีบเดินตรงไปทันที
“ลีลาไม่เบานี่? ทำไมอยู่บ้านแอ๊บจังล่ะจ๊ะ 555 ทำตัวยังกะคุณป้า เห็นแต่งยังกะคุณป้า”
สุดามองหน้าณัฐพงษ์ทีเพ็ญพรทีแบบงง ๆ
“ใครอ่ะ รู้จักกันเหรอ?”
เพ็ญพรส่ายหน้า
“หึ หรือจำไม่ได้ไม่รู้ แต่ไม่น่านะ เอ่อ ขอโทษนะคะ ไม่ทราบเราเคยเจอกันที่ไหนเหรอคะ? แล้วใครป้าคุณไม่ทราบ?”
ณัฐพงษ์หัวเราะขำ พลางมองสำรวจเพ็ญพรตั้งแต่หัวจดเท้า
“ไอ้ที่เขาว่าไก่งามเพราะขนนี่มัน...สวยเหมือนกันนะเรา เพื่อน ๆ พี่ชมกันใหญ่ ไปนั่งด้วยกันไหม จะได้แนะนำให้รู้จัก”
“ขอโทษนะคะคุณคงจำคนผิด”
ณัฐพงษ์ทำหน้ากวน
“เห็นหน้ากันทุกวันอย่ามาแอ๊บเลย แหม ทำหยิ่งกลับบ้านถอดชุดเอ็กซ์ ๆ แบบนี้ออกก็เป็นนังแจ๋วเหมือนเดิม”
เพ็ญพรเริ่มโมโห
“เอาเป็นว่าดิฉันไม่รู้จักคุณ และคุณก็ไม่ควรจะมาทำมารยาทไม่ดีแถวนี้นะคะ”
“เฮ้ย! กล้าดียังไงมาขึ้นเสียง? เดี๋ยวฟ้องแม่นะเว้ย”
เพ็ญพรยิ้มล้อๆ “ฟ้องแม่? ลูกแหง่ฟ้องแม่จ้า”
ณัฐพงษ์มองแบบอาฆาต ก่อนจะเดินกลับไปนั่งที่ของตน พอเห็นพรเพ็ญเดินไปเข้าห้องน้ำคนเดียว ก็รีบเดินตามไปทันที
“เมื่อกี๊อยู่ต่อหน้าคนเยอะๆ ปากดีนัก ตอนนี้อยู่กันสองต่อสองดูซิ จะปากดีได้แค่ไหน?”
เพ็ญพรยิ้มให้อย่างอ่อนหวาน
“นี่ไม่รู้จริงๆ เหรอเนี่ย เมื่อกี๊คนอยู่เยอะ ทำตัวไม่ถูก”
พูดพลางเขี่ยอกณัฐพงษ์ ที่เริ่มยิ้มออก
“แล้วยังไงต่อดี”
เพ็ญพรมองไปทางห้องน้ำหญิง ก่อนจะดึงณัฐพงษ์ ที่ตามเข้าไปแบบงงๆ
เพ็ญพรผลักณัฐพงษ์เข้าไปในห้องน้ำ ขณะที่ตัวเองยืนคาประตูอยู่ พลางหลอกให้อีกฝ่ายถอดเสื้อผ้าออก แล้วให้หลับตา ก่อนจะคว้ากางเกงของอีกฝ่าย แล้วรีบวิ่งออกจาห้องน้ำไป
ณัฐพงษ์ลืมตาขึ้นมา ก่อนจะรีบวิ่งตามออกไปกระชากแขนล็อกคอ แต่กลับถูกอีกฝ่ายทุ่มจนล้มลงไปกองกับพื้น พอลุกขึ้นได้ ก็ปราดจะเข้าไปตบด้วยความโมโห แล้วกลับถูกเธอต่อยเข้าที่ปลายคางจนเลือดกลบปาก เขายิ่งโกรธหนัก กำลังจะเข้าไปต่อย แต่วิทวัสเข้ามาคว้าข้อมือไว้ ก่อนที่ผู้จัดการและ รปภ. จะรีบวิ่งเข้ามา พลางรีบเชิญตัวออกไปด้านนอก
สุดาเข้ามาเห็น ก็รีบเข้าไปหาเพ็ญพร ขณะที่กลุ่มเพื่อนๆ ก็เข้ามาสมทบกับณัฐพงษ์
“เกิดอะไรขึ้นวะแก”
เพ็ญพรไม่ตอบอะไร รีบเดินออกไป สุดาเดินตาม วิทวัสหันมามองหน้าณัฐพงษ์ ก่อนจะรีบเดินตาม
ณัฐพงษ์รีบใส่กางเกง พลางมองตามไปแบบแค้นใจ
“คุณเพ็ญเป็นอะไรหรือเปล่าครับ?”
วิทวัสรีบหันไปทางเพ็ญพรด้วยความเป็นห่วง ขณะเดินออกมาหน้าผับพร้อมกัน สุดามองหน้าอย่างแปลกใจ
“รู้จักกันเหรอคะ?”
วิทวัสรีบพูดแนะนำตัวเอง สุดายิ้มให้ ก่อนจะรีบพูดขอบคุณ เพ็ญพรรีบหันมาทำหน้าดุใส่เพื่อน
“แกไปขอบคุณทำไม ไม่ได้ช่วยอะไรฉันสักนิดเลย ถ้านายไม่เข้ามา ฉันก็จัดการนายนั่นเองได้”
“โอเค.ๆ ผมยอม งั้นเดี๋ยวผมไปส่งคุณที่คอนโดแล้วกัน ไม่ได้ขับรถมาไม่ใช่เหรอ?”
สุดามองหน้าเพ็ญพรยิ้มๆ ก่อนจะรีบพูดสนับสนุน
“เอาตัวรอดเชียวนะ รับฉันมาแทนที่จะรับผิดชอบจนจบรายการ”
“อ้าว มีพระเอกเสนอตัวแล้วนี่”
เพ็ญพรเหลือบมองวิทวัสแบบเซ็ง ๆ
“ดึกแล้วกลับเถอะครับ เดี๋ยวคุณเดือนจะเป็นห่วง รับรองผมปลอดภัยกว่านายนั่นแน่ ๆ”
ไม่ทันขาดคำ ณัฐพงษ์เข้ามากระชากไหล่แล้วต่อยวิทวัสล้มลงไปกับพื้น พลางจะเข้าไปต่อยเพ็ญพรต่อ แต่อีกฝ่ายลุกขึ้นมาขวาง จนเกิดการชกต่อยกัน
ณัฐพงษ์ต่อยสู้วิทวัสไม่ได้ เพ็ญพรกับสุดาแอบยิ้มสมเพช
“ได้เจอกันแน่ ดูซิ ถ้าไม่มีคนคุ้มครองจะเป็นไง”
ณัฐพงษ์ชี้หน้าเพ็ญพร ก่อนจะเดินเซออกไป สุดารีบหันมาพูดขอบคุณวิทวัสซ้ำ
“นี่ถ้าคุณวิทวัสไม่เข้ามาช่วยเคลียร์ให้ สุดาว่าไม่จบง่าย ๆ แน่ ย้ำแล้วย้ำอีกว่ารู้จักยัยเพ็ญ”
“คุณนึกออกหรือยังว่าไปรู้จักกับเขาตอนเมาที่ไหนรึเปล่า?”
เพ็ญพรมองค้อน ก่อนจะยืนยันว่าไม่รู้จัก
สุดารีบพูดฝากฝังเพ็ญพรกับวิทวัสก่อนจะขับรถของตัวเองออก
วิทวัสอมยิ้ม ก่อนจะเดินนำหน้าเพ็ญพรไปที่รถตัวเอง
วิทวัสหันไปเห็นเพ็ญพรนั่งนิ่งเหมือนใช้ความคิด ก็แกล้งพูดยั่ว
“เงียบแบบนี้วางแผนอะไรไม่ดีกับผมหรือเปล่าเนี่ย? จะได้ระวังตัวไว้”
“จะบ้าเหรอ ฉันดูอันตรายขนาดนั้นเลยหรือไง?”
วิทวัสหัวเราะ
“อันตรายหรือเปล่าไม่รู้ แต่ผมเจอคุณ 2 ครั้ง ก็เห็นคุณเวอร์ชั่นอาละวาดแบบนี้ทั้ง 2 ครั้ง เออ คุณนี่ช่างผิดแม่นะ คุณเดือนออกจะเรียบร้อย ใจเย็น คุณนี่ร้อนเป็นไฟ”
เพ็ญพรชะงัก ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่
“นั่นสิไม่ใช่คุณคนแรกที่พูด ฉันคงเอานิสัยมาจากพ่อละมั้ง”
“คุณติดต่อกับพ่อด้วยเหรอ ผมไม่เคยได้ยินคุณเดือนพูดถึง”
เพ็ญพรส่ายหัว
“ไม่เลย ฉันไม่เคยรู้เรื่องพ่อเลยสักกะนิด ไม่มีใครเคยเล่าให้ฟังแค่เอ่ยถึงยังไม่เคยได้ยินเลยด้วยซ้ำ ฉันนึกไม่ออกเลยว่าคนแบบไหนกันนะที่จะทำให้คนอย่างแม่ฉันจำได้ฝังจิตฝังใจขนาดนี้ ฉันขอคุณอย่างนึงนะ เรื่องคืนนี้อย่าเล่าให้แม่ฟัง ถ้าแม่ถามก็บอกแค่ว่าเจอกันโดยบังเอิญแล้วคุณเลยมาส่ง”
“เอางั้นเหรอ? แล้วผมจะได้อะไรตอบแทนที่ช่วยคุณล่ะ?”
วิทวัสย้อนถาม
“เอาเหอะน่า คงมีสักวันแหละ ไว้ฉันบอกให้แม่เลี้ยงข้าวคุณสักมื้อละกัน จะไปได้รึยัง ฉันง่วงตาจะปิด
อยู่ล่ะ”
พูดพลางปิดปากหาวหวอดๆ วิทวัสแอบอมยิ้ม
พรเพ็ญกับป้าแจ่มช่วยกันถือถาดอาหารของสโรชากับเอกสิทธิ์เข้ามาวางเตรียมล้าง ลุงเติมมองอย่างแปลกใจ
“เก็บสำรับค่ำจังครับ ท่าทางจะคุยกับคุณท่านเพลินจนลืมเวลา”
ป้าแจ่มรีบบอก “เย็นนี้คุณหนูไม่ได้ทานกับคุณท่าน”
“อ้าว แต่มี 2 สำรับนี่”
พรเพ็ญหันมาตอบ “วันนี้คุณน้าเข้าไปทานด้วยจ้ะลุงเติม”
พูดพลางหยิบผ้ากันเปื้อนมาผูกเอวเตรียมจะลงมือล้างจาน แต่ป้าจวนอาสาจะเป็นคนล้างเอง เธอจึงออกปากจะปอกผลไม้แช่ตู้เย็นให้ พลางหันไปหยิบมีดมา พร้อมๆ กับเสียงแตรรถของณัฐพงษ์ดังขึ้นมา
“เดี๋ยวหนูไปเปิดให้ค่ะลุงจะได้ไม่ต้องล้างมือ”
พรเพ็ญพูดพลางลืมตัวถือมีดติดตัวออกไปด้วย
ณัฐพงษ์ที่อยู่ในอาการเมา เห็นพรเพ็ญมาเปิดประตู ก็ประหลาดใจ พอจอดรถเข้าซองเรียบร้อย ก็พุ่งตรงไปหาอีกฝ่ายทันที
“เมื่อกี้อยู่นอกบ้านทำเก่งเชียวนะ ไหงตอนนี้กลับมาเป็นนังแจ๋วคอยเปิดปิดประตูซะล่ะ”
พรเพ็ญตกใจ รีบก้มหน้างุดๆ ก่อนจะพยายามเดินหนีเข้าบ้าน ณัฐพงษ์รีบเดินไปดักหน้า
“คนละคนกันกับเมื่อกี๊เลยนะ แล้วชุดเมื่อกี้ถอดเร็วดีนี่ ใครช่วยถอดให้ล่ะไอ้หนุ่มเมื่อกี๊เหรอ? ช่างเลือกเหมือนกันนะ ท่าทางมันกระเป๋าหนักไม่เบา”
พรเพ็ญทำหน้างง พลางพยายามเบี่ยงตัวจะหลบ แต่กลับถูกอีกฝ่ายคว้ามือไว้
“ตัวสั่นทำไม? เมื่อกี๊ยังปากเก่งอยู่นี่ ไหนเมื่อกี๊เห็นหลังขาวเชียวขอพี่ชายคนนี้ดูใกล้ๆ หน่อยได้ไหม?” พรเพ็ญตกใจพยายามใช้อีกมือแกะมือณัฐพงษ์ออก
“ชุดอะไร? ไอ้หนุ่มที่ไหน? พี่พูดอะไรฉันไม่รู้เรื่อง เจ็บนะ ปล่อยมือฉันด้วย”
พูดพลางยืนยันว่าเธอไม่ได้ไปไหน อีกฝ่ายส่ายหน้าอย่างไม่เชื่อ พลางพยายามเอาอีกมือล้วงเข้าไปในด้านล่างเสื้อ
พรเพ็ญตกใจสุดขีดสะบัดมือสุดกำลัง แล้วหยิบมีดปอกผลไม้ออกมาจากผ้ากันเปื้อน
“อย่านะ”
“พกมีดด้วย? เธอแน่ใจนะว่าจะลองดีกับฉัน”
พูดพร้อมกับบิดแขนเธออย่างแรง จนเธอถึงกับน้ำตาไหล ก่อนจะตัดสินใจสูดหายใจแล้วตะโกนเสียงดัง
“ลุงเติม ป้าแจ่ม ลุงเติม ป้าแจ่ม ช่วยหนูด้วย”
พอลุงเติมเดินออกมา ณัฐพงษ์ก็รีบผละออกไปทันที
วิทวัสขับรถมาจอดหน้าคอนโด พลางหันไปมองเพ็ญพรที่เอียงคอหลับน้ำตาไหลเป็นทางอย่างแปลกใจ พลางเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาให้อย่างเบามือ
เพ็ญพรรู้สึกตัวตกใจ รีบปัดมือวิทวัส แล้วนั่งตัวตรง
“คุณเป็นอะไรไป?”
เพ็ญพรรู้สึกว่าหน้าตัวเองเปียกๆ จึงคลำดูที่หน้าตัวเอง
“นั่นสิ ทำไมจู่ๆ ถึง...”
วิทวัสหัวเราะขำ
“เห็นไหม ผมว่าแล้วคุณนี่ต้องประสาทอ่อนๆ แน่ ๆ รถผมไม่มีทิชชูซะด้วยสิ”
เพ็ญพรรีบยกมือปาดน้ำตาตัวเอง
“ไม่ต้อง ฉันไม่ได้เป็นอะไร แล้วอย่าลืมที่รับปากฉันไว้ซะล่ะ”
พูดพลางปิดประตูรถ แล้วรีบเดินลงไป พลางปาดน้ำตาแบบตัวเองอย่างงงๆ ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไรกันแน่ ก่อนจะมองดูจ้ำๆ เขียวคล้ายรอยช้ำที่แขนตัวเอง ข้างเดียวกับที่พรเพ็ญโดนบีบ
พรเพ็ญนั่งก้มหน้าน้ำตาไหล มองดูรอยช้ำที่ต้นแขนจากการที่โดนณัฐพงษ์บิด สโรชามองจ้องด้วยสายตาดุดัน ก่อนจะหันมาถามลูกชาย
“ตาณัฐเล่ามาสิมันเกิดอะไรขึ้น”
ลุงเติมรีบพูดแทรกขึ้นมา
“ผมเห็นคุณหนูออกมานาน ตั้งใจจะเดินไปดูเฉย ๆ ไม่นึกเลยจะมีเรื่อง”
“ลุงเติม ฉันถามคุณณัฐ”
ณัฐพงษ์ตอบเป็นเชิงฟ้อง
“ยายเนี่ย แอบหนีไปเที่ยวผับ เจอผมทำเป็นเชิดใส่ มันต้องสอนกันมั่ง”
อาภาพรได้ยินก็รีบพูดสวนขึ้นมา
“เห็นไหมคะคุณแม่ หนูบอกคุณแม่แล้วว่ามัน...”
“ยัยภาหยุด พี่แกเมาเห็นเป็นตุเป็นตะ ตาณัฐขอโทษน้องซะ”
ณัฐพงษ์เบิกตาโพลงอย่างตกใจ
“ผมได้ยินอะไรผิดไปรึเปล่าครับ”
ลุงเติมกับป้าแจ่มหันมาสบตากัน
“ลูกได้ยินไม่ผิด แม่บอกให้ขอโทษน้อง เพราะวันนี้น้องเขาไม่ได้ไปไหน แม่เป็นพยานได้”
ทั้งณัฐพงษ์ ทั้งอาภาพรส่ายหน้าไม่เชื่อ สโรชาตัดบท ด้วยการดึงกระดาษทิชชูบนโต๊ะยื่นให้พรเพ็ญ
“ตาณัฐถ้าไม่ขอโทษน้อง เดือนนี้แม่จะยึดบัตรเครดิตลูกทุกใบ”
ณัฐพงษ์ส่ายหน้าอย่างไม่อยากเชื่อ ก่อนจะตะโกนใส่หน้าพรเพ็ญ
“ขอโทษ โอเค. ไหมครับแม่”
สโรชาถอนหายใจอย่างระอา
“ลุงเติม ป้าแจ่มกลับไปทำงานของตัวเองได้ละ เรื่องมันจบละ เห็นด้วยกับฉันใช่ไหมว่าเรื่องไม่เป็นเรื่อง แค่พี่น้องทะเลาะกัน”
ลุงเติมสะกิดมือป้าแจ่มให้ลุกด้วยกัน ฝ่ายหลังหันมาประคองพรเพ็ญจะพาไปที่ห้อง สโรชารีบพูดห้าม
“ไม่เป็นไรจ้ะป้า ยัยพรให้อยู่ที่นี่ก่อนฉันมีเรื่องจะคุยด้วย”
พรเพ็ญน้ำตาคลอ พลางหลบตาอีกฝ่าย เพราะไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่?
เพ็ญพรเดินหัวฟูลงมาทั้งชุดนอน เดือนฉายที่นั่งคุยอยู่กับวิทวัสหันกลับไปมองแบบอึ้งๆ
“มอร์นิ่งครับคุณแพร์รี่”
เธอถึงกับชะงักตาโต หายงัวเงียเป็นปลิดทิ้ง
“มาทำไมแต่เช้า”
วิทวัสมองหน้าเหวอๆ “เช้า? นี่จะ 9 โมงแล้วนะครับคุณ?”
“แล้วนี่คุยอะไรกับแม่ฉัน เม้าท์อะไรฉันหา?”
เดือนฉายยิ้มขำ “เอ่อ แม่ว่าไปอาบน้ำแต่งตัวก่อนดีกว่ามั้ยลูก?”
เพ็ญพรก้มดูตัวเองในชุดนอนแล้วยิ้มแหยๆ วิ่งกลับเข้าไปอย่างอายๆ
อีกด้านหนึ่ง พรเพ็ญกำลังกวาดบ้านอยู่ พลันเสียงข้อความจากโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เธอรีบเดินไปหยิบมากดอ่าน
“อย่าบอกใครนะครับว่าพี่อยู่ที่หน้าบ้าน”
เธอเงยหน้าจากโทรศัพท์ พลางชะเง้อไปหน้าบ้านศิลาแดง
พอพรเพ็ญเปิดประตูออกมา ตรัยก็รีบลงจากรถมาหา
“ไปครับขึ้นรถ”
เธอทำหน้างง ๆ “ไปไหน ไม่ได้หรอกค่ะ ยังเตรียมอาหารเช้าให้คุณพ่อไม่เสร็จเลย”
“ไม่ต้องห่วงครับ พี่เพิ่งคุยกับคุณลุง ท่านว่าเช้านี้คุณน้าจะจัดอาหารให้เอง”
ไม่พูดเปล่า ซ้ำดันตัวอีกฝ่ายให้ขึ้นรถ พรเพ็ญตกกระไดพลอยโจนขึ้นรถไปอย่างงง ๆ
สโรชาตักข้าวต้มจากหม้อใส่ชามเตรียมไว้ให้เอกสิทธิ์ ก่อนจะมองซ้ายขวา พอสบโอกาสไม่เห็นใคร
ก็ควักซองหนึ่งออกมามือ ก่อนจะค่อยๆ เหยาะผงจากซองลงในชามข้าวต้มแล้วคน
“ขอโทษนะคะคุณเอก อย่าว่าฉันไม่รักคุณเลยเพียงแต่ฉันรักตัวเองมากกว่า”
“ดิฉันจัดโต๊ะแล้วนะคะ เห็นว่าคุณภาเธอกำลังไปพาคุณท่านออกมาอยู่”
เสียงป้าแจ่มดังมา พร้อมกับเดินเข้ามาด้านหลัง สโรชาสะดุ้งโหยงรีบกำซองไว้ในมือ
“อาหารคุณท่านให้ดิฉันยกไปเลยไหมคะ”
สโรชารีบยึดถาดไว้ “ไม่ต้อง ฉันดูแลเอง”
พลางรีบยกถาดออกไป พยายามเอาถาดบังซองยาในมือ
ป้าแจ่มมองตามไปงงๆ
อ่านต่อหน้า 4
บ้านศิลาแดง ตอนที่ 1 (ต่อ)
ณัฐพงษ์กับอาภาพรช่วยประคองเอกสิทธิ์นั่งที่เก้าอี้ประจำตัวเอง พอดีกับที่สโรชายกถาดอาหาร ออกมาวาง โดยมีป้าแจ่มเดินตามออกมาไม่ห่าง
“อุ๊ย ตาณัฐทำตัวเป็นเด็กดีเชียวลูก แล้วยัยภาล่ะช่วยอะไรคุณลุงบ้างหรือเปล่า?”
อาภาพรแอบเบะปาก
“ภาก็ช่วยเดินตามให้กำลังใจไงคะ คุณลุงกว่าจะก้าวเท้าได้แต่ละข้าง ภาลุ้นจนเพลีย”
สโรชารีบถลึงตาใส่ลูกสาว
“ผมช่วยขนาดนี้ หวังว่าส่วนแบ่งสมบัติของผมคงมากกว่ายัยภานะครับ”
เอกสิทธิ์ปรายตามองทุกคน ก่อนจะพูดขึ้นมาช้าๆ
“เรื่องสมบัติน่ะ ไม่ต้องห่วง ถ้าฉันเป็นอะไรไป พวกเธอต้องได้อยู่แล้ว”
ณัฐพงษ์กับอาภาพรตาโต
“แปลว่าถ้าคุณลุงตาย บ้านหลังนี้ก็เป็นของพวกเราด้วยใช่ไหมคะ?”
ขาดคำสโรชาก็พุ่งไปฟาดแขน
“นี่แน่ะ ทำไมปากพล่อยขนาดนั้น คุณลุงยังแข็งแรง ไม่เป็นอะไรไปง่ายๆ หรอก”
ป้าแจ่มที่ยืนดูอยู่ไม่ไกลส่ายหน้าอย่างระอาใจ ก่อนจะตักข้าวให้ทุกคน สโรชาทำทีเป็นหันไปดูความเรียบร้อยของเอกสิทธิ์ พลางหยิบช้อนวางในจานให้
เอกสิทธิ์มองยิ้มๆ แล้วตักอาหารเข้าปาก สโรชาแอบยิ้มมุมปากอย่างสมใจ
ป้าแจ่มแอบมาปรับทุกข์กับลุงเติมในครัวว่ารู้สึกเหมือนสังหรณ์ใจอะไรบางอย่าง
“มันแปลกๆ คนพวกนี้ เอ่อ พวกท่าน ๆ ดูจะดีเกินไป”
“ก็งี้แหละ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ยังไม่ชินอีกเรอะ? แล้วคุณหนูไปไหนล่ะเนี่ย?”
“คุณตรัยโทร.มาขออนุญาตคุณท่านพาออกไปแต่เช้า”
ลุงเติมพยักหน้ารับ ก่อนจะก้มหน้าก้มตากินข้าว
พรเพ็ญกับตรัยกรวดน้ำร่วมกันเสร็จแล้วก้มลงกราบพระ ก่อนที่ฝ่ายแรกจะทอดสายตาออกไปแล้วนึกถึงวันที่คุยกับสโรชา คืนที่มีเรื่องกับณัฐพงษ์
“ไม่เป็นไรมากใช่ไหม แค่เขียวนิดนึงทายาวันสองวันก็คงหายนะ ดึกละ น้าเข้าเรื่องเลยล่ะกัน เธอคงเห็นแล้วใช่ไหมว่าน้ากับพ่อของหนูดีกันแล้ว”
พรเพ็ญก้มหน้าไม่มีปฏิกิริยาใดๆ
“น้ารู้ว่าเธอเป็นเด็กหัวอ่อน เข้าใจอะไรง่าย น้าแค่จะบอกว่าถ้าเธอไม่อยากให้อาการของคุณพ่อทรุดไปกว่านี้ ก็อย่าทำให้ท่านเครียด เรื่องวันนี้ขอให้ผ่านไป น้ารับรองว่าเหตุการณ์แบบนี้ จะไม่เกิดขึ้นอีก โอเค.ไหมจ๊ะ
พรเพ็ญพยักหน้านั่งกัดปากน้ำตาคลอ
“น้าว่าแล้วเธอเป็นเด็กเข้าใจอะไรง่าย ไปนอนกันเถอะ อ้อ แล้วช่วงนี้ไม่ต้องห่วงนะ น้าจะช่วยหนูดูแล
คุณพ่ออย่างดีที่สุด”
พูดจบสโรชาก็ลุกเดินออกไป พรเพ็ญนั่งก้มหน้าน้ำตาไหลเป็นทางอยู่คนเดียวในห้อง
เพ็ญยืนเหม่อไปไกลๆ ก่อนจะสูดหายใจเข้าเต็มปอด เริ่มสบายใจขึ้น
“ดีจังค่ะ พี่ตรัยรู้ได้ยังไงคะว่าพรกำลังอยากมา”
“ดูจากสถานการณ์แล้ว เดาได้ไม่ยากมั้งครับ เมื่อกี๊เหม่อคิดอะไรอยู่ครับ?”
“ไม่มีอะไรค่ะ แค่ตั้งใจอุทิศส่วนกุศลที่ทำบุญไปให้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย และคุณพ่อ คุณแม่ด้วย
ถึงจะไม่เคยได้เห็นหน้ากัน แล้วก็ไม่รู้ว่าท่านอยู่ที่ไหน ยังไงก็ขอให้บุญนี้ไปถึงท่านด้วยค่ะ”
พรเพ็ญพูดเศร้าๆ พลางทอดสายตาไปไกล เพราะคิดถึงแม่ ตรัยมองอย่างเห็นใจ
เดือนฉายที่นอนอยู่ที่โซฟา รู้สึกตัวลืมตาตื่น กอล์ฟหันไปเห็นพอดี
“เป็นไงบ้างครับคุณเดือน ท่าทางฝันดีหลับแต่เช้า”
“รู้ได้ไงว่าฉันฝันดี”
“ก็เห็นนอนยิ้มอยู่คนเดียว ท่าทางมีความสุขเชียว ดีนะครับรุ่นนี้นอนยิ้มนิ่งๆ ไม่มีกรน”
เดือนฉายรีบแก้ตัว “ไม่ได้ฝันอะไรนี่ แต่นั่นสินะ รู้สึกดี แปลกๆ”
พูดพลางยกมือแตะหน้าผากตัวเอง ก่อนจะหันไปบอกให้กอล์ฟาหายาแก้ไข้มาให้ แล้วก็แอบอมยิ้ม พยายามคิดว่าเมื่อกี้ฝันอะไร
วิทวัสถือกาแฟมาวางบนโต๊ะ 2 แก้ว ก่อนจะหันมาบอกเพ็ญพร
“เอสเพรสโซ่ดับเบิ้ลช็อตของคุณ”
เธอยกแก้วขึ้นกระดกอึกใหญ่แล้ววางลง เขามองยิ้มๆ
“กินกาแฟได้ดุดีจริงๆ โหดผิดแม่”
“แม่น่ะ เรียบร้อยผิดคุณตาต่างหาก แล้วอะไรยังไงฉันยังไม่ได้ทำอะไรเลยแค่กินกาแฟก็มาว่าฉัน
โหด“
พูดพลางมองค้อน ก่อนจะท้าอีกฝ่ายงัดข้อกัน วิทวัสรับคำท้า พลางเอาข้อศอกมาตั้ง จากนั้นก็คว้ามือเธอมาจับ เพ็ญพรแอบเขินนิด รีบพูดกลบเกลื่อน
“ให้งัดข้อ ไม่ได้ให้จับมือ”
“เขินอ่ะดิ”
เพ็ญพรเบ้ปากใส่ ก่อนที่ทั้งคู่จะเริ่มงัดข้อกัน แต่เธอกลับเล่นขี้โกง ด้วยการลุกขึ้นโหนโน้มน้ำหนัก แต่กลับโน้มมืออีกฝ่ายมาชนแก้วกาแฟหกใส่ตัวเองจนชุดเลอะไปหมด
วิทวัสหัวเราะสะใจ
ทางด้านตรัย ก็หยิบชุดใหม่สีน่ารักสดใสขึ้นทาบตัวพรเพ็ญ ที่มองตาโต พลางส่ายหน้าปฏิเสธ
“น้องพรน่าจะใส่เสื้อผ้าสีสดใสบ้างนะครับ”
“ไม่ได้หรอกค่ะ คุณน้า...”
เธอยังพูดไม่ทันจบ เขาก็พูดแทรกขึ้นมา
“คุณน้ากลัวจะสวยเกินหน้าคุณภา ไม่เห็นต้องกลัวเลย สวยกว่าอยู่แล้ว ลองให้พี่ดูหน่อยนะครับ พี่อยากเห็นน้องพรสดใสกว่านี้”
พรเพ็ญมองชุดในมือตรัย พลางถอนใจเฮือก
ขณะที่เพ็ญพรก็เลือกชุดแบบเดียวกันเด๊ะกับพรเพ็ญ ก่อนจะยิ้มถูกใจ พลางหยิบมาดูป้ายราคา
“ตัวนี้ล่ะ แพงดี จ่ายให้ด้วย”
พูดพลางเดินลิ่วไปห้องลอง วิทวัสหน้าเหรอ แต่ก็รีบเดินตามไปห้องลองเสื้อผ้าสตรี
เพ็ญพรเข้าไปในห้องลองเสื้อ สวนกับพรเพ็ญที่เดินถือเสื้อชุดเหมือนกัน แต่ทั้งคู่ไม่ทันเห็นกัน
วิทวัสยืนรออยู่หน้าห้องนอนอยู่นาน พักใหญ่พรเพ็ญในชุดใหม่ก็เดินออกมา เขามองอย่างตะลึงพลาง ขยี้ตาเหมือนไม่เชื่อตาตัวเอง พอลืมตาขึ้นมาอีก ก็ไม่เห็นเธอตรงที่เดิมนั่นแล้ว เขาพุ่งจะออกจะออกไปตามหา แต่กลับถูกคว้าแขนหมับไว้ก่อน
“จะไปไหน?”
พอเขาหันขวับมา ก็เห็นเพ็ญพรในเสื้อชุดใหม่แบบเดียวกันกับพรเพ็ญ
“เฮ่ย! ก็เมื่อกี๊ อะไรเนี่ย? งง”
เพ็ญพรรีบพูดดักคอ “ไม่ต้องทำหน้างง แค่พันห้า”
วิทวัสยังคาใจ
“ไม่ใช่งั้นคุณ คือเมื่อกี๊ คุณยังอยู่ตรงโน้น?”
“ใช่สิ! เมื่อกี้ถ้าฉันออกมาช้าอีกนิดเดียวคุณคงเผ่นไปแล้วสิ? แหม อย่าแม้แต่จะคิด ไปจ่ายซะดีๆ
พันห้า”
ทางด้านตรัยก็เซ็นชื่อบนสลิปบัตรเครดิต พรเพ็ญที่ยังคงใส่ชุดใหม่มองอย่างเกรงใจ ก่อนจะนึกขึ้นได้
“แต่เดี๋ยวพรขอเปลี่ยนใส่ชุดเดิมนะคะขืนใส่ชุดนี้กลับบ้านให้คุณน้ากับคุณภาเห็นล่ะก็...”
ตรัยทำหน้าเซ็ง ก่อนจะจำใจ ต้องพยักหน้า
ทั้งคู่เดินออกไป คลาดกับที่เพ็ญพรลากวิทวัสเข้ามานิดเดียว
“มาเลย จ่ายเลย พันห้าอย่างง”
“จะให้จ่ายก็ปล่อยสิ แต๊ะอั๋งอยู่ได้”
เธอก้มมองมือตัวเอง ที่ล็อกแขนเค้าไว้ก็สะดุ้งโหยง รีบปล่อย
“สงสัยต้องไปหาหมอว่ะ ตะกี้เห็นเป็นนางฟ้าได้ไงวะ? แม่มดชัดๆ”
วิทวัสส่ายหน้าอย่างเซ็งๆ
วาทินีนั่งเปิดดู Facebook เพื่อน แล้วก็บ่นอย่างอิจฉา ที่เห็นเพื่อนแต่ละคนชอบโพสต์รูปของแบรนด์เนม ก่อนจะหันมามองค้อนเชาว์ที่นั่งขัดหูขัดตาอยู่ข้างๆ
“พี่น่ะแหละ ไม่เห็นมีอะไรให้ฉันแปะอวดใครได้เลย”
“อ้าว แล้วฉันไปเกี่ยวอะไรด้วยล่ะ ไอ้ที่เพิ่งไปทำมาน่ะก็แปะๆ ไปสิบอกด้วยว่าผัวออกตังค์ให้จนหนี้ท่วมจะโงหัวไม่ขึ้นแล้วเนี่ย”
“จะให้เปิดส่วนไหนล่ะ จมูก คาง หรือนมเลย”
“เปิดตรงไหนก็เปิดไปเหอะ จะไปเปิดที่อื่นให้ใครดูด้วยก็ได้นะ ฉันจะได้เบาตัวซักที”
วาทินีปิดคอมพ์ ก่อนจะหันหน้าไปเอาเรื่อง
“พูดงี้หมายความว่าไง ออกตัวไล่ฉันขนาดนี้นี่จะย้ายไปอยู่บ้านหลังใหญ่ของเมียเก่าล่ะสิ ใช่ไหม?”
ขาดคำก็ลุกไปตบตีอีกฝ่าย ที่เบี่ยงตัวหนีด้วยความรำคาญ พลางตะคอกใส่ จนเธอถึงกับน้ำตาไหล
“พี่ไม่รักฉันแล้วใช่ไหม ตะคอกฉันกลับแบบนี้ ฉันไม่ยอม ฉันไม่ยอม”
เชาว์สะบัดตัวออกมา พลางหันไปเงื้อมือทำท่าเหมือนจะตบอย่างลืมตัว อีกฝ่ายถึงกับชะงักไปครู่หนึ่ง
“ทำกับฉันแบบนี้ใช่ไหม วางแผนจะชิ่งฉันงั้นสิ นึกเหรอว่าฉันจะยอม”
“ไม่ได้จะชิ่ง ไม่ได้วางแผนอะไรเลย ช่วงนี้อย่ามาเยอะได้ไหม รำคาญว่ะ”
ขาดคำก็ลุกพรวดออกจากห้องไปด้วยความหงุดหงิด วาทินีมองตามไปด้วยความแค้น
หมอรุจน์ในชุดเสื้อกราวน์ยืนบ่นอย่างหงุดหงิดที่โทร. ติดต่อตรัยไม่ได้ ครู่หนึ่งสุดาที่เดินมาจากด้านหลังก็พูดทักขึ้นมา
“โทษทีนะคะ คุณหมอ”
พอหมอรุจน์หันหน้ากลับมา สุดาจำต้องยกมือไหว้แบบไม่เต็มใจนัก
“สวัสดีค่ะ”
“กะลังจะติดต่อพี่ชายเราอยู่พอดี”
สุดาชูโทรศัพท์ตัวเองให้อีกฝ่ายดู “เหมือนกันค่ะ”
“เจ้าตรัยบอกว่าเราจะมาตรวจภายใน พี่ชายเธอเขาบอกให้ช่วยอำนวยความสะดวกให้ด้วย
มา จะพาไป แผนกสูตินารีอยู่ทางนี้”
สุดาหน้าเหรอ “สูตินารี ไปทำไม?”
“ก็พี่ชายเราบอกจะมาตรวจภายใน ไม่ใช่เหรอ?”
“ตรวจภายในช่องปากค่ะ คุณหมอ” พูดพลางอ้าปากกว้างให้ดู
“อ้าว พี่เราพูดไม่เคลียร์ ทางนี้”
หมอรุจน์เดินเลี้ยวขวับไปอีกทาง แบบกระดาก สุดาหน้าง้ำ ก่อนจะจ้ำเดินตามไป
สโรชาเดินพล่านไปมาอย่างหงุดหงิด ก่อนจะหันมาทำเสียงดุใส่อาภาพรกับณัฐพงษ์ ที่นั่งหน้าไม่รู้ไม่ชี้อยู่
ไม่ห่างกัน
“ฉันบอกพวกแกแล้วใช่ไหมว่าช่วงนี้ให้ทำตัวดีๆ”
“ผมทำไม่ดีตรงไหน แม่บอกให้พยายามบริการคุณลุงเข้าไว้ ผมก็ทำ ถามผมสักคำไหมว่าอยากทำให้
รึเปล่า?”
อาภาพรพยักหน้าเห็นด้วย
“นั่นสิคะคุณแม่ จริง ๆ ไม่เห็นจะต้องเป็นพวกเรา คุณลุงเงินมีตั้งเยอะจ้างพยาบาลสักคนก็จบไม่เห็นต้องมานั่งลำบาก อ้อ ลูกสาวเขาเองก็มีนี่คะ”
พูดจบ ก็โดนสโรชาถลึงตาใส่
“ฉันไม่อยากจะเชื่อจริง ๆ อาหารก็ให้กินดี ๆ ทำไมมันถึงโง่กันได้ขนาดนี้ รู้ก็รู้อยู่ว่าเขาเงินเยอะ สมบัติเยอะ ไม่ทำดีใส่เขาแกจะได้เหรอ”
“เมื่อเช้าคุณลุงก็บอกเองนี่แม่ ว่ายังไงแล้วเขาตายไปเราก็ได้อยู่ดี”
สโรชาได้ฟังก็ยิ่งหงุดหงิด
“โอ๊ย ฉันอยากจะบ้าตาย พวกแกได้เห็นกับตาแล้วรึยังว่าพินัยกรรมมันเขียนว่าให้พวกเราจริงน่ะ แกอย่าลืมนะตราบใดที่ยังมีนังพรอยู่ แกจะแน่ใจได้ยังไงว่าเขาไม่ได้ให้แกพันสองพันน่ะ”
อาภาพรหน้าจ๋อย ก่อนจะถามเสียงอ่อยๆ
“อ้าวอย่างนี้ก็แปลว่าพวกเราต้องคอยเป็นคนใช้ไปจนกว่าคุณลุงจะตายงั้นเหรอคะ? ถึงจะได้มรดก”
“แกว่าสภาพอย่างนั้นจะอยู่ได้ถึงแค่ไหนกันฮะ?”
สโรชาพูดจบ เสียงแตรรถ ก็ดังมาจากหน้าบ้านพอดี อาภาพรชะเง้อมองออกไป แล้วก็ดีใจจนเนื้อเต้น“พี่ตรัยค่ะคุณแม่ รถพี่ตรัยแน่ ๆ คุณแม่คุยด่าพี่ณัฐไปก่อนนะคะ หนูออกไปหาพี่ตรัยดีกว่า”
สโรชารีบปราม
“พอเลย ไม่ใช่แกที่ออกไปก่อน ฉันจะออกไปก่อน หัดเสแสร้งแกล้งทำตัวแบบนังพรหน่อยสิ ไม่ใช่วิ่งโร่ ๆ หาเขาแบบนี้ แล้วอย่าลืมที่ฉันย้ำนะ ทำดีกับคุณลุงเข้าไว้ไม่นานหรอกเดี๋ยวทุกอย่างก็เป็นของเรา”
ขาดคำก็เดินออกจากห้องไป
อาภาพรกระแทกตัวนั่งลงอย่างไม่พอใจ
สโรชาเดินออกมาที่หน้าบ้าน จังหวะที่ตรัยกำลังกางวิลแชร์ให้พรเพ็ญดู
“ใครซื้อวีลแชร์มาน่ะ”
ตรัยหันมายกมือไหว้ “สวัสดีครับคุณน้า ผมซื้อมาเอง”
“ต้องลำบากขนาดนั้นเลยเหรอจ๊ะ น้าว่าคุณเอกแกไม่ได้เป็นอะไรขนาดต้องใช้นะ เช้านี้ก็ออกมาทานข้าวพร้อมหน้ากัน อาการออกจะดี”
“ผมขอโทษที่ซื้อมาโดยพลการครับ แค่เผื่อว่าคุณลุงจะอยากออกมาสูดอากาศข้างนอกบ้าง ถ้าใช้แค่ไม้เท้าอาจจะอันตรายไป”
สโรชาหน้าเปลี่ยนไปนิด ก่อนจะเก็บอาการ
“มีน้าดูแลอยู่ทั้งคน คงไม่อันตรายหรอกจ้ะ แต่เอาเถอะพ่อตรัยอุตส่าห์มีน้ำใจ เอาไปเก็บข้างในสิยัยหนู”พรเพ็ญขยับตัวทำท่าจะพับรถเข็น ตรัยรับอาสาจะยกให้ อาภาพรที่เดินออกมาพร้อมกับณัฐพงษ์มองค้อนอย่างไม่พอใจ
“พระเอกม้ากมากค่ะพี่ตรัยขา”
“ไปไหนกันมาแต่เช้าล่ะ ดีจริงนะพ่อตัวเองป่วยอยู่ไม่ดูแล”
สโรชารีบพูดแทรกขึ้นมา
“แม่กับคุณลุงเป็นคนอนุญาตให้พ่อตรัยเขาพายัยหนูออกไปเองจ้ะ แม่ว่าทำไมลูกไม่ช่วยพ่อตรัยเอาวีลแชร์นี้ไปที่ห้องคุณลุงล่ะลูก”
“ไม่ล่ะฮะ บังเอิญผมมีธุระสำคัญ คุณตรัยยกคนเดียวก็น่าจะไหว ใช่ไหมครับ”
พูดจบก็เดินมาดกวนออกไปเลย ตรัยตัดความรำคาญชิงอุ้มรถเข็นเดินเข้าบ้านไป
“ตั้งไว้มุมห้องก็ได้นะคะ น้าไม่ค่อยอยากให้ใช้เท่าไหร่ กลัวจะเป็นลางเปล่าๆ ค่ะ”
สโรชาตะโกนไล่หลัง พรเพ็ญที่เดินตามตรัยเข้าไปถึงกับหยุดกึกด้วยความไม่สบายใจ
ตรัยสาธิตวิธีการกางและพับเก็บเก้าอี้วีลแชร์ให้ดู พรเพ็ญทำตามอย่างคล่องแคล่ว
“ดีจังไม่ยากเท่าไหร่ พ่ออยากลองนั่งดูเลยไหมคะ หนูจะเข็นออกไปที่สวนให้”
สโรชามองอย่างหมั่นไส้
“ดีค่ะ ไว้ดิฉันจะได้พาคุณออกไปช้อปปิ้งได้ด้วย”
“อ้าว ก็ไหนเมื่อกี้ตอนอยู่ข้างนอกคุณแม่เพิ่งบอกว่ามันจะเป็นลาง”
สโรชาแอบหยิกแขนลูกสาว
“ก็พี่ตรัยเขาซื้อมาแล้วนี่ลูก รับอาหารเลยไหมคะคุณ มียัยหนูอยู่นี่จะได้ให้ช่วยดูคุณไปก่อน เดี๋ยวฉันเตรียมให้”
เอกสิทธิ์ยิ้มเนือยๆ อย่างไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมของสโรชา
สโรชาเดินเข้าห้องครัว พลางมองซ้ายขวาไม่เห็นใคร ก็ตักข้าวจากหม้อเดิมลงชาม ก่อนจะควักซองพลาสติกเล็กๆ ออกจากกระเป๋ากางเกง แล้วค่อยๆ เหยาะผงลงไปในชาม
ณัฐพงษ์เดินเข้ามาในร้านอาหาร เชาว์ที่นั่งรออยู่ก่อนแล้ว รีบลุกขึ้นโบกมือให้
“ทำไมเพิ่งมาล่ะลูก พ่อมารอก่อนตั้งนาน”
“เมื่อเช้าที่บ้านมีแขกนิดหน่อย ช่างเหอะ ว่าแต่พ่อมีอะไรด่วนล่ะ ทำไมไม่ติดต่อแม่”
เชาว์ถอนหายใจ
“ถ้าติดต่อได้ฉันจะเรียกแกออกมาเหรอ? ออกมาข้างนอกทีแต่งตัวโก้แบบนี้พกตังค์เท่าไหร่ล่ะเนี่ย?”
“พ่อมาถามผมแบบนี้ อย่าบอกนะว่าจะเอาตังค์อ่ะ ได้ข่าวแม่เพิ่งให้ไปไม่กี่วัน”
“พ่อว่าจะย้ายที่อยู่ใหม่น่ะ ยังไงมันก็ต้องมีค่ามัดจำล่วงหน้า”
ณัฐพงษ์รีบบอกปัด
“ช่วงนี้แม่ก็ยุ่งๆ บ้านนู้นยุ่งจะตาย พ่ออยู่ที่เก่าไปก่อนเถอะ เชื่อผม”
“อยู่ได้ยังไงเจ้าหนี้มันรู้จักหมดแล้ว แกนี่มันยังไง จะอกตัญญูเรอะ แกลืมไปแล้วหรือไงฉันพ่อแกนะ อยู่บ้านผัวใหม่แม่โก้หรู แต่พ่อแท้ ๆ ตัวเองกลับ...”
ณัฐพงศ์เห็นคนรอบๆ ร้านเริ่มหันมามอง ก็หน้าเสีย
“พ่อเบาๆ อายเขา แม่ให้ตังค์ผมน้อยจะตาย ทำไมพ่อไม่ไปขอยัยภาบ้าง รายนั้นช้อปอย่างกะผลิตแบงค์เอง”
พูดพลางดึงกระเป๋าสตางค์ออกมาจากกางเกงแล้วเปิดหยิบแบงค์ออกมา 4-5 ใบวางบนโต๊ะ เชาว์คลี่แบงค์นับดูแล้วรีบรวบลงกระเป๋าเสื้อ แล้วลุกจากโต๊ะทันที
“จ่ายค่ากินให้ด้วยนะ ร้านนี้แพงไปถ้าคราวหน้าร้านถูกกว่านี้พ่อเลี้ยงเอง อ้อ ฝากบอกแม่แกด้วยนะ ถ้าเกิดยังดื้อไม่รับสายฉันล่ะก็ ไอ้ที่รู้กันแค่ 2 คนน่ะ ถึงหูคนที่ไม่อยากให้รู้แน่ๆ”
ณัฐพงษ์ส่ายหัวหงุดหงิด
สโรชายกถาดอาหารกลับเข้ามาในห้อง พร้อมๆ กับเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เธอรีบวางจานข้าวลง พลางหยิบขึ้นมากดรับ
“ตาณัฐเหรอลูก เดี๋ยวแม่โทร. กลับได้ไหม อะไรนะด่วน ยัยเพ็ญ ตาณัฐมีเรื่องด่วน ป้อนข้าวให้คุณพ่อต่อทีสิ เดี๋ยวดิฉันมานะคะ ทานให้หมดล่ะ ดิฉันตั้งใจทำสุดฝีมือ”
อาภาพรฉวยโอกาสควงแขนตรัย “ไปค่ะพี่ตรัย ให้ลูกสาวเขาดูแลพ่อไปก่อน”
“มีอะไรโทร. หาพี่ได้ตลอดนะครับ”
ทั้งหมดเดินออกจากห้องไป เหลือแต่พรเพ็ญกับเอกสิทธิ์อยู่กันตามลำพัง
อาภาพรเดินเกาะแขนตรัยลงมาที่หน้าบ้าน พลางแกล้งทำทีจะขอติดรถไปด้วย แต่อีกฝ่ายกลับปฏิเสธ
“ขอโทษนะน้องภาพอดีว่าเดี๋ยวพี่ต้องกลับไปรับน้องสาวที่บ้านไปทำธุระน่ะ เดี๋ยวน้องภาลองถามลุงเติมให้ขับรถพาออกไปนะครับ”
จากนั้นเดินขึ้นรถแล้วขับออกไป อาภาพรมองตามอย่างไม่พอใจ
“เล่นตัวไปเถอะพี่ตรัย คอยดูเถอะลองให้น้องภาลงมือเต็มแรงกว่านี้นะ อยากรู้จะไปไหนรอด เชอะ”
เดือนฉายนอนชมอยู่ที่โซฟา เพ็ญพรเดินเข้าไปเอามือแตะเบา ๆ ที่หน้าผากแม่อย่างเป็นห่วง พร้อมกับที่กอล์ฟเดินออกมาจากห้องน้ำมาพอดี
“อ้าว ทำไมกลับเร็วจัง ตกลงว่าไปทำงานหรือไปไหนเนี่ย?”
เพ็ญพรมองค้อน “แล้วใครล่ะที่โทร. ไปบอกว่าแม่เป็นมาก อยากให้รีบกลับ”
เดือนฉายรู้สึกตัวรีบยันตัวลุก
“ตาวัสล่ะลูก?”
“ถามถึงเขาคำแรกเลยนะคะแม่ ลูกสาวอยู่นี่ทั้งคน”
“แม่ถามถึงตาวัสก็เพราะรู้ว่าวันนี้ลูกต้องไปทำงานแทนแม่ ถ้าลูกอยู่นี่แล้วตาวัสไม่อยู่ ก็แปลว่าลูกโดดงาน เอาเปรียบเขาอยู่”
เพ็ญพรทำหน้างอน
“แม่พูดอย่างนี้ได้ยังไง หนูอุตส่าห์รีบกลับมา ว่าแต่เด็กแถวนี้ให้แม่ทานยาแล้วใช่ไหม กี่ชม.แล้วเนี่ย ทำไมยังร้อนอยู่เลย งั้นหนูเข้าครัวทำข้าวต้มให้แม่ทานเย็นนี้ดีกว่า มายืนอ้วนดำอยู่ทำไม? ไปช่วยกันดิ”
ขาดคำก็เดินนำกอล์ฟออกไป เดือนฉายส่ายหน้ายิ้มๆ
ทางด้านพรเพ็ญก็กำลังป้อนน้ำให้เอกสิทธิ์ พลางหันไปดึงกระดาษทิชชูมาเช็ดปากให้ พ่อมองลูกสาวด้วยแววตารักใคร่ปนสงสาร
“หนู...ลำบาก...ไหม...ลูก”
“ลำบากอะไรคะพ่อ ดูแลคุณพ่อน่ะเหรอคะ หนูบอกตั้งหลายทีแล้วคุณพ่ออย่าถามหนูแบบนี้อีกนะคะ”พูดพลางเดินไปนั่งบนเตียง ก่อนจะกอดพ่อไว้ เอกสิทธิ์ลูบหัวลูกสาวแบบเด็กๆ
“ไม่ต้องห่วง...นะ..ลูก พ่อ..เป็น...อะไรไป...ลูกจะสบาย”
พรเพ็ญน้ำตารื้น
“ไม่ค่ะพ่อ หนูไม่ได้ลำบากอะไรเลย พ่อพูดแบบนี้อีกแล้ว พ่อไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ คุณหมอก็บอกให้พ่อกายภาพบำบัด คุณพ่อต้องพยายามเพื่อหนูนะคะ ทานยาตามคุณหมอสั่ง กายภาพบำบัด เดี๋ยวคุณพ่อก็หายค่ะ”
“ลูก..กลับไป..เรียน..เถอะ เชื่อ..พ่อ พ่ออยากให้...ลูก..เรียน”
“แต่คุณน้าอยากให้หนูดูแลพ่อ เอางี้นะคะ พ่อหายเมื่อไหร่หนูจะกลับไปเรียน ดีไหมคะ?”
เอกสิทธิ์ยิ้มรับ ก่อนที่ 2 พ่อ-ลูก จะกอดกันแน่นอย่างมีความสุข
วิทวัสคุยงานกับลูกค้าเสร็จ ก็รีบกดมือถือโทร. หาเดินฉายทันที
“สวัสดีครับ คุณเดือนเป็นยังไงบ้างแล้วครับเนี่ย”
เดือนฉายพยายามยันตัวขึ้นกึ่งนั่งกึ่งนอนบนโซฟา ก่อนจะตอบกลับไปทางปลายสาย
“ปวดเนื้อ ปวดตัว ตามปกติของคนเป็นไข้น่ะจ้ะ ทุกอย่างเรียบร้อยดีใช่ไหมตาวัส ดูสิ รอบนี้เสียเที่ยวมาจริงๆ”
-จังหวะนั้นเพ็ญพรก็ยกชามมาวางที่โต๊ะ “ข้าวต้มร้อนๆ มาแล้วจ้า”
เดือนฉายหันมองเพ็ญพร พลางเอามือป้องปากโทรศัพท์
“คงไม่เป็นไรมากหรอกจ้ะ วันนี้ก็นอนทั้งวัน แล้วพรุ่งนี้น่าจะดีขึ้น”
“ผมไม่กวนแล้วนะครับ คุณเดือนควรไปตรวจซะหน่อยนะครับ ช่วงนี้คนเป็นไข้หวัดกันเยอะ เอาเป็นว่ามีอะไร โทร. หาผมได้ตลอดเวลานะครับ ครับ สวัสดีครับ”
วิทวัสกดวางสาย พลางยิ้ม เมื่อนึกถึงเพ็ญพร
พรเพ็ญยกถาดเหยือกน้ำกำลังจะเดินถึงห้องเอกสิทธิ์ จังหวะเดียวกับอาภาพรเปิดประตูผลั๊วะออกมาจากห้องสโรชา ฝ่ายแรกถึงกับผงะตกใจ
“หน้าซีดเชียว กลัวอะไรเหรอคะ พี่ภาไม่แกล้งอะไรน้องพรหรอกค่ะ คุณแม่สั่งให้ทำดีกับน้องพรเอาไว้ อีกอย่างคนอย่างน้องพรจริง ๆ ก็ไม่ค่อยน่ายุ่งซักเท่าไหร่”
พรเพ็ญไม่ตอบโต้พยายามเบี่ยงตัวจะหลบเดินหนี อีกฝ่ายมองอย่างหมั่นไส้ แกล้งชนไหล่อย่างแรง จนเธอถึงกับเซถาดเหยือกน้ำหล่นกระจายตกพื้นทั้งถาด
อีกด้านหนึ่ง จู่ๆ เพ็ญพรกำเเก้วหลุดมือ จนน้ำนองกระจาย
“เอ้า เป็นอะไรล่ะลูก?”
เพ็ญพรมองมือตัวเองแบบงงๆ “แก้วลื่นน่ะค่ะ”
กอล์ฟลากผ้าขี้ริ้วมาเช็ดพื้น พลางบ่นกระปอดกระแปด
“ลื่นอะไร ซุ่มซ่ามก็บอกซุ่มซ่าม เฮ้อ..ใช้กันซะให้ตาย”
“เดินชนแขนเค้ายังจะมาพูดอีก ไม่ขอโทษแล้วทำเฉยอีก”
เดือนฉายรีบบอก
“หนูเดินมาคนเดียวลูก กอล์ฟมันไม่ได้ตามหนูมา”
เพ็ญพรได้ยินก็ยิ่งสงสัย ก็เธอรู้สึกว่ามีคนเดินชนเธอแน่ๆ นี่นา
พรเพ็ญกำลังก้มเก็บเศษกระเบื้องในน้ำที่นองพื้นอยู่ ป้าแจ่มยกถ้วยขนมมาพอดี ก่อนจะรีบก้มลงช่วยเก็บ
อาภาพรมองอย่างเหยียด ๆ
“เสียหมด อุตส่าห์เป็นถึงลูกเจ้าของบ้านศิลาแดง ก้มหน้าทำงานอย่างกะคนใช้”
แต่พอเห็นอีกฝ่ายไม่ตอบโต้ ก็รีบเดินออกไปอย่างหมดสนุก
เอกสิทธิ์ลืมตาตื่น เหงื่อชุ่มเหมือนฝันไม่ดี
“ยัย...หนู...อยู่หน้า...ห้องเหรอลูก?”
พอหันไปที่โต๊ะข้างเตียง กลับไม่เห็นมีเหยือกน้ำตั้งอยู่ เขากลืนน้ำลายด้วยความคอแห้ง ก่อนจะหันไปเห็นไม้เท้าวางพิงอยู่มุมห้อง จึงพยายามยันตัวลุกจากที่นอน แล้วค่อยๆ เกาะเตียงไปที่ไม้เท้า
ป้าแจ่มจัดแจงเทน้ำใส่เหยือกใหม่ ก่อนจะหันไปถามพรเพ็ญ
“คุณหนูไม่ได้ล้มเองใช่ไหมคะ? บอกป้ามาเถอะค่ะว่าโดนคุณภาแกล้ง คุณหนูไม่ตอบ ป้าแจ่มก็เดาได้ ทำไมคุณหนูไม่บอกคุณท่านล่ะเจ้าคะ?”
“จะบอกให้คุณพ่อไม่สบายใจไปเพื่ออะไรคะ?”
“คุณท่านน่ะรักคุณหนูอย่างกับอะไร ถ้าคุณท่านทราบล่ะก็ ฮึ สนุกแน่”
ขาดคำก็มีเสียงดังโครมใหญ่ดังจากด้านบน พรเพ็ญกับป้าแจ่มสะดุ้งตกใจ
ทั้งคู่วิ่งหน้าตื่นขึ้นมาข้างบน ขณะที่เอกสิทธิ์นอนกองอยู่ที่พื้น พรเพ็ญรีบถลาไปกอดพ่อ
“พ่อ พ่อ หนูอยู่นี่ค่ะ พ่อฟื้นสิคะ พ่อ ป้าแจ่มโทรเรียกรถพยาบาลเลยค่ะ เร็ว ๆ นะคะป้า”
อ่านต่อตอนที่ 2