xs
xsm
sm
md
lg

ปลาหลงฟ้า ตอนที่ 6

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


ปลาหลงฟ้า ตอนที่ 6

นะดีใส่ชุดนักเรียนวิ่งนำสมใจมาที่หน้าบ้าน
 
“ยายบอกให้เดินดีๆ ไงนะดี ไม่ฟังเลยนะเรา”
“ทำไมถึงวิ่งไม่ได้ล่ะคะยาย”
นะดีไปหยุดรอที่หน้าประตูบ้านหันมาถามด้วยความอยากรู้
“ก็ถ้าวิ่งไม่ระวังสะดุดอะไรมันจะหกล้มไปน่ะสิ”
“นะดีก็วิ่งแบบระวังไง แต่ถ้าหกล้มเป็นแผลเดี๋ยวนะดีก็ให้ยายใส่ยาให้”
นะดีตอบฉะฉานแบบเด็กฉลาด
“จริงๆ เลยนะเราน่ะ”
สมใจกำลังจะไขกุญแจบ้าน รถของน่านฟ้าแล่นมาจอดพอดี
“อาน่านมา แม่หยีก็มาด้วย”
นะดีวิ่งไปหามัศยากับน่านฟ้า
“สวัสดีค่ะแม่หยี สวัสดีค่ะอาน่าน”
แทนที่จะวิ่งไปกอดมัศยา นะดีกลับวิ่งเข้าหาน่านฟ้า ชายหนุ่มเลยอุ้มเด็กน้อยขึ้นมา
“วันนี้อาน่านจะพานะดี คุณยายแล้วก็แม่หยีไปกินข้าวข้างนอกกัน”
น่านฟ้าบอกแล้วก็เดินอุ้มนะดีเข้าไปหาสมใจ
“อาน่านจะพาไปกินข้าวข้างนอกค่ะยาย”
“มีอะไรหรือเปล่าหยี จู่ๆ จะมารับไปกินข้าวนอกบ้านแบบนี้”
สมใจหันไปถามมัศยาเพราะรู้สึกว่าแปลกๆ มัศยาไม่ตอบ มองหน้าน่านฟ้าให้บอกเอง
“ผมมีเรื่องจะรบกวนให้น้าสมใจช่วยหน่อยครับ”
สมใจชะงักแปลกใจ

ป้ามะลิเพิ่งจะอาบน้ำเสร็จ ทาแป้งหน้าขาว นั่งดูละครเย็นอย่างสบายใจ
“นางเอกเดี๋ยวนี้มันต้องแบบนี้สิ อย่าไปโง่ แม่ผัวเลวๆ มันต้องด่ามาด่าไป”
ป้ามะลิอินกับละคร
“ป้ามะลิครับ ป้ามะลิ อยู่หรือเปล่าครับ”
เสียงน่านฟ้าตะโกนถามอยู่หน้าบ้าน
“ใครกันวะมาขัดเวลาดูละคร เดี๋ยวถ้าไม่มีธุระสำคัญแม่จะด่าให้หูชาเลย”
ป้ามะลิบ่นแล้วก็ลุกขึ้นเดินออกไปหน้าบ้าน

น่านฟ้า มัศยาและนะดียืนอยู่ สมใจยืนอยู่ข้างหลังน่านฟ้าและมัศยา
“ป้ามะลิครับ อยู่หรือเปล่าครับ ช่วยกันเรียกหน่อยสิเจ๊ อย่ากินแรงดิ”
“คุณเรียกคนเดียวดีแล้ว เวลาป้าแกด่าจะได้ถูกตัว”
ป้ามะลิออกมาหน้าบ้าน
“ใครวะมาโวยวายอะไรหน้าบ้าน ไอ้หนุ่มนี่อีกแล้ว คราวที่แล้วพาเมียมาลำบากไม่พอ นี่พาลูกมาด้วยเรอะ อย่าคิดว่ามีเด็กมาแล้วข้าจะใจอ่อนนะ ใช้แรงงานเด็กแบบนี้มันต้องด่าซะให้กลับตัวไม่ทัน”
“อย่าเพิ่งด่าเลยครับป้า มีคนเขาอยากเจอป้าน่ะครับ”
“ใครวะ มันจะมาอยากเจอข้าทำไม”
“ฉันเองพี่มะลิ”
น่านฟ้าและมัศยาหลีกทางให้สมใจเดินออกมา
“สมใจ”
ป้ามะลิอุทานดีใจปนแปลกใจ

สมใจกับป้ามะลินั่งคุยกันด้วยความคิดถึง มีน่านฟ้า มัศยาและนะดีนั่งอยู่ใกล้ๆ กัน
“ฉันกับแกไม่เจอกันมากี่ปีแล้วเนี่ยฮะสมใจ”
“ยี่สิบกว่าปีแล้ว ตั้งแต่ฉันยังไม่มีหยีแน่ะ เกือบลืมแนะนำไป นี่หยีลูกสาวฉันแล้วก็”
สมใจทำท่าจะแนะนำน่านฟ้า แต่ป้ามะลิพูดแทรกขึ้นมาก่อน
“รู้จักแล้ว ไอ้หนุ่มนั่นผัวลูกสาวแก แล้วนี่ก็คงหลานใช่มั้ย”
สมใจมองหน้ามัศยากับน่านฟ้า เห็นทำหน้านิ่งๆ ไม่แก้ตัวว่าอะไรก็เลยปล่อยเลยตามเลยบ้าง
“เอ่อจ้ะ แล้วนี่ลูกผัวพี่ล่ะพี่มะลิ”
สมใจถามเมื่อไม่เห็นมีใครอื่นในบ้าน ป้ามะลิหน้าเศร้าลงนิดหนึ่ง
“ลูกป้าเขาเสียไปแล้วน่ะแม่”
มัศยารีบกระซิบบอก สมใจตกใจที่ไปจี้จุด เลยรีบขอโทษ
“ฉันขอโทษนะพี่มะลิ”
“แกจะมาขอโทษทำไม แกไม่ได้ทำให้ลูกฉันตายสักหน่อยนังสมใจ ดีซะอีกโบราณเขาว่ามีลูกกวนตัวมีผัวกวนใจ ไม่มีก็ไม่เป็นไร สบายทั้งใจทั้งตัว”
“ป้ามะลินี่แซ่บมาก สงสัยตอนสาวๆ มีคนมาจีบ ป้าแกด่ากระเจิงหมดเนอะเจ๊”
น่านฟ้ากระซิบกับมัศยา
“นี่ๆ ข้าได้ยินนะ ลูกเขยแกนี่มันปากดีจริงๆ นังสมใจ”
“ปากหาเรื่องมากกว่าค่ะป้า”
ป้ามะลิมองหน้ามัศยาอย่างพินิจพิเคราะห์
“ลูกสาวแกนี่ก็สวยได้เค้าแกมาเหมือนกันนะนังสมใจ แต่ข้าว่าสู้แกตอนสาวๆ ไม่ได้ว่ะ”
มัศยาหุบยิ้มในขณะที่น่านฟ้ายิ้มสะใจ
“สมัยอยู่ราชบุรีแม่แกเขาเป็นนางงามร้อยขันเชียวนะ”
“นางงามอะไรครับร้อยขัน”
น่านฟ้างงเคยได้ยินแต่นางงามกับมงกุฎ
“ต่างจังหวัดเวลาประกวดนางงามรางวัลเขาจะเป็นขันน้ำพานรองกันน่ะค่ะคุณน่าน”
สมใจอธิบายให้ฟัง
“อ้อ ครับ แต่โหดๆ อย่างเจ๊นี่น่าจะเป็นนางงามร้อยศพมากกว่านะ”
น่านฟ้ากระซิบแหย่มัศยาพอได้ยินกันสองคน มัศยาหมั่นไส้แอบบิดเนื้อที่แขนของน่านฟ้าจนเผลอร้องออกมา
“โอ๊ย เจ็บนะเจ๊”
“ถ้าคุณยังไม่หยุดพูดจะเจ็บยิ่งกว่านี้อีก”
อยู่ๆ เสียงท้องของนะดีก็ร้องโครกคราก
“นะดีหิวแล้ว ไหนอาน่านบอกว่าจะพาไปกินข้าว”
“หิวเหรอลูก มายายมีของอร่อยให้กินรองท้อง”
ป้ามะลิบอกแล้วก็ลุกขึ้นไปหยิบข้าวเกรียบใส่จานมาส่งให้นะดี นะดียกมือไหว้ขอบคุณแล้วก็รับไปใส่ปากเคี้ยวตุ้ยๆ
“เป็นไงลูก อร่อยมั้ย”
“อร่อยที่สุดในโลกเลยค่ะคุณยาย นะดีอยากกินเยอะๆ เลย”
นะดีบอกแล้วก็นั่งกินข้าวเกรียบอย่างเอร็ดอร่อย
“เดี๋ยวทอดให้ใหม่ เอาแบบร้อนๆ จากเตาเลย แล้วนี่อยู่ๆ ก็โผล่มาแบบนี้ มีอะไรหรือเปล่าวะ”

สมใจสะอึก เมื่อป้ามะลิรู้ทัน

ป้ามะลิยืนทอดข้าวเกรียบอยู่ในครัว สมใจคอยหยิบข้าวเกรียบส่งให้
 
“ฉันว่าพี่มะลิก็รู้อยู่แล้วล่ะว่าฉันมาทำไม”
สมใจอายแก่ใจอยู่เหมือนกันที่ไม่เจอกันเป็นยี่สิบปี โผล่มาก็ขอความช่วยเหลือเลย
“นี่ถ้าฉันไม่เจอลูกสาวกับลูกเขยแกก่อน ไม่เจอกันเป็นสิบๆ ปี โผล่มาแบบนี้ฉันคงนึกว่าแกขายประกันหรือไม่ก็จะลงสมัครส.ส.”
“คุณน่านฟ้าเขาไม่ใช่ลูกเขยฉันหรอก เขาเป็นลูกชายของท่านประธานโชคน่ะ แล้วก็เป็นประธานคนใหม่ของมีโชค ฉันน่ะออกจากมีโชคมาได้พักใหญ่แล้วแต่หยียังทำอยู่ที่นั่น”
“อ้าว เหรอ ไอ้ฉันก็นึกว่าแกจะทำที่มีโชคจนตายคาโรงงานซะอีก”
“หลังๆ มานี่สุขภาพฉันไม่ค่อยดีน่ะพี่ พอดีได้หยีเข้าไปทำแทนฉันก็เลยออกมาพัก”
“อ้อ ตัวตายตัวแทน ตกลงทั้งแกทั้งลูกสาวนี่ปั๊มตรา ณ มีโชค กันหมดเลยใช่มั้ย”
“ตอนนี้คุณน่านเขาเพิ่งจะรับตำแหน่งประธานมีโชค เขาต้องพิสูจน์ตัวเองด้วยยอดขายที่เพิ่มขึ้นห้าสิบเปอร์เซ็นต์ภายในเวลาสามเดือน ประธานโชคพ่อของคุณน่านมีบุญคุณกับฉันและลูกมาก ถึงคราวที่ฉันกับลูกจะต้องตอบแทนท่านแล้ว พี่มะลิช่วยหน่อยนะ เรื่องข้าวเกรียบคงไม่มีใครเกินพี่แล้ว”
“เขามีบุญคุณกับแกกับลูก แล้วเกี่ยวอะไรกับฉันล่ะสมใจ”
ป้ามะลิเอาข้าวเกรียบใส่ลงในจาน ก่อนจะถือเดินออกจากครัวไป สมใจรีบเดินตาม ป้ามะลิเอาจานข้าวเกรียบมาวางตรงหน้านะดี
“เอ้า ยายทอดมาใหม่ๆ ร้อนๆ กินให้พุงกางไปเลยลูก ข้าไม่รู้จักหรือไอ้การเพิ่มยอดลดยอดอะไรนั่น ยอดขายข้าวเกรียบของข้ามันก็เหมือนเดิมทุกวัน ขายหมดก็กลับบ้านเท่านั้นเอง”
“แต่ถ้าป้าทำแป้งเพิ่มป้าก็จะขายได้เยอะกว่าเก่า รายได้ก็จะเพิ่มขึ้นนะคะ”
มัศยาในฐานะทำงานด้านการตลาด อดมองช่องทางเพิ่มยอดขายไม่ได้
“แล้วจะเหนื่อยเพิ่มไปทำไมล่ะนังหนู ข้าก็อยู่ของข้าคนเดียว กินคนเดียว นอนคนเดียว เท่านี้ข้าก็มีความสุขแล้ว ถ้าข้าทำแป้งเพิ่มก็เท่ากับว่าข้าต้องใช้เวลาขายเพิ่มขึ้น ปั้นข้าวเกรียบมากขึ้น ยืนทอดนานขึ้น แล้วข้าก็คงอดดูละครตอนเย็น ต้องนอนดึกขึ้นอีก ยอดความทุกข์แบบนั้นข้าไม่เอาด้วยหรอกโว้ย”
ป้ามะลิบอกตามวิสัยทัศน์ของแก
“ป้าก็มาเพิ่มยอดให้ผมแทนสิครับ ถ้าป้าไม่อยากขายสูตรก็ยกให้ผมฟรีก็ได้ผมไม่รังเกียจ”
“นี่ไอ้หนุ่ม ข้าทอดข้าวเกรียบมาทั้งชีวิต เอ็งมีเวลาเท่าไหร่ถึงคิดว่าจะทำได้แบบที่ข้าทำ”
ป้ามะลิถามน้ำเสียงดุๆ
“ผมมีเครื่องจักรครับป้า รับรองผลิตได้เยอะกว่าที่ป้าทอดแน่ๆ”
น่านฟ้ายังไม่รู้สึกตัวว่าพูดคนละเรื่องกับป้ามะลิ
“นี่คุณน่าน ฉันว่าคุณเงียบแล้วฟังเฉยๆ ดีกว่า ถ้าไม่อยากปิดทางตัวเอง”
น่านฟ้าทำหน้าจ๋อยๆ เหมือนเด็กโดนดุ
“ข้าวเกรียบคืออะไรไอ้หนุ่ม”
จู่ๆ ป้ามะลิก็ถามน่านฟ้าขึ้นมาน้ำเสียงจริงจัง น่านฟ้างง ที่ถูกถามด้วยคำถามที่ไม่คิดมาก่อนว่าจะโดนถาม
“ข้าวเกรียบก็เป็นพวกสแน็คที่เอาไว้ทานเล่นไงครับป้า”
น่านฟ้าตอบออกไปด้วยความมั่นใจว่าใช่แน่
“เอ็งยังไม่รู้จักข้าวเกรียบเลย แล้วจะมาเป็นประธานบริษัทข้าวเกรียบมีโชคเนี่ยนะ อย่าว่าแต่สามเดือนเพิ่มยอดห้าสิบเปอร์เซ็นต์เลย สามปีเพิ่มสักเปอร์เซ็นต์ก็ยังไม่ได้”
น่านฟ้าสะอึกหน้าเจื่อนไปเลย ขณะที่มัศยามองเอ็ดน่านฟ้า
“พี่มะลิก็ช่วยคุณน่านแกหน่อยสิ นะพี่นะ”
“นี่เป็นเพราะว่าเห็นแก่แกนะนังสมใจ ข้าถึงไม่ไล่ตะเพิดไอ้หนุ่มนี่ออกจากบ้าน ไอ้การจะช่วยใครไม่ช่วยใครมันอยู่ที่ความอยากโว้ย แล้วตอนนี้ข้าก็ไม่ได้รู้สึกว่าอยากจะช่วย ถ้าไอ้หนุ่มนี่ทำให้ข้ารู้สึกว่าอยากช่วยได้เมื่อไหร่ ไม่ต้องมาอ้อนวอน เดี๋ยวข้าขอช่วยมันเอง แต่ว่ามันจะมีวันนั้นหรือเปล่าข้าไม่รับปากนะ”
น่านฟ้าและมัศยามองหน้ากันคิดหนัก

หลังออกจากบ้านป้ามะลิ น่านฟ้า มัศยา สมใจและนะดีมากินข้าวในสวนอาหาร
“ที่จริงเรากลับไปทานข้าวที่บ้านกันก็ได้นะคะคุณน่านไม่ต้องมาร้านแบบนี้ให้มันสิ้นเปลือง”
“ไม่เป็นไรหรอกครับน้าสมใจ ผมไปรบกวนหลายรอบแล้ว คราวนี้ขอเป็นเจ้ามือบ้างครับ”
“อ้อ รู้ตัวด้วยเหรอคะว่ารบกวน”
“หยีนี่ก็ ยังไงเราก็เป็นลูกน้องนะลูก จะพูดจาอะไรก็ให้เกียรติเจ้านายด้วย”
“ผมน่ะเด็กในคอนโทรลเจ๊เขาครับ ผมไม่กล้าหือหรอก”
มัศยาไม่ต่อปากต่อคำด้วย แต่ใช้สายตามองเชิงปรามน่านฟ้าแทน ทำเอาน่านฟ้าจ๋อยลงได้เหมือนกัน
“ดูท่าทางป้ามะลิยังไม่ใจอ่อนเลยนะคะแม่ เราจะทำยังไงดี”
“พี่มะลิแกเข้ากรุงเทพมาพร้อมกับแม่ มาทำงานที่มีโชคด้วยกันนี่แหละ แต่ทำได้สักพักแกก็ออกไปทำข้าวเกรียบขายเอง แกบอกว่าอยากขายข้าวเกรียบให้คนที่อยากกินจริงๆ ไม่ใช่เอาไปวางขายในร้านสะดวกซื้อ คนไม่รู้จะกินอะไรดีก็เลยหยิบข้าวเกรียบ”
“จำกัดลูกค้าเฉพาะแบบนั้นมันผิดหลักการตลาดนี่นา ใช่มั้ยเจ๊”
“นี่คุณรู้เรื่องการตลาดกับเขาด้วยเหรอ”
“อ้าว เจ๊ เห็นผมแบบนี้แต่ไม่โง่นะครับ ว่าแต่ป้ามะลิมาแนวอุดมการณ์แบบนี้เราต้องใช้อุดมการณ์เจาะเข้าไปหา”
“ยังไง”
มัศยาถาม แล้วทั้งมัศยากับสมใจก็รอฟังคำตอบ
“ยังไงน่ะเหรอ นั่นสิยังไงดี เจ๊ต้องช่วยผมคิดนะว่าจะเจาะป้ามะลิยังไงดี”
มัศยากับสมใจถอนหายใจออกมาพร้อมกัน ในที่สุดก็ไม่ได้เรื่องตามเคย
“อาน่านขา นะดีหิวแล้ว”
“อะไรกันลูกคนนี้ เมื่อกี้ก็เพิ่งกินข้าวเกรียบของยายมะลิไปซะหมดครัว นี่หิวอีกแล้วเหรอ”
“เด็กกำลังโตนี่นา เนอะนะดีเนอะ นะดีอยากทานอะไรสั่งเลยไม่อั้น อาน่านซะอย่าง”
“อาน่านใจดีที่สุดในโลกเลย”

นะดีบอกแล้วก็ลงจากเก้าอี้เข้ามากอดน่านฟ้า มัศยามองดูนะดีกับน่านฟ้าแล้วใช้ความคิด

ภายในรถน่านฟ้า มัศยานั่งด้านหน้าคู่กับน่านฟ้า สมใจกับนะดีนั่งเบาะหลัง แต่นะดีก็พยายามชะโงกมาข้างหน้าตลอดเวลา
 
“เป็นไงคะนะดีอร่อยมั้ย”
“อร่อยที่สุดในโลกเลยค่ะ”
“เอ อาน่านคุ้นๆ แฮะ เหมือนนะดีเคยบอกว่าข้าวเกรียบป้ามะลิอร่อยที่สุดในโลก”
น่านฟ้าท้วงๆ แบบไม่ได้จริงจังนัก
“ก็ข้าวเกรียบกับข้าวธรรมดามันคนละอันกันนี่คะ”
“โอเคๆ อาผิดเอง”
“นะดีนั่งดีๆ สิลูก”
“ก็นะดีรักอาน่านอยากอยู่ใกล้ๆ อาน่านนี่ แม่ให้อาน่านอยู่ที่บ้านเราสิคะ อาน่านเล่านิทานสนุกนะดีจะได้ฟังนิทานทุกวัน”
“ถ้าอาน่านไปอยู่บ้านนะดีแล้วพ่อของนะดีล่ะจะไปอยู่ไหน”
“พ่อไม่ค่อยมาหานะดีอยู่แล้วค่ะ พ่อดุด้วย อาน่านใจดีกว่าเยอะเลย”
นะดีบอกอย่างน้อยใจ
“อ้าว แล้วนาย เอ่อ พ่อสินธุ ไม่ใช่พ่อนะดีเหรอคะ”
นะดีอ้าปากจะพูด แต่มัศยาขัดขึ้น
“นะดี ไม่เอาลูก เรื่องของผู้ใหญ่”
นะดีเงียบกริบขณะที่น่านฟ้าสวนขึ้น
“แต่ผู้ใหญ่ถามอยู่นะเจ๊”
“นี่มันเรื่องภายในครอบครัวฉัน คุณคงไม่จำเป็นต้องรู้หรอกมั้ง”
น่านฟ้าเห็นท่าทาง น้ำเสียงของมัศยาน่าจะเป็นเรื่องจริงจัง เลยเงียบ แล้วก็ออกรถไปแต่โดยดี

รถของน่านฟ้าแล่นเข้ามาจอดหน้าบ้านมัศยา น่านฟ้าลงจากรถมาเปิดประตูให้สมใจที่อุ้มนะดีซึ่งหลับอยู่
“เดี๋ยวผมอุ้มไปส่งให้ครับคุณป้า”
น่านฟ้าทำท่าจะรับนะดีมาจากสมใจ แต่มัศยาห้ามเอาไว้เสียก่อน
“ไม่ต้องหรอกค่ะ แม่เอานะดีเข้านอนเลยนะ เดี๋ยวหยีตามไป”
มัศยาบอกเชิงสั่ง สมใจพยักหน้ารับแล้วก็อุ้มนะดีไขกุญแจเข้าบ้านไป
“อย่าคิดมากน่าเจ๊ ผู้ชายไม่ได้มีคนเดียวในโลก”
น่านฟ้าเห็นมัศยาหน้าเครียดๆ ก็พยายามปลอบ
“คุณพูดเรื่องอะไร”
“ก็เห็นเจ๊เครียดเรื่องแฟน ขนาดผมถามดีๆ ยังไม่ให้พูดถึง เอาน่า ผู้ชายเลวๆ ไม่รับผิดชอบแบบนั้นอย่าไปใส่ใจเลย เจ๊ต้องหัดทำตัวเป็นดอกไม้ที่เชิดใส่ผีเสื้อรู้เปล่า”
“ฉันขอความคิดเห็นคุณตอนไหนไม่ทราบ”
“อ้าว ไหงพูดงั้นล่ะเจ๊ ผมอุตส่าห์ช่วยคิดนะเนี่ย”
“ถ้าคุณมีเวลาเหลือเฟือล่ะก็ช่วยคิดให้ออกว่าจะทำให้ป้ามะลิช่วยได้ยังไงดีกว่า”
มัศยาหันหลังเดินเข้าบ้านไป น่านฟ้างงๆ
“อะไรของเจ๊เขาวะ”
น่านฟ้าบ่นหัวเสียก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดหานิรชา นิรชารับโทรศัพท์ของน่านฟ้า
“สวัสดีค่ะคุณน่าน นิ้มกำลังคิดถึงอยู่พอดีเลย ได้ค่ะ เดี๋ยวนิ้มออกไปเลย เจอกันที่เดิมนะคะ”
นิรชาบอกแล้วก็เดินมาที่หน้ากระจก เติมแต่งหน้า
“จะออกไปไหนอีกล่ะลูก เพิ่งกลับเข้ามาเองไม่ใช่เหรอ”
นารีถามด้วยความเป็นห่วง
“ที่ทำงานเขาโทรตามน่ะค่ะ แม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะ เดี๋ยวหนูจะรีบกลับ แม่นอนซะนะไม่ต้องรอหนูหรอก”
“ระวังตัวด้วยนะลูกนะ”
นารีร้องสั่งไล่หลัง
นิรชาโบกรถแท็กซี่ พอรถแล่นออกไป รถของปารณก็แล่นเข้ามาจอดแทนที่
“ไปไหนของเขานะ นี่เธอไม่คิดจะใช้ชีวิตแบบปกติเหมือนคนอื่นเขาจริงๆ เหรอ”

นิรชาเดินเข้ามาในผับ สอดส่ายสายตามองหาน่านฟ้า ปารณตามาห่างๆ ไม่ให้รู้ตัว นิรชาเดินมาถึงมุมหนึ่งก็ถูกน่านฟ้าดึงตัวไป
“คุณน่าน นิ้มตกใจหมดเลย”
นิรชาใช้จริตยั่วยวนแต่พองาม
“เสียงมันดัง เรียกแล้วคุณนิ้มไม่ได้ยิน เลยต้องใช้วิธีถึงตัวแบบนี้แหละครับ ผมจองโต๊ะไว้ทางโน้นครับ”
น่านฟ้าพานิรชาเดินเลี่ยงคนไป ปารณตามมาห่างๆ โดนคนเบียดจนเซ มองอีกทีก็ไม่เห็นนิรชาแล้ว
“หายไปไหนวะ”
ปารณบ่นอย่างหงุดหงิด

น่านฟ้าพานิรชามานั่งที่โต๊ะที่จองเอาไว้ เป็นมุมที่เสียงดนตรีเบาลง
“ผมนึกว่าคุณนิ้มจะไม่ว่างออกมาเจอกันซะแล้ว”
“ว่างสิคะ สำหรับคุณน่านยังไงนิ้มก็ว่างค่ะ”
น่านฟ้าส่งแก้วให้นิรชาแล้วก็ยกแก้วของตัวเองขึ้นชูตรงหน้า
“สำหรับมิตรภาพของเราครับ
นิรชายกแก้วขึ้นชนแล้วก็จิบเพียงเล็กน้อย เธอเห็นปารณเดินมาแถวๆ นั้น ก็เลยผลักน่านฟ้าให้เอนตัวลงแล้วตัวเองก็เอนทับ ทำเหมือนอุบัติเหตุไม่ได้ตั้งใจ ปารณเดินเลยไปไม่ทันสังเกต
“ขอโทษทีค่ะ เมื่อกี้นิ้มโดนเบียดเลยไปเบียดคุณน่านอีกคน”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ คุณนิ้มตัวนุ่มๆ หอมๆ แบบนี้ ให้เบียดทั้งคืนก็ไหวครับ”
น่านฟ้าบอกน้ำเสียงกรุ้มกริ่ม
“นิ้มว่าเราออกไปคุยกันข้างนอกดีกว่าค่ะ อยู่ข้างในนี้รู้สึกอึดอัดยังไงไม่รู้”
นิรชามองซ้ายขวาเพราะกลัวปารณจะมาเจอเข้า
“แล้วแต่คุณนิ้มเลยครับ ผมยังไงก็ได้ แค่อยู่ใกล้คุณนิ้มก็พอแล้ว”
“อยู่ใกล้คุณน่านมากๆ นี่ สงสัยนิ้มจะเป็นเบาหวานแน่ๆ เลย ไปกันเถอะค่ะ”

นิรชาดึงมือน่านฟ้าให้เดินไปทางประตูผับ ปารณเดินกลับมาหยุดตรงโต๊ะที่น่านฟ้ากับนิรชาเคยนั่ง แต่มองหานิรชาไม่เจอ

น่านฟ้ากับนิรชายืนพิงรถน่านฟ้าคุยกัน
 
“คุยข้างนอกค่อยยังชั่วหน่อยนะคะ”
“ดีครับ”
น่านฟ้าพลิกตัวหันหน้าเข้าหานิรชา
“ผมมีเรื่องอยากคุยกับคุณนิ้มยันเช้าเลยครับ”
น่านฟ้าโน้มตัวลงทำท่าเหมือนจะจูบนิรชา
“เฮ้ย จะทำอะไรวะ”
เสียงปารณดังขึ้น แล้วปารณก็เข้ามากระชากคอเสื้อน่านฟ้า น่านฟ้าหันหน้าไปหาปารณซึ่งกำหมัดทำท่าจะชกหน้า
“ไอ้เป้”
“ไอ้น่าน”
ทั้งคู่อุทานออกมาพร้อมกัน นิรชาตกใจที่ทั้งเจอปารณแถมปารณกับน่านฟ้ายังรู้จักกันอีก
“นี่คุณสองคนรู้จักกันเหรอ”
“ยิ่งกว่ารู้จักอีก อย่าบอกนะว่าไอ้น่านนี่คือเหยื่อรายใหม่ของเธอ”
“เหยื่ออะไรวะ พูดจาให้เกียรติผู้หญิงหน่อยสิวะไอ้เป้”
“ต้องแบบไหนถึงจะให้เกียรติวะ จูบผู้หญิงที่ลานจอดรถใช่ปะ”
ปารณกับน่านฟ้าเริ่มจะทะเลาะกัน นิรชาเห็นท่าไม่ดี พอดีมีแท็กซี่เข้ามาส่งคน นิรชาเลยรีบขึ้นแท็กซี่ออกไปทันที น่านฟ้ากับปารณได้ยินเสียงรถแล่นออกไปก็หยุดหันมามอง เห็นว่านิรชานั่งแท็กซี่หนีไปแล้วก็หันมามองหน้ากันโกรธนิดๆ
“แกกับฉันมีเรื่องต้องเคลียร์กันยาวไอ้น่าน”

ปารณกับน่านฟ้านั่งหน้าเครียดอยู่ที่คอนโดของปารณ
“แกรู้จักนิได้ยังไง”
“ใครวะนิ”
“ก็ผู้หญิงคนนั้นแหละ เขาบอกแกว่าชื่ออะไรล่ะ น้ำหวาน น้องเนย หรือว่าอะไร”
“เขาชื่อคุณนิ้ม”
“เออ นั่นแหละ แกรู้จักได้ยังไง เอางี้ดีกว่าแกโดนไปเท่าไหร่”
ปารณถามตรงประเด็นที่อยากรู้
“โดนอะไรวะ ไอ้นี่พูดจาแปลกๆ”
“ก็โดนคุณนิ้มอะไรของแกหลอกไปเท่าไหร่ กี่แสนหรือเป็นล้าน”
“หลอกบ้าอะไรล่ะ คอนโดเขาออกจะหรู ราคาไม่ต่ำกว่าสิบล้าน”
“ฉันเดาว่าแกได้ไปส่งแค่ที่หน้าคอนโด แล้วแกรู้ได้ไงว่าเป็นคอนโดเขาจริงๆ”
“แกพูดเหมือนกับว่าคุณนิ้มเขาเป็นสิบแปดมงกุฎ ทำไมเหรอ แกเคยโดยเขาหลอกเหรอวะไอ้เป้ถึงได้แค้นฝังหุ่นแบบนี้”
“เปล่าโว้ย แค่เคยได้ยินมา”
ปารณบอกปัดเพราะกลัวเสียฟอร์ม
“ไอ้นี่แปลกคนว่ะ แค่ได้ยินมาก็มาพูดซะนึกว่าเจอกะตัว”
“เออ ยังไงก็ระวังไว้มั่งก็ดี ว่าแต่เมื่อไหร่แกจะกลับมาทำงานซะทีวะ”
น่านฟ้าสะอึก ไม่รู้จะพูดอย่างไร
“คงอีกสักพัก”
“เฮ้ย นี่แกกินแรงฉันมานานแล้วนะ ไหนบอกว่าแค่จะป่วนให้แม่ใหญ่เตะแกส่งออกจากบริษัท แต่นี่ฉันไม่เห็นแกจะมาทำงานบริษัทเราเลย ตกลงแกจะกลืนน้ำลายตัวเองรึไง”
น่านฟ้าเครียดจัด ตัดสินใจบอกปารณ
“ฉันทำไม่ได้แล้วว่ะเป้”
“ทำอะไรไม่ได้ หรือแกเปลี่ยนใจจะเป็นประธานบริษัทนั่นจริงๆ”
น่านฟ้าพยักหน้ารับ
“ฉันทิ้งแม่ใหญ่ ทิ้งทุกคนในบริษัทไม่ได้ ฉันขอโทษว่ะ”
ปารณหน้าเสีย ออกอาการไม่พอใจ
“นึกแล้วไม่มีผิดว่าสุดท้าย น้ำหน้าอย่างแกมันต้องใจอ่อน อย่างนี้ก็เท่ากับว่าฉันเสียแรงเปล่าสิวะ อุตส่าห์หวังดีจะช่วยแกทางอ้อม”
น่านฟ้าชะงัก แปลกใจขึ้นมาทันที
“ช่วยฉันทางอ้อม แกหมายความว่าไงวะ”
ปารณครุ่นคิด ว่าจะเล่าดีหรือไม่

คืนนั้น น่านฟ้ากลับมาบ้าน ทรุดตัวลงนั่งที่โซฟาในห้องนั่งเล่น คิดถึงเรื่องที่คุยกับปารณ
“นายสุกิจมาจ้างฉันวางแผนธุรกิจให้ ฉันเห็นว่ามันจะช่วยแกทางอ้อม ให้แกหลุดจากตำแหน่งบ้าๆนั่นก็เลยรับงานนี้”
“ก็อาสุกิจเขาก็ตำแหน่งใหญ่โตในบริษัทอยู่แล้ว เขาจะมาจ้างแกอีกทำไม”
“เขาจะทำข้าวเกรียบแบรนด์ใหม่ของเขาเอง เพื่อตีตลาดมีโชคนี่แหละ”
น่านฟ้าตกใจกว่าเดิม
“งั้นก็เท่ากับว่า อาสุกิจกำลังตั้งตัวเป็นคู่แข่งมีโชค ด้วยสินค้าเดียวกัน”
“ฉันว่าไม่แค่นั้นหรอก แต่ฉันต้องสืบให้ละเอียดกว่านี้ถึงจะบอกแกได้”
“นึกไม่ถึงเลยนะว่าอาสุกิจจะหักหลังแม่ใหญ่ได้ลงคอ”
“ว่าแต่เขา แกเองก็ยังคิดจะหักหลังเลยไม่ใช่เหรอวะ”
น่านฟ้าสะอึก
“ไอ้นี่ แกจะพูดให้ฉันรู้สึกผิดทำไมวะ”
“ก็ไม่รู้แหละ ที่แน่ๆ ถ้าแกไม่กลับมาทำงาน ฉันนี่แหละจะฉีกเนื้อแกเป็นชิ้นๆ แล้วกดลงชักโครกทีละครั้ง ทีละครั้ง ว่าไง จะทำหรือไม่ทำ”
น่านฟ้านั่งอยู่ที่เดิม เคร่งเครียด ถอนหายใจ พยายามจะนึกถึงเหตุผลของสุกิจในทางที่ดี แต่ก็นึกไม่ออกจริงๆ

ตอนเช้า มัศยาแต่งชุดทำงานเดินเข้าห้องนั่งเล่นมา ก็ต้องประหลาดใจเมื่อเจอน่านฟ้านั่งรออยู่
“คุณน่านมาทำไมแต่เช้าคะ”
“เจ๊จำไม่ได้เหรอที่แม่ผมสั่งให้มารับมาส่งเจ๊ไง”
“ท่าทางคุณจะหกล้มหัวฟาดพื้นความจำเสื่อม นั่นมันตอนที่ฉันเข้าเฝือกที่แขน ตอนนี้ฉันเอาเฝือกออกตั้งนานแล้ว มีอะไรก็ว่ามาอย่ามาทำเป็นเนียน”
น่านฟ้าจ๋อยๆ ที่ถูกจับได้
“ผมมีเรื่องจะปรึกษาเจ๊”
ทั้งสองพากันออกมาดื่มกาแฟที่สนามหน้าบ้าน
“นึกแล้วไม่มีผิดว่านายสุกิจจะต้องไม่หวังดีกับบริษัท”
“ผมพยายามมองหลายๆ ด้าน บางทีอาสุกิจอาจจะเบื่อที่ต้องมาเป็นลูกน้องแม่ใหญ่ เลยอยากมีธุรกิจของตัวเองก็ได้”
“แล้วทำไมต้องทำข้าวเกรียบด้วยค่ะ ธุรกิจมีตั้งเยอะตั้งแยะ”
“เออ ถูกของเจ๊ แล้วนี่เจ๊ว่าเราจะทำยังไงดี”
“ฉันว่าเรื่องคุณสุกิจยังไม่ค่อยน่าห่วง เพราะเรามีเพื่อนคุณคอยรายงานความเคลื่อนไหวให้รู้ แต่ป้ามะลินี่สิ จะทำยังไงให้แกยอมช่วย เวลาของคุณลดลงทุกวันๆ นะคะคุณน่าน”
“เจ๊ไม่ต้องห่วง ภายในเจ็ดวันนี่ผมต้องหาทางเข้าถึงข้าวเกรียบป้ามะลิให้ได้”
“คำพูดมันผูกมัดการกระทำนะคะคุณน่าน อย่าพูดถ้าไม่มั่นใจว่าจะทำได้ ฉันยากเตือนคุณเรื่องนี้ไว้ ไม่งั้นคุณเองนั่นแหละที่จะลำบาก”
มัศยาว่าแล้วก็เดินออกไป

“โห ดูถูกกันแบบนี้ ขึ้นเลย แล้วเจ๊จะต้องอ้าปากค้าง คอยดู”

ปลาหลงฟ้า ตอนที่ 6 (ต่อ)

ป้ามะลิขนของจากรถเข็นเอาไว้ที่ร้านด้วยความทุลักทุเลตามประสาคนแก่ น่านฟ้าเข้ามาช่วย
 
“ผมช่วยครับป้า”
น่านฟ้ากุลีกุจอเข้ามาช่วยขน ป้ามะลิยืนเท้าเอวดูน่านฟ้าขนของอย่างสบายใจ มัศยาเองก็ยืนดูเฉยๆ จนน่านฟ้าต้องหันมาบอก
“โห เจ๊ ไม่คิดจะช่วยกันเลยเหรอ”
“ฉันไม่อยากเกะกะ เชิญคุณน่านตามสบายเลย”
“ถ้ายกไม่ไหวก็ไม่ต้องยก ข้ายกของข้าคนเดียวทุกวันไม่เห็นต้องขอให้ใครช่วยเลย”
ป้ามะลิทำท่าจะเข้ามายกเอง
“ไหวครับป้า ไหว สบายมาก”
น่านฟ้ารีบบอกแล้วก็กัดฟันยกของต่อ ป้ามะลิหันไปยิ้มกับมัศยารู้กันว่าแกล้งน่านฟ้า

สุกิจกับภูริชนั่งคุยกันอยู่ในห้องทำงานของสุกิจ
“ไอ้น่านฟ้ามันหายไปไหน ฉันไม่เห็นมันเข้าบริษัทมาตั้งหลายวันแล้ว”
“นั่นสิครับ มัศยาก็หายไปด้วย หรือว่าพวกมันไปซุ่มทำอะไรกันอยู่”
“ถ้ามัศยาหายไปด้วยแบบนี้คงไม่ใช่เรื่องเหลวไหลแน่นอน แกส่งคนไปสืบมาสิว่ามันไปไหน ทำอะไรกันอยู่”
สุกิจกังวล

วิภานั่งอ่านนิตยสารผู้หญิงอย่างสบายใจ เสียงเคาะประตูดังขึ้น
“เข้ามา”
ต๋องเปิดประตูห้องเดินเข้ามา
“มีอะไรต๋อง”
“วันนี้ท่านประธานกับเจ๊หยีไม่ได้เข้าบริษัทอีกแล้วครับ”
“แล้วแกได้โทรไปถามมั้ยว่าเขาไปไหนกัน”
“โทรแล้วครับ เจ๊หยีบอกว่าอยู่ตลาดน้ำกำลังขายข้าวเกรียบ คุณท่านไปออกบูธที่ตลาดน้ำก็น่าจะให้ต๋องไปด้วยนะครับ”
“ออกบูธอะไรกัน แกนี่เพ้อเจ้อใหญ่แล้ว”
“อ้าว ทำไมเจ๊หยีบอกว่ากำลังขายข้าวเกรียบอยู่ตลาดน้ำล่ะครับ”
“ฉันไม่รู้หรอกว่าท่านประธานของแกกับมัศยาไปขายข้าวเกรียบอะไรที่ตลาดน้ำ ฉันรู้แต่ว่าถ้ามัศยาเล่นด้วยมันต้องเป็นเรื่องดีสำหรับมีโชคแน่นอน”
วิภาบอกด้วยความมั่นใจ

ในห้องน้ำชาย ต๋องเดินมาล้างมือที่หน้ากระจก
“คุณน่านกับเจ๊หยีไปขายข้าวเกรียบที่ตลาดน้ำ คืออะไรวะไม่เข้าใจ”
ต๋องบ่นกับตัวเองก่อนจะส่ายหน้าแล้วเดินออกไป ภูริชเปิดประตูห้องน้ำออกมา
“สองคนนั่นไปขายข้าวเกรียบที่ตลาดน้ำเหรอ”

ร้านข้าวเกรียบของป้ามะลิกำลังขายดี น่านฟ้ากับมัศยาช่วยเป็นลูกมืออย่างขะมักเขม้น
“ใจเย็นๆ นะคะ ข้าวเกรียบเราทอดไม่ทันใส่ถุงแล้วค่ะ”
มัศยาร้องบอกไป หยิบข้าวเกรียบใส่ถุงไป
“แบบนี้มันน่าแจกบัตรคิวนะเจ๊”
น่านฟ้าเสนอ
“โอ๊ย ไอ้บัตรคงบัตรคิวของเอ็งน่ะใช้ไม่ได้หรอก ลูกค้าที่นี่ มาก่อนได้ก่อนมาหลังได้หลังอยู่แล้ว เขาอยากกินเขาก็รอ แต่ถ้าขี้เกียจเขาก็ไม่รอ จะมาแจกบัตรคิวแล้วบังคับให้รอ เขาไม่เอาด้วยหรอก”
“ป้ามะลินี่นอกจากจะเข้าใจข้าวเกรียบแล้วยังเข้าใจคนกินข้าวเกรียบด้วย แจ่มจริงๆ”
น่านฟ้าเอ่ยปากชม ภูริชยืนดูอยู่มุมหนึ่ง หยิบเอาโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายรูปน่านฟ้า มัศยากับป้ามะลิเอาไว้

สุกิจดูรูปที่อยู่ในมือถือซึ่งภูริชถ่ายไว้
“ดูก็เป็นร้านขายข้าวเกรียบธรรมดาๆ แต่ทำไมคนมารอซื้อเยอะแบบนี้”
“ผมถามแม่ค้าแถวนั้นดูแล้ว เขาบอกว่าข้าวเกรียบป้ามะลินี่อร่อยมาก ขายดีแบบนี้ทุกวัน”
“หรือว่าสองคนนั่นจะไปเอาสูตรข้าวเกรียบของป้ามะลิอะไรนั่นมาผลิต”
“แบบนั้นไอ้น่านฟ้ามันก็มีสิทธิ์เพิ่มยอดได้จริงๆ น่ะสิครับ”
“แล้วจะปล่อยให้มันทำสำเร็จทำไมล่ะวะ ไปจับตัวป้ามะลิมาเค้นเอาสูตรให้ได้ ดีเหมือนกัน อยู่ๆ ก็ได้สูตรเด็ดมาทำเป็นข้าวเกรียบของเราที่จะเอามาโค่นมีโชค”
สุกิจสั่งเสียงเหี้ยม

ที่ร้านข้าวเกรียบป้ามะลิ ยังมีลูกค้ายืนรอซื้อข้าวเกรียบอีกสี่ห้าคน แต่ป้ามะลิประกาศลั่น
“หมดแล้วจ้า ใครซื้อไม่ทันพรุ่งนี้ค่อยมาใหม่”
พวกลูกค้าผิดหวัง
“หมดจริงๆ เหรอป้า”
“อ้าว ข้าบอกหมดก็คือหมดสิ นังหนูนี่ถามแปลก ข้าจะเม้มข้าวเกรียบตัวเองไว้ทำไม”
“ลูกค้าเขายังอยากซื้ออยู่เลยป้า น่าจะทำเพิ่มนะ”
มัศยาแนะ
“อยากซื้อ แต่ข้าไม่อยากขายโว้ย เดี๋ยวปั๊ดด่าซะนี่ เซ้าซี้อยู่ได้”
“โอเคครับป้าไม่ขายก็ไม่ขาย วันนี้ข้าวเกรียบหมดแล้วนะครับ พรุ่งนี้มาใหม่รับรองได้ทานแน่ๆ”
น่านฟ้าบอกกับลูกค้าที่เดินบ่นๆ ด้วยความผิดหวัง ออกไป
“หนูเชื่อป้าแล้วว่ามันเหนื่อย ถึงว่า ป้าไม่อยากทำเพิ่มมากกว่านี้ นี่ขนาดหนูเป็นผู้ช่วยนะ แต่ป้าทอดเองขายเองคนเดียวทุกวันนับถือจริงๆ”
“ถามจริงๆ เถอะ ป้าไม่เสียดายสูตรเด็ดๆ ของป้าบ้างเหรอ ถ้าป้าตายไปสูตรมันก็ตายไปกับป้าด้วยเลยนะ ถ้าป้าไม่อยากขายสูตรให้ผมก็เปิดแฟรนไชส์ก็ได้อ่ะ จะได้มีข้าวเกรียบป้ามะลิให้คนกินทั่วประเทศ”
“ไอ้ที่ไปไหนๆ ก็เจอรถเข็นเหมือนร้านก๋วยเตี๋ยวร้านบะหมี่เหรอ ข้าไม่เอาด้วยหรอก ถ้าข้าวเกรียบป้ามะลิ คนอื่นทอด มันจะเป็นข้าวเกรียบป้ามะลิได้ไงวะ”
“คุยกับป้าแล้วเหนื่อยจัง หิวด้วย ผมไปหาอะไรทานกันก่อนดีกว่า เดี๋ยวค่อยมาช่วยป้าเก็บของ”
น่านฟ้าบอก เอามือลูบท้องยืนยันคำพูดของตัวเอง
“จะไปไหนก็ไป ข้าคุยกับเอ็งแล้วปวดตับเหมือนกัน”
ป้ามะลิโบกมือไล่
“ไปเหอะเจ๊ ผมหิวแล้ว”

น่านฟ้าบอกมัศยา มัศยาทำเป็นเฉย แต่น่านฟ้าขยิบตาให้ทำนองว่ามีเรื่องจะคุยด้วย มัศยาเลยยอมไปด้วย

น่านฟ้าคีบก๋วยเตี๋ยวจากร้านข้างทางกินอย่างเอร็ดอร่อย พลางคุยกับมัศยาไปด้วย
 
“เจ๊ว่า เราทำแบบนี้ป้าแกจะยอมใจอ่อนมั้ย”
“ไม่รู้สิ แต่คุณมีวิธีดีกว่านี้มั้ยล่ะ”
น่านฟ้าครุ่นคิดพลางส่ายหน้า
“งั้นฉันว่าเราก็ต้องยอมง้อช่วยงานป้ามะลิไปแบบนี้แหละ แต่ถ้าจะให้ดี คุณควรสงบปากสงบคำกับป้าซะบ้างนะ”
“อ้าว ไหงพูดงี้ล่ะเจ๊”
“ก็มันจริงมั้ยล่ะ ลืมไปแล้วเหรอว่า ป้ามะลิบอกว่า เราต้องทำให้แกรู้สึกอยากช่วยเราให้ได้ นี่อะไร คุยกับป้าแกทีไร วอนโดนกระทะขว้างหัวทุกที”
น่านฟ้ายิ้มเจื่อนๆ
“ก็มันอดไม่ได้นี่เจ๊ ป้าแกน่ากวนประสาทยังไงไม่รู้สิ”
“ตอนนี้อุปสรรคเราไม่ได้มีแค่เวลาอันน้อยนิดนะคุณน่าน แต่ยังมีนายสุกิจอีกคน ที่พร้อมจะเป็นคู่แข่งมีโชค คุณควรจะเร่งหาทางเอาชนะใจป้ามะลิให้ได้สักทีนะ”
น่านฟ้าครุ่นคิดอย่างกังวล

ป้ามะลินั่งกินข้าวเกรียบของตัวเองอยู่ที่ร้าน ลูกน้องของภูริชใส่ชุดสีดำ 3 คนเดินเข้าไปหา โดยภูริชยืนดูอยู่ไกลๆ
“ป้ามะลิใช่มั้ยครับ”
“ก็เออน่ะสิวะ จะมาซื้อข้าวเกรียบเหรอ วันนี้หมดแล้วมาใหม่พรุ่งนี้โน่น”
ป้ามะลิบอกแล้วก็กินข้าวเกรียบต่อไม่สนใจ แต่สามคนนั่นก็ยังไม่ไปไหน ป้ามะลิมองสงสัย
“อ้าว บอกว่าข้าวเกรียบหมดแล้ว หูแตกหรือไงถึงไม่ได้ยิน”
“พวกผมไม่ได้มาซื้อข้าวเกรียบหรอกครับ”
“ข้าขายข้าวเกรียบ พวกเอ็งไม่ได้มาซื้อข้าวเกรียบแล้วมาทำไมวะ หรือเป็นพวกทวงหนี้นอกระบบ ข้าไม่เคยกู้ใครนะโว้ย อย่ามามั่ว”
“หนี้ก็ไม่ได้มาทวงครับป้า คือพวกผมจะมาเชิญป้าไปทอดข้าวเกรียบให้เจ้านายผมกินเป็นการส่วนตัวหน่อยน่ะครับ”
“ข้าไม่รับงานทอดข้าวเกรียบนอกสถานที่โว้ยไปบอกเจ้านายพวกเอ็งด้วย”
“งั้นผมขออนุญาตใช้กำลังนะครับ”
ลูกน้องปัดกระจาดที่มีข้าวเกรียบทอดเหลือติดนิดหน่อยร่วงลงพื้นแล้วก็ตามด้วยของอื่นๆ
“ไอ้พวกเวรตะไล หยุดเดี๋ยวนี้นะ”
ป้ามะลิร้องห้าม
“หยุดไม่ได้หรอกครับ จนกว่าป้าจะไปกับพวกผม”
ลูกน้องทั้งสามคนช่วยกันทำลายข้าวของของป้ามะลิทีละอย่างสองอย่าง
“ไอ้ลูกพ่อแม่ไม่สั่งสอน ไอ้พวกเหลือขอ ไอ้ๆๆ”
ป้ามะลิด่าจนหมดมุกไม่รู้ว่าจะด่าอะไรดี แม่ค้าคนอื่นๆ ในตลาดก็ได้แต่ดูแล้วซุบซิบๆ ไม่มีใครกล้าเข้ามาช่วย
“ไปแล้วข้ายอมไปแล้ว ไอ้พวกเลว อยากกินข้าวเกรียบก็มาซื้อเอาสิวะทำไมต้องบังคับให้ไปทอดให้กินด้วย”
ป้ามะลิร้องบอก ทั้งสามคนหยุดกึกทันที
“ตกลงป้าไปแล้วใช่มั้ยครับ งั้นเชิญทางนี้เลยครับ”
ลูกน้องเดินนำป้ามะลิออกไป

น่านฟ้าเดินมากับมัศยา กินไอติมโบราณอย่างมีความสุข
“ไม่สนเหรอเจ๊ อร่อยจริงๆ นะ อ่อ สงสัยเจ๊จะเบื่อของโบราณเพราะเห็นทุกวันในกระจกอยู่แล้ว”
“ถ้าปากมันว่างมากนัก สนใจจะอมหมัด หรือไม่ก็อมตังค์มั้ย”
“หูย แซวแค่นี้ก็ต้องโกรธด้วย”
น่านฟ้าชะงักเมื่อมองเห็นร้านของป้ามะลิ
“เจ๊ ทำไมร้านป้ามะลิเละแบบนั้นล่ะ”
ทั้งสองรีบวิ่งเข้ามาที่ร้านของป้ามะลิ
“ป้ามะลิครับ ป้า”
“ป้ามะลิคะ อยู่ไหนคะป้า”
ทั้งคู่มองห้าป้ามะลิจนทั่วแต่ก็ไม่เจอ
“เมื่อกี้เห็นออกไปกับผู้ชายตั้ง 3-4 คนแน่ะ”
แม่ค้าแถวนั้นที่เห็นเหตุการณ์ร้องบอก น่านฟ้าชะงักตกใจ
“โห ป้าแกฮ็อตขนาดมีผู้ชายหลายคนมารุมจีบเลยเหรอ”
“ไม่ใช่โว้ย ผู้ชายใส่ชุดดำมากันสามคนบอกว่าจะพาป้ามะลิไปทอดข้าวเกรียบให้เจ้านายกิน”
“ฉันว่ามันแปลกๆ นะคุณน่าน”
น่านฟ้าครุ่นคิด กังวลขึ้นมาทันที

ลูกน้องสามคนของภูริชพาตัวป้ามะลิเข้ามาที่ในบ้านป้ามะลิเอง
“ไหนพวกเอ็งบอกว่าจะให้ไปทอดข้าวเกรียบให้เจ้านายไง แล้วให้ข้าพามาบ้านทำไม”
“อย่าโวยวายนักเลยป้า เดี๋ยวจะเจ็บคอซะเปล่าๆ”
ภูริชเดินเข้ามา ป้ามะลิหันไปมองไม่เข้าใจมาทำไมกันมากมาย
“ใครอีกละเนี่ย พวกแกจะพาฉันไปทอดข้าวเกรียบก็รีบพาไป เสร็จแล้วฉันจะได้กลับไปเอาของที่ตลาดน้ำ”
“ไม่ต้องรีบร้อนหรอกป้า ฉันเองก็ไม่อยากรบกวนป้ามาก เอางี้ดีกว่า ป้าเอาสูตรข้าวเกรียบมาให้ฉัน เดี๋ยวพวกฉันไปทำให้เจ้านายเอง ป้าจะได้ไม่ต้องไปให้เหนื่อย”
“สูตรเสิดอะไรกันข้าไม่มีหรอก”
“ก็สูตรที่ป้าใช้ทำข้าวเกรียบจนขายดีน่ะสิ”
“ข้าบอกว่าไม่มีก็ไม่มีสิวะ จะให้ข้าหยิบหรือพวกเอ็งค้นมันก็ไม่มีหรอกโว้ย”
“งั้นฉันไม่เกรงใจนะป้า เฮ้ย ค้นให้ทั่ว ไม่เจอให้มันรู้ไป”
ภูริชสั่ง ลูกน้องทั้งสามคนรีบแยกย้ายกันไปค้นหาสูตร สักครู่ลูกน้องก็กลับมารายงาน
“ไม่มีเลยครับพวกผมค้นจนทั่วบ้านแล้ว”
“ป้าเอาสูตรไปซ่อนไว้ที่ไหน บอกมาดีกว่าจะได้ไม่เสียเวลากัน”
“ก็ข้าบอกแล้วว่าไม่มีๆ พวกเอ็งก็ไม่เชื่อ ข้าทำของข้าอยู่ทุกวันจะต้องเขียนสูตรทำไม”
“แสดงว่าสูตรมันอยู่ในหัวป้า คงต้องไปด้วยกันจริงๆ แล้วนะป้า นึกสูตรได้เมื่อไหร่ก็บอกมาจะได้ส่งป้ากลับตลาด ไปพวกเราเอาตัวป้าไปด้วย”
ภูริชบอกแล้วก็เดินนำออกไป
“พวกเอ็งจะพาข้าไปไหน ไอ้เวรตะไล ไอ้เลว ไอ้”

ป้ามะลิเริ่มด่าอีกรอบ

ป้ามะลิถูกพาตัวมาขึ้นรถตู้ที่จอดอยู่หน้าบ้าน
 
“ไอ้เลว ไอ้ลูกพ่อแม่ไม่สั่งสอน ไอ้คนสิ้นคิด”
ป้ามะลิยังคงด่าจนรถตู้แล่นออกไปก็ยังได้ยินเสียงจางๆ รถของน่านฟ้ากับมัศยาแล่นเข้ามาจอด ทั้งคู่รีบลงจากรถแล้วเข้าบ้านป้ามะลิไป
“ป้ามะลิคะ ป้ามะลิ อยู่หรือเปล่าคะ”
“ป้ามะลิครับ อยู่ไหนครับ”
“คุณน่านดูของพวกนี้สิ ถูกรื้อไปทั่วเหมือนมีใครหาอะไร หรือว่าจะมีโจรปล้นบ้านป้ามะลิ”
“ผมว่าน่าจะเป็นพวกเดียวกับที่จับป้ามะลิมาจากร้านนะ คงพาป้ามาหาของที่มันอยากได้แล้วไม่เจอเลยเอาตัวป้าไปด้วย”
“ป้ามะลิมีอะไรที่พวกมันอยากได้กันนะ”
“รื้อของกระจุยกระจายแบบนี้น่าจะหาของเล็กๆ นะผมว่า”
น่านฟ้าบอก แล้วทั้งคู่ก็มองหน้ากัน
“สูตรข้าวเกรียบ”
น่านฟ้ากับมัศยาอุทานออกมาพร้อมกัน

น่านฟ้าขับรถเข้ามาจอดที่หน้าบ้านมัศยา
“ถ้าป้ามะลิถูกจับตัวไปจะทำยังไงกันดี”
“เราก็ต้องหาทางช่วยป้ามะลิให้ได้น่ะสิ”
น่านฟ้าตอบแบบไม่ต้องเสียเวลาคิด
“เพราะคุณกลัวว่าจะไม่ได้สูตรทำข้าวเกรียบจากป้าแกใช่มั้ย”
“ตอนนี้ผมไม่สนใจหรอกสูตรอะไรนั่นน่ะ ผมห่วงความปลอดภัยของป้ามะลิมากกว่า เพราะถ้าแกถูกจับตัวไปเพราะสูตรข้าวเกรียบจริงๆ ล่ะก็ ผมก็มีส่วนที่ทำให้เป็นแบบนี้”
น่านฟ้าบอกน้ำเสียงจริงจังไม่ติดเล่นเหมือนทุกที
“คุณน่านคิดว่าเป็นฝีมือ”
มัศยาไม่อยากจะปรักปรำสุกิจแบบไม่มีหลักฐาน เลยไม่พูดออกมาตรงๆ
“ชั่วโมงนี้มีอาสุกิจคนเดียวแหละที่น่าสงสัย เพราะถ้าเขาได้สูตรจากป้ามะลิไป ข้าวเกรียบแบรนด์ใหม่ของเขาก็คงจะง่ายขึ้นเยอะ”
“แต่ฉันว่าป้ามะลิไม่มีทางบอกสูตรให้ใครง่ายๆ หรอก”
มัศยาบอกอย่างมั่นใจ

ป้ามะลิถูกลูกน้องของภูริชพาตัวเข้ามาในบ้านร้าง โดยภูริชเดินตามมาดูอย่างใกล้ชิด
“นึกสูตรออกเมื่อไหร่ก็บอกเด็กมันนะป้าจะได้กลับบ้าน”
“ไอ้เวรตะไล ข้าบอกแล้วว่าไม่มีส่งสูตรอะไรนั่นก็ไม่เชื่อ”
“ถ้านึกไม่ออกก็นั่งเล่นนอนเล่นในนี้ไปก่อนนะป้า แต่ฉันมีเวลาให้ป้านึกไม่นานนักนะ”
ภูริชขู่
“เอ็งจะขังข้าไว้นานแค่ไหนก็นึกไม่ออกหรอกโว้ย”
“พวกเอ็งเฝ้าให้ดีนะ อย่าทำให้ป้าเขาหงุดหงิดล่ะเดี๋ยวจะนึกไม่ออก”
ภูริชบอกกับลูกน้องแล้วก็เดินออกไป ลูกน้องเดินตามออกไปก่อนจะปิดประตู
“นี่มันเวรกรรมอะไรวะเนี่ย มาถูกลักพาตัวตอนแก่ นังมะลิเอ๊ย”
ป้ามะลิบ่นกับตัวเอง

สุกัญญานั่งพับผ้าอยู่ในห้องนั่งเล่น น่านฟ้าเดินเข้ามานั่งลงข้างๆ แม่
“อ้าว ตาน่านทำไมกลับเร็วจังวันนี้”
“ผมไม่ได้เข้าบริษัทครับแม่ ไปตลาดน้ำมา”
น่านฟ้าบอกน้ำเสียงเหนื่อยๆ
“ไปตลาดน้ำ ไปทำอะไร ไม่ทันไรก็เหลวไหลอีกแล้วเหรอเราเนี่ย ป่านนี้แม่ใหญ่ไม่ตามหาตัวแล้วเหรอ”
น่านฟ้าล้มตัวลงนอนหนุนตักสุกัญญา
“ไม่เห็นแม่ใหญ่ว่าอะไรนี่ครับ คงเพราะผมไม่ได้ไปคนเดียว เจ๊หยีมือขวาแม่ใหญ่ก็ไปด้วย แม่ใหญ่ก็เลยไว้ใจมั้งครับ”
น่านฟ้าพูดไปก็หาวไป
“ถ้าคุณมัศยาไปด้วยแม่ก็วางใจ น่านอย่าเกเรกับแม่ใหญ่ให้มากนักนะลูก เราน่ะทำแม่ใหญ่ปวดหัวมาไม่รู้กี่รอบแล้ว ท่านก็ยังให้อภัยเราทุกครั้งรู้มั้ยลูก”
สุกัญญาบ่นแกมสอน แต่ไม่มีเสียงหืออือจากน่านฟ้า เธอก้มลงมองก็เห็นลูกชายหลับคาตักตัวเองไปแล้ว
“อ้าว หลับซะแล้ว สงสัยจะเหนื่อยจริงๆ”
สุกัญญาลูบผมน่านฟ้าด้วยความรัก

นิรชานั่งอยู่ในผับหรูกับสุกิจและภูริช
“คุณสุกิจเรียกฉันมาด่วนแบบนี้มีอะไรคะ”
“ช่วงนี้เธอเจอไอ้น่านฟ้าบ้างหรือเปล่า”
“ก็เจอบ้างแต่ไม่บ่อย”
นิรชาตอบไปตามความจริง
“ฉันจ้างเธอให้ทำให้มันหลงจนลืมการลืมงาน แต่ฉันยังเห็นมันมีเวลาไปโน่นไปนี่อยู่เลย”
“คุณสุกิจจะให้ฉันมาติดแหงกอยู่กับคุณน่านฟ้าตลอดเวลามันคงไม่ได้ ฉันก็ต้องทำมาหากินเหมือนกันนะคะ”
“นายฉันจ้างเธอนะไม่ได้ให้ทำฟรีๆ”
ภูริชท้วง
“ค่ะจ้าง แต่เงินค่าจ้างฉันก็ยังไม่ได้รับ ถ้าอยากได้งานดีๆ ก็ใจถึงหน่อยสิคะ”
“ฉันจะจ่ายให้เธอก่อนแสนหนึ่ง คงจะพอให้อยากทำงานดีๆ ขึ้นมาบ้างนะ”
สุกิจบอกแล้วก็หยิบเอาสมุดเช็คขึ้นมาเขียน โทรศัพท์มือถือของภูริชดังขึ้น ภูริชแยกตัวไปรับโทรศัพท์ สุกิจส่งเช็คให้นิรชา
“เช็คเงินสดเอาไปขึ้นเงินได้เลย”
นิรชารับเช็คมาใส่กระเป๋า ภูริชเดินกลับมาที่โต๊ะ
“พวกที่เฝ้าป้ามะลิที่บ้านร้างโทรมาบอกว่าป้าแกยังไม่ยอมบอกสูตรข้าวเกรียบเลยครับ ด่าอย่างเดียวเลย”
“สงสัยบ้านร้างที่พระรามเจ็ดมันจะสบายไป ถ้ายังไม่บอก ฉันจะพาไปมัดไว้ในป่า ดูสิจะทนได้ถึงไหน”

นิรชาสะดุดกับชื่อป้ามะลิ

ป้ามะลิถูกมัดอยู่กับเสาในบ้านร้าง ใกล้ๆ กันมีจานข้าววางอยู่ แต่ข้าวไม่พร่องเลย ลูกน้องเปิดประตูเข้ามา
 
“อ้าว ป้า ยังไม่กินข้าวอีกเดี๋ยวก็เป็นลมตายหรอก”
“เรื่องของข้า ตายซะได้ก็ดีพวกเอ็งจะได้ติดคุกกันให้หมด”
“ป้าหวงสูตรข้าวเกรียบขนาดยอมตายเลยเหรอ อะไรจะขนาดนั้น”
“ข้าบอกว่าไม่มีก็ไม่มีสิวะ สูตรอะไรของเอ็งนั่นน่ะ แต่ถึงมีข้าก็ไม่ให้พวกเอ็งหรอก คนเลวๆ อย่างพวกเอ็งแค่ขายข้าวเกรียบให้ ข้ายังไม่อยากขายเลยรู้เอาไว้ด้วย”
ป้ามะลิด่า ทำเอาลูกน้องหน้าจ๋อยๆ ไป

นิรชากลับเข้าบ้านมา นารีนอนอยู่ผงกหัวขึ้นดู
“กลับมาแล้วเหรอนิ”
“ค่ะ ทำไมแม่ยังไม่นอนอีก”
“แม่นอนมาทั้งวันแล้วลูก พอถึงเวลาต้องนอนจริงๆ มันเลยนอนไม่หลับ”
“แม่ได้ทานยาหรือเปล่า ห้ามเบี้ยวเลยนะแม่ แล้วก็ห้ามถามด้วยว่าหนูเอาเงินที่ไหนมาซื้อยาทุกวัน แม่มีหน้าที่กินยาแล้วก็อยู่กับหนูไปนานๆ เข้าใจมั้ยคะ”
นิรชาทำเสียงเข้มใส่แม่ แม่พยักหน้ารับขี้เกียจจะเถียง เพราะรู้ดีว่าลูกสาวรักตัวเองมากแค่ไหน
“เออ แม่ ป้ามะลิพี่สาวแม่เขาทำอะไรอยู่ที่ไหนนะ”
“เจอกันล่าสุดสิบกว่าปีมาแล้ว พี่มะลิเขาทอดข้าวเกรียบขายตามตลาดนัด ป่านนี้ไม่รู้ไปอยู่ไหนแล้ว นิถามทำไมลูก เจอป้าเขามาเหรอ”
แม่ถามดีใจเพราะนึกว่าลูกสาวเจอป้ามะลิ
“เปล่าหรอกค่ะแม่ หนูนึกขึ้นมาได้ก็เลยถามดูน่ะค่ะ”
นิรชาใช้ความคิด

มัศยานั่งคิดเรื่องป้ามะลิอยู่ สมใจเดินเข้ามา
“อ้าวหยี แม่นึกว่าเข้านอนแล้วซะอีก”
“หนูนอนไม่หลับน่ะค่ะแม่”
“มีเรื่องอะไรหรือเปล่าลูก”
สมใจถามด้วยความเป็นห่วง
“ป้ามะลิหายตัวไปค่ะแม่”
“หายตัวไปได้ยังไง”
“คนที่ตลาดบอกว่ามีคนมาพาตัวป้ามะลิไป หนูกับคุณน่านไปดูที่บ้านแกก็ไม่เจอ แต่บ้านถูกค้นข้าวของกระจัดกระจายหมดเลยค่ะ”
“ตายแล้ว แก่ๆ ตัวคนเดียว จะช่วยเหลือตัวเองได้ไง แม่ชักเป็นห่วงซะแล้วสิเนี่ย”
“คุณน่านกับหนูคิดเหมือนกันว่าอาจจะเป็นฝีมือนายสุกิจ เลยยังไม่กล้าแจ้งความค่ะ ไม่งั้นต้องเดือดร้อนถึงคุณท่านแน่ๆ”
“แล้วเราจะปล่อยไว้อย่างนี้เหรอ”
มัศยากังวล คิดหนัก

ตอนเช้า น่านฟ้าคุยกับสุกัญญาอยู่ในห้องนั่งเล่น
“สูตรข้าวเกรียบเหรอลูก ใครจะอยากได้สูตรข้าวเกรียบจนถึงขนาดต้องลักพาตัวคนขายแบบนี้”
“ก็คนที่อยากจะทำข้าวเกรียบมาแข่งกับมีโชคไงครับแม่”
“ใครกัน”
“อาสุกิจครับ”
“อะไรกัน อาสุกิจน่ะเหรอ น่านไปเอาที่ไหนมาพูดลูก อาสุกิจเขาเป็นน้องชายแม่ใหญ่เขาจะทำแบบนั้นทำไม”
“ตอนแรกผมก็ไม่อยากเชื่อครับแม่ แต่การกระทำของอาสุกิจมันส่อไปทางนั้น นี่ก็ไปจ้างนายเป้ให้ดูแลแบรนด์ข้าวเกรียบใหม่ให้ เขาคงไม่รู้ว่านายเป้กับผมสนิทกันน่ะครับ”
“แล้วน่านได้บอกแม่ใหญ่หรือเปล่า”
“ยังหรอกครับ เอาจริงๆ ผมก็ยังไม่มีหลักฐานอะไรแน่ชัด เลยยังไม่อยากพูดไปครับ ตอนนี้ก็เลยได้แต่เฝ้าดูไปก่อน”
“แล้วเรื่องที่แม่ค้าข้าวเกรียบถูกลักพาตัวไป น่านจะทำยังไง”
สุกัญญาถาม น่านฟ้าใช้ความคิด

นิรชาเดินมาหยุดที่ริมถนนกำลังจะเรียกรถแท็กซี่ ปารณขับรถเข้ามาเทียบแล้วเปิดกระจกรถ
“นิรชา เรามีเรื่องต้องคุยกัน”
นิรชาชะงักแปลกใจ

ที่ร้านข้าวเกรียบป้ามะลิ มีลูกค้ามายืนรอแถวยาว มัศยายืนดูอยู่ใกล้ๆ กังวล น่านฟ้าเดินเข้ามายืนข้างๆ มัศยา
“นึกแล้วว่าเจ๊ต้องอยู่ที่นี่”
“ฉันเป็นห่วงป้ามะลิ เลยมาดูว่าแกกลับมารึยัง ไม่อย่างนั้นจะชวนคุณไปแจ้งความ”
“พวกนั้นคงไม่ทำอะไรป้าหรอก ถ้าได้สูตรข้าวเกรียบแล้วก็คงปล่อยป้าแกแหละ”
“แล้วถ้าป้ามะลิไม่ยอมให้สูตรพวกนั้นล่ะ”
มัศยาถาม น่านฟ้านิ่งไป ตอบไม่ได้เหมือนกัน เสียงโทรศัพท์มือถือของน่านฟ้าดังขึ้น เป็นเบอร์ของปารณ น่านฟ้ากดรับ
“ว่าไงวะเป้ ตอนนี้เลยเหรอ ได้ๆ เดี๋ยวเจอกัน”
น่านฟ้ากดวางสายแล้วหันมาหามัศยา
“นายเป้เพื่อนผมโทรมาบอกว่ามีเรื่องสำคัญอยากคุยด้วย อาจจะได้เรื่องเกี่ยวกับอาสุกิจก็ได้ เจ๊กลับไปบริษัทคนเดียวก่อนนะ เดี๋ยวผมเสร็จธุระแล้วค่อยไปหาทางช่วยป้ามะลิกันอีกที”

น่านฟ้าบอกแล้วก็เดินออกไป มัศยามองดูลูกค้าที่ทยอยกลับไปอย่างผิดหวังแล้วก็ถอนหายใจ

ปลาหลงฟ้า ตอนที่ 6 (ต่อ)

น่านฟ้าเข้ามาในบ้านตัวเอง เจอปารณนั่งรออยู่ในห้องนั่งเล่นกับนิรชาซึ่งหันหลังให้อยู่
 
“ไอ้เป้ มีอะไรด่วนวะถึงได้มาหาถึงบ้านเลย อ้าวคุณนิ้มมาได้ไงครับเนี่ย”
“สวัสดีค่ะคุณน่าน”
“ฉันเป็นคนพาคุณนิ้มของแกมาเองแหละ”
“คุณนิ้มตามสบายเลยนะครับ ส่วนแกไอ้เป้ มานี่กับฉันแป๊บสิ”
น่านฟ้าพาปารณเลี่ยงออกไปคุยกันอีกมุมหนึ่ง
“แกทำบ้าอะไรวะ อยู่ๆ ก็พาคุณนิ้มมาบ้านฉันแบบนี้”
“อ้าว ฉันนึกว่าแกอยากเจอคุณนิ้มของแกซะอีก”
“อยากเจอแต่ไม่ใช่ที่นี่โว้ย ว่าแต่แกเถอะ เมื่อคืนยังทำตัวเป็นหมาบ้าทั้งกัดทั้งหวงคุณนิ้มอยู่เลย วันนี้พาคุณนิ้มมาหาฉันถึงบ้าน เกิดเพี้ยนอะไรขึ้นมาวะ”
น่านฟ้าจ้องหน้าปารณงงๆ
“คุณนิ้มของแกเขามีเรื่องจะสารภาพ”

น่านฟ้า ปารณ และนิรชานั่งเผชิญหน้ากันอยู่ในห้องนั่งเล่น
“คุณนิ้มมีอะไรจะสารภาพกับผมเหรอครับ”
นิรชาอึกอัก มองหน้าปารณ ปารณพยักหน้าเป็นเชิงสั่ง
“จริงๆ แล้วฉันชื่อนิค่ะ”
“โธ่ เรื่องแค่นี้เอง คุณจะชื่อนิ้มชื่อนิหรือชื่ออะไรก็ได้ครับ คนสวยชื่ออะไรก็ยังสวย”
ปารณรำคาญสวนขึ้นทันที
“ไอ้น่าน แกช่วยหยุดหยอดสักทีได้มั้ย บ้านขายขนมครกรึไง หยอดอยู่ได้”
“ที่ฉันเจอคุณน่านไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่มีคนจ้างให้ฉันมาหว่านเสน่ห์คุณค่ะ”
น่านฟ้าชะงักแปลกใจ
“จ้างคุณมาหว่านเสน่ห์ผมเนี่ยนะ เพื่ออะไรครับ”
“เพื่อให้คุณน่านหลงฉันจนไม่เป็นอันทำงานน่ะสิคะ”
“มีคนคิดอะไรบ้าๆ แบบนี้ด้วยเหรอ”
“มีค่ะ แล้วเขาก็จ้างฉันแพงด้วย เพราะอยากให้บริษัทมีโชคมีปัญหา และอยากให้คุณหลุดจากตำแหน่งประธานบริษัท”
“นายพอจะนึกออกหรือยังว่าใคร”
“อาสุกิจ”
“ใช่ เขาอยากให้แกทิ้งบริษัทมีโชคซึ่งก็เกือบจะได้ผล แต่แกดันมากลับลำฮึดสู้ขึ้นมาอีก เขาก็เลยต้องหาทางทำลายมีโชคด้วยการจะปั้นข้าวเกรียบยี่ห้อใหม่มาแข่ง ตอนนี้เขากำลังหาสูตรเด็ดๆ ให้วุ่น”
ปารณบอกข้อมูลที่รู้มาให้ฟัง
“งั้นที่ฉันกับเจ๊โหดสงสัยว่าอาสุกิจจะอยู่เบื้องหลังการลักพาตัวป้ามะลิก็เป็นจริงน่ะสิ”
“ป้ามะลิที่ขายข้าวเกรียบใช่มั้ยคะ ฉันได้ยินคุณภูริชบอกว่าเอาไปขังไว้ที่บ้านร้างแถวพระรามเจ็ด”
น่านฟ้ารีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดหามัศยา
“ฮัลโหล เจ๊โหด ได้เรื่องป้ามะลิแล้ว เจ๊ลงมารอที่หน้าตึกเลยนะเดี๋ยวผมไปรับ เป้แกไปส่งคุณนิแล้วตามไปเจอฉันที่ร้านเกมตรงพระรามเจ็ดที่ฉันเคยไปเล่นบ่อยๆ นะ”
“ฉันขอไปด้วยค่ะ”
ปารณชะงักครุ่นคิด

น่านฟ้าเดินนำมัศยามาที่ร้านเกม
“ไหนบอกได้ข่าวป้ามะลิแล้ว นี่คุณจะพาฉันไปไหนเนี่ย”
“ร้านเกม”
“อะไรนะ ป้ามะลิถูกขังที่ร้านเกมเหรอ”
“จะบ้าเหรอเจ๊ ใครจะเอาป้ามะลิมาขังที่ร้านเกม ผมมาหาข้อมูลเพิ่มเติมต่างหาก”
“หาข้อมูลที่ร้านเกมเนี่ยนะ ฉันล่ะไม่เข้าใจคุณจริงๆ เลย อะไรๆ ก็เป็นเล่นไปหมด”
ที่ร้านเกมมีเด็กวัยรุ่นนั่งคุยกันอยู่ 2-3 คน
“เฮีย หายไปนานเลย พาแม่มาเล่นเกมเหรอ”
เด็กวัยรุ่นแซว มัศยาหน้าตึงที่ถูกทักว่าเป็นแม่ ส่วนน่านฟ้าก็แอบขำ
“เอ็งรู้จักบ้านร้างแถวนี้บ้างมั้ยไอ้หนุ่ย”
“มันมีตั้งหลายที่น่ะเฮีย เป็นสิบมั้ง จะเอาแบบไหนล่ะ ที่ผีดุ ผีใจดี หรือผีขี้เล่น”
“อะไรวะ มีให้เลือกด้วยเหรอ”
วัยรุ่นคนหนึ่งเดินเข้ามาหาน่านฟ้า
“นานๆ เจอกันที เฮียจะไม่เลี้ยงเกมหน่อยเหรอ”
“ไถไม่เลิกนะเอ็งน่ะ เอ้า เอาไปแบ่งกัน”
น่านฟ้าหยิบแบงก์พันส่งให้ วัยรุ่นรีบรับใส่กระเป๋า
“แล้วจะรู้ได้ไงว่าป้ามะลิถูกขังไว้ที่ไหน ไม่ต้องหาตามบ้านร้างทุกทีเลยเหรอ”
“ก็คงต้องแบบนั้นแหละ”

น่านฟ้ากับมัศยาเดินกลับมาที่ลานจอดรถ เจอกับปารณและนิรชาที่จอดรถรออยู่ ปารณรีบถาม
“ได้เรื่องมั้ยวะ”
“เห็นเด็กบอกว่าบ้านร้างแถวนี้มีเป็นสิบว่ะ”
“นายสุกิจบอกว่าถ้าป้ามะลิไม่ยอมบอกสูตรจะย้ายไปมัดไว้ในป่า เราจะช่วยป้ามะลิทันมั้ยคะ”
ปารณมองหน้านิรชางงๆ
“ทำไมดูเหมือนคุณเป็นห่วงป้ามะลินี่จังเลย ทำยังกับเป็นญาติกันงั้นแหละW
“มนุษยธรรมน่ะ คุณสะกดเป็นมั้ย”
นิรชารีบกลบเกลื่อน วัยรุ่นวิ่งเข้ามาหาน่านฟ้า
“เฮีย เฮีย”
“อะไรวะ ถ้าจะมาขอตังค์ข้าให้ไอ้หนุ่ยไปแล้ว ไอ้นั่นอมตังค์ส่วนของเพื่อนอีกแล้วสิ”
“เปล่า ผมจะมาบอกเฮียว่าหลังบ้านผมมีบ้านร้างหลังหนึ่ง น่าจะเฮี้ยน ผมได้ยินเสียงผียายแก่ด่าทั้งวันเลย”
“เอ็งได้ยินมานานยัง”
“สองวันเองเฮีย สงสัยจะเพิ่งตายหรือไม่ก็เพิ่งจะเฮี้ยน”

น่านฟ้ากับมัศยามองหน้ากัน

ป้ามะลินั่งคอพับหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย ภูริชเปิดประตูเข้ามา เดินไปนั่งตรงหน้าแล้วจับคางป้ามะลิให้เงยขึ้น
 
“ไงป้า หมดแรงด่าแล้วสิ”
“ยังไม่หมดโว้ย ข้ายังมีแรงด่าพวกเอ็งได้ทั้งวันทั้งคืน”
“ป้าจะหวงไปทำไมสูตรข้าวเกรียบน่ะ นายฉันจะทำมาขายตามห้าง ส่วนป้าก็ขายที่ตลาดน้ำเหมือนเดิม ลูกค้าก็คนละกลุ่มไม่ได้แข่งกันสักหน่อย”
“แล้วนายเอ็งทำไมไม่คิดสูตรเอาเองวะ อยากรวยแต่ไม่มีปัญญา มีหน้ามาขอสูตรคนอื่น ข้าไม่มีโว้ย ถึงมีก็ไม่ให้”
“ตกลงไม่มีหรือไม่ให้กันแน่ป้า ฉันจะได้รายงานนายถูก”
“เอ็งอ่านปากข้านะ ไม่ให้ จบป๊ะ”
ภูริชเปิดประตูบ้านร้างออกมาอย่างหงุดหงิด
“พวกแกเฝ้ายัยป้าจอมแสบนี่ให้ดีนะ เดี๋ยวถ้ากลับมาอีกรอบแล้วป้าแกยังไม่ยอมบอกสูตร พวกแกเตรียมย้ายป้าไปป่าได้เลย”
ภูริชสั่งแล้วก็เดินไปขึ้นรถขับออกไป

ที่มุมหนึ่งใกล้ๆ บ้านร้าง น่านฟ้า มัศยา ปารณ และนิรชาซุ่มดูอยู่ หน้าบ้านร้างมีชายชุดดำ 3 คนเฝ้าอยู่ ลูกน้องเปิดประตูบ้านร้างเข้าไป เสียงด่าของป้ามะลิดังสวนออกมาทันที
“ไอ้เวรตะไล ไอ้เลวไม่มีดีปน ไอ้โจรห้าร้อย ไอ้”
ลูกน้องรีบเปิดประตูกลับออกมาหน้าจ๋อยๆ เพราะโดนด่าไม่ยั้ง
“เสียงนี้ สไตล์แบบนี้ ป้ามะลิพันเปอร์เซ็นต์”
“มันมีกันสามคน ไหวมั้ยวะน่าน”
“สบายมาก เจ๊กับคุณนิรอตรงนี้นะ ไปโว้ยเป้ แกเข้าซ้ายเดี๋ยวฉันเข้าขวา”
น่านฟ้าบอกแล้วก็แยกออกไปทางขวาในขณะที่ปารณแยกไปทางซ้าย มัศยาตัดสินใจเดินตามน่านฟ้าไป
“เธอจะไปไหนน่ะ คุณน่านบอกให้รอตรงนี้ไม่ใช่เหรอ”
นิรชารีบถาม
“ถ้าจะมารออยู่ตรงนี้แล้วจะมาทำไม”
มัศยาถามกลับก่อนจะรีบตามไปทางที่น่านฟ้าไป นิรชาเห็นท่าจะไม่ดีเลยตามมัศยาไปอีกคน

มัศยาช่วยกับน่านฟ้าจัดการกับคนร้าย นิรชาก็ช่วยปารณเอาไม้ตีหัวคนร้าย คนร้ายจะต่อยนิรชาแต่ปารณช่วยเอาไว้ ในที่สุดคนร้ายก็นอนกอง ทั้งสี่เปิดประตูบ้านร้างเข้าไป ป้ามะลิเตรียมจะด่าเพราะคิดว่าเป็นพวกคนร้าย
“ไอ้สันขวาน อ้าว ไอ้หนุ่ม นังหนู นี่พวกแกมาช่วยป้าเหรอ”
“ค่ะป้า ป้าเป็นไงบ้างคะ”
มัศยากับนิรชาเข้าไปช่วยแก้มัดป้ามะลิ
“โถ แม่คุณ แม่มหาจำเริญ ก็ถ้ามาช้ากว่านี้ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นผีเฝ้าที่นี่รึเปล่า”
ป้ามะลิสรรเสริญน้ำหูน้ำตาไหล
“ผมว่าเราไปจากที่นี่กันก่อนดีมั้ยป้า แล้วค่อยไปหาที่ดราม่ากัน ขืนช้าไอ้พวกนั้นตามพรรคพวกมาผมขี้เกียจเล่นบทบู๊อีกรอบ”
ป้ามะลิมองหน้านิรชาคุ้นๆ ลุกขึ้นเดินได้ไม่ถึง 3 ก้าว ก็เป็นลมล้มไป

ป้ามะลินอนอยู่บนเตียงคนไข้ในห้องพักฟื้น หมอกำลังบอกอาการให้น่านฟ้า มัศยา ปารณและนิรชาฟัง
“คนไข้มีอาการอ่อนเพลียเหมือนขาดสารอาหารน่ะครับ ให้น้ำเกลือกับวิตามินสักหน่อยก็คงจะดีขึ้น”
“ขอบคุณมากค่ะคุณหมอ”
นิรชายกมือไหว้ขอบคุณหมอ ทุกคนมองนิรชาแปลกๆ ทำเหมือนเป็นเจ้าของไข้ ป้ามะลิลืมตาขึ้นมาเห็นว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงในโรงพยาบาลก็โวยวาย
“พวกเอ็งเอาข้ามาที่นี่ทำไม ข้าจะกลับบ้าน”
นิรชารีบเข้าไปหา
“พักสักคืนนะป้า พรุ่งนี้ค่อยกลับบ้าน”
“ไม่เอา ข้าจะกลับบ้าน นอนโรงพยาบาลแบบนี้แพงตายชัก ข้าไม่มีเงินจ่ายหรอกนะ”
“ป้าไม่ต้องห่วงเรื่องค่าใช้จ่ายนะคะ เดี๋ยวหนูจัดการให้เอง”
นิรชารีบบอก ทำเอาทุกคนมองอีกรอบด้วยความงง
“ไม่ต้องหรอกครับคุณนิ ผมเป็นต้นเหตุให้ป้ามะลิเป็นแบบนี้เดี๋ยวผมจัดการเองดีกว่า”
น่านฟ้ารีบออกตัว
“ให้นิจัดการเถอะค่ะ”
“นังหนูนี่ใจดีแฮะ ญาติกันรึก็ไม่ใช่ จะมาจ่ายให้ทำไม ฮะ”
“ก็ใครบอกว่าไม่ใช่ล่ะคะ ป้าลองนึกดีๆ สิว่าหน้าหนูเหมือนใคร”
ป้ามะลิพยายามนึกแต่นึกไม่ออก
“หนูนิลูกแม่นารีไงจ๊ะ”
“นังนิ ใช่เอ็งจริงๆ ด้วย”
ป้ามะลิจ้องหน้านิรชาแล้วก็ร้องออกมาด้วยความดีใจ นิรชาโผเข้ากอดป้ามะลิ น่านฟ้า ปารณ มัศยายืนมองงงๆ

น่านฟ้า มัศยา ปารณ ออกมานั่งคุยกันที่มุมหนึ่งของโรงพยาบาล
“โลกมันกลมจังเลยนะคะ ป้ามะลิกับคุณนิกลายเป็นญาติกันไปได้”
“ผมก็สงสัยตะหงิดๆ ว่าทำไมเขาเหมือนห่วงป้ามะลิจัง ที่แท้ก็แบบนี้นี่เอง”
“แล้วจะเอายังไงต่อดีวะไอ้เป้ ฉันกลัวว่าไอ้พวกนั้นจะกลับมากวนป้ามะลิแกอีก”
“แต่ฉันว่าไม่นะ ฉันว่ามันคงไม่กล้าโผล่มาให้ป้ามะลิเจอหรอก เพราะป้ามะลิรู้ตัวแล้ว โผล่มาอีกล่ะก็แกเอาเรื่องแน่”
“แบบนี้เราจะเอาผิดคุณสุกิจกับพวกได้มั้ยคะ”
“น่าจะยากนะ อาสุกิจเขาจ้างนายเป้ไปวางแผนทำข้าวเกรียบแบรนด์ใหม่มันก็เป็นสิทธิ์ของเขา ส่วนไอ้เรื่องจับป้ามะลิไป ถ้าหลักฐานเราไม่มี ผมไม่อยากให้แม่ใหญ่ปวดหัวเปล่าๆ”
“สรุปก็คือคนชั่วลอยนวลตามเคย”
มัศยาสรุปแบบเซ็งๆ
“ใจเย็นๆ น่าเจ๊ เรื่องนี้ยังไงมันก็ต้องจบ ไม่จบวันนี้ พรุ่งนี้ ก็เดือนนี้เดือนหน้า แล้วจุดจบของคนชั่วมันไม่เคยสวยหรอก เชื่อผม”

น่านฟ้าบอกอย่างมั่นใจ

สุกิจนั่งกินกาแฟอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ในห้องทำงาน ภูริชหน้าตื่นเข้ามาหา
 
“แย่แล้วครับคุณสุกิจ”
“อะไรแย่ พูดให้มันรู้เรื่องหน่อย”
“ไอ้พวกนั้นโทรมาบอกว่ามีคนมาช่วยป้ามะลิออกไปได้แล้ว สงสัยจะเป็นพวกไอ้น่านฟ้าน่ะครับ”
“ไอ้น่านฟ้า สงสัยจะใจดีด้วยไม่ได้ซะแล้ว”
สุกิจขยำหนังสือพิมพ์ในมืออย่างโกรธเกรี้ยว

สุกัญญานั่งปอกผลไม้อยู่ในห้องนั่งเล่น น่านฟ้าเข้ามาในบ้านท่าทางเหนื่อยๆ
“เป็นอะไรไปตาน่าน หมู่นี้เห็นทำหน้าเครียดทุกวันเลย”
“เมื่อก่อนผมสบายๆ เพราะไม่ได้คิดจะทำงานให้บริษัทมีโชคจริงจัง แต่พอผมตั้งใจทำงานจริงๆ ผมรู้สึกว่าอุปสรรคมันเยอะจังเลยครับแม่”
“เขาเรียกว่ามารผจญไงลูก เวลาเราจะทำดีแล้วมีมารผจญแสดงว่าเรามาถูกทางแล้ว”
“ถ้าเป็นมารก็คงหัวหน้ามารเลยแหละครับ”
“น่านหมายถึงอาสุกิจเหรอ”
“มีอยู่คนเดียวนี่แหละครับที่ทำผมหนักใจ จะทำอะไรลงไปก็สงสารแม่ใหญ่ ยังไงอาสุกิจก็ขึ้นชื่อว่าเป็นน้องแก แต่ปล่อยเอาไว้ก็ไม่รู้ว่าอาสุกิจจะคิดทำอะไรอีก”
“น่านก็พิจารณาทำตามความเหมาะควรสิลูก อะไรที่ต้องทำมันก็ต้องทำ แม่เชื่อว่าแม่ใหญ่จะเข้าใจไม่ว่าน่านจะตัดสินใจยังไง ขอแค่น่านคิดให้ถี่ถ้วนก็แล้วกัน”
สุกัญญาให้กำลังใจ น่านฟ้าฝืนยิ้มให้แม่ทั้งๆ ที่ยังหนักใจไม่หาย

นิรชาพาป้ามะลิเดินไปตามทางเข้าบ้านตัวเอง
“ป้าเพิ่งจะออกจากโรงพยาบาลไม่น่ารีบมาเลยเดี๋ยวจะเป็นอะไรไปอีก”
“โอ๊ย คนอย่างข้าไม่เป็นอะไรง่ายๆ หรอก แม่แกป่วยหนักขนาดนี้ไม่รีบมาเยี่ยมแล้วจะให้ไปเยี่ยมตอนเผาเหรอวะ”
ป้ามะลิพูดตรงๆ ตามประสา นิรชาพาป้ามะลิมาหยุดที่หน้าบ้าน
“ถึงแล้วค่ะป้า นี่แหละบ้านหนู”
“บ้านจะเล็กจะใหญ่มันก็บ้านแหละวะ ไปเข้าไปหาแม่เอ็งกันดีกว่า ไม่ได้เจอตั้งนานข้าคิดถึง”
ป้ามะลิบอก นิรชาเดินไปที่ประตูบ้าน นำป้ามะลิเข้าไป
“นิเหรอลูก ลืมของเหรอ”
นารีร้องถาม
“เปล่าหรอกค่ะแม่ หนูพาคนมาเยี่ยมแม่น่ะค่ะ”
“ใครกัน จะต้องมาเยี่ยมทำไมให้ลำบาก”
ป้ามะลิเดินมายืนตรงใกล้ๆ ที่นารีนอนอยู่
“แค่มาเยี่ยมน้องสาวมันจะลำบากอะไรกันวะ”
นารีเพ่งตาดู จำได้ว่าเป็นป้ามะลิ
“พี่มะลิ พี่มะลิจริงๆ ด้วย ฉันนึกว่าจะไม่ได้เจอกันอีกแล้ว”
นารีดีใจร้องไห้ออกมา ป้ามะลิรีบนั่งลงข้างๆ จับมือนารี ร้องไห้เหมือนกัน นิรชานั่งอยู่ใกล้ๆ พลอยน้ำตารื้นกับเขาไปด้วย

เวลาต่อมา นิรชาเดินออกมาส่งป้ามะลิ
“แม่แกนี่ยังดื้อเหมือนเดิม ข้าบอกให้ไปอยู่ด้วยกันก็ไม่ยอม”
“แม่เขาเป็นแบบนี้ล่ะค่ะป้า นี่ดีนะที่ยังยอมกินยาทุกวัน”
“แม่แกเขามีบุญนะที่ได้ลูกอย่างแก ยาเม็ดละสามพันก็ยังหามาให้กินได้ทุกวัน”
“หนูยอมเหนื่อยแค่ไหนก็ได้ค่ะป้า ขอให้แม่อยู่กับหนูก็พอ”
“ดีแล้วละลูก ความกตัญญูมันจะส่งให้เราเจริญ ส่งป้าแค่นี้ก็พอแล้ว ป้าคงไม่ได้มาเยี่ยมแม่แกบ่อยๆ นะ เพราะต้องทำมาหากินเหมือนกัน มีอะไรก็ส่งข่าวป้าด้วยแล้วกัน”
“ค่ะป้า”
นิรชายกมือไหว้ป้ามะลิแล้วก็ยืนมองจนป้ามะลิลับตาไป

มัศยาอยู่ในห้องทำงานของวิภา เพื่อตอบคำถามเกี่ยวกับน่านฟ้า
“เป็นไง ฉันได้ข่าวว่าเธอกับนายน่านไปช่วยใครขายข้าวเกรียบที่ตลาดน้ำเหรอ”
“ค่ะคุณท่าน ป้ามะลิแกเคยทำงานที่มีโชคอยู่พักหนึ่งค่ะ รุ่นเดียวกับแม่ดิฉัน คุณน่านอยากได้ข้าวเกรียบสูตรป้ามะลิเอามาทำขายเพื่อเพิ่มยอดตามที่รับปากคนงานเอาไว้เลยไปเจรจาอยู่หลายวันค่ะ”
มัศยารายงานแต่ไม่ทั้งหมด
“แล้วเป็นยังไง ได้เรื่องมั้ย”
“ยังเลยค่ะ บอกตามตรงดิฉันไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าจะได้ผล ท่าทางป้ามะลิแกหวงสูตรของแกมาก”
“เอาเถอะ มันไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ หรอก อย่างน้อยฉันก็ดีใจนะที่นายน่านดูตั้งอกตั้งใจอยากจะทำอย่างที่พูดเอาไว้ หวังว่าคราวนี้คงไม่เหลวไปซะก่อนอีกล่ะ”
วิภาเหมือนจะมีความหวังแต่ก็ยังไม่เต็มที่นัก

มัศยานั่งดูเอกสารงานของตัวเองอยู่ในห้องทำงานของน่านฟ้า ส่วนน่านฟ้านั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานของตัวเอง จู่ๆ ก็พูดขึ้น
“นี่เจ๊ ไปตลาดน้ำกันเถอะ”
“ฉันเห็นคุณน่านเงียบๆ ไป นึกว่าเปลี่ยนใจแล้วเรื่องสูตรข้าวเกรียบป้ามะลิ”
“ผมเปลี่ยนใจไม่อยากได้แล้ว เดี๋ยวป้าแกจะเดือดร้อนอีก แต่อยากไปดูว่าป้าแกเป็นยังไงบ้าง”
“แล้วเรื่องเพิ่มยอดล่ะคุณจะทำยังไง เวลามันเหลือน้อยลงทุกทีแล้วนะ”
“ยังนึกไม่ออกเลยเจ๊ เอาทีละเรื่องดีกว่า จะได้ปวดหัวเป็นเรื่องๆ ไป”

ที่ร้านของป้ามะลิมีลูกค้าเข้าคิวรอซื้อข้าวเกรียบยาวเหยียด มัศยากับน่านฟ้ายืนดูอยู่ใกล้ๆ ร้าน
“สงสัยลูกค้าจะคิดถึงข้าวเกรียบป้ามะลินะ ไม่ได้กินซะหลายวัน”
“เห็นป้าแกมีความสุขแบบนี้ผมยิ่งไม่กล้าไปวุ่นวายกับแกใหญ่เลยเจ๊ แล้วเราค่อยมาหาทางเพิ่มยอดของเราเอาเนอะ”
“ไม่ใช่เรามั้งคะ ฉันไม่เคยรับปากใครว่าจะเพิ่มยอดข้าวเกรียบมีโชค ใครพูดไว้ก็ทำเอาเองละกัน”
“โห อะไรเนี่ยเจ๊ ชิ่งกันเฉยเลย”
น่านฟ้าโวยวาย ป้ามะลิหันมาเห็นน่านฟ้ากับมัศยาก็ร้องเรียก
“เอ้า ไอ้สองคนนั่นน่ะ จะมายืนดูอยู่ทำไม มาช่วยกันหน่อยสิวะ คนเยอะเป็นหนอนเลยเนี่ยไม่เห็นเหรอ”

ป้ามะลิโวยวาย น่านฟ้ากับมัศยารีบเข้าไปช่วย

เวลาผ่านไป ร้านป้ามะลิขายข้าวเกรียบจนหมดเกลี้ยง
 
“ช่วยป้ามะลิขายข้าวเกรียบทำไมมันเหนื่อยเหมือนวิ่งแข่งมาราธอนเลย”
น่านฟ้าทิ้งตัวลงนั่งแผ่พร้อมกับบ่น
“แค่นี้ก็เหนื่อยซะแล้วเหรอคุณน่าน ป้าแกขายคนเดียวมาตั้งนานไม่เห็นแกบ่นเลย”
“อย่าเพิ่งบ่นไปไอ้หนุ่ม วันนี้น่ะจิ๊บๆ พรุ่งนี้รับรองเหนื่อยกว่านี้เพราะข้าจะทำข้าวเกรียบเพิ่ม”
“เอาจริงเหรอครับป้า”
น่านฟ้าถามแบบไม่เชื่อหูตัวเอง
“จริงสิวะ ข้าไม่ได้อยากได้เงินเพิ่มแต่อยากให้คนได้กินข้าวเกรียบเพิ่ม”
“ก็แล้วแต่นะป้า ว่าไงก็ว่าตามกัน”
น่านฟ้าบอกอย่างเหนื่อยๆ

ตอนเย็น น่านฟ้ากับมัศยาช่วยกันขนของป้ามะลิเข้ามาในบ้าน พอวางของได้น่านฟ้าก็นั่งแผ่หราด้วยความเมื่อย มัศยาเองก็นั่งลงพักใกล้ๆ กัน ป้ามะลิเดินมาหยุดตรงหน้าทั้งคู่
“อย่าเพิ่งเหนื่อย เอ็งสองคนยังพักไม่ได้”
“ทำไมล่ะป้า ของก็ขนหมดแล้วนี่นา”
“เพราะว่าเอ็งสองคนต้องช่วยข้าทำแป้งข้าวเกรียบก่อน”
ป้ามะลิบอกแล้วก็เดินเข้าครัวไป น่านฟ้ากับมัศยามองหน้ากันแล้วก็รีบลุกตามป้ามะลิเข้าครัว

ป้ามะลิเปิดดูลังถึงที่นึ่งฟักทองไว้
“ต้องใช้ฟักทองด้วยเหรอคะป้า”
มัศยาถามด้วยความอยากรู้
“ก็ข้าจะทำข้าวเกรียบฟักทองถ้าไม่ใช้ฟักทองจะให้ใช้แตงกวาหรือไงวะนังหนู สุกแล้วเอ็งเอาไปยีให้ละเอียดเลยนะ”
ป้ามะลิสั่ง มัศยารีบเอาฟักทองนึ่งสุกใส่กะละมังแล้วใช้ทัพพีบี้ให้เละ
“แล้วให้ผมทำอะไรล่ะป้า”
“เอ็งเอากระเทียมไปโขลกให้ละเอียด”
ป้ามะลิชี้ไปที่กระเทียมในถ้วยที่วางอยู่ข้างครกหิน
“ป้าไม่กลัวผมจำสูตรเอาไปใช้เหรอครับ”
น่านฟ้าสงสัยที่อยู่ๆ ป้ามะลิก็ให้เป็นลูกมือ
“สูตรเสิดอะไรที่ไหน ไอ้วิธีทำข้าวเกรียบนี่คนเขารู้กันออกเยอะแยะ ใครๆ ก็ทำได้ แต่มันต่างกันตรงความใส่ใจโว้ย เอาให้ละเอียดเลยนะนังหนู ถ้าเป็นก้อนๆ เวลาผสมแป้งมันจะไม่เข้ากัน”
“ได้แล้วมั้งคะป้า”
มัศยาเอาฟักทองที่ยีจนละเอียดแล้วให้ป้ามะลิดู ป้ามะลิรับมาเทใส่กะละมังใบย่อมที่ใส่แป้งมันสำปะหลังเอาไว้แล้ว
“พวกแป้งนี่ก็ต้องใช้ให้ถูกนะ ต้องเป็นแป้งมันสำปะหลังอย่าไปเอาแป้งอื่นมาใช้ เอาฟักทองบดละเอียดใส่ลงไป กระเทียมโขลกละเอียดด้วยส่งมาเลยไอ้หนุ่ม ตามด้วยพริกไทย เกลือ น้ำตาล แล้วก็นวดให้มันเข้ากัน”
ป้ามะลิทำไปสอนไป น่านฟ้ากับมัศยาฟังอย่างตั้งใจ
“พอนวดแป้งได้ที่แล้วก็เอามาปั้นเป็นแท่งเส้นผ่าศูนย์กลางสักนิ้วหนึ่ง”
“แล้วก็เอาไปทอดได้เลยใช่มั้ยครับป้า”
“ยังไม่ได้ ต้องเอาไปนึ่งก่อนสักสี่สิบนาที”
ป้ามะลิบอกพร้อมกับเอาแป้งข้าวเกรียบที่ปั้นแล้วใส่ลงในลังถึงแล้วปิดฝา
“นึ่งเสร็จแล้วก็ทอดได้เลยใช่มั้ยครับ”
“ทอดได้ไงล่ะคุณ ข้าวเกรียบมันเป็นแว่นๆ ต้องหั่นก่อนสิ”
“ถูกของนังหนูมันแต่ไม่ทั้งหมด พอแป้งสุกแล้วก็ทิ้งไว้ให้เย็นแล้วเอาใส่ถุงพลาสติกพักไว้คืนหนึ่งค่อยเอามาหั่น ถ้าหั่นเลยมันจะทั้งเหนียวทั้งหั่นยากออกมาไม่สวย พอหั่นเป็นแว่นๆ แล้วก็ต้องเอาไปตากแดดให้แห้งสนิท”
“แล้วก็เอาไปทอด”
น่านฟ้ารีบแทรก
“ใช่ คราวนี้เอาไปทอดได้แล้ว แต่ห้ามใช้น้ำมันมั่วซั่วนะ ต้องน้ำมันปาล์มเท่านั้นใช้น้ำมันแบบอื่นเดี๋ยวข้าวเกรียบมันจะเหม็นหืนแล้วก็ไม่อร่อย แค่นี้แหละทำข้าวเกรียบ มันมีส่งมีสูตรที่ไหนกันล่ะ”
“ไม่ง่ายเหมือนกันนะครับป้า”

น่านฟ้ายังนึกไม่ออกเหมือนกันว่าจะเอาไปใช้กับการเพิ่มยอดข้าวเกรียบมีโชคได้อย่างไร

ปลาหลงฟ้า ตอนที่ 6 (ต่อ)

น่านฟ้าขับรถเข้ามาจอดที่หน้าบ้านมัศยา ทั้งคู่ลงจากรถ
 
“ตกลงป้ามะลิก็ไม่มีสูตรข้าวเกรียบแบบที่แกบอกจริงๆ มีแต่วิธีทำเท่านั้น”
น่านฟ้าบอกแล้วถอนหายใจ
“แล้วคุณน่านจะเอายังไงต่อ”
“ผมยังคิดอะไรไม่ออกเหมือนกัน แต่มันต้องมีทางสิ”
น่านฟ้าเห็นแป้งติดที่ผมของมัศยาก็เอื้อมมือไปเช็ดให้
“เฮ้ย ทำอะไรวะ”
สินธุเข้ามากระชากน่านฟ้าจนเซไป
“สินธุ”
มัศยาอุทานแล้วรีบเข้าไปหา
“แฟนเจ๊ถูกหมาบ้ากัดมาหรือเปล่าเนี่ย เจอทีไรอาละวาดทุกทีเลย”
“แกก็เลิกทำตัวเป็นแมวขโมยแอบมาตอดแฟนชาวบ้านสักทีสิวะ”
“ถ้าผมจะขโมยป่านนี้ไม่เหลือแล้วมั้งคุณ ถ้าหวงแฟนมากก็หัดกลับมาดูแลบ้างสิครับ ผมเข้าออกบ้านนี้จนพรุน เจอคุณโผล่มาอาละวาดครั้งสองครั้งนี่แหละมั้ง”
“แก”
สินธุโดนจี้ใจดำพูดอะไรไม่ออก ทำท่าจะเข้าไปชกน่านฟ้า
“คราวนี้ผมไม่ยอมแฟนเจ๊แล้วนะจะบอกให้”
น่านฟ้าบอกมัศยาพร้อมกับตั้งการ์ดเตรียมสู้
“ถ้าอยากจะต่อยกันนักก็ตามสบายฉันไม่ห้ามแล้ว เอาให้ตายกันไปข้างเลยนะคะหรือจะตายทั้งคู่เลยก็ดีจะได้หมดเรื่องสักที”
มัศยาว่าแล้วก็หันหลังเดินเข้าไปทางบ้าน น่านฟ้ากับสินธุฮึ่มๆ ใส่กัน ก่อนที่สินธุจะตัดสินใจตามมัศยาไป
“หยี รอด้วยสิหยี”
“โธ่ นึกว่าจะแน่”
น่านฟ้าทำท่าชกลมเตะลมฟิตเต็มที่พร้อมลุย

มัศยาเดินงอนๆ เข้าบ้านมา สินธุเดินตามมาติดๆ
“หยี ผมไม่ชอบเลยนะที่หยีทำแบบนี้”
“แบบนี้คือยังไงคะ”
“ก็ที่หยีพาไอ้นั่นเข้าบ้าน แถมยังสนิทสนมเกินเจ้านายลูกน้องแบบนั้น”
“หยีบอกไปแล้วไม่ใช่เหรอว่าเราไม่มีอะไรเกินเลยกว่าเรื่องงาน ถ้าสินธุไม่เชื่อใจกันหยีก็ไม่มีอะไรจะอธิบายแล้ว”
“ผมขอโทษนะหยี ก็ผมทั้งหวงทั้งห่วงหยีนี่นา”
สินธุเห็นท่าว่ามัศยาจะเอาจริงก็เลยอ่อนลง
“หยีอย่าอารมณ์เสียเลยนะ นานๆ เจอกันทีไม่อยากเห็นหยีหน้าบึ้งเลย เดี๋ยวไม่สวยนะ”
สินธุแหย่
“หน้าหยีก็เป็นแบบนี้แหละค่ะ สวยไม่สวยก็หน้านี้แหละ แล้วนี่สินธุมายังไง หยีไม่เห็นรถเลย”
“รถเอาเข้าอู่น่ะหยี พอดีเกิดอุบัติเหตุนิดหน่อย”
“ตายจริง แล้วสินธุเป็นอะไรมากหรือเปล่าคะ”
มัศยารีบถามด้วยความเป็นห่วง
“ไม่เป็นไรหรอก แต่รถตอนนี้อยู่ที่อู่ ประกันเขาให้จ่ายค่าแอ็กเซ็ปต์ห้าพัน เงินเดือนผมยังไม่ออกเลย หยีพอจะมีหรือเปล่า”
“เราทำประกันชั้นหนึ่งไม่ใช่เหรอ ทำไมต้องเสียค่าอะไรอีก สงสัยต้องเปลี่ยนประกันใหม่แล้ว”
มัศยาบ่นแต่ก็ควักเงินให้โดยดี
“สินธุอยู่ทานข้าวด้วยกันนะคะ นะดีบ่นคิดถึงอาสินธุอยู่”
“ผมก็คิดถึงนะดีเหมือนกัน แต่วันนี้คงอยู่ไม่ได้ต้องรีบเอาเงินไปให้ประกัน จะได้ซ่อมรถให้เสร็จเร็วๆ ไว้วันหลังนะหยี ผมไปนะ”

สินธุบอกแล้วก็รีบเดินออกไป

น่านฟ้านั่งรอปารณอยู่ที่ในร้านกาแฟ เห็นสินธุเดินโอบเอวสาวหมวยผ่านไป
 
“นั่นมันแฟนเจ๊โหดนี่หว่า นึกแล้วว่าไว้ใจไม่ได้”
น่านฟ้ารีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปเอาไว้ ปารณเดินเข้ามาหานั่งลงตรงข้าม
“ไงวะไอ้น่านนัดฉันมาด่วนแบบนี้มีอะไรหรือเปล่า”
“ตอนแรกก็กะจะนัดมาเจอกันเฉยๆ แต่ตอนนี้มีเรื่องให้ช่วยแล้วว่ะ”
“เรื่องอะไรวะ”
“แกมีนักสืบที่ใช้งานกันอยู่ประจำใช่ปะ ฉันอยากให้สืบพฤติกรรมคนนี้ให้หน่อย”
น่านฟ้าบอกแล้วก็กดส่งรูปสินธุให้ปารณทางไลน์ ปารณเปิดรูปดู
“ใครวะ”
“แฟนเจ๊โหดว่ะ ฉันสงสัยว่าเจ๊แกจะโดนไอ้หมอนี่หลอก”
“แล้วแกไปยุ่งอะไรกับเขาวะ หรือว่าแกแอบชอบเจ๊โหดอะไรของแกนั่น”
“จะบ้าเหรอ ใครจะไปชอบลงวะ ทั้งแก่แถมมีลูกติดอีกต่างหาก เจ๊เขาก็ดีกับฉันโว้ยเลยไม่อยากให้โดนผู้ชายหลอก สงสารว่ะ จัดการให้หน่อยนะโว้ย”
“เออ ได้เรื่องแล้วจะบอกว่ะ”

มัศยานั่งทำงานเอกสารที่เอามาจากที่ทำงานอยู่ สมใจเดินเข้ามาหา
“ทำอะไรอยู่น่ะหยี”
“งานเอกสารน่ะจ้ะแม่ หนูไม่ได้เข้าออฟฟิศซะหลายวัน นะดีหลับไปแล้วเหรอ”
“หลับปุ๋ยไปแล้ว เออ นี่หยี ตกลงหยีกับสินธุนี่มันยังไงกัน เราอายุไม่ใช่น้อยแล้วนะ จะมาคบกันแบบอยากไปก็ไปอยากมาก็มาแบบนี้มันไม่เหมาะนะ”
“สินธุเขาเพิ่งจะได้ตำแหน่งใหม่น่ะจ้ะแม่ เลยยุ่งๆ อีกสักพักน่าจะขอย้ายกลับมากรุงเทพได้”
“ดูให้มันดีๆ นะลูก ไม่ใช่เด็กๆ กันแล้ว อย่าเอาอารมณ์เป็นที่ตั้ง เราเป็นลูกผู้หญิงถ้าตัดสินใจพลาดแล้วมันพลาดเลย”
สมใจเตือนแล้วก็ลุกขึ้นเดินขึ้นข้างบนไป มัศยาคิดตามที่แม่บอกแล้วก็หยิบโทรศัพท์โทรหาสินธุแต่ไม่มีคนรับสาย

ปารณ สุกิจ และภูริชนั่งคุยกันอยู่ในผับ
“แผนเปิดตัวข้าวเกรียบของผมไปถึงไหนแล้วคุณปารณ”
“ใกล้เสร็จแล้วครับ คุณสุกิจมีตัวสินค้าที่พร้อมจะให้เปิดหรือยังครับ ผมจะได้กำหนดช่วงเวลาได้”
ปารณถามหยั่งเชิง
“จริงก็เกือบจะได้ข้าวเกรียบสูตรเด็ดมาเปิดตัวแล้วนะถ้าไม่โดนเด็กเมื่อวานซืนมันขัดขวางซะก่อน”
สุกิจบอกอย่างโมโห
“ใครกันครับกล้าขัดขวางธุรกิจของคุณสุกิจ”
“ช่างมันเถอะ คุณจัดการแค่เรื่องแผนการตลาดก็พอ เรื่องอื่นผมจัดการเอง คุณเตรียมงานของคุณให้พร้อม ทางผมเรียบร้อยเมื่อไหร่แล้วจะรีบบอก”

ตอนเช้า ปารณมาหาน่านฟ้าที่บ้าน เจอกับสุกัญญาพอดี
“สวัสดีครับคุณน้า”
“อ้าว ตาเป้ มาแต่เช้าเชียว บทจะหายหน้าหายตาก็หายไปเลย พอจะมาก็มาถี่เลยนะ”
สุกัญญาแซว
“พอดีช่วงนี้มีงานต้องคุยกับนายน่านเยอะหน่อยน่ะครับ”
“ตามสบายเลยนะ ตาน่านตื่นแล้วเดี๋ยวคงลงมา น้าขอตัวไปข้างนอกหน่อยว่าจะไปจ่ายตลาด”
สุกัญญาเดินออกไป น่านฟ้าแต่งตัวเรียบร้อยเดินลงจากบนห้องมา
“ไอ้เป้ มาทำอะไรแต่เช้าวะ”
“จะมาส่งข่าวเรื่องนายสุกิจว่ะ”
“ทำไมวะ”

น่านฟ้าแปลกใจ

น่านฟ้าคุยกับมัศยาอยู่ในห้องทำงาน
 
“ฟังดูเหมือนกับว่าคุณสุกิจจะเลิกล้มความตั้งใจที่จะเอาสูตรข้าวเกรียบจากป้ามะลิแล้วเลยนะคะ”
“เป็นแบบนั้นก็ดี ป้ามะลิจะได้ไม่ต้องเดือดร้อนอีก”
“คุณน่านจะเรียนคุณท่านเรื่องของคุณสุกิจหรือเปล่าคะ”
“ผมคิดว่าคงจะไม่บอกแม่ใหญ่ตอนนี้หรอก ขอดูอีกสักพักว่าอาสุกิจจะมาไม้ไหนต่อ”
“ฉันว่าตอนนี้ปัญหาของเราไม่ได้อยู่ที่คุณสุกิจจะทำข้าวเกรียบแบรนด์ใหม่ได้หรือเปล่า แต่มันอยู่ที่เราจะเพิ่มยอดขายให้ข้าวเกรียบมีโชคได้หรือเปล่านะคะคุณน่าน”
“นั่นแหละที่ผมกลุ้มอยู่”
น่านฟ้าถอนหายใจออกมา ต๋องเปิดประตูห้องทำงานเข้ามาหน้างอนๆ
“มีอะไรต๋อง”
“ยังจำต๋องได้เหรอครับคุณน่าน”
ต๋องถามน้ำเสียงงอนๆ
“อะไรของแกวะไอ้ต๋อง ทำไมจะจำไม่ได้ ฉันไม่ได้เป็นอัลไซเมอร์นี่หว่า”
“ไม่รู้แหละ ทั้งคุณน่านทั้งเจ๊หยีเลย แอบไปขายข้าวเกรียบที่ตลาดน้ำไม่เคยชวนต๋องสักคำ”
“นี่ ฉันกับคุณน่านออกไปทำงานไม่ได้ออกไปเที่ยวจะได้ชวนแกไปด้วย อย่ามาทำเป็นดราม่าเดี๋ยวจะโดนไม่ใช่น้อย มีอะไรก็ว่ามา”
มัศยาแกล้งทำเสียงดุ
“คุณท่านให้มาตามทั้งคุณน่านกับเจ๊หยีเลยครับ”
ต๋องบอกแล้วก็ทำเป็นค้อนก่อนจะเดินออกไป
“ไอ้ต๋องนี่ชักจะทะลึ่งใหญ่แล้ว”
น่านฟ้าว่าขำๆ

น่านฟ้ากับมัศยานั่งอยู่หน้าโต๊ะทำงานของวิภา
“ไงนายน่าน ได้สูตรข้าวเกรียบเด็ดๆ มาเพิ่มยอดให้มีโชคหรือยัง”
“แม่ใหญ่ทราบความเคลื่อนไหวแบบนี้ ผมว่าน่าจะรู้แล้วแหละมั้งว่าผลเป็นยังไง”
“ฉันก็แค่อยากได้ยินจากปากแกเองว่ามันเป็นยังไง”
“มันคงไม่มีสูตรเด็ดอะไรนั่นเหมือนกับที่ป้ามะลิแกบอกแหละครับแม่ใหญ่”
“สูตรเด็ดของป้ามะลิไม่มี แต่ไม่ได้หมายความว่าข้าวเกรียบมีโชคจะมีสูตรเด็ดไม่ได้นี่”
วิภาบอกเป็นนัยๆ
“แม่ใหญ่หมายความว่ายังไงครับ”
“ลองไปคิดดูเอาเอง สมาธิมาปัญญาถึงจะเกิดจำเอาไว้”
วิภาบอกทิ้งท้าย น่านฟ้ากับมัศยามองหน้ากันใช้ความคิด

น่านฟ้ากับมัศยากลับมาที่ห้อง ช่วยกันคิดเรื่องที่วิภาบอก
“แม่ใหญ่พูดอะไรแปลกน่าขนลุก”
“คุณชินแต่โดนคุณท่านด่าน่ะสิ พอคุณท่านแนะนำเรื่องดีๆ คุณก็เลยขนลุกรับไม่ทัน”
“แหม เจ๊นี่รู้ใจผมจริงๆ เลย แล้วเจ๊ว่าแม่ใหญ่หมายความว่ายังไง”
“ถ้าถามฉันนะ ฉันคิดว่าคุณท่านคงอยากให้คุณน่านคิดสูตรใหม่ๆ ของข้าวเกรียบมีโชคขึ้นมาเอง”
“ให้ผมเนี่ยนะคิดสูตรข้าวเกรียบ”
น่านฟ้าถามเสียงหลง
“ผมทอดไข่ดาวยังไหม้เลยจะให้มาคิดสูตรข้าวเกรียบเนี่ยนะ”

น่านฟ้าโวยวาย มัศยามองแล้วก็ถอนใจด้วยความหนักใจ

ป้ามะลิกำลังเก็บของหลังจากที่ขายหมดแล้ว น่านฟ้าเดินเข้ามาช่วยเก็บ ไม่พูดไม่จา
 
“เป็นอะไรวะไอ้หนุ่ม โดนเมียทิ้งรึไง ทำหน้ายังกะโลกถล่มใส่”
“ป้าเคยเจอปัญหาหนักๆ บ้างหรือเปล่า”
น่านฟ้าไม่ตอบแต่กลับถามขึ้นมา
“ทุกคนในโลกนี้ก็มีปัญหาทั้งนั้นแหละโว้ย แต่มันบอกไม่ได้หรอกว่าปัญหาของใครหนักกว่าใคร เอ็งก็ว่าปัญหาของเอ็งหนัก ไอ้ข้าก็ว่าปัญหาของข้าหนัก ปัญหาทุกเรื่องมันก็หนักสำหรับเจ้าตัวทั้งนั้นแหละ”
ป้ามะลิบอกน้ำเสียงจริงจังทำเอาน่านฟ้าต้องหันมามอง
“โห ป้านี่ก็ปรัชญาใช่ย่อยเลยนะเนี่ย”
“มันคือชีวิตโว้ย แล้วเอ็งมีเรื่องหนักใจอะไรนักหนา อย่าบอกว่าเรื่องสูตรข้าวเกรียบอีกนะ”
ป้ามะลิดักคอ
“ก็ทำนองนั้นแหละป้า ถ้าสามเดือนแล้วผมยังเพิ่มยอดให้ข้าวเกรียบมีโชคไม่ได้ ก็จบกัน”
“เอ็งกลัวเสียหน้าเหรอวะที่พูดแล้วทำไม่ได้”
“เรื่องหน้าน่ะผมไม่กลัวเสียหรอกป้า แต่ผมกลัวคนที่เขาหวังกับผมเอาไว้จะเสียใจ ทั้งแม่ผม แม่ใหญ่ แล้วก็ เจ๊โหด”
น่านฟ้าบอกจากความรู้สึกจริงๆ
“เอ็งอย่าเพิ่งไปคิดไกลถึงขนาดใครจะดีใจใครจะเสียใจเลย ถ้าเอ็งมัวแต่คิดเรื่องนั้นมันจะทำให้ไม่มีสมาธิ อย่าไปทำอะไรเพราะคนอื่น คนเราจะทำอะไรสักอย่างมันต้องเริ่มมาจากตัวเราเอง”
“ยังไงอ่ะป้าผมไม่เข้าใจ”
“เอ็งรู้หรือเปล่าไอ้หนุ่มว่าทำไมข้าถึงมาทอดข้าวเกรียบขาย”
“เพราะป้าอยากได้ตังค์ อยากให้คนกินข้าวเกรียบกันเยอะๆ ปะ”
น่านฟ้าตอบแบบไม่ค่อยมั่นใจ
“เพราะข้ารักข้าวเกรียบ ข้ามีความสุขกับการทำข้าวเกรียบให้คนกินต่างหาก ข้ามีความสุขกับการปั้นแป้ง มีความสุขที่ตื่นเช้ามาได้ออกมาขายข้าวเกรียบ มีความสุขที่เห็นคนมาเข้าคิวซื้อข้าวเกรียบ ข้าวเกรียบไม่เคยเป็นปัญหาสำหรับข้าแต่มันกำลังเป็นปัญหาสำหรับเอ็ง”
น่านฟ้านิ่งคิดตามที่ป้ามะลิบอก

คืนนั้น น่านฟ้านอนเอนหลังใช้ความคิดอยู่บนที่นอน
“เราต้องทำให้ข้าวเกรียบมันไม่ใช่ปัญหาสำหรับเรา แต่มันคือความสุข”
น่านฟ้าบอกกับตัวเอง

สายวันรุ่งขึ้น น่านฟ้าลงมาจากห้องนอนเจอสุกัญญากำลังเช็ดใบเตยอยู่
“ทำอะไรครับแม่”
“แม่ว่าจะทำน้ำใบเตยไว้ทานกันน่ะจ้ะ”
น่านฟ้าหยิบใบเคยขึ้นมาดม
“หอมจังเลยครับ”
“ไม่ใช่หอมอย่างเดียวนะ มีประโยชน์ด้วย ใบเตยนี่ถือว่าเป็นสมุนไพรอย่างดีของบ้านเราเลยแหละ”
“แล้วเราเอาใบเตยไปทำอย่างอื่นนอกจากน้ำใบเตยได้มั้ยครับแม่”
“ได้สิจ๊ะ เขาเอาไปทำของกินกันเยอะแยะ ทั้งขนมเอย อาหารเอยสารพัด อะไรเนี่ย อยู่ๆ ก็มาสนใจอยากรู้เรื่องพวกนี้”
“ขอบคุณมากครับแม่ ผมรู้แล้วว่าจะเพิ่มยอดข้าวเกรียบมีโชคได้ยังไง”

น่านฟ้ามีความหวังขึ้นมาทันที
 
จบตอนที่ 6
กำลังโหลดความคิดเห็น