บ้านศิลาแดง ตอนที่ 9
ตรัยตรงดิ่งมาที่บ้านศิลาแดงด้วยความร้อนใจ เมื่อเข้ามาภายในบริเวณบ้าน นายตำรวจหนุ่มกวาดตามองซ้ายขวาโดยรอบ ตามสัญชาตญาณ เชาว์ที่ยืนแอบดูอยู่ ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ก่อนจะทำทีเป็นเดินเข้ามาทัก
“หาอะไรอยู่เหรอครับ คุณตำรวจ”
“หาอะไร เปล่านี่”
“อ้าว ถ้าอย่างนั้นมาทำอะไรตอนนี้ครับเนี่ย เค้าอยู่ที่โรงพยาบาลกันไม่ใช่เหรอ”
ตรัยชะงักไปนิดหนึ่ง ก่อนจะแกล้งพูดเลี่ยงไป ว่าจะหลับมาเองของที่พรเพ็ญลืมไว้
“แล้วคุณล่ะ มายืนทำอะไรหน้าบ้าน นัดใครไว้รึเปล่า”
เชาว์ยักไหล่ทำไม่สนใจ
“จะมาเอาของไม่ใช่เหรอครับ เชิญสิครับ”
ตรัยจำใจเดินเข้าไปในบ้าน เชาว์มองตามหลัง พลางยิ้มเจ้าเล่ห์
วาทินีที่ยืนแอบดูอยู่ พอเห็นตรัยเดินเข้ามาก็ลุกลี้ลุกลน เหลือบมองไปที่กล้องวงจรปิด ในมือกำมือถือ ไว้แน่น
ตรัยเดินลิ่วๆ จะเข้ามาในบ้าน โดยมีเชาว์เดินตามหลังมาติดๆ
“หนูพรนี่เธอใจดีจังเลยนะครับ ใครจะเข้าจะออกห้องเธอ เธอไม่มีบ่นซักคำ ที่สำคัญยิ่งโตก็ยิ่งสวย”
เขาได้ยินก็กำหมัดแน่นขึ้นมาทันที
“ผมว่าคุณพูดถึงเธอให้ดีๆ หน่อยดีกว่าไหมครับ คุณน่ะ แก่คราวพ่อแล้วนะครับ”
อีกฝ่ายยิ้มยียวน พยายามพูดจากวนอารมณ์ต่อ
“แหม สมัยนี้อายุเป็นเพียงตัวเลขนะครับ ยิ่งหนูพรเธออยู่แต่บ้าน ดูแลแต่คนแก่ เธออาจจะเหงาก็ได้ ใครจะรู้”
ตรัยหมดความอดทน กระชากคอเสื้อเชาว์ขึ้นทันที วาทินีแอบยิ้ม รีบเหลือบไปมองกล้องวงจรปิด พร้อมกับยกโทรศัพท์ตัวเองขึ้นถ่ายด้วย
เชาว์เริ่มหน้าเสีย แต่ก็พยายามฝืนเล่นละครต่อ
“จริงๆ พักหลังนี่รู้สึกว่าหนูพรเธอคอยตามดูผมตลอดเลย ผมเองก็ชักจะหวั่นไหวซะแล้วสิ เห็นทีจะต้องสนองซะหน่อย”
ตรัยทนอีกต่อไปไม่ไหว ซัดหมัดต่อยอีกฝ่ายอย่างแรง จนเชาว์หน้าเหย ก่อนจะแกล้งกลิ้งล้มลงไปนอน พร้อมกับโวยวายออกมาเสียงดัง จากนั้นก็ทำเป็นล้วงเงินในกระเป๋ายื่นให้
“อย่าทำผมเลยครับคุณตำรวจ อยากได้อะไรเอาไป ทั้งเนื้อทั้งตัวผมมีแค่นี้จริงๆ”
ตรัยปรี่เข้าไปชี้หน้า
“อย่ายุ่งกับคุณพรเป็นอันขาด บอกลูกชายแกด้วยอีกคน ถ้าแกสองพ่อลูกยังมายุ่งกับคุณพรอีกล่ะก็ เตรียมตัวไว้ได้เลย ฉันเอาแกตายแน่ ส่วนไอ้เรื่องชั่วๆ ของแก ไว้มีหลักฐานเมื่อไหร่ ฉันไม่ปล่อยแกแน่”
พูดจบตรัยก็เดินออกไปอย่างโกรธจัด วาทินีที่แอบดูอยู่ แกล้งออกมาพยุงเชาว์เข้าบ้านไป
ตรัยเดินกระฟัดกระเฟียดมาที่รถ จัดแจงเปิดประตูขึ้นไปนั่งแล้วปิดกระแทกอย่างแรง สีหน้ายังโกรธจัด ก่อนจะฉุกคิดขึ้นถึงข้อความที่ถูกส่งมา
“ตกลงว่าใครส่งมา?”
พอเข้ามาถึงห้องรับแขก วาทินีที่ประคองเชาว์อยู่ ก็สะบัดตัวออกจนอีกฝ่ายหงายเงิบ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู จังหวะนั้นณัฐพงษ์ที่เดินเข้ามา พอเห็นสภาพหน้าของพ่อก็สงสัย วาทินีรีบบอกว่าโดนหมัดของตรัย พลางปรายตามองลูกเลี้ยงที่ถอดเสื้อโชว์กล้ามแล้วกลืนน้ำลายเอื๊อก พร้อมกับที่เชาว์รีบพูดแทรกขึ้นมา
“ตกลงเอาไงต่อ”
“ก็ไม่เอาไง ก็แค่ตัดต่อคลิปโพสต์ลงเฟซ แค่นี้ก็เรียบร้อย”
ณัฐพงษ์มองทั้งคู่สลับกันอย่างสงสัย
“นี่ไปทำอะไรกันมาแน่เนี่ย”
เชาว์ลุกขึ้นเดินมาโอบไหล่ลูกชายยิ้มๆ
“ก็แค่เคลียร์ทางให้เราเอาคืนคุณหนูพรได้สะดวกขึ้นแค่นั้นเอง”
มือของเดือนฉายค่อยๆ แตะมุมปากของลูกสาวที่มีร่องรอยที่โดนสโรชากับอาภาพรรุมตบ ก่อนจะคาดคั้นถามว่าไปโดนอะไรมา พรเพ็ญอึกอักไม่กล้าพูด ทันใดนั้นหมอกับพยาบาลก็เคาะประตูแล้วเดินเข้ามา
“หมอจะมาบอกว่าผลการตรวจอย่างละเอียดและจากที่เฝ้าดูอาการคนไข้แล้ว ก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงนะครับ ปลอดภัย และถ้าอยากจะกลับบ้าน ก็กลับได้เลยนะครับ”
กอล์ฟโลดเต้นดีใจ ตรงข้ามกับพรเพ็ญที่หน้านิ่ว เพราะจริงๆ ต้องไปอยู่กับพ่อ เดือนฉายเองก็เป็นห่วง เอกสิทธิ์ไม่น้อยไปกว่ากัน
ในเวลาเดียวกัน เอกสิทธิ์ก็นอนกระสับกระส่าย ทำมือเหมือนจะคว้าไม่ให้เดือนฉายไป เพ็ญพรที่นั่งเฝ้าอยู่ ผุดขึ้นมาดูด้วยความเป็นห่วง พักหนึ่งพ่อก็สงบลง พร้อมกับที่มือถือของเธอมีข้อความไลน์ดังเตือนเข้ามา
“แย่แล้ว แม่จะกลับบ้าน พี่อยู่กับแม่”
เพ็ญพรรีบพิมพ์กลับ “ดีสิ กลับไปเลย ทางนี้จัดการเอง ฝากแม่ด้วย”
ส่งข้อความเสร็จ ก็ยิ้มกับตัวเอง
“ได้เวลาสนุกอีกแล้วสิ”
พรเพ็ญเงยหน้าจากมือถือ ก็หันมาเจอวิทวัสที่ยื่นหน้ายิ้มกวนๆ พร้อมกับแกล้งกระเซ้าว่าแอบส่งไลน์หาหนุ่มที่ไหน
“พูดอะไรน่าเกลียด คุณน่ะเมื่อไหร่จะเลิกว่าฉันซะที”
“ก็เมื่อไหร่คุณถึงจะเลิกเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายซะทีล่ะ”
พรเพ็ญกำลังจะหาทางเลี่ยง ก็พอดีบุรุษพยาบาล้ข็นรถเข็นของเดือนฉายเข้ามา โดยมีกอล์ฟเดินหิ้วถุงยาตามมาติดๆ
“กลับบ้านกันเถอะลูก ไปเถอะ อย่าดื้อแม่”
พรเพ็ญจำใจต้องเดินตามเดือนฉายไป พร้อมกับกับวิทวัสและกอล์ฟ แต่ไม่วายหันมามองด้านหลังด้วยความเป็นห่วง
เช้าวันรุ่งขึ้น เพ็ญพรก็รีบโทร. บอกสุดาทันทีว่าเธอกับพรเพ็ญสลับตัวกันเรียบร้อยแล้ว ก่อนจะเล่าสิ่งที่หมอรุจน์สันนิษฐานให้อีกฝ่ายฟัง
จู่ๆ สุดาก็โวยวายขึ้นมา ขณะที่ตามองที่จอคอมพิวเตอร์ไปด้วย
“แย่แล้ว อะไรกันเนี่ย ซวยแล้ว แค่นี้ก่อนนะ”
จากนั้นก็รีบคว้าคอมพ์วิ่งออกจากห้อง พลางแหกปากลั่น
“พี่ตรัยอยู่ไหน แย่แล้ว”
ทางด้านตรัยก็ถูกสารวัตรเรียกเข้ามาพบในห้อง ก่อนจะยื่นไอแพดให้ดูภาพเหตุการณ์ขณะที่เขาซัดเชาว์จนลงไปกอง แล้วอีกฝ่ายถือเงินยื่นให้
“ตอนนี้เค้าพูดกันไปทั่วแล้วว่า ตำรวจข่มขู่รีดไถประชาชน”
ตรัยรีบอธิบาย
“แต่ท่านครับ มันไม่ใช่อย่างที่เค้าพูดกันนะครับ ความจริงนายเชาว์นั่นเป็นผู้ต้องสงสัยคดียาเสพติดที่เราตามอยู่นะครับ”
“แต่ที่หมวดพูดมันก็ไม่ใช่อย่างที่เราเห็นอยู่เช่นเดียวกัน ที่สำคัญเค้าเห็นกันทั่วบ้านทั่วเมืองแล้วด้วย ตอนนี้มันส่งผลให้เกิดภาพลบกับทางเรามาก เราจำเป็นต้องตั้งคณะกรรมการสอบคุณนะผู้หมวด เอาเป็นว่าตอนนี้คุณห้ามไปที่บ้านนั้นก่อนแล้วกัน นี่เป็นคำสั่ง”
ตรัยท้วงขึ้นมาทันที
“แต่ผมก็ได้รับคำสั่งให้ติดตามนายเชาว์และสาวไปให้ถึงตัวหัวหน้ามันด้วยนะครับ”
“งั้นผมก็จะมีคำสั่งให้คนอื่นทำแทนคุณ ส่วนคุณไม่ต้องทำคดีนั้น และห้ามยุ่งเกี่ยวกับนายเชาว์นั่นอีกเด็ดขาด ปฏิบัติตามนี้นะผู้หมวด”
พูดจบสารวัตรก็เดินออกจากห้องไป ตรัยทิ้งตัวลงนั่งอย่างหมดแรง ก่อนจะกำแน่นแล้วทุบลงบนโต๊ะอย่างแรง
เวลาเดียวกันเชาว์กับวาทินี ก็หัวเราะลั่นอย่างสะใจ จนสโรชาต้องถลึงตาใส่ ก่อนจะหันขวับกลับมาตวาดลุงเติมกับป้าแจ่ม ที่นอนเป็นหลับเป็นตาย จนเพิ่งตื่นมาเมื่อครู่นี้
ลุงเติมรีบอธิบายว่าทำสวนตามคำสั่งของวาทินีเสร็จ ก้มานั่งกินข้าวกับป้าแจ่ม แล้วจู่ๆ ก็หลับไปโดยไม่รู้ตัว
“ เดี๋ยวนะ ตะกี๊แกว่าแกทำสวน ตามคำสั่งใครนะ”
ลุงเติมชี้มือไปที่วาทินี” ก็คุณนี่อ่ะครับ”
อาภาพรโวยวายลั่นขึ้นมาทันที วาทินีก็โวยกลับอย่างไม่ยอมแพ้ สโรชาปราดจะเข้าไปตบ
“หยุด นังป้า เปลี่ยนจากตบมาเป็นกราบฉันซะจะดีกว่า”
“อร้าย แกนี่มันเกินเยียวยาแล้ว น้ำหน้าหยั่งแกเนี่ยนะจะให้ฉันกราบ”
วาทินียิ้มเยาะ
“น้ำหน้าหยั่งฉันเนี่ยแหละที่แกต้องกราบ เพราะแกก็รู้ดีอยู่กับใจว่าฉันกำเรื่องเน่าๆ อะไรของใครไว้บ้างยังไม่จบ ฉันยังฉลาดสุดๆ ถึงขนาดจัดการเฉดหัวตัวอันตรายของบ้านศิลาแดงออกไปเรียบร้อยแล้วด้วย แค่นี้แกก็น่าจะกราบฉันงามๆ ซัก 3 ทีแล้วนะคะคุณป้า”
สโรชาได้ฟังก็ทำหน้างง
“ตัวอันตรายของบ้านศิลาแดง แกหมายถึงใคร?”
ตรัยหลบมุมมานั่งทำหน้าเซ็งอยู่ที่สวนหย่อมของโรงพยาบาล ครู่หนึ่งเพ็ญพรก็เดินเข้ามาพูดปลอบ เป็นเชิงไม่ให้คิดมาก เขาหันมายิ้มล้อๆ ก่อนจะดึงอีกฝ่ายให้นั่งลงข้างๆ แล้วมองหน้านิ่ง
“คือพี่ก็ชอบนะเวลาน้องพรลุกขึ้นสู้คน แต่บางทีพี่ก็ชอบเวลาน้องพรพูดดีๆ กับพี่แบบเมื่อกี๊ น่ารักดีนะ”
เพ็ญพรเขินจนทำหน้าไม่ถูก รีบพูดกลบเกลื่อน
“ว่าแต่จะโดนไล่ออกมั้ยอ่ะ?”
“รู้เรื่องพี่ด้วยเหรอ”
“แหม..ก็ไอ้ดา” พอรู้ตัวก็รีบพูดไปอีกทาง “คือ ก็คลิปว่อนเนตซะขนาดนั้น”
ตรัยส่ายหน้า พลางถอนใจ “ยังอยู่ในขั้นตอนสอบสวน”
“ต้องมาเดือดร้อนเพราะพวกเราแท้ๆ”
ตรัยฝืนยิ้ม
“พี่เต็มใจ อีกอย่างมันเป็นหน้าที่ของตำรวจที่ดีที่ต้องปกป้องคนดีและปราบปรามคนชั่ว”
พูดพลางค่อยๆ ยกมือมาลูบผมเพ็ญพรอย่างทนุถนอม
“ต่อจากนี้ ต้องระวังตัวให้มากขึ้นนะครับ เพราะพี่คงจะดูแลน้องพรและคุณลุงได้ไม่เหมือนเดิม พี่ถูกสั่งไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับนายเชาว์ และห้ามเข้าไปในบ้านศิลาแดงอีกเด็ดขาด”
เพ็ญพรได้ยิน ก็ถึงกับอึ้งไปทันที
พออาภาพรรู้เรื่องคลิปของตรัยที่วาทินีตัดต่อ ทำให้เขาโดนคำสั่งไม่ให้มาที่บ้านศิลาแดงอีก ก็โวยวายขึ้นมาทันที
“นังบ้า แกทำพี่ตรัยของฉันทำไม”
วาทินีหันมองทางสโรชาแล้วยิ้มเยาะ
“คุณป้า ตอบลูกสาวคุณป้าซิว่าฉันทำอย่างนั้นทำไม แล้วไอ้ที่ฉันทำน่ะมันถือเป็นบุญคุณต่อผัวเก่าคุณป้า ต่อคุณป้า และต่อพวกมันขนาดไหน”
อาภาพรได้ยินก็โมโหจนตัวสั่น รีบบอกแม่ให้เฉดหัวอีกฝ่ายออกไป ทว่า....
“เธอทำดีแล้ว วาทินี แม่เคยบอกแล้วใช่มั้ยว่าให้อยู่ห่างๆ หมวดตรัยนั่น มันเป็นตัวอันตรายสำหรับพวกเรา มันไปให้ไกลๆ พ้นๆ จากบ้านนี้ได้น่ะดีแล้ว จบเรื่อง แยกย้าย ใครจะไปไหน ไปทำอะไรก็ไปๆ ซะ ฉันล่ะปวดหัว”
อาภาพรไม่ยอมแพ้
“ได้ ถึงพี่ตรัยจะเข้าบ้านศิลาแดงไม่ได้ ฉันก็ไม่แคร์หรอกเว้ย ฉันออกไปหาพี่ตรัยเองก็ได้”
ขาดคำกระทืบเท้าปึงๆ ออกไป พร้อมกับที่สโรชาหันกลับมาจ้องหน้าวาทินี
“อย่านึกว่าถือไพ่เหนือกว่า เล่นไพ่กับฉัน ฉันก็พร้อมจะล้างไพ่ใหม่ได้ตลอดเวลา จำใส่กะโหลกไว้”จากนั้นก็รีบเดินนำณัฐพงษ์ออกไป วาทินีเชิดหน้าแค้นแสนแค้น
“ใครว่าฉันเล่น ฉันเอาจริง เอาซิ มาดูกันว่าอีป้าแก่กะสาวสก๊อย ใครมันจะอยู่ใครมันจะไป”
อ่านต่อหน้า 2
บ้านศิลาแดง ตอนที่ 9 (ต่อ)
ฟากสโรชาพอเดินแยกออกมาก็คาดคั้นถามลูกชายทันทีว่าแผลที่มือเป็นฝีมือของใครกันแน่ ณัฐพงษ์รีบพูดใส่ไฟ
“นังพรมันทำลูก ณัฐได้ยินมันด่าแม่ ณัฐเลยไปด่ามัน มันเอามีดแทงณัฐเลย”
สโรชาได้ยินก็อารมณ์ขึ้นทันที
พอวิทวัสพาเดือนฉาย พรเพ็ญ เคน รวมทั้งกอล์ฟ เดินชมรอบๆ โรงงานเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสก็ออกปากชวนทุกคนกลับบ้านสวน 2 แม่ลูกทำท่าอิดออดไม่อยากกลับ เพราะต่างก็เป็นห่วงเอกสิทธิ์ แต่ไม่มีใครกล้าพุดออกมาตรงๆ เดือนฉายจึงแกล้งยกเรื่องงานมาอ้าง
“คือ ไหนจะงานเปิดตัวน้ำผลไม้ที่ตาวัสกำลังจะจัด แล้วไหนจะบริษัทคู่ค้าที่ตาวัสบอกเค้าอยากเจอเรา”
วิทวัสรีบพูดแทรกขึ้นมา เพราะรู้ว่าณัฐพงษ์ที่เคยทำไม่ดีต่อพรเพ็ญเป็นลูกชายของสโรชา
“เอ่อ ผมว่าไม่เจอจะดีกว่าครับ คือเช็คประวัติดูแล้ว ผมว่าไม่น่าคบเท่าไหร่น่ะครับ”
เคนขมวดคิ้วสงสัย
“ขนาดนั้นเลยเลยเหรอ เค้าเป็นใครตาวัส18 มงกุฎล่ะสิ”
“ผมก็ไม่ทราบลึกขนาดนั้น แต่เอาเป็นว่า ไม่คบจะดีกว่าครับ”
เคนถอนหายใจเฮือก
“เฮ้อ คนเราสมัยนี้นี่มันใจร้ายกันจัง ไม่สิ จะว่าไปไอ้คนใจร้ายนี่มันมีมาทุกยุค ทุกสมัยล่ะ จริงมั้ย เดือนฉาย”
เดือนฉายรู้ว่าเคนหมายถึงเอกสิทธิ์ก็ยิ้มเจื่อนๆ ก่อนที่ผู้อาวุโสจะตัดสินใจกลับบ้านสวนคนเดียว ทิ้งกอล์ฟให้อยู่ดูแลเดือนฉายกับพรเพ็ญที่กรุงเทพฯ
จากนั้นวิทวัสก็พาพรเพ็ญกับกอล์ฟมาเที่ยวที่สวนสนุก กอล์ฟสนุกสนานกับเครื่องเล่นหวาดเสียวจนเป็นลมล้มพับไป
เมื่อนั่งคุยกันตามลำพัง วิทวัสก็ออกปากกับพรเพ็ญ ว่าเธอเหมือนเป็นคน 2 คนในร่างเดียว
“บางทีคุณก็ดูจะไม่สนใจใครเลย แต่บางทีคุณก็จะห่วงคนนู้นคนนี้ไปหมด ตกลงคุณเป็นใครกันแน่”
พรเพ็ญได้ฟังคำถามก็ชะงัก ตกใจ “หมายความว่าไง เป็นใคร”
“พูดผิด จะถามว่าตกลงคุณเป็นคนแบบไหนกันแน่”
เธอรีบก้มหน้าหลบตา พลางพึมพำออกมาเบาๆ
“ก็ไม่รู้สิ อาจจะเป็นทั้ง 2 แบบอย่างที่คุณพูดก็ได้”
ขณะเดียวกัน เพ็ญพรก็นั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียงเอกสิทธิ์ที่นอนหลับอยู่ ก่อนจะซบหน้าลงที่แขนของพ่อ พร้อมกับน้ำตาซึม
“พ่อคะ พ่อหน้าตาสดใสขึ้นมากเลยค่ะ จะต้องมีวันที่พ่อหายนะคะ หนูจะรอวันที่พ่อแข็งแรง ลุกขึ้นมาเดินเล่นกับหนู หนูจะพาพ่อไปเที่ยวไร่ของแม่ เราพ่อแม่ลูก เอ่อ ลูกแฝด เรา 4 คนจะต้องมีความสุขสุดๆ เลยนะคะ”
พลันเอกสิทธิ์ก็ค่อยๆ ขยับร่างกาย พร้อมกับลืมตาขึ้นมอง เพ็ญพรเห็นพ่อลืมตา ก็ยิ้มดีใจ โผกอดพ่อแน่น
หมอรุจน์เล่าอาการของเอกสิทธิ์ให้เพ็ญพร ที่ยืนอยู่กับตรัยฟังพร้อม ๆกัน
“ผลการตรวจอย่างละเอียด เราพบสารปนเปื้อนอยู่ในร่างกายคนไข้”
เพ็ญพรรีบถามอย่างร้อนใจ “สารอะไรคะ?”
“สารพิษ”
สโรชาเปิดดูบิลแจ้งหนี้จากบัตรเครดิตก็ตาเหลือก ก่อนจะหันมาโวยวายกับณัฐพงษ์และอาภาพร ว่าใช้เงินสิ้นเปลือง 2 พี่น้องรีบเถียงว่าแม่เป็นเมียเอกสิทธิ์ มีเงินเหลือกินเหลือใช้สบายๆ
“เป็นเมียมัน แต่เงินทองทรัพย์สมบัติเป็นชื่อมัน”
“งั้นก็รีบๆ ทำให้ของมันกลายมาเป็นของเราเร็วๆ สิครับคุณแม่”
ณัฐพงษ์ยิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนจะรีบเดินเลี่ยงออกไป อาภาพรรีบเดินตามออกไปด้วย
สโรชาเดินไปที่โต๊ะมุมห้อง ก่อนจะหยิบขวดยาเล็กๆ ออกมา
“หนังเหนียวจริงๆ แล้วเมื่อไหร่ฉันจะรวยกับเค้าซะทีล่ะ ตาแก่เอ๊ย”
ทางด้านเชาว์ก็นัดเจอกับแก๊งค้ายา เพื่อรับของไปส่งให้กับลูกค้า ด้วยท่าทีมั่นอกมั่นใจ ว่าครั้งนี้ไม่พลาดแน่
“มือชั้นนี้แล้ว ยิ่งตอนนี้นะเว้ย ไอ้หมวดนั่นไม่กล้าแตะ อย่าว่าแตะเลย จะเดินใกล้ๆ ยังไม่กล้า”
พูดพลางหัวเราะเสียงดังลั่นอย่างสะใจ
แต่ครั้นเดินออกมาตามซอย ก็ถึงกับชะงักเมื่อเห็นตรัยยืนดักหน้าอยู่ เชาว์สะดุ้งตกใจ กอดกระเป๋าแน่น ท่าทางมีพิรุธ ก่อนจะทำเป็นใจดีสู้เสือ
“หลีกไป กล้าดียังไงมายุ่งกับฉัน แกห้ามมายุ่งกับฉันนะเว้ย อยากโดนเด้งรึไง”
ตรัยทำหน้ากวน
“ยุ่งตรงไหน ยังไม่ได้ยุ่งอะไรเลย ฉันถูกห้ามเข้าบ้านศิลาแดง แต่ไม่ได้ห้ามให้มายืนตรงนี้”
เชาว์ชักหวั่นๆ หันหลังจะเดินกลับไปทางเก่า พอตรัยปราดไปดักหน้า ฝ่ายแรกถึงกับตกใจ จนทำกระเป๋าหล่นมือ
“ในกระเป๋ามีอะไร”
เชาว์รีบคว้ากระเป๋าแล้ววิ่งหนี ตรัยรีบวิ่งกวดตาม จวนเจียนจะทันกันอยู่แล้ว พลันก็มีมอเตอร์ไซค์แล่นโฉบมา ฝ่ายแรกรีบโยนกระเป๋าให้คนขี่ที่ใส่หมวกกันน็อก ก่อนที่จะวิ่งรถหายไป
“ไงครับ คุณผู้หมวด”
เชาว์หันมาพูดเย้ย ตรัยปรี่ไปกระชากคอเสื้อด้วยความโมโห อีกฝ่ายแกล้งแหกปากลั่น
“ช่วยด้วย ผู้หมวดซ้อมประชาชนอีกแล้ว”
ตรัยกลับมาถึงโรงพัก ก็โดนสารวัตรเรียกเข้าไปตำหนิ ก่อนจะโดนคำสั่งพักงาน ตรงข้ามกับเชาว์ที่กลับมาถึงบ้านศิลาแดง ก็หัวเราะร่าอย่างอารมณ์ดี จนสโรชาต้องรีบพูดปราม
“อย่าซ่าให้มันมากนัก เดี๋ยวก็ได้เข้าไปซ่าในคุก”
“ฝันไปเถอะ มีแต่จะรวยจนจุกล่ะไม่ว่า เพราะงวดเนี้ยอื้อซ่าเลย”
สโรชาตกใจ รีบเหลียวมองซ้ายขวา
“อย่าพูดดังไป อย่าชะล่าใจนักนะ จะทำอะไรก็นึกถึงลูกเต้ามันบ้าง”
เชาว์หัวเราะขำ
“ก็นึกไง ที่ทำเนี่ยจะได้รวยเร็วๆ ลูกๆ มันจะได้พลอยสบายไปด้วยไงล่ะ ขืนรอมรดกผัวแก่คุณ ก็คงอดตายกันหมด”
“จะทำอะไรก็ไปทำที่อื่นล่ะกัน อย่าให้ฉันกะลูกเดือดร้อน”
“ไม่ทันแล้วล่ะค่ะ ป้า”
สโรชาหันขวับไป ก็เห็นวาทินีเดืนถือหมวกกันน็อกมือหนึ่ง อีกมือถือกระเป๋าใส่ยาบ้าของเชาว์เข้ามา
“ยังไงก็ต้องเอามาไว้ที่นี่ก่อนล่ะ”
สโรชาเบิกตาโพลงอย่างตกใจ
ส่วนเชาว์ยิ้มภูมิใจในความเก่งกาจของวาทินี
เพ็ญพรนั่งฟุบหลับเฝ้าเอกสิทธิ์อยู่ที่เตียงคนไข้ ไฟในห้องปิดมืด จู่ๆ ประตูก็ถูกเปิดออก พร้อมกับมีคนเดินก้าวเข้ามา เธอสะดุ้งตื่นตกใจ ก่อนจะหันไปเห็นตรัยยืนมองอยู่
จากนั้นทั้งคู่ก็พากันมานั่งปรับทุกข์กันบนดาดฟ้า เธอลอบมองเขาด้วยสายตาเห็นใจ
“คุณต้องลำบากเพราะพวกเรา”
ตรัยค่อยๆ หันมอง แล้วยิ้มน้อยๆ
“มันเป็นสิ่งที่ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ต้องทำต่างหาก พี่เป็นตำรวจนะครับ หน้าที่ของตำรวจก็คือปกป้องคนดี ปราบปรามคนชั่วร้าย ในเมื่อเห็นคนทำผิดอยู่ตรงหน้า พี่จะปล่อยให้มันลอยนวลไปได้ยังไง”
เพ็ญพรอดที่จะแอบน้อยใจไม่ได้
“เข้าใจล่ะ แค่ทำตามหน้าที่”
“ก็ทำตามหัวใจด้วยแหละ”
เธอได้ยินก็แอบยิ้มดีใจ พลางจ้องตาของเขาก่อนจะรีบเฉไฉ
“แหม ตกงานยังจะมีแก่ใจพูดเล่น”
“ใครบอกพูดเล่น พี่เป็นคนพูดจริง ทำจริงเสมอ”
เพ็ญพรเขินจนวางหน้าไม่ถูก “แล้วนี่จะทำยังไงต่อไปคะ”
“ก็ทำในสิ่งที่ถูกต้องต่อไปน่ะสิ ก็บอกแล้วไง ในเมื่อเห็นคนทำผิดอยู่ตรงหน้า พี่จะปล่อยให้มันลอยนวลไปได้ยังไง พี่มันคนขยัน เค้าสั่งให้พักพี่ก็พักแล้วไง นี่ไงนั่งพักแป๊บนึง เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่ก็ลุยใหม่ ไง นึกว่าในโลกนี้มีเราเฮี้ยวได้คนเดียวรึไงครับ น้องรู้จักพี่น้อยไปซะแล้วครับ”
เพ็ญพรมองค้อน ก่อนจะถูกตรัยคว้ามือไว้ ทั้งคู่มองสบตากันนิ่งนาน
“เราอาจจะยังไม่รู้จัก “ตัวจริง” ของกันและกันอย่างแท้จริง แต่เวลาคงจะทำให้เรารู้จัก “ตัวจริง” ของเรามากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พี่ก็จะคอยปกป้องคนที่พี่รักและเป็นห่วงตลอดไป”
เพ็ญพรกระสับกระส่ายนอนไม่หลับ คิดถึงคำพูดของหมอรุจน์ที่ว่าเอกสิทธิ์ “โดนวางยา” ก่อนจะตัดสินใจหยิบมือถือมาพิมพ์ข้อความส่งถึงเดือนฉาย
“พรุ่งนี้แม่มาเจอเพ็ญหน่อยนะคะ เพ็ญมีเรื่องสำคัญจะบอก”
“อยากให้คุณพ่อมาพักฟื้นที่บ้านสวนของเรา?”
เดือนฉายถามย้ำกับเพ็ญพร ขณะที่หลบมุมมานั่งคุยกันตามลำพัง 2 คนแม่ลูก
“แม่ไม่เข้าใจ เค้าก็มีบ้านของเค้า ไม่ใช่ว่าแม่รังเกียจหรอกนะ แต่ถ้าเกิดภรรยาเค้ารู้เข้า มันจะไม่งาม”
เพ็ญพรรีบแย้งขึ้นมา
“พวกเค้าจะไม่มีวันรู้ว่าคุณพ่ออยู่ที่ไหน หมอเจอสารพิษในเลือดของคุณพ่อค่ะ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าฝีมือใคร เพียงแต่ตอนนี้เพ็ญยังไม่มีหลักฐาน ก็เลยยังเล่นงานพวกเค้าไม่ได้”
เดือนฉายตกใจ “หมายความลูกจะให้คุณพ่อมาอยู่ แต่ลูกยังจะอยู่ที่บ้านศิลาแดง”
“ค่ะ เพ็ญต้องหาหลักฐานจับคนที่วางยาพ่อให้ได้”
“ถ้าแม่ขอร้องให้ลูกหยุด..”
เพ็ญพรพูดด้วยสีหน้ามุ่งมั่นเอาจริง
“แม่ก็รู้ว่าไม่มีอะไรมาเปลี่ยนใจเพ็ญได้ ตั้งแต่เกิดมา เพ็ญไม่เคยทำอะไรให้พ่อเลย ครั้งนี้เพ็ญขอนะคะแม่ ขอให้เพ็ญได้ตอบแทนบุญคุณท่าน เพราะอย่างน้อยท่านก็ทำให้เพ็ญได้เกิดมา”
“เรานี่ดื้อเหมือนแม่ไม่มีผิด แต่เรื่องนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับแม่คนเดียว ลูกคิดว่าคุณตาจะยอมรึเปล่า”
“เพ็ญคิดเอาไว้แล้วค่ะ ว่าต้องทำยังไง”
เพ็ญพรยิ้มเจ้าเล่ห์ เดือนฉายมองด้วยความสงสัย
พอพรเพ็ญรู้จากเดือนฉายว่าพ่อจะมาอยู่ที่บ้านสวนด้วย ก็ร้องตะโกนด้วยความดีใจ
“อย่าเสียงดังไปจ้ะ เพราะเรื่องนี้จะให้คุณตาของลูกรู้ก่อนไม่ได้เด็ดขาด”
“ทำไมล่ะคะ”
“ทำตามที่แม่บอกก็พอ”
พรเพ็ญนิ่วหน้ามองแม่อย่างงงๆ
เคนเห็นพรเพ็ญทำความสะอาดห้องก็ถามด้วยความแปลกใจ ว่าใครจะมาพัก อีกฝ่ายรีบตอบเลี่ยงๆ
“เออ ไม่มีค่ะ ก็ทำไว้เผื่อมีใครมาพักไงคะ เพ็ญรีบทำความสะอาดก่อนนะคะ”
พูดพลางรีบหันหลังให้ เพราะกลัวตาจับพิรุธได้
พรเพ็ญยืนบนเก้าอี้ กำลังเอาไม้ขนไก่ปัดบนหลังตู้ วิทวัสเดินเข้ามาจากทางด้านหลัง เห็นเรียวขาของอีกฝ่ายที่นุ่งกางเกงขาสั้นเต็มๆ
พลันพรเพ็ญที่กำลังจะลงจากเก้าอี้ แต่กลับก้าวพลาด เขารีบพุ่งเข้าไปรับ จนล้มไปบนเตียง โดยมีอีกฝ่ายล้มทับอยู่ข้างบน สองคนมองหน้ากัน ต่างก็ชะงักงัน ก่อนจะรีบลุกขึ้นแล้วยิ้มเก้อๆ
วิทวัสคิดถึงคำพูดของเคน ที่วานให้มาหลอกถามว่าที่แท้พรเพ็ญทำความสะอาดห้องให้ใคร
“จะมีใครมาอยู่เหรอ”
พรเพ็ญนิ่งไปซักพัก ก่อนจะถามอย่างรู้ทัน “คุณตาให้มาถามเหรอคะ”
“ทำเป็นรู้ทัน แล้วตกลงมีใครมาอยู่มั้ย เผื่อผมจะได้ทำใจ ถ้าเกิดว่าคนนั้นเป็นคนพิเศษของคุณ”
พรเพ็ญทำหน้าไม่ถูก รีบคว้าไม้กวาดบนพื้นขึ้นมากวาด
“ผมช่วยนะ”
“ไม่ต้องค่ะ”
วิทวัสรีบหยิบไม้ขนไก่ที่หล่นพื้นขึ้นมา
“ต้องสิ ผมไม่อยากให้คุณปีนเก้าอี้ขึ้นไปเช็ดเอง เกิดหัวแตกขึ้นมา หัวใจผมเจ็บแย่”
จากนั้นทั้งคู่ก็ช่วยกันทำความสะอาดห้อง ต่างคนต่างแอบยิ้มอย่างมีความสุข
สุดท้ายวิทวัสก็ไม่ได้คำตอบตามที่เคนต้องการ
“ตอนนี้ร่างกายคุณเอกสิทธิ์กำลังฟื้นตัว ถ้าอยากให้ออกจากโรงพยาบาล กลับไปรักษาตัวที่บ้านก็ได้ครับ คนไข้จะได้มีกำลังใจ แต่ผมคงต้องไปดูแลบ่อยๆ”
หมอรุจน์พูดกับเพ็ญพร ขณะที่เดินมาตามทางด้วยกัน อีกฝ่ายรีบพูดขึ้นมาทันที
“พรไม่ได้จะพาพ่อกลับไปพักที่บ้านหรอกค่ะ คุณหมอต้องสัญญากับพรนะคะว่าจะไม่บอกใครว่าพรพาพ่อไปอยู่ที่ไหน”
หมอรุจน์ทำหน้าแปลกใจ พร้อมๆ กับที่เสียงของตรัยดังแทรกขึ้นมา
“แล้วคุณจะพาคุณเอกสิทธิ์ไปที่ไหน”
เมื่ออยู่กันตามลำพัง ตรัยก็รีบคาดคั้นถามเพ็ญพรว่าจะพาเอกสิทธิ์ไปอยู่ที่ไหนแต่อีกฝ่ายยืนกรานไม่ยอมบอก
“บอกไปพี่ตรัยก็ไม่รู้จัก”
“พี่ต้องรู้ เผื่อเกิดอะไรขึ้น พี่จะได้ไปช่วย”
“ พรไม่อยากให้พี่ตรัยยุ่งกับเรื่องนี้อีก แค่พี่ถูกพักราชการ พรก็รู้สึกผิดจะแย่แล้ว พรมีวิธีของพร พี่ตรัยไม่ต้องห่วง”
พูดจบก็รีบเดินหนี ตรัยได้แต่ถอนหายใจ หันไปมองตามด้วยความเป็นห่วง
“ต่อไปนี้จะไม่มีใครทำร้ายคุณพ่อได้อีกแล้วนะคะ”
เพ็ญพรพูดพลางยกมือพ่อขึ้นมาจับที่ลูบตัวเอง แววตาเอกสิทธิ์ที่มองลูกสาวเต็มไปด้วยความสงสัย
อ่านต่อหน้า 3
บ้านศิลาแดง ตอนที่ 9 (ต่อ)
ทางด้านตรัยที่ยังคาใจไม่หาย จนต้องกลับมาคาดคั้นกับหมอรุจน์
“ฉันต้องไปตรวจคุณเอกสิทธิ์ทุกอาทิตย์อยู่แล้ว ฉันจะบอกแกเองว่าคุณเอกสิทธิ์อยู่ที่ไหน”
“ฝากด้วยนะไอ้หมอ”
หมอรุจน์มองหน้าตรัยอย่างจับสังเกต
“แกดูเป็นห่วงคุณพรมากเลยนะ”
“ก็ต้องห่วงสิ ผู้หญิงตัวเล็กๆ แต่ต้องอยู่ท่ามกลางเสือสิงห์กระทิงแรดที่พร้อมจะขย้ำทุกเมื่อ จะไม่ให้ฉันห่วงได้ไง”
ตรัยได้แต่ทอดถอนหายใจ อีกฝ่ายหน้าจ๋อย เพราะแอบชอบพรเพ็ญเหมือนกัน
ณัฐพงษ์ที่กำลังนั่จิบไวน์อย่างเซ็งๆ อยู่ในบ้านคนเดียว หันมาเห็นวาทินีเดินสะพายกระเป๋าแบรนด์เนมราคาแพงเข้ามา ก็นึกแปลกใจ ว่าเอาเงินจากไหนมาซื้อ จนเมื่อคาดคั้นถาม อีกฝ่ายก็หยิบซองยาบ้าออกมาจากกระเป๋ามาชูให้ดู
“ สนป่ะล่ะ ขายง่ายๆ ได้เงินง่ายๆ หรืออยากเอาไปลองก่อนก็ได้ จะได้รู้ว่ามันดีมากแค่ไหน ฉันขายให้ราคาทุน เอามะ”
ณัฐพงษ์มองอย่างสนใจ แต่จู่ๆ สโรชาก็โผล่เข้ามา พอเห็นทั้งคู่ใกล้ชิดกัน ก็โวยลั่น
“ทำอะไรกัน”
วาทินีรีบเก็บยาใส่กระเป๋า สโรชารีบจ้ำมายืนแทรกกลางระหว่างทั้งคู่
“คิดจะทำอะไรลูกฉัน”
“แม่เลี้ยงอย่างฉันไม่ทำอะไรลูกเลี้ยงหรอก ป้าไม่ต้องเป็นห่วง”
วาทินียิ้มเยาะ แล้วเดินออกไป สโรชาหันขวับมาทางลูกชายทันทีพร้อมยื่นคำขาด
“แม่ขอสั่งตรงนี้ อย่าแม้แต่คิดมีเมียเดียวกับพ่อเด็ดขาด”
“ณัฐไม่เอามันหรอก แรดขนาดนั้น ไม่ใช่สเป็ก”
ณัฐพงษ์พูดพลางลอบมองไปทางที่วาทินีเดินออกไป สีหน้าครุ่นคิด
ทางด้าน 2 แฝด ก็คุยโทรศัพท์กัน พร้อมกับซักซ้อมแผนการ
“จำแผนได้นะติ๋ม เธอต้องพาคุณตาออกไปข้างนอกจนกว่าฉันจะพาคุณพ่อเข้าไปในบ้าน”
พรเพ็ญรับคำ แต่สีหน้ายังไม่คลายกังวล
แต่พอถึงเวลาที่พรเพ็ญจะต้องพาเคนออกไปปิดนิคข้างนอก รถเจ้ากรรมก็เกิดสตาร์ทไม่ติดขึ้นมาดื้อๆ
“งั้นก็เอามากินซะที่นี่”
เคนหันมาบอกหลาน พรเพ็ญรีบแย้งทันที
“ไม่ได้ค่ะ กินที่นี่ไม่ได้ คือ เพ็ญอยากให้คุณตาได้ทานอาหารท่ามกลางธรรมชาติ ยังไงเราก็ต้องไปนะคะ เดี๋ยวจะไม่ทัน”
กอล์ฟทำหน้างง “ไม่ทันอะไรครับ”
“กลัวจะทานไม่ทันน่ะ เพราะนี่ก็สายแล้ว ถ้าปิคนิคถึงตอนเที่ยง มีหวังร้อนตาย เพ็ญหาคนพาเราไปได้แล้วค่ะ”
เคนกับกอล์ฟมองอย่างสงสัย
เพ็ญพรรีบพาเอกสิทธิ์ขึ้นรถออกมาจากโรงพยาบาล โดยมีหมอรุจน์เดินตามมาส่ง ในเวลาเดียวกัน รถของวิทวัสก็มาจอดเทียบอยู่หน้าบ้านสวนของเดือนฉาย พร้อมกับที่พรเพ็ญรีบเร่งให้เคนกับกอล์ฟขึ้นรถ
รถพยาบาลแล่นมาตามถนน เพ็ญพรจับมือเอกสิทธิ์ไว้แน่น ฝายหลังมองอย่างสงสัยว่าลูกสาวจะพาเขาไปที่ไหน
อีกด้านหนึ่ง ภายในรถของวิทวัส จู่ๆ กอล์ฟก็เกิดปวดท้องขึ้นมากระทันหัน พลางร้องงอแงจะให้วกรถกลับไปเข้าห้องน้ำที่บ้าน บอกเข้าที่อื่นสกปรก วิทวัสจำใจต้องวกรถกลับ ขณะที่พรเพ็ญหน้าเสีย กลัวแผนแตก
เดือนฉายเดินไปเดินมา รอด้วยความกระวนกระวายใจอยู่หน้าบ้านสวน ไม่นานรถพยาบาล ก็แล่นเข้ามาจอด ก่อนที่เจ้าหน้าที่กับพยาบาลจะพาเอกสิทธิ์ลงมา ตามมาด้วยเพ็ญพร
เอกสิทธิ์มองอย่างอึ้งๆ ที่เห็นเดือนฉาย แววตาสั่นระริก เหมือนจะร้องไห้ เพราะความรู้สึกผิดที่มีอยู่เต็มอก
“รีบพาเข้าบ้านเถอะ”
เดือนฉายรีบบอก เพ็ญพรยิ้มรับ ก่อนจะช่วยกันพาเอกสิทธิ์เข้าบ้าน
ส่วนรถของวิทวัสนั้น ก็แวะจอดข้างทาง เพื่อให้กอล์ฟเข้าไปปลดทุกข์ที่พงหญ้า เพราะอั้นมาถึงบ้านไม่ไหว
เจ้าหน้าที่กับพยาบาลช่วยกันประคองเอกสิทธิ์เข้ามานอนที่เตียง ก่อนจะเดินเลี่ยงออกไป เพ็ญพรรีบเดินมานั่งข้างเตียงและจับมือพ่อไว้แน่น
“คุณแม่กับพรจะเป็นคนคอยดูแลพ่อ ส่วนเพ็ญจะกลับไปจัดการคนที่มันทำร้ายคุณพ่อค่ะ คุณพ่อต้องรีบกลับมาแข็งแรงเร็วๆ นะคะ เพ็ญสัญญาว่าเพ็ญจะดูแลตัวเองให้ดีที่สุด”
เอกสิทธิ์บีบมือลูกสาวแน่นด้วยความเป็นห่วง เดือนฉายมองภาพพ่อลูก ก็ได้แต่สะท้อนใจ
“อย่าประมาทนะเพ็ญ คนพวกนั้นเลือดเย็นกว่าที่ลูกคิด”
เดือนฉายเตือนด้วยความเป็นห่วง ขณะเดินออกมาส่งเพ็ญพรที่หน้าบ้านสวน
“แม่ไม่ต้องห่วง ลูกแม่เก่งอยู่แล้ว ไม่มีใครทำอะไรเพ็ญได้หรอกค่ะ”
ผู้เป็นแม่ยิ้มให้ ก่อนจะดึงลูกสาวมากอด ไม่นานก็ผละออกมา เพ็ญพรรีบเดินไปขึ้นรถพยาบาล แล้วรถก็แล่นออกจากบ้านไป
เดือนฉายเดินกลับเข้ามาในห้อง มานั่งข้างเตียงเอกสิทธิ์ ที่หันมองฝ่ายแรก ด้วยแววตาสั่นระริก เพราะรู้สึกผิดอยู่ในใจ
“ฉันอยากให้คุณรู้ว่า ที่ฉันช่วยคุณ ไม่ใช่เพราะฉันให้อภัย แต่ฉันทำเพื่อลูกของฉัน”
พูดจบก็หันหลังเดินออกไป เอกสิทธิ์มือสั่น น้ำตาไหลพราก
ทางด้านสโรชาพอรู้ว่าพรเพ็ญพาเอกสิทธิ์หายตัวไปจากโรงพยาบาล ก็โวยวายกับหมอรุจน์ทันที
“หมายความว่ายังไงที่บอกว่านัง เอ่อ ยัยพร พาคุณเอกสิทธิ์ออกจากโรงพยาบาลไปแล้ว ทำไมฉันถึงไม่รู้เรื่อง”
“อันนี้ผมก็ไม่ทราบครับ”
“หมอจะไม่ทราบได้ยังไง ในเมื่อหมอเป็นคนดูแลคุณเอกสิทธิ์ พูดแบบนี้แสดงว่าปัดความรับผิดชอบ ได้งั้นฉันจะฟ้องหมอ ฟ้องโรงพยาบาลนี้ เอาเรื่องให้ถึงที่สุด”
ยังไม่ทันที่หมอรุจน์จะพูดอะไรต่อ ตรัยก็เดินมาพอดี อาภาพรหันไปเห็น ก็รีบปราดเข้ามาจับแขน
“พี่ตรัยช่วยพวกเราด้วยค่ะ น้องพรมันลักพาตัวคุณอาไปไหนแล้วก็ไม่รู้”
ตรัยตกใจ รีบหันไปมองหมอรุจน์ แต่อีกฝ่ายกลับทำหน้านิ่ง
“ยัยภา แกจะไปขอให้คุณตรัยช่วยทำไม เค้าจะช่วยอะไรเราได้ ในเมื่อเค้าถูกพักงานอยู่ รอรับคำร้องเรียนจากฉันก็แล้วกันนะคะคุณหมอ”
ตรัยรีบแย้งขึ้นมาอย่างคนรู้กฎหมาย
“คุณน้าทำแบบนั้นไม่ได้หรอกครับน้องพรเป็นลูกในสายเลือดของคุณอาเอกสิทธิ์ เค้ามีสิทธิ์ที่จะพาพ่อของเค้าไปไหนก็ได้”
“แต่คุณเอกสิทธิ์เป็นสามีที่ถูกต้องตามกฎหมายของฉัน”
“ภรรยากับลูก คุณน้าคิดว่าใครจะได้เปรียบกว่ากัน คิดดูให้ดีๆ นะครับ คุณน้ามีแต่แพ้กับแพ้”
สโรชามองหน้าตรัยด้วยความโมโห แต่ทำอะไรไม่ได้
จากนั้นตรัยก็พยายามโทร.หาเพ็ญพร โดยมีหมอรุจน์ยืนข้างๆ
“คุณพรไม่รับเหรอ”
“ฉันส่งเมสเสจไปบอกแล้วว่าอย่าเพิ่งเข้าบ้าน ให้โทร. หาฉันก่อน”
“ดีแล้ว เพราะท่าทางคุณสโรชาจะโกรธมาก”
ตรัยพยักหน้ารับ
“คนอย่างคุณน้าสโรชาเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น การที่น้องพรทำแบบนี้ เท่ากับลูบคมเสือ คุณน้าไม่ยอมง่ายๆ แน่”
แล้วก็จริงอย่างที่ตรัยพูด เพราะทันทีที่กลับถึงบ้านศิลาแดง สโรชาก็โวยวายลั่นบ้านทันที
“นังเด็กบ้า กล้าทำกับฉันแบบนี้ได้ยังไง”
อาภาพรมองแม่แบบงงๆ
“ภาไม่เข้าใจว่าแม่จะหงุดหงิดทำไม ไอ้แก่ไปอยู่ที่อื่นก็ดี เราจะได้ไม่ต้องดูแลให้เหนื่อย”
สโรชาเอานิ้วจิ้มหน้าผากลูกสาวอย่างแรง
“หัดใช้สมองน้อยๆ ของแกคิดซะบ้าง ถ้าเกิดคุณเอกสิทธิ์หายดี เค้าไม่ปล่อยฉันไว้แน่ เค้าต้องแจ้งความจับฉัน เพราะเค้ารู้ว่าฉันทำอะไร คราวนี้ล่ะ เงินก็ไม่ได้ แถมยังต้องติดคุกหัวโต”
ทางด้านฝั่งของพรเพ็ญที่นั่งล้อมวงปิคนิคกันอยู่ วิทวัสหันไปเห็นเธอเอาแต่นั่งมองมือถือ ก็เอ่ยปากถาม
“รอโทรศัพท์ใครอยู่เหรอ“
พรเพ็ญสะดุ้ง รีบหันไปบอกปัด “เปล่า”
“เปล่าไร ผมเห็นคุณนั่งจ้องโทรศัพท์ตั้งแต่มาถึงแล้ว อย่าบอกนะว่ารอเกมเศรษฐีอยู่”
ขาดคำเสียงไลน์ก็ดังขึ้น เธอรีบหันขวับมามองมือถือพร้อมกับเอาตัวบัง ไม่ให้อีกฝ่ายเห็นข้อความที่ เพ็ญพรส่งมา
“ภารกิจ COMPLETE”
พรเพ็ญยิ้มออกมาด้วยความโล่งใจ วิทวัสเห็นสีหน้านั้นก็อดที่จะน้อยใจไม่ได้
ทางด้านเพ็ญพร เห็นมิสคอลในมือถือแล้วก็ตกใจ
“นายนั่นโทรมาเป็นสิบมิสคอล”
จากนั้นก็รีบเปิดอ่านข้อความที่ตรัยส่งมา
วิทวัส เคน และกอล์ฟ เดินกลับเข้ามาในบ้าน มีพรเพ็ญรั้งท้าย สีหน้าตื่นเต้น จังหวะเดียวกับที่เดือนฉายเดินออกมา
“คุณพ่อคะ เดือนมีเรื่องจะบอกค่ะ”
เคนยืนมองเอกสิทธิ์ที่นอนบนเตียง หน้าตาแบบไม่รู้ว่ารู้สึกอะไรอยู่ อีกฝ่ายมองผู้สูงวัยแบบเกรงๆ
เดือนฉายกับพรเพ็ญยืนอยู่ด้วยกันข้างๆ ส่วนวิทวัสกับกอล์ฟยืนสังเกตการณ์ใกล้กับประตู
“แค่ช่วงนี้เท่านั้น ช่วงที่คุณเอกสิทธิ์กำลังพักฟื้น เค้าไม่ได้จะอยู่กับเราตลอดไปหรอกนะคะ”
เคนยืนนิ่ง จนพรเพ็ญต้องเข้ามาจับแขนอ้อน
“เพ็ญขอโทษนะคะ ที่เพ็ญไม่ได้บอกคุณตาก่อน เพ็ญกลัวว่าคุณตาจะไม่อนุญาตให้คุณพ่ออยู่ที่นี่”
“ตาเป็นตาของเพ็ญ เป็นครอบครัวของเพ็ญ ถ้าคนในครอบครัวเดือดร้อน ทำไมตาจะไม่ช่วย”
2 แม่ลูกยิ้มอย่างโล่งใจ เอกสิทธิ์เองก็ถึงกับน้ำตาคลอ
“เพิ่งรู้ว่าคุณมีพ่อ เอ่อ ผมหมายถึง ไม่เคยเห็นคุณเคยพูดถึงพ่อ ก็เลยแปลกใจ ถ้ามีไรให้ผมช่วย บอกได้เลยนะครับ ผมยินดีและเต็มใจ”
วิทวัสพูดด้วยความเต็มใจ เมื่ออยู่กับพรเพ็ญตามลำพัง อีกฝ่ายรีบพูดอย่างเกรงใจ
“ไม่เป็นไรค่ะ”
“ที่บอกว่าไม่เป็นไร เพราะมีคนช่วยแล้วใช่มั้ย คนที่ทำให้คุณยิ้มกว้างตอนที่เราอยู่ในสวน”
พรเพ็ญส่ายหน้าเบาๆ
“คุณนี่แต่งเรื่องเก่งนะคะ น่าจะไปเขียนบทละคร ฉันส่งแค่นี้”
พูดจบก็หันหลังเดินเข้าบ้านไป ทิ้งให้วิทวัสยืนเหวอ
เพ็ญพรเดินตรงรี่มาหาตรัยที่นั่งรออยู่ที่ร้านกาแฟ ฝ่ายหลังรีบบอกทันทีว่าสโรชารู้แล้วว่าเอกสิทธิ์หายตัวไป
“เหรอ? แล้วเค้าเป็นไงบ้าง”
“จะเป็นไง ก็เต้นเป็นเจ้าเข้าน่ะสิ พี่ถึงต้องรีบมาเตือนให้น้องพรรู้ตัว จะได้รับมือถูก ว่าแต่น้องพรพาพ่อคุณไปที่ไหน”
“ถามอีกแหละ เอาเป็นว่าถึงเวลาเมื่อไหร่ พรจะบอกเอง ต่อจากนี้ก็เริ่มแผนขั้นต่อไปได้เลย”
เพ็ญพรพูดด้วยสีหน้ามั่นใจ ตรัยมองอย่างสงสัย
พอเพ็ญพรเดินกลับเข้าบ้าน ก็เห็น 3 แม่ลูกนั่งอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา ก่อนที่สโรชาจะลุกขึ้นมา เอาเรื่องทันที
“คุณเอกสิทธิ์อยู่ไหน”
เพ็ญพรแกล้งทำหน้ายียวน “อยู่ที่ไหนน้า อยู่ที่ไหนเอ่ย”
ณัฐพงษ์กับอาภาพรรีบรับลูกเข้ามาช่วยแม่ทันที แต่เพ็ญพรกลับโตจ้เถียงกลับอย่างไม่มีท่าว่าเกรงกลัว
“หยุดได้แล้ว ที่ฉันถาม เพราะเป็นห่วง คุณเอกสิทธิ์ยังไม่หายดี เธอน่าจะพาพ่อกลับมาอยู่ที่บ้าน ไม่น่าพาไปที่อื่น มันไม่ปลอดภัย”
เพ็ญพรยิ้มเยาะ “แต่ฉันว่าปลอดภัยกว่าอยู่ที่บ้านนะคะ”
“พูดงี้หมายความว่าแม่ฉันทำร้ายคุณลุงงั้นเหรอ”
สโรชาหันไปค้อนลูกสาว อาภาพรชะงักรู้ตัวว่าไม่ควรพูด ขณะที่เพ็ญพรเดินมาประจันหน้า
“แล้วคุณน้า ทำร้ายคุณพ่อรึเปล่า”
สโรสชาผงะ หน้าถอดสี แต่ทำทีเป็นยิ้มกลบเกลื่อน
“น้าเป็นเมียพ่อหนูนะ น้าจะทำร้ายคนที่น้ารักได้ยังไงกัน”
“เอาเป็นว่าคุณพ่อสบายดี และอีกไม่นานก็จะกลับมาพูด กลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้เหมือนเดิม”
3 แม่ลูกได้ยินก็ชะงักกึก
“ดีใจกันจนพูดไม่ออกเลยเหรอคะ พรขอตัวก่อน กู๊ดไนท์ ฝันดีนะคะทุกคน”
พูดพลางยิ้มเยาะ ก่อนจะหันหลังเดินออกไป สโรชาแทบกระอัก
สโรชากับณัฐพงษ์เดินมาที่บริษัท พอเห็นผู้ถือหุ้น 4-5 คนยืนออกันอยู่ สองแม่ลูกก็พากันแปลกใจ ไม่นานทนายสมศักดิ์ก็เดินเข้ามา
“ทำไมวันนี้ผู้ถือหุ้นถึงมากันล่ะคะ มีประชุมอะไร ทำไมฉันไม่รู้”
“ไม่เชิงประชุมหรอกครับ”
สองแม่ลูกยิ่งฟังยิ่งไม่เข้าใจ พลันเพ็ญพรในชุดทำงาน เรียบหรู ก็เดินเข้ามา ทนายสมศักดิ์รีบบอก
“คุณพรเพ็ญจะเข้ามาทำงานที่นี่แบบเต็มตัว ก็เลยให้ผมนัดผู้ถือหุ้นมากัน เพื่อที่จะได้พูดคุยถึงแนวทางของบริษัทในอนาคต ได้เวลาแล้ว เชิญที่ห้องดีกว่า”
แม่ลูกถึงกับพูดไม่ออก เพ็ญพรยิ้มให้อย่างผู้ชนะก่อนจะเดินไปตามสมศักดิ์เข้าไป สโรชาตาวาวด้วยความโกรธ
“แม่ไม่มีทางยอมให้มันเข้ามามีอำนาจในบริษัทเด็ดขาด”
ภายในห้องประชุม ที่มีสโรชานั่งเป็นประธานที่หัวโต๊ะ ณัฐพงษ์นั่งอยู่ด้านข้าง ตรงข้ามคือเพ็ญพร ถัดมาเป็นทนายสมศักดิ์ ที่เริ่มต้นพูดต่อหน้าทุกคนในห้อง
“ผมต้องขอบคุณทุกคนที่มาประชุมกันในวันนี้ ทั้งๆ ที่เป็นนัดกะทันหัน หลังจากวันนี้เป็นต้นไป คุณพรเพ็ญจะเข้ามาช่วยดูแลงานแทนคุณเอกสิทธิ์”
ผู้ถือหุ้นคนหนึ่งแย้งขึ้นมา
“แต่หน้าที่นี้เป็นของคุณสโรชาอยู่แล้วไม่ใช่เหรอครับ”
สโรชากำลังจะพูด แต่เพ็ญพรชิงพูดแทรกขึ้นมาก่อน
“เรื่องนี้พรได้ปรึกษากับคุณน้าสโรชาแล้วค่ะ พรต้องขอบพระคุณน้ามากๆ ที่ให้โอกาสพรได้เข้ามาศึกษางาน”
ผู้ถือหุ้นต่างหันมามองสโรชาเป็นตาเดียว
“คุณสโรชานี่ใจกว้างจริงๆ นะครับ”
สโรชาจำต้องยิ้มและยอมรับ
“ค่ะ แหม ก็หนูพรเป็นลูกของคุณเอกสิทธิ์นี่คะ ความจริงก็ควรจะเป็นหนูพรที่เข้ามาดูแล ฉันเห็นว่าเวลานี้หนูพรพร้อมแล้ว ก็เลยให้โอกาสน่ะค่ะ”
พูดพลางหันไปยิ้มแย้มจับมือกับเพ็ญพร ก่อนที่ทั้งคู่จะมองหน้ากันอย่างเชือดเฉือน
อ่านต่อหน้า 4
บ้านศิลาแดง ตอนที่ 9 (ต่อ)
หลังจากประชุมเสร็จ เพ็ญพรก็เดินออกมาส่งทนายสมศักดิ์ ที่ไม่วายเป็นห่วง แต่เธอยืนยันว่าไหว ก่อนที่เจ้าหน้าที่คนหนึ่งจะออกมารายงานว่า สโรชาเตรียมห้องทำงานไว้ให้แล้ว
ที่ไหนได้ สโรชาจัดโต๊ะทำงานของเพ็ญพรไว้ในห้องำงานของณัฐพงษ์ ที่โวยวายแบบไม่พอใจ“แม่ ทำไมต้องให้มันมาอยู่ห้องนี้ด้วย แบบนี้ณัฐก็ไม่มีความเป็นส่วนตัวสิ”
สโรชาส่ายหน้าระอา ก่อนจะมองรอบๆ แล้วลดเสียงลงพอได้ยิน 2 คน
“นี่ไม่ใช่เวลาคิดเรื่องความเป็นส่วนตัวนะตาณัฐ อยู่ๆ ตาแก่นั่นก็หายตัวไป นังพรก็เกิดอยากจะมาทำงาน แกไม่คิดว่ามันแปลกเหรอ แม่ว่านังพรมันต้องมีแผนการอะไรอยู่แน่ๆ ดังนั้นเราจะปล่อยให้มันทำอะไรตามใจชอบไม่ได้ แกต้องคอยจับตาดูมันไว้ตลอดเวลาที่มันอยู่ที่นี่”
ณัฐพงษ์รีบบอก “โธ่ แม่ คนอย่างนังพรจะมีปัญญาทำอะไร แม่คิดมากเกินไปป่ะ”
“แล้วที่ไหล่แกเป็นรูอยู่เนี่ย เพราะมันไม่มีปัญญาใช่มั้ย แม่สั่ง แกมีหน้าที่ทำตาม ไม่ต้องเถียง”
พอเพ็ญพรรู้ว่าโต๊ะทำงานก็เธออยู่รวมอยู่ในห้องกับณัฐพงษ์ก็ไม่พอใจเหมือนกัน แต่สโรชาอ้างว่าเพื่อจะได้เรียนรู้งานในช่วงแรก จึงให้เริ่มจากการเป็นผู้ช่วยณัฐพงษ์ไปก่อน พอสโรชาเดินเชิดออกไป ณัฐพงษ์ก็ยิ้มกรุ้มกริ่ม
“เข้ามาสิครับ ถ้าไม่อยากนั่งที่โต๊ะตัวเอง จะมานั่งตักพี่ก็ได้”
“อย่าเพิ่งเลย วันนี้วันดี ชั้นยังไม่อยากทำใครพิการ”
เพ็ญพรมองเหยียดๆ ด้วยหางตา แล้วเดินไปนั่งที่โต๊ะทำงานหน้าตาเฉย
สุดาเห็นตรัยยังคงง่วนกับการเปิดดูแฟ้มคดีของเชาว์อยู่ก็นึกแปลกใจ เกรงว่าพี่ชายจะเดือดร้อนอีก
“แต่ถ้าพี่ไม่ทำก็จะมีคนต้องเดือดร้อนอีกมากนะยัยดา รวมทั้งพรด้วย ยังไงพี่ก็อยู่เฉยๆ ไม่ได้
สุดามองล้อๆ “โห พี่ชายเรานี่พระเอกสุดๆ เลย ว่าแต่นางเอกเค้ารู้ตัวบ้างหรือเปล่านะ ว่ามีคนเป็นห่วงเค้าขนาดเนี้ย”
ตรัยถูกล้อก็ชักเขิน เก็บแฟ้มแล้วลุกขึ้นเดินออกไป สุดารู้ว่าพี่ชายจะไปทำคะแนนกับเพ็ญพรก็ อมยิ้ม
ขณะที่เพ็ญพกำลังนั่งอ่านเอกสารอย่างตั้งใจ ณัฐพงษ์ก็เริ่มหาทางแกล้ง ด้วยการอกคำสั่งให้อีกฝ่ายไปชงกาแฟให้ เพราะเป็นหน้าที่ของผู้ช่วย เธออ้าปากจะเถียง แต่พอคิดอะไรได้ ก็ยิ้มรับ พลางลุกขึ้นเดินออกไป ตรงมาที่มุมกาแฟ ก่อนจะหยิบผ้าขี้ริ้วขึ้นมา แล้วยิ้มเจ้าเล่ห์
จากนั้นก็จงใจใช้ผ้าเช็ดๆ ถูๆ พื้น แถมกระทืบจนหนำใจ ก่อนจะราดน้ำใส่ แล้วบิดน้ำลงในแก้ว แล้วชงกาแฟต่ออย่างสะใจ
เพ็ญพรเดินมาเสิร์ฟกาแฟ พร้อมกับแกล้งโปรยยิ้มหวานให้ ณัฐพงษ์ถือโอกาสคว้ามือไว้ เธอแกล้งทำเป็นเสียงอ่อนเสียงหวาน
“เดี๋ยวกาแฟหกนะคะ”
“ทำไมวันก่อนไม่ว่าง่ายแบบนี้ล่ะ คืนนั้นพรทำพี่เจ็บมากนะ รู้ตัวไหม”
พอได้ยิน แววตาของเพ็ญพรก็วาวขึ้นมาวูบหนึ่ง ก่อนจะพยายามข่มใจ ค่อยๆ ดึงมือออก ฝืนพูดดี
“รู้ค่ะ คือตอนนั้นพรกำลังเป็นห่วงคุณพ่อ เวลาเครียดๆ มือพรมันชอบขยับเองอัตโนมัติน่ะค่ะ พรขอโทษแล้วกันนะคะ”
จากนั้นก็แกล้งคะยั้นคะยอให้อีกฝ่ายดื่มกาแฟในแก้ว แล้วทำท่าจะเดินออกไป แต่อีกฝ่ายกลับกระชากตัวเข้ามาจะปล้ำจูบ เธอรีบเบี่ยงหลบทัน แล้วตบสวนกลับ พลางตีหน้าซื่อ
“อุ๊ย มือพรขยับเองอัตโนมัติอีกแล้ว ขอโทษค่ะ”
ณัฐพงษ์กระชากตัวอีกฝ่ายอย่างแรง จนสะดุดเก้าอี้เสียหลักล้มไปบนโซฟาในห้อง ก่อนจะล็อกข้อมือทั้ง 2 ข้างของเธอไว้ได้
“คิดว่าคนอย่างฉันจะยอมถูกตบฟรีๆ เหรอ คราวนี้เธอไม่รอดแน่”
พูดพลางปล้ำจูบอย่างหื่นกระจาย เพ็ญพรดิ้นรนไปด่าไปอย่างความโกรธจัด ก่อนจะกวาดมือไปทั่วจนคว้าได้แท่นเสียบปากกากำลังจะฟาดไปที่หัวของอีกฝ่าย แต่ช้ากว่าตรัยที่ปราดเข้ามากระชากตัวณัฐพงษ์ออกไปก่อน พร้อมกับปล่อยหมัดต่อยต่อยเต็มแรง
ณัฐพงษ์ตั้งหลักได้ ก็ฮึดจะเข้ามาต่อยคืน แต่กลับโดนสวนตามอีกหมัดอย่างแรง จนนถึงกับร่วงไปเลย
เพ็ญพรมองเหตุการณ์ตรงหน้าแบบอึ้งๆ ก่อนที่ตรัยจะเดินมาหาด้วยความเป็นห่วง
“ตกใจมากหรือเปล่า ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้วนะครับ”
เธอค่อยๆ ปล่อยมือจากแท่นเสียบปากกา แล้วยิ้มนิดๆ มองเขาอย่างประทับใจ
จากนั้นทั้งคู่ก็ออกมานั่งคุยกันที่มุมรับรองแขก ก่อนที่ตรัยจะต่อว่าเรื่องที่จู่ๆ ก็เข้ามาทำงาน โดยไม่ปรึกษาเขา
“ผมเป็นห่วงคุณ อย่างเมื่อกี๊นี้ ถ้าผมมาไม่ทันจะเกิดอะไรขึ้น”
เพ็ญพรพูดหน้าตาย
“ฉันก็คงฟาดหัวหมอนั่นแตก เอาเลือดชั่วออกมาดูเล่นสักลิตรมั้งคะ ฉันดูแลตัวเองได้ค่ะ ขอบคุณที่เป็นห่วง ฉันจำเป็นต้องทำงานที่นี่เพื่อปกป้องทุกอย่างที่เป็นของคุณพ่อนะคะ”
แต่ตรัยยืนกรานว่าทำเป็นห่วงเธอจากใจจริง พลางเสนอตัวว่าจะช่วยสอนวิธีป้องกันตัวง่ายๆ ให้ จากนั้นมองหาที่กว้างๆ แล้วเดินนำเพ็ญพรไป
“ผมจะอธิบายช้าๆนะ ถ้ามีคนเข้ามาล็อกคอคุณแบบนี้ สิ่งที่คุณต้องทำก็คือ..”
พูดไม่ทันจบประโยคดี เพ็ญพรก็คว้าแขนเขาบิดทันที ตามด้วยแทงศอก ก่อนจะเหวี่ยงลงไปกองกับพื้น
“แบบนี้ใช่มั้ยคะ ฉันทำถูกรึเปล่า”
ตรัยจุกจนพุดไม่ออก พลางมองอีกฝ่ายแบบทั้งอึ้ง ทั้งทึ่ง แล้วพยักหน้าหงึก เพ็ญพรรีบยื่นมือให้เขาจับแล้วช่วยดึงตัวขึ้นมา ทั้งคามองตากันเขินๆ
ในเวลาเดียวกัน พรเพ็ญที่นั่งปรนนิบัติเอกสิทธิ์อยู่ ก็อมยิ้มขึ้นมาแบบไม่มีเหตุผล
“สงสัยจะเป็นความรู้สึกของน้องเพ็ญ แปลว่าทุกอย่างกำลังเป็นไปได้ด้วยดีใช่มั้ย”
ตรัยมามาคุยกับเพื่อนตำรวจที่เคยทำงานด้วยกัน พอรู้ว่ายังไม่มีใครรับคดีของเชาว์ไปสืบต่อ ก็นึกเครียด ก่อนจะตัดสินใจว่าเขาต้องทำอะไรสักอย่าง คิดได้ดังนั้น ก็รีบกดมือถือโทร. ออกทันที
อาภาพรที่นอนพอกหน้าอยู่ พอได้ยินเสียงป้าแจ่มรับสาย แล้วรู้ว่าเป็นตรัยโทร. มา ก็กระเด้งตัวพรวดขึ้นมา แย่งไปคุยทันที
“พี่ตรัยโทรมาหาภามีอะไรหรือคะ”
ตรัยนั่งคุยกับอาภาพรในร้านกาแฟ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านศิลาแดงนัก ฝ่ายแรกเริ่มหาข้อมูลโดยทำทีเป็นถามถึงทุกคนในบ้าน ฝ่ายหลังทำหน้างอนนิดหนึ่ง ก่อนจะหลงกลเล่าเป็นฉากๆ
“คุณแม่สบายดีค่ะ ส่วนคุณพ่อกับนังเมียเด็กเนี่ยภาไม่รู้ พวกเค้าไม่ค่อยอยู่บ้าน”
“ไม่ค่อยอยู่? คุณพ่อน้องภาออกจากบ้านทุกวันเลยเหรอครับ แล้วพวกเค้าออกไปไหนกัน น้องภารู้หรือเปล่าครับ”
อาภาพรขัดใจ “พี่ตรัยเอาแต่ถามถึงคนอื่นอยู่ได้ ไม่รักษาน้ำใจกันเลย”
ตรัยรีบขอโทษ ก่อนจะแกล้งทำกาแฟหกใส่ตัวเอง อาภาพรรู้ไม่ทัน รีบออกปากชวนเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในบ้าน เขาทำแกล้งลังเล
“ภาไม่พูดซะอย่าง ไม่มีใครรู้หรอกค่ะ”
ตรัยยิ้มนิดๆ แล้วพยักหน้า อาภาพรยิ้มกริ่ม สมใจ
จากนั้นทั้งคู่ก็เดินเข้ามาในบ้านศิลาแดง ก่อนที่อาภาพรจะพยายามดึงมือตรัยเข้าห้องนอน
“เข้ามาสิคะพี่ตรัย ทำไมทำท่าอย่างนั้นล่ะ”
“เอ่อ พี่ใช้ห้องน้ำแขกดีกว่าครับ นี่เป็นห้องส่วนตัวน้องภา มันไม่ดี”
อาภาพรแกล้งบอกว่าเปลี่ยนที่ห้องน้ำแขกเกรงจะมีคนจับได้ พลางคะยั้นคะยอให้ตรัยรีบถอดเสื้อ ให้เธอเอาไปซัก
ตรัยหันหลังถอดเสื้อออกแล้วส่งให้ อาภาพรอมยิ้มสมใจ
อาภาพรถือเสื้อตรัยเดินเข้ามา พอมองรอบๆ ไม่เห็นใครก็แอบดมเสื้อ แล้วหัวเราะคิกคัก จู่ๆ วาทินีก็โผล่พรวดเข้ามา พอเห็นฝ่ายแรกถือเสื้อผู้ชายในมือก็สงสัย แต่อีกฝ่ายแกล้งทำโวยวายกลบเกลื่อน
“ฉันจะทำอะไรมันก็เรื่องของฉัน อย่ามาสะเออะ”
วาทินีเบ้ปาก
“โอ๊ย อยากยุ่งด้วยตายละ นี่ คนใช้หายไปไหนหมด ฉันหิวแล้วมีอะไรกินมั่ง”
พูดพลางรีบเดินออกไป อาภาพรหน้าเสีย รีบถลากลับเข้ามาในห้อง แต่กลับไม่เจอตรัยอยู่ในนั้นแล้ว
ตรัยเดินหลบๆ มาตามทางจนถึงหน้าห้องเชาว์ พลางลองขยับลูกบิดประตู พอเห็นว่าไมได้ล็อก ก็รีบผลุบเข้าไป เห็นสภาพห้องเละเทะ เสื้อผ้าใช้แล้วกองกระจัดกระจาย ก่อนที่จะรื้อค้นทั่วห้องพื่อหาหลักฐาน
อาภาพรมองหาตรัยด้วยความร้อนรนจนถึงบริเวณหน้าห้องเชาว์ พร้อมๆ กับที่วาทินีก้าวฉับๆ เข้ามา
“นี่เธอ ทำไมลุกลี้ลุกลนนักล่ะยะ แอบทำอะไรไม่ดีอยู่รึเปล่า”
ตรัยได้ยินเสียงวาทินีก็ชะงัก อาภาพรตวัดสายตามองด้วยความไม่พอใจ
“แกว่าใครทำอะไรไม่ดี ประสาท”
“คิดว่าจะปิดฉันได้เหรอ แอบพาผู้ชายเข้ามามั่วในบ้านใช่มั้ยล่ะ”
อาภาพรตกใจอ้าปากค้าง วาทินียิ่งมั่นใจ พลางจะเข้าไปแย่งเสื้อที่อีกฝ่ายถืออยู่ ฝ่ายแรกรีบวิ่งหนี ฝ่ายหลังรีบวิ่งตาม
ตรัยแอบมอง เห็นสองสาวไปแล้วก็ถอนใจ รีบหลบออกจากห้อง
ตรัยรีบเดินออกมาเพื่อหาทางหลบออกจากบ้าน จังหวะเดียวกับที่รถสโรชาแล่นเข้ามา เขารีบหาที่หลบ จนฝ่ายหลังลงจากรถ พร้อมกับที่คุยมือถือไปด้วย
“ไอ้เชาว์ สถานการณ์ไม่ค่อยดีแล้วนะ ตอนนี้แกอยู่ไหน ก็นังพรนะสิ วันนี้มันบุกไปแผลงฤทธิ์ที่บริษัท เมื่อก่อนมันกล้าทำอะไรแบบนี้ที่ไหน หลังๆ นี่มันเปลี่ยนไปมาก ฉันคิดว่า มันอาจไม่ใช่นังพรคนเดิม ฉันไม่ได้คิดไปเอง นังพรมันมีฝาแฝด แกก็รู้”
ตรัยแอบฟังอยู่ถึงกับตกใจ พลันเสียงตบตีกรีดร้องของอาภาพรกับวาทินีก็ดังแทรกขึ้นมา สโรชาจึงรีบกดวางสาย แล้วเดินเข้าบ้านไปอย่างหงุดหงิด
ตรัยจึงสบโอกาสรีบหลบออกจากบ้านไปทันทีพร้อมความลับเรื่องสาวแฝด!
อ่านต่อตอนที่ 10