แอบรักออนไลน์ ตอนที่ 9
ปราณนต์และลิปดากำลังเล่นวอลเล่ย์บอลคู่แบบทีมละ 2 คนอยู่ที่ชายหาด โดยที่ทั้งสองอยู่ทีมเดียวกัน ฝ่ายตรงข้ามเสิร์ฟลูกมา ลิปดารับลูกได้ ปราณนต์เซตลูกตั้งให้ลิปดา ลิปดากระโดดตบลูกลงฝั่งตรงข้าม กองเชียร์สาวๆกรี๊ดแตก ลิปดาหันมายิ้มเท่ห์ให้สาวๆ แล้วมองไปทางอวัศยา
อวัศยายืนนิ่งโดยไม่ได้กรี๊ดลิปดาตามคนอื่น ทันใดนั้นอวัศยาก็อึ้งที่เห็นปราณนต์ถอดเสื้อเพราะร้อน ปราณนต์ตั้งท่ารับลูกจากฝ่ายตรงข้าม กองเชียร์สาวๆมองข้ามลิปดาไปมองปราณนต์แทน
ลิปดามองปราณนต์ถอดเสื้อแล้วก็แอบเซ็งนิดๆ ด้วยอารมณ แหม โดนแย่งซีนไปได้
พริบพราวหันมาทางอวัศยา
“ปราณนต์กล้ามใหญ๊ ..ใหญ่ พี่ศยาว่าไหมคะ”
“พี่ดูเกมส์ ไม่ได้ดูคน” อวัศยาบอก
พริบพราวแอบมองอวัศยาอย่างยิ้มๆ แบบรู้ทันว่าอวัศยาปากแข็ง
ปราณนต์เสิร์ฟ ฝ่ายตรงข้ามรับลูกได้ แล้วตบกลับมา ปราณนต์รับบอลได้แต่บอลเสียทิศทางจะออกเขตสนาม ลิปดารีบวิ่งตามไปเพื่อจะรับบอล โดยพุ่งตัวเหยียดมือเพื่อให้ถึงลูกบอลกลางอากาศอย่างเท่ห์และรับบอลให้ข้ามเน็ตไปได้
ฝ่ายตรงข้ามตบ ปราณนต์กระโดดบล็อคลูกลงฝ่ายตรงข้ามได้ พริบพราวและกองเชียร์ปรบมือดีใจ อวัศยาอยากดีใจแต่ก็กลัวพริบพราวเห็น อัวศยามองผ่านปราณนต์ไปที่ลิปดาที่ล้มอยู่ อวัศยาถึงกับอึ้ง
เธอเห็นลิปดาลุกขึ้นมาสะบัดผมอย่างเท่ห์พร้อมกับถอดเสื้อเพื่อสะบัดทรายที่เปื้อนจนเต็มตัวออก
ลิปดาหันมามองอวัศยา เขาเห็นอวัศยามองมาก็ยิ้มพร้อมยักคิ้วประมาณจะพูดว่า “เท่ห์อ่ะดิ”
อวัศยาทำเมินใส่ลิปดาแล้วหันไปมองปราณนต์ พริบพราวมองอวัศยาอยู่ก็เข้ามาแกล้งถามยั่ว
“พี่ศยาว่าพี่ลิปหรือปราณนต์เก่งกว่ากันคะ” พริบพราวรีบตอบเอง “แต่พี่ศยาก็ต้องเชียร์ พี่ลิปสินะคะ เพราะพี่สนิทกับพี่ลิป” พริบพราวจงใจตะโกนบอกลิปดา “พี่ลิปคะ พี่ศยาบอกให้พี่สู้ๆนะคะ”
อวัศยาหันขวับมองพริบพราวด้วยอารมณ์ฉุน
ลิปดากับปราณนต์หันมามองตามเสียงพริบพราว ลิปดามองอวัศยา
อวัศยาเห็นลิปดามองมาเลยต้องยิ้มให้กำลังใจไปตามน้ำ แล้วเธอก็มองปราณนต์ที่มองมาที่เธอเหมือนกัน อวัศยากำลังจะยิ้มให้ปราณนต์ แต่พริบพราวชิงตะโกนเชียร์ปราณนต์เสียก่อน
“ปราณนต์สู้ๆนะ ฉันเชียร์อยู่”
พนักงานคนอื่นๆที่มาร่วมสัมนาต่างผิวปากล้อพริบพราวที่แสดงตัวว่าเชียร์ปราณนต์เต็มที่
ปราณนต์มองพริบพราวแล้วก็ยิ้มขำๆ กับความสดใสของเธอ อวัศยามองสายตาปราณนต์ที่มองพริบพราว แล้วก็รู้สึกว่าฉันก็อยากให้เธอรู้ว่าฉันเชียร์เธอ แล้วก็ปรายตามองพริบพราวที่จงใจแย่งซีนด้วยความหงุดหงิด
ลิปดามองอวัศยาอย่างรู้ทันว่าอวัศยาคงเจ็บปวดที่ปราณนต์มองพริบพราว เหมือนที่ตัวเองเจ็บปวดที่เห็นอวัศยามองปราณนต์ เขาเรียกปราณนต์เพื่อให้เลิกมองพริบพราว
“อย่ามัวแต่มอง ..มีสมาธิหน่อย ..ลูกสุดท้ายแล้ว”
ปราณนต์ตอบด้วยแววตามุ่งมั่น “ครับ บอส”
ลิปดาเสิร์ฟ อีกฝั่งตีกลับ ลิปดาถอยหลังเพื่อจะรับแต่กลับสะดุดทรายล้ม
พริบพราว อวัศยา และกองเชียร์ทำหน้าตกใจเพราะกลัวเสียแต้ม แต่ปราณนต์พุ่งเข้ามารับลูกทัน
พริบพราว อวัศยา และกองเชียรมองอย่างลุ้นว่าใครจะตีลูกต่อ
ทันใดนั้นลิปดาดีดตัวขึ้นจากพื้นแล้วกระโดดทำท่าเหมือนจะตบ แต่กลับแตะบอลหยอด
ลงหน้าเน็ต บอลผ่านเน็ตลงฝ่ายตรงข้าม
กรรมการเป่านกหวีดยาวปี๊ด แล้วผายมือไปทางทีมลิปดากับปราณนต์ให้เป็นฝ่ายชนะ พริบพราวกรี๊ดและดีใจก่อนจะโผเข้ามากอดปราณนต์ด้วยความดีใจ อวัศยามองพริบพราวที่กอดปราณนต์อึ้งๆ
พริบพราวป้องปากตะโกน “พี่ลิป ปราณนต์ สุดยอดไปเลย !!! เก่งมาก !!! Yeah”
ปราณนต์ชะงักที่พริบพราวมากอด
กองเชียร์ส่วนกลางร้องเพลงสกากันอย่างสนุกสนาน พริบพราวจับมือปราณนต์เต้นตามด้วยความสดใส ปราณนต์เต้นตามที่พริบพราวลากไปแล้วก็ยิ้มตามด้วยความรู้สึกว่าพริบพราวน่ารัก อวัศยาเห็นแววตาที่ปราณนต์มองพริบพราวแล้วก็หวั่นใจว่าปราณนต์จะรู้สึกดีกับพริบพราว ลิปดาเห็นอาการของอวัศยาจึงเดินเข้ามาปั้นหน้าทะเล้นก่อนจะจับมืออวัศยาให้เต้นตาม
“บริษัทเราชนะแล้ว ดีใจหน่อยสิคุณ” ลิปดาบอก
อวัศยาไม่มีอารมณ์เต้นจึงพยายามดึงมือตัวเองจากมือของลิปดา
“ฉันไม่เต้น”
ลิปดายังยื้อ “เต้นหน่อยสิ”
อวัศยาสะบัดมืออย่างแรง “ไม่เต้น”
อวัศยาดึงมือตัวเองออกจากมือลิปดาอย่างแรงแล้วหันตัวจะเดินไป แต่กลับเจอเสาเต๊นท์ผ้าใบที่ กางกันแดดไว้สำหรับกองเชียร์ อวัศยาชนเสาเต๊นท์เต็มๆ จนหงายเงิบแล้วก็ล้มลง ปราณนต์เห็นอวัศยาที่เดินชนเสาพอดี
“พี่ศยา”
ปราณนต์สลัดตัวจากการเต้นกับพริบพราวเพื่อรีบเดินไปดูอวัศยา แต่ลิปดาพุ่งเข้าไปประคองตัวอวัศยาไว้ก่อนแล้ว ปราณนต์จึงยืนมองอย่างเป็นห่วง
“เป็นยังไงบ้างศยา” ลิปดาติเหมือนดุเด็กเพราะเป็นห่วง “เสาต้นเบ้อเร้อ มองไม่เห็นรึไง”
พริบพราวมองปราณนต์ที่ทิ้งเธอไปหาอวัศยาแล้วก็มองอวัศยาอย่างไม่พอใจเพราะคิดว่าอวัศยาหาเรื่องเรียกร้องความสนใจ
พริบพราวบ่นพึมพำ “ไม่เห็น..หรือจงใจชนเสาเรียกร้องความสนใจกันแน่”
ปราณนต์ถาม “พี่ศยาเป็นยังไงบ้าง ครับ”
อวัศยาจะลุก “ไม่เป็นไร ฉันไม่เป็นไรมาก”
อวัศยาลุกขึ้นแต่เพราะชนแรงจึงมึนทำให้ล้มพับไปทับกับอกของลิปดาที่ยืนประคองอยู่
“พี่ศยา” ปราณนต์ตกใจ
ลิปดามองปราณนต์ “เดี๋ยวผมดูแลศยาเอง พวกคุณไปเล่นกิจกรรมอื่นต่อเถอะ”
ปราณนต์อึกอักเพราะใจนึงก็เป็นห่วงอวัศยาอย่างบอกไม่ถูก
อวัศยามองปราณนต์ที่เป็นห่วงตัวเองแล้วก็รู้สึกดีมาก ทันใดนั้นพริบพราวก็เดินเข้ามาดึงแขนปราณนต์
“เขาเรียกให้เราไปเล่นเกมส์บนบานาน่าโบ้ทต่อแล้ว เรารีบไปกันเถอะ” พริบพราวพูดกับลิปดา “ฝากดูแลพี่ศยาด้วยนะคะพี่ลิป”
พริบพราวดึงแขนปราณนต์ให้เดินออกไป อวัศยามองตามปราณนต์ ลิปดาเห็นอวัศยามองปราณนต์จึงอุ้มตัวอวัศยาขึ้นเพื่อเรียกสติให้กลับมาอยู่ที่เขาบ้าง
อวัศยาโวยใส่ลิปดา “บอส ! ปล่อยฉัน ! ฉันเดินเองได้”
“แค่ลุก ..คุณยังล้มเลย แล้ววจะเดินยังไง อยู่นิ่งๆเถอะ” ลิปดาว่า
ลิปดาอุ้มตัวอวัศยาเดินไปที่ร่มที่อยู่มุมนึงของชายหาด
ลิปดาวางอวัศยาไว้ที่เตียงไม้ริมชายหาด ลิปดาเอามือแตะที่หัวของอวัศยาแล้วถาม
“เจ็บมั๊ย”
อวัศยามองหน้าลิปดาที่อยู่ใกล้หน้าตัวเอง แล้วในใจก็หวิวๆหวั่นๆ อย่างแปลกๆ ขึ้นมา
“ไม่เจ็บ” อวัศยาตอบ
“เดี๋ยวผมเอายามาทาให้แล้วกัน ไม่อย่างนั้นระบมแน่” ลิปดาจะเดินไปเอายา
“ไม่เป็นไรค่ะบอส”
ลิปดาไม่ยอมเพราะยังอยากช่วย “ผมนวดเก่งนะ รับรองไม่มีรอยเขียวโชว์แน่ แต่ถ้าเกรงใจ ถ้าหายแล้วเลี้ยงข้าวผมก็พอ”
ลิปดาเดินไปเอายา
อวัศยามองลิปดาที่เดินไปแล้วถอนใจกับความรั้นของลิปดา เธอเอามือกุมหัวตัวเองอย่างเซ็งๆที่ดัน
เซ่อชนเสาต่อหน้าคนอื่นๆ และเซ็งที่พริบพราวไปกับปราณนต์
ปราณนต์เดินถือหลอดยานวดมาหาอวัศยา
“พี่ศยาเป็นยังไงบ้างครับ”
อวัศยาเงยหน้ามองปราณนต์อย่างคิดไม่ถึงว่าปราณนต์จะโผล่มา
“อ้าว ..ไหนเธอไปนั่งบานาน่าโบ๊ทกับพริบพราวไม่ใช่เหรอ”
พริบพราวเดินลุยน้ำทะเลเพื่อจะไปขึ้นบานาน่าโบ๊ท พร้อมกับเสียงประกาศกติกาของเกมจากพิธีกร
“เกมส์นี้ ..เป็นเกมส์วัดความอดทน เพราะอาชีพของเรา ต้องอดทนกับ ความกดดันการขึ้น-ลงของหุ้น ความกดดันคาดหวังของลูกค้าที่มีสูง ..เรามาดูกันสิว่าตัวแทนของบริษัทไหนมีความอดทนมากกว่ากัน โดยเราจะให้ตัวแทนนั่งบนบานาน่าโบ๊ทที่มีความเร็วท้านรก ถ้าตัวแทนบริษัทไม่ตกน้ำเป็นคนสุดท้าย บริษัทนั้นชนะครับ ! ..เชิญตัวแทนขึ้นบานาน่าโบ๊ทเลยครับ”
ตัวแทนบริษัทอื่นทยอยนั่งบนบานาน่าโบ๊ท พริบพราวยังมองหาว่าปราณนต์หายไปไหน
อวัศยาบีบยาออกจากหลอด
“เธอไปขึ้นบานาน่าโบ๊ทเถอะ ฉันทายาเองได้”
อวัศยาเอายาทาบนหน้าผากตัวเองแต่เพราะมองไม่เห็น อวัศยาจึงทาเลอะเทอะเปรอะเปื้อนผมที่ปลิวปรกหน้าตามแรงลมทะเล ปราณนต์จะเดินไปแต่หันมาเห็นยาเลอะหน้าผากอวัศยา ปราณนต์พยายามกลั้นหัวเราะ
“ขำอะไร” อวัศยาถาม
“ขอโทษครับ ยาเลอะผมหมดแล้วครับ ผมทาให้ไหมครับ”
“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวเธอก็ไปขึ้นบานาน่าโบ๊ทไม่ทันหรอก”
“ผมรีบทา แล้วรีบไปก็ได้ครับ”
ปราณนต์รีบหยิบหลอดยาแล้วบีบยาทาที่หน้าผากอวัศยา อวัศยาเหลือบมองหน้าปราณนต์ที่อยู่ใกล้ตรงหน้าตัวเอง
ปราณนต์พูดขึ้นมา “ผมว่าพี่เจ็บอย่างนี้ก็ดีนะครับ”
“นี่เธอกำลังสมน้ำหน้าฉันเหรอ”
ปราณนต์รีบพูด “เปล่าครับ ผมหมายถึง ..ผมรู้ว่าพี่ศยาทำงานหนัก ผมได้ยินมาว่าพี่ศยาไม่เคยใช้พักร้อนเลย”
“ฉันนี่ท่าทางจะเป็นคนดังนะ ไม่ยักรู้ว่าเรื่องของตัวเองถูกพูดถึงในออฟฟิศเยอะขนาดนี้”
“ทุกคนชมพี่ศยาในเรื่องความทุ่มเทให้กับงานครับ คุยกันว่าพี่ศยามีแต่เรื่องงาน กับ งาน แต่ก็อย่างว่า ผู้หญิงเก่งอย่างพี่ศยาคงคิดแต่เรื่องงาน เรื่องความรัก เรื่องแฟนคงเป็นเรื่องสุดท้าย”
ปราณนต์หัวเราะเก้อๆ อย่างละอายในสิ่งที่ตัวเองแสดงความสงสัยออกไป
อวัศยาพูดออกมา “ใครว่า..”
ปราณนต์ชะงักมองอวัศยาด้วยอาการแปลกใจ
“นั่นเป็นสิ่งแรกในโลกที่ฉันคิด...เพียงแต่ว่า คนที่ฉันคิดด้วย เค้าไม่รู้ตัว”
อวัศยาจ้องมองมาในดวงตาของปราณนต์ตรงๆ เป็นการยืนยันสิ่งที่พูด ปราณนต์เองก็กำลังยืนนิ่งงันกับสิ่งที่ได้ยินและอาการของทั้งสอง
เรือลากบานาน่าโบ๊ทที่พริบพราวนั่งอยู่ผ่านมาบริเวณที่อวัศยากับปราณนต์นั่งอยู่ พริบพราวเห็นปราณนต์นั่งหันหลังให้เธอทำให้ภาพที่พริบพราวเห็นเหมือนปราณนต์กับอวัศยาใกล้ชิดกันจนเหมือนหน้าใกล้กันมาก
ระหว่างที่พริบพราวกำลังจ้องภาพปราณนต์กับอวัศยา เรือที่ลากบานาน่าโบ๊ทก็เลี้ยวเพื่อหักเลี้ยวบานาน่าโบ๊ททำให้มีแรงเหวี่ยงเพื่อทำให้คนที่นั่งบนบานาน่าโบ๊ทตกน้ำ คนอื่นๆเกาะไว้แน่นเพื่อไม่ให้ตกน้ำ
แต่พริบพราวเกาะไม่ทันทำให้ถูกแรงเหวี่ยงตกน้ำดังตูม
เรือลากบานาน่าโบ๊ทไปต่อเพราะถือว่าคนตกน้ำคือคนแพ้ คนขับเรือต้องทำให้คนอื่นตกจากบานาน่าโบ๊ทอีก พริบพราวโผล่ตัวขึ้นพ้นผิวน้ำแล้วมองไปทางปราณนต์กับอวัศยา
คลื่นใหญ่ที่เกิดจากแรงขับของเรือที่เพิ่งขับออกไปผนวกกับคลื่นทะเลธรรมชาติทำให้คลื่นที่ตามมากลบตัวพริบพราวจมลงใต้น้ำ พริบพราวโดนแรงคลื่นพัดไป เธอพยายามว่ายน้ำอย่างแรงทำให้ขาเกร็งจนเกิดเป็นตะคริว พริบพราวพยายามตีขาว่ายน้ำแต่ขยับขาไม่ไหว พริบพราวรีบใช้แขนดันตัวให้พ้นผิวน้ำเพื่อหายใจและร้องหาความช่วยเหลือ
“ช่วยด้วย ! ใครก็ได้ช่วยด้วย ช่วยฉันด้วย” พริบพราวเสียงดังขึ้น
ปราณนต์หันมองตามเสียงของพริบพราวก็เห็นพริบพราวกำลังตะเกียกตะกายผืนน้ำอยู่
“พราว”
“ช่วยด้วย !! ฉัน...ฉันเป็นตะคริว ช่วยฉันด้วย”
ปราณนต์ตกใจมาก ในวินาทีนั้นเอง ปราณนต์ก็ถอดเสื้อแล้วรีบวิ่งลงทะเลไปทันที
อวัศยาตกใจแล้วก็ลุกพรวด “ปราณนต์”
ในแว่บนั้นคำพูดของปราณนต์เรื่องกลัวน้ำทะเลที่เคยเขียนในอีเมลก็แว่บเข้ามาทันที อวัศยามองปราณนต์ด้วยความเป็นห่วง
พริบพราวเริ่มสำลักน้ำแล้วก็ค่อยๆจมลง
พริบพราวคิด “ปราณนต์...เธอต้องมาช่วยฉันนะปราณนต์ ... เธออย่าทิ้งฉันนะ ฉันยังไม่อยากตายตอนนี้”
พริบพราวดำดิ่งทิ้งตัวลงน้ำอย่างช้าๆ เธอขยับขาไม่ได้เพราะตะคริวกินทั้งขา พริบพราวลอยเคว้ง
คว้างเหมือนคนไร้สติอยู่ในน้ำ ความคิดของเธอฟุ้งซ่านวุ่นวาย
“....ปราณนต์ช่วยฉันด้วย .. เธอต้องมาช่วยฉันนะปราณนต์...เธอ”
ทันใดนั้นเอง ปราณนต์ก็ว่ายน้ำเข้ามาราวกับเป็นฮีโร่ พริบพราวอยู่ในสภาพเกือบไร้สติ เธอมองปราณนต์เป็นเหมือนเทวดาที่ว่ายเข้ามาช่วยอย่างเท่มาก
“ณนต์...เธอมาช่วยฉันจริงๆด้วย....ณนต์ ..... อย่าทิ้งฉันนะปราณนต์”
พริบพราวหมดสติ หลับตา และปล่อยร่างอย่างไร้การควบคุม ปราณนต์ว่ายน้ำเข้ามาโอบพริบพราวจากทางด้านหลังและลากตัวเธอขึ้นไปอย่างมีทักษะการช่วยชีวิตคนจมน้ำ
อวัศยายืนลุ้นจนหน้าซีด คนอื่นๆ เริ่มวิ่งมามุง ลิปดาวิ่งมาหาอวัศยา
“ศยา มีคนจมน้ำเหรอ” ลิปดาถาม อวัศยาไม่ตอบแต่ตายังมองไปที่ทะเลที่เงียบงัน “แล้วนี่....ปราณนต์หายไปไหน”
“ลงไปช่วยพริบพราว”
ลิปดาอึ้ง
“คนที่จมน้ำคือ พริบพราว และคนที่ลงไปช่วยคือปราณนต์เหรอ”
อวัศยาไม่ตอบแต่มองไปที่ทะเลที่เงียบงัน ในวูบนั้นอวัศยาเหมือนอยากจะหยุดหายใจ น้ำตาของเธอคลอพร้อมไหลเหมือนได้สัมผัสกับวินาทีชีวิตของจริง ลิปดาจับแขนอวัศยา
“ศยา” ลิปดาชะงัก “ตัวเย็นมากเลย เป็นอะไรหรือเปล่า”
อวัศยาไม่ตอบ ทันใดนั้นเองปราณนต์ก็โผล่พรวดขึ้นมาจากน้ำ คนรอบๆ ฮือฮา
อวัศยาแทบทรุด เธอยิ้มออกด้วยความโล่งอก “เฮ่อ”
อวัศยาเซนิดๆ เหมือนจะหมดแรงด้วยความเกร็งและลุ้น ลิปดาต้องเข้ามาประคอง
“เป็นอะไรรึเปล่า”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันแค่กลัว ..” อวัศยากลัวว่าปราณนต์จะเป็นอะไร
อวัศยามองไปทางปราณนต์กับพริบพราว
ลิปดามองอวัศยาและอาการที่เธอเป็นอยู่ พร้อมกับคิดในใจว่าถ้าเป็นผม คุณจะห่วงอย่างนี้ไหม
คลื่นซัดพริบพราวและปราณนต์มาไกลจากจุดที่จมพอประมาณ ปราณนต์อุ้มพริบพราวมาวางไว้ที่ชายหาด พริบพราวหมดสติ ปราณนต์จับชีพจรและเริ่มทำการปั้มหัวใจด้วยความชำนาญ เขาทั้งปั้มหัวใจ และผายปอดอย่างตั้งใจ
“ฟื้นสิพราว....พราว....ฟื้นสิ”
ปราณนต์เริ่มใจคอไม่ดี เขาพยายามปั้มหัวใจสลับกับผายปอด ปราณนต์เริ่มใจเสียเพราะพริบพราวยังไม่รู้สึกตัว
ภาพตอนที่พริบพราวแสดงอาการน่ารัก แว่บเข้ามาในหัวปราณนต์ไม่หยุด
ปราณนต์ผายปอดไป ปั้มหัวใจไปด้วยความเป็นห่วง ทันใดนั้นเอง พริบพราวก็สำลักน้ำจากปอดแล้วพ่นพรวดออกมา พริบพราวรู้สึกตัว
“แค่กๆๆ”
ปราณนต์โล่งอกก่อนจะทรุดลงนั่งข้างๆ พริบพราว ลิปดากับอวัศยาวิ่งมาสมทบพอเห็นว่าพริบพราวฟื้นแล้วทั้งสองคนก็โล่งอก แม้อวัศยาจะไม่ชอบหน้าพราวแต่ก็ดีใจที่รอดมาได้ทั้งสองคน อวัศยามองพริบพราวและปราณนต์ด้วยความโล่งอกแต่ก็ยังแอบกังวลเพราะเห็นความห่วงใยและทุ่มเทมากๆของคนคู่นี้ อวัศยาหวาดหวั่นในใจ
ลิปดาพูดขึ้นลอยๆ “คุณก็หัวหายเจ็บ พราวก็รอดจากการจมน้ำ ... ถือว่าเป็นข่าวดีจริงๆ .. เพราะถ้าคุณหัวไม่หายเจ็บ และพราวเป็นอะไรไปเพราะจมน้ำ ถ้าผมเป็นปราณนต์ ผมคงไม่ได้อภัยตัวเอง”
อวัศยาชะงักกึก เธอหันมองตามลิปดาที่เดินกลับไปด้วยความแปลกใจ
พริบพราวกระพริบตาถี่ๆ จนเห็นปราณนต์นั่งอยู่ข้างๆ แสงแดดส่องเข้าที่หน้าและผม หยดน้ำทำให้
ปราณนต์ดูเท่อย่างมากในสายตาของพริบพราว
พริบพราวพูดเบาๆ “ขอบคุณมาก.....” พริบพราวหมดแรงจึงสลบไปอีกรอบ
อวัศยาค่อยๆหันมาทางพริบพราวกับปราณนต์ก่อนจะมองด้วยแววตาครุ่นคิด
“พราวอาจจะไม่ได้ทำเพื่อประชด หรือแกล้งแก...แต่ทำเพราะรักปราณนต์จริงๆ”
รันคุยโทรศัพท์พร้อมกับเดินไปมาอยู่ในห้องทำงาน
“เพราะจากที่เธอเล่ามาทั้งหมด ตั้งแต่ตอนเปิดประตูมาเจอเธออยู่กับปราณนต์แล้วก็เดินชอคออกไป ปราณนต์ตามไปเคลียร์ และเค้าก็ดีใจที่ณนต์แคร์”
อวัศยาฟังหน้าเครียด เธอยืนคุยโทรศัพท์อยู่ที่ระเบียง พริบพราวนอนหลับไม่ได้สติอยู่บนเตียงด้านหลัง
“ตอนแข่งกีฬา และ ก็ตอนช่วยชีวิต” รันเกริ่น
แล้วรันก็ใส่ยาว
“มันไม่ใช่เรื่องการแก้แค้น หรือ เรื่องยั่วโมโหแกอีกแล้ว แต่ฉันว่า...มันเป็นเรื่องของความหึงหวง เด็กพราว...อาจจะตกหลุมรักปราณนต์ และพยายามจะกันแกออกจากณนต์ แต่เอาเรื่องงานมาเป็นข้ออ้าง ทำเป็นว่าไม่พอใจที่แกกลั่นแกล้งเค้า แต่จริงๆแล้ว ไม่พอใจที่แกกับปราณนต์สนิทสนมกับมากกว่า”
อวัศยาอึ้งไป
“ถ้าพราวชอบปราณนต์ .. แล้วปราณนต์จะชอบพริบพราวหรือเปล่า” อวัศยาถาม
รันตอบไม่ได้ แต่ก็พยายามปลอบใจ
“ฉันไม่รู้ว่าปราณนต์ชอบพริบพราวหรือเปล่า ...แต่ที่ฉันรู้แน่ๆ ก็คือปราณนต์ชอบ “แอบรัก” เพราะฉะนั้น ฉันขอย้ำเป็นครั้งสุดท้าย .... ถ้าแกไม่เชื่อฉัน ฉันจะพูดอีกแล้ว มันเบื่อ และเมื่อยปากมาก” รันทำหน้ารำคาญสุดๆ
อวัศยาตั้งใจฟังและมีแววตาอ่อนลงง พร้อมพูดต่อ
“แกต้องรีบเปิดตัวว่าแกคือ แอบรัก และรีบปิดปมเรื่องรักสามเส้า สี่เส้านี้ให้เร็วที่สุด ก่อนที่พริบพราวจะฉกปราณนต์ไปจากแก .. แค่นี้นะ”
อวัศยาสะดุ้งกับเสียงวางหูโทรศัพท์
รันส่ายหน้าอย่างลุ้นๆ ด้วยใจระทึก
“ทุกอย่างอยู่ที่การตัดสินใจของแกแล้วศยา”
พริบพราวนอนไม่ได้สติ อวัศยาเดินเข้ามาค่อยๆนั่งข้างพริบพราวแล้วเอื้อมมือไปแตะตัวพริบพราว
ด้วยความห่วงใย เธอขยับผ้าห่มให้แล้วมองพริบพราวที่ยังนอนหลับอยู่แล้วก็ครุ่นคิดว่าจะทำยังไงดี
ในความฝัน พริบพราวลอยอยู่ในน้ำโดยหลับตาอยู่ ทันใดนั้นเธอก็ลืมตาโพลงขึ้น พริบพราวมองซ้ายมองขวาก็เห็นว่ามีแต่น้ำและความว่างเปล่า พริบพราวดิ้นทุรนทุรายเหมือนหายใจไม่ออก ทันใดนั้นปราณนต์ก็ปรากฎตัวขึ้นเบื้องหน้า พริบพราวรู้สึกถึงความสงบและอบอุ่นใจ
ปราณนต์ค่อยๆเคลื่อนเข้ามาหาพริบพราวและจุมพิตที่ริมฝีปากของเธออย่างแผ่วเบาและแสน
หวาน พริบพราวหลับตาเคลิ้มอย่างมีความสุข
พริบพราวสะดุ้งตื่นขึ้นมา
“ปราณนต์”
อวัศยานั่งอยู่ข้างๆ ถึงกับสะดุ้ง พริบพราวฟื้นขึ้น อวัศยารีบลุกมาดู พริบพราวมองไปรอบๆห้อง
“ปราณนต์อยู่ไหน”
อวัศยาชะงักนิดๆ เพราะแอบหึงเบาๆ “เค้าลงไปเอายา แล้วก็ของว่างมาให้เธอ .. เป็นยังไงบ้าง”
พริบพราวเบลอๆ จึงค่อยลงไปนอน “มึนหัว”
อวัศยามองพริบพราวด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความขุ่นข้องใจ พริบพราวหลับตาแล้วก็ลืมไม่ขึ้น อวัศยานั่งลงข้างๆ แล้วก็คิดก่อนจะตัดสินใจเปิดอกพูดทันที
“พริบพราว...ฉันรู้ว่าเธอไม่ชอบหน้าฉัน และก็พยายามจะเอาชนะทุกอย่าง .. ฉันไม่รู้ว่าการที่จมน้ำ มันเป็นเรื่องจริง หรือว่าเรื่องล้อเล่น แต่คราวหน้าอย่าทำแบบนี้อีก..มันเป็นอันตราย นี่ถ้าปราณนต์ไปช่วยไม่ทัน ป่านนี้เธอตายไปแล้ว .. ฉันไม่อยากสรุปเองว่ามันเป็นแผนของเธอ ..แต่ถ้าใช่..ฉันขอถามเธอตรงๆ” อวัศยาเงยหน้ามองพริบพราว “เธอชอบปราณนต์ใช่มั๊ย”
“คร่อก” พริบพราวกรนใส่หน้า
อวัศยาปรายตามองค้อนประมาณว่า “นังเด็กบ้าหลับก็ไม่บอก” อวัศยาเซ็งทันที
พริบพราวหลับสนิท
อวัศยาพ่นลมหายใจด้วยความเซ็งสุดๆ
“เฮ่อ”
ศยามองพริบพราวแล้วก็คิดหนักว่าจะทำยังไงดี
ปราณนต์เดินถือมาถาดอาหาร ยา และน้ำของพริบพราวมาอย่างอารมณ์ดี ปราณนต์เดินผ่านบ่อน้ำที่ตกลงไปพร้อมกับอวัศยาแล้วก็ชะงัก เขาเดินย้อนกลับมาอีกทีแล้วก็คิดถึงตอนที่ตกน้ำไปกับอวัศยา
และคิดถึงตอนที่ลงไปช่วยพริบพราวในน้ำ
ปราณนต์ชะงักกึกเพราะเริ่มสงสัยในตัวเอง
“วันนี้ทำไมเราต้องเปียกเพราะพี่ศยา กับ พราว บังเอิญจริงๆ” ปราณนต์คิด “ผู้หญิงสองคนนี้จะทำให้เราเป็นอะไรได้อีกนะ”
ปราณนต์เริ่มสงสัยและแปลกใจ แล้วปราณนต์ก็ถือถาดเดินต่อไป
ถาดอาหารที่ปราณนต์ถือมาถูกวางไว้ที่หัวเตียงของพริบพราว ปราณนต์คุยกับอวัศยาที่อยู่ในห้อง
ปราณนต์ถามด้วยความเป็นห่วง “พราวรู้สึกตัวหรือยังครับ”
อวัศยาพูดพลางเปิดประตูให้ปราณนต์เดินเข้ามา “เมื่อกี๊ฟื้นมาแป๊บนึง แล้วก็หลับต่อ”
ปราณนต์เดินเข้ามาในห้อง เขาวางถาดไว้ที่ข้างเตียงหันมามองพริบพราวด้วยความโล่งใจ อวัศยามองแล้วก็แอบหวงนิดๆ
“ห่วงแต่คนอื่น .. แล้วตัวเองเป็นอะไรหรือเปล่า เธอเองก็เกือบจมน้ำเหมือนกันฉันเห็นหายไปในน้ำตั้งหลายนาที ดูสิ...หน้าแดงๆ..มีไข้หรือเปล่า”
อวัศยาถามด้วยความเป็นห่วงพร้อมยื่นมือมาแตะที่หน้าผาก ปราณนต์ชะงักนิดๆ เพราะนึกไม่ถึงว่าศยาจะเป็นห่วงเขาขนาดนี้ ปราณนต์จับมืออวัศยาที่แตะอยู่ที่หน้าผากของตัวเองด้วยความเก้อเขิน พร้อมกับพูดออกมา
“มีเวียนหัวนิดหน่อย แต่ไม่เป็นอะไรมากครับ ขอบคุณพี่ศยาที่เป็นห่วง”
ปราณนต์จับมือศยาไว้หนึ่งอึดใจ อวัศยารู้สึกจึงได้ถามตรงๆ
“ไม่เป็นอะไร ทำไมมือร้อนๆ”
ปราณนต์รู้สึกตัวจึงรีบปล่อยมืออวัศยา “ขอโทษครับ” แล้วปราณนต์ก็ยิ้มเก้อๆ “ที่ตัวร้อนๆ คงเพราะกำลังปรับตัวอยู่มั้งครับ แต่ผมไม่เป็นอะไรจริงๆ” ปราณนต์ยืนยัน
อวัศยาจำใจ “ไม่เป็นก็ไม่เป็น” อวัศยาคิดแล้วก็ถาม “คิดยังไงถึงได้กระโดดลงทะเลไปช่วยเค้า แทนที่จะรอไลฟ์การ์ด”
“ตอนนั้นผมไม่มีเวลาคิดอะไรทั้งนั้น ขืนรอไลฟ์การ์ดอาจจะไม่ทัน”
ปราณนต์พูดตรงๆ อวัศยาฟังแล้วก็คิดก่อนจะพยักหน้าตาม
“นั่นสินะ ... เห็นคนจมน้ำต่อหน้าต่อตาแบบนั้น ต่อให้เกลียดกลัวน้ำทะเลแค่ไหนก็คงจะลืมตัว”
ปราณนต์ชะงักกึกพลางมองหน้าอวัศยา
“พี่ศยารู้ได้ยังไงว่าผมกลัวน้ำทะเล ...ผมจำได้ ผมไม่เคยบอกพี่ศยา”
อวัศยาหน้าเสียคิดในใจว่าฉิบหายแล้ว
ภาพตอนที่เธอคุยอีเมลกับปราณนต์ โดยปราณนต์พูดเรื่องกลัวน้ำทะเลแวบขึ้นมา
อวัศยาอึ้ง ปราณนต์แปลกใจสุดๆ แล้วก็พูดต่อ
“ผมไม่เคยบอกพี่รุจน์ .. ผมไม่เคยบอกแม้แต่รุ้ง .. มีคนเดียวเท่านั้นที่ผมบอก ..” ปราณนต์ไล่ถาม แต่อวัศยาพยายามทำหน้านิ่ง “คือ คุณแอบรัก”
อวัศยาหน้าซีดและจุกจนพูดไม่ออก ปราณนต์พูดด้วยหน้าตาที่อยากรู้ความจริงมาก
“พี่ศยา...บอกผมได้มั้ยครับ .. ทำไมพี่ถึงรู้ว่าผม - ไม่ชอบ - น้ำทะเล”
ปราณนต์รุกไล่อวัศยาและรอคำตอบ อวัศยาจุกเพราะไม่รู้จะตอบยังไง
พริบพราวค่อยๆ หรี่ตาขึ้นในสภาพยังมึนหัวแต่ก็ได้ยินเต็มสองหู พริบพราวแอบฟังแบบเงียบๆ
ลิปดาคุยโทรศัพท์อยู่ที่ทางเดิน
“ลูกค้าที่คุณนิดาบอกว่า เค้าอยากเจอผม ตอนนี้เค้าอยู่ที่ไหน”
นิดาพูดมาจากโทรศัพท์ “บ้านพักตากอากาศบนเกาะใกล้ๆ ที่บอสอยู่ค่ะ เค้าจะอยู่ถึงวันพรุ่งนี้ ถ้าบอสไปวันนี้ได้ เค้าก็จะขอคุยคืนนี้เลย .. เค้าจัดห้องพักไว้ให้บอสด้วยนะคะ Just in case ที่บอสไม่อยากกลับ”
ลิปดาคิดและตัดสินใจ “โอเค บอกเค้าว่า เดี๋ยวผม “กับผู้ช่วย” จะแวะไปหาเค้าวันนี้”
ลิปดาตัดสินใจอย่างเด็ดขาด
ปราณนต์รุกไล่อวัศยาแล้วรอคำตอบ ปราณนต์มองอวัศยาโดยมองลึกเข้าไปในดวงตา
“ตกลง...ทำไมพี่ศยาถึงได้รู้เรื่องที่ผมกลัวน้ำทะเล มันตอบไม่ยากเลยนะครับ แค่พี่บอกความจริง..ทำไมครับ ทำไมพี่ถึงรู้”
อวัศยาโพล่งออกไป “เพราะฉันเห็นเธอไม่ยอมเหยียบน้ำทะเลเล ตอนที่เรานั่งอยู่ที่ชายหาด ฉันก็เลยเดาเอาว่าเธออาจจะไม่ชอบ หรือ ไม่ก็ว่ายน้ำไม่เป็น”
พริบพราวกรอกตาว่าอวัศยาโกหก
ปราณนต์ไม่เชื่อ “แค่นั้นเหรอครับ ผมว่ามันฟังดูแถก ๆ แปลกๆ มากไปหน่อย และตอนที่อยู่ชายหาด เราก็นั่งห่างจากน้ำทะเลตั้งเยอะ ผมเชื่อว่ามันไม่ใช่เหตุผลนั้น” ปราณนต์มองตาเพราะอยากจะล้วงเข้าในความคิดของอวัศยา “ทำไมพี่ศยาถึงรู้เรื่องที่ผมกลัวน้ำทะเล...ทำไมครับ .. ทำไม”
อวัศยาโดนต้อน คำพูดของรันแว่บเข้ามาในสมองของเธอ
“แกต้องรีบเปิดตัวว่าแกคือ แอบรัก และรีบปิดปมเรื่องรักสามเส้า สี่เส้านี้ให้เร็วที่สุด”
อวัศยาตัดสินใจตอบออกมาว่า
“เพราะฉัน ...” อวัศยายังไม่ทันจะพูดต่อ
พริบพราวก็พูดแทรกขึ้นมา “น้ำ .... น้ำ” พริบพราวทำเป็นไอ “แค่ก ๆๆๆๆ ขอน้ำหน่อย .... น้ำ ... แค่กๆ”
อวัศยาชะงักกึก ปราณนต์ก็ชะงักพอกัน ปราณนต์ลังเลว่าจะเอาไงดี พริบพราวจึงดราม่าใส่
พริบพราวทำเสียงสั่นเครือมาก “น้ำ....ขอน้ำหน่อย...แค่กๆๆๆๆ คอแห้งจะตายอยู่แล้ว”
ปราณนต์สงสารพริบพราวจึงจำต้องหันมาหยิบแก้วน้ำ “น้ำอยู่นี่”
ปราณนต์หันมาหยิบแก้วน้ำส่งให้พริบพราว พริบพราวดราม่าทำเป็นมือสั่นๆ ขณะยื่นมารับแล้วก็จับแก้วก็ไม่ไหว ปราณนต์เลยต้องเข้ามาประคอง
“เดี๋ยวผมป้อนเอง”
ปราณนต์ป้อนน้ำพริบพราว อวัศยายืนเก้อๆ ว่าจะเอาไงดี ปราณนต์ทำหน้าไม่ถูกแต่ก็อยากคุยต่อ พริบพราวคิดว่าจะเอาไงดี ในใจไม่อยากให้อวัศยาสารภาพเพราะกลัวจะเสียปราณนต์ไป ในความอึดอัดนั้นเอง เสียงโทรศัพท์มือถือของอวัศยาก็ดังขึ้น อวัศยาหันไปหยิบมาดูด้วยความหงุดหงิด พอเห็นชื่อลิปดากดรับด้วยความเซ็ง
“สวัสดีค่ะบอส” อวัศยาฟังแล้วก็ตาโต “บอสว่าไงนะ”
ลิปดาพูดหน้าตาเฉย
“เดี๋ยวลูกค้าจะส่งเรือมารับภายใน ๑๐ นาที เจอกันที่ท่าเรือ”
“แต่ฉันยังไม่ได้เก็บของ ยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะคะ”
“ก็รีบๆ ทำสิ สิบนาที คุณเก็บของเสร็จอยู่แล้ว ลูกค้าจะมารับด้วยตัวเอง ผมรู้ว่าคุณจะไม่ปล่อยให้ลูกค้าต้องรอ เจอกันที่ท่าน้ำ”
ลิปดาพูดจบก็หันหลังจะเดินไปพอนึกได้ก็หันมาอีกที
“อ้อ..ส่วนเรื่องพริบพราว ปราณนต์บอกว่าเค้ายินดีที่จะดูแลเอง....ไม่มีอะไรต้องห่วง”
ลิปดาพูดดักคอแล้วก็เดินไปชิวๆ อวัศยาแทบกรี๊ด
“ใครบอกว่าฉันห่วงเด็กนั่น .. ฮึ่ย บ้าจริงๆ”
ลิปดาตะโกนขึ้นมา “เหลือเก้านาที”
อวัศยาสวน “รู้แล้วน่า เร่งอยู่ได้”
อวัศยารีบไขกุญแจเข้าไปในห้องด้วยความเร่งรีบ
อ่านต่อหน้าที่ 2
แอบรักออนไลน์ ตอนที่ 9 (ต่อ)
พริบพราวนอนทำเป็นหลับอยู่บนเตียง เธอแอบหรี่ตามองปราณนต์ ปราณนต์กำลังใช้ผ้าชุบน้ำแล้วเช็ดหน้าให้พริบพราวพร้อมกับเอามือแตะที่ผิวแก้มเพื่อดูว่าพริบพราวยังมีไข้รึเปล่า เขาเอาผ้าใส่ชามอ่างแล้วถือชามกับผ้าไปวางที่โต๊ะมุมห้อง
พริบพราวหรีตามองปราณนต์แล้วยิ้มอย่างรู้สึกดีที่ปราณนต์มาดูแล ปราณนต์มองชามแล้วยืนคิดถึงเรื่องค้างคาใจกับสิ่งที่อวัศยายังไม่ได้ตอบ
ปราณนต์พึมพำ “พี่ศยารู้ได้ยังไง”
พริบพราวได้ยินปราณนต์พึมพำถึงอวัศยาแล้วก็ยืนเหม่อครุ่นคิด พริบพราวรู้สึกหวั่นใจขึ้นมา เธอเริ่มรู้สึกว่าจะเสียผู้ชายดีๆ คนนี้ให้อวัศยาไม่ได้แล้ว
อวัศยาเก็บกระเป๋าจนเรียบร้อย เธอรีบดูนาฬิกา
“เหลืออีก ๒ นาที”
อวัศยาคิดๆ แล้วก็นึกได้
“ตั้งแต่ส่งเมลผิดไปให้บอส “แอบรัก” ยังไม่ได้ส่งเมลหาปราณนต์เลยนี่....หรือเราควรจะไปสารภาพต่อ เมื่อกี๊บอสไม่น่ามาขัดจังหวะเลย บ้าจริงๆ .. แต่ถ้าไปบอกตอนนี้มันดูแปลกๆ ฮึ่ยยยย !! บอสนะบอส จังหวะนรกจริงๆ แล้วเราเป็นอะไรเนี่ย บ่นคนเดียวอยู่ได้ ทำไง ๆๆๆ” อวัศยาคิดแล้วก็ตัดสินใจ “ส่งเมลไปทักทาย แสดงตัวไว้ก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากัน”
อวัศยาหยิบโทรศัพท์ที่เหลือแบตอยู่แค่ยี่สิบเปอร์เซนต์ขึ้นมาเปิดอีเมล เธอตั้งสติ รวมรวบ
ความคิดในความเป็นแอบรักและกำลังจะพิมพ์แต่ลิปดาโทร.เข้ามาพอดี อวัศยาเซ็งสุดๆ
อวัศยารีบกดรับ “เรียบร้อยแล้วค่า กำลังจะเดินไป”
อวัศยากดวางสายแล้วก็ต้องตัดใจ เธอลากกระเป๋าเดินไปด้วยความเร่งรีบ
“เร่งอยู่ได้ เร่งจริงๆ เร่งเอาโล่ห์หรือไงเนี่ย”
อวัศยาเดินบ่นออกไปด้วยความร้อนใจ
ปราณนต์คิดถึงเหตุการณ์เมื่อสักครู่ที่อวัศยาเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง ปราณนต์คิด
“พี่ศยาจะพูดอะไร”
ปราณนต์หยิบโทรศัพท์มาไล่ชื่อโทรออกไปเรื่อยๆ มาจนถึงอวัศยา เขาคิดเพื่อตัดสินใจว่าจะโทร ไม่โทร โทร ไม่โทร แล้วก็ไม่โทร
พริบพราวทำเป็นนอนแต่ปรือตามองปราณนต์ตลอด ปราณนต์คิดแล้วก็นึกได้
“หรือว่า...จะบอกต่อทางเมล”
ปราณนต์รีบหยิบมือถือของตัวเองมาแล้วกดเข้าไปเชคอีเมล หน้าอีเมลของปราณนต์ว่างเปล่า เพราะไม่มีข้อความใหม่ ปราณนต์เศร้า
“ไม่มี”
ปราณนต์ผิดหวัง เขาครุ่นคิดว่าจะเอาไงดี แล้วปราณนต์ก็ตัดสินใจหันมาทางพริบพราว
“พราว...เดี๋ยวผมมานะ”
ปราณนต์เดินออกจากห้องไปทันที พริบพราวจะอ้าปากเรียกไว้
“เดี๋ยวก่อน...ณนต์”
ปราณนต์เดินออกไปแล้ว พริบพราวใจหายวาบและเริ่มคิดปรุงแต่ง
ภาพในมโนของพริบพราวคือ ปราณนต์รีบเดินไปหาอวัศยาที่ห้อง อวัศยากำลังถือกระเป๋าเดินออกมาพอดี ปราณนต์รีบเรียกไว้
“พี่ศยาครับ”
อวัศยาหันมามอง “ปราณนต์”
“เมื่อกี๊พี่ศยายังพูดไม่จบ ... ผมอยากฟังต่อ.. ตกลงพี่ศยารู้เรื่องผมกลัวน้ำทะเลได้ยังไง”
อวัศยามองหน้าปราณนต์แล้วก็อ้ำอึ้ง ปราณนต์มองสายตาของอวัศยาแล้วก็ทนเก็บความสงสัยที่อัดอั้นในใจต่อไปไม่ได้จึงจับแขนอวัศยาแล้วพูดในสิ่งที่ตัวเองคิด
“พี่คือแอบรัก ... พี่คือคนที่ผมอยากเจอ !!! คนที่ผมรัก คิดถึง และ แคร์ มากที่สุด...ใช่ไหมครับพี่ศยา บอกผมสิครับ ..บอกผม”
อวัศยาพูดนิ่งๆแต่ละมุนด้วยความรักและเต็มตื้น “ใช่ ..ฉันคือแอบรัก ฉันเป็นแอบรัก! เธอรับได้หรือเปล่า”
ปราณนต์มองอวัศยาด้วยความซาบซึ้งใจแล้วก็ดึงอวัศยาเข้ามากอด ทั้งสองคนกอดกันแนบแน่นด้วยความโรแมนติก สีหน้าของปราณนต์มีความสุขมากๆ
จากหน้าเปี่ยมสุขของปราณนต์กลายมาเป็นหน้าซึมๆ ขณะที่เดินเข้ามาในห้องพักพริบพราว ปราณนต์มานั่งทรุดลงที่ข้างๆ เตียง
“พี่ศยาไปหาลูกค้ากับบอส ออกไปจากโรงแรมได้สักพักแล้ว”
พริบพราวที่นอนอยู่บนเตียงตอนแรกสีหน้าเศร้ามาก แต่พอได้ยินก็ถึงกับหูผึ่ง
“เมื่อกี๊นายพูดว่าอะไรนะ พี่ศยาไปกับพี่ลิป..อ้าวแสดงว่าไม่ได้เจอกันเหรอ”
ปราณนต์ส่ายหน้า “ไม่เจอ..ผมไปที่ห้องพี่ศยา แต่ไม่มีใคร โทร.เข้ามือถือก็ไม่ติด เลยโทร.หาพี่นิดา ถึงได้รู้ว่าทั้งสองคนไปแล้ว” ปราณนต์เซ็ง
พริบพราวรู้สึกโล่งอกอย่างบอกไม่ถูก
“ฉันนึกว่า..นายจะไปเจอพี่ศยาแล้วได้เคลียร์กันแล้วซะอีก .. ฉันคิดว่าเค้าจะกล้าบอกความจริงกับนายว่าเค้าคือแอบรัก .. ฉันคิดว่าฉันจะต้องเสียนายไปให้เค้า ฉันไม่อยากเสียนายไปให้ผู้หญิงหลอกลวงคนนั้น .. เค้าไม่คู่ควรกับนาย ไม่คู่ควรแม้แต่นิดเดียว นายได้ยินมั้ย เค้าไม่ดีพอสำหรับนาย”
พริบพราวโผเข้ากอดปราณนต์แล้วร้องไห้ด้วยความสับสนว้าวุ่นใจ พริบพราวระบายออกมาอย่างสุดทน ทันใดนั้นเสียงปราณนต์ก็ดังก้องซ้อนเข้ามาในความคิด
“พราว...พราว...พราว”
พริบพราวที่นอนหลับอยู่สะดุ้งตื่นตามเสียงเรียกของปราณนต์
“คุณเป็นอะไรรึเปล่า ผมเห็นคุณนอนกระสับกระส่ายไปมา” ปราณนต์ถาม
พริบพราวพยายามรวบรวมสติ “เอ่อ ..ฉันฝันร้ายน่ะ”
ปราณนต์ถอนหายใจด้วยความโล่งอก “ผมก็ตกใจหมดเลย” ปราณนต์เอื้อมมือแตะที่หน้าผากของพริบพราว “ตัวยังอุ่นๆ กินข้าวต้มมั้ย เดี๋ยวจะได้กินยาอีกครั้ง”
พริบพราวมองหน้าปราณนต์แล้วก็มองมือของปราณนต์ที่จับมือเธออยู่ พริบพราวค่อยๆ เลื่อนมือตัวเองออกจากมือปราณนต์ และเป็นฝ่ายจับมือปราณนต์เสียเอง พริบพราวจับมือปราณนต์ไว้แน่น ปราณนต์มองมือพริบพราวที่จับมือเขาอยู่ด้วยความแปลกใจ
“นายรู้หรือเปล่า..ตอนที่ฉันจมน้ำ..ฉันคิดอะไร”
พริบพราวพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนและจริงใจ พริบพราวอยู่ในภาวะเปิดใจกับปราณนต์มากที่สุด แบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
อวัศยากับลิปดาเดินเข้ามาในบ้านพักตากอากาศสุดหรู ลูกค้าท่าทางภูมิฐานเดินนำไปคุยกับลิปดาไป เลขาสุดเซ็กซี่ส่งสายตาให้ลิปดาตลอดเวลา ลิปดารับไมตรีด้วยความยินดี
“ผมให้เลขาจัดห้องพักไว้ให้คุณลิป กับ คุณศยาแล้วนะครับ จะพักก่อนหรือจะคุยงานก่อนดีครับ”
“คุยงานเลยดีกว่าครับ” ลิปดาบอก
“ถ้าอย่างนั้น เชิญทางนี้เลยครับ”
ลูกค้าเดินนำไป ลิปดาเดินตาม อวัศยาแอบหยิบโทรศัพท์มาเช็ค
“ไม่มีสัญญาณ” อวัศยาบอก สัญญาณแบตหมดเตือน “อ้าว แบตก็จะหมด”
อวัศยาชะงักและร้อนรนใจ
เสียงพริบพราวดังขึ้น “ฉันคิดว่า .. นายต้องมาช่วยฉัน นายต้องมาช่วยฉัน .. อย่าทิ้งฉันนะ”
พริบพราวพูดต่อ
“แล้วนายก็มาช่วยฉันจริงๆ .. ขอบคุณมาก ขอบคุณที่ไม่ทิ้งกัน”
พริบพราวพูดด้วยความเหนื่อยอ่อน เธอค่อยๆ เอนตัวลงนอนเพราะเบลอและมึนหัว
“ขอบคุณจริงๆ”
พริบพราวค่อยๆหลับเพราะหมดแรงจึงหลับไปอีกรอบ แต่เธออยู่ในท่าที่ไม่สบายมากๆ
“อ้าว หลับไปซะงั้นเลย”
ปราณนต์ส่ายหน้าแล้วค่อยๆ ดึงมือตัวเองออกจากมือพริบพราว จากนั้นเขาก็ค่อยๆ ขยับให้พริบพราวนอนในท่าสบายๆ พริบพราวนอนในท่าที่สบายขึ้น มีผมปรกที่ใบหน้าของเธอ ปราณนต์ค่อยๆเก็บผมให้พริบพราว ปราณนต์มองหน้าพริบพราวที่หลับนิ่งแล้วก็ยิ้มนิดๆ โดยไม่รู้ตัว ปราณนต์หยุดสายตาที่ริมฝีปากอวบอิ่มของพริบพราว
ภาพความรู้สึกตอนที่เขาเม้าทูเม้าเพื่อผายปอดให้พริบพราว ภาพตอนที่พริบพราวดูน่ารัก สดใสร่าเริงย้อนกลับมา ปราณนต์เกิดอาการเคลิ้มจนถลำตัว ปราณนต์ขยับตัวเหมือนจะก้มลงจูบพริบพราว แต่แล้วก็ต้องชะงักกึกดึงสติกลับมาได้ทัน ปราณนต์รีบหยุดแล้วดึงตัวกลับมานั่งตัวตรง
ปราณนต์สับสนอย่างแรง
“นี่เรากำลังจะทำอะไร”
ปราณนต์ลุกพรวดขึ้นมาทันที ปราณนต์สับสน พริบพราวค่อยๆ ลืมตาแบบแอบเสียดายนิดๆ
ลูกค้าเซ็นเอกสารเรียบร้อยก็ส่งให้ลิปดา
“ทุกอย่างเรียบร้อยครับ .. ขอบคุณที่ไว้วางใจให้นารากรดูแล”
“ด้วยความยินดีครับ .. นี่คุณลิปดา คืนนี้พักที่นี่นะครับ”
“เอ่อ..เรากลับไปที่โรงแรมไม่ดีกว่าเหรอคะบอส จะได้ไม่ต้องรบกวน”
ลูกค้ารีบบอก “ไม่รบกวนเลยครับ ห้องพักที่ผมจัดไว้ให้สวยมาก คุณกับคุณศยาต้องชอบแน่นอน .. อีกอย่างตอนนี้จะค่ำแล้ว นั่งเรือข้ามไปอันตราย ท้องฟ้าก็เริ่มครึ้มๆ ดีไม่ดี คืนนี้อาจจะมีพายุ อย่าเสี่ยงเลยครับ”
อวัศยาอึกอักๆ เธอมองออกไปนอกหน้าต่างก็เห็นบรรยากาศเหมือนฝนจะตกจริงๆ อวัศยาหันมาถามลูกค้า
“ขอโทษนะคะ..ที่นี่มีสัญญาณไวไฟหรือเปล่าคะ”
ลิปดาปรายตามองอวัศยาแบบอยากรู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่
ปราณนต์เปิดโน้ตบุ๊ควางไว้บนโต๊ะในห้องพริบพราว ปราณนต์รีบนั่งประจำที่ พริบพราวนอนอยู่ทางด้านหลัง ปราณนต์นั่งประมวลผลทุกสิ่งอย่างที่ผ่านมา เขาหันมาทางพริบพราว
เขานึกถึงตอนที่ส่งอีเมล แล้วมีเสียงอีเมลเข้าในมือถือพริบพราว
นึกถึงตอนที่พริบพราวจะไปส่งอีเมลก่อนเดินทางกลับ ปราณนต์ดูเวลา นาฬิกาบอกเวลา12 นาฬิกา
ปราณนต์คิดแล้วก็รีบเปิดอีเมล แอบรัก แล้วเช็คย้อนกลับไปในวันนั้นที่มีอีเมลที่แอบรักส่งมา
ในเวลาที่ใกล้เคียงกันมาก พริบพราวมองตามและแอบฟังว่าปราณนต์กำลังทำอะไร
“มีเมลของแอบรักส่งมาในเวลาใกล้กันมาก” ปราณนต์หันไปทางพริบพราวที่นอนอยู่ พริบพราวรีบทำเป็นหลับทันที
ปราณนต์คิด เขาหันไปเห็นโทรศัพท์มือถือของพราววางอยู่ที่หัวเตียง ปราณนต์คิดแผน
ปราณนต์เปรยเบาๆ “ให้มันรู้กันไปเลยว่าใช่หรือไม่ใช่ ถ้าใช่ ..”
ปราณนต์หันมาแล้วรีบเข้าอีเมล พริบพราวคิด
“นี่....ปราณนต์ณนต์คิดว่าเราเป็นแอบรักเหรอเนี๊ย .. ทำไงดี”
พริบพราวคิดแล้วก็รีบหยิบโทรศัพท์มากดปิดเครื่อง ปราณนต์พิมพ์ส่งไปให้แอบรัก พริบพราวปิดเครื่องเสร็จรีบวางไว้ที่เดิมแล้วล้มตัวลงนอนเหมือนเดิมทันที ปราณนต์หันมาที่โทรศัพท์แต่มันก็เงียบกริบ
“ส่งเมลไปแล้ว..ทำไมไม่มีเมลเข้า..หรือว่า..พราวจะไม่ใช่” ปราณนต์คิด “หรือว่า..”
ปราณนต์ย่องไปหยิบเครื่องมาดูแล้วก็เข้าใจ
“ปิดเครื่อง !! แบบนี้ถึงส่งทั้งคืน ก็พิสูจน์ไม่ได้อยู่ดีว่าใช่แอบรักหรือเปล่า”
ปราณนต์เซ็งเลย เขาคิดว่าจะเอายังไงดี
ปราณนต์มองหน้าพริบพราว
พริบพราวคิดในใจ “นั่นไง คิดว่าเราเป็นแอบรักจริงๆด้วย เฮ่อ ดีนะที่เอาตัวรอดมาได้”
ปราณนต์พาลคิดถึงอวัศยา
“หรือถ้าไม่ใช่พราว...แล้วเป็นพี่ศยา”
เขานึกถึงตอนที่คุยกับอวัศยา แล้วอวัศยาแกล้งทำกระเป๋าหล่น อวัศยาพูดว่าเดี๋ยวแอบรักก็กลับมาเอง
นึกถึงตอนที่แอบรักกลับมาและส่งข้อความมาบอกว่า “ขัดข้องทางเทคนิค”
นึกถึงตอนงานเลี้ยงที่อวัศยาหลุดพูดว่า “เค้าจะได้รู้ว่าเราไม่แคร์”
นึกถึงตอนที่อวัศยาพูดเรื่องเขากลัวน้ำทะเล
ปราณนต์อึ้ง “มันก็เป็นไปได้”
ปราณนต์กลุ้ม...
ปราณนต์นึกถึงตอนที่อวัศยาและพริบพราวดูน่ารักสลับกันไปมา ปราณนต์กลุ้มใจ
“ปล่อยไว้แบบนี้ไม่ได้แล้ว”
ปราณนต์ตัดสินใจหันมาทางคอมพิวเตอร์แล้วพิมพ์อย่างรวดเร็ว พริบพราวแอบมองด้วยความอยากรู้มาก
อวัศยาเดินมาที่ห้องนั่งเล่นของเรือนรับรองแขก เธอรีบเปิดคอมพิวเตอร์ เข้าอีเมล เห็นเมลอันแรกเป็นของปราณนต์อวัศยาก็แปลกใจ
“ณนต์ส่งเมลมา” อวัศยาเปิดดู
“คุณแอบรัก...คุณอยู่ที่ไหน ... หายเงียบกันไป ผมส่งเมลมาทักทายครับ”
อวัศยางง “เพิ่งส่งมาเมื่อกี๊นี้เอง” นี่คืออีเมลที่ทดสอบว่าใช่พริบพราวหรือเปล่า
อวัศยางง
ปราณนต์กดส่งอีเมล พริบพราวแอบมองอยู่
อวัศยาสะดุ้งนิดๆ ที่มีอีเมลเข้า อวัศยารีบเปิดดูแล้วก็เห็นชื่อหัวอีเมล
อวัศยาอ่าน “เก้าโมงเช้าวันจันทร์”
อวัศยารีบกดเข้าไปอ่านทันที
พริบพราวคิดและแอบมองปราณนต์ที่กำลังเดินงุ่นง่านเพื่อรอคำตอบ
“ถ้าคุณแอบรักเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่พริบพราว จะต้องได้อ่านเมลนี้และตอบมา .. ตอบมา..ตอบมา”
จู่ๆ พริบพราวก็ไอออกมาเสียงดัง
ปราณนต์รีบหันไปมองพริบพราว “พราวเป็นอะไร”
พริบพราวยังไออยู่ “เจ็บคอน่ะ” พริบพราวทำท่าจะลุกจากเตียง “เดี๋ยวฉันไปหาอะไรร้อนๆดื่ม”
ปราณนต์รีบพูดห้ามอย่างเป็นห่วง “คุณนอนพักเถอะ เดี๋ยวผมไปเอาชาร้อนมาให้”
พริบพราวยิ้มเหนื่อยๆ “ขอบคุณมากนะ”
ด้วยความเป็นห่วงพราวมากทำให้ปราณนต์รีบร้อนเดินออกไปจนลืมปิดคอมพิวเตอร์ ทันทีที่ประตูปิด พริบพราวก็รีบลุกขึ้นแล้วพุ่งมาที่คอมพิวเตอร์ปราณนต์ทันที
“ฉันขอโทษนะ”
พริบพราวกดเข้าไปอ่านด้วยความอยากรู้
“.. คุณแอบรัก .. ผมขอฝ่ากฎของคุณด้วยความเคารพ .. ผมคิดว่ามันถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องออกจากพุ่มไม้เพื่อมาเจอกันตัวเป็นๆ ก่อนที่ผมจะสับสนและฟุ้งซ่านมากไปกว่านี้ .. แต่ถ้าคุณยังไม่พร้อมไม่เป็นไรเลยครับ”
อวัศยาอ่านอย่างตั้งใจมากด้วยใจที่เต้นระทึก
“ผมไม่โกรธ ไม่น้อยใจ แต่ผมคงคุยกับคุณต่อไปไม่ได้อีกแล้ว”
อวัศยาอึ้ง
“ผมชอบคุณ และมีความสุขมากทุกวันที่ได้คุยกับคุณ..แต่.. ถ้าผมซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้เหมือนคุณ จะมีคนอย่างน้อย ๒ คนต้องเจ็บปวด จากความสับสนของผม”
พริบพราวอ่านด้วยความตั้งใจ
“ผมพร้อมจะออกมาเผชิญหน้ากับความจริงแล้วครับ .. ถ้าคุณพร้อมเช่นกัน .. ผมขอนัดเจอคุณในวันพรุ่งนี้ .. วันจันทร์ เวลา ๙ โมงเช้า ที่ร้านกาแฟข้างที่ทำงาน .. ผมรู้ว่าคุณรู้ว่ามันคือร้านไหน”
อวัศยาอ่านไปคิดไป
“ผมจะพกดอกกุหลาบสีขาวหนึ่งดอก ไปนั่งรอคุณอยู่ที่ร้านกาแฟ ผมจะรออยู่ครึ่งชั่วโมง ถ้ายังไม่เห็นใครมา ผมจะสรุปว่า..ผมไม่ใช่สเป็คของคุณและผมอกหัก”
พริบพราวอ่านต่อ
“เมลฉบับนี้จะเป็นฉบับสุดท้ายของเราหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคุณ .... ปราณนต์”
พริบพราวอึ้ง
“วันพรุ่งนี้..เก้าโมงเช้า กุหลาบสีขาว ร้านกาแฟ”
พริบพราวคิดหนักว่าจะทำยังไงดี
อวัศยาคิดหนัก
“ออกไปเจอกัน”
อวัศยาคิดถึงคำพูดของรันแว่บเข้ามาตอกย้ำจนสุดท้ายอวัศยาก็ตัดสินใจรับคำเชิญ
อวัศยาเขียนอีเมลตอบ “ปราณนต์...คุณคงเดาไม่ถูกว่าฉันรู้สึกยังไงตอนอ่านอีเมล ใช่แล้วค่ะ..ฉันตกลงจะไปตามนัดของคุณนะคะ”
อวัศยาพิมพ์เสร็จปุ๊บ เสียงฟ้าผ่าโครมใหญ่ก็ดังระเบิดแก้วหู ไฟดับวูบฟึ่บ พร้อมกับเสียงอวัศยาดังลั่น
“อะไรกันเนี่ย ฉันยังส่งอีเมลไม่เสร็จเลยนะ จะมาดับอะไรกันตอนนี้”
อวัศยาตะโกนขึ้นมาอย่างลืมตัว
พริบพราวนั่งอึ้งใจหายวาบอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ ความสับสนและหวั่นใจถาโถมเข้ามา เมือเห็นข้อความในอีเมลนั้นทำให้เห็นว่าปราณนต์และแอบรักรู้สึกผูกพันลึกซึ้งเหมือนคนเป็นแฟนกันในโลกออนไลน์ และที่สำคัญ ปราณนต์มีใจให้แอบรักเต็มๆ
เสียงปราณนต์ไขประตูเข้ามาดังขึ้น พริบพราวรีบพุ่งไปที่เตียงและนอนเหมือนเดิมให้เป็นปกติมากที่สุด ปราณนต์วางแก้วชาร้อนให้พริบพราว
“ค่อยๆดื่มนะ”
“ขอบใจมากนะ ...กลับไปห้องนายเถอะ ฉันอยากพักผ่อน”
“ถ้าคุณหิว.....”
พริบพราวขัดขึ้น “ฉันไม่หิว ...ขอบคุณมากที่ช่วย และดูแลฉันอย่างดี ขอบคุณมาก”
ปราณนต์แปลกใจ แต่เห็นพริบพราวจริงจังจึงจำยอมไปโดยดี
“คุณต้องการอะไรเพิ่มเติมก็โทร.บอกผมแล้วกัน” ปราณนต์เดินไปเก็บคอมพิวเตอร์
ปราณนต์กำลังจะเดินไป พริบพราวถามขึ้น
“ปราณนต์... ถ้านายรู้ว่า “แอบรัก” ที่นายคุยด้วย..เป็นผู้หญิงอ้วน ขี้เหร่ น่าเกลียด นายจะรับได้หรือเปล่า”
ปราณนต์ชะงักเท้าแล้วหันมามองพริบพราวพร้อมกับหลิ่วตา
“ถามทำไม”
“ตอบมาเถอะน่า รับได้หรือเปล่า”
ปราณนต์มองพริบพราวจนเห็นความจริงจังในสายตาเธอจึงตั้งใจตอบ “รับได้ เพราะผมคุยกับเค้าไม่ใช่เพราะความสวยหรือความน่าเกลียด ไม่ว่าตัวจริงเค้าจะเป็นยังไง..ผมก็รับได้ทั้งนั้น”
ปราณนต์พูดกับพริบพราวเหมือนพริบพราวคือแอบรัก พริบพราวฟังแล้วอึ้งไป ปราณนต์เดินออกไป
พริบพราวพึมพำ “แสดงว่า ถ้าพี่ศยาเป็นแอบรัก .. นายก็คงจะรับได้งั้นเหรอ”
พริบพราวคิดหนัก
อวัศยาใช้แอพพลิเคชั่นไฟฉายจากมือถือส่องที่เราท์เตอร์อินเตอร์เน็ตที่ดับสนิท
“ไฟดับ เน็ตเดี้ยง ทำไงดี ยังไม่ได้ตอบเมลปราณนต์เลย” อวัศยาคิด “มือถือ..”
อวัศยารีบหันมือถือมาดูและมือถือก็ดับวูบไป
อวัศยาช๊อก “แบตหมด ทำไมถึงได้ซวยแบบนี้เนี่ย”
ทันใดนั้นเสียงลิปดาก็ดังขึ้นในระยะประชิด
“ทำอะไร”
อวัศยาหันมาเห็นลิปดากำลังเอาไฟฉายส่องใต้คางตัวเอง อวัศยาร้องกรี๊ด
“อ๊ายย !” อวัศยาเอามืมฟาดลิปดาพลั่กๆๆ
ลิปดาต้องจับมืออวัศยาไว้ “เฮ้ย คุณๆๆ ตกใจทำไมต้องฝาดขนาดนี้ พลั่ก พลั่ก เลย ผมเอง ไม่ใช่ผี”
อวัศยาหยุดกรี๊ด หน้านิ่ง แล้วก็กวนกลับ “ก็เพราะรู้ว่าเป็นบอสไงเลยฝาด สมน้ำหน้าอยากมาแกล้งเอง”
ลิปดาหัวเราะ “เบื่อจริงๆ คนรู้ทัน แล้วนี่ทำอะไร”
“ก็....ส่งเมลให้ลูกค้า”
ลิปดารู้ทันเพราะอวัศยาพูดไม่มองหน้าแถมยังโกหกเนียนๆ
“ผมดีใจจริงๆที่มีลูกน้องขยันขันแข็งแบบนี้ .. แต่ตอนนี้ไฟดับ เน็ตไม่มี จะส่งเมล จะแชตก็ไม่ได้แล้ว”
อวัศยาหลิ่วตา “บอสพูดแบบนี้หมายความว่าอะไร”
“ก็หมายความตามที่พูด .. มีอะไรน่าสงสัยเหรอ หรือว่าผมพูดอะไรแทงใจดำคุณ”
อวัศยาหลิ่วตา “ฉันขอถามอีกครั้ง .. บอสรู้ความลับอะไรบางอย่างของฉันหรือเปล่า”
ลิปดาทำหน้าซื่อ “รู้สิ ความลับคุณเยอะจะตาย ทั้งเรื่องที่คุณทำกับข้าวไม่เป็น คุณเคยพังเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญที่ร้านใต้คอนโด เพราะแอบเอารองเท้าผ้าใบเข้าไปซัก คุณกลัวผู้ชายหน้าโหดจนขึ้นสมองถึงขึ้นเคยคิดว่าแมสเซนเจอร์เป็นโจร โอ้ยยย เยอะแยะไปหมด จะเอาเรื่องไหนหล่ะ”
อวัศยาไม่วางใจ “เรื่องส่วนตัวของฉัน ไม่ว่าเรื่องไหนที่ฉันเผลอทำให้บอสรู้ ถ้าบอสมีความเป็นสุภาพบุรุษมากพอ ฉันหวังว่า..คงไม่เอาเรื่องนี้ไปเปิดเผยกับใคร”
อวัศยาพูดจบก็เก็บของที่วางอยู่จะเดินกลับไปห้องพัก ลิปดาพูดไล่หลัง
“คุณจะไปไหน”
“กลับไปห้องพัก ฉันจะรีบนอน พรุ่งนี้ฉันจะรีบออกตั้งแต่เช้ามืด ฉันต้องไปให้ถึงกรุงเทพก่อน ๙ โมงเช้า” อวัศยาจะเดินไป
“ถ้าคุณจะรีบนอน ก็ต้องนอนห้องนี้...เพราะข้างนอกไฟดับหมด ฝนตกหนัก ห้องพักที่เค้าจัดไว้ให้อยู่ไกลมาก คุณออกไปตอนนี้ไม่ได้หรอก”
“นอนที่นี่เนี่ยนะ”
ลิปดาชี้ไปที่หมอนและผ้าห่มที่วางอยู่ที่โซฟา
“ผมเตรียมหมอนกับผ้าห่มมาให้คุณแล้ว”
ลิปดากระโดดขึ้นมานอนที่โซฟาแล้วก็ตบโซฟาข้างๆ
ลิปดาพูดกวนๆ “คัมม่อนเบบี้” ลิปดายักคิ้วหลิ่วตา
อวัศยาวางของแล้วก็เดินไปหาลิปดาเหมือนจะมานอนด้วย แต่กลับมาหยิบหมอนกับผ้าห่มแล้วก็ยืนขึ้น
“ฉันไม่ใช่เบบี้ ไม่ใช่เด็กๆ ของบอส เสียใจด้วย”
ลิปดาทำหน้าเสียดาย อวัศยาหอบหมอนและผ้าห่มไปวางที่โซฟาอีกด้าน ลิปดายึดด้านหนึ่ง ส่วนอวัศยาเดินมานอนอีกด้านหนึ่งทำให้ทั้งสองนอนหัวชนกัน อวัศยาล้มตัวลงนอน
ลิปดามองตามด้วยความเสียดายแต่ก็ทำใจ ในที่สุดอวัศยากับลิปดาก็นอนหันหัวชนกัน
“ฝันดี” นะครับ” ลิปดาพูด
อวัศยาขยับนอนแล้วตอบแบบไม่ได้ใส่ใจ “อื้อ”
ลิปดาชะงักกับเสียงอันแสนเย็นชา ลิปดาส่ายหน้าเพราะเสียใจแต่ก็อมยิ้มเพราะได้นอนอยู่ใกล้กันแค่นี้ก็ดีแล้ว
ปราณนต์นั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์และรออีเมลแต่ไม่มีอะไรตอบกลับมา ปราณนต์กด Refresh แล้ว refresh อีกแต่ก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
พริบพราวนอนพลิกไปพลิกมาครุ่นคิดแต่ก็คิดไม่ตก
อวัศยานอนครุ่นคิดด้วยความตื่นเต้นและรอให้ถึงเช้า เธอนอนไปตาก็ดูนาฬิกาไป 4 ทุ่ม 5 ทุ่ม จนถึงเที่ยงคืน
ลิปดานอนไป แอบดูอวัศยาไปแล้วก็ทำเนียนดิ้นๆ ขยับๆเข้าไปใกล้อวัศยาแบบไม่ให้เธอรู้ตัว
อวัศยา พริบพราว และปราณนต์ต่างคนต่างรอเช้าวันต่อไป เว้นแต่ลิปดาที่ไม่อยากให้คืนนี้ผ่านไป
เลย
อวัศยานอนหลับแล้วแต่ลิปดายังไม่หลับ ลิปดาฟังเสียงอวัศยาหายใจเข้า-ออกสม่ำเสมอบ่งบอกว่าอวัศยาหลับแล้ว ลิปดาค่อยๆผงกหัวขึ้นมามองอวัศยา
ลิปดาค่อยๆลุกขึ้นมานั่งข้างๆ อวัศยาแล้วมองใบหน้าอวัศยาที่กำลังหลับยิ้มๆ ผมของอวัศยาปรกหน้า ลิปดาค่อยๆปัดผมให้แล้วมือของลิปดาก็เกือบจะสัมผัสผิวแก้มของอวัศยาอย่างเผลอใจ ทันใดนั้นอวัศยาก็ขยับตัว ลิปดารีบล้มตัวนอนข้างๆ ด้วยอาการหวั่นๆว่าอวัศยาจะรู้ไหมว่าเขาแอบนั่งมอง
ทันใดนั้น มืออวัศยาก็ตีเข้าที่ไหล่ของลิปดา ลิปดาสะดุ้งเพราะคิดว่าอวัศยาจับได้จึงตีเขา แต่ปรากฏว่าอวัศยายังหลับตาอยู่พร้อมพูดละเมอ
“ยายอย่าดิ้นสิ เดี๋ยวก็ตกเตียงหรอก”
อวัศยากอดตัวลิปดาแน่นขึ้นอีก
ลิปดาแอบโล่งอกที่อวัศยาแค่ละเมอ แล้วเขาก็มองมืออวัศยาที่กอดเขาแล้วก็ยิ้มมีความสุข
ปราณนต์ยืนอยู่ที่หน้าห้องของพริบพราว ปราณนต์เคาะประตูแต่ก็เงียบ เขาเคาะอีกที ประตูก็เปิดออกช้าๆ เพราะห้องไม่ได้ล็อค ปราณนต์แปลกใจ
“พราว...พราว”
ไม่มีเสียงตอบ ปราณนต์เปิดประตูเดินเข้าไปในห้อง
ในห้องว่างเปล่า ปราณนต์มองไปรอบๆ แล้วก็ชะงักเมื่อเห็นกระดาษโน้ต ปราณนต์รีบหยิบมาอ่าน
“ปราณนต์ ... ฉันกลับก่อนนะ ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง”
พริบพราวขับรถเข้ากรุงเทพด้วยความรู้สึกสับสน
“ทางโรงแรมบอกว่ามีรถตู้ส่งผู้เข้าร่วมสัมนา ฉันเลยไม่ได้รอนาย เจอกันที่ออฟฟิศ .. พริบพราว”
พริบพราวหน้าเครียด ในใจของเธอเฝ้าพร่ำบอกตัวเองว่าเสียปราณนต์ให้อวัศยาไม่ได้ พริบพราวครุ่นคิดว่าตัวเองจะทำยังไงดี
อวัศยานอนอยู่ที่โซฟาเสียงนาฬิกาปลุกดัง อวัศยาลืมตาพึ่บ เธอรู้สึกเหมือนมีคนนอนอยู่ข้างๆ พอหันมาก็เห็นหน้าลิปดาอยู่ใกล้ๆ อวัศยาตกใจ
“ว้าย”
อวัศยารีบลุกขึ้นจึงเสียหลักตกโซฟาดังโครม
ลิปดาสะดุ้งตื่น ลิปดางงๆ เมื่อเห็นอวัศยายันตัวขึ้นจากพื้นอย่างไม่มีฟอร์ม
“อ้าว” ลิปดาขยี้ตา “ศยาลงไปนอนที่พื้นทำไม”
อวัศยาโวย “ไม่ต้องมาพูดเลย ! บอสมานอนข้างๆฉันได้ยังไง”
ลิปดาอ้าง “ผมเห็นคุณนอนดิ้น เลยมาจับตัวคุณให้นอนดีๆ แล้วคุณก็ล็อคตัวผมให้นอนข้างๆ”
อวัศยารีบเถียง “ไม่จริง”
“จริง ! แถมคุณยังละเมอว่า ..ยายอย่าดิ้นสิ ยาย ยาย” ลิปดาแกล้งล้อแก้เขิน “เพิ่งรู้นะเนี่ย ว่าศยามาร์ตัวแม่ก็ติดยายตัวเองเหมือนเด็กๆ”
อวัศยาอึ้งเพราะว่าเมื่อคืนฝันถึงยายจริงๆ เธอไม่รู้ว่าตัวเองละเมอ อวัศยาอาย เธอไม่รู้จะอาละวาดยังไงจึงรีบเดินไปจะเข้าห้องน้ำ ลิปดามองขำๆ อวัศยาได้ยินลิปดาขำจึงหันกลับมาผลักลิปดาตกโซฟาแล้วเดินออกไป ลิปดามองตามอวัศยาไปอย่างขำๆ และมีความสุข
อวัศยาหอบของรีบเดินมาที่เรือข้ามฟากที่มีคนขับรถอยู่ ลิปดาวิ่งกระหืดกระหอบตามมา
“ศยารอด้วย”
“เร็วๆสิบอส ฉันรีบ”
อวัศยาโยนกระเป๋าลงเรือแล้วก็กระโดดลงเลย ลิปดามองอึ้งๆ ที่เห็นอวัศยารีบจริงๆ
รถพริบพราวเริ่มเข้าสู่กรุงเทพ ความวุ่นวายและปริมาณรถเริ่มมากขึ้น
ปราณนต์อยู่บนรถตู้ คนในรถวูบหลับหัวโยกไปมาแต่ปราณนต์ไม่หลับเพราะตื่นเต้น เขาดูนาฬิกาเป็นระยะ
ลิปดาขี่มอเตอร์ไซด์ อวัศยาที่นั่งซ้อนพูด
“เร็วกว่านี้ได้มั้ยบอส”
ลิปดาไม่ตอบแต่เร่งเครื่องเร็วขึ้น
เวลาผ่านไป ปราณนต์เลือกดอกกุหลาบสีขาวจากร้านดอกไม้มาหนึ่งดอก
พริบพราวเดินออกมาพร้อมกับกุหลาบสีขาวที่เพิ่งซื้อมาจากร้านดอกไม้อีกร้าน
มอเตอร์ไซด์ลิปดาติดแหง่กที่ถนนชานเมือง อวัศยาดูนาฬิกาก็เห็นว่าอีก ๑๐ นาที ๙ โมง..
“บอสไม่มีทางอื่นแล้วเหรอ ทางนี้มันติด จะเก้าโมงแล้ว เดี๋ยวฉันไม่ทัน”
“คุณนัดกับใครไว้ เก้าโมง มันสำคัญขนาดนั้นเลยเหรอ”
“เอ่อ...เอาน่า..ถ้าบอสไม่อยากรีบ ฉันแยกไปเองก็ได้นะ” อวัศยาจะลง
“โอเคๆ เกาะแน่นๆนะครับคุณผู้หญิง”
ลิปดาพูดจบก็ซอกแซก เลาะเข้าซอย ทางลัดไปอย่างน่าหวาดเสียว อวัศยาต้องเกาะเอวลิปดาแน่น
อ่านต่อหน้าที 3
แอบรักออนไลน์ ตอนที่ 9 (ต่อ)
ดอกกุหลาบสีขาววางอยู่บนโต๊ะกาแฟ ปราณนต์นั่งรอและลุ้นระทึก เขาดูนาฬิกาเห็นว่าอีก ๕ นาที จะ ๙ โมงเช้า ปราณนต์ชะเง้อมองหน้าร้าน ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะหน้าต่าง ก๊อกๆ ปราณนต์สะดุ้งแล้วหันไปเห็นว่าเป็นรุจน์
รุจน์ชี้ที่ดอกไม้ “เอาดอกไม้มาให้ใคร นัดสาวเหรอ”
ปราณนต์โบกมือ แล้วก็ทำปาก “ไม่มีอะไร ... ไป ไป ไปก่อน”
รุจน์เกาหัว แต่ก็ยอมเดินไปด้วยความสงสัย
“ไอ้ณนต์ทำตัวแปลกๆ .๙ โมง ยังไม่ไปออฟฟิศ มีดอกไม้ แถมยังไล่เราอีก”
รุจน์มองปราณนต์ ปราณนต์ดูนาฬิกาเป็นระยะๆ และมองที่ประตูร้าน รุจน์ชะงักแล้วคิด
“เหมือนมันรอใครสักคน ..” รุจน์คิด “หรือว่า ..”
รุจน์คิดได้จึงรีบหยิบโทรศัพท์มาโทรออก
“แสนดีฉันมีเรื่องด่วน”
ดอกกุหลาบสีขาวอยู่ในมือพริบพราวที่ยืนอยู่ที่หน้าร้าน เธอจดๆจ้องๆ แล้วก็คิดถึงอดีต
เมื่อประมาณ ๕ นาทีที่แล้ว ลิปดาขี่มอเตอร์ไซด์ไปคุยโทรศัพท์ผ่านสมอลล์ทอล์คที่ติด
หมวกกันน็อค
“ตอนนี้พี่กำลังจะเข้าออฟฟิศ รถติดมาก อีกสักพักกว่าจะถึง ตอนนี้พี่อยู่กับศยา พราวมีอะไรหรือเปล่า”
“ไม่มีอะไรค่ะ พราวแค่มีงานอยากจะปรึกษาพี่ศยา แต่ติดต่อไม่ได้ แล้วก็นึกได้ว่าพี่ศยาไปหาลูกค้ากับพี่ลิป เลยโทร.มาถามว่าอยู่ที่ไหนแล้ว น่ะค่ะ”
พริบพราวพูดด้วยน้ำเสียงแสนดีแบบไม่มีอันตรายใดๆทั้งสิ้น
พริบพราวยืนอยู่ที่หน้าร้านกาแฟ ในมือของเธอถือดอกไม้อยู่
พริบพราวคิดว่าจะเอายังไงดี
ภาพในอดีตย้อนกลับมา ตอนที่ปราณนต์อยู่กับพริบพราวแล้วมีความสุข ตอนที่ไปโฮมสเตย์ ตอนที่เต้นรำ ตอนที่ช่วยชีวิต
ภาพตอนที่อวัศยาร้ายๆ กลั่นแกล้งเธอสารพัด
พราวคิดแล้วก็หวั่นใจว่าทำไม่ทำ ทำ ไม่ทำ แล้วเธอก็ตัดใจไม่ทำ พริบพราวหันมาทางถังขยะแล้วทิ้งดอกไม้ลงถังขยะ ด้วยความลังเลนิดๆ แต่แล้วเธอก็ตัดใจหันหลังเดินจากไปเลย
ดอกกุหลาบสีขาวที่พริบพราวทิ้งวางปริ่มอยู่ปากถังขยะก่อนจะหล่นร่วงลงที่พื้น
ปราณนต์ชะเง้อมองออกไปที่นอกร้าน เขาดูนาฬิกา ๙ โมง ๕ นาที ปราณนต์ตัดสินใจลุกขึ้นเดินออกมาหน้าร้าน
พริบพราวเดินอยู่แล้วก็คิด..คิดถึงภาพความอบอุ่น แสนดีของปราณนต์
พริบพราวหยุดและเปลี่ยนใจ เธอคิดว่า “ไม่ ฉันไม่ยอมเสียเค้าไป” พริบพราวหันหลังเดินกลับไปที่ร้าน
ปราณนต์เดินออกมาที่หน้าร้าน
ดอกไม้ที่หล่นอยู่ข้างถังขยะ มีมือของผู้หญิงเอื้อมมาเก็บ
ปราณนต์หันไปเห็นพอดี “คุณ”
สายตาปราณนต์ไล่ไปตามมือแล้วก็ต้องชะงักเพราะหญิงสาวที่ถือดอกไม้คือพนักงานร้านกาแฟ
ปราณนต์เอ่ยถาม “อ้าว .. เอ่ออ... ดอกไม้ดอกนี้ของคุณหรือเปล่าครับ”
“ไม่ใช่ค่ะ ฉันเห็นมันตกอยู่ที่พื้น มีผู้หญิงมาทิ้งไว้น่ะค่ะ เสียดายก็เลยว่าจะเก็บไปใส่แจกันน่ะค่ะ”
ปราณนต์ผิดหวังแต่ก็ชะงักคิด
“คุณเห็น “ผู้หญิงที่เอาดอกไม้มาทิ้งหรือเปล่า”
พนักงานพยักหน้า ปราณนต์รีบถาม
“เค้าลักษณะเป็นยังไง คนที่เอาดอกไม้มาทิ้ง หน้าตา ท่าทาง เป็นยังไง”
รถลิปดามาจอดเทียบที่หน้าบริษัท อวัศยารีบกระโดดลลงจากรถทันที
“บอสขอบคุณมาก ฉันไปก่อนนะ”
อวัศยาพุ่งไปเลย ลิปดาโคตรสงสัย
พนักงานร้านกาแฟตอบปราณนต์
“ก็ตาโตๆ ผมยาวๆ ใส่เสื้อสีขาว”
ปราณนต์ปราดสายตามาเห็นพริบพราวกำลังเดินมา พริบพราวมีลักษณะตรงกับที่พนักงานพูดเอาไว้เลย
พนักงานพูดต่อ “กระโปรงสีฟ้า .. กระเป๋าสีขาว”
ปราณนต์อึ้งมองพริบพราวที่กำลังเดินกลับมา พริบพราวหันมาเห็นปราณนต์ยืนอยู่พอดี ทั้งสอง
คนมองตากัน
ปราณนต์พูดลอยๆกับพนักงาน “ผมรู้แล้วว่า .. เป็นใคร ผมขอคืนนะครับ” ปราณนต์หยิบดอกไม้มาจากมือพนักงาน
ปราณนต์เดินไปหาพริบพราว พนักงานงง พริบพราวตื่นเต้น
ปราณนต์เดินมาหาพริบพราวที่ยืนอึ้งอยู่ ปราณนต์และพริบพราวเผชิญหน้ากัน
อวัศยาวิ่งมาตามทางด้วยความตื่นเต้น
ปราณนต์ยืนเผชิญหน้ากับพริบพราว
“ทิ้งดอกไม้ทำไม” ปราณนต์ส่งดอกไม้คืน
พริบพราวรับมา “คือ..ฉันไม่มั่นใจ .. กลัวว่านายจะรับไม่ได้”
พริบพราวพูดกลางๆ ปราณนต์ส่ายหน้าแล้วตอบกลับอย่างหนักแน่น
“ผมบอกแล้ว..ไม่ว่าตัวจริงจะเป็นยังไง ผมก็รับได้ทั้งนั้น ... ยินดีที่ได้เจอกันนะครับ...คุณแอบรัก”
ปราณนต์ยื่นมือมาให้พริบพราว พริบพราวมองมือแล้วคิดว่าจะจับไม่จับหรือจะบอกความจริง
อวัศยาวิ่งมาเกือบจะถึงแล้ว
พริบพราวคิดแล้วก็ตัดสินใจจับมือปราณนต์ ทันทีที่ได้สัมผัสมือกับปราณนต์ เธอก็สัมผัสได้ถึงความอบอุ่น สิ่งที่อยู่ในใจพลุ่งพล่านออกมา ปราณนต์ทนไม่ไหวอีกต่อไปจึงดึงพริบพราวเข้ามากอด
ด้วยความรู้สึกดีที่เก็บกดมานานแสนนาน
พริบพราวตกใจที่ปราณนต์ดึงเธอเข้าไปกอด
อวัศยาวิ่งมาถึงพอดี เธอชะงักกึกเพราะช๊อคกับภาพปราณนต์กอดพริบพราว อวัศยาอึ้งซ้ำที่เห็นในมือพริบพราวและปราณนต์ถือดอกกุหลาบขาวคนละดอก
อีเมลของปราณนต์ที่บอกเรื่องให้เอาดอกไม้มาด้วยย้อนกลับมาในหัวอวัศยา
อวัศยาอึ้ง
เสียงถ่ายรูปดังขึ้นแชะๆๆๆ ปราณนต์และพริบพราวหันไปเห็นรุจน์ พีระ และแสนดีแอบอยู่หลังเสา แต่โผล่มาแชะรูปปราณนต์กับพริบพราวสุดฤทธิ์ พริบพราวชะงักกึกคิดในใจว่าแย่แล้ว ปราณนต์ยิ้มรับอายๆ เขินๆ
อวัศยายืนอึ้งทั้งช๊อคทั้งงง เธอรีบหลบวูบเข้ามาเสาต้นข้างๆ ไม่ให้คนอื่นเห็น อวัศยาสับสน
ทันใดนั้นลิปดาก็โผล่เข้ามา
“ศยามายืนทำอะไรอยู่ตรงนี้”
อวัศยามองหน้าลิปดา แล้วแววตาก็ค่อยๆเปลี่ยนจากช๊อคเป็นโกรธ เธอตบหน้าลิปดาอย่างแรง
ลิปดาหน้าหัน เขาคิดในใจว่า “เฮ้ย !อะไรวะเนี่ย”
ปราณนต์เอามือมาปิดโทรศัพท์ของรุจน์ส่วนอีกมือก็ปิดของพีระ
ปราณนต์เขิน “พอแล้วครับพี่ จะถ่ายทำไม”
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน” รุจน์บอก “แต่ก็ถ่ายไปก่อน เพราะรู้ว่ามันต้องมีอะไรบางอย่างที่สำคัญมากแน่ๆ” รุจน์หลิ่วตา
แสนดีแทรกเข้ามา “นั่นสิ พี่ก็มาแบบใสๆ ไม่รู้เรื่องอะไรเลย คุณรุจน์โทร.เรียกบอกว่า น้องณนต์มีลับลมคมใน ทำท่าเหมือนนัดบอดกับใครสักคน”
พีระแทรกอีกที “ส่วนพี่กำลังจะมาซื้อกาแฟพอดี ก็โดนลากเข้ามาด้วย ตกลง..น้องณนต์กับน้องพราว..มาทำอะไรกัน”
ปราณนต์เขิน พริบพราวหน้าเจื่อนแต่ต้องฝืนยิ้มว่าเขินด้วย ปราณนต์มองหน้าพริบพราวแล้วก็ตัดสินใจบอกว่าความจริง
“ในเมื่อทุกคนมาอยู่ตรงนี้พร้อมหน้าพร้อมตากันแล้วก็ดี..ผมถือโอกาสบอกความจริงเลยแล้วกัน จะได้ไม่ต้องพยายามตามสืบอะไรกันอีก”
ทุกคนฟังอย่างลุ้นๆ
“วันนี้ผมนัดเจอคุณ “แอบรัก” ... และผู้หญิงที่มาตามนัดก็คือ ... พราว”
ทั้งสามคนพยักหน้า “อ๋อ” ทั้งสามคนสมองยังไม่ประมวลก็เลยเออออไปก่อน สักพักพอเริ่มประมวลผลทั้งสามคนอึ้ง ชะงัก และหันขวับมา “หะ พริบพราวคือแอบรัก”
ปราณนต์ยิ้มรับหน้าบาน ส่วนพริบพราวยิ้มรับหน้าเจื่อนๆ
ทั้งสามคนอึ้งเหวอ โดยเฉพาะแสนดี
แสนดีอึ้ง “น้องพราวเนี่ยนะ” แสนดีย้ำอีกที
พริบพราวยิ้มรับเจื่อนๆ
รันเดินมาพร้อมกับส่งสายตาให้หนุ่มคนหนึ่งไปด้วย แต่หล่อนก็ต้องชะงักเพราะเห็นแก็งนารากรเกาะกลุ่มกันอยู่ รันหลบแล้วแอบมองด้วยความสงสัยและอยากรู้
อวัศยาเดินหน้าเครียดก้าวฉับๆ ออกมาจากตึกในสภาพสมองมึน เบลอ และหน้าเหวี่ยง ลิปดาเดินตามมาอย่างรวดเร็ว
“ศยา ศยา เดี๋ยว หยุดก่อน” ลิปดาดึงแขนไว้ อวัศยาหน้าหงาย “คุยกันก่อน เป็นอะไร คุณตบผมทำไม”
ลิปดาจับข้อมือของอวัศยาไว้แล้วยืนนิ่งๆเหมือนไม่ได้ออกแรงอะไรเลย ส่วนศยาพยายามจะสบัด บิด ม้วนตัวเพื่อให้หลุดพ้นจากการจับกุมดูมันช่างยากเย็นซะเหลือเกิน ศยาม้วนตัวไปโวยวายไป
“บอสก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่าโดนตบเพราะอะไร เรื่องมันจบลงแบบนี้ก็เพราะบอส” อวัศยาบิดแขน พร้อมแกะมือลิปดาไปด้วย แต่ก็ไม่หลุดสักทีจึงเริ่มเหนื่อย “บอสร่วมมือกับรุ่นน้องตัวเองกีดกัน กลั่นแกล้งฉัน ฉันไม่เข้าใจทำไมบอสต้องทำแบบนี้กับฉันด้วย เสียแรงที่ฉันไว้ใจทำไมต้องหักหลังฉันด้วย”
อวัศยาตะโกนออกมาเหมือนอยากระบาย แล้วเธอก็เทพลังลงฝ่าเท้าก่อนจะยกขึ้นมาเหยียบลงไปที่เท้าของลิปดาเต็มๆ
ลิปดาร้อง “โอ้ย” ลิปดาลืมตัวจึงปล่อยมือ
อวัศยารีบสบัดแขนออกจากการเกาะกุมแล้วเดินหน้าหงิกออกไปทันที ลิปดาตะโกนเรียกไปเจ็บเท้าไป
“เดี๋ยวศยา...ศยา..มาคุยกันก่อน ศยา”
ลิปดาเริ่มเห็นว่าคนรอบๆมองด้วยความแปลกใจ ลิปดาต้องรีบหยุดตะโกนด้วยความอายแล้วจะเดินตามไปแต่ก็เจ็บเท้า ลิปดาได้แต่ยืนเจ็บและเก็บความงุนงงเอาไว้คนเดียว
รันหน้าเหวอ
“หะ พริบพราวเนี่ยนะคือ “แอบรัก” บร้า” รันเสียงสูง “ไม่จริง”
แสนดีกับรันนั่งเม้ากันอยู่ในห้องทำงานของรัน
“แสนดีก็อยากจะพูดแบบนั้น แต่น้องณนต์ยืนยันว่านัดเจอกับแอบรัก และคนที่มาคือน้องพราว..แสนดีก็ไม่รู้ว่าพูดอะไร”
รันกับแสนดีพูดขึ้นมาพร้อมกัน “แต่”
ทั้งสองคนต่างก็ชะงัก แสนดีพูดขึ้นก่อน
“เชิญคุณรัน “แต่” ก่อนเลยค่ะ”
รันพูด “แต่ ... ฉันว่ามันไม่น่าเป็นไปได้ ..มันเป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด”
“ทำไมคะ”
“ก็เพราะฉันรู้ ..” รันเกือบหลุดปากแต่แล้วก็ยั้งไว้ แสนดีรอฟัง รันเบี่ยงประเด็น “รู้ว่า..พราวไม่น่าจะเป็นคนที่แอบรักใครแล้วเก็บๆเงียบๆ มันไม่ใช่บุคลิกนาง นี่ฉันเอาเหตุผลนักวิเคราะห์มาจับเลยนะ”
แสนดีคิด “แสนดีก็เห็นด้วยนะคะ..น้องพราวเป็นคนตรงๆบุกๆ แต่ทำไมแอบชอบใครต้องเก็บไว้ไม่แสดงตัวออกมา และที่สำคัญ..ไม่บอกใคร แม้แต่แสนดีที่สนิทที่สุดในบริษัทก็ยังไม่บอก” แสนดีทำดราม่า “มันเจ็บ !! เจ็บตรงนี้ !! เจ็บที่ต้องรู้พร้อมคนอื่น !! ทำไมน้องพราวไม่บอกแสนดีสักคำว่าเป็นแอบรัก แสนดีไม่เข้าใจ”
แสนดีโอดครวญ รันฟังแล้วก็คิดพร้อมกับกัดฟันพูดกับตัวเอง
“ที่มันไม่บอกก็เพราะมันไม่ใช่น่ะสิย่ะ”
รันขมวดคิ้วหน้าเครียดเมื่อคิดถึงอวัศยา
พริบพราวยืนมองเข้ามาในห้องอวัศยาที่ว่างเปล่าด้วยแววตากังวลและร้อนใจลึกๆ เธออยากจะเคลียร์กับอวัศยาเพราะกลัวแผนแตก แต่แปลกใจที่ห้องว่างเปล่า
นิดาเดินมาพอดี พริบพราวรีบหันไปเรียก
“พี่นิดาคะ” นิดาหยุด พริบพราวถาม “พี่ศยา..ไปไหนคะ”
“คุณศยาไม่เข้าค่ะ โทร.มาขอลาเมื่อกี๊นี้เองค่ะ”
“ลา เป็นอะไรคะ”
“เอ ไม่ได้บอกนะคะ พี่ก็ไม่ได้ถามด้วย น้องพราวมีอะไรด่วนหรือเปล่าคะ”
พริบพราวคิดในใจว่ามีและด่วนมากแต่ก็ไม่ได้พูดออกมา พริบพราวแสดงออกทางแววตา
ปราณนต์ถามด้วยความแปลกใจ
“ลาครึ่งวัน ทำไม เป็นอะไรหรือเปล่า”
“ไม่มีสมาธิทำงาน..ดูสิ” พริบพราวบอก
พริบพราวปรายตาไปที่ออฟฟิศแล้วก็ปะทะกับสายตาของรุจน์ พีระ และแสนดีที่แอบมองเป็นระยะๆ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น มีแต่ลิลลี่ที่มองทุกคนด้วยความแปลกใจว่ามองอะไรกัน
ปราณนต์มองตามแล้วก็เข้าใจ
“ผมขอโทษ ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เป็นประเด็นทางสังคมแบบนี้...จากที่เราแชตกัน และ คุยกันทางอีเมล” ปราณนต์บอก พริบพราวชะงัก “ผมพอจะรู้ว่าคุณเป็นคนมีความเป็นส่วนตัวสูง ผมน่าจะทำอะไรให้ระมัดระวังมากกว่านี้”
พริบพราวฝืนยิ้ม “ไม่เป็นไร ไม่ต้องขอโทษ นาย..เอ่อ..ณนต์ไม่ได้ตั้งใจพราวรู้”
“ไม่โกรธแน่นะ” ปราณนต์ถามย้ำ
“แน่”
“ไม่งอนแล้วหายไปอีกนะ”
“ไม่หายหรอก”
“ตกลงตอนนี้เราเป็นแฟนกันแล้วใช่มั้ย” ปราณนต์กะถามเนียนๆ
“ชะ..” พริบพราวจะตอบว่าใช่ด้วยความลืมตัว แต่ก็ชะงักทัน ปราณนต์ลุ้น พริบพราวยิ่งเขิน “อย่ามาเนียน ต้องขอดูความประพฤติอีกสักพัก ถ้าสอบผ่านจะให้เลื่อนขั้น”
“โหย..มีงี้ด้วย”
“ใช่ แล้วก็เริ่มต้นจากแบบทดสอบที่ 1” พริบพราวพูด ปราณนต์ตั้งใจฟัง “ลืมอดีตให้หมด สิ่งที่เราเคยคุยกัน ไม่ว่าจะในอะไรก็ตาม เราจะไม่พูดถึงมัน และจะไม่ติดต่อกันผ่าน “แอบรัก” ต่อจากนี้ไป..จะไม่มี “แอบรัก” จะมีแต่ “พริบพราว” กับ “ปราณนต์” เท่านั้น”
“ทำไม”
“เพราะนี่คือความจริง .. ที่ผ่านมา .. ที่เรา” พริบพราวสะท้อนใจนิดๆ “คุณกับแอบรักคุยกันทางออนไลน์ มันไม่เห็นหน้า เราจะพูดจะพิมพ์อะไรก็ได้ให้ดูดีที่สุด ถ้าเรายึดติด เราคงไม่ได้เรียนรู้ตัวตนที่แท้จริง เริ่มต้นแบบนี้..ณนต์จะทำได้หรือเปล่า”
“ได้สิ..ก็ดีเหมือนกัน ผมรู้จักแอบรักมากแล้ว .. อยากรู้จักพริบพราวให้มากกว่านี้”
ปราณนต์ยิ้มอบอุ่นน่ารัก พริบพราวยิ้มรับด้วยความโล่งอกและดีใจ
ปราณนต์พูดต่อ “ส่วนเรื่องคนในออฟฟิศ เดี๋ยวผมจัดการเอง วันพรุ่งนี้ทุกอย่างน่าจะดีขึ้น”
พริบพราวมองปราณนต์ด้วยความซาบซึ้ง “ขอบคุณมาก..พราวไปก่อนนะ พรุ่งนี้เจอกัน”
พริบพราวยิ้มส่ง ปราณนต์ยิ้มรับแล้วโบกมือลา พริบพราวหันหลัง ทันทีที่พ้นสายตาปราณนต์หน้าพริบพราวก็นิ่งเครียด รอยยิ้มหายไป และมีความมุ่งมั่นที่จะทำอะไรบางอย่างเข้ามาแทน
อวัศยาซึ่งอยู่ในชุดอยู่บ้านมีหน้าตาเครียดและครุ่นคิด เธอเดินไปเดินมาที่หน้าคอมพิวเตอร์พลางคิดจะทำยังไงดี แล้วก็หันมานั่ง อวัศยาตัดสินใจเข้าไปในอีเมลแอบรักแล้วก็เตรียมส่งเมลหาปราณนต์
“ปราณนต์...ฉันขอโทษที่ไม่ได้ตอบรับเรื่องการนัดหมาย และฉันไม่สามารถไปทันเวลา ถ้าคนที่คุณอยากเจอคือแอบรัก...ฉันขอบอกว่า...เรายังไม่ได้เจอกัน” อวัศยาอารมณ์เริ่มขึ้น “และไม่ว่าคุณจะเจอใครก็ตาม คนนั้นไม่ใช่แอบรัก เค้าไม่ใช่ฉัน”
ทันใดนั้นเสียงออดก็ดังขึ้น ปิ๊งป่อง อวัศยาสะดุ้งแล้วก็กลอกตาด้วยความเซ็ง
“บอสอีกหรือเปล่าเนี่ย”
อวัศยาเดินไปเปิดด้วยความหงุดหงิด
ออดที่ประตูยังดังต่อเนื่อง อวัศยาเปิดประตูแล้วก็ชะงักกึกที่เห็นพริบพราวยืนอยู่
“เธอมาทำไม”
“เรามีเรื่องต้อง “ตกลง” กัน”
“ฉันไม่มี”
“มีสิคะ..แต่พี่ศยาไม่กล้าเผชิญหน้ากับมัน”
อวัศยาจิก “ถ้า “มัน” ในที่นี่หมายถึง “เธอ” ใช่ .. ฉันไม่อยากเจอ “มัน” ไม่อยากคุยกับ “มัน” และก็ไม่อยากตกลงอะไรกับ “มัน” ทั้งนั้น”
อวัศยาจะปิดประตูใส่ แต่พริบพราวพูดสวนขึ้น
“เมื่อไหร่พี่ศยาจะเลิกหนี เลิกหลบซ่อนตัวสักที !! เมื่อก่อนก็ซ่อนอยู่หลัง “แอบรัก” ตอนนี้ยังมาปิดประตูใส่ไม่ยอมเคลียร์กับพราว .. ขี้ขลาดแบบนี้ สมควรแล้วที่โดนทิ้ง”
อวัศยารู้สึกจี๊ด เธอหันมาเปิดประตู
“เธอจะตกลงอะไรก็ว่ามา”
พริบพราวกับอวัศยาสู้ตากันแบบไม่มีใครถอย
รันถือโทรศัพท์รอสัญญาณรับสาย รันเดินไปเดินมาด้วยความร้อนใจ
“ทำไมศยาไม่รับ”
รันร้อนใจหนักขึ้นไปอีก
อวัศยากับพริบพราวยืนคุยกันอยู่ในสวนของคอนโดมีเนียม
“ไหนๆเรื่องก็มาถึงขนาดนี้แล้ว พราวขอพูดกับพี่ศยาแบบตรงไปตรงมา ไม่อ้อมค้อม” พริบพราวเชิดหน้า “พราวรู้ว่าพี่ศยา คือ แอบรัก”
อวัศยากอดอก “เธอพูดอะไรของเธอ” อวัศยายังไม่ยอมรับ
พริบพราวหยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วกดรูปที่ถ่ายจากอีเมลของแอบรัก “พราวเห็นเมลที่ปราณนต์ส่งให้แอบรักอยู่ในแท็ปแล็ตของพี่ศยา..คราวนี้คงรู้แล้วนะคะว่าพราวกำลังพูดเรื่องอะไร”
อวัศยาสะอึก เธอมองรูปที่โชว์อยู่ในมือถือ อวัศยาขมวดคิ้วแล้วก็คิดได้
ภาพที่โรงพยาบาลตอนที่อวัศยาตามไปเอาแท็ปเล็ตคืนจากพริบพราวย้อนกลับมา
อวัศยารู้แล้วว่าตอนไหน
อวัศยาสวน “เธอรู้ แต่ยังฉวยโอกาสที่ฉันมาช้า สวมรอยเป็นแอบรักแทนฉัน”
“พราวไม่ได้สวมรอย แต่พราวคือ แอบรักในความคิดของปราณนต์”
อวัศยางง พริบพราวพูดต่อ
“ตลอดเวลาณนต์คิดว่าแอบรักคือพราว เค้าไม่เคยมีพี่ศยาอยู่ในความคิดแม้แต่น้อย ..พี่ศยาต้องขอบคุณตัวเองที่มาช้า..ณนต์เลยไม่ต้องผิดหวังที่แอบรักไม่ได้เป็นอย่างที่เค้าคิด”
พริบพราวเชิดใส่นิดๆ เพื่อปกปิดความหวาดหวั่นข้างใน
อวัศยาแค้นใจ “เธอเข้าข้างตัวเองมากเกินไปแล้ว แค่ฉันเดินไปบอกปราณนต์ว่าฉันคือ แอบรัก เธอจะต้องโดนเขี่ยทันที”
“ก็ลองดูสิคะ...พราวก็อยากรู้เหมือนกันว่าใครกันแน่ที่จะโดนเขี่ยระหว่าง “พราว” กับ “พี่ศยา ที่ต้องไปพร้อมกับแอบรัก”
อวัศยาสะอึกเพราะจุกอีกรอบ พริบพราวได้ทีก็ยิ่งรุก
“ทางที่ดีพี่ศยาควรจะอยู่เงียบๆ ปล่อยให้เรื่องนี้มันจบ แบบที่ตัวเองไม่ต้องเสียชื่อเสียงจะดีกว่า มันไม่คุ้มที่พี่จะเอาประวัติการทำงาน ความไว้วางใจ ความน่าเชื่อถือของตัวเองมาแลกกับการเปิดตัวว่าแอบชอบลูกน้องตัวเอง”
อวัศยาจุกจนเถียงไม่ออก
“เธอ..เธอ..ทำแบบนี้ทำไม”
พริบพราวพูดตรงๆ “พราว..ไม่อยากให้ปราณนต์ต้องเสียใจเพราะผู้หญิงที่ไม่จริงใจและหลอกลวงเค้ามาตลอด”
อวัศยาสวน “ถ้าฉันหลอกลวง แล้วสิ่งที่เธอกำลังทำอยู่ มันคืออะไร”
พริบพราวชะงักนิดๆ แต่ตั้งหลักเร็วจึงรีบสวนกลับ “มันจะคืออะไรก็ช่าง แต่พราวทำด้วยความปรารถนาดี และหวังดีกับปราณนต์ ไม่ได้คิดจะปั่นหัว หรือหาเศษความสุขภายใต้หน้ากากที่ปิดบังตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง”
อวัศยาจุกอีกรอบและมึนจนพูดไม่ออก พริบพราวสรุป
“สิ่งที่พราวทำในวันนี้ คือทางออก .. ถ้าพี่ศยาไม่ใช้อารมณ์อยากเอาชนะมากจนเกินไป .. ก็ควรจะเดินออกไปจากปัญหาที่พี่สร้างขึ้นมาอย่างเงียบๆ และเราทั้งสามคนก็จะปลอดภัย แต่ถ้าพี่เลือกที่จะไฟ้ว์..เตรียมตัวเจ็บหนักได้เลย”
พริบพราวพูดทิ้งท้ายแล้วก็เดินกลับออกไปเลย พริบพราวชะงักหนึ่งอึดใจเพราะแอบไม่มั่นใจกับสิ่งที่ตัวเองทำ แต่เธอก็ตัดความกังวลทิ้ง เชิดหน้าแล้วเดินต่อไป ทิ้งให้อวัศยาอึ้งอยู่ที่เดิม
อวัศยาเดินเข้ามาในห้องด้วยอาการเหม่อลอยและครุ่นคิดว่าจริงเหรอ ไม่จริงมั้ง ฉันว่าไม่ใช่
เสียงมือถือดัง หน้าจอขึ้นชื่อรัน อวัศยาไม่สนใจจะมองแต่เดินมาปิดเครื่องแล้วก็ยืนครุ่นคิดต่อ อวัศยาหัน
มาทางคอมพิวเตอร์ เธอเห็นอีเมลที่ตัวเองกำลังจะส่งหาปราณนต์ อวัศยาคิดถึงปราณนต์
รันวางสายแล้วก็บ่นด้วยความเป็นห่วง
“ปิดเครื่อง เป็นอะไรของนาง สเมล (smell) ไม่ค่อยจะดี” รันว่า
รันร้อนใจเพราะเป็นห่วงเพื่อน
พริบพราวที่ขับรถอยู่นึกถึงคำพูดที่พูดกับอวัศยาไป
เหตุการณ์ก่อนหน้านี้ย้อนกลับมา
อวัศยาพูดสวน “เธอรู้ แต่ยังฉวยโอกาสที่ฉันมาช้า สวมรอยเป็นแอบรักแทนฉัน”
“พราวไม่ได้สวมรอย แต่พราวคือ แอบรักในความคิดของปราณนต์”
อวัศยางง พริบพราวพูดต่อ
“ตลอดเวลาณนต์คิดว่าแอบรักคือพราวเค้าไม่เคยมีพี่ศยาอยู่ในความคิดแม้แต่น้อย ..พี่ศยาต้องขอบคุณตัวเองที่มาช้า..ณนต์เลยไม่ต้องผิดหวังที่แอบรักไม่ได้เป็นอย่างที่เค้าคิด”
พริบพราวชะงักนิดๆ แต่ตั้งหลักเร็วจึงสวนกลับ “มันจะคืออะไรก็ช่าง แต่พราวทำด้วยความปรารถนาดี และหวังดีกับปราณนต์ ไม่ได้คิดจะปั่นหัว หรือหาเศษความสุขภายใต้หน้ากากที่ปิดบังตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง”
หลังจากคิดถึงเหตุการณ์นั้น พริบพราวก็กำพวงมาลัยแน่นเพราะความจริงพริบพราวก็กำลังคิดว่าตัวเองผิดเช่นกัน
พริบพราวพูดกับตัวเอง “เธอทำถูกแล้วพริบพราว ปราณนต์ไม่เหมาะสมกับคนหลอกลวงอย่างพี่ศยา”
กระจกรถเห็นหน้าพริบพราวซึ่งสะท้อนความเป็นอวัศยาในตัวพริบพราว
ลิลลี่โพล่งออกมาด้วยความตกใจ รุจน์ พีระ และแสนดีหันมาฟัง
“พริบพราวเป็นแอบรัก ถ้าเค้าเป็นแล้วตอนนั้นเค้าจะร่วมมือกับพวกเราตามหาแอบรักทำไม ? และตอนแรกแอบรักเป็นคนช่วยเรื่องงาน แล้วยัยพริบพราวเนี่ยนะจะชวนปราณนต์หาลูกค้า คนเห็นแก่ตัว เอาแต่ผลงานตัวเอง ลิลลี่ไม่เชื่อ”
“แต่พี่นิดาเชื่อนะคะ”
ทุกคนหันไปทางนิดา
นิดาพูดต่อ “เพราะน้องพราวกับน้องณนต์ก็ดูสนิทสนมกันดี ส่วนเรื่องที่ช่วยหาลูกค้าก็เป็นไปได้ เพราะถึงพริบพราวจะเป็นเด็กทะเยอทะยาน แต่ก็แยกแยะ แข่งหาลูกค้ากับพี่พี แต่ก็ยังเลี้ยงข้าวนิดาบ่อยๆ พี่นิดาก็เลยไม่คิดว่าน้องเค้าจะเห็นแก่ตัวอะไร”
“อ้าวเมียจ๋า เห็นแก่กินนะเนี่ย แต่จะว่าไป..ผมก็เห็นด้วยกับเมีย .. ไม่มีเหตุผลสนับสนุน..แค่ตามเมียอย่างเดียว” พีระเดินมายืนข้างนิดา
รุจน์เดินมาสนับสนุนนิดาอีกคน “ผมก็เห็นด้วยกับพี่นิดา..น้องลิลลี่อคติเกินไป” ลิลลี่เริ่มหน้าเสีย “น้องพราวเป็นแอบรักก็ดีแล้ว สองคนนี้ก็ดูเหมาะสมกันดีออก น้องลิลลี่ต้องรับความจริง และทำใจ ตัดใจจากไอ้ณนต์ซะ” ลิลลี่หน้าเสีย
“แต่ฉันเห็นด้วยกับลิลลี่” แสนดีเดินมาสนับสนุนลิลลี่ “มันแปลกๆ ทะแม่งๆ และไม่น่าเชื่อถือ ที่ผ่านมาน้องพราวเป็นตัวตั้งตัวตีฉีกหน้ากาก แอบรัก!ที่สำคัญถึงขนาดเชื่อมั่นมากว่ายัยมิสคานทองเป็นแอบรัก แต่ไหงคดีมาพลิกแบบนี้..มันไม่ใช่อ้า”
“จะว่าใช้ กลยุทธ์ แอบซ่อนหลังศัตรู”
“ที่ที่อันตรายที่สุด คือที่ที่ปลอดภัยที่สุด” แสนดีว่า
ลิลลี่กับแสนดีพูดพร้อมกัน “มันก็ไม่ใช่อ้า”
“มันต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากล ฟันธง” แสนดีบอก
นิดา รุจน์ พีระพูดพร้อมกัน “ไม่มีหรอก คิดมาก”
“มันมีจริงๆ ยังไงก็เป็นไปไม่ได้”
ตอนนี้ชาวนารากรทั้ง 5 แบ่งออกเป็นสองฝ่าย ลิลลี่กับแสนดีฝั่งนึงที่ยืนยันว่า “เป็นไปไม่ได้ ไม่เชื่อ ไม่จริง” และ รุจน์ นิดา และพีระที่ยืนยันว่า “จริง อย่าคิดมาก อคติเกินไป” ขณะที่กำลังเถียงกันอื้ออึงอยู่นั้นปราณนต์ก็เดินพรวดพราดเข้ามา
“พี่ๆครับ !! พรุ่งนี้ผมกับพราวจะชวนพี่ๆไปฉลองที่คาราโอเกะ พี่ๆจะไปกันมั้ยครับ”
ทันใดนั้นทุกคนก็หยุดกึกแล้วหันมา ก่อนจะรวมตัวกันทันทีไม่มีสี ไม่มีฝ่าย และตะโกนออกมาพร้อมกัน “ไป”
ทั้ง 5 หันมามองหน้ากันเองประมาณว่าเถียงเรื่องเค้าแต่พอกินฟรีกลับไป
ลิปดานั่งอยู่ในร้าน เขาใช้กระจกเล็กๆส่องหน้าด้านข้างที่โดนตบแล้วก็บ่น
“ศยาเป็นอะไรของเค้าก็ไม่รู้ๆ อยู่ๆก็หันมาตบเฉยเลย ตบแรงด้วยนะ ดูดิ ยังแดงอยู่เลย เหยียบเท้าด้วย ดีนะไม่ใช่ส้นสูงไม่งั้นเท้าทะลุแน่”
แจนเดินมานั่งคุยด้วย “ลิปไปทำอะไรให้เค้าโกรธหรือเปล่า”
“นี่แหละคือปัญหา...เพราะผมไม่รู้ ! ไม่รู้ว่าไปทำอะไรให้เค้าโกรธ”
ลิปดางง แจนช่วยคิด
“อืม..หรือว่า..คุณศยาจะรู้ว่าลิปรู้เรื่องที่เค้าเป็นแอบรัก เลยโกรธ”
“ถึงกับตบหน้า แล้วกระทืบซ้ำเนี่ยนะ ไม่มั้ง และผมก็ไม่ได้แสดงอะไรออกมาให้เค้ารู้ว่าผมรู้”
“เฮ่อ..แจนว่านะ เรื่องระหว่าง...ลิป คุณศยา ปราณนต์ แล้วก็ยังจะมี “คุณแอบรัก” เข้ามาอีก..มันจะซับซ้อน ซ่อนเงื่อน มากเกินไปแล้ว..แจนแนะนำว่า ถ้าลิปไม่ อยากเพิ่มเงื่อนไขให้มากไปกว่านี้ ลิปควรจะพูดความจริงทุกอย่างกับคุณศยา”
ลิปดาชะงักว่าจะดีเหรอ
“อย่างน้อย ลิปก็ไม่ต้องมานั่งแบกความลับของคนอื่นแบบนี้ .. บอกให้คุณศยารู้ไปเลยว่าลิปรู้อะไรบ้าง ที่สำคัญ...บอกความรู้สึกตัวเองให้เค้ารู้ด้วย เรื่องนี้สำคัญที่สุด”
ลิปดาสะอึกแล้วหลบตาแบบไม่กล้าแม้แต่จะคิด ลิปดาไม่พูดต่อ แจนเห็นสภาพแล้วก็ส่ายหน้า
อ่านต่อหน้าที่ 4
แอบรักออนไลน์ ตอนที่ 9 (ต่อ)
ปราณนต์เดินเข้ามาในบ้าน
“กลับมาแล้วค้าบ”
ปราณนต์เดินเข้ามาในห้อง เขาได้ยินเสียงหัวเราะกันอยู่ในครัว ปราณนต์เดินมาดูด้วยความสงสัย
“หัวเราะอะไรกันครับ .. ดังไปถึงหน้าบ้านเลย” ปราณนต์ชะงักเมื่อเห็นผู้มาเยือน “พี่ศยา”
อวัศยานั่งอยู่ในครัว เปรี้ยว ปุ้ม และแม่นั่งคุยด้วยเพื่อต้อนรับ กระเช้าเยี่ยมไข้วางอยู่บนโต๊ะ อวัศยาหันมายิ้มกับปราณนต์โดยพยายามทำให้เป็นปกติ ทั้งที่ในใจสุดจะร้อนรน
อวัศยากับปราณนต์เดินออกมาหน้าบ้าน
“ขอบคุณพี่ศยามากนะครับที่แวะมาเยี่ยมแม่ แถมยังเอากระเช้ามาให้อันเบ้อเร่อเลย แม่ปลื้มมากเลยครับ”
“พอดี ผ่านมาทำธุระแถวนี้ แล้วก็นึกได้ ว่ายังไม่ได้มาเยี่ยมเลยตั้งแต่เข้าโรงพยาบาลตอนนั้น เอ่อ..แล้ววันนี้ที่ออฟฟิศเป็นยังไงบ้าง พอดี..กลับจากสัมนาเหนื่อยๆ เลยไม่ได้เข้า”
“ก็ปกติครับ ไม่มีอะไรมาก .. จะมีก็แต่..เรื่องส่วนตัวของผมเอง”
อวัศยาใจเต้นโครมครามที่ปราณนต์เข้าเรื่องแล้ว
อวัศยาพยายามทำปกติ “เรื่องอะไรเหรอ มีอะไร”
ปราณนต์ยิ้มมีความสุข “พี่ศยาจำคุณแอบรักได้ใช่มั้ยครับ วันนี้..ผมได้เจอเค้าแล้วนะครับ”
อวัศยาทำเป็นตื่นเต้นแบบเฟคมาก “ Wow ! น่าตื่นเต้นจัง แล้ว...เค้าเป็นใคร เป็นยังไง เป็นเหมือนที่เธอ คิดไว้หรือเปล่า”
อวัศยาลุ้นคำตอบ ปราณนต์ตอบตรงๆ
“ไม่เลยครับ” ปราณนต์บอก อวัศยาใจเต้น “ไม่ใช่แค่เหมือนธรรมดา แต่เหมือนเป๊ะๆ คนเดียวกับที่ผมสังหรณ์ใจไว้ตั้งแต่แรก..และคนนั้นก็คือ พริบพราว”
อวัศยาหน้าเสียเพราะรู้สึกตัวเลยว่าใจเธอเหี่ยวจนเหลือแค่นิดเดียว
“ตลอดเวลาที่คุยกับแอบรัก...เธอคิดว่าเค้าคือ..พริบพราวจริงๆเหรอ”
“ใช่ครับ” ปราณนต์คิดถึงพริบพราวแล้วก็พูดออกมา “ความรู้สึกตอนที่ผมคุยกับแอบรัก เหมือนกับตอนที่ผมคุยกับพราว .. มันสนุก สบายใจ อบอุ่นใจ ทุกอย่างที่มี..มันคือความรู้สึกเดียวกัน”
อวัศยามองปราณนต์ที่พูดเพ้อถึงพริบพราวและแอบรักแล้วก็ใจหายวาบคล้ายล่องลอยในบัดดล
“ผมดีใจมากๆเลยครับที่รู้ว่าแอบรักคือ พริบพราว .. เพราะถ้าไม่ใช่ ผมต้องมีเรื่องลำบากใจแน่ๆ”
“ลำบากใจอะไร .. ทะ..ทำไมเหรอ” อวัศยาถาม ปราณนต์เขิน “หรือว่า...เธอชอบพริบพราว และ ชอบแอบรักในเวลาเดียวกัน”
ปราณนต์สะอึก “โห..ตรงจัง” ปราณนต์เรียกความกล้า “ก็..ทำนองนั้นครับ” อวัศยาตัวชา “แต่..โชคดีมากที่สองคนนี้คือคนๆเดียวกัน ผมก็เลยไม่ต้องลำบากใจ”
ปราณนต์ยิ้มอย่างมีความสุขมากๆ อวัศยาเจ็บจี๊ดแต่แล้วก็พูดออกมาแบบไม่รู้ตัว
“ดีใจด้วย ... ดีใจด้วยจริงๆ ดีใจ .. ที่เธอได้เจอคนที่เธอตามหา และอยากเจอ .. ดีใจด้วยนะ”
อวัศยาพูดจบแล้วก็หันหลังเดินออกไปเลย ปราณนต์งง
“พี่ศยา..กลับเลยเหรอครับ..สวัสดีครับ”
อวัศยาไม่สนใจแต่ก็หันไปรับไหว้ อวัศยาเดินตัวลอย ไร้สติออกมาจากบ้านของปราณนต์
รถของอวัศยาจอดติดแหง่กอยู่ถนนกรุงเทพที่แสนจะวุ่นวาย อวัศยานั่งอยู่ในรถด้วยสติที่เลื่อนลอย เหมือนคนอกหัก เธออยากจะร้องไห้แต่ก็ไม่มีน้ำตา คำพูดของปราณนต์และพริบพราวสอดคล้องกันเข้ามาเพื่อทำร้ายจิตใจของเธอ
เสียงพริบพราวดังในหัว “ตลอดเวลาณนต์คิดว่าแอบรักคือพราว เค้าไม่เคยมีพี่ศยาอยู่ในความคิดแม้แต่น้อย ..พี่ศยาต้องขอบคุณตัวเองที่มาช้า..ณนต์เลยไม่ต้องผิดหวังที่แอบรักไม่ได้เป็นอย่างที่เค้าคิด”
เสียงปราณนต์แทรกเข้ามา
“คนเดียวกับที่ผมสังหรณ์ใจไว้ตั้งแต่แรก..และคนนั้นก็คือ พริบพราว”
“ตลอดเวลาที่คุยกับแอบรัก...เธอคิดว่าเค้าคือ..พริบพราวจริงๆเหรอ”
“ใช่ครับ ความรู้สึกตอนที่ผมคุยกับแอบรัก เหมือนกับตอนที่ผมคุยกับพราว .. มันสนุก สบายใจ อบอุ่นใจ ทุกอย่างที่มี..มันคือความรู้สึกเดียวกัน”
อวัศยาเศร้า เสียงปราณนต์ต่อเนื่อง
“ผมดีใจมากๆเลยครับที่รู้ว่าแอบรักคือ พริบพราว .. เพราะถ้าไม่ใช่ ผมต้องมีเรื่องลำบากใจแน่ๆ”
“เธอชอบพริบพราว และ ชอบแอบรักในเวลาเดียวกัน” อวัศยาถาม
“ทำนองนั้นครับ แต่..โชคดีมากที่สองคนนี้คือคนๆเดียวกัน ผมก็เลยไม่ต้องลำบากใจ”
เสียงพริบพราวกลับมาตอกย้ำ
“ก็ลองดูสิคะ...พราวก็อยากรู้เหมือนกันว่าใครกันแน่ที่จะโดนเขี่ยระหว่าง “พราว” กับ “พี่ศยา ที่ต้องไปพร้อมกับแอบรัก”
อวัศยาเศร้าและจุกเหมือนอยากจะร้องไห้แต่ก็ถูกกดทับอยู่ข้างใน
รถข้างหน้าเคลื่อนไปแล้ว แต่รถของอวัศยายังจอดนิ่ง คันหลังบีบแตรไล่ อวัศยาสะดุ้งแล้วก็รีบเคลื่อนรถไปทันที
รันยืนกดออดอยู่ที่หน้าห้องแต่ก็ไม่มีใครออกมา รันกดอีกหลายครั้งแต่ก็เงียบ รันยิ่งร้อนใจหนักขึ้นไปอีก รันเคาะประตู
“ศยา ศยา !! ศยา” รันเสียงดังเพราะเริ่มอารมณ์ขึ้นเนื่องจากเป็นห่วง “ศยา”
รปภ. ตอบซื่อๆ
“คุณอวัศยาออกไปข้างนอก สักพักนึงแล้วครับ”
“อ้าว ตอนฉันแลกบัตรขึ้นไปเมื่อกี๊ก็ไม่บอก ไปยืนเคาะตั้งนาน รมณ์เสีย” รันเหวี่ยง
รันแลกบัตรคืนอย่างอารมณ์เสีย พอรับบัตรแล้วก็หันมากดโทรศัพท์มือถือโทร.ออก
รันรอจนมีคนรับแล้วก็ปรับเสียงแมนทันที “บอสครับ ศยาอยู่กับบอสหรือเปล่าครับ”
ลิปดาที่กำลังเดินออกมาจากร้านแจนโดยตรงไปที่รถมอเตอร์ไซด์ที่จอดอยู่คุยมือถือกับรัน
“เปล่าครับ ..แยกกันตั้งแต่เมื่อเช้า คุณนิดาบอกว่าศยาขอลา มีอะไรหรือเปล่า”
รันรายงานด้วยความเป็นห่วง
“ตั้งแต่กลับจากสัมนา ผมติดต่อศยาไม่ได้เลย โทรไปก็ไม่รับ บางทีก็ปิดเครื่อง เมื่อกี๊ไปเชคที่ห้องก็ไม่อยู่ ไม่รู้ไปไหน ถ้าไม่เป็นการรบกวน ตอนบอสกลับมาคอนโดฝากบอสช่วยดูๆศยาหน่อยนะครับ”
ลิปดาเป็นห่วง
“ได้ครับเดี๋ยวผมจะรีบกลับเดี๋ยวนี้ ถ้าคุณรันติดต่อศยาได้ บอกผมด้วยนะครับ”
รันรับคำ เสียงเข้ม และแมนมาก
“ครับ” รันวางสายแล้วก็บ่นเสียงเหวี่ยง “เฮ่อ..หล่อนคงไม่หนีไปฆ่าตัวตายใช่มั้ยศยา”
รันบ่นด้วยความเป็นห่วง
ลิปดาวางสายแล้วก็ครุ่นคิด คิดแล้วก็ยิ่งสงสัยและเป็นห่วง
แสงเทียนวูบไหวไปมาอยู่ในห้องที่ปิดไฟนีออนจนเงียบเหงา อวัศยาอยู่ในชุดลำลอง มัดผมหลวมๆ เดินจุดเทียนที่วางรายล้อมไว้รอบห้อง เพลงอกหักดังคลอในบรรยากาศเศร้าโคตรๆ
อวัศยาจุดเทียนเสร็จแล้วก็เดินไปหยิบแก้วไวน์มาดื่ม แต่ไม่สะใจจึงหันไปคว้าขวดไวน์มากรอกปากอั่กๆๆ
อวัศยาปาดปาก “เอาให้มันหลับ จะได้ไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้น .. ไม่ต้องคิด”
อวัศยายกดื่มอีกจนหน้าแดงก่ำ อวัศยานั่งตั้งสติสักครู่ แอลกอฮอล์เริ่มออกฤทธิ์ หัวใจสูบฉีดอย่าง
แรง เลือดวิ่งพล่าน อวัศยาวางขวดไวน์แล้วก็ลุกขึ้นจะเดินไปทำเท่ที่ระเบียงแต่พอลุกได้ก็เซแถ่ดๆ ไปชนโต๊ะเล็กๆที่มีเทียนวางอยู่ เทียนล้มแล้วหล่นลงจากโต๊ะ ไฟจากเทียนเจอผ้าที่วางอยู่และติดไฟอย่างรวดเร็ว อวัศยามึนงง
ลิปดาเดินออกมาจากลิฟท์แล้วเดินตรงไปที่ห้องอวัศยาทันที
ในห้องศยามีควันลอยคลุ้ง อวัศยาเซๆ แต่ก็พยายามจะเดินไปที่ครัว
“น้ำ...น้ำมาดับไฟ...ไปเอาน้ำ”
อวัศยาพยายามประคองสติให้เดินไป แต่ด้วยความเมาและกลุ่มควัน ทำให้อวัศยาขาเปลี้ยจนล้มลงที่พื้น ควันในห้องลอยไปที่เครื่องดักควันจนเกิดเสียงสัญญาณดังสนั่น
ลิปดาเดินมาถึงหน้าห้องอวัศยาก็สะดุ้งนิดๆ กับเสียงสัญญาณไฟไหม้ แล้วเขาก็หันมาที่ห้องอวัศยาที่ประตูมีควันลอยออกมา ลิปดางง..
“ควัน....” แล้วลิปดาก็คิดได้ “เฮ้ย ศยา”
ลิปดารีบพุ่งเข้าไปเคาะเรียกอวัศยา เขาทั้งเคาะ ทั้งกระแทกประตูสุดแรง
“ศยาเปิดประตู ศยาได้ยินหรือเปล่า ศยา”
คนห้องอื่นเริ่มวิ่งหอบของหนีกันกระเจิดกระเจิง
อวัศยาพยายามยันตัวเองขึ้นแต่ควันเยอะและสติเหลือน้อย
“บอสสส แค้กๆๆ” อวัศยาสำลักควัน
ลิปดาตะโกนเรียกอย่างร้อนรนพร้อมทุบประตู แต่ก็ไม่มีเสียงตอบ
“เปิดประตูเดี๋ยวนี้! อวัศยา! ได้ยินฉันหรือเปล่า”
ลิปดามองควันที่เริ่มลอดออกมาใต้บานประตูนั้นอย่างตื่นตระหนกแล้วกระหน่ำทุบบานประตูจนสั่นคลอน รปภ. รีบวิ่งมาพร้อมกับอุปกรณ์พังประตู
“ถ้าไม่เปิดฉันจะพังเข้าไปนะ” ลิปดาว่า
อวัศยาพยายามคลานมาที่ประตูอย่างหมดแรง
“ช่วย...ด้วย..แค้กๆๆๆ ช่วย ฉันด้วย.... บอส...ช่วยด้วย”
อวัศยาคลานมาจนเกือบจะถึงประตูแล้วก็ฟุบลง
ลิปดาและรปภ. ช่วยกันแงะประตูและกระแทกเต็มแรง
อวัศยานอนฟุบอยู่ที่พื้น ประตูถูกเปิดผัวะเข้ามา ลิปดาพุ่งเข้ามาในห้องที่มีควันฟุ้งกระจาย ลิปดาถอดแจ็คเก็ตตัวเองออกมาปิดจมูก
“ศยา”
อวัศยานอนสลบอยู่ที่พื้น ลิปดาหันไปเห็นก็รีบพุ่งเข้าไปหาทันที
ลิปดารีบเข้ามาประคองอวัศยาด้วยความเป็นห่วง อวัศยาค่อยรู้สึกตัวจากการเข้ามาของลิปดา อวัศยาปรือตาเห็นลิปดาท่ามกลางควันดูลางๆ ไม่ชัดเจน
ลิปดาพูดเสียงก้องๆ เบลอๆตามสติของอวัศยา “ผมจะพาคุณออกไปเองศยา ลืมตาไว้นะ ลืมตาไว้”
ลิปดาช้อนร่างของอวัศยาขึ้นมาในจังหวะอุ้มที่ใกล้เคียงกับตอนที่อวัศยาเจอปราณนต์ครั้งแรก
ภาพตอนที่ปราณนต์มาช่วยท่ามกลางสายฝนย้อนกลับมาในหัวของอวัศยา
อวัศยาพาลคิดถึงปราณนต์ เธอมองเห็นเป็นปราณนต์ที่เป็นคนกำลังอุ้มเธอออกมาจากควันไฟ
อวัศยาเบลอ
“ณนต์....ปราณนต์”
ลิปดาหันมาพูดเสียงเข้ม
“ผมลิปดา....ไม่ใช่ปราณนต์”
อวัศยาชะงัก
ภาพที่อวัศยาเห็นคือหน้าปราณนต์ที่เบลอๆ ฟุ้งๆ เพราะควันค่อยๆกลายเป็นหน้าลิปดาที่กระจ่างใสและกำลังอุ้มเธอออกมาจากห้อง
อวัศยาอึ้งไป “บอส!!”
ลิปดาอุ้มศยาออกมาจากห้องโดยผ่านผู้คนที่วิ่งกันวุ่นวายและรปภ. ที่เอาถังดับเพลิงเข้าไปฉีดในห้อง ลิปดาเดินอุ้มศยาออกมาอย่างหนักแน่น มั่นคง ไม่หวั่นไหวดูเป็นความสงบท่ามกลางความวุ่นวายอย่างแท้จริง
ลูกบ้านจำนวนหนึ่งนั่งกันอยู่ที่ล็อบบี้คอนโดฯ สักพักผู้จัดการคอนโดฯ ก็เดินมาประกาศ
“ตอนนี้เพลิงสงบแล้วค่ะ ปลอดภัย ขอเชิญทุกท่านกลับที่พักได้ค่ะ ขอบคุณค่ะ”
ลูกบ้านลุกขึ้นหอบกระเป๋า สัมภาระแล้วเดินเปลี้ยๆ กลับเข้าที่พ้ก
อวัศยานั่งตัวลีบหน้าจ๋อยไม่ยอมสบตาใครอยู่ที่มุมหนึ่งของล็อบบี้ ลิปดาคุยกับตำรวจอยู่ทางด้านหลัง ลิปดาคุยเสร็จแล้วก็เดินมาหาอวัศยา
“ผมบอกเจ้าหน้าที่ว่าคุณมีโรคประจำตัว..วูบบ่อย แล้ววันนี้ก็วูบไปโดนเทียนอโรม่าที่จุดไว้หล่นลงพื้น ไฟไหม้พรม ลามไปถึงผ้าม่าน ผมมีคนรู้จักออกใบรับรองแพทย์ให้ได้ว่าคุณมีอาการนี้จริงๆ จะได้เอาไปเคลมประกันอัคคีภัย”
“ขอบคุณมากค่ะ บอส.. ถ้าบอสมาช่วยไม่ทัน ฉันต้องถูกย่างสด ตายคาคอนโด ดีไม่ดี ถ้าทำห้องอื่นเค้าไหม้ไปด้วย ต้องจ่ายค่าเสียหายหมดตัวแน่ๆ” อวัศยาถอนหายใจ “เฮ่อ..”
ลิปดาเอียงตัวมาใกล้ๆ แล้วทำจมูกฟุดฟิดๆ อวัศยาระแวงจึงเบี่ยงตัวหนีเพราะไม่รู้ว่าบอสทำอะไร
“กลิ่นแอลกอฮอล์...คุณเมา” ลิปดาว่า
อวัศยาตาโตเสียงสูง
“เปล๊า !!! กลิ่น...สารเคมีจากการเผาไหม้ในห้องฉันหรือเปล่า”
ลิปดาเอียงตัวเข้าไปอีก “สารเคมง เคมีอะไร แอลกอฮอล์ชัดๆ ถ้าไม่ยอมรับ ผมจะจับไปเข้าเครื่องเป่าแอลกอฮอล์ตรวจให้รู้กันไปเลย ความผิดจะได้เพิ่มอีกกระทง โทษฐาน เมาแล้วไหม้”
อวัศยาชะงักแล้วหันขวับ “เมาแล้วไหม้อะไรของบอส เค้ามีแต่เมาแล้วขับ”
“นั่นแหละ .. คล้ายๆกัน .. อย่าออกนอกเรื่อง บอกว่า..กลุ้มอะไร ทำไมต้องดื่มด้วย”
อวัศยาหน้าจ๋อย ๆ แต่ยังไม่ยอมพูด เธอเฉไฉ
“ยังจะมาถามอีก บอสก็น่าจะรู้ดีอยู่แล้ว” ลิปดางง อวัศยาตัดบท “นี่ก็ดึกแล้ว บอสไปนอนเหอะ ดิฉันจะนั่งตั้งสติตรงนี้สักพักแล้วค่อยกลับห้อง”
“กลับห้อง? ตลกแหละ คุณคิดว่าตอนนี้ห้องคุณยังใช้ซุกหัวนอนได้อยู่อีกเหรอไง” ลิปดาว่า
อวัศยาสะอึก
ลิปดาจะลากแขนไป “มานี่เลย ไปนอนที่ห้องผม”
อวัศยารั้งตัวกลับ “เฮ้ยย ไม่เอา! ฉันไม่นอนห้องบอส”
“แล้วจะไปนอนที่ไหน ล็อบบี้หรือไง”
“ไม่ ฉันจะไปนอนคอนโดรัน”
อวัศยาคิดถึงรัน ลิปดาส่ายหน้า
รันคุยโทรศัพท์แบบโกหกสุดฤทธิ์
“นอนไม่ได้.. คือ .. ตอนนี้ห้องฉันมัน..น้ำรั่ว ห้องน้ำเสีย ฉันต้องไปใช้ห้องน้ำ ส่วนกลาง แกมานอนไม่ได้หรอก มันลำบากมาก”
อวัศยาใช้โทรศัพท์ลิปดาคุยกับรันอยู่มุมหนึ่งของล็อบบี้ ขณะที่ลิปดานั่งรออยู่ข้างหลัง
“เออๆ ไม่เป็นไร ฉันไปนอนโรงแรมก็ได้”
รันรีบบอก
“แกจะไปนอนโรงแรมทำไม วุ่นวาย ต้องขนข้าวของไปอีก แล้วแกเป็นคนไม่ชอบให้ใครมาย้ายของที่แกใช้ประจำ แกไปอยู่โรงแรมกว่าห้องจะซ่อมเสร็จ แม่บ้านต้องมาทำความสะอาดทุกวัน เลื่อนของแกทุกวัน แกหงุดหงิดตายแน่”
อวัศยาชะงักเพราะเห็นด้วย
“ก็จริง...เฮ่อ...ทำไงดี”
รันรีบสนับสนุน
“แกนอนที่ห้องบอสนั่นแหละดีแล้ว สะดวกจะตาย เพราะเดี๋ยวแกก็ต้องซ่อมห้องตัวเอง อยู่ใกล้ๆจะได้ดูแลง่ายๆ”
รันพูดไปลุ้นไปว่าเพื่อนจะเชื่อมั้ย ?
รันนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้
เหตุการณ์ก่อนหน้านี้ รันคุยโทรศัพท์ด้วยความตกใจ
“ห้องศยาไฟไหม้”
ลิปดาคุยโทรศัพท์กับรันพลางมองอวัศยาไปด้วยเพื่อไม่ให้อวัศยาสงสัย ลิปดาเตี๊ยมกับรันสุดฤทธิ์
“ใช่ แต่ตอนนี้ปลอดภัยแล้ว ไม่มีใครเป็นอะไร ที่ผมโทร.มาเพราะมีเรื่องจะขอความร่วมมือ”
รันตั้งใจฟัง
“ถ้าศยาโทร.มาขอไปอยู่กับคุณ .. ปฎิเสธไปเลย และบอกให้เค้ามาพักที่ห้องผม”
รันฟังแล้วก็พยักหน้ารับ
เหตุการณ์ปัจจุบัน รันยืนยันหนักแน่น
“แกเชื่อฉัน...ไปพักที่ห้องบอสสะดวกที่สุด อย่างน้อยก็อยู่คืนนี้ไปก่อน ถ้ามันอึดอัดอยู่ไม่ได้จริงๆ ค่อยย้ายออก”
อวัศยาลังเลว่าจะเอาไงดี เธอมองหน้าลิปดาแล้วก็คิดไปด้วย ลิปดายักไหล่รอคำตอบ อวัศยาจนปัญญาเพราะทั้งเบลอๆ ทั้งมึนๆ ก็เลยจำใจยอม แววตาของอวัศยาอ่อนลง
“ก็ได้ .. ฉันนอนที่ห้องบอสไปก่อนก็ได้”
ลิปดาได้ยินก็ยิ้มแฉ่งๆ พออวัศยาหันมา ลิปดาก็รีบเก๊กนิ่งทำท่าเฉยๆ
อวัศยาตัดบท “รัน..แค่นี้ก่อนนะ รายละเอียดเดี๋ยวค่อยคุยกัน ไนท์จ้ะ”
อวัศยาวางสายแล้วหันมามองหน้าลิปดาโดยยังมีแววความไม่พึงพอใจและเข้าใจผิดอยู่อย่างชัดเจน
“ถ้าฉันไม่จนตรอก อย่าคิดเลยว่าฉันจะยอมไปอยู่ด้วย”
อวัศยาเปรยลอยๆ แล้วก็เบือนหน้าใส่ก่อนจะเดินนำไป ลิปดาส่ายหน้าเพราะไม่รู้ว่าเป็นอะไรของเค้า
รันยืนอยู่ที่เดิมแล้วก็ครุ่นคิด
“ทำไมบอสถึงอยากให้ศยาไปพักด้วย จนถึงกับต้องโทร.มาล็อบบี้เราแบบนี้” รันคิด “บอสแคร์เว่อร์ไปนะ .. คิดอะไรหรือเปล่าเนี่ย”
รันเริ่มจะได้กลิ่นของความผิดปกติบางอย่าง
อวัศยายืนอยู่กลางห้องลิปดา เธอมองไปรอบๆอย่างระมัดระวัง ลิปดาเดินมาโยนชุดนอนของเขาและผ้าขนหนูหนึ่งผืนให้ อวัศยารับเกือบไม่ทัน
“ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าซะ…ชุดนี้เป็นชุดใหม่ ผมยังไม่เคยใส่ สบายใจได้ เดี๋ยวผมจะทำซุปไว้ให้ กินอะไรร้อนๆจะได้หายเมา” ลิปดามองหน้าแล้วถามย้ำ “ตกลงจะบอกได้หรือยัง ว่ากลุ้มใจเรื่องอะไร”
อวัศยามองหน้าแล้วถามย้อน “บอสไม่รู้จริงๆเหรอ”
ลิปดาย้อน “ถ้ารู้แล้วผมจะถามทำไม”
อวัศยาหลิ่วตาว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อดีแล้วเธอก็ตัดบท
“ถาม เพราะต้องการสร้างภาพว่าไม่รู้ไง .. พอกันที ฉันจะไม่หลงเชื่อบอสอีกแล้ว” อวัศยาหอบผ้าเดินเข้าห้องน้ำไปเลย
ลิปดางงจึงเกาหัวแกรกๆ
“อะไรของเค้าวะ”
ลิปดาคิดๆ แล้วก็หันไปหยิบโทรศัพท์มือถือมากดโทรออกทันที
อวัศยาเดินเข้ามาในห้องน้ำแล้วก็ส่องกระจกดูหน้าตัวเองถึงได้เห็นรอยเขม่ามอมแมม และหัวฟูยุ่งเหยิง เธอมองสภาพตัวเองแล้วก็ถอนหายใจ อวัศยามองสภาพตัวเองแล้วก็ยิ่งเศร้า
ลิปดาคุยโทรศัพท์กับนิดาด้วยความแปลกใจ
“พริบพราวเนี่ยนะ....คือแอบรัก”
นิดาคุยโทรศัพท์บนเตียง พีระที่นอนอยู่ข้างๆ กรนสนั่น นิดาต้องคอยเอาหมอนปิดเสียงกรน
“ใช่ค่ะ เพิ่งจะเปิดตัวกันไปเมื่อเช้านี้เองค่ะ อู้ยยย ตื่นเต้นกันทั้งบริษัทเลยค่ะ”
ลิปดาอึ้งๆ งงๆ
“แล้ว..แน่ใจได้ยังไงว่า พราวเป็นแอบรักจริงๆ” ลิปดาถาม
นิดาอธิบายไป ปิดปากพีระไปด้วย
“ก็น้องณนต์เค้านัดเจอ และน้องพราวก็มาตรงเวลานัดเป๊ะ อ้อๆ แล้วก็เอาดอกไม้ที่ใช้เป็นสัญลักษณ์ในการนัดเจอมาด้วยค่ะ น้องณนต์ก็เลยมั่นใจว่าใช่แน่ๆ” นิดาเอะใจ “บอสอยากรู้เรื่องนี้ไปทำไมเหรอคะ เอ่อ..มีอะไรหรือเปล่าคะ”
ลิปดารีบเฉไฉ
“ก็..ผมกำลังดูเรื่องการทำงานของปราณนต์กับพริบพราว เห็นทำยอดได้ดีเลยอยากรู้เรื่องส่วนตัวเอาไว้ เผื่อจะได้คอยระวังไม่ให้มันส่งผลต่อการทำงาน นอกจากเรื่องนี้แล้ว...มีเรื่องอะไรเกี่ยวกับปราณนต์ที่ผมควรรู้อีกมั้ย”
นิดาคิดแล้วก็ตอบ
“ไม่มีแล้วค่ะ สำหรับวันนี้ก็มีแต่เรื่องนี้หล่ะค่ะที่เป็นไฮไลท์สุดๆ”
ลิปดาพยักหน้ารับรู้
“โอเค...ขอบคุณมาก”
ลิปดาวางสายไปทันที ลิปดาคิดทบทวน
เหตุการณ์ตอนที่อวัศยาเร่งให้เขารีบตอนเช้าย้อนกลับมา
“ศยารอด้วย”
“เร็วๆสิบอส ฉันรีบ”
เหตุการณ์ตอนที่ลิปดาขี่รถเข้าเมือง
“เร็วกว่านี้ได้มั้ยบอส” อวัศยาถาม
ตอนที่อวัศญาเร่งเขา
“บอสไม่มีทางอื่นแล้วเหรอ ทางนี้มันติด จะเก้าโมงแล้ว เดี๋ยวฉันไม่ทัน”
“คุณนัดกับใครไว้ เก้าโมง มันสำคัญขนาดนั้นเลยเหรอ”
“เอ่อ...เอาน่า..ถ้าบอสไม่อยากรีบ ฉันแยกไปเองก็ได้นะ” อวัศยาจะลง
ลิปดาคิดและเริ่มปะติดปะต่อ
“ที่รีบเพราะแบบนี้นี่เอง .... แต่ ...”
เหตุการณ์ตอนที่อวัศยายืนอึ้งแล้วหันมาตบ
เหตุการณ์ตอนที่เขายืนคุยกับอวัศยาหน้าตึก
“บอสก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่าโดนตบเพราะอะไร เรื่องมันจบลงแบบนี้ก็เพราะบอส บอสร่วม มือกับรุ่นน้องตัวเองกีดกัน กลั่นแกล้งฉัน !! ฉันไม่เข้าใจทำไมบอส ต้องทำแบบนี้กับฉันด้วย เสียแรงที่ฉันไว้ใจ ซื่อสัตย์ ทำไมต้องหักหลังฉันด้วย ทำไม”
ลิปดางง
“เข้าใจว่าเสียใจเรื่องปราณนต์ แต่ไม่เข้าใจ..ทำไมเราต้องโดนตบ และ โดนด่าด้วยวะ”
ลิปดาสุดแสนจะงง
ทันใดนั้นก็มีเสียงเปิดประตูห้องน้ำออกมา
ลิปดารีบทำตัวปกติแล้วก็ตะโกนบอก
“ผมทำซุปเสร็จแล้วนะ คุณจะทานเลยหรือเปล่า”
อวัศยาไม่ตอบแต่มีเสียงปิดประตูอีกห้องดังขึ้น
ลิปดาแปลกใจ “ศยา”
ไม่มีเสียงตอบ ลิปดาวางมือจากซุปแล้วเดินไปทางต้นเสียง
ลิปดาเดินมาก็เห็นว่าห้องน้ำว่างเปล่า
“หายไปไหนของเค้า”
ลิปดาเดินออกมาจากห้องน้ำผ่านห้องนอนตัวเองที่ปิดสนิท แล้วเขาก็ชะงัก ลิปดาเดินกลับมาที่ประตูแล้วหมุนจะเปิด แต่พบว่าประตูล็อค ลิปดาขยับลูกบิดแล้วตะโกน
“ศยา ศยา !! เปิดออกมาคุยกันก่อน ศยา”
ลิปดาขยับประตู
อวัศยาที่กำลังจะล้มตัวลงนอนปรายตามาทางประตู
เสียงลิปดาดังมาจากข้างนอก “ศยา !! ออกมาคุยกันก่อน”
“ฉันจะนอน !! ไม่มีอะไรต้องคุย” อวัศยาตะโกนตอบ
“แล้วคุณไม่หิวเหรอ ผมทำซุปไว้ให้นะ ร้อนๆ น่ากินมากๆ”
ท้องอวัศยาร้อง แต่เธอวางฟอร์มใส่ “ฉันไม่หิว ไม่อยากคุย ไม่อยากทำอะไรทั้งนั้น จะนอน”
อวัศยาล้มตัวลงนอนทันที
ลิปดาที่อยู่หน้าห้องถอนหายใจแล้วก็คิดว่าจะทำยังไงดี
อวัศยาที่นอนอยู่บนเตียงเห็นลิปดาเงียบไปก็เอะใจจึงลุกขึ้นมาดูว่าทำไมบอสไม่ตื๊อ ทันใดนั้นก็มีกระดาษสอดเข้ามาทางใต้ประตู
อวัศยาเงี่ยหูฟังแล้วก็แปลกใจ เธอค่อยๆลุกขึ้นมองไปที่ประตูก็เห็นกระดาษขนาด A4 สอดเข้ามาประมาณ 2 ใน 3 อวัศยาคิดๆ แล้วก็ลุกเดินไปที่กระดาษ เธอคิดสักพักแล้วก็ดึงกระดาษมาอ่าน
ลิปดานั่งอยู่หน้าประตู เขามีกระดาษอยู่หนึ่งปึกและปากกา พอเห็นว่ากระดาษแผ่นแรกที่สอดเข้าไปถูกดึงไปอ่าน ลิปดาก็หันขวับมายิ้มแล้วรีบเขียนต่อ
อวัศยาอ่านกระดาษแผ่นแรก
“ผมไม่รู้ว่าคุณโกรธเรื่องอะไร แต่ผมอยากขอโทษ และอยากบอกว่าไม่ตั้งใจ เพราะถ้าผมตั้งใจ ผมจะรู้ว่ามันคือเรื่องอะไร”
เหตุการณ์ในอดีตย้อนกลับมาในหัวของอวัศยา
ตอนที่อวัศยารู้ตัวว่าส่งเมลผิด และบอกว่ารันว่าส่งเมลไปให้ลิปดา
ตอนที่ลิปดาพูดทีเล่นทีจริงเหมือนจะรู้เรื่องแอบรัก
ตอนที่ลิปดาคุยโทรศัพท์กับพริบพราวตอนขี่มอเตอร์ไซด์เข้ากรุงเทพและบอกว่าตอนนี้อยู่ที่ไหนแล้ว
อวัศยาเบ้หน้า
อวัศยาเปรยเบาๆ “ไม่เชื่อหรอกว่าไม่รู้”
กระดาษแผ่นที่สองถูกสอดเข้ามา อวัศยาเหลือบไปดู คิด แล้วก็หยิบมาอ่าน
“ผมรู้ว่าคุณไม่เชื่อ”
อวัศยาชะงัก “รู้อีก”
“แต่ผมพูดความจริง .. วันนี้คุณเจอเรื่องแย่ๆมามาก .. นอนหลับให้สบาย .. หมดโควต้าสำหรับความเสียใจในวันนี้แล้ว ที่เหลือให้เป็นเรื่องของวันพรุ่งนี้”
อวัศยาขมวดคิ้วและชะงักนิดๆ เหมือนสัมผัสได้ถึงความรู้สึกดีๆที่ส่งผ่านมา
ลิปดาเขียนอีกแผ่นแล้วก็สอดเข้าไป ข้างๆลิปดามีกีตาร์ตัวหนึ่งวางอยู่
อวัศยาดึงกระดาษมาอ่านอีก
“ถ้าผมมีส่วนทำให้คุณเสียใจในวันนี้ ผมขอใช้เพลงนี้...แทนคำขอโทษ” อวัศยางง “เพลงอะไร”
ทันใดนั้นเสียงเกากีตาร์สุดไพเราะก็ดังมาจากนอกห้อง อวัศยาชะงักแล้วเงี่ยหูฟัง
ลิปดานั่งเล่นกีตาร์ร้องเพลง “เพียงชายคนนี้ไม่ใช่ผู้วิเศษ” อยู่หน้าห้อง
อวัศยาอึ้ง เสียงลิปดาและเสียงกีตาร์ดังคลอๆมาจากนอกห้อง อวัศยาถอนหายใจเบาๆ ด้วยความผ่อนคลาย และถอนความสับสนมึนงงในหนึ่งวันที่ยาวนานนี้ออกมา อวัศยาค่อยๆ ขยับมานั่งพิงประตูแล้วเอาหูแนบฟังเสียงของลิปดา อวัศยารู้สึกถึงความสงบอย่างประหลาดที่แทรกผ่านประตูเข้ามา อวัศยากับลิปดานั่งอยู่คนละด้านของประตูแต่ก็เหมือนนั่งพิงกันและกันโดยไม่รู้ตัว
อ่านต่อตอนที่ 10