xs
xsm
sm
md
lg

เงาใจ ตอนที่ 8

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


เงาใจตอนที่ 8

เมทินีหันมาตามเสียงโดยไม่ทันมอง เท้าของเธอเหยียบโดนหางงูจนทำให้มันตกใจ และฉกกัดขาเมทินีทันควัน

“โอ๊ย”
เมทินีล้มลง รุทรตกใจรีบเข้ามาจัดการกับงู เกือบโดนงูฉก เมทินีกุมแผลมองอย่างหวาดเสียว สุดท้ายรุทร ใช้ไม้ตีงูจนตายแล้วจับตัวงูแยกไว้ แล้วรีบวิ่งมาหาเมทินี
ทางด้านเมทินีก็เอามือบีบแผลให้เลือดออก
“คุณยืดขาตรงไว้นะ”
รุทรบอกพลางรีบเอาปากดูดเลือดที่แผลแล้วบ้วนทิ้ง เมทินีมองอึ้ง แต่ซึ้งใจ ไม่คิดว่าหนุ่มปากมอมจะกล้าหาญ ลงทุนช่วยเธอขนาดนี้ รุทรฉีกชายเสื้อตัวเองเอามาพันเหนือแผลของเมทินี
เมทินีมองการกระทำของรุทรแล้วแอบอมยิ้ม
“ทำใจดีๆ ไว้นะคุณ คุณจะต้องไม่เป็นอะไร”
เมทินีพยักหน้าแต่ตามองสบกับรุทรที่คิดว่าเป็นวาทิต
“เจ็บมากไหม” รุทรถามเสียงนุ่ม
เมทินีพยักหน้าตอบรับว่าเจ็บ และมองตารุทรอย่างซึ้งใจ “ขอบคุณนะ”
ทั้งคู่มองสบตากันนิ่งสักครู่หนึ่ง จนรุทรได้สติ รีบหยิบมือถือออกมากดโทร.หาอนุวัตร
“ไอ้วัตร แกช่วยโทร.เรียกหมอมาที่ไร่หน่อย เมทินีถูกงูกัด ด่วนเลยนะ”
รุทรมองหน้าเมทินี แปลกใจที่เห็นเธอหน้าเหวออยู่ “เป็นอะไรเหรอ”
“เอ่อ...เธอโทร.หาใคร แล้วเธอไม่แพ้ดอกไม้เหรอ
รุทรมองไปรอบๆ ก็พบว่าตัวเองอยู่กลางแปลงดอกไม้พอดี รุทรรีบทำหายใจฟืดฟาด
“แพ้สิ แต่ผมพอทนได้ ขอช่วยคุณก่อนดีกว่า”
เมทินีมองรุทรด้วยแววตาเต็มไปด้วยความรู้สึกซาบซึ้งใจ รู้สึกดี
รุทรมองเมทินีด้วยความห่วงใยจริงๆ

รุทรอุ้มร่างเมทินีวางลงบนโซฟาเดย์เบดในห้องนั่งเล่น ให้หมอที่อนุวัตรตามให้ และกินรีดูแผล
สักครู่ใหญ่ กินรีทำแผลให้เมทินีจนเสร็จ หมอตรวจบาดแผลที่โดนงูกัดสอบถามเมทินีเพื่อประเมินอาการ
ถัดออกมา ตรงห้องโถงเห็นรุทร เอื้องคำ จั่นเป็ง และหนาน ยืนมองอยู่ พอรักษาเสร็จหมอก็หันมองไปนอกห้องแล้วพยักหน้ายิ้มให้กับรุทร และอีกสามคนที่รอฟัง

รุทรออกมาส่งหมอที่รถ ยืนคุยกันอยู่ มีจั่นเป็งกับหนาน ยืนอยู่ด้วย
“อาการของคุณเมทินีไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วครับ หมอให้ยาแก้ปวดเอาไว้แล้ว โชคดีมากเลยนะครับที่คุณวาทิตรู้วิธีการปฐมพยาบาลและยังรอบคอบจับตัวงูมาด้วย ทำให้เรารู้ว่าเป็นงูที่ไม่มีพิษครับ ถ้าไม่มีอะไรแล้วหมอขอตัวก่อนนะครับ”
“ขอบคุณครับ”

หมอเดินออกไปขึ้นรถ มีหนานคอยดูแล รุทรหันมายิ้มกับจั่นเป็ง

เมทินีมองจากในบ้าน เห็นรุทรกับหมอไหว้ลากัน หนานกับจั่นเป็งคอยส่งหมอขึ้นรถ

กินรีเอ่ยขึ้น “เสร็จแล้ว”
เมทินีสะดุ้งหันมายิ้ม แต่กินรีไม่สนใจเก็บกล่องทำแผล
“ขอบใจมากนะนรี”
“ฉันเป็นพยาบาล ยังไงก็ต้องช่วยคน แม้จะเป็นคนที่ฉันไม่ชอบ”
เมทินีไม่ถือสาค้าความ “ยังไงฉันก็ขอบใจเธออยู่ดี”
กินรีลุกขึ้น “แล้วนี่จะต้องให้ฉันรีบไปบอกคุณกูรมาดูใจเธอไหม”
เมทินีรู้สึกขัดหูกับน้ำเสียงเสียดสีนั้น “มันไม่เกี่ยวอะไรกับพี่กูรนี่”
กินรีเบ้ปากใส่ แล้วลุกขึ้นเดินถือกล่องยาออกไป เอื้องคำที่ยืนดูอยู่ก็มองเมทินีอย่างไม่ชอบหน้า
“คนในไร่เดินกันให้ควักงูเงี้ยวเขี้ยวขอก็ไม่เคยกัด นี่งูคงรู้ว่าใครดีไม่ดีเลยกัดถูกคน”
เมทินีชักรำคาญเลยย้อนเอา “ถ้าวันนึงป้าโดนงูกัด เมต้องคิดแบบเดียวกับป้าไหมคะ”
เอื้องคำโกรธที่โดนย้อนเจ็บ พูดไม่ออก รุทรเดินเข้ามาพอดี เมทินียิ้มให้
“ขอบคุณนะวาทิตที่ช่วยชีวิตฉัน”
“ไม่เป็นไร แล้วเมล่ะปวดแผลไหม”
เมทินีส่ายหน้า “ว่าแต่เธอเถอะแผลหลุดหลุ่ยเลย ฉันทำแผลให้เอาไหม”
เอื้องคำหมั่นไส้เลยแทรกขึ้น “ให้คุณนรีทำดีกว่าค่ะ ปลอดภัยกว่าเยอะ”
“ไม่เป็นไร ฉันอยากให้เมทำให้มากกว่า ป้าช่วยไปเอาอุปกรณ์ทำแผลมาให้เมเขาหน่อยแล้วกัน”
เอื้องคำรู้สึกขัดใจ แต่ก็จำใจรับคำสั่งแล้วเดินออกไป เมทินีมองรุทรด้วยความรู้สึกขัดใจ
“นี่ฉันโดนงูกัดแล้วยังจะต้องมาทำแผลให้เธออีกเหรอ”
“ทำไมล่ะ งูกัดที่ขา ไม่ได้กัดที่มือนี่ ดูผมสิเจ็บขนาดนี้ยังช่วยเมได้เลย”
“จ้ะ พ่อซุปเปอร์แมน เก่งไปหมด”
เมทินีประชดแถมค้อนให้อีกหนึ่งวง แล้วนึกอะไรบางอย่างออกก็หันกลับมาจ้องรุทร จนอีกฝ่ายสงสัย
“มีอะไรเหรอ”
“เอ่อ เปล่า...คือฉันแค่คิดว่าควรจะทำอะไรเพื่อเป็นการขอบคุณที่เธอช่วยฉันวันนี้ดี”
เมทินียิ้มหวานให้เนียนๆ เพราะคิดแผนบางอย่างได้

กินรีวางถ้วยยาหลังอาหารมื้อเย็นเตรียมให้วาทิต พอเสร็จก็มานั่งประจำที่ เอื้องคำยืนหน้าบึ้ง ดูจั่นเป็งจัดอาหารประเภทพิซซ่า สลัด และอาหารฝรั่งต่างๆ จากร้าน The Duke ที่วาทิตเคยพาเมทินีไปทาน
รุทรกับเมทินีเดินเข้าห้องมาด้วยกัน พอรุทรเห็นอาหารก็รู้สึกเลี่ยนทันที
“ป้าทำอาหารฝรั่งอีกแล้วเหรอ”
เอื้องคำหงุดหงิด “อุ๊ย จะไปทำอะไรได้ล่ะคะ มีคำสั่งด่วนบอกป้าไม่ต้องทำอาหาร เขาอยากจะจัดการของเขาเอง”
รุทรฉงน “คำสั่งด่วน ใครสั่งอ่ะป้า”
เมทินีเอ่ยขึ้น “ฉันเอง เมนูพวกนี้ของเธอนะวาทิต”
“โห ฉันจะกินไหวเหรอ ดูแล้วมีแต่พวกชีสทั้งนั้น” รุทรในคราบวาทิตหลุดปาก
กินรีเองก็ชักเริ่มมองรุทรด้วยสีหน้างุนงง สงสัยว่าวาทิตทำไมไม่ชอบของโปรดเหล่านี้ รุทรรู้ตัวรีบกลบเกลื่อนกลัวโดนจับได้
“คือวันนี้ฉันรู้สึกอึดอัดไม่ค่อยอยากกินอะไรหนักๆ”
“ดูดีๆ สิ เธอแน่ใจเหรอว่าจะไม่ชอบ” เมทินีว่า
เอื้องคำเอ่ยขัดขึ้น “คุณวาทิตบอกไม่อยากกินก็ยังจะไปยัดเยียดอีก ป้าก็ว่าไม่เห็นจะน่ากินเลยค่ะ
แอบใส่ยาพิษหรือเปล่าก็ไม่รู้”
เมทินียิ้มสยบ “ไม่เป็นไร งั้นวาทิตอยากกินอะไรก็คงต้องรบกวนป้าแล้วล่ะค่ะ”
รุทรดีใจ “ขออาหารเมืองเลยป้า”
“อุ๊ย จัดเต็มค่ะ รอแป๊บ” เอื้องคำหันไปสั่งจั่นเป็ง “ไปจั่นเป็ง ไปช่วยข้าในครัว”
เอื้องคำกับจั่นเป็งรีบเดินออกไป เมทินีกับรุทรลงนั่ง รุทรพยามรักษาอาการกลัวเมทินีจะรู้
“วาทิต คนชื่อวัตรนี่ใคร เพื่อนพวกเราเหรอ”
รุทรชะงักไปนิด “เอ่อ...ไม่ใช่...คือเป็นเพื่อนที่มหา’ลัยน่ะ”
“ดูเธอสนิทกับเค้ามากนะ”
“ใช่สิ สนิทกัน แต่เมไม่รู้จักหรอก เค้าเรียนคณะผมน่ะ”
“ไม่เคยเห็นเธอพูดถึงเลย แล้วถ้าสนิทกันเค้าก็น่าจะมางานแต่งงานเราไม่ใช่เหรอ” เมทินีไล่เบี้ย
“เอ่อ...อ๋อ..ตอนนั้นมันไปกรุงเทพฯ แต่มันโทร.มาอวยพรผม เอางี้ ไว้มีโอกาสผมจะเรียกมาที่นี่ให้เมรู้จักนะ”

เมทินีพยักหน้ารับรู้ รุทรนั่งนิ่ง ไม่อยากคุยอะไรต่อความอีก

สองคนเดินเข้ามาในครัว เอื้องคำรีบไปเปิดตู้เย็นหยิบหมูหยิบผักประดามีมาดูว่าจะทำอะไรดี จั่นเป็งยืนนิ่งคิด เอื้องคำดุ

“นี่ เอ็งยืนเฉยๆ แล้วอาหารจะเสร็จไหม เร็วๆเข้าช่วยกัน คุณวาทิตรออยู่”
“ป้า...คุณวาทิตเดี๋ยวนี้แกไม่แตะอาหารฝรั่งเลยเนอะ” จั่นเป็งครุ่นคิดอยู่อย่างนั้น
“คงเบื่อมั้ง”
“เหรอ ฉันว่าเหมือนกับคนไม่เคยกินเลยอ่ะ ดูคุณวาทิตขัดๆ เขินๆ เวลากิน แถมกินได้น้อย แต่ถ้าเป็นอาหารเมืองนะป้าเห็นไหม อู๊ย...ปั้นข้าวเหนียวซะแน่นเลย เผ็ดก็กินได้ด้วยนะ” จั่นเป็นว่า
“นังจั่นเป็ง เอ็งนี่มันเหลือคำข้าจริงๆ เลย บอกให้ทำงาน”
เอื้องคำโมโหด่า “เหลือคำ” ภาษาคนเหนือ ซึ่งหมายถึงพูดไม่ยอมฟัง จั่นเป็งรีบกุลีกุจอมาช่วยจัดผักจัดเนื้อสัตว์เตรียมให้ เอื้องคำตั้งเตาเตรียมเครื่องปรุง แต่ไม่วายแอบมองดุจั่นเป็ง

ฝ่ายอังกูรเพิ่งรู้ข่าว เดินหน้าตื่นเข้ามาในบ้าน รุทร เมทินี และกินรีเดินออกมาจากห้องอาหาร กำลังจะขึ้นห้องบนชั้นสอง อังกูรพอเห็นเมทินีก็ตรงเข้าไปหาด้วยความเป็นห่วง
“พี่เพิ่งรู้ว่าเมโดนงูกัด เป็นไงบ้าง”
อังกูรมองเห็นแผลที่ขาเมทินีซึ่งพันผ้าไว้ ก็รีบทรุดตัวลงนั่งดูแผลให้ จนเมทินีอึดอัดลำบากใจ
“เมไม่เป็นอะไรแล้วค่ะ พอดีวาทิตช่วยไว้ทัน”
กินรีเห็นภาพบาดใจแล้วโมโหหึง จนต้องเดินหนีไป
“พี่ขอโทษนะที่ไม่ได้ดูแลเมเลย”
รุทรดูอยู่ตลอด ออกอาการหมั่นไส้ “ขอโทษทำไมครับ นี่มันหน้าที่ผม”
อังกูรลุกขึ้น มองหน้ารุทรอย่างพยามข่มใจเต็มที่
“เอ่อ...คือพี่เห็นว่าเรื่องมันเกิดในไร่น่ะ พี่ก็ควรดูแล”
รุทรในคราบวาทิตยิ้มให้ “ก็ใช่ครับ แต่พี่กูรดูแลทุกคนก็เยอะมากพอแล้ว สำหรับเมให้ผมดูแลคนเดียวก็พอมั้งครับ เกรงใจพี่กูร”
พูดจบรุทรก็เข้ากอดเมทินี ท่าทีสวีทหวาน
“และอีกอย่างคนเป็นภรรยาน่ะ ใครดูแลก็ไม่อุ่นใจเท่าสามีของเค้าดูหรอกครับ ใช่ไหมจ๊ะเมของผม”
เมทินีมองหน้าเขางงๆ โดยไม่ทันมีใครคาดคิด รุทรก้มลงมาหอมแก้มเมทินีเต็มฟอด อังกูรแทบอยากเดินเข้าไปชก
เมทินีตกใจมาก “วาทิต”
“ชื่นใจใช่ไหม” รุทรยิ้มร่า จงใจหอมโชว์อังกูรอีกฟอด “ไปเราขึ้นไปข้างบนเถอะ วันนี้เหนื่อยมามากแล้ว“ เขาหันมาทางอังกูร “ขอตัวนะครับพี่กูร เราสองคนอยากได้เวลาส่วนตัวแล้ว”
รุทรหวานวอร์ ช้อนอุ้มเมทินีขึ้นโดยที่เมทินีไม่ทันตั้งตัว
“วาทิต ฉันเดินได้”
“เดินได้ก็ไม่ให้เดิน ผมต้องดูแลเมียของผมให้ดีที่สุดสิเมียจะได้รักผมมากๆ”
รุทรพูดเสียงดัง ขณะอุ้มเมทินีเดินขึ้นบันไดไป

ทิ้งอังกูรให้มองตามด้วยความแค้นใจอยู่ที่ตีนบันได

รุทรอุ้มเมทินีเดินเข้าห้องมาในห้องนอน มองสบตาเมทินีหวานฉ่ำ จนเธอเขินไม่กล้าสบตาด้วย
“วาทิต ปล่อยฉันลงได้แล้ว ฉันเดินได้จริง”
รุทรยังอุ้มต่อจนมาถึงเตียง ก็โยนเมทินีลงที่เตียงอย่างไม่ทันตั้งตัว
“ว้าย...นี่วาทิต ฉันเจ็บนะ”
“แค่นี้เจ็บเหรอเม ไม่น่านะ ขนาดพิษงูมันยังทำอะไรเมไม่ได้เลยนี่ เอ...หรือจะเป็นเพราะพิษเมมันร้ายกว่าพิษงู”
“เธอเป็นบ้าอะไรขึ้นมาอีก”
หวานอยู่ดีๆ รุทรก็กลับมาเป็นคนเก่า แต่เมทินีไม่อยากจะโต้เถียงเลยจะลุกเดินหนี แต่รุทรรีบผลักตัวลงนอนกับเตียงแล้วกดเมทินีไว้พร้อมกับจ้องหน้า
“กับสามีนี่หวงตัวจังนะ แต่กับคนอื่นนี้เริงร่ากันเหลือเกิน ช่วยทำตัวกับผมให้เหมือนพี่กูรหน่อยดีไหม”
รุทรจะเข้าหอมเมทินีไม่รู้จะทำไงเลยฟันศอกเข้าโหนกแก้มรุทรเต็มๆ
“โอ๊ย” รุทรปล่อย เมทินีจ้องหน้ารุทรด้วยความเสียใจ
“ถ้าเธอแข็งแรงขึ้นแล้วจิตใจแย่ลงแบบนี้ ฉันขอวาทิตคนเดิมดีกว่า”

เมทินีเดินหนีเข้าห้องน้ำไปด้วยความโมโห รุทรมองตามตาขุ่นเขียว

อ่านต่อหน้า 2

เงาใจตอนที่ 8 (ต่อ)

ฝ่ายกินรีมานั่งเศร้าเจ็บใจอยู่บริเวณสวนสวยหลังบ้าน อังกูรเดินมาเห็นสีหน้าท่าทางก็รู้ทันทีว่าคงน้อยใจ แต่ไม่สน เขาปราดเข้ามาถามซักเรื่องวาทิตทันที

“คนงานลือกันว่าไอ้วาทิตมันสู้กับงูเหรอ ทำไมมันไม่หัวใจวายตาย”
“ประโยชน์ของนรีก็แค่แหล่งข่าวของคุณกูรใช่ไหมคะ” กินรีเหลียวมามองจ้องหน้าเขานิ่ง
อังกูรโมโหบีบแขนอย่างแรง “ฉันถามก็ตอบสิ”
“นรีก็ไม่ทราบนะคะ แต่นอกจากจะสู้กับงูแล้ว คุณวาทิตยังรู้เรื่องการปฐมพยาบาลด้วย เรียกว่าเก็บคะแนนความซาบซึ้งใจจากเมได้เยอะเลยล่ะค่ะ”
พอได้ฟังกินรีชื่นชมรุทร อังกูรก็ยิ่งไม่พอใจผลักกินรีออก
“มันเป็นไปได้ไง ไอ้วาทิตมันขี้ขลาดมาตลอดชีวิต ทำไมเดี๋ยวนี้มันถึงกล้าขึ้นมา”
“ถึงขนาดเสี่ยงชีวิตช่วยแบบนี้ ถ้านรีเป็นเม คงใจอ่อน ไม่ใช่สิ น่าจะใจอ่อนไปแล้ว เพราะเมื่อกี้เมเค้าก็สั่งอาหารจานโปรดจากร้านโปรดของคุณวาทิตที่เค้ารู้กันแค่สองคน มาเลี้ยงขอบคุณคุณวาทิตด้วยนะคะ”
“พอแล้ว ฉันไม่อยากฟัง”
อังกูรตวาด หันกลับจะเดินหนีไป โดยมีกินรีพูดเย้ยไล่หลังไป
“ถึงคุณวาทิตจะดูแปลกๆ ไปเยอะ แต่รวมๆ ถ้านรีเป็นเม ผู้ชายคนนี้ผ่านค่ะ”
อังกูรรีบเดินจ้ำไปเลย กินรีมองตามยิ้มพอใจที่ทำให้อังกูรเริ่มกลัววาทิต

เมทินีโกรธไม่หาย นอนหันหลังให้รุทรแต่นอนไม่หลับ เธอขมวดคิ้วคิดไปเรื่อยเปื่อย สุดท้ายว้าวุ่นจนทนไม่ไหว หันไปดูทางฝั่งรุทรเห็นเขานอนหลับ เลยหยิบโทรศัพท์ย่องออกไปที่ระเบียง กดโทร.หาทิปปี้
“ทิปปี้ แกนอนยัง ฉันมีอยากเรื่องอยากคุย...ฉันไปหาแกดีกว่า”
เมทินีกดปิดโทรศัพท์แล้วเดินย่องกลับเข้ามาในห้อง เดินมาดูรุทรใกล้ๆ เห็นว่ายังหลับอยู่ เธอเลยหยิบเสื้อคลุมเดินออกไป แต่ช่วงจะออกจากห้อง รุทรขยับตัวเมทินีชะงักยืนตัวแข็ง จนเห็นว่ารุทรแค่พลิกตัวนอนตะแคง เธอจึงย่องออกไปเงียบๆ

เมทินีอยู่ที่ห้องพักทิปปี้แล้ว โดยผู้เป็นเจ้าของห้องมีสีหน้าเหนื่อยใจกับการคิดมากของเพื่อน
“ผัวเมียก็ต้องทะเลาะกันบ้างเป็นธรรมดา”
“แต่วาทิตเขาเปลี่ยนไปมากนะแก หยาบคายอย่างกับเป็นคนละคนที่เรียนมากับพวกเราเลย”
“ก็เราคุยกันแล้วไงว่าเค้าความจำเสื่อม มันก็ต้องไม่เหมือนเดิมสิ”
“อย่างเรื่องไปชกต่อยกับโจรทำไมวาทิตไม่ช็อก” เมทินีตั้งข้อสังเกตอีก
“โดนตีจนน่วมขนาดนั้น อาจจะสลบก่อนจะช็อกก็ได้”
“แกรู้ไหมว่าวาทิตรู้เรื่องยาฆ่าวัชพืช” นี่ก็อีกประเด็น
แต่ทิปปี้ไม่ติดใจ “วาทิตโตมากับที่นี่นะก็ต้องผ่านหูผ่านตามั่งล่ะ”
“งั้นเรื่องล่าสุด ตีงูไม่ตกใจไม่กลัว สถานการณ์แบบนี้หัวใจไม่วายเหรอ ฉันยังตกใจกลัวเกือบตาย แถมยังรู้จักชนิดของงู รู้วิธีปฐมพยาบาลแล้วก็คุมสติได้อย่างดีด้วยนะแปลกไหม”
ทิปปี้บอกว่า “ไม่แปลก พวกผู้ชายโรงเรียนเราเรียนลูกเสือ แกกับฉันก็เรียนเนตรนารี คนที่แปลกน่ะแก...ทำไมลืม”
เมทินีค้อนทิปปี้ด้วยความเคือง แต่ยังไม่ยอมแพ้
“งั้นอันนี้เลย ตอนที่วาทิตช่วยฉันจากงูกัด วาทิตเรียกฉันว่าคุณแทบทุกคำ วาทิตอยู่กับฉันกลางแปลงดอกไม้ตั้งนานโดยไม่หอบ”
“ฮึ...ก็คนมันตกใจไง” ทิปปี้พูดแล้วถึงชะงัก “เออ...จริงว่ะ ตกใจไม่ช็อก สู้งู เรียกแกว่าคุณ”
“แล้ววาทิตก็มีเพื่อนสนิทที่ฉันไม่เคยได้ชื่อว่าวัตรอะไรนี่แหละที่เป็นคนโทร.หาหมอมาที่ไร่ แกรู้จักไหม”
ทิปปี้ส่ายหน้าไม่รู้ “ชื่อวัตรเหรอ” สาวผิวหมึกพยายามนึก “มันคุ้นนะ เคยได้ยินที่ไหน อ๋อ...ชื่อคล้ายๆ ลูกชายป้าเจ้าไร่ที่ไม่ขายดอกไม้ให้เราอ่ะจำได้ไหม ที่มีรุทรกับวัตรอะไรนี่ล่ะ แต่คงไม่ใช่ แล้วถ้าวาทิตเคยมีเพื่อนชื่อวัตรเราสองคนก็ต้องรู้บ้างสิ”
“สรุปคือไม่น่ามีเพื่อนชื่อนี้” ทิปปี้พยักหน้ารับเห็นด้วย “งั้นที่ฉันพูดมาทั้งหมด แกพอจะรู้สึกไหมว่าวาทิตแปลกอย่างที่ฉันคิด”
ทิปปี้ชักลังเล “แต่แหม... ฉันว่า...มันก็ยังไม่ชัดนะ”
“ชัดหรือไม่ชัด แกกับฉันจะต้องช่วยกันพิสูจน์”

ทิปปี้เหวอ ชี้ที่ตัวเองเป็นเชิงถามว่าฉันด้วยเหรอยะ? เมทินีพยักหน้าอย่างจริงจัง

เมทินีเดินเข้าบ้านมาในห้องโถงบันได ทันใดนั้นไฟก็สว่างพรึบ จนเมทินีตกใจ ก่อนจะเห็นรุทรเดินตรงเข้ามาหาอย่างเอาเรื่อง

“โดนงูกัดไปเมื่อกลางวันนี่สงสัยจะติดใจ ถึงต้องออกไปเดินล่ออีกรอบตอนกลางดึก”
เมทินีเสียงแข็ง “ฉันก็แค่นอนไม่หลับ เลยไปหาทิปปี้”
รุทรจ้องหน้า “ทิปปี้แน่เหรอ”
“จะไปหาทิปปี้ด้วยกันไหมล่ะ” เมทินีท้า
“ถ้างั้นก็แล้วไป แต่นับจากนี้ผมขอสั่งห้ามเมออกไปไหนตอนกลางคืนอีก”
“ฉันไม่ใช่นักโทษ เธอจะมาสั่งฉันแบบนี้ไม่ได้”
“ทำไมจะไม่ได้ ก็ในเมื่อเมียผมชอบทำตัวไม่น่าไว้ใจ แค่สั่งห้ามแค่นี้ยังน้อยไป ถ้าทำได้ผมจับเมมัดไว้กับเสาบ้านแล้ว”
“ได้...ถ้าเธออยากสั่งก็สั่งไปแล้วกัน แต่ฉันคงไม่ทำตาม...จบปะ”
พูดจบเมทินีก็เดินเชิดขึ้นบันไดไป รุทรโมโหเดินตาม
“ไม่ได้ เมต้องทำ”
เมทินีไม่สนเดินขึ้นบันไดมาจนถึงหน้าห้องนอน รุทรเดินจี้ตามมา
“เม...รับปากผมสิ”
เมทินีพอเข้าห้องมาได้ก็รีบปิดประตูใส่หน้ารุทรโดนเต็มๆ
“โอ๊ย...อีกแล้วนะ อูย...” รุทยกมือกุมจมูก จะเปิดประตูห้องแต่เปิดไม่ได้ล็อกจากข้างใน
เลยเคาะเรียก “เม...เม...เปิด...เม...ยัยบ้าเอ๊ย”
รุทรทั้งเจ็บใจ และเจ็บหน้า ยืนกุมจมูกฮึดฮัดอยู่โดยไม่รู้จะทำไง

ไร่ส้มในบรรยากาศตอนเช้า สวยงามสดใส ดังเช่นทุกวัน แดดอ่อนๆ สาดส่องผลส้มคล้ายสีทอง
รถตู้ของพ่อเลี้ยงวิทย์แล่นเข้ามาที่หน้าเรือนใหญ่ มีหนานมายืนคอยรับอยู่ พอรถจอดหนานก็ไปเปิดประตูให้พ่อเลี้ยง ก่อนจะไปเอากระเป๋าเดินทางที่ประตูหลังอย่างรู้งาน
“ที่จริงพ่อเลี้ยงน่าให้ผมขับรถนะครับ ไปตั้งนานแบบนี้แถมยังขับรถไกลๆ ผมเป็นห่วงพ่อเลี้ยงครับ”
“ไม่เป็นไร แล้วที่นี่ทุกอย่างเรียบร้อยไหม”
“เอ่อ...มันก็ไม่เชิงครับ”
พ่อเลี้ยงงง “อะไรของแกวะไอ้หนาน มีอะไรเกิดขึ้น”
หนานเริ่มเกรงกลัวไม่กล้ารายงาน
“พ่อเลี้ยงไปดูคุณวาทิตเองแล้วกันครับ”
พ่อเลี้ยงมีสีหน้าแปลกใจ

พ่อเลี้ยงวิทย์ตามรุทรให้มาพบในห้องทำงาน เวลานี้ยืนมองสภาพรุทรที่ยังดูบอบช้ำจากโดนตี ด้วยสีหน้าตกใจ
“อะไรนะ รุทรมั่นใจแน่เหรอว่าเป็นคนงานในไร่”
“ครับ ผมได้ยินมันพูดว่ารู้จักวาทิตดี ถ้าทำให้วาทิตตกใจ จะทำทำให้ช็อกได้”
“แล้วรุทรเห็นหน้ามันไหม”
“ไม่เห็นครับ มันเอาผ้าปิดหน้าเอาไว้ ส่วนอีกคนเห็นหน้าไม่ชัด”
“หรือจะเป็นคนที่ทำร้ายวาทิตครั้งก่อน ยังไงรุทรก็ต้องระวังตัวด้วยนะ”
“ครับ ต่อไปนี้ผมจะระวังตัว ผมขอคุณลุงอย่างเดียว อย่าบอกให้แม่กับริน และไอ้วัตรรู้นะครับ ผมไม่อยากให้พวกเขาเป็นห่วง”
พ่อเลี้ยงวิทย์เครียด “ลุงขอโทษนะที่พารุทรมาลำบาก”
“ไม่หรอกครับ แต่นอกจากเรื่องนี้ผมยังมีอีกเรื่องครับ”

พ่อเลี้ยงคนดังมองหน้ารุทร สงสัยว่ามีอะไรอีก

ในเวลาต่อมาสองคนอยู่หน้าโรงเก็บปุ๋ยและยาต่างๆ ที่ใช้ในไร่ส้ม พ่อเลี้ยงวิทย์เอากุญแจเปิดประตูโรงเก็บปุ๋ยแล้วเดินนำเข้าไปกับรุทร

พ่อเลี้ยงวิทย์กวาดสานตามองดูจนทั่ว เพื่อหาข้อผิดสังเกต รุทรมองไปที่มุมหนึ่ง พบว่ามีกองขวดพวกน้ำยากำจัดวัชพืช วางเกลื่อนอยู่ เขารีบเดินไปดู พ่อเลี้ยงตามไป
วิทย์พอเห็นขวดน้ำยาก็หยิบมาดูแล้วมองทั้งกองที่เยอะมาก
“เป็นไปได้ยังไง จุดขายส้มของเราคือปลอดสารพิษ แล้วทำไมพวกน้ำยาพวกนี้มันถึงมากมายขนาดนี้” พ่อเลี้ยงคิดปราดเดียวแล้วนึกขึ้นได้ “นี่แสดงว่ากูรต้องรู้เรื่องนี้”
“คุณกูรบอกผมเองว่าทำแบบนี้มันง่าย” รุทรว่า
“กูรเค้าก็รู้นี่ว่าหลักการทำงานของลุงคืออะไร แย่จริงๆ” ชายชราถอนใจ “ลุงเองก็ผิดที่หลังๆ ขยายงานไปมากจนไม่มีเวลาลงไปดูแลในรายละเอียด”
“ผมว่า รู้ตอนนี้ก็ยังดีกว่าปล่อยไปเรื่อยๆ นะครับ”
“ใช่ รู้ปัญหาก็ต้องแก้ปัญหา รุทร ลุงอยากให้รุทรช่วยลุงดูแลไร่จะได้ไหม”
“จะดีเหรอครับ แค่ที่ผมท้วงคุณกูรไปเมื่อวาน ผมก็กลัวว่าแกจะผิดสังเกตนะครับ”
“แต่จะให้ลุงปล่อยให้กูรทำงานแบบมักง่ายต่อไปก็ไม่ได้”
“นี่มันเท่ากับ วาทิตประกาศสงครามกับคุณกูรเลยนะครับ”
“มันจำเป็น เพราะเมื่อวาทิตกลับมา เค้าจะต้องคุมกูรให้ได้ รุทรช่วยน้องนะ”
รุทรพยักหน้ารับ พ่อเลี้ยงหยิบโทรศัพท์มากดโทร.ออก
“ทิปปี้ เดี๋ยวช่วยเรียกทุกคนรวมทั้งคนงานทั้งไร่ไปประชุมด่วนตอนนี้เลยนะ”

เมทินีกำลังตัดแต่งดอกไม้อยู่ตรงสวนสวยข้างบ้านถึงกับต้องชะงัก เมื่อทิปปี้มารับตัวให้ไปร่วมประชุมด้วย
“ฉันด้วยเหรอ”
“ใช่ พ่อเลี้ยงบอกให้ฉันมารับแกไง”
เมทินีงง “แล้วฉันจะไปเกี่ยวอะไรกับงานในไร่อ่ะ”
ทิปปี้ยักไหล่ “ไม่รู้สิ แต่ก็ดีไม่ใช่เหรอ แกจะได้ตามติดวาทิตอย่างที่ต้องการไง”
“ก็ได้ งั้นเดี๋ยวเรากลับไปแวะรับวาทิตที่บ้านก่อนนะ”
“ไม่ต้องหรอกวาทิตอยู่กับพ่อเลี้ยง”
เมทินียิ่งงง “จริงเหรอ”
“เห็นพ่อเลี้ยงบอกว่าวาทิตพาไปตรวจงาน นี่...ตกลงแกเฝ้าวาทิตไงเนี่ย”
“ก็ฉันเห็นเขานั่งๆ นอนๆ เลยแว่บมาตัดดอกไม้ไปใส่แจกัน”
เมทินีรีบเดินมาหาทิปปี้
“เดี๋ยวนะ แกบอกว่าวาทิตพาพ่อเลี้ยงไปตรวจงานเหรอ”
ทิปปี้พยักหน้ารับ
“นี่ไงที่ฉันว่าแปลก แปลกมากด้วย”

บรรดาคนงานทั้งไร่ นั่งออกันอยู่ในโรงอาหารพูดคุยกันอื้ออึง ไม่รู้ว่าพ่อเลี้ยงเรียกมาทำไม
อีกมุมหนึ่ง เมทินี ทิปปี้ เอื้องคำ จั่นเปง และหนานนั่งรออยู่ด้วยกัน
เอื้องคำถามทิปปี้ว่า “ไหนคุณทิปปี้บอกว่าพ่อเลี้ยงเรียกประชุมคนในไร่ทั้งหมดไงคะ”
“ใช่สิป้า มีอะไร”
“ไม่ใช่อะไรหรอกค่ะ แค่สงสัยว่าคุณเมเกี่ยวอะไรด้วย หรือมีสถานะแค่คนงานที่รับจ้างมา”
ทิปปี้ได้ฟังก็ปรี๊ด เดือดแทนเพื่อน
“ป้า ฉันว่าป้าแรงไปนะ”
เมทินีรีบสะกิดทิปปี้ห้าม
“ไม่เป็นไรหรอกทิปปี้ อย่าไปถือเลย”
อีกมุม อังกูร เดินเข้ามา ชาติที่ยืนกับคนงานรีบเดินเข้าไปหา
“คุณกูรทราบไหมครับว่าพ่อเลี้ยงเรียกประชุมทำไม”
“ฉันยังไม่รู้เลยว่าคุณลุงกลับมา”
“หรือไอ้คุณวาทิตมันไปฟ้องเรื่องยาครับ”
“ไม่น่าใช่ ถ้าเป็นเรื่องนั้นคุณลุงจะต้องคุยกับฉันส่วนตัว ไม่เห็นต้องประชุมใหญ่โต”
สักครู่หนึ่ง รถกระบะของวาทิตแล่นมา พ่อเลี้ยงวิทย์กับรุทรเดินลงมาด้วยกัน แล้วมายืนด้านหน้าคนงาน
“เอาล่ะทุกคน ขอโทษที่รบกวนเวลาทำงานนะ พอดีช่วงนี้บริษัทของเราขยายงานไปมาก ซึ่งข่าวดีข้อแรกที่จะประกาศก็คือเราจะมีผลกำไรมากขึ้น โบนัสของทุกคนก็จะได้มากขึ้น”
คนงานปรบมือเฮลั่น
พ่อเลี้ยงวิทย์เอ่ยต่อ “ส่วนข้อที่สองก็คือ ฉันจะให้วาทิตมาเป็นรองประธานในทุกบริษัทของเรา โดยมีเมทินีลูกสะใภ้ของฉันเป็นผู้ช่วยของวาทิต แล้วเดี๋ยวฉันจะทำหนังสือประกาศอย่างเป็นทางการ”
ทุกคนเฮลั่นปรบมือต้อนรับรุทรกันใหญ่ เอื้องคำ จั่นเป็ง และหนาน ตลอดคนงานเข้ามารุมล้อมแสดงความยินดีกับรุทร
เมทินีรู้สึกอึ้งกับคำประกาศนี้ มีแต่ทิปปี้ที่เข้ามาแสดงความยินดี
“ยินดีด้วยนะแก ทีนี้รู้หรือยังว่าแกเกี่ยวอะไรด้วย”
เมทินีอิดออด “แต่ฉัน...”
“เอาน่า คิดซะว่าทำงานตอบแทนพ่อเลี้ยงไง”
ทิปปี้เข้ามากอดเมทินี ที่ยังอึ้งๆ งงๆ อยู่

อังกูรยืนนิ่งด้วยความโมโห ชาติเองก็ไม่พอใจ
“นี่พ่อเลี้ยงตั้งใจตั้งไอ้วาทิตมาคุมคุณกูรเลยนะครับ” ชาติแหย่รังแตน

อังกูรไม่ตอบอะไร มองรุทรที่ยิ้มรับการแสดงความยินดีจากบรรดาคนงานอยู่ด้วยความโกรธแค้นสุดจะประมาณ

อ่านต่อหน้า 3

เงาใจตอนที่ 8 (ต่อ)

หลังจากพ่อเลี้ยงวิทย์สั่งเลิกประชุม และขึ้นรถกลับไปที่บ้านแล้ว โดยสั่งให้ รุทร วาทิต และอังกูร ตามไปคุยต่อที่บ้าน

รุทรกับเมทินีเดินกลับมาทางบ้านด้วยกัน รุทรแอบมองเขม่น แดกดันอย่างหมั่นไส้
“ดีใจมากไหมที่จะได้บริหารงาน”
“ถ้าฉันสามารถทำประโยชน์ให้ที่นี่ได้ ก็ไม่เป็นปัญหา”
“เม...พูดแล้วนะว่าทำประโยชน์ให้ที่นี่ อย่าไปทำให้คนอื่นล่ะ” รุทรอดเหน็บแนมไม่ได้
เมทินีงง “เธอหมายความว่าไง”
“เปล่า ผมก็แค่เตือน ไว้ก่อน”
เมทินีฉุน “วาทิต ถ้าเธอไม่ไว้ใจฉัน เดี๋ยวฉันจะบอกคุณพ่อเอง ว่าฉันไม่ทำงานก็ได้”
รุทรยักไหล่ไม่สน เมทินีมองตาขุ่นแล้วรีบเดินไป

ตรงสวนสวยหน้าเรือนใหญ่ รุทรกับเมทินียืนฟังพ่อเลี้ยงวิทย์พูดอธิบายอยู่ในห้องทำงาน
“ต่อไปทั้งสองคนต้องช่วยกันทำงานนะ เพราะของพวกนี้ที่พ่อสร้างก็เพื่อวาทิตลูกของพ่อ”
“แต่เมไม่ต้องการตำแหน่งอะไรนะคะ”
พ่อเลี้ยงวิทย์จ้องหน้า “เราเคยคุยกันแล้วก่อนวาทิตจะป่วยจำได้ไหม”
“จำได้ค่ะ แต่ไม่คิดว่า...”
พ่อเลี้ยงสวนขึ้นทันที “ไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้น แค่ทำให้ดีที่สุดตามที่พ่อมอบหมายก็พอนะ”
รุทรในคราบวาทิตแทรกขึ้น “คุณพ่อครับ ถ้าเมเค้าไม่อยากทำเราก็อย่าฝืนเลยนะครับ”
“พ่อเข้าใจว่าหนูเมไม่อยากทำเพราะเกรงใจ แต่งานทั้งหมดถ้าช่วยกัน พ่อว่ามันจะดีกว่านะ”
รุทรกับเมทินีมองหน้ากัน อึดอัดกับความคิดของพ่อเลี้ยงกันทั้งคู่
ระหว่างนี้อังกูรเดินเข้ามา พอสบตากับรุทรใบหน้าก็ค่อยๆ คลี่ยิ้มออกมา
“ดีใจด้วยนะวาทิตกับตำแหน่งใหม่”
“ขอบคุณครับพี่กูร”
อังกูรพูดทีเล่นทีจริง “หวังว่าสุขภาพนายจะเอื้อให้ทำงานนะ บอกตรงๆ พี่กลัวนายจะไปเหนื่อยตายในไร่...เป็นห่วง”
พ่อเลี้ยงวิทย์เอ่ยขึ้น “ไม่ต้องห่วงหรอกกูร วาทิตเขาระวังตัวแน่ แต่ไงลุงก็ฝากกูรช่วยเป็นพี่เลี้ยงสอนงานน้องด้วยนะ”
“ครับคุณลุง” อังกูรยิ้มเฟคกับรุทร “แล้วนายจะเริ่มงานเมื่อไหร่ พี่ว่าให้นายพักสักเดือนสองเดือนให้แข็งแรงแน่ๆ แล้วค่อยเริ่มงานก็ได้นะ”
“ไม่ต้องนานขนาดนั้นหรอกพี่กูร เพราะหลายอย่างในไร่ต้องแก้ไขด่วนใช่ไหมครับ” รุทรกระซิบพอได้ยินสองคน “อย่างน้อยก็เรื่องยาปราบวัชพืช”
รุทรกับอังกูรจ้องหน้ากัน
“เอาสิ ถ้านายคิดว่าทำได้...ก็เริ่มเลย”
สองหนุ่มท้าทายชนิดไม่มีใครยอมกัน

คืนนั้นพอกิจจารู้เรื่องจากลูกสาวถึงกับถอดหมวกปาดเหงื่อเลย
“นี่ไอ้วาทิตมันขึ้นเป็นรองไอ้วิทย์เหรอ”
กิจจาระบายโมโหด้วยการทุบต้นไม้ที่อยู่ใกล้ๆ จ้องหน้ากินรีด้วยความโกรธขึ้ง
“ทุกอย่างที่มันพลาดเป็นเพราะลูกคนเดียว”
กินรีอึ้ง “ทำไมคุณพ่อพูดแบบนี้”
“ก็เพราะนรีไม่ตั้งใจจับไอ้วาทิต มัวแต่ไปชอบไอ้หลานปลายแถวอย่างไอ้อังกูร แล้วเป็นไง ตอนนี้ไอ้วาทิตแข็งแรงมาก ไอ้กูรมันจะได้อะไรมั่ง”
“แต่ตอนหลังคุณพ่อก็ยอมให้นรีชอบคุณกูรแล้วนี่คะ” กินรีย้อนแย้ง
“ก็พ่อคิดว่าไอ้วาทิตมันจะตาย”
“แต่เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว เราก็คงทำอะไรไม่ได้อยู่ดี”
“ได้สิ พ่อยังไม่ยอมแพ้”
“คุณพ่อจะทำอะไรอีก อย่าบอกนะว่าจะให้นรีจับวาทิต”
“ก็ในเมื่อสถานการณ์มันเป็นแบบนี้ เราก็ต้องกลับไปใช้แผนเก่า”
“ไม่...นรีไม่ทำ” กินรีเสียงแข็ง
“ทำไม อย่าบอกนะว่าแกจะหลงเพ้อฝันคิดถึงความรักบ้าบออะไร”
กิจจาจ้องหน้ากินรีด้วยความสงสัย
“คุณพ่อจะว่านรีบ้าบอเพ้อฝันอะไรก็ได้ แต่ถ้าเป็นแผนให้นรีจับวาทิต นรีไม่ทำ”
“ไอ้ลูกไม่รักดี”
กิจจาเจ็บใจ จ้องหน้ากินรีด้วยความโกรธ

ที่กาดดอกไม้เช้าวันนี้ รถขนดอกไม้ของมณีจอดอยู่ ไมตรีกับน้อยคนงานใหม่ กำลังช่วยกันแบ่งห่อดอกไม้เพื่อนำเอาไปส่งตามร้าน มณีช่วยๆ อยู่แต่เกิดมีอาการเวียนหัว
ไมตรีตกใจ “แม่เป็นอะไรหรือเปล่าดูหน้าซีดๆ”
“แม่เวียนหัวนิดหน่อยแต่ไม่เป็นไรหรอก ไมรีบไปเรียนดีกว่าเดี๋ยวจะสาย”
“วันนี้ไมมีเรียนบ่าย แม่พักดีกว่าเดี๋ยวไมกับพี่น้อยช่วยกันส่งดอกไม้เอง ไปกันพี่น้อย เราแยกกันส่งนะจะได้เร็วๆ”
“ค่ะน้องไม”
ไมตรีกับน้อยหอบดอกไม้แยกย้ายกันไป มณีจะลุกขึ้นแต่ยังเวียนหัวอยู่ไม่หาย เลยต้องรีบนั่งลงพัก
ไมตรีและน้อยเอาดอกไม้ไปส่งตามร้านต่างๆ สองคนส่งบิลเงินสดให้ แล้วรับเงินค่าดอกไม้มา

สองคนเดินกลับมาที่รถ ไมตรีถือเงินค่าดอกไม้ในมือ
“ค่าดอกไม้ครับแม่” ไมตรีพูดเล่นพร้อมกับส่งเงินให้มณี
“เก็บได้ครบก็ดีแล้ว ไมไปเรียนได้แล้วมั้งลูก เราก็กลับกันเถอะน้อย ไป”
มณีลงจากรถด้านข้างคนขับเพื่อจะไปขับรถกลับ แต่ขยับตัวลงมาได้ก้าวเดียวก็หน้ามืดจะเป็นลมจนต้องจับประตูรถเอาไว้
“แม่” ไมตรีตกใจรีบเข้ามาประคอง
“แม่ไม่เป็นอะไรหรอก ไมไปเรียนเถอะไม่ต้องห่วง”
“แม่หน้าซีดซะขนาดนี้ไม่เป็นไงได้ไง ไปหาหมอดีกว่าครับ”
น้อยเห็นด้วย “นั่นสิคะคุณมณี น้อยว่าให้น้องไมพาไปหาหมอดีกว่านะคะ”
“ฉันบอกว่าไม่เป็นไร ก็ไม่เป็นไรสิน้อย”
มณีเสียงแข็ง เพราะไม่อยากให้ไมตรีเป็นห่วง
“เดี๋ยวแม่กลับบ้านนอนพักสักแป๊บก็หายแล้วลูก”
“เอางี้แล้วกัน เดี๋ยวไมขับรถพาแม่กลับบ้าน ถ้าอาการยังไม่ดีขึ้นแม่ต้องไปหาหมอกับไม โอเคป่ะครับ”

ไมตรีสรุป มณีไม่อยากขัดลูกเลยพยักหน้ารับ

กลับจากกาดดอกไม้ มณีนอนพักอยู่ที่โซฟาในห้องรับแขก มีน้อยนั่งพัดอยู่ข้างๆ ไมตรีกำลังคุยโทรศัพท์อยู่ในนั้น

“ได้ครับ เดี๋ยวผมบอกแม่ให้ครับ ขอบคุณมากครับ สวัสดีครับ”
ไมตรีกดวางสายแล้วเดินมานั่งลงข้างๆมณี
“ไมโทร.ลางานให้แล้วนะครับแม่ ลุงพิชัยฝากบอกให้หายเร็วๆ ด้วยครับ แล้วก็ไม่ต้องห่วงเรื่องงานพักผ่อนให้เต็มที่”
“ก็เลยวุ่นวายกันไปหมดเลย แม่บอกว่าไม่เป็นอะไรมากก็ไม่เชื่อ” มณีบ่น
“ไม่เป็นอะไรมากก็ดีแล้วครับ พักตอนนี้เดี๋ยวก็หายแต่ถ้าปล่อยให้เป็นมาก อาจจะต้องพักยาวกว่านี้นะครับ ไมว่าแม่คงเหนื่อยเพราะทำงานหนัก ทั้งงานประจำแล้วยังต้องดูแลร้านแทนพี่เมอีก”
“ตอนนี้ก็มีพี่น้อยเขามาช่วยแล้วไง เอาไว้ไมเรียนจบแล้วแม่จะปิดร้านแล้วก็ลาออกจากงานมาให้ไมเลี้ยงละกัน คราวนี้จะไปเรียนได้หรือยัง” มณีพูดให้ลูกชายสบายใจ
“ฝากดูแม่ด้วยนะครับพี่น้อย”
ไมตรีฝากฝังน้อยแล้วก็เข้าไปสวมกอดมณี
“อยู่บ้านดีๆ อย่าดื้ออย่าซนนะแม่”
ไมตรีแหย่แม่ก่อนจะเดินออกไป
มณีมองตามลูกชายด้วยความรัก เมื่อเห็นว่าไมตรีไปแล้ว ก็เกิดอาการวิงเวียนคลื่นไส้หนักจนอาเจียนออกมา
“คุณมณีให้น้อยไปตามน้องไมมั้ยคะน่าจะทัน ให้น้องไมพาไปหาหมอ”
น้อยถามด้วยความตกใจ
“ไม่ต้อง แล้วก็ห้ามบอกไมเด็ดขาดเลยนะ เข้าใจมั้ย”
“ค่ะ” น้อยรับคำสีหน้างงๆ ไม่ค่อยจะเข้าใจนัก
มณีมีสีหน้าพะอืดพะอมขึ้นมาอีก แต่พยายามเก็บอาการเอาไว้

ภายในห้องเรียนคณะเกษตรตอนนี้ วาริน แต และฝ้าย ยืนอยู่หน้าห้อง วารินกำลังอธิบายเรื่องการลงสนามของกลุ่มรายงาน
“กลุ่มของเราจะลงสนามไปเก็บข้อมูลกันสองครั้งค่ะเพื่อให้ได้ข้อมูลที่น่าเชื่อถือ แล้วหลังจากนั้นก็จะเป็นการนำเอาข้อมูลมาวิเคราะห์และรายงานผลค่ะ”
เพื่อนๆ พากันปรบมือให้ เมื่อวารินอธิบายการทำงานเสร็จ
“กลุ่มของเธอทำงานได้ละเอียดดีมาก ตอนนี้ก็รายงานกันไปหมดแล้วนะ เหลือแค่ไมตรีคนเดียว ครูฝากบอกด้วยว่าให้ทำเปเปอร์รายงานความคืบหน้าของการทำงานมาส่งด้วย ภายในศุกร์นี้นะ ไม่งั้นจะโดนตัดคะแนน”
ฟังที่อาจารย์บอก วารินสีหน้าเบื่อๆ กับความไม่รับผิดชอบของไมตรี

ไมตรีวิ่งขึ้นบันไดมาเจอกับวาริน แต และฝ้ายที่ทางเดินหน้าห้องเรียน
“มาอะไรป่านนี้ อาจารย์เขาปล่อยตั้งนานแล้ว” แตค่อน
“รู้ว่ามีเรียนเช้าแล้วดันมาซะสายแบบนี้จะไหวมั้ยเนี่ย รินแกบอกเรื่องที่อาจารย์ฝากมาสิ” ฝ้ายหันไปกระซิบบอกวาริน
“แกก็บอกไปสิฉันไม่อยากยุ่ง”
“อาจารย์เขาตามความคืบหน้าเรื่องโครงงานเดี่ยวของเธอนะ ทำเป็นเปเปอร์ไปส่งเขาด้วย”
“ขอบใจนะ” ไมตรีจะเดินไป
แตพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ถามจริงๆ เถอะ เธอไม่คิดจะมาเรียนให้มันทันมั่งเหรอ จะสอบมิดเทอมอยู่แล้วนะ”
“เรามีธุระสำคัญ”
ไมตรีบอกสั้นๆ เสียงเรียบๆไม่อยากอธิบายอะไรมาก
“ระวังจะไม่พ้นโปรถ้าได้เอฟวิชานี้” วารินอดรนทนไม่ได้โพล่งออกมา “เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน”
ไมตรีมองหน้าวารินก่อนจะพูดตอกกลับเสียงเข้มว่า “เรื่องของฉัน”
จากนั้นไมตรีจะเดินหนี วารินโมโหเดินไปดักหน้าเอาไว้
“นี่เธอหาว่าพวกเรามายุ่งเรื่องของเธอใช่มั้ย ที่จริงฉันก็ไม่อยากยุ่งหรอกนะถ้าเรื่องของเธอมันจะไม่ได้ทำให้เพื่อนคนอื่นๆ เขาเดือดร้อนกัน”
“ขอโทษที่ทำให้เดือดร้อน ต่อไปพวกเธอไม่ต้องบอกก็ได้”
ไมตรีพูดแล้วก็เดินหนีไปทันที

วารินมองตามด้วยความโกรธขึ้งระคนน้อยใจ

สามสาวเดินมาอีกมุมของคณะเกษตร วารินยังไม่หายหัวเสียเรื่องของไมตรี

“คนอะไรไม่มีมารยาท คนเขาอุตส่าห์เตือนด้วยความหวังดี”
“ไมตรีเขาก็เป็นของเขาแบบนี้ แกยังไม่ชินอีกเหรอริน” แตว่า
ฝ้ายรีบเสริม “นั่นสิ บางทีเราอาจจะยุ่งกับเรื่องของเขามากไปจริงๆ ก็ได้นะ”
“คอยดูนะ ต่อไปนี้ฉันจะไม่ยุ่งด้วยเลย” วารินบอก
“ฉันคุ้นๆ ว่าเธอเคยพูดแบบนี้มาแล้วนะ ใช่มั้ยฝ้าย”
แตเบรควารินพร้อมกับหันไปขอเสียงสนับสนุนจากฝ้าย
ฝ้ายพยักพเยิดรับ “ใช่ สองครั้งแล้ว ครั้งนี้ครั้งที่สาม”
วารินอาย “แกสองคนไม่ต้องเก็บรายละเอียดขนาดนั้นก็ได้ แต่ครั้งนี้ฉันพูดจริงๆ นะ ไม่เชื่อคอยดู”

ในบรรยากาศห้องสมุดคณะอันเงียบสงัด นักศึกษาแทบทุกคนในนั้นจดจ่ออยู่กับการอ่าน และทำรายงานตรงหน้า
วาริน แต และฝ้ายเดินเข้ามาในนั้น ตรงไปที่มุมหนึ่งที่มีโต๊ะใหญ่ว่างอยู่โต๊ะเดียว ซึ่งนั่งได้หลายคน แต่พอไปถึงก็เห็นไมตรีก้มหน้าก้มตาทำรายงาน
วาริน แต ฝ้าย มองแล้วไม่แน่ใจใช่หรือเปล่า สะกิดกันดู ไม่พูดเพราะในนี้ห้ามใช้เสียง สามสาวก้มหน้าเพ่งมอง ไมตรีเงยหน้าขึ้นมา สามสาวสะดุ้ง วารินทำเชิดหันหนีแล้วทำกล่องดินสอโลหะตกเสียงดัง ทุกคนหันมามองเป็นตาเดียว วารินหน้าแตกเสียฟอร์ม ต้องก้มลงเก็บปากกา
ไมตรีไม่สนใจก้มทำงานต่อ พอวารินเก็บเสร็จ แตกับฝ้ายจะนั่ง วารินดึงแขนเสื้อเพื่อนเอาไว้
แตกระซิบบอก “ที่นั่งเต็มแล้วจะไปไหน”
วารินกระซิบตอบ “ที่ไหนก็ได้ไม่ใช่โต๊ะนี้”
ฝ้ายกระซิบบอก “งั้นก็เหลือบันไดหน้าห้องสมุดเอาไหมล่ะ”
วารินงอนโมโห เอาไงดี ระหว่างนี้ไมตรีเก็บข้าวของเหมือนจะออกไปแล้ว แต และฝ้ายสะกิดกันดู ไมตรีลุกขึ้น
วารินกระซิบบอกไมตรีว่า “ไม่ต้องทำเป็นเสียสละหรอก ฉันไม่ง้อ”
ไมตรีกระซิบตอบ “เปล่า ฉันรำคาญ”
วารินเหวออ้าปากค้าง ไมตรีลุกเดินหนีไปเลย
วารินโกรธเผลอเสียงดัง “ตาบ้า”
ทุกคนหันขวับมามอง วารินอายมากลงนั่งก้มหน้างุด แต และฝ้ายอายไปด้วยต้องก้มหน้า
แตหมั่นไส้กระซิบว่า “จะพูดเป็นครั้งที่สี่ไหมว่าจะไม่ยุ่งกับไมตรีอีก”
วาริมองตามไมตรีที่เดินออกไปจากห้องสมุดด้วยความเจ็บใจ

ตรงมุมหนึ่งในวัดพระธาตุ ดอยสุเทพ กิจจานั่งคอยใครบางคนอยู่ สักครู่จึงเห็นอังกูรเดินเข้ามาหา
“ผมไม่คิดว่าคุณอาจะนัดผมมาที่หาที่วัด”
“ถ้าเราจะเป็นมิตรกัน มันก็ควรเจอกันในสถานที่ๆ ดีๆ หน่อยไม่ใช่เหรอ”
อังกูรเข้าเรื่องทันที “คุณอามีธุระอะไร”
“นรีเล่าให้อาฟังว่า วิทย์แต่งตั้งวาทิตให้เป็นผู้ช่วย”
“ครับ”
“อาเห็นใจกูรนะ เลยอยากจะบอกว่าถ้ามีอะไรให้อาช่วยอาช่วยเต็มที่”
อังกูรมองกิจจาอย่างประเมินท่าที “เราสนิทกันขนาดจะไว้ใจกันได้เหรอครับ”
“ก็ต้องลองร่วมงานกันสักครั้ง” กิจจายิ้มในสีหน้า
“ที่คุณอาทำแบบนี้ เพราะแค่คุณลุงไม่ขายหุ้นให้งั้นเหรอครับ”
“ใช่...ถ้าไร่นี้ไม่มีอาช่วยบุกเบิก ไอ้วิทย์คนเดียวมันทำไม่สำเร็จหรอก แต่พอมันรวยมันก็ถีบหัวส่งอา แล้วดูสิทุกวันนี้อาเป็นไง อายังมีหนี้มีสินในขณะที่มันรวยขึ้นรวยขึ้น”
อังกูรยิ้มร้าย “ผมเข้าใจแล้ว เพราะตอนนี้ผมก็โดนไม่ต่างจากคุณอาหรอก มันใช้ผมทำงานทุกอย่าง แต่สุดท้ายคนที่มาชุบมือเปิบคือไอ้วาทิต”
กิจจายิ้มร้ายพอกัน “ถ้ากูรไม่อยากเป็นแค่มนุษย์เงินเดือนกินเศษเงินที่ไอ้วิทย์มันโยนให้ เราก็ต้องร่วมมือกัน”
กิจจามองหน้ากับอังกูร แล้วยื่นมือมาให้ อังกูรตัดสินใจจับมือกับกิจจา ร่วมมือทำชั่วด้วยกัน

พออังกูรเดินเข้าบ้านมาพัก เห็นกินรีนั่งรออยู่ก็หงุดหงิดอารมณ์เสียขึ้นมาทันที และเลยทำเป็นไม่สนใจ
“พ่อคุยกับคุณกูรว่าไงบ้างคะ”
“เราตกลงกันว่าจะร่วมมือกันกำจัดวาทิต”
“คุณกูรคะ นรีขอร้องเราไม่ต้องทำแบบนี้ก็ได้นะคะ บอกตรงๆ นรีกลัว”
“กลัวอะไร”
“นรีกลัวว่าคุณกูรกับพ่อจะทำอะไรรุนแรง แล้ววันนึงนรีจะไม่เหลือใคร”
“หุบปากเถอะน่า ถ้าเธอขี้ขลาดก็ถอนตัวไป แต่ฉันกับพ่อเธอจะต้องเอาสิ่งที่เราต้องการมาให้ได้”
“คุณกูร ถ้าคุณโกรธคุณวาทิตที่แย่งเม คุณก็มีนรีแล้ว นรีสัญญาจะรักและดีกับคุณคนเดียว นรีจะดูแลคุณให้ดีที่สุด เราแค่แต่งงานแล้วใช้ชีวิตคู่อยู่ด้วยกันไม่ดีกว่าเหรอคะ”
กินรีขยับลุกขึ้น เดินเข้ากอดอังกูรด้วยความรัก
“เลิกเพ้อเจ้อแล้วมาร่วมมือกับฉันและพ่อของเธอดีกว่านรี เพราะถ้าเธอช่วยฉันเราก็ยังจะเจอกันได้อยู่เรื่อยๆ เธอต้องการฉันไม่ใช่เหรอ จะขัดใจฉันทำไม”
อังกูรจ้องหน้ากินรี แล้วกอดตอบ วงหน้าหล่อของเขาซุกไซร้ไล้เรื่อย กินรีกอดกระหวัดตอบรับสัมผัสอันรัญจวนจากชายที่เธอรักหมดใจเต็มที่

ร่างของทั้งคู่ล้มลงไปบนโซฟานุ่มในห้องรับแขกนั้นด้วยกัน

อ่านต่อหน้า 4

เงาใจตอนที่ 8 (ต่อ)

วันต่อมา รุทรกับเมทินี ขับรถมาถึงไร่ส้ม แล้วลงมาคุยกับคนงาน คนงานอธิบายเรื่องการปลูกส้ม

ต่อมารุทรกับเมทินีลงเดินดูคนงานในไร่ รุทรเอากล้องถ่ายรูปถ่ายบรรยากาศไว้ตลอด
อีกมุมหนึ่ง ชาติซึ่งนั่งอู้อยู่มีคนงานมาตาม ชาติทำเป็นลุกยืนคุมคนงานใส่ปุ๋ยต้นส้ม รุทรเดินมาดูตรงนั้น ชาติลอยหน้าลอยตาโดยไม่เกรงกลัว และออกตัวว่าไม่ชอบขี้หน้า

ตกตอนเย็น ทิปปี้ สอนงานเมทินีอยู่ที่โต๊ะทำงานในออฟฟิศ ส่วนที่ห้องทำงานพ่อเลี้ยงวิทย์ พ่อเลี้ยงเอารายงานต่างๆ ให้รุทรดู โดยที่ด้านนอกตอนนี้ เห็นอังกูรยืนแอบดูอยู่

อีกวัน อังกูรยืนดูการส่งพันธุ์ต้นส้มให้ลูกค้า ชาติเอารายงานให้เซ็น อังกูรเซ็นทันที รุทรกับเมทินีเดินมาสมทบ ดูการทำงาน อังกูรเห็นฝืนยิ้มทัก รุทรตาไวเดินไปดูกลุ่มพันธุ์ต้นส้ม แล้วพบว่าหลายต้นไม่สมบูรณ์ รุทรคัดออก อังกูรกับชาติเสียหน้า
“ผมว่าพี่กูรอย่าเพิ่งเซ็นเลยนะครับ ลองตรวจดูให้แน่ใจก่อนดีกว่าว่าพันธุ์ส้มมันสมบูรณ์ทุกต้นหรือเปล่า”
รุทรยิ้มให้ แล้วจูงมือเมทินีเดินไปด้วยกัน อังกูรอารมณ์เสียส่งแฟ้มคืนให้ชาติ

สามคนอยู่ตรงระเบียงชมวิวหน้าเรือนใหญ่ ทิปปี้ส่งเอกสารให้รุทร
“อันนี้เป็นรายละเอียดการสั่งซื้อปุ๋ย ส่วนแฟ้มนี้ก็พวกยาปราบศัตรูพืช”
“ขอบใจนะทิปปี้”
เมทินีที่นั่งอยู่ด้วย กระแซะทิปปี้เป็นเชิงบอกบางอย่าง ทิปปี้ลังเลจะเอาไงดี รุทรเห็นความผิดปกตินั้น
“มีอะไรกันเหรอ”
“วาทิต หลายวันมานี่เราทำงานกันหนักมาก ฉันเครียด”
“เครียดหรือขี้เกียจ”
เมทินีสะดุ้ง ค้อนตาคว่ำไม่พอใจ รุทรก้มหน้าก้มตาอ่านรายงานเฉย เมทินีอยากตบกบาลวาทิตมาก ทิปปี้ห้ามไว้
“เฮ้ย วาทิต แต่ฉันเห็นด้วยกับเมนะ เธอจะขยันโดยไม่พักทั้งกลางวันกลางคืนแบบนี้ไม่ได้นะ ทำงานมันต้องพัก”
“ตกลงเธอสองคนต้องการอะไร”
สองสาวตอบพร้อมกัน “พวกเราอยากฟังเพลง”
รุทรอึ้ง “ฟังเพลง”
สองสาวพยักหน้ารับทันที รุทรยังมองสองสาวงงๆ แต่ด้วยความที่ไม่รู้ว่าวาทิตกับสองสาวสนิทกันแค่ไหนเคยเล่นกันมากน้อยแค่ไหนก็คิดว่าคงร้องเพลงกันประจำ
“โอเค งั้นฉันจะร้องให้ฟังนะ” รุทรร้องเพลงลูกทุ่งยอดฮิต
เมทินีกับทิปปี้มองหน้ากันงง รุทรเห็นท่าทีก็เริ่มไม่มั่นใจ รีบกลบเกลื่อน
“เอ่อ ที่ผมร้องเพลงนี้ไม่ใช่อะไรหรอกนะ ได้ยินคนงานร้องวันก่อนน่ะเปลี่ยนเพลงร็อกก็ได้นะ”
เมทินีบอก “วาทิต เธอไม่เคยร้องเพลงให้พวกเราฟัง”
รุทรงง “แต่เมื่อกี้เมกับทิปปี้บอกอยากฟังเพลง”
“มานี่ดีกว่า”

เมทินีดึงมือรุทรลุกขึ้นแล้วพาไป รุทรเดินตามไปทั้งที่งงๆ ทิปปี้เดินตามปิดขบวน

ถัดจากนั้น รุทรยืนนิ่งมองเปียโนในห้องนั่งเล่น กลืนน้ำลายเอื๊อกด้วยความสยองเป็นที่สุด เมทินีกับทิปปี้ยืนอยู่ด้วยแล้วยิ้มให้รุทร

“แบบนี้ต่างหากที่พวกเราอยากฟัง” เมทินีว่า
“รู้ไหม ฉันไม่ได้ยินเธอเล่นเปียโนนานแล้วนะ วันนี้ขอฟังให้จุใจเลย” ทิปปี้พยักพเยิด
รุทรลงนั่งที่หน้าเปียโนเซ็งๆ เมทินีกับทิปปี้รีบลงนั่งประกบซ้ายขวา รุทรเกร็งจนหน้าซีด
“เย้ย....นั่งแบบนี้เลยเหรอ”
“อยากเห็นชัดๆ” ทิปปี้ยิ้มกริ่ม
เมทินีเปิดโน้ตให้ “เริ่มเลยสิ เริ่มเลย”
รุทรจ้องโน้ตมองคีย์ “เอ่อ...เอาเพลงที่ผมพอจำได้ได้ไหมอ่ะ”
เมทินีกับทิปปี้มองหน้ากันแล้วพยักหน้าพร้อมกัน “ได้”
รุทรเริ่มวางมือแล้วเล่น แต่เพลงที่เล่นไปเรื่อยๆ นั้นก็เริ่มมั่ว เมทินีกับทิปปี้มองหน้ากันอึ้งๆ รุทรเล่นสักพักก็หยุดเฉยเลย
“ผมจำไม่ได้”
“งั้นฉันจะเล่นเพลงที่เธอเคยสอนนะ เผื่อจะจำได้”
เมทินีลงมือเล่น รุทรถึงกับอ้าปากค้างตกใจเหวอไปเลย ลีลาเมทินีเล่นพลิ้วมาก
รุทรหันไปมองทิปปี้ ก็เห็นทิปปี้ที่จ้องอยู่ก่อนแล้วด้วยความสงสัย ทิปปี้ยิ้มแค่ปากแต่แววตาไม่ยิ้ม เต็มไปด้วยคำถาม เมทินีเล่นเพลงไปก็พูดไปด้วย
“พอจะจำเพลงนี้ได้ไหม เล่นด้วยกันสิ เมื่อก่อนเธอกับฉันก็เล่นเพลงนี้ด้วยกัน”
รุทรพยามคิดหาทางออก แล้วนึกอุบายได้ ตัดสินใจก้มหน้าจ้องมือของเมทินี เมทินีกับทิปปี้มองหน้ากันงงๆ
“ทำอะไรอ่ะวาทิต”
รุทรแกล้งจ้องมือเมทินีนิ่งๆ จนเมทินีหยุดเล่น รุทรเงยจ้องโน้ตทำเป็นเพ่งแล้วตัวโงนเงนทรงตัวไม่อยู่ทำท่าจะหงายหลัง สองสาวร้องกรี๊ดรีบเข้าไปพยุง
“ผมปวดหัว โอ๊ย ปวดหัวมาก”

เมทินีกับทิปปี้ช่วยกันพยุงรุทรเดินมาถึงรถตรงหน้าบ้านแล้ว รุทรมองสองสาวงงๆ
“จะพาผมไปไหนน่ะเม”
“หาหมอไง ก็เธอปวดหัวไม่ใช่เหรอ”
รุทรตกใจนิดๆ “หมอ!”
“หมอประจำตัวของเธอ ก่อนที่เธอจะถูกส่งไปกรุงเทพฯไง เขาต้องบอกได้แน่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับความจำเธอ” เมทินีว่า
รุทรรีบตัดบท “เอ่อ...ไม่ต้องก็ได้ ผมขาดการรักษาที่นี่ไป ไว้ผมไปหาหมอที่กรุงเทพฯ ดีกว่านะ”
เมทินีกับทิปปี้มองหน้ากันเป็นเชิงหารือว่าเอาไงดี
ทิปปี้สะกิดแขนรุทร “หายปวดแล้วเหรอ”
“เอ่อ...ปวดสิ ยังปวดอยู่นิดๆ เดี๋ยวคงหาย”
“งั้นเอางี้ เราไปขับรถเล่นกัน มีที่อยู่ที่หนึ่งที่พวกเราเคยไปกันตอนเด็กๆ จำได้ไหม” ทิปปี้ถาม
รุทรส่ายหน้า
“เดี๋ยวไปถึงแล้วเธอจะจำได้เอง”

พูดจบเมทินีกับทิปปี้ก็ลากตัวรุทรขึ้นรถขับออกไป

ถัดมาไม่นาน ทั้งสามคนพากันนั่งอยู่ในมุมเด่นของร้านอาหารสุดชิคของเชียงใหม่

“ถ้าเธอจำฉันกับทุกคนในบ้านได้ เธอก็น่าจะจำที่นี่ได้นะวาทิต”
รุทรทำเป็นมองไปรอบๆ
ทิปปี้เสริมว่า “ที่นี่เป็นที่ๆ เกิดเหตุการณ์สำคัญอันหนึ่งในชีวิตของเธอเลยนะ”
รุทรงงจริงๆ “อะไรเหรอ”
ทิปปี้ยิ้มล้อ มองไปทางเมทินี ที่ทำเป็นเขิน
“วันเกิดฉันตอน ม.4 เธอพาฉันมาฉลองที่นี่ไง”
“หลังจากนั้นพวกเราก็มาที่นี่ทุกๆ วันเกิดของเม จนจบมหา’ลัยกันเลย จำได้ไหม” ทิปปี้ระรื่น
รุทรนิ่งคิดไปครู่แล้วตัดสินใจรับสมอ้างไปส่งๆ “ใช่ๆ พอนึกออกแล้ว ร้านนี้เอง ดีใจนะที่ได้กลับมาที่นี่อีก“ เขาจับมือเมทินี “เม ขอบคุณนะที่ทำให้ผมจำสิ่งดีๆได้”
ระหว่างนั้นพนักงานยกจานอาหารมาวางเต็มโต๊ะ มีทั้งอาหารฝรั่ง ญี่ปุ่น ปลาดิบ ของเลี่ยนๆ
ทิปปี้มองค้อน “นี่ หยุดสวีทแล้วกินกัน เร็ว อุ๊ย น่ากินเนอะ”
“นี่น่ะรสชาติที่เธอชอบเลยนะวาทิต”
รุทรมองจานอาหารแล้วอึดอัด ด้วยไม่อยากกิน
“ผมกินแต่ของพวกนี้เหรอ”
“ใช่ กินเลยสิ รู้ไหมสมัยก่อนเธอกินบางอย่างสองจานเลยนะ”
รุทรชะงักก่อนชวนสองสาว “กินด้วยกันไหม”
เมทินียิ้ม “จะบอกให้นะ ทุกครั้งที่มา ฉันกับทิปปี้ไม่เคยกินเลย เธอกินคนเดียวหมดนี่เลย”
รุทรตาเหลือกอ้าปากหวอ “ห๊า หมดนี่เลยเหรอ”

ไม่นานต่อมา รุทร เมทินี และทิปปี้ นั่งอยู่ในร้านไอศกรีมอิตาเลี่ยนสุดหรู ถ้วยไอติมถ้วยใหญ่ ขนาด Earthquake ถูกวางลงตรงหน้า
“แล้วเธอก็จะพาพวกเรามาต่อที่ร้านไอติมนี้ตลอด”
รุทรในคราบวาทิตงง “ท่าทาง ผมคงจะกินไอ้นี่ใช่ไหม”
“ใช่...แล้วเราสองคนก็นั่งดูอย่างมีความสุข”
รุทรยิ้มเจื่อนๆ “น่ากินจริงด้วย”
ว่าพลางรุทรลงมือตักไอติมกินแล้วพยามคงสีหน้าให้ปกติ
“ช็อกโกแลตนี่เธอชอบมากบอกขมโดนใจ” เมทินีบอก
“เหรอ”
“ทิปปี้ ไปเข้าห้องน้ำเป็นเพื่อนหน่อยสิ” เมทินีขอตัวกับรุทร “เธอรอแป๊บนะ”
รุทรพยักหน้ารับ พอเมทินีกับทิปปี้เดินออกไปแล้ว รุทรรีบวางช้อนด้วยความเซ็ง

มุมหนึ่งด้านนอกร้านไอติม เมทินีกับทิปปี้อยู่ตรงนั้น สองสาวแอบดูรุทรที่นั่งในร้าน ตักไอติมกินอย่างซังกะตาย
“เป็นไง เชื่อฉันหรือยัง”
“จริงด้วยแก ทำไมวาทิตแปลกไปขนาดนี้ล่ะ”
“ฉันก็ยังงงอยู่เนี่ยว่า วาทิตกำลังทำอะไร”
“นี่แกคิดว่า วาทิตแกล้งหลอกพวกเราเหรอ”
“แต่แกก็เห็นแล้วนี่ เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้เรากุขึ้นมา แต่วาทิตรับสมอ้างหมดทั้งๆ ที่มันไม่จริง”
ทิปปี้อึ้ง “แกจะบอกฉันว่า วาทิตแกล้งความจำเสื่อมงั้นเหรอ”
“มีที่ไหนจำได้แต่คน แต่กลับจำเหตุการณ์ไม่ได้ งานนี้ฉันว่าโดนหลอกเหมาเข่ง”
“แล้ววาทิตจะทำไปเพื่ออะไร” ทิปปี้นึกขึ้นได้ “หรือเรื่องวันนั้นวาทิตยังคิดว่าแกกับพี่กูรมีอะไรกัน ก็เลยทำเป็นความจำเสื่อม เพื่อทดสอบแกแบบพวกหนังเกาหลีอ่ะ”
“นี่คือสิ่งที่ฉันก็อยากรู้เหมือนกัน”
“ไปถามกันเลยไหม”
ทิปปี้จะลากเมทินีไปแต่เมทินีขืนตัวยังไม่ไป
“ไม่มีประโยชน์ ถ้าวาทิตจะพูดความจริงคงไม่ทำอะไรบ้าๆ แบบนี้หรอก”
ทิปปี้งง “เอ้า...ไม่ถามแล้วแกจะทำไง”
เมทินีบอกด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ฉันจะหาคำตอบเอง”
ทิปปี้งงใหญ่ “ยังไง”
“ฉันจะเล่นตามเกมวาทิต เพียงแต่เกมนี้ฉันจะไม่ยอมให้วาทิตปั่นหัวฉันฝ่ายเดียว มันจะต้องมีการตอบโต้บ้างจะได้สนุกทั้งสองฝ่าย”
“เอาเลยเม ฉันเป็นผู้ช่วยแกเอง” ทิปปี้นึกสนุกพูดแบบพิธีกรเกมโชว์ “ช่วงเอาคืนสนับสนุนโดยนางสาวทิปปี้”

สองสาวมองกลับไปยังรุทรที่อยู่ในร้าน ตีมือแล้วยิ้มให้กันเป็นเชิงบอกกันว่าจากนี้ไปสนุกแน่

อ่านต่อตอนที่ 9
กำลังโหลดความคิดเห็น