แอบรักออนไลน์ ตอนที่ 8
น้ำจากฝักบัวค่อยๆไหลลงมาที่ผมของอวัศยา ลิปดานั่งอยู่ที่มุมหนึ่งของอ่างอาบน้ำโดยพับขากางเกง พับแขนเสื้อเชิ้ตในสภาพลำลองดูน่ารัก อวัศยานั่งอยู่บนเก้าอี้โดยหันหลังให้ลิปดาและเอนตัวมาข้างหลัง เธอเอาขาพาดขอบอ่างอีกด้านอย่างสบายๆ ปล่อยผมยาวสยายให้ลิปดาสระผมให้
ลิปดาพูดด้วยน้ำเสียงห่วงใย “น้ำร้อนไปหรือเปล่า”
“ไม่ค่ะ กำลังดี ... ที่จริงฉันทำเองก็ได้นะ”
“ไม่เป็นไร ผมอยากทำให้ .. อยากรับผิดชอบ ถ้าผมไม่ขอให้คุณช่วยเป็นคู่ควงไปงาน คุณก็ไม่ต้องอยู่ในสภาพนี้” ลิปดาเริ่มเทแชมพูสระผมให้
อวัศยากระดิกเท้าไปมาอย่างสบายๆ โดยไม่รู้ตัว “บอสก็ช่วยแอ๊บเป็นแฟนหลอกยายให้ฉันเหมือนกัน บอสอย่าคิดมากเลยน่า..ฉันเป็นคนหน้าทิ่มเค้ก ฉันยังไม่คิดมากเลย”
ลิปดายิ้ม “เรื่องนี้ไม่คิดมากก็ดี .. แต่กับบางเรื่อง “คิดให้มากหน่อย” จะดีกว่า”
อวัศยาขมวดคิ้วเพราะสงสัย ลิปดาพูดต่อโดยพยายามทำเสียงให้เป็นกลางไม่ได้ตำหนิมากนัก
“หลังจากเกิดเรื่อง ผมเรียกพราวไปตักเตือน”
“บอสเตือนเค้าว่ายังไง” อวัศยาถาม
“ผมให้เค้ามาขอโทษคุณ ในฐานะที่เค้าเด็กกว่า และสิ่งที่เค้าทำถือว่าเป็นความผิดซึ่งหน้า ที่ไม่ควรทำ” ลิปดาบอก อวัศยาอมยิ้ม “ผมพูดกับเค้าในฐานะรุ่นพี่รุ่นน้อง..ไม่ใช่เจ้านายกับลูกน้อง ...และผมก็อยากคุยกับคุณในฐานะ...เพื่อน”
“ทำไมคะ บอสจะให้ฉันไปขอโทษเด็กนั่นหรือไง”
“พูดแบบนี้แสดงว่ารู้ตัวว่าทำผิด”
อวัศยาจะลุกขึ้น “ฉันไม่ได้ทำผิด”
ลิปดากดไหล่ให้อวัศยานั่งลงเหมือนเดิม “แต่ก็ไม่ได้ถูกทั้งหมด ผมเห็นพราวขัดขาคุณจนทำให้เกิดอุบัติเหตุ และผมก็เห็นคุณขัดขาเค้า..เพียงแต่มันไม่มีอะไรร้ายแรง แต่คุณเองก็ทำ ผมเห็น และผมคิดว่า คนอื่นก็คงเห็นเหมือนกัน” อวัศยาคิดตามก็เห็นด้วย “ผมไม่อยากให้คุณดูไม่ดีในสายตาคนอื่น”
อวัศยาคิดตาม ลิปดาพูดไปก็เตือนไปด้วยน้ำเสียงอบอุ่น จริงใจ ฟังแล้วรู้ถึงความหวังดี
“คุณไม่เคยเป็นแบบนี้ ผมไม่ถามว่าทำไม แค่อยากบอกว่า...สิ่งที่คุณทำมันไม่ใช่คุณ .. ถ้าทำไปเพราะอารมณ์ ขาดความยั้งคิด ก็แค่คิดให้มากหน่อย ถ้าคิดแบบ “อวัศยา” ที่ผมรู้จักเหตุการณ์ในวันนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น” 23
อวัศยาเริ่มฉุกคิด ลิปดาสระผมเสร็จก็ปล่อยน้ำล้างฟองให้อย่างนุ่มนวล อวัศยานิ่งเงียบไม่พูดอะไรแต่คิดไตร่ตรองจนเป็นความเงียบหนึ่งอึดใจที่งดงาม
“เรียบร้อยแล้ว...ไดร์เป่าผมอยู่ที่หน้ากระจกนะ ใช้ตามสบาย” ลิปดาว่า
ลิปดาออกจากอ่างโดยเตรียมจะเดินออกไป อวัศยาลุกขึ้นนั่งแล้วก็พูดขึ้น
“ขอบคุณมากค่ะบอส .. ขอบคุณที่สระผมให้ แล้วก็ขอบคุณที่เตือนสติ”
ลิปดาชะงักแล้วก็อมยิ้มนิดๆ ที่อวัศยาเข้าใจ
ลิปดาหันมาพูดยิ้มๆ “ด้วยความยินดี .. ผมออกไปรอข้างนอก เสร็จแล้วเดี๋ยวผมเดินไปส่งที่ห้อง ป่านนี้ยายคุณรอแย่แล้ว”
ลิปดาพูดยิ้มๆ แล้วก็เดินออกไปก่อนจะปิดประตูห้องน้ำ อวัศยานั่งอยู่ที่เดิมแล้วก็ถอนใจเบาๆ ที่สติเริ่มกลับมา
อรุณนอนหลับอยู่ที่โซฟา ลิปดากับอวัศยาที่ผมแห้งแล้วยืนอยู่ในห้อง อวัศยามองแล้วก็ยิ้ม
“โถยาย..สงสัยจะนอนรอจนหลับ .. โซฟานิ่มจะตายเดี๋ยวก็ปวดหลังพอดี ยาย ..” อวัศยาจะปลุก
ลิปดาพูดเสียงกระซิบ
“ไม่ต้องปลุก เดี๋ยวผมอุ้มเข้าไปในห้องเอง”
อวัศยากระซิบตอบ “หือ แน่ใจ หนักนะ”
ลิปดาเบ่งกล้ามเหมือนจะบอกว่า “จิ๊บๆ” ศยาขำเบาๆ ลิปดาอุ้มอรุณจากโซฟาพาไปนอนที่ห้อง v;yศยามองแล้วก็อมยิ้มนิดๆ อย่างรู้สึกดีและอบอุ่นใจโดยไม่รู้ตัว
ลิปดาวางอรุณลงบนเตียงอย่างแผ่วเบาก่อนจะหันมาทางอวัศยาและกระซิบกระซาบ
“ผมไปก่อนนะ คุณเองก็พักผ่อนได้แล้ว รู้หรือเปล่า”
“ค่ะ”
ลิปดาเดินไปโดยกำลังจะออกไปพ้นห้อง อวัศยาก็พูดไล่หลัง
“ขอบคุณอีกครั้งนะคะ บอส”
ลิปดาหันมายิ้มสดใสโดยไม่พูดอะไรแล้วก็เดินออกไป พอลิปดาเดินออกไป อรุณก็รู้สึกตัวในสภาพสะลึมสะลือ
“อ้าวศยา....กลับมาแล้วเหรอลูก..แล้ว..” อรุณมองห้อง “ยายมานอนในห้องได้ยังไง”
“บอสอุ้มยายมาค่ะ”
“เหรอ...แล้วงานเลี้ยงเป็นยังไงบ้าง เราไปอาละวาด เหวี่ยงวีนอะไรให้ญาติพ่อลิปเค้าเห็นหรือเปล่า”
เสียงอรุณคุยกับอวัศยาดังแว่วออกมานอกห้อง ลิปดายังยืนแอบฟังอยู่ที่หน้าห้อง
เสียงอวัศยาหัวเราะดังมาจากในห้อง “โธ่ ยายหนูไม่ใช่คนร้ายกาจอะไรขนาดนั้นสักหน่อย”
“อ้าว ใครจะไปรู้หล่ะ เมื่อก่อนเห็นไปไหนมาไหนก็เข้ากับใครเค้าไม่ได้”
“อ้าว ยาย หลอกด่าหนูป่ะเนี่ย” อวัศยาแซวขำๆ
ลิปดายิ้มๆ แล้วก็เดินจากมา พอหันหลังรอยยิ้มของลิปดาก็ค่อยๆหายไป ลิปดาเดินจากออกมาอย่างเงียบๆ
คอมพิวเตอร์ถูกเปิดทิ้งไว้ที่หน้าอีเมลของแอบรัก ฉบับที่ให้คำแนะนำ ปราณนต์มองคำแนะนำที่ว่า “.. ไปให้เห็นว่าเราไม่ได้เกลียดและ ไม่ได้รักเค้าแล้ว” ปราณนต์นั่งครุ่นคิดถึงคำพูดของอวัศยา
“มาก็ดีแล้ว .. รุ้งเค้าจะได้รู้ว่าเธอไม่ได้คิดอะไร”
ปราณนต์คิดหนัก แล้วก็ลงมือพิมพ์
“คุณแอบรัก...จริงๆแล้ว คุณคือพี่...”
ปราณนต์ชะงักมือ แล้วก็คิดถึงข้อความของแอบรักก่อนหน้านี้
เหตุการณ์ในอดีต ปราณนต์อ่าน “เราตกลงกันแล้วไม่ใช่เหรอว่าจะคุณจะไม่ตามสืบ ไม่ พยายามหาว่าฉันเป็นใคร ถ้าคุณยังไม่เลิกล้มความคิดนี้...เห็นทีเมื่อสายหมอกจางคุณจะไม่เจอใครยืนรออยู่เลย..ฉันจะหายไปเหมือนครั้งที่แล้ว ต่างตรงที่ฉันจะไม่กลับมา”
ปราณนต์ตกใจ
“เฮ้ย” ปราณนต์รีบพิมพ์ตอบทันที “เดี๋ยวครับคุณแอบรัก..ผมล้อเล่นน่ะครับ ผมไม่ลืมข้อตกลงระหว่างเรา..ได้ครับผมจะไม่พูดเรื่องนี้อีก ไม่พยายามสืบ และไม่เซ้าซี้อะไรทั้งนั้น..ขอแค่คุณอย่าหายไปอีกนะครับ”
เหตุการณ์ปัจจุบัน ปราณนต์ชะงักมือ คิด หยุดพิมพ์ และลบข้อความที่พิมพ์ไปเมื่อสักครู่ออก ปราณนต์กุมขมับคิดในใจว่ายังไงวะเนี่ย ปราณนต์มองดูหน้าอีเมลที่ว่างเปล่าเพราะยังไม่ได้พิมพ์
อวัศยานั่งมองจอคอมพิวเตอร์ซึ่งเปิดที่หน้าบล็อคของตัวเอง อวัศยานั่งคิดถึงสิ่งที่ลิปดาพูดในห้องน้ำ
“คุณไม่เคยเป็นแบบนี้ ผมไม่ถามว่าทำไม แค่อยากบอกว่า...สิ่งที่คุณทำมันไม่ใช่คุณ .. ถ้าทำไปเพราะอารมณ์ ขาดความยั้งคิด ก็แค่คิดให้มากหน่อย ถ้าคิดแบบ “อวัศยา” ที่ผมรู้จักเหตุการณ์ในวันนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น” 11
อวัศยาคิดแล้วก็พิมพ์
“คำโกหกไม่มีสีมีแต่เสีย ..”
อวัศยาเริ่มพิมพ์บทความ
“หลายคนอาจจะเคยได้ยินคำว่า White Lie แปลตรงตัวคือ การโกหกสีขาว หรือ การโกหกที่มีเจตนาดี เพราะเรื่องบางเรื่องในชีวิตจริง เราไม่สามารถพูดความจริงได้ทั้งหมด..การโกหกเล็กๆน้อยอาจจะทำให้ชีวิตราบรื่นขึ้น ลดปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นได้”
อวัศยาหยุดคิดถึงเรื่องของตัวเอง
เหตุการณ์ตอนที่ลิปดากับอวัศยาโกหกว่าเป็นแฟนกันแวบขึ้นมา
“ใครบอกว่าหนูไม่แสดงความรัก..หนูรักบอสจะตาย !! รักกันนะ รักกันรักกัน” อวัศยาพูด
“ใช่ครับ..เราสองคนรักกันมาก” ลิปดาโอบอวัศยา อวัศยาเริ่มตัวเกร็ง “แต่ศยาเค้าจะขี้อายน่ะครับ ไม่ค่อยกล้าแสดงออกต่อหน้าคนอื่น..จริงมั๊ยจ้ะฮันนี่”
อวัศยาคิดถึงตอนที่ปราณนต์บอกว่าพริบพราวไม่ใช่แฟน
อวัศยาถาม “แล้ว..เธอกับพราวเป็นแฟนกันจริงๆหรือเปล่า”
“อ๋อ..ก็ไม่จริงเหมือนกันครับ..คือ ผมกับพราวก็แค่เล่นละครหลอกรุ้งน่ะครับ” ปราณนต์บอก
อวัศยาคิดแล้วก็พิมพ์ต่อ
“เราจึงเลือกที่จะโกหกเพื่อเลี่ยงปัญหา ... มัน “อาจจะ” ขีดเส้นใต้และทำตัวหนานะคะ .. “อาจจะ” เป็นประโยชน์ในบางครั้ง แต่การโกหกก็คือการโกหกไม่ว่าจะพยายามแต้มสีลงไปให้บริสุทธิ์ สะอาดแค่ไหน มันก็คือการโกหกอยู่ดี .. และเป็นสิ่งที่มาร์เก็ตติ้งไม่ควรทำ”
อวัศยาพิมพ์แล้วก็สะท้อนใจ
ลิปดานอนอ่านบล็อกของอวัศยาอยู่ที่โซฟาในห้องในบรรยากาศเหงาๆ
“เพราะทุกครั้งที่โกหก ความน่าเชื่อถือจะลดลงทันที มาร์เก็ตติ้งอยู่ได้ด้วยความไว้วางใจของลูกค้าที่มอบหมายให้เราดูแลเงินของพวกเขา ถ้าเราทำให้ความไว้วางใจลดถอยลง .. สักวันลูกค้าก็จะไม่อยู่กับเรา”
ปราณนต์อ่านบล็อคอวัศยาจากคอมพิวเตอร์
“ในชีวิตจริงอาจจะมีเรื่องที่ทำให้เราต้องหลอกลวงคนอื่นบ้าง เพื่อเลี่ยงปัญหา เพื่อเอาชนะ เพื่อความสบายใจ หรือเพื่ออะไรก็ตาม เราต้องถามตัวเองว่ามันเป็นทางออกที่ถูกต้องจริงๆ หรือ..เราคิดเข้าข้างตัวเอง”
ปราณนต์ชะงักแล้วก็คิดถึงตอนที่ปราณนต์แชตกับแอบรัก
“เดี๋ยวครับคุณแอบรัก..ผมล้อเล่นน่ะครับ ผมไม่ลืมข้อตกลงระหว่างเรา..ได้ครับผมจะไม่พูดเรื่องนี้อีก ไม่พยายามสืบ และไม่เซ้าซี้อะไรทั้งนั้น”
ปราณนต์คิด...
พริบพราวนั่งอ่านบทความจากมือถืออยู่บนเตียงนอน
“การโกหกไม่ว่าจะด้วยเจตนาอะไรก็ตาม..มันคือความไม่จริง ถ้าเราโกหกคนอื่นไว้มากๆ เท่ากับเราได้สร้างความไม่จริงในความคิดมากขึ้นเรื่อยๆ สร้างโลกแห่งการหลอกลวงไว้รอบตัวเรา สุดท้ายถ้ายังไม่หยุดโกหก..ตัวเราเองคือคนที่ติดอยู่ในกับดักแห่งความไม่จริง”
พริบพราวอ่านถึงตรงนี้แล้วก็เบ้หน้านิดๆ
“เขียนซะดูดี..ตัวเองนั่นแหละจอมสร้างภาพ” พริบพราวว่า
พริบพราวอ่านด้วยอคติ
อวัศยาพิมพ์ต่อ
“และเราเองคือคนที่ต้องเจ็บปวดจากการโกหก..เพราะไม่ว่าเราจะพยายามทำให้ทุกอย่างมันดูดี หลบเลี่ยงทุกปัญหามาได้อย่างสวยงามแค่ไหน แต่ลึกๆในใจเรารู้ว่ามันไม่ใช่ความจริง ... และการมีชีวิตอยู่บนความไม่จริงที่เราเองก็ไม่รู้ว่าจะจบลงอย่างไร มันคือความทุกข์ที่สุด .. ฝันดีค่ะ”
อวัศยาถอนใจ
ลิปดาเศร้าๆ เขานึกถึงตอนที่ตัวเองมีความสุขเวลาที่อยู่ในฐานะแฟนของอวัศยา ลิปดาถอนใจ... คิดว่า “มันไม่จริง”
ปราณนต์คิดแล้วก็โคตรจะเห็นด้วย
“ใช่..เพราะลึกๆผมก็ยังอยากรู้อยู่ดีว่าคุณเป็นใคร..คุณแอบรัก”
ปราณนต์คิดถึงแอบรักและตัวเอง..
อวัศยาปิดคอมพิวเตอร์ พริบพราวปิดหน้ามือถือ ส่วนลิปดาปิดแท็ปแล็ต ลิปดา อวัศยา ปราณนต์ และพริบพราวอยู่กับความคลางแคลงใจที่ไม่มีคำตอบ
เช้าวันต่อมา ผู้คนในเมืองวุ่นอยู่กับการใช้โทรศัพท์ แทปแล็ต ทั้งเด็กที่นั่งบนรถก็ดูการ์ตูนจากแทปแล็ต คุณพ่อดูข่าวจากมือถือ คุณแม่เช็คเฟซบุ๊ค วัยรุ่นที่ป้ายรถเมล์นั่งเล่น ig หนุ่มสาวที่เดินอยู่ริม
ถนนก้มหน้าก้มตาดูแต่มือถือโดยไม่มีใครเงยหน้ามาสบตากัน
รันและอวัศยาต่างก็เดินไปแชตไป
รันพิมพ์ข้อความส่งไป
อวัศยาที่เดินอยู่มีข้อความเข้าจึงหยิบมาอ่าน “แล้วแกรู้หรือเปล่าว่า
ปราณนต์ปรึกษาแกเรื่องงานเมื่อคืน” อวัศยาพิมพ์ตอบกลับไป
รันเดินไปอ่านไป “ไม่รู้ ถ้ารู้ฉันจะแนะนำให้เค้าไปทำไมหล่ะ ฉันก็นึกว่างานอื่น อุตส่าห์ปูทางให้มาชวนฉัน ดันเป็นเด็กนั่นได้ไงไม่รู้”
รันกดส่งสติ๊กเกอร์หน้าเซ็งไป รันพิมพ์กลับ
อวัศยาเปิดอ่าน “แกซวยแน่ !”
อวัศยาผงะ “ซวยอะไร”
เสียงรันดังขึ้นมาทันที
“ก็ซวยที่ปราณนต์คิดถึงเด็กนั่นแทนที่จะคิดถึงแกน่ะสิ”
อวัศยาหันขวับมาเห็นรันยืนอยู่ข้างๆ ก็ตกใจ “เฮ้ย”
รันยิ้มหวานทักทายก่อนจะส่งแก้วกาแฟให้อวัศยา อวัศยารับไปแล้วรันก็เม้าต่อเนื่อง
“ขนาดเธอย้ำบอกว่า “ชวนคนที่เป็นผู้ใหญ่กว่า” เค้ายังไม่คิดถึงเธอเลย ยัยเด็กพราวมันเป็นผู้ใหญ่กว่าตรงไหน ชวนแสนดี นิดา ยังน่ากังวลน้อยกว่านี้”
รันกับอวัศยาเดินไป เม้าไป ระหว่างทางก็เห็นวิถีชีวิตหนุ่มสาวเมืองๆ อวัศยาฟังแล้วก็คิดตาม
“ฉันว่าสองคนนี้มันมีอะไรทะแม่งๆ ตั้งแต่ตอนที่ฉันไปเจอที่โฮมสเตย์ดูรูปที่ฉันส่งมาให้เธอสิ กอดรัดแน่นเปรี้ยะ เธอต้องไม่ยอมนะศยา”
อวัศยาหยุดเดินแล้วก็หันมา “ฉันยอม”
“หือ !!”
“พริบพราวอาจจะเหมาะกับณนต์มากกว่าฉันก็ได้นะ..โดยเฉพาะ “อายุ” คนรุ่นราวคราวเดียวกัน อาจจะเข้ากันได้ดีกว่า ฉันอาจจะ..” อวัศยาไม่กล้าพูดต่อ
รันพูดเน้น “แก่” เกินไป” อวัศยาปรายตามามองเคืองๆ “หยุดความคิดแบบนั้นเดี๋ยวนี้นะศยา ความคิดลบๆ มีแต่จะบวกให้อายุหล่อนเพิ่มขึ้น นี่ !! ถ้าเดมี่ มัวร์คิดแบบหล่อนนางคงไม่ได้แต่งงานกับแอชตันอายุห่างกันตั้ง 15 ปี”
“แต่เค้าก็หย่ากันนะ”
“ใช่ แล้วตอนนี้นางก็เดทดับฌอน ฟรายเดย์ เป็นนักดนตรีอายุห่างกัน 24 ปี”
“24 ปี!”
“อื้อ เพราะฉะนั้นเป็นผู้หญิงอย่าเอาสังขารมาล่ามความรักให้ผูกติดอยู่กับเสาบ้าน เพราะอีกสักพักมันจะปีนขึ้นไปอยู่บนคาน”
อวัศยาสะอึก
“เธอฟื้นชีพให้แอบรัก นั่นคือสิ่งที่ถูกต้อง แต่มันยังไม่พอ.” รันจับไหล่เพื่อน “มันอาจจะถึงเวลาที่เธอจะต้องเปิดเผยความจริงว่าเธอคือแอบรัก ก่อนที่ปราณนต์จะสับสน และพริบพราวจะเข้ามาเสียบ”
รันย้ำ อวัศยาคิดหนัก
ลิปดาวางหมวกกันน็อคไว้บนโต๊ะหน้าองศาก่อนจะนั่งลงพูดด้วยความรีบเหมือนไม่อยากมา
“นัดมาแต่เช้าเลย ถ้าเมื่อคืนคนของผมไม่ทำงานพี่พัง อย่าหวังเลยว่าผมจะมา..พี่มีอะไรรีบพูดมาเลย ผมมีนัดลูกค้าต่อ”
องศาวางแก้วกาแฟแล้วโน้มตัวมาหาลิปดา “ส่งตัวศยามาทำงานกับฉัน ถ้าแกไม่อยากเสียเค้าไป”
ลิปดาชะงัก องศาใส่ต่อ
“อย่าบอกนะว่าเสือผู้หญิงอย่างแกดูไม่ออกว่าผู้ช่วยคนเก่งแอบมีใจให้เด็กในออฟฟิศ แถมผู้ชายยังมีแฟนอยู่แล้ว ถ้าปล่อยไว้นานกว่านี้ สิ่งที่จะพังอาจจะไม่ใช่แค่ขนมเค้กวันเกิดของฉัน”
ลิปดานิ่งไม่ตอบ เขาดูท่าทีขององศาอย่างระมัดระวัง องศาถอยไปนั่งเอนหลังสบายๆ ก่อนจะเริ่มเข้าข้อเสนอ
“ทางที่ดีแกควรจะมาช่วยฉันเปิดบริษัทใหม่ ไม่ต้องลงเงิน ลงแรง ลงสมอง แล้วส่งศยามาคุม..มีแต่ได้กับได้..ได้เงิน ได้บริษัทใหม่ และก็ไม่ต้องเสียผู้หญิงที่แกรัก”
ลิปดาชะงัก องศายิ้มแล้วพูดต่อ
“ฉันรู้ว่าแกคิดกับอวัศยามากกว่าลูกน้อง ไม่งั้นแกคงไม่พามางานเมื่อคืน แล้วก็คงจะไม่เป็นห่วงออกนอกหน้าแบบนั้น”
ลิปดายิ้ม “พี่องศานี่ฉลาดจริงๆ มองเกมทะลุปรุโปร่ง ไม่เสียแรงที่อยู่วงการการเงินมานาน” องศายิ้ม “ที่จริงข้อเสนอของพี่ดีมากๆเลยนะครับเสียอย่างเดียว ผมไม่นิยมการจับเสือมือเปล่า”
องศาชะงักแล้วก็หน้าเครียด รอยยิ้มหายไป
ลิปดาพูดต่อ “พี่คงศึกษามาแล้วว่าการเปิดบริษัทโบรกเกอร์ ต้องใช้คนที่มีคุณสมบัติได้รับความเห็นจาก ก.ล.ต. ยิ่งถ้าคนที่มีเครดิต มีประสบการณ์เยอะๆยิ่งน่าเชื่อถือ พี่เลยไม่ลงทุนทำเอง แต่ใช้วิธี “เอาเงินมาล่อ” ให้ผมมาออกหน้าขออนุญาต..มันง่ายเกินไปครับ..ผมไม่สนับสนุน”
องศาชักสีหน้าเพราะเริ่มไม่พอใจ
“บริษัทซื้อขายหลักทรัพย์ต้องรับผิดชอบทั้งเงินและชีวิตของลูกค้าถ้าแค่เริ่มต้นก็ใช้วิธีง่ายๆหวังเงิน ทั้งชีวิตและเงินของลูกค้าก็อยู่ในความเสี่ยง ผมไม่ขอร่วมด้วย”
“ถ้าแกปฎิเสธ เท่ากับเพิ่มศัตรู ไม่ว่ายังไงฉันก็จะเปิดบริษัท”
“ก็ตามสบายเลยครับ ผมไม่กลัว”
ลิปดากับองศามองตากันไม่มีใครยอมใคร
“ส่วนเรื่องศยา ถ้าพี่ได้เห็นตัวเลขกำไรที่ศยาทำให้บริษัทในแต่ละเดือน พี่จะรู้เองว่าทำไมผมถึงแคร์เขา เพราะฉะนั้นเรื่องระหว่างผมกับศยา..มีแต่เรื่องงานล้วนๆ ไม่มีเรื่องส่วนตัว เสียใจด้วยที่พี่มองพลาด”
ลิปดายิ้มทิ้งท้ายแล้วก็หยิบหมวกกันน็อคเดินกลับออกไป องศาแค้นมาก
“ไม่จริง..มันจะไม่มีเรื่องส่วนตัวได้ยังไง..ฉันไม่เชื่อ”
องศายังฝังใจและแค้นใจที่โดนปฎิเสธ
ลิปดาเดินออกมาหน้าร้านล็อบบี้จากสีหน้าสบายๆ ในตอนแรกเปลี่ยนเป็นเครียด ลิปดาหยิบโทรศัพท์ออกมาโทร.ออก
พริบพราวคุยโทรศัพท์ด้วยความไม่พอใจ
“พราวยังไม่ได้ขอโทษพี่ศยาค่ะ และไม่คิดจะขอโทษด้วย”
พริบพราวเดินมาคุยที่มุมหนึ่งของบริษัท
ลิปดาพยายามเกลี้ยกล่อม
“เมื่อวานเราคุยกันแล้วนะพราว..พี่ไม่อยากให้เรื่องเล็ก กลายเป็นเรื่องใหญ่”
พริบพราวไม่ยอม
“พราวไม่ได้อยากให้มันเป็นเรื่องใหญ่นะคะ .. แต่พราวแค่เห็นว่าการขอโทษมันไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น ถ้าพี่ลิปทำให้พี่ศยามาขอโทษพราวได้ พราวก็จะขอโทษเค้าเหมือนกัน .. ขอโทษนะคะที่ต้องขัดคำสั่งบอส สวัสดีค่ะ”
พริบพราววางสายทันที
ลิปดากดวางสายไปด้วยความหนักใจ
แจนพูดกับลิปดาอยู่ในร้านของเธอ
“ลิปห่วงความรู้สึกคุณศยามากเลยนะ รู้ตัวหรือเปล่า”
ลิปดาที่กำลังจะดื่มกาแฟถึงกับชะงักกึก
“ก็..รู้ตัวสิ..ผมก็เป็นแบบนี้กับลูกน้องทุกคน” ลิปดาแก้ตัว
“ไม่ค่ะ..ถ้าเป็นกับทุกคน คุณจะไม่บังคับให้รุ่นน้องคุณไปขอโทษคุณศยาฝ่ายเดียว เพราะเท่าที่ฟัง..เหมือนทั้งสองคนก็ผิดทั้งคู่”
“ผมก็พูดเตือนศยาเหมือนกัน แต่ที่ให้พราวขอโทษ เพราะเค้าเป็นเด็ก”
แจนยิ้ม “เมื่อก่อนลิปไม่เคยสนใจเรื่องระบบอาวุโสเลยนะ จะเด็ก หรือ ผู้ใหญ่ทุกคนเท่ากัน” แจนว่า ลิปดาชะงักและยอมรับว่าจริง “แจนว่าหยุดแก้ตัวเถอะ ยิ่งแก้จะยิ่งมัดตัวเองเปล่าๆ” แจนยิ้ม
“โอเค” ลิปดายกมือ “แจนต้อนผมจนมุมแล้ว หลังพิงฝา อยากรู้อะไรถามมาเลย ผมยอม”
แจนหัวเราะ “เมื่อวานตอนลิปไปงาน คุณยายโทร.มาคุยกับแจน ถามตรงๆว่าลิปกับคุณศยาเป็นแฟนกันหรือเปล่า”
ลิปดาตกใจจึงรีบถาม “แล้วแจนตอบว่ายังไง”
“ดีนะที่แจนหัวไวเลยรับมุกรอดไปได้ .. ยายก็เลยน้ำเสียงร่าเริง ชมลิปใหญ่เลย บอกว่าเหมาะสมกับคุณศยา” แจนบอก ลิปดายิ้ม แจนมอง “ตกลงเรื่องมันเป็นยังไงมายังไง ทำไมจู่ๆไปเป็นแฟนกับคุณศยา “
“อ๋อคือ..ยายจะจับศยาแต่งงานถ้าหาแฟนไม่ได้ ผมก็เลยสวมรอยเล่นเป็นแฟนให้”
“หือ ตั้งแต่รู้จักกันมา ลิปไม่ชอบเล่นละคร ไม่ชอบทำอะไรที่ฝืนตัวเอง ไม่ชอบโกหก ทำไมคราวนี้ถึงยอม มีอะไรมากกว่านี้หรือเปล่า”
แจนรอคำตอบ ลิปดากลืนน้ำลายเอื๊อกแล้วก็เฉไฉ
“ไม่มี๊..ผมแค่ช่วยในฐานะคนรู้จักกันมานาน แค่นั้นเอง” ลิปดาปฏิเสธ แจนไม่เชื่อ ลิปดาเฉไฉ “เออแจน..ผมมีนัดลูกค้าอีกคนตอนบ่าย ไปก่อนนะ”
ลิปดายิ้มกลบเกลื่อนแล้วก็ลุกเดินออกไปเลย แจนมองตามอย่างไม่เชื่อเพราะคิดว่าต้องมีอะไรแน่ๆ ลิปดาที่เดินออกมาหน้าร้านถอนใจเบาๆ เพราะรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองเอาเสียเลย
กระดาษสรุปยอดของปราณนต์อยู่ในมือรุจน์ รุจน์ ลิลลี่ และพีระยืนดูด้วยความประหลาดใจ
“ทำไมอยู่ๆ ไอ้ณนต์มันถึงทำยอดพุ่งขนาดนี้วะเนี่ย ขึ้นมา 70 เปอร์เซ็นต์ เป็นอันดับสองเป็นรองก็แต่น้องพราว”
รุจน์ ลิลลี่ พีระ พริบพราว และแสนดีนั่งเม้ากันอยู่ ที่แคนทีน
พริบพราวรีบดึงมาดู “จริงๆด้วย”
แสนดีคิด “หรือว่า..ที่น้องพราวเคยพูดไว้จะเป็นความจริง”
พริบพราวหันมาถามงง “พูดว่าอะไร?”
แสนดีพูดต่อ “ที่บอกว่าน้องณนต์มีคนช่วยเรื่องงานไงคะ”
ลิลลี่สวน “ยัยแอบรักที่คุยในแชต”
แสนดีพูดต่อ “ใช่ บางทีที่ยอดน้องณนต์พุ่ง อาจจะเป็นเพราะยัยนั่นก็ได้”
“แต่คุณรุจน์บอกว่าน้องณนต์เลิกแชตแล้วนี่” พีระว่า
“ใช่ เลิกแชต ! เปลี่ยนมาส่งอีเมลแทน” รุจน์บอก
ทุกคนหันขวับ
“พี่รุจน์รู้ได้ยังไง” ลิลลี่ถาม
“พี่ก็ถามตรงๆ ไอ้ณนต์มันก็บอกตรงๆ แล้วมันก็กำชับไม่ให้พี่บอกใคร”
รุจน์ชะงักเพราะเพิ่งรู้สึกตัว เขามองกวาดไปรอบๆ ก็เห็นว่ามีตั้ง 4 คนแน่ะ
“ไม่ทันแหละ” พีระว่า
รุจน์ยิ้มแหยๆ แล้วก็พูดลอยๆ ด้วยความรู้สึกผิด
“ขอโทษนะณนต์..พี่ไม่ได้ตั้งใจ”
แสนดีเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราว
“เดี๋ยว .. เดี๋ยว .. เดี๋ยว...ฉันคิดว่า..ฉันเริ่มเห็นจิ๊กซอร์ของเรื่องนี้แล้ว .. ถ้าบอสกับพี่ศยาแอบเป็นแฟนกัน บอสแอบหึงปราณนต์ เพราะคิดว่าพี่ศยาจะแอบกิ๊กกับณนต์..แบบนี้มันจะเป็นไปได้หรือเปล่าว่า..จริงๆแล้วพี่ศยา คือ แอบรัก”
ทุกคนสะดุ้งโหยง แต่ก็ไม่มีใครแย้ง
พริบพราวอึ้งเพราะคิดในใจว่าจริงด้วย
ภาพตอนที่ปราณนต์กับอวัศยาเต้นรำกันอย่างหวานชื่นแวบขึ้นมาในหัวพริบพราว
พริบพราวเริ่มจะเห็นด้วยกับแสนดี
“แอบรัก...คือพี่ศยา”
อวัศยานั่งทำงานอยู่โดยกำลังพิมพ์สรุปรายงานโดยใช้โปรแกรมเวิร์ด เสียงอีมลเข้าดังขึ้นจากมือ
ถือ อวัศยารีบหันไปหยิบแทบแล็ตมาเปิดดูทันที
“อ้าวไม่มี” อวัศยานึกได้จึงหยิบโทรศัพท์มาเปิดดู “เฮ่อ ! เมลงานไม่ใช่เมลส่วนตัว”
ข้อความเข้ามาจาก Libda@narabroker.co.th
อวัศยาเปิดอ่านแบบแอบเซ็งเบาๆ
“ลูกค้าต้องการบทวิเคราะห์ภาวะตลาดวันนี้ เมลมาให้ผมด้วย “
อวัศยาเซ็ง “จบ ! ห้วน สั้น ตามเคย”
อวัศยาส่ายหน้าแล้วหันมาทางคอมพิวเตอร์ ก่อนจะเปิดอีเมลจากคอมพิวเตอร์อีกครั้ง อวัศยาพิมพ์เมลชื่อลิปดาและแนบไฟล์ดาวน์โหลดไฟล์ให้ลิปดา
เสียงอีเมลเข้าอีกครั้ง คราวนี้ดังจากแท๊ปแล็ต อวัศยาหยิบมือถือมาดูแบบไม่คาดหวังแล้วก็ไม่เห็นว่ามีอีเมลเข้า อวัศยาตาวาวนิดๆ เธอรีบหยิบแทบแล็ตมาเปิดดูเห็นที่หน้าจอขึ้นว่า Pranont14@hotmail.com อวัศยายิ้มและรีบกดเข้าไปอ่าน
“สวัสดีครับคุณแอบรัก .. ก่อนอื่นผมต้องขอขอบคุณสำหรับคำแนะนำ ผมไปเผชิญหน้ากับคนที่เคยรักมาแล้ว..มันเป็นความรู้สึกเบาสบายใจดีจริงๆ วันนี้ของคุณเป็นยังไงบ้าง”
อวัศยายิ้มนิดๆ อย่างกระชุ่มกระชวยหัวใจดี อวัศยาอ่านต่อในใจ
“คุณรู้มั๊ย หลังจากอ่านเมลล์ฉบับที่แล้วของคุณ คำถามมากมายวนเวียนในสมองผม...เมื่อไหร่ที่หมอกจะสลาย และความรักของคุณที่ซ่อนตัวอยู่หลังสายหมอกนั่นจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร”
อวัศยาอ่านไปยิ้มไป
ปราณนต์นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน เขามองมาที่โต๊ะพริบพราว แต่ไม่เห็นพริบพราว
อีเมลจากปราณนต์ “และในเมื่อตอนนี้ผมยังไม่สามารถหาคำตอบด้วยตัวเองได้ ผมจึงปรึกษาเพื่อนรักของผมไปพลางๆ ก่อน เพื่อนคนนี้ชื่อว่า google ครับ ผมเพิ่งรู้จากกูเกิ้ลว่า Love in a mist หรือ รักในสายหมอก นั้นเป็นชื่อของดอกไม้”
พริบพราวกับแสนดีอยู่ที่อีกมุมของบริษัท ทั้งสองแอบมองปราณนต์ด้วยความอยากรู้
“ผมเห็นหน้าตาของเจ้าดอกไม้ดอกเล็กๆ นั่นแล้ว สิ่งที่ทำให้ผมประหลาดใจก็คือ...ผมพบว่าดอก Love in a mist ที่แสนจะโรแมนติก กลับมีชื่อเรียกอีกชื่อที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้วว่า Devil in a bush หรือ...ปีศาจในพุ่มไม้”
อวัศยานั่งอ่านอีเมลแล้วก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
“คุณแอบรักครับ...บอกผมได้ไหมว่าคุณคือ ‘รักในสายหมอก’ หรือว่า ‘ปีศาจในพุ่มไม้’ กันแน่”
รุจน์ พีระ และลิลลี่แอบดูอวัศยาแล้วก็หันมาซุบซิบกัน
“คุณศยาอ่านอะไร อ่านแล้วยิ้มเล็กยิ้มน้อย”
“ใช่ ไม่เคยเห็นนางโหมดนี้เลยนะ” ลิลลี่ว่า
“นั่นสิ..เดี๋ยวพี่จะลองไปเชคกับไอ้ณนต์ดูว่าวันนี้มันส่งเมลถึงแอบรักหรือยัง”
ลิลลี่กับพีระพยักหน้ารับ
ปราณนต์ตอบตรงๆ
“ส่งไปแล้วครับ เมื่อกี๊นี้เอง”
รุจน์ตาวาว
“ชัดเจน” รุจน์บอก
ปราณนต์เอะใจ “อะไร ทำไม ยังไงครับเนี่ย พี่รุจน์คิดอะไรอยู่”
“เปล๊า !! พี่ไม่ได้คิดอะไร”
รุจน์ตอบหน้าซื่อตาใส
รุจน์ประกาศออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“เราจะต้องหาหลักฐานมาพิสูจน์ให้ได้ว่าพี่ศยาคือแอบรัก”
รุจน์ พริบพราว ลิลลี่ พีระ และแสนดีประชุมกันที่แคนทีน
“เดี๋ยว..เดี๋ยว...เดี๋ยว นี่เราสรุปกันแล้วเหรอว่าคุณศยา เท่ากับ แอบรัก” พีระถาม
รุจน์ตอบทันที “ยัง”
ทุกคนตกใจ “อ้าว !”
“แต่เราก็ต้องตั้งสมมุติฐานเอาไว้ก่อนไง พอตั้งไว้แล้ว ก็ค่อยซ.ต.พ. หรือก็คือ ซึ่งต้องพิสูจน์” รุจน์ว่า
“แล้วจะพิสูจน์ยังไง ฉันกับน้องพราวพยายามมาหลายวิธีแล้วตั้งแต่สมัยเค้ายังแชตกัน ยังพิสูจน์ไม่ได้เลย” แสนดีว่า
“แต่ถ้าเมลหากันน่าจะหาได้ง่ายกว่าแชตนะคะ เพราะอย่างน้อย ถ้าเราเข้าไปในอีเมลพี่ศยาได้ เราก็จะรู้ว่าเค้าเมลหากันหรือเปล่า” ลิลลี่บอก
“เออจริง น้องลิลลี่ฉลาดมากๆเลยนะจ้ะ” รุจน์จับมือลิลลี่แบบเนียนมาก
ลิลลี่ดึงมือออกแล้วก็ตบหน้ารุจน์แปะๆ “ชมเฉยๆ ไม่ต้องจับมือก็ได้นะจ๊ะ” ลิลลี่เสียงดุขึ้น “แล้วก็อย่าออกนอกเรื่อง กลับเข้าเรื่องเดี๋ยวนี้ จะหมดเวลาพักแล้ว เร็ว”
“ครับ” แล้วรุจน์ก็รีบหันมาพูดจริงจังเหมือนเดิม “วิธีเดียวที่เราจะเข้าถึงเมลพี่ศยาได้ก็คือ....” ทุกคนรอฟัง รุจน์พูดต่อ “เราต้อง “แฮค” คอมพี่ศยา”
ทุกคนอึ้ง
“แต่พวกเราไม่ใช่แฮคเกอร์นะ จะได้เข้าแอบเข้าไปในคอมพิวเตอร์คนอื่นได้” พีระว่า
“ใช่..เราไม่ใช่แฮคเกอร์ แต่ผมรู้จักคนที่ทำให้เราได้”
แสนดีหันขวับมาถาม “ใคร”
ทุกคนทำหน้าอยากรู้สุดๆ
สหัส ช่างคอมพิวเตอร์อ้วนๆ เนิร์ดๆ ตอบเสียงเนืองๆ ตามสไตล์โอตากุ
“มันก็ทำได้อ่ะนะครับเพ่”
รุจน์ ลิลลี่ แสนดี และพีระยืนล้อมรอบสหัสที่อยู่ในห้องคอมพิวเตอร์ พริบพราวยืนห่างออกมาหน่อยคล้ายเป็นผู้สังเกตการณ์
“เพราะคอมทุกตัวจะมี IP แล้วการใช้งานก็จะถูกบันทึกไว้ ถ้าพี่ศยาเคยเปิดเมลด้วยคอมของบริษัท ผมก็จะเข้าไปดูได้” สหัสบอก
ทุกคนตาวาว “อ๊า !”
สหัสพูดต่อ “แต่มันผิดกฎบริษัท”
ทุกคนตาวูบลง “อ้าว”
“เฮ้ย พวกฉันไม่ได้จะขโมยเอาข้อมูลสำคัญอะไรสักหน่อย แค่เข้าไปในเมลของพี่ศยาแค่นั้นเอง แล้วฉันก็สาบานว่าจะไม่อ่านเมลอะไรทั้งนั้น” รุจน์ว่า
“ใช่ พวกพี่ๆ ก็แค่อยากรู้ว่า..พี่ศยาติดต่อกับใครบ้าง เอาแค่รายชื่อคนที่เค้าติดต่อด้วย จะขอดูแค่นั้นเลย” แสนดีบอก
“แต่มันก็เสี่ยงนะครับ..ถ้าผมทำแล้วโดนจับได้..โดนไล่ออก พวกพี่ไม่ซวยผมซวย”
“เรื่องนี้ไม่ต้องห่วง พี่มีของดีให้” รุจน์ควักพระออกมา“พระรอด” เนื้อดี พิมพ์นิยม ลิมิตเต็ดอิดิชั่น ปล่อยตอนนี้ไม่ต่ำกว่าแสน ถ้าสหัสช่วยพี่ พี่ให้เอาไปเลย”
สหัสช๊อค “อะ ถามจริง”
รุจน์ยัดใส่มือ “เอาไปเลย ของดี มีไว้แจกกัลยาณมิตร อย่าคิดมาก ช่วยพวกพี่หน่อยก็แล้วกัน”
สหัสมองพระในมือแล้วก็ครุ่นคิด พริบพราวลุ้น
อ่านต่อหน้าที่ 2
แอบรักออนไลน์ ตอนที่ 8 (ต่อ)
อวัศยาอ่านอีเมลแล้วก็นั่งคิดๆ พร้อมทั้งยิ้มพริ้มเพรา
“..บอกผมได้ไหมว่าคุณคือ ‘รักในสายหมอก’ หรือว่า ‘ปีศาจในพุ่มไม้’ กันแน่...”
อวัศยาคิดๆๆ...แล้วก็นึกสนุกหันมาทางคอม..เปิดเมลของแอบรัก เข้าไปในเมลของปราณนต์ และกดReply อวัศยากำลังจะพิมพ์แล้วก็เปลี่ยนใจปิดหน้าต่างอีเมลลง แล้วเข้าไปในเอกสารเวิร์ด อวัศยาเริ่มพิมพ์
“รู้หรือเปล่า ปราณนต์ สำหรับฉันแล้ว มันไม่แปลกเลยที่ดอก Love in a mist จะมีชื่อเรียกอีกอย่างว่า Devil in a bush เพราะความรักที่ชุ่มชื่นอ่อนหวานเหมือนสายหมอกนั้น ในบางเวลามันก็อาจซ่อนความร้ายกาจที่สามารถทำลายหัวใจคนให้เจ็บปวดได้เหมือนปีศาจที่ซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้”
อวัศยาพิมพ์อย่างสนุกสนานโดยไม่ได้รู้เลยว่าอันตรายกำลังคืบคลานเข้ามา
สหัสตัดสินใจ
“โอเคครับพี่ผมรับทำ”
รุจน์ พีระ ลิลลี่ และแสนดีดีใจ “เยส”
พริบพราวยิ้มพอใจ
สหัสพูดต่อ “แต่...เมื่อกี๊ผมเห็นพี่ศยาอยู่ที่ห้องทำงาน ถ้าพี่เค้ายังอยู่ที่คอม ผมก็ทำไม่ได้นะครับ เพราะตอนที่แฮคเข้าไป ผมจะควบคุมคอมของพี่ศยาจากห้องนี้ เวลาที่ผมเข้าไปทำอะไรในคอมพี่เค้า เค้าจะเห็น อย่างเช่น..ผมเลื่อนหน้าจอเม้าแบบนี้” สหัสทำให้ “เค้าก็เห็น เพราะฉะนั้น..ต้องให้พี่เค้าไปอยู่ที่อื่นที่ไม่ใช่หน้าคอม”
“หะ ? แล้วจะให้พี่ศยาไปอยู่ไหนวะ”
ทุกคนคิด แล้วพริบพราวก็คิดออก
“พราวมีวิธีค่ะ”
ทุกคนหันขวับกลับมา พริบพราวยิ้มนิดๆ ด้วยความมั่นใจ
อวัศยาพิมพ์ตอบ
“ฉันเชื่อว่าคุณต้องเห็นด้วย เพราะคุณเองก็เคยเจอฤทธิ์ความร้ายกาจของปีศาจในพุ่มไม้มาแล้ว”
อวัศยายังคงพิมพ์ตอบต่อเนื่อง
“ส่วนที่คุณถามฉันว่าฉันคือรักในสายหมอก หรือว่าปีศาจในพุ่มไม้กันแน่...แน่นอนค่ะ ฉันก็ต้องตอบว่าฉันคือความรักในสายหมอก ฉันยืนยันเหมือนที่ยืนยันตลอดมา ว่าฉันไม่เคยมีเจตนาจะโกหกหรือหลอกลวง แต่ที่ฉันไม่เปิดเผยตัวเพราะความขี้ขลาดของฉันเท่านั้น”
อวัศยาพิมพ์ไปอย่างมีความสุข
พริบพราวคุยโทรศัพท์อยู่ที่มุมหนึ่งของบริษัท
“พี่ลิปคะ..พราวเปลี่ยนใจแล้ว..พราวจะขอโทษพี่ศยาก็ได้นะคะ .. แต่พี่ลิปต้องช่วยพราวหนึ่งอย่าง”
พริบพราวคุยโทรศัพท์ด้วยแววตาเจ้าเล่ห์นิดๆ
อวัศยาพิมพ์ต่อ “ฉันเองก็กลัวจะโดนปีศาจในพุ่มไม้ทำร้ายเอาเหมือนกัน ฉันยังไม่เข้มแข็งพอที่จะเปิดเผยตัวออกไปแล้วถูกหักอกหรอกนะ”
อวัศยายังคงพิมพ์ตอบต่อเนื่อง
“และถ้าคุณถามฉันต่ออีกว่า ‘เมื่อไหร่’ ฉันจะเผยตัว ฉันก็จะตอบว่า...เมื่อฉันมั่นใจว่าคุณรู้จักฉันดีพอ .. และยอมรับในตัวฉันได้ ไม่ว่าฉันจะเป็นใครก็ตาม..วันนั้นฉันอาจจะก้าวออกมาจากที่ซ่อนของฉันก็ได้.../ แอบรัก”
อวัศยายิ้มนิดๆ แบบแอบมีหวัง เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น อวัศยาหันไปดูที่หน้าจอ
“บอส”
ลิปดายืนอยู่ที่มุมหนึ่งของโรงแรม ลูกค้าซึ่งเป็นชายวัยกลางคน 3 คนกำลังนั่งดูเอกสารอยู่
ลิปดาคุยโทรศัพท์ “ผมมีงานด่วนอยากให้คุณไปแทนหน่อย ผมให้รถมารออยู่ที่หน้าตึกแล้ว ลงมาได้เลย”
อวัศยางง
“หะ ลงไปเลย แล้วงานอะไรคะ”
ลิปดาพูดจากโทรศัพท์ “ลงมาเดี๋ยวก็รู้” ลิปดาวางสายไปทันที
อวัศยางง
“อ้าว..บอส...บอส”
อวัศยาวางสายไปด้วยความงงๆ ว่ายังไงเนี่ย
อวัศยารีบหันไปเก็บของโดยเก็บไปบ่นไป
“บอสนะบอส อยากได้อะไรก็ต้องได้”
อวัศยาที่กำลังจะออกไปนึกขึ้นได้
“ยังไม่ได้ส่งเมล”
อวัศยารีบหันกลับมาที่หน้าคอมพิวเตอร์
อวัศยาก๊อบปี้เอกสารและเปิดหน้าอีเมลก่อนจะแปะและพิมพ์ชื่อเมล “ปีศาจในพุ่มไม้” และกดส่ง
อวัศยารีบปิดทุกอย่างที่หน้าคอมพิวเตอร์ แล้วก็หยิบกระเป๋าเดินออกไป
ลิปดาที่ยืนอยู่ที่เดิมกดข้อความ คำพูดของพริบพราวดังซ้อนขึ้นมา
“พี่ลิปต้องช่วยพราวหนึ่งอย่าง ..พราวไม่อยากคุยกับพี่ศยาในออฟฟิศเพราะตอนนี้มีแต่คนจับตา.. พี่ลิปทำยังไงก็ได้ให้พี่ศยาออกไปคุยกับพราวข้างนอก พราวจะขอโทษที่ศยาทันที”
ลิปดากดส่งข้อความให้พริบพราว
ลิปดาคิดแล้วก็บ่นพึมพำๆ
“ขอให้เคลียร์กันให้ได้แล้วกัน”
ลิปดามีความหวังแล้วก็หันมาทางลูกค้า
“ขอโทษครับ..เป็นยังไงบ้างครับ เอกสารที่ให้ดูเคลียร์นะครับ”
ลูกค้าพยักหน้ารับด้วยความพอใจ
พริบพราวที่เดินอยู่ที่ลานจอดรถได้รับข้อความ เธอเปิดอ่านเห็นที่หน้าจอมือถือเป็นคำว่า “เรียบร้อยไปรอที่หน้าตึกได้เลย”
พริบพราวยิ้มพอใจและโทรไปบอกแสนดี
“เหยื่อกินเบ็ดแล้วค่ะ”
แสนดีคุยโทรศัพท์ด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“โอเค เข้าแผน ลิลลี่ไปดูต้นทางหน้าตึก ฉันอยู่หน้าบริษัท คุณรุจน์กับคุณพีก็อยู่ในนี้แล้วกัน มีอะไรส่งข้อความมา”
“โอเค” ทุกคนตอบรับ
ทุกคนแยกย้ายไปทำหน้าที่ตัวเองจนดูเป็นมิชชั่นที่ใหญ่มากๆ
อวัศยาเดินมาที่หน้าตึกก่อนจะมองซ้ายมองขวา รถพริบพราวมาจอดเทียบ อวัศยาแปลกใจ พริบพราวลดกระจกลง
“เธอ...”
“พี่ลิปให้พราวมารับพี่ศยาค่ะ” พริบพราวบอก
อวัศยาหลิ่วตา “ทำไมเป็นเธอ”
“ก็เพราะพราวมีรถและพราวก็รู้ว่าจะพาพี่ศยาไปไหน”
“แล้วเธอจะพาฉันไปไหน”
“ขึ้นรถมาเดี๋ยวก็รู้ค่ะ รีบขึ้นมาเถอะค่ะ พี่ลิปบอกให้รีบไป”
พริบพราวทำเนียน อวัศยาลังเลนิดๆ แต่เห็นว่าลิปดาโทร.มาบอกเองก็เลยคิดว่าไม่น่าจะโกหก อวัศยาตัดสินใจขึ้นรถ พริบพราวยิ้มพอใจ อวัศยาปิดประตูโดยยังไม่ทันคาดเข็มขัด พริบพราวออกตัวอย่างแรงจนอวัศยาคาดเข็มขัดแทบไม่ทัน ลิลลี่ที่แอบอยู่ที่หน้าตึกรีบส่งข้อความไปหาคนด้านใน
แสนดีที่ยืนอยู่หน้าบริษัทได้รับข้อความว่า เป้าหมายออกไปแล้ว รุจน์กับพีระก็ได้ข้อความเช่นกัน
รุจน์บอกทุกคน “ลุย”
สหัสกำลังทะลุทะลวงเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์ รุจน์กับพีระลุ้น
การทะลุทะลวงระบบคอมพิวเตอร์พุ่งมาที่คอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่ง หน้าจอคอมพิวเตอร์แสดงผลว่าเข้าไปเชื่อมติดกับคอมพิวเตอร์อีกตัวจนได้ สหัสอธิบาย
“เชื่อมต่อได้แล้ว”
รุจน์กับพีระดีใจ “เย้ ไหนๆดูสิ”
ทุกคนสุมหัวเข้ามาที่หน้าคอมพิวเตอร์แล้วก็อึ้ง วอลเปเปอร์หน้าคอมพิวเตอร์เป็นรูปผู้ชายเซ็กซี่มาก รุจน์กับพีระงง
“คุณศยาชอบแนวนี้เหรอวะเนี่ย .. เพิ่งรู้”
ภาพชายหนุ่มเซ็กซี่โชว์หราอยู่ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์
ปราณนต์นั่งอยู่ที่โต๊ะ เขานั่งเคาะนิ้วเหมือนรออะไรบางอย่าง
รถของพริบพราวแล่นอยู่บนถนน อวัศยามองไปรอบๆ แล้วก็เริ่มสงสัย
“ตกลงเธอจะพาฉันไปไหน” อวัศยาถาม
“ไปนั่งรถเล่นค่ะ” พริบพราวบอก
อวัศยาชักสีหน้า “ฉันไม่มีอารมณ์มาพูดเล่น” อวัศยาเสียงเข้มขึ้น “จะ-พา-ฉัน-ไปไหน”
“พราวก็ไม่มีอารมณ์พูดเล่นเหมือนกัน พราวตอบจริงๆ” พริบพราวย้อน “จะ-ไป-ขับ-รถ-เล่น”
อวัศยาจี๊ด
“จอด ฉันจะกลับบริษัท”
พริบพราวไม่ยอมจอด
อวัศยาย้ำ “ฉันบอกให้จอด”
พริบพราวเริ่มเลิ่กลั่กนิดๆ พร้อมกับคิดหาทางออก
สหัสกำลังแฮคเข้าไปในคอมพิวเตอร์ปลายทางอย่างเมามัน ภาพหน้าคอมพิวเตอร์เชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์อีกเครื่อง หน้าคอมพิวเตอร์กำลังถูกควบคุมจากระยะไกลแต่กลับเป็นคอมพิวเตอร์ของรัน รันกำลังนั่งเติมแป้งอยู่ข้างๆ เธอมองผ่านกระจกตลับแป้งแล้วก็อึ้ง เพราะที่หน้าจอคอมพิวเตอร์มีการเคลื่อนไหว รันชะงักกึกใจหายวาบ ก่อนจะหันขวับมาที่คอมพิวเตอร์แล้วก็ร้องออกมาอย่างบ้าคลั่ง
“ผีคอม ! อ๊ากซ์ อีผีคอม !! ออกไปเดี๋ยวนี้นะ อย่ามาหลอกมาหลอนฉันนะ เดี๋ยวฉันอุทิศส่วนกุศลไปให้ ไป..ฉันบอกให้ออกไป”
รันถอยกรูดจนแทบตกเก้าอี้
คนที่อยู่หน้าห้องหันมามองเป็นตาเดียวด้วยความสงสัย รันเห็นสายตาคนข้างนอกแล้วก็เริ่มมีสติ จึงเก็บกริยาแล้วก็เริ่มฉุกคิด รันมองที่จอที่เคลื่อนที่ไปมา หลังจากโวยวายสักพัก รันก็เริ่มมีสติ
“เดี๋ยว !!”
รันเริ่มเพ่งมองไปที่จอคอมพิวเตอร์แล้วก็ฉุกคิด
“นี่มันไม่ใช่ผีนี่”
หน้าจอคอมพิวเตอร์ที่สหัสใช้กำลังเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ของรัน พีระโพล่งขึ้น
“เดี๋ยว นี่มันไฟล์งานของคุณรัน .. เค้าเคยส่งอันนี้ให้พี่.. เชคให้ดีๆสิ ว่าใช่เครื่องคุณศยาหรือเปล่า”
สหัสกลับไปที่เดสท๊อปแล้วก็หันไปเชคเลข IP อีกที สหัสหันมาบอกรุจน์กับพีระ
“ผมเข้าเครื่องผิดครับ”
รุจน์เซ็ง “อ้าว”
“กรูว่าแล้ว” พีระบอก
“แหะๆ โทษทีเดี๋ยวผมเข้าใหม่”
สหัสรีบออกจากเครื่องของรัน แล้วเข้าเครื่องใหม่ตาม IP ของอวัศยา
รันจ้องที่จอคอมพิวเตอร์ที่ตอนนี้เป็นปกติแล้ว
“หายไปแล้ว..ชัวร์..ไม่ใช่ผี แต่คอมฉันต้องโดนแฮคแน่ๆ” รันคิด “คอมโดนแฮค .. ใครแฮค แล้วแฮคทำไม”
รันเอะใจจึงรีบเดินพุ่งออกไปทันที
อวัศยาเสียงเข้มขึ้น
“จะไม่จอดจริงๆใช่มั้ย”
“ก็พราวยังไม่เสร็จธุระกับพี่ศยา..พราวจอดไม่ได้หรอกค่ะ” พริบพราวว่า
“ธุระของเธอ”
“ก็...พี่ลิปเค้าให้พราวขอโทษพี่ศยา ที่ทำให้พี่หน้าขมำคว่ำลงบนเค้ก” พริบพราวอมยิ้ม
“เธอยังไม่สำนึกผิดสักนิดจะมาขอโทษได้ยังไง จอดเดี๋ยวนี้เลย !! ฉันมีงานต้องทำ”
อวัศยาออกคำสั่ง พริบพราวคิดว่าจะยื้อยังไงดีวะ
รันถามปราณนต์
“พวกรุจน์ พีระ ลิลลี่ แสนดี พริบพราว หายไปไหนกันหมด นี่จะได้เวลาเข้างานตอนบ่ายแล้วนะ”
ปราณนต์เพิ่งสังเกต “เอ่อ...นั่นสิ ผมไม่เห็นพวกเขาสักพักแล้วนะครับ ไม่รู้เหมือนกันว่าไปไหน”
รันคิดแล้วก็จิกตา “ฉันคิดว่าฉันรู้นะว่าพวกนั้นหายไปไหน”
รันจิกตาแล้วก็เดินพุ่งไปทันที
“อ้าว...พี่รัน” ปราณนต์คิดว่าจะเอาไงดี
ปราณนต์ตัดสินใจเดินตามรันไปทันที
อวัศยาล้วงเอาลิปสติกสีแดงแปร๊ดออกมา
พริบพราวที่ขับรถอยู่ถาม “พี่ศยาจะทำอะไร”
“จอดหรือไม่จอด”
รันและปราณนต์เดินมาที่ห้องคอมพิวเตอร์ด้วยความตื่นเต้น
ในขณะที่สองสาวที่อยู่บนรถยังคงเถียงกันอย่างดุเดือด
“ไม่จอด”
ลิลลี่ที่อยู่หน้าตุกยืนรอดูต้นทาง ส่วนแสนดียืนเฝ้าอยู่ที่หน้าบริษัท
รุจน์ พีระ และสหัสกำลังแฮคเข้าไปในคอมพิวเตอร์ของอวัศยา
ปราณนต์และรันกำลังจะเดินไปถึงห้องคอมพิวเตอร์
สถานการณ์บนรถของพริอบพราวยังคงดุเดือด
“แน่ใจนะว่าจะไม่จอด” อวัศยาถาม
“ไม่ แล้วจะทำอะไรคะ ? หรือว่าจะเอาลิปสติกมาป้ายหน้าพราว”
“ฉันป้ายหน้าเธอ แค่ลบก็ออก ฉันไม่ทำหรอก มันง่ายไป..” อวัศยามองไปรอบๆรถ “ฉันละเลงใส่รถเธอดีกว่า ทั้งเบาะ ทั้งรถ ราคาแพงแบบนี้ สะใจดี”
พริบพราวหน้าเหวอ อวัศยาหันไปทำท่าจะเอาลิปสติกละเลงกระจกรถ พริบพราวตกใจจึงหันมา
“เฮ้ย จะทำจริงๆเหรอ พี่ศยาจะบ้าเหรอ เอามานี่เลย”
“ปล่อยนะ ไม่อยากให้ทำก็จอดสิ”
“ไม่จอด เอาลิปสติกมานี่เลย เอามา”
พริบพราวกับอวัศยาพยายามจะยื้อยุดแย่งลิปสติกกันไปมา ทันใดนั้นเองก็มีรถจักรยานยนต์ออกมาจากซอยแล้วก็ตัดหน้า ทั้งสองสาวหันไปเห็นพอดีก็ร้องลั่น
“ระวัง!”
“อ๊ายย”
พริบพราวเบรกไม่ทันจึงหักหลบกะทันหัน เสียงรถชนเข้ากับต้นไม้ดังสนั่น
ประตูห้องคอมพิวเตอร์ถูกเปิดผัวะเข้ามา รุจน์ พีระ และสหัสอึ้งก่อนจะหันมาเห็นรันยืนท้าวเอว
“ทำอะไรกันหะ”
ทั้งสามคนหน้าจ๋อย
รุจน์กับพีระตกใจ “พี่รัน / คุณรัน”
ปราณนต์โผล่มาข้างหลังรัน เขามองรุจน์ พีระ และพนักงานคอมพิวเตอร์ด้วยความแปลกใจว่าเกิดอะไรขึ้น
ลิปดากำลังนั่งอยู่ในรถตู้โดยกำลังมุ่งหน้าเข้าบริษัท ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ลิปดาหยิบมาดูก็เห็นเป็นชื่อพริบพราว
“เคลียร์กันเรียบร้อยหรือยัง ? ยัง ? ทำไม” ลิปดาตกใจ “หะ ? รถชน แล้วตอนนี้อยู่ที่ไหน”
ลิปดาถามด้วยความเป็นห่วงและร้อนใจ
รันมองหน้ารุจน์ สหัส และพีระที่นั่งหน้าจ๋อย ปราณนต์ยืนอยู่ในห้อง ด้านหลังของจำเลยทั้งสามคนมีลิลลี่ นิดา และแสนดียืนลุ้นอยู่ที่หน้าประตู
รันพูดด้วยท่าทางที่แมนมาก “พวกคุณคิดว่าศยาปลอมตัวเป็นแอบรักและใช้เมลติดต่อกับปราณนต์เพื่อช่วยเรื่องงาน”
ปราณนต์ส่ายหน้านิดๆ ด้วยความรู้สึกทั้งแย่ ทั้งไม่พอใจ
รันพูดต่อ “พวกคุณแฮคคอมพิวเตอร์บริษัทเพราะเหตุผลแค่นี้เนี่ยนะ”
สามหนุ่มพยักหน้าจ๋อยๆ “ครับ”
รันทุบโต๊ะด้วยท่าทางแมนสุดๆ “ปัญ-ญา-อ่อน”
สามหนุ่มสะดุ้ง
“ไร้สาระที่สุด !! ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคุณแฮคคอมบริษัทเพราะเหตุผลนี้” รันหลิ่วตา “หรือว่า...จริงๆแล้วพวกคุณต้องการจะขโมยข้อมูลของบริษัทแต่โกหกผม”
ทั้งสามหนุ่มรีบโบกมือ “เปล่านะครับๆ ไม่ใช่ครับ”
“พวกผมทำเพราะเหตุผลแค่นั้นจริงๆครับ ไม่ได้คิดจะเอาข้อมูลบริษัทหรืออะไรเลยครับ มันอาจจะดูไร้สาระ ปัญญาอ่อน แต่มันเป็นความจริงครับ”
ลิลลี่กับแสนดีพยักหน้าสนับสนุน รันหันขวับไปเห็น
“พยักหน้าทำไม..หรือว่ารู้เห็นเป็นใจกับเค้าด้วย” รันว่า สองสาวก้มหน้า “เงียบ แสดงว่าใช่”
สองสาวจ๋อย นิดาส่ายหน้า ปราณนต์กอดอกมองหน้าเครียด
“ถ้าเรื่องนี้ถึงบอสกับศยาพวกคุณโดนไล่ออกทั้งหมดแน่” รันว่า
สามหนุ่มกับสองสาวหน้าเสียแล้วก็รีบอ้อนวอน
รุจน์ พีระ สหัส ลิลลี่ แสนดี “พี่รัน/คุณรัน อย่าบอกบอสเลยนะคะ/นะครับ อย่าบอกพี่ศยาเลยนะคะ/นะครับ ไม่งั้นซวยแน่” ทุกคนเสียงดังเซ็งแซ่มาก
รันยกมือขึ้นห้าม “หยุด พอได้แล้ว”
ทุกคนเงียบกริบ
“คุณนิดา ปราณนต์”
นิดา/ปราณนต์ขานรับ “คะ/ครับ”
“พวกคุณเป็นพยาน..ว่ามีเรื่องนี้เกิดขึ้น..วันนี้ผมจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น เหมือนมันไม่เกิดขึ้น” รันว่า ทุกคนโล่งอก “แต่ถ้ามีอีกครั้ง...เรื่องนี้จะต้องถึงบอสและศยาแน่ๆ”
ทุกคนหน้าจ๋อย
“ออกไปได้” รันบอก
“ค่ะ / ครับ”
ทุกคนทยอยออกไป รุจน์เดินรั้งท้าย ปราณนต์จับไหล่เขาแล้วพูดเสียงเข้ม
“พี่รุจน์...เรามีเรื่องต้องเคลียร์กัน” ปราณนต์พูดจบก็เดินนำออกไป
รุจน์หน้าเสีย ส่วนรันแอบมองตามไป
พริบพราวนั่งหน้าตาตื่นอยู่ที่หน้าห้องฉุกเฉิน ตามตัวของเธอมีรอยฟกช้ำนิดๆ
ภาพอุบัติเหตุก่อนหน้านี้ย้อนกลับมา พริบพราวเบรคสุดตัว อวัศยาตัวพุ่งไปข้างหน้าและกระแทกเข้าที่เบาะอย่างแรงก่อนจะสลบไป พริบพราวมึนๆ แล้วก็หันมาเห็นอวัศยาสลบอยู่ พริบพราวตกใจ
“พี่ศยา ....”
อวัศยาสลบอยู่ที่เบาะ
เหตุการณ์ปัจจุบัน พริบพราวนั่งอยู่ที่เดิมด้วยความร้อนใจ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น พริบพราวรีบหยิบมาดู
พริบพราวดูชื่อก่อนจะกดรับ “พี่แสนดีสถานการณ์ที่ออฟฟิศเป็นยังไงบ้างคะ” พริบพราวฟังแล้วก็ตกใจ “หะ ? แผนแตก”
แสนดีเล่าด้วยอาการร้อนใจ
“ใช่ค่ะ แตกไม่มีชิ้นดีเลยนะคะ คุณรันจับได้คาหนังคาเขา แถมยังคาดโทษ ถ้าเราแฮคคอมบริษัทอีก โดนไล่ออกยกแก๊งค่ะ น้องณนต์ก็ดูเหมือนโกรธพวกเรามากๆเลยนะคะ เรียกรุจน์ไปเคลียร์ตัวต่อตัว เฮ่อ..เยอะค่ะ เอาเป็นว่าเราค่อยกลับมาคุยรายละเอียดกันนะคะ ตอนนี้น้องพราวอยู่ที่ไหนคะ”
รันโพล่งออกมาด้วยความตกใจ
“อยู่โรงพยาบาล !! แล้วศยาเป็นยังไงบ้าง” รันหลุดพูดเสียงสูง
แสนดีผงะกับโทนเสียงสาวของรัน รันรู้ตัวปรับโทนทุ้มลงมา
“อาการเป็นยังไง อยู่ห้องไหน อยู่กับใครหะ”
ปราณนต์ถามย้อนด้วยอาการไม่แปลกใจ
“พี่ศยาเป็นแฟนกับบอสแต่มากิ๊กกับผม จนบอสสงสัยเนี่ยนะ”
รุจน์พยักหน้าจ๋อยๆ ปราณนต์และรุจน์หลบมาคุยกันอยู่ในมุมปลอดภัย
“ก็จากทุกสิ่งอย่างที่มันเกิดขึ้น ฉันประติดประต่อกันเองได้แบบนี้ ประกอบกับยอดขายแกพุ่งพรวด พวกฉันก็เลยสงสัย อยากรู้ ..” รุจน์จ๋อย “ก็แค่นั้นเอง”
ปราณนต์ส่ายหน้า “บอสกับพี่ศยาไม่ได้เป็นแฟนกันจริงๆ” รุจน์หูตั้งตาโตทันที “แต่ผมเล่ามากกว่านี้ไม่ได้ มันเป็นเรื่องส่วนตัวของเค้า เอาเป็นว่า.. บอส พี่ศยา และ ผม.. ไม่มีอะไรเกี่ยวเนื่องกัน ส่วนลูกค้าที่เพิ่มขึ้น เพราะลูกค้าที่ผมได้จากงานเกษียรของป้า เค้าชอบเลยบอกต่อๆ อีกส่วนก็คือลุงไกรที่โฮมสเตย์เค้าก็บอกต่อเพื่อนๆเค้ามาอีกที”
รุจน์อึ้ง ปราณนต์สรุป
“สรุปแล้วยอดที่พุ่ง..เพราะปากต่อปาก” ปราณนต์มองรุจน์ “ผมเสียใจนะเนี่ย ที่พี่รุจน์คิดว่าผมทำยอดได้ เพราะมีคนช่วย ไม่ใช่ทำได้ด้วยฝีมือตัวเอง”
“เอ้ย ไอ้ณนต์อย่าคิดมากสิวะ พี่ขอโทษ พี่เข็ดแล้ว ต่อไปจะไม่คิดแบบนี้..ยกโทษให้พี่นะ...นะ..นะ” รุจน์อ้อน
ปราณนต์พยักหน้าแบบแอบรำคาญนิดๆ “โอเคครับ .. ผมจะไม่โกรธแต่ผมบอกตรงๆนะ ผมไม่ไว้ใจที่จะเล่าอะไรให้พี่ฟังอีกแล้ว โดยเฉพาะเรื่อง “คุณแอบรัก”เค้าไม่ชอบให้ผมขุดคุ้ยเรื่องของเค้า แต่พี่เล่นแฮคคอมหาตัวเค้าแบบนี้..ถ้าเค้าเลิกคุยกับผม หายไปอีก ผมจะโทษว่าเป็นความผิดของพี่”
รุจน์จ๋อย “เออๆ ฉันรับไว้ก็ได้ .. ว่าแต่ ..เค้าห้ามแกตามหาตัวเค้า แล้วแกก็เชื่อเค้าเนี่ยนะ ถามจริงๆนะ แกไม่คิดสงสัยบ้างเหรอว่า.. บางทีพี่ศยาของพวกเราอาจจะเป็นคุณแอบรักของแก”
รุจน์ถามแบบตอกย้ำทำให้ปราณนต์หวาดหวั่นใจ
อ่านต่อหน้าที่ 3
แอบรักออนไลน์ ตอนที่ 8 (ต่อ)
อวัศยาที่นอนอยู่ในห้องฉุกเฉินเริ่มรู้สึกตัว เธอลืมตาขึ้นอย่างมึนๆ แล้วก็มองไปรอบๆ อวัศยาเห็นหมอกับพยาบาลเดินไปมาในห้องฉุกเฉิน ตามตัวของอวัศยามีแผลฟกช้ำจากแรงกระแทกอยู่ตามตัว อวัศยายันตัวลุกขึ้นด้วยอาการมึนหัว
ปราณนต์ยืนอยู่มุมหนึ่งไม่ห่างจากห้องศยามองเข้าไปในห้องที่ว่างเปล่า ปราณนต์หันหลังเดินกลับมาที่โต๊ะ คำพูดของรุจน์ดังก้องในหัวของเขา
“แกเคยสังเกตว่าพี่ศยาเค้าสนใจแกมากเป็นพิเศษ หรือ เวลาเค้าอยู่กับแกแล้วเค้าดูมีความสุข .. ดูไม่ใช่พี่ศยาเนี้ยบ เฮี้ยบแบบที่เป็นกับพวกฉัน..แกเคยรู้สึกแบบนั้นบ้างหรือเปล่า”
ปราณนต์คิด
ภาพเหตุการณ์ในอดีตหวนกลับมา ตอนที่อวัศยามานวดที่บ้าน ตอนที่คุยกันสองต่อสอง และตอนที่อวัศยายิ้มแย้มเป็นธรรมชาติมีความสุข ภาพที่ตอนเต้นรำ ภาพตอนที่เช็ดขนมเค้กที่ผม และตอนที่พริบพราวเอ่ยถามเขา
“นายเคยรู้สึกมั๊ยว่าพี่ศยาชอบนาย”
ปราณนต์มานั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานพลางคิดหนักว่าเป็น “ยังไงวะเนี่ย” เขาตัดสินใจเปิดอีเมลก็เห็นว่า
แอบรักยังไม่ตอบมา ปราณนต์ตัดสินใจส่งอีเมลหาแอบรัก
“คุณแอบรัก .. ผมไม่รู้ว่าทำไมคุณถึงไม่ได้ตอบเมลฉบับล่าสุดของผม .. ที่จริงผมควรจะรอจนกว่าคุณจะตอบ แต่ผมรอไม่ได้ .. ผมมีเรื่องบางอย่างอยากจะบอกคุณ”
ปราณนต์พิมพ์อีเมลด้วยความตั้งใจ
พริบพราวที่นั่งอยู่ที่หน้าห้องฉุกเฉินคิดหนัก
ภาพตอนที่แสนดีคุยกับเธอย้อนกลับมา
แสนดีพูด “คุณรันจับได้คาหนังคาเขา แถมยังคาดโทษ ถ้าเราแฮคคอมบริษัทอีก โดนไล่ออกยกแก๊งค่ะ น้องณนต์ก็ดูเหมือนโกรธพวกเรามากๆเลยนะคะ”
พริบพราวบ่น “แล้วอย่างนี้จะพิสูจน์ได้ยังไงว่าแอบรักคือพี่ศยา”
ทันใดนั้นก็มีเสียงอีเมลเข้าดังขึ้น “ตึ่ง” พริบพราวสะดุ้งนิดๆ
นิ้วของปราณนต์ยังจิ้มค้างอยู่ที่คีย์บอร์ดเพราะเพิ่งส่งอีเมลไป
พริบพราวกดดูเห็นว่าไม่ใช่ถือมือตัวเอง
“ไม่ใช่ของเรานี่”
พริบพราวมองไปรอบๆ ก็ไม่มีใคร เธอคิดแล้วก็นึกได้จึงรีบคว้ากระเป๋าสะพายของอวัศยาขึ้นมา พริบพราวรื้อจนเจอแท็ปแล็ตของอวัศยามีสัญลักษณขึ้นที่หน้าจอว่ามีอีเมลเข้ามาหนึ่งฉบับ
พริบพราวคิด ในจิตใจของเธอต่อสู้กันไปมาระหว่างการเสียมารยาทกับโอกาสสุดท้ายที่จะรู้ พริบพราวคิดหนักว่าจะเอายังไงดี สุดท้ายพริบพราวตัดสินใจ
“ถ้าคุณไม่มาหาเรื่องฉันก่อน ฉันก็จะไม่ทำแบบนี้”
พริบพราวกดเข้าไปอ่านอีเมลนั้นทันที
พริบพราวกดจิ้มเข้าไปที่กล่องข้อความ และข้อความของปราณนต์ก็ปรากฎชัดขึ้นมาทันที
พริบพราวอ่านด้วยความอึ้ง ใจของเธอเต้นโครมครามเมื่อสิ่งที่เธอตามหาบัดนี้มันได้อยู่ต่อหน้าเธอแล้ว พริบพราวอ่านอีเมลของปราณนต์แล้วก็รู้สึกเหมือนโลกทั้งโลกหยุดหมุน
“ผมนั่งคิดนอนคิดใคร่ครวญว่าในอีเมลล์ฉบับสุดท้ายของผม มีอะไรที่ทำให้คุณอึดอัดหรือไม่พอใจหรือเปล่า คุณถึงแกล้งทำเพิกเฉย ไม่ตอบผมเสียอย่างนั้น...ข้อบกพร่องที่ผมพอจะประมวลได้ว่าอาจจะเป็นสาเหตุมีดังนี้ครับ...”
ปราณนต์นั่งรออีเมลด้วยความตื่นเต้น พริบพราวอ่านอีเมลจากปราณนต์ต่อเนื่อง
“หนึ่ง..ผมดันทำตัวขี้สงสัย เฝ้าถามซักไซ้เกี่ยวกับตัวคุณมากเกินไป”
อวัศยายันตัวลุกจากเตียงในสภาพมึนๆ
“สอง...ผมดันไปละลาบละล้วงเรื่องความหมายของชื่ออีเมลล์คุณ ทั้งที่คุณอาจไม่อยากเปิดเผยหรือพูดถึง”
พริบพราวอ่านด้วยความชอค...
“สาม...ผมดันไปสงสัยว่าคุณเป็นรักในสายหมอก หรือ ปีศาจในพุ่มไม้...หรือ...สี่..คุณไม่ได้โกรธผมเลย แต่คุณเกิดติดธุระ ไม่มีเวลาจะตอบ”
พริบพราวรีบลุกขึ้นและเดินออกไปที่ระเบียง โดยทิ้งกระเป๋าอวัศยาไว้ที่เก้าอี้
พริบพราวเดินก้มหน้าอ่านแท็ปแล็ตของอวัศยาออกมาที่ทางเดินอีกมุมหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลกัน พริบพราวก้มหน้าอ่านด้วยความช็อค
“ความจริงแล้วเป็นข้อไหนครับ...ช่วยเฉลยที ส่วนผมภาวนาให้เป็นข้อสี่แต่ถ้าหากคำตอบเกิดเป็นข้อใดข้อหนึ่งในสามข้อแรก ผมต้องบอกว่าผมไม่ได้ตั้งใจเลยและต้องขอโทษด้วย ถ้าหากคุณใจอ่อนลงบ้างแล้ว ช่วยตอบผมหน่อยนะครับ...เพราะผมมีเรื่องบางอย่างอยากจะบอกคุณจริงๆ”
ปราณนต์นั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์
“รออยู่นะครับ/ ปราณนต์”
ปราณนต์รอด้วยความอยากรู้
พริบพราวอึ้ง ตัวหนังสือในอีเมลคล้ายลอยเคว้งคว้างอยู่รอบๆตัวของเธอ
“พี่ศยา...เป็นแอบรักจริงๆ”
พริบพราวคิดถึงคำพูดของอวัศยาก่อนหน้านี้
“ฉันจะไม่อธิบายมากและไม่พูดซ้ำ..ที่ฉันทำแบบนี้ก็เพราะเธอ ทำตัวไม่น่าไว้วางใจ .....ที่ฉันส่งคนไป เพราะต้องการสอดส่องติดตามดูการทำงานของพวกเธอ ฉันแค่อยากมั่นใจว่าเธอไม่ได้เอาเวลางานไปทำ “ธุระส่วนตัว” และที่ฉันไม่ไว้ใจ..ก็เพราะรูปที่เธอส่งมาให้ฉัน”
พริบพราวคิด ความแค้นใจผุดเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
เธอนึกถึงตอนที่อวัศยาต่อว่าเธอและปราณนต์ก็เชื่ออวัศยา
“รูปพวกนั้นมันทำให้ฉันคิดว่า..เธออาจจะไม่ได้ไปทำงานแต่ไปทำอย่างอื่น !! .. ที่ฉันทำทุกอย่างก็เพื่อรักษาผลประโยชน์ของบริษัท”
“พราวไม่เชื่อ” พริบพราวว่า
ปราณนต์ปราม “พราว...พอแล้ว พี่ศยาพูดถูก บริษัทมีสิทธิ์ที่จะส่งคนไปติดตามการทำงาน ถ้าเราไม่ได้ทำอะไรผิด ก็ไม่เห็นจะต้องร้อนตัว”
เหตุการณ์ปัจจุบัน พริบพราวทำหน้าตาไม่พอใจอย่างแรงเพราะทุกอย่างชัดเจน
“โกหก หลอกลวง”
พริบพราวแค้นสุดๆ เธอรีบดึงสติตัวเองกลับมาก่อนจะหยิบโทรศัพท์มาโทรออกไปหาลิปดาด้วยความร้อนใจ พริบพราวรอจนลิปดารับสาย
“พี่ลิปคะ”
ลิปดาที่อยู่บนรถตู้รีบถามด้วยความเป็นห่วง
“ว่าไง..สถานการณ์ที่โรงพยาบาลเป็นยังไงบ้าง พี่ใกล้จะถึงแล้ว”
พริบพราวตอบเสียงเครียด
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงค่ะ สถานการณ์เรียบร้อยดี .. ที่พราวโทร.มาหาพี่ลิป เพราะพราวมีหลักฐานสำคัญมากๆ”
ลิปดารอฟัง
พริบพราวพูดจากโทรศัพท์ “อยากให้พี่ลิปดูเดี๋ยวพราวจะส่งรูปไปให้ทางเมลนะคะ พี่ลิปเห็นรูปแล้วจะรู้เองว่าพราวหมายถึงอะไร”
ลิปดาฟังด้วยความแปลกใจ
อวัศยาเดินมาเห็นกระเป๋าตัวเองวางอยู่ที่เก้าอี้ เธอหยิบมาด้วยความดูด้วยความแปลกใจ อวัศยารื้อดูในกระเป๋าแต่กลับไม่เห็นแท็ปแล็ต อวัศยามองซ้ายมองขวาแล้วก็เริ่มใจคอไม่ดี
พริบพราวรีบถ่ายรูปหน้าแท็ปแล็ตที่เป็นหน้าอีเมลของปราณนต์ซึ่งส่งมาหาแอบรัก พริบพราวถ่ายรูปด้วยความแค้นใจพร้อมกับคิดในใจว่า เสร็จแน่ๆ แล้วเธอก็รีบกดลบข้อความปราณนต์ เพราะถ้าอ่านแล้วมันจะขึ้นว่าอ่านแล้วเธอลบดีกว่าเพื่อที่อวัศยาจะได้ไม่รู้ ทันใดนั้นเสียงอวัศยาก็ดังขึ้น
“เธอทำอะไร”
พริบพราวสะดุ้งรีบกดปิดหน้าจอแท๊ปแล็ตอวัศยาก่อนจะเงยหน้าขึ้น
อวัศยาเดินมึนๆ ตรงมากระชากแท็ปแล็ตคืนไป
“ฉันถามว่าเธอทำอะไร” อวัศยาชูแท็ปเล็ตขึ้น “เอาของของฉันมาทำไม”
“พราวก็แค่หยิบออกมาเชคดูว่ามีอะไรเสียหายหรือเปล่า แต่เท่าที่ดูไม่มีอะไรเสียหาย ใช้งานได้ตามปกติ”
อวัศยาไม่ค่อยอยากจะเชื่อ พริบพราวปรายตาไปเห็นรันวิ่งมาจากด้านหลัง
“พี่รันมารับพี่ศยาแล้ว .. พราวกลับก่อนนะคะ” พริบพราวจะไป
อวัศยาเรียกไว้ “เดี๋ยว เธอจะไม่ขอโทษฉันสักคำหรือไง”
พริบพราวหันมา “ถ้าพี่ศยาไม่เอาลิปสติกขีดรถพราว อุบัติเหตุก็ไม่เกิดขึ้น พี่ทำตัวเอง ไม่ใช่แค่เรื่องนี้ แต่ยังมีอีกหลายๆเรื่อง...พี่ก็ทำตัวเอง พราวไม่จำเป็นต้องขอโทษอะไร ขอตัวนะคะ”
พริบพราวพูดจบก็เดินกลับออกไปเลย อวัศยามองตามด้วยความไม่วางใจ รันเดินมาถึงพอดี
“ศยา เป็นยังไงบ้าง” รันถาม
“มึน ...”
อวัศยาตอบแบบมึนๆ แล้วก็ค่อยๆ ทรุดตัวลงนั่ง รันรีบเข้ามาประคอง อวัศยายังมองตามพริบพราวนิดๆ ด้วยความไม่วางใจก่อนจะหันมามองแท็ปแล็ตในมือ
พริบพราวรีบเดินอ้าวๆ พร้อมกับกดส่งรูปหน้าจอแท็ปแล็ตไปให้ลิปดา
อวัศยากดเปิดแท็ปแล็ตเชคอีเมลแล้วก็ช๊อค
รถตู้ลิปดามาจอดเทียบ ลิปดานั่งอยู่ในรถ คำพูดพริบพราวดังขึ้นในหัวของเขา
“ที่พราวโทร.มาหาพี่ลิป เพราะพราวมีหลักฐานสำคัญมากๆ อยากให้พี่ลิปดูเดี๋ยวพราวจะส่งรูปไปให้ทางเมลนะคะ”
เสียงอีเมลล์เข้าดังขึ้น ลิปดาหันมือถือมาดูแล้วก็เปิดอีเมล เขาเห็นว่ามีอีเมลเข้ามาหนึ่งข้อความ และค้างอยู่อีกหนึ่งข้อความ ลิปดากดเข้าไปดูแล้วก็แปลกใจกับอีเมลก่อนหน้า
“ปีศาจในพุ่มไม้ .... คืออะไร”
ลิปดากดเข้าไปอ่าน
อวัศยาอึ้งและหน้าซีดกว่าเดิม เธอพูดออกมาอย่างเลื่อนลอย
“รันฉันส่งเมลผิด” อวัศยาบอก รันหันมาทำหน้างงๆ “ฉันจะใช้เมลแอบรักส่งตอบปราณนต์ แต่ฉันดันใช้เมลบริษัทส่งหาบอส”
รันช๊อค “หะ แกส่งเมลแอบรักไปหาบอส แล้วเนื้อความในเมลเป็นยังไง แกพิมพ์อะไรไปบ้าง”
อวัศยาช๊อค “พิมพ์ไปเยอะมาก .... อย่างหวานเลยแก” อวัศยาหน้าซีด “ฉันต้องตายแน่ๆ”
ลิปดาอ่านอีเมลแล้วก็ช๊อค อึ้ง...อึ้ง...และก็อึ้ง
รันปลอบใจ
“แกใจเย็นๆ อย่าเพิ่งตีโพยตีพาย มันอาจจะไม่มีอะไรร้ายแรงก็ได้”
อวัศยาโวยวาย “ฉันเขียนเมลจีบเด็กลูกน้องในออฟฟิศ” รันจุ๊ปาก อวัศยาลดเสียงลง “เนี่ยนะไม่ร้ายแรง เนี่ยร้ายแรงสุดๆ ส่งให้ใครไม่ส่ง ดันไปส่งให้บอส !!! ทำไม ทำไม ฉันไม่ส่งให้แก ฉันไปส่งให้บอสได้ไงเนี่ย ตายๆๆๆ.. ฉันต้องตายแน่ๆ”
รันจับไหล่ “ใช่ แกต้องตายแน่ๆ”
อวัศยาชะงัก “จะคิดจะให้กำลังใจเพื่อนเลยเหรอ หะ”
“ก็อยากให้..แต่มันยากเพราะนอกจากแกจะส่งเมลผิดให้บอส..เมื่อเช้าที่บริษัทพวกนายรุจน์กับแก็งแฮคคอมแก เพื่อจะหาหลักฐานว่าแกคือแอบรัก”
“หะ แฮคคอมฉัน แล้วเป็นไง สำเร็จหรือเปล่า พวกนั้นรู้อะไรบ้าง”
“ยังไม่รู้ โชคดีที่พวกนั้นแฮคคอมผิด เข้ามาที่คอมฉัน ความก็เลยแตกซะก่อน นี่ถ้าฉันไม่รู้ตัวก่อน ป่านนี้คงรู้กันทั้งบริษัทว่าเธอคือแอบรัก”
อวัศยาสะอึกและอึ้งไป รันพูดด้วยหน้าตาเอาจริงมาก
“ศยา..ฉันว่าปล่อยไว้แบบนี้ไม่ดีแน่ๆ มันอาจจะถึงเวลาที่แกจะต้องบอกความจริงกับปราณนต์ได้แล้ว แกต้องกล้าเผชิญความจริง เปิดเผยความจริงด้วยตัวแกเอง ดีกว่าปล่อยให้ปราณนต์รู้เพราะมีคนอื่นมาแฉ”
รันเตือนด้วยความเป็นห่วง อวัศยาเครียด
ลิปดานั่งอยู่ในสวนโรงพยาบาลพร้อมกับมองดูอีเมลในมือถือแล้วก็เครียด นิ่ง และอึ้ง
เสียงเคาะกระจกดังขึ้น คนขับรถเงยหน้ามอง พริบพราวยืนเคาะกระจกอยู่นอกรถ คนขับรถเดินมาหา
“คุณพริบพราวมาหาบอสใช่มั๊ยครับ”
พริบพราวตอบ “ใช่”
“ผมเห็นบอสเดินไปทางโน้นครับ”
คนขับรถชี้ทางไปที่สวน พริบพราวมองตาม
ลิปดาตอบหน้านิ่งๆ
“พี่ยังไม่ได้อ่านเมล”
ลิปดากับพริบพราวนั่งคุยกันอยู่ในรถตู้ โดยที่คนขับยืนอยู่ข้างนอก รถตู้จอดอยู่ในมุมสงบ
“อ้าว...พี่ลิปดูสิคะจะได้เชื่อว่าสิ่งที่พราวพูดเป็นความจริง .. ดูปากพริบพราวนะคะ ... “พี่ศยาคือแอบรัก ยัยแอบรักคือพี่ศยา” เค้าใช้ชื่อนี้คุยกับปราณนต์ ตั้งแต่คุยไลน์แล้วก็ย้ายมาคุยทางอีเมล ! พี่ลิปเปิดดูตอนนี้เลยค่ะ เปิดเลยค่ะ เปิดเลย”
พริบพราวคะยั้นคะยอลิปดา แต่ลิปดาไม่ดู เขาตอบเสียงนิ่งๆ เข้มๆ
“พราวรู้หรือเปล่าศยาคุยกับปราณนต์ในนามของแอบรัก เพื่ออะไร”
พริบพราวพูดสวน “ก็เพื่อไม่ให้คนอื่นรู้ไงคะ รวมทั้งปราณนต์ด้วย”
“ในเมื่อเค้าไม่อยากให้รู้ แล้วเราละลาบละล้วงเพราะความอยากรู้ แบบนี้เค้าเรียกว่าอะไรรู้หรือเปล่า”
“เค้าก็เรียกว่า ส...” พริบพราวชะงักกึกมองหน้าลิปดา
พริบพราวอึ้งและจุก ลิปดาพูดต่อ
“ใช่..นั่นแหละ..และพี่ก็ไม่ใช่คนนิสัยแบบนั้น พี่ทำงานกับศยามาหลายปี เพราะเคารพซึ่งกันและกัน เรื่องที่เค้าจะแชตหรืออีเมลจะเป็นใครก็ตาม มันคือเรื่องส่วนตัว พี่ไม่เข้าไปก้าวก่าย”
พริบพราวสวนเป็นชุด “แต่เรื่องส่วนตัวของเค้าทำให้พราวเดือดร้อน เค้าแกล้งพราว เพราะเค้าคือแอบรัก เค้าชอบปราณนต์ และเค้าหึงพราว”
ลิปดาสวน “แล้วพราวชอบปราณนต์หรือเปล่า” พริบพราวชะงักกึกเพราะตอบไม่ได้ ลิปดาถามต่อ “แล้วปราณนต์ชอบศยาหรือเปล่า” ลิปดาถาม พริบพราวรู้สึกว่าโดนอีกดอก
พริบพราวอึ้งไปเพราะตอบไม่ได้ “เอ่อ...”
“ถ้าพราวไม่ได้คิดอะไรกับปราณนต์ และสองคนนั้นเค้า...” ลิปดาเจ็บ “ชอบกัน .. พี่คิดว่าพราวควรจะถอยออกมา ไม่ว่าศยาจะเป็นศยา หรือเป็นแอบรัก .. เค้ามีสิทธิ์ที่จะชอบปราณนต์ และพี่..ไม่มีสิทธิ์ขัดขวาง”
พริบพราวจุกแต่ไม่ยอม “แล้วถ้าพราวพิสูจน์ได้ว่า.. ณนต์ไม่ได้ชอบพี่ศยา ไม่ได้รู้สึกอะไรกับแอบรัก พราวก็สิทธิ์ที่จะปกป้องตัวเองจากความหึงหวงของผู้หญิงที่หลอกลวงคนอื่น” พริบพราวหันมาทางลิปดา “ใช่มั้ยคะ”
ลิปดาอึ้งไปเพราะไม่รู้จะตอบยังไง เนื่องจากคำตอบคือ “ใช่” แต่ก็ไม่กล้าพูด
พริบพราวสรุป “ถึงตอนนั้นพราวจะแฉให้ทุกคนรู้ว่าผู้หญิงที่ทุกคนศรัทธา และชื่นชมแต่จริงๆแล้วหลอกลวงคนอื่นอย่างไม่น่าให้อภัย”
พริบพราวทิ้งท้ายอย่างหนักแน่นก่อนจะเปิดประตูลงจากรถไป ลิปดาได้แต่ถอนใจด้วยความเป็น
ห่วงอวัศยา
อวัศยาเดินไปเดินมาอย่างงุ่นง่านอยู่ใต้คอนโดมีเนียม ลิปดาเดินเข้าไปด้วยความเหนื่อยอ่อน
อวัศยาหันไปเห็นก็รีบเรียกขึ้น
“บอส”
ลิปดาหันไป อวัศยารีบเดินมาหา
ลิปดามองหน้าอวัศยาแล้วก็พยายามทำหน้านิ่ง ๆ พร้อมกับคิดในใจว่าเราไม่รู้เรื่อง ไม่รู้เรื่อง
“อาการเป็นยังไงบ้าง ผมไปถึงโรงพยาบาล พราวบอกว่าคุณรันไปรับคุณกลับบ้าน ผมก็เลยไม่ได้เข้าไปหา .. ตกลงอาการเป็นยังไง”
อวัศยามองหน้าลิปดาแล้วก็พยายามจะขุดคุ้ยเข้าไปในแววตาของเขา “อาการปกติ .. ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง”
“ดี ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง .. ผมจะได้ไม่ต้องห่วง ผมขอตัวก่อนนะ” ลิปดาจะไป
“บอส !! บอสมีอะไรในใจหรือเปล่า ทำไมดูนิ่งๆ เครียดๆ ขรึมๆ”
ลิปดาหันหน้ามาพูด “มี .. แต่ผมคงไม่จำเป็นต้องบอก”
อวัศยาหน้าเสียพลางคิดในใจว่าเอาไงดี แล้วเธอก็รีบบอก
“ไม่บอกก็ได้...แต่พอดียายทำกับข้าวเผื่อบอส..มีแต่ของชอบบอสทั้งนั้นเลยนะ เดี๋ยวฉันเอาไปให้ที่ห้องบอสนะ เดี๋ยวรีบไปตอนนี้เลย แป๊บเดียว เจอกันที่ห้องบอส นะคะ”
อวัศยารีบเดินไปเลย ลิปดามองตามแล้วก็ถอนหายใจ
อาหารที่ดูน่ากิน ซึ่งมีไข่พะโล้ ปลาทูทอดน้ำปลา และกระหล่ำปลีผัดน้ำปลาถูกวางไว้บนโต๊ะ พร้อมกับจัดจานเอาใจลิปดาสุดๆ
อวัศยาพูด “ฉันตักข้าวให้นะ”
ลิปดานั่งกอดอกมองอวัศยา อวัศยากุลีกุจอรีบตักข้าว จัดช้อน เธอวางให้แล้วก็ยิ้ม
ลิปดาถามตรงๆ “ทำไมวันนี้เอาใจผมจัง มีอะไรในใจ”
“เปล๊า ไม่มีอะไร ฉันแค่เอากับข้าวมาให้ ตักข้าวให้ไม่ได้เอาใจอะไรเลย กินเถอะ ไม่ต้องคิดมาก”
ลิปดาพยักหน้ารับแล้วก็ทำเป็นเชื่อ แล้วเขาก็เริ่มกิน อวัศยาหาจังหวะถามขึ้น
“ฉันส่งอีเมลให้บอสเมื่อกลางวัน บอสได้หรือเปล่า”
“ได้” ลิปดาตอบ อวัศยาใจเต้น “แต่เหมือนคุณจะส่งผิด...เขียนชื่ออีเมลว่า “ปีศาจ”อะไรสักอย่าง”
อวัศยาหน้าเสีย ใจสั่น “แล้ว...”
ลิปดาทำหน้าเฉยๆ “แล้วผมก็เลย.... ลบทิ้งไป”
“ลบทิ้ง”
“ใช่ ทำไมหล่ะ ? หรือว่า .. มันสำคัญ ผมควรอ่านหรือเปล่า”
อวัศยารีบบอก “ไม่สมควร คือ มันเป็นอีเมลฟอร์เวิร์ดมาอีกทีน่ะ มันมีไวรัสด้วยนะ บอสลบไปก็ดีแล้ว ถ้ามันมีแบบนี้มาอีกก็ลบมันไปเลย อันตรายมาก .. ห้ามเปิดเด็ดขาด”
ลิปดามองหน้าอวัศยาแล้วก็ทำเป็นพยักหน้ารับรู้ อวัศยาเสียงเบาลงแต่ก็ยังแอบระแวง
“บอสก็ทานข้าวให้อร่อยนะคะ ฉันกลับก่อนนะ”
“ขอบคุณมาก” ลิปดาพูดนิ่งๆ แล้วก็ก้มหน้ากินต่อเงียบๆ
อวัศยาเดินไปแต่ก็ยังค้างคาใจจึงหันมาอีกรอบ ลิปดายังคงกินอย่างสงบ
“บอสโอเคแน่นะ” อวัศยาถาม
ลิปดาพูดเสียงสูง “โอเค๊ อาหารอร่อยมาก ฝากขอบคุณคุณยายด้วย”
อวัศยาพยักหน้ารับแล้วก็ตัดใจเดินออกไปทั้งที่ยังค้างคาใจ
ลิปดาเงยหน้ามองตามหลัง พอเห็นประตูปิดลงเขาก็รวบช้อนแล้วถอนหายใจ ชื่ออวัศยาในจดหมายย้อนกลับมา
‘ปีศาจในพุ่มไม้’
กลางดึก หน้าจอแลปท๊อปของลิปดาเปิดอีเมลของอวัศยาที่ใช้ชื่อว่า “ปีศาจในพุ่มไม้” อ่านอยู่
“รู้หรือเปล่า ปราณนต์ สำหรับฉันแล้ว มันไม่แปลกเลยที่ดอก Love in a mist จะมีชื่อเรียกอีกอย่างว่า Devil in a bush เพราะความรักที่ชุ่มชื่นอ่อนหวานเหมือนสายหมอกนั้น”
ลิปดายืนครุ่นคิดอยู่ริมหน้าต่าง แม้จะดูนิ่งขรึมแต่ข้างในของเขากระวนกระวาย จนทนไม่ไหว ลิปดาหันไปหยิบกุญแจรถมอเตอร์ไซด์แล้วเดินออกไป
“ในบางเวลามันก็อาจซ่อนความร้ายกาจที่สามารถทำลายหัวใจคนให้เจ็บปวดได้เหมือนปีศาจที่ซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้...”
ลิปดาขี่มอเตอร์ไซด์ไปตามถนนยามค่ำคืน
รถของลิปดามาจอดเทียบที่หน้าร้านแจน แจนกำลังจะปิดร้านแต่พอเห็นลิปดามาจอดเทียบเธอก็แปลกใจ
ข้อความในอีเมลของอวัศยา “เมื่อฉันมั่นใจว่าคุณรู้จักฉันดีพอ .. และยอมรับในตัวฉันได้ ไม่ว่าฉันจะเป็นใครก็ตาม..วันนั้นฉันอาจจะก้าวออกมาจากที่ซ่อนของฉันก็ได้.../ แอบรัก”
ลิปดาถอดหมวกหน้าเครียด
แจนถามด้วยความตกใจระคนแปลกใจ
“คุณศยาใช้ชื่อแอบรักส่งอีเมลจีบปราณนต์”
แจนและลิปดานั่งอยู่ที่มุมหนึ่งของร้าน ลิปดาพยักหน้าด้วยอารมณ์คนอกหัก
แจนรู้ใจ “อาการแบบนี้..ไม่ใช่แค่อึ้งใช่มั๊ย” ลิปดาไม่ตอบ แจนพูดต่อ “มันใจหาย เหมือนไม่อยากคิดอะไร ไม่อยากทำอะไร” ลิปดาพยักหน้าช้าๆ แจนยื่นหน้ามาพูดต่อ “แบบนี้เค้าเรียกว่า .. อกหัก
ลิปดาชะงัก แจนมองหน้าลิปดา
“คราวนี้ยอมรับแล้วใช่มั๊ยว่าลิปไม่ได้คิดกับคุณศยาแค่เจ้านายกับลูกน้อง”
ลิปดาหลังชนฝาจึงจำใจต้องพยักหน้าอีกที แจนดีดนิ้ว
“นั่นไง แจนว่าแล้ว .. อาการมันฟ้อง แล้วยังไงชอบเค้ามานานหรือยัง รู้ตัวตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วเคยบอกเค้าหรือเปล่า”
“โอโห...มาเป็นชุด ได้ทียิงไม่ยั้งเลยนะ”
แจนเคาะโต๊ะ “รอฟัง..ตอบมา”
ลิปดาจำใจตอบ “ก็ชอบมาหลายปีแล้ว รู้ตัวเมื่อไหร่ไม่รู้ รู้อีกที..มันก็..ขาดเค้าไม่ได้ แล้วก็..ไม่เคยบอก”
“แล้วทำไมไม่บอก...บางทีที่คุณศยาไปชอบเด็กนั่นอาจจะเป็นเพราะเค้าไม่รู้ว่าลิปชอบเค้าก็ได้”
ลิปดาหัวเราะขื่นๆ “ถึงไม่มีปราณนต์..ศยาเค้าก็ไม่ชอบผม ถ้าจะชอบ ชอบมานานแล้ว ผมไม่เคยเห็นเค้าสนใจใคร จนคิดว่าเค้าไม่มีหัวใจ รักใครไม่เป็น แต่..พออ่านเมลนั้นแล้ว มันไม่ใช่..ศยาเค้าคงจะชอบเด็กนั่นมากจริงๆ ถึงได้กล้าแหกกฎตัวเอง ปลอมตัวใช้นามแฝง ส่งเมลหวาน .. ถ้าไม่รักจริง คงทำแบบนี้ไม่ได้”
ลิปดาระบายออกมาอย่างตรงไปตรงมา แจนเห็นใจ
“ลิปจะไม่บอกคุณศยาว่ารู้เรื่องนี้” แจนถาม
ลิปดาส่ายหน้า “ผมไม่อยากให้เค้าลำบากใจ เค้าพรางตัวก็เพราะไม่อยากให้คนอื่นรู้ เพราะฉะนั้นก็เก็บให้มันเป็นความลับต่อไป”
“แล้วความรู้สึกของตัวเองหล่ะ..จะเก็บเป็นความลับ ไปถึงเมื่อไหร่”
ลิปดาจุก เขาคิดแล้วก็ตอบ “ไม่พูดอาจจะเสียใจ แต่ถ้าพูดไปอาจจะเสียเพื่อน .. ถ้าเค้าชอบปราณนต์จริงๆ ผมก็ยินดีที่จะช่วยให้เค้าสมหวัง”
ลิปดาพูดด้วยความเข้าใจและจริงใจโดยไม่ได้ฝืน แจนได้แต่มองด้วยความสงสาร
ปราณนต์ยืนอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ที่ค้างอยู่ที่หน้าอีเมล เขากดรีเฟรซไปมาแต่ก็ยังไม่มีอีเมลตอบกลับมา ปราณนต์ลูบหน้าด้วยความเครียด ปุ้มเดินผ่านมาเห็นเพราะประตูห้องไม่ได้ปิด เธอจึงเดินมาที่ประตู กอดอกแล้วก็ถามขึ้น
“ทำไมต้องร้อนรนหน้าคอมแบบนี้ด้วย มีอะไร”
ปราณนต์ตกใจหันมาเห็นปุ้มยืนอยู่ก็อึกอักๆ เพราะไม่รู้จะตอบยังไง
ปุ้มหลิ่วตา “เล่นบอลออนไลน์ใช่มั๊ย”
ปราณนต์สะดุ้ง “เฮ้ย ไม่ใช่นะพี่ปุ้ม ผมไม่ได้เล่นการพนัน”
“แล้วลุ้นอะไร”
ปราณนต์คิดแล้วก็ถาม “พี่เชื่อเรื่อง...ความรักในอินเตอร์เน็ตหรือเปล่า แบบพวกรักออนไลน์อะไรพวกนั้น”
“หะ อย่าบอกนะว่าเราเข้าไปพวกเวปจับคู่ นัดบอด อ๋อ หรือจะเป็นคนที่พี่เห็นณนต์เอาแต่รอมือถือตอนนั้น”
“เอ่อก็..ใช่ครับ ตอนนั้นเราแชตทางไลน์ แต่ตอนนี้มาคุยทางเมล .. ผมรู้สึกว่าคุยกับเค้าแล้วสบายใจ สนุก ถ้าวันไหนไม่ได้คุยเหมือนขาดอะไรบางอย่าง”
ปุ้มพูดต่อ “แต่เค้าไม่ยอมเปิดเผยตัว รักษาระยะห่าง ไม่ปล่อยให้เราเข้าใกล้มากจนเกินไป เค้าจะตอบเมื่อเค้าอยากตอบ ถ้าเค้าไม่อยากตอบก็หายไปดื้อๆ”
“พี่ปุ้มรู้ได้ไง”
ปุ้มยิ้ม “เธอไม่ใช่คนแรกบนโลกที่เป็นแบบนี้สักหน่อย ฉันก็เลยหลงรักคนในเน็ตเหมือนกันย่ะ”
“ถามจริง”
“ตอบตรงๆ”
“แล้วสุดท้ายเป็นไง”
“ก็เป็นโสดอยู่นี่ไง พี่คาดคั้นให้มาเจอกัน..เค้าก็ไม่ยอมมา พี่เลยยื่นคำขาดว่าถ้าไม่มา ก็เลิกคุยกัน แล้วเค้าก็..ไม่มา..พี่ก็เลยเลิกคุย”
“อ้าว...แล้วพี่ปุ้มไม่เสียใจเหรอ”
“เสียใจสิ แต่พี่คิดแล้ว..คุยผ่านจอยังไงก็สู้คุยแล้วมองตาไม่ได้ พี่ไม่อยากหลอกตัวเองไปวันๆ ต่อให้คุยแล้วมันดี แต่ไม่เจอตัว มันก็ไม่ใช่ความจริง”
ปราณนต์สะอึกเพราะแทงใจดำ ปุ้มย้ำ
“ถ้าณนต์คิดจะจริงจัง .. ก็ต้องพากันออกมาจากโลกออนไลน์ มาอยู่บนโลกความเป็นจริงให้ได้ ถ้าออกมาไม่ได้...ต่อให้เรารู้สึกดีต่อกันมากแค่ไหน มันก็ไม่ใช่ความจริง ... ณนต์กับเค้าจะกล้าออกมาหรือเปล่า”
ปราณนต์ตอบไม่ได้แต่เริ่มคิดหนัก
อ่านต่อหน้าที่ 4
แอบรักออนไลน์ ตอนที่ 8 (ต่อ)
เช้าวันต่อมา พริบพราวนอนแช่น้ำในอ่าง เธออ่านอีเมลของปราณนต์ที่ถ่ายมาจากหน้าแท็ปแล็ตของอวัศยา
พริบพราวดูภาพแล้วก็พึมพำกับตัวเอง “ถ้าเธอรู้ว่าพี่ศยาเป็นแอบรัก เธอยังจะแคร์เค้าเหมือนกับที่แคร์แอบรักหรือเปล่า” พริบพราวคิด “ปราณนต์จะรู้มั๊ยคะว่าพี่ศยาคือแอบรัก”
พริบพราวคิด ..
เหตุการณ์ในอดีต ตอนที่เธอคุยกับปราณนต์ย้อนกลับมา
“นี่...นายเคยรู้สึกมั๊ยว่าพี่ศยาชอบนาย” พริบพราวถาม
“บ้า จะไปรู้สึกได้ยังไง”
“ถามจริงๆ ไม่รู้สึกเหรอ .. ฉันยังรู้สึกเลย”
“นี่..น้ำตาลในเลือดมากเกินไปหรือเปล่า เพ้อเจ้อ มันจะเป็นไปได้ยังไง”
พริบพราวคิด
“ไม่น่าจะรู้ ... ถ้าปราณนต์ไม่คิดว่าพี่ศยาเป็นแอบรัก..แล้วเค้าจะสงสัยใคร”
พริบพราวคิดแล้วก็เอะใจเพราะนึกถึงตอนที่เธอคุยกับปราณนต์ที่ป่าชายเลน
ปราณนต์ถาม “ยิ้มอะไร ? ดูมีความสุข ไปแอบทำอะไรมา”
“ก็..ฉันบอกแล้วไง..ไปส่งเมลมา” พริบพราวบอก
ปราณนต์ชะงัก “ส่งหาใคร ผมหรือเปล่า” พริบพราวงง ปราณนต์พูดต่อ “คือ...ผมรู้จักหรือเปล่า”
พริบพราวนึกถึงตอนที่เต้นรำด้วยกันอย่างมีความสุข
พริบพราวเริ่มจะเอะใจ
“หรือปราณนต์จะคิดว่าเป็นเรา”
พริบพราวคิดด้วยความสงสัย ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น พริบพราวสะดุ้งนิดๆ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มาดู
พริบพราวเห็นว่าเป็นชื่อนิดา “สวัสดีค่ะพี่นิดา โทร.มาแต่เช้าเลย มีอะไรเหรอคะ” พริบพราวแปลกใจ “หะ วันนี้พราวไม่ต้องเข้าบริษัท ทำไมคะ”
ปราณนต์ที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จกำลังคุยโทรศัพท์กับนิดา
“บอสส่งไปสัมนาที่ต่างจังหวัด”
นิดาพูดจากโทรศัพท์ “น้องณนต์ไปได้ใช่มั๊ยคะ”
“ไปได้ครับ ไม่มีปัญหาครับ พี่นิดาส่งรายละเอียดสถานที่มาได้เลยนะครับ เดี๋ยวผมนั่งรถตู้ไป ขอบคุณครับ”
ปราณนต์วางสายแล้วหันมาทางคอมพิวเตอร์ที่เปิดหน้าอีเมลค้างไว้
“ผมส่งเมลไป 2 ฉบับทำไมคุณถึงไม่ตอบ .. คุณหายไปไหนนะคุณแอบรัก .. เฮ่อ”
ปราณนต์คิดถึงแอบรัก
รถตู้ของอรุณจอดรออยู่ที่หน้าคอนโดมีเนียม อวัศยากับลิปดายืนส่งอรุณขึ้นรถ อรุณสั่งคนรถกับเด็กรับใช้ส่วนตัว
“ไอ้ถางเอากระเป๋าขึ้นข้างหลังเลย นังกฐินยกตะกร้าของกินเข้าไปวางในรถ จะได้โดนแอร์ ไม่เสีย”
ถางกับกฐินรับคำ “ครับ / ค่ะ”
ทั้งสองคนแยกกันไปทำตามคำสั่ง อรุณหันมาทางหลานๆ
“ยายกลับหล่ะนะ” อรุณมองหน้าลิปดา “ฝากยัยหนูศยาด้วยนะ พ่อลิป..มีอะไรก็ค่อยๆพูด ค่อยๆจากัน หนักนิดเบาหน่อย ก็ให้อภัยกัน” อรุณจับมืออวัศยากับลิปดาให้มาจับกัน แล้วก็ให้พรต่อ “คนเราต่างพ่อต่างแม่ ต่างครอบครัว มาอยู่ด้วยกัน มันก็ต้องมีกระทบกระทั่งกันบ้าง”
อวัศยาเริ่มจะตะหงิดๆ
“ชีวิตคู่มันก็เหมือนลิ้นกับฟัน” อรุณพูด
อวัศยารีบเบรก “ยาย ๆๆ .. เดี๋ยวค่ะ ยังไม่ได้เข้าพิธีมงคลสมรส นี่แค่ส่งยายกลับบ้านค่ะ..แหะ .. ผิดงาน”
ลิปดาขำ อรุณรู้สึกตัวจึงหัวเราะเก้อๆ
“ก็ซ้อมๆไว้ ...อย่าลืมนะพ่อลิป พร้อมเมื่อไหร่มาสู่ขอได้เลย ยายรออยู่ ช้ากว่านี้เดี๋ยวยายจะไม่ได้อุ้มหลาน”
อวัศยายิ้มแหยๆ ลิปดายิ้มรับนิ่งๆ อวัศยาเห็นลิปตานิ่งไม่ตอบโต้ก็เลยต้องเป็นฝ่ายแสดงแทนเธอคล้องแขนลิปดาหมับ
“ได้เลยจ๊ะ ฉันบอกยายคนแรกเลยจ้ะ” อวัศยาเปลี่ยนเรื่องทันที “รีบไปเถอะยาย สายๆ เดี๋ยวรถติด กฐินพายายขึ้นรถไป” กฐินเดินมาจูงอรุณไปขึ้นรถ “เดินทางกลับดีๆนะยาย ถึงแล้วรีบโทร.หาหนูนะ”
“ได้ๆ ไปก่อนนะพ่อลิป”
“สวัสดีครับ”
“สวัสดีค่า”
อรุณขึ้นรถ ประตูรถปิดลง ลิปดาโอบไหล่อวัศยาเนียนๆ รถแล่นออกไป อวัศยาโบกมือลา รถตู้ยายแล่นไปจนลับตา
อวัศยาเอามือออกจากการควงลิปดา
“เฮ่อ จบสักที ดีใจจริงๆ ไม่ต้องหลอกใครอีกแล้ว”
“แน่ใจเหรอ ว่าหมดเรื่องโกหกแล้ว” ลิปดาพูดลอยๆ
อวัศยาหันขวับทันที “บอสพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง”
“อ้าวก็จริงนี่ คนเราต่อให้ตรงไปตรงมาแค่ไหน ก็ต้องมีเรื่องปิดบัง โกหกกันมากกว่าหนึ่งเรื่องอยู่แล้ว หมดเรื่องยายก็อาจจะมีเรื่องอื่นที่คุณกำลัง...ปิดบังหรือโกหกใครอยู่ก็ได้ .. แต่ถ้าไม่มีก็ดี”
อวัศยาหลิ่วตามองลิปดาที่ทำตัวแปลกๆ
“นี่...บอสท่าทางแปลกๆตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ขอถามเป็นครั้งสุดท้าย .. มีอะไรหรือเปล่า”
“ขอตอบเป็นครั้งสุดท้าย..ว่ามี”
อวัศยาสะอึกแต่ยังทำใจดีสู้เสือ “มีอะไร บอสพูดมาตรงๆเลย”
ลิปดาพูดเน้น “มี ... งานสัมนาที่ต่างจังหวัด” อวัศยางง “แล้วคุณต้องไปสัมนากับผม”
อวัศยางงหนักกว่าเดิม “สัมนา สัมนาอะไร”
อวัศยาถามด้วยความแปลกใจ
ป้ายผ้าเขียนติดไว้ด้านหน้าโรงแรมหรูว่า “Call Tree แผนการบริหารความพร้อมต่อสภาวะวิกฤติ”
โรงแรมแห่งนี้อยู่ติดทะเล ผู้เข้าร่วมสัมนาทยอยเข้ามาลงชื่อ
ปราณนต์ที่แต่งตัวสบายๆ แบบติดดินนิดๆ เดินมา พอเห็นสถานที่เขาก็เริ่มรู้สึกว่าไม่เข้าพวก ทันใดนั้นเสียงพริบพราวก็ดังขึ้น
“ณนต์”
ปราณนต์หันไปเห็นพริบพราวแต่งตัวเก๋ เฉี่ยว เและปรี้ยวมาก
“โห..ผมเห็นโรงแรมหรู ยังคิดว่าไม่เข้ากับชุดที่เตรียมมา ยิ่งมาเห็นคุณ..ยิ่งคิดว่าตัวเองไม่เข้าพวก”
“ไม่ต้องคิดมาก ถ้าไม่มั่น เดี๋ยวฉันพาไปซื้อ” พริบพราวนึกได้ “เออ แล้วนายมาที่นี่ได้ยังไง”
“พี่นิดาโทรมาบอกว่าบอสสั่ง .. แล้วคุณหล่ะ”
“เหมือนกัน..นอกจากเราสองคนบอสยังส่งใครมาอีกมั๊ยเนี่ย”
ทันใดนั้นอวัศยาก็เดินเข้ามา ปราณนต์หันไปเห็นพอดี
“พี่ศยา”
พริบพราวหันไปตามสายตาปราณนต์ อวัศยาเงยหน้าขึ้นมาเห็นพอดีก็ชะงัก
“ปราณนต์” อวัศยามองไปข้างๆ ก็เห็นพริบพราว “พราว..” อวัศยาบ่น “บอสคิดอะไรของเค้าเนี่ย”
พริบพราวเม้มปากแล้วพูดกัดฟันเบาๆกับตัวเอง “ต้องเป็นแผนพี่ลิปแน่ๆ”
พริบพราวมองอวัศยาแล้วก็ปรายตามองปราณนต์ ส่วนปราณนต์มองอวัศยาแล้วก็มองพริบพราว
อวัศยามองปราณนต์เพราะไม่รู้จะทำตัวยังไง เธอปรายตามองพริบพราวนิดๆ มาด้วย เธอคิดในใจว่าทั้งคู่มาด้วยกันหรือเปล่า แล้วอวัศยาก็มองหาลิปดา
พริบพราว อวัศยา และปราณนต์ ยืนเผชิญหน้ากันรูปสามเหลี่ยม โดยที่ต่างคนต่างคิดกันไปสารพัด
ลิปดาตอบแจนทางโทรศัพท์
“ผมก็แค่อยากให้พวกเค้าสามคนได้มาเผชิญหน้ากัน จะได้รู้ความจริงกันไปแค่นั้นเอง ไม่ได้จะสะกัดดาวรุ่งอะไรสักหน่อย”
แจนคุยโทรศัพท์ไปทำขนมไป
“รู้ความจริงอะไร” แจนถาม
ลิปดาพยายามอธิบาย
“ก็ความจริงว่า..ศยาคิดยังไงกับปราณนต์ และปราณนต์คิดยังไงกับศยา และปราณนต์คิดยังไงกับพริบพราว เพราะทั้งสองคนควงกันไปงานพี่องศาในฐานะแฟน ผมก็แค่...หาวาระให้เค้าทั้งสามได้มาเผชิญความจริง ก็แค่นั้นเอง ไม่ได้วางแผนอะไรสักหน่อย”
แจนวางมือจากการทำขนม
“แล้วถ้าสามคนนั้นได้คำตอบ รู้ความจริง แล้วมันจะเป็นยังไงต่อ”
ลิปดาพูดหน้าตาเฉย
“มันจะเป็นยังไง.... ก็เป็นไปตามข้อมูลที่เค้าได้ “ถ้า” ศยากับปราณนต์รู้สึกดีๆต่อกัน พราวก็จะได้ตัดใจ ... แต่ “ถ้า” ปราณนต์รู้สึกดีๆกับพริบพราวและเป็นแฟนกันจริงๆ...ศยาก็ควรจะตัดใจ แล้วก็เลิกเป็นแอบรัก..ก็แค่นั้นเอง”
แจนส่ายหน้า
“พูดง่าย..แต่แจนบอกเลยนะ ว่ามันไม่ง่ายแบบที่ลิปพูด .. เล่นกับอะไรไม่เล่นมาเล่นกับความรู้สึกของคน .. ระวังทางออกมันกลายจะเป็นทางตัน”
แจนสรุป ลิปดาชะงักไปนิดๆ แต่ยังมั่นใจในสิ่งที่ตัวเองคิด
อวัศยาคุยโทรศัพท์อยู่ในห้องพักด้วยความร้อนรนใจ
“บอสต้องรู้อะไรแน่ๆ ถึงได้จัดให้ฉัน ปราณนต์ กับพริบพราวมาสัมนาด้วยกันแบบนี้”
รันที่คุยกับอวัศยานั่งอยู่ในห้องทำงาน รันตอบแบบชิวๆ
“ก็ดีแล้วนี่ เธอจะได้ดูท่าทางของปราณนต์ ถ้ามั่นใจ จังหวะเหมาะก็เปิดตัวไปเลย”
อวัศยาไม่เห็นด้วย
“อย่าลืมสิว่าเด็กพราวก็อยู่ที่นี่ ฉันจะทำอะไรได้ หันไปทีไร ฉันเจอสายตาเด็กนั่นมองตลอด ทั้งพราว ทั้งบอส มองจ้องจับผิดยังกะเป็นผู้คุม แล้วฉันเป็นนักโทษประหาร”
รันเอือมแต่ก็รีบเตือนสติ
“ฉันว่า...เธอโฟกัสผิดที่นะเพื่อน .. คือ การได้อยู่กับผู้ชายที่ตัวเองปิ๊งแบบข้ามวันข้ามคืน เพื่อนควรจะสนใจเค้า ไม่ใช่ไปสนใจบริบทรอบข้าง”
อวัศยาชะงักแล้วคิดตาม
“สองคนนั้นจะคิดยังไงก็เรื่องของเค้า คนที่เธอควรจะสนใจคือ “ปราณนต์” เท่านั้น ตอนนี้เรื่องมันบานปลายจนเธอควบคุมไม่ได้แล้ว เพราะฉะนั้น..ปล่อยส่วนที่คุมไม่ได้ไป แล้วหันมาสนใจในจุดที่สำคัญที่สุด นั่นคือ ความรู้สึกของปราณนต์ที่มีต่อเธอ และ แอบรัก”
รันพูดต่อ
“ศยา...เธอเป็นคนมีสัญชาตญาณในการใช้ชีวิต เชื่อมั่นในมัน .. และอย่าปล่อยให้โอกาสดีๆหลุดมือ ... จำไว้นะ” รันย้ำ
อวัศยาตั้งใจฟัง
รันพูดต่อ “หมดเวลาที่จะซ่อนตัวอยู่หลังคีย์บอร์ดแล้วพิมพ์สิ่งที่เธอคิด สิ่งที่เธอรู้สึก ... ถึงเวลาที่เธอจะต้องเดินออกมา เปิดเผยตัวตนที่แท้จริง .. ก่อนที่ชีวิตเธอจะพังมากไปกว่านี้ !! บอกเลย”
อวัศยาคิดตามแล้วก็เริ่มหวั่นไหว ทันใดนั้นเสียงออดก็ดังขึ้น
ประตูเปิดออก ปราณนต์ยืนอยู่หน้าห้องอวัศยา โดยที่ต่างคนต่างเขินลึกๆ
อวัศยาทำเข้ม “มีอะไร”
“การสัมนาจะเริ่มแล้วครับ พอดีผมพักอยู่ห้องข้างๆที่ศยา ก็เลยเดินมาถาม เผื่อจะเดินลงไปด้วยกัน”
อวัศยาใจเต้นแต่ก็ทำนิ่ง “อือ..งั้นรอแป๊บนะ”
อวัศยาปิดประตู พอปิดปุ๊บเธอก็รีบเอามือลูบหัว ลูบหน้าพลางคิดในใจว่าสภาพเธอเป็นไงบ้าง
อวัศยารีบวิ่งไปหน้ากระจก เติมแป้ง เติมแก้ม เติมปาก หวีผม ส่องกระจก เมื่อพร้อมก็หันไปหยิบเอกสารเตรียมไปสัมนาแต่พอเดินผ่านกระจกก็กลับมาส่องอีกทีเพื่อความมั่นใจ
ปราณนต์ยืนรอ จู่ๆ เขาก็รู้สึกตื่นเต้นนิดๆ อย่างไม่รู้สาเหตุ อวัศยาเปิดประตูออกมา ปราณนต์ยืนยิ้ม อวัศยาก็ยิ้มให้นิดๆ
“ไป..ฉันพร้อมแล้ว”
ปราณนต์ยิ้มรับ อวัศยาปิดประตูและเดินคู่ไปกับปราณนต์ ปราณนต์เห็นของอวัศยาในมือ
“ผมถือให้ครับ”
“เอ้อ..ขอบใจมาก”
อวัศยาส่งของให้ ปราณนต์รับของมา ทั้งสองคนเดินคู่กันไปเหมือนกับคู่รักปกติ
คำพูดของรันดังก้องในหัวของอวัศยา
“คนที่เธอควรจะสนใจคือ “ปราณนต์” เท่านั้น .... ความรู้สึกของปราณนต์ที่มีต่อเธอ และ แอบรัก”
อวัศยาคิดไปมองหน้าปราณนต์ไป แล้วเธอก็ครุ่นคิด
ปราณนต์ก็เดินไปคิดไป คำพูดของรุจน์ดังอยู่ในหัว
“ถามจริงๆนะ แกไม่คิดสงสัยบ้างเหรอว่า.. บางทีพี่ศยาของพวกเราอาจจะเป็นคุณแอบรักของแก”
อวัศยาคิดไป ลอบมองปราณนต์ไปด้วย
เสียงรันดังในหัวอวัศยา “หมดเวลาที่จะซ่อนตัวอยู่หลังคีย์บอร์ดแล้วพิมพ์สิ่งที่เธอคิด สิ่งที่เธอรู้สึก ... ถึงเวลาที่เธอจะต้องเดินออกมา เปิดเผยตัวตนที่แท้จริง .. ก่อนที่ชีวิตเธอจะพังมากไปกว่านี้”
ปราณนต์เดินไปก็คิดไปแต่ตายังมองทาง ไม่ได้มองอวัศยา
เสียงรุจน์ดังในหัวปราณนต์ “แกเคยสังเกตว่าพี่ศยาเค้าสนใจแกมากเป็นพิเศษ หรือ เวลาเค้าอยู่กับแกแล้วเค้าดูมีความสุข .. ดูไม่ใช่พี่ศยาเนี้ยบ เฮี้ยบแบบที่เป็นกับพวกฉัน..แกเคยรู้สึกแบบนั้นบ้างหรือเปล่า”
ปราณนต์หันมาเห็นอวัศยากำลังมองหน้าเขาอยู่ ต่างคนต่างผงะ ทันใดนั้นปราณนต์ก็ตะโกนขึ้น
“พี่ศยาระวัง”
อวัศยางงและยังเดินต่อแต่พอหันมาถึงได้เห็นว่ามีบ่อน้ำอยู่ตรงหน้า อวัศยาเบรกไม่ทันจึงร้องลั่น
“ว้าย”
ปราณนต์พุ่งมาจับแขนอวัศยาเอาไว้ อวัศยาลากปราณนต์ลงน้ำไปด้วยกัน
ปราณนต์ร้องลั่น “เฮ้ย !!”
ทั้งสองคนตกลงไปในบ่อน้ำพร้อมกันจนน้ำแตกกระจาย
พริบพราวมองซ้ายมองขวาอยู่ในงานแต่ก็ไม่เห็นปราณนต์กับอวัศยา พริบพราวเริ่มร้อนใจ เธอเดินมาหาลิปดาที่นั่งอยู่ตรงโซฟาผู้บริหาร
“พี่ลิป .. พราวไปตามหาพี่ศยากับปราณนต์ก่อนนะคะ เดี๋ยวรีบกลับมาค่ะ”
พริบพราวพูดจบก็รีบเดินออกไปทันที ลิปดาจะห้าม
“พราว..พราว...” ลิปดาพูดเบาๆ เพื่อไม่ให้รบกวนคนอื่น
พริบพราวไม่ฟังเสียงแล้วก็รีบเดินไปทันที ลิปดามองมาที่ผู้จัดงานที่กำลังมองมาด้วยความแปลกใจ ลิปดายิ้มแห้งๆ แต่ไม่กล้าลุกตามพริบพราวจึงได้แต่มองตามเท่านั้น
กระเป๋าของอวัศยาถูกเทลงบนผ้าเช็ดตัวที่ปูไว้บนโต๊ะในห้องพัก สมุดโน้ต กระเป๋าเครื่องสำอาง กระเป๋าตังค์ และสิ่งของต่างๆ เปียกน้ำหมด อวัศยาและปราณนต์ตัวเปียกด้วยกันทั้งคู่
“เปียกหมดเลย ผมต้องขอโทษด้วยนะครับที่เมื่อกี๊ยั้งไม่อยู่ เลยตกน้ำไปด้วย ของพี่เลยเปียกหมดเลย”
“ไม่เป็นไร ฉันซุ่มซ่ามเอง ฉันต้องขอโทษมากกว่าที่ลากเธอตกน้ำเลยต้องเปียกไปด้วย” อวัศยาบอก
ปราณนต์ยิ้มรับ “สรุป...เราเสมอกัน ไม่ต้องมีใครขอโทษใคร” อวัศยายิ้มรับ ปราณนต์หันมาทางข้าวของที่เปียก “เดี๋ยวผมช่วยเอาของพวกนี้มาตากนะครับ เดี๋ยวของพี่จะเสียหายกว่านี้นะครับ อย่างแท็ปแล็ตพวกนี้ ต้องรีบเอามาเป่าจะได้แห้ง เผื่อจะยังใช้งานได้”
อวัศยาไม่อยากรบกวนปราณนต์ “เดี๋ยวฉัน...” อวัศยาจะพูดว่าเดี๋ยวฉันทำเอง
ปราณนต์รีบพูดดักคอ “พี่ศยารีบไปเปลี่ยนชุดก่อนเถอะครับ อยู่เปียกๆแบบนี้ เดี๋ยวไม่สบาย” ปราณนต์ใช้จุดอ่อนของอวัศยามาพูดขู่ “ต้องลางานนะครับ”
อวัศยาชะงักแล้วก็คิดได้ “เอ่อ ..ก็ได้ ฝากด้วยนะ”
อวัศยาเดินถือเสื้อผ้าที่จะเปลี่ยนแล้วเข้าห้องน้ำ
ปราณนต์จัดแจงจะหาไดร์มาเป่าแท็ปแล็ต แต่เขาเห็นเสื้อตัวเองเปียก ปราณนต์มองไล่ไปที่ขากางเกงของตัวเองซึ่งมีน้ำหยดเต็มพื้นห้องอวัศยา ปราณนต์ชะงักแล้วก็คิดว่าต้องทำอะไรบางอย่าง
พริบพราวยืนเคาะประตูห้องพักของปราณนต์ แต่ก็ไม่มีเสียงตอบ พริบพราวเคาะอีกรอบแต่ก็ไม่มีเสียงตอบ พริบพราวคิดในใจว่าปราณนต์อยู่ไหน พริบพราวเอะใจ
อวัศยาเดินออกมาจากห้องน้ำ เธอเปลี่ยนชุดเรียบร้อยแล้วพอเดินพ้นห้องน้ำปุ๊บก็ต้องชะงักกึก
เพราะเห็นปราณนต์ยืนอยู่ในชุดคลุมหลวมๆ แบบแอบเซ็กซี่เบาๆ เขากำลังถือไดร์เป่าผมเป่าแท็ปแล็ตที่เปิดฝาออกเห็นเครื่องกลไกข้างใน อวัศยาถึงกับผงะ
“นะ..นะ..นี่เธอ”
ปราณนต์รีบอธิบาย “พอดีเสื้อผ้าผมเปียก ทำพื้นห้องพี่เลอะน้ำไปหมด ผมเลยถือวิสาสะ ใช้เสื้อคลุมตัวใหม่วางตรงโต๊ะมาสวมน่ะครับ แต่ผมโทรบอกแม่บ้านให้เอา เสื้อคลุมตัวใหม่มาให้พี่แล้วนะครับ เดี๋ยวก็คงมา”
ทันใดนั้นเอง เสียงออดก็ดังขึ้น
“นั่นไงครับ ..แม่บ้านเอาเสื้อคลุมมาให้แล้ว”
ปราณนต์เดินไปเปิดประตูทันทีผัวะ
ประตูเปิดออกทำให้เห็นพริบพราวยืนอยู่ พริบพราวอึ้งที่เห็นปราณนต์อยู่ในชุดเสื้อคลุมแถมอยู่ใน
ห้องอวัศยา พริบพราวช๊อค ปราณนต์มองชุดตัวเองแล้วก็เริ่มจะเข้าใจว่าทำไมพริบพราวถึงยืนช๊อค
“พราว”
อวัศยาชะงักกึก พริบพราวช๊อค ปราณนต์เองก็ช๊อคไม่แพ้กัน
วูบนั้นพริบพราวหน้าชา ใจเต้นแรงวูบวาบขึ้นมา และทำอะไรไม่ถูก พริบพราวหันหลังและเดินหนีไปเลย ปราณนต์ตกใจแล้วก็รีบเรียกไว้
“พราวเดี๋ยวก่อน พราวอย่าเพิ่งไป พราว”
อวัศยาลุ้นว่าปราณนต์จะทำยังไง ทันใดนั้นปราณนต์ก็หันมาทางอวัศยา
“เดี๋ยวผมมานะครับ”
พูดจบปราณนต์ก็รีบวิ่งตามพริบพราวไปทันที อวัยาชะงักเพราะสัมผัสได้ถึงความแคร์พริบพราวของปราณนต์
พริบพราวเดินช๊อค หน้าชา ใจเต้นแรง และขาก้าวอย่างเร็วเหมือนไม่อยากรับรู้และอยากหนีจากภาพที่เห็น ปราณนต์วิ่งมาในชุดเสื้อคลุมไม่ได้สวมรองเท้า
“พราว..พราวเดี๋ยวก่อน พราวฟังก่อนคุณกำลังเข้าใจผิด..พราวฟังผมอธิบายก่อน”
ปราณนต์วิ่งมาดักหน้าพริบพราว พริบพราวมองหน้าปราณนต์ด้วยแววตาผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด
“สิ่งที่ฉันเห็นมันก็อธิบายทุกอย่างแล้ว จะต้องอธิบายอะไรอีก”
“แล้วสิ่งที่เห็น มันบอกอะไรกับคุณ...ไหนพูดมาสิ”
“ก็นายอยู่ในชุดแบบนี้ ในห้องผู้หญิง มันจะอะไรไปได้นอกจาก” พริบพราวไม่อยากพูด
“นอกจากผมกับพี่ศยาเดินตกสระน้ำ ตัวเปียก และผมก็ต้องรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนที่จะไม่สบาย ... ถ้าไม่เชื่อขอทางโรงแรมดูกล้องวงจรปิดก็ได้ ผมเห็นว่าเค้าติดกล้องไว้หนึ่งตัว เหตุการณ์เกิดขึ้นประมาณ ๑๕ นาทีที่แล้ว”
พริบพราวอึ้งๆไปและโมโหลดลงจึงเปลี่ยนเป็นตัดพ้อ
“แล้วทำไมนายต้องวิ่งมาอธิบายให้ฉันฟังด้วย แล้ววิ่งมาในสภาพแบบนี้ไม่อายคนอื่นเค้าหรือไง”
ปราณนต์ชะงัก “เอ่อ..นั่นสิ..ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องรีบวิ่งมาอธิบายให้คุณฟัง” ปราณนต์ย้อน “แล้วคุณ...ทำไมต้องเดินหนีมา เหมือนโกรธผมด้วย”
พริบพราวชะงัก “เอ่อ...นั่นสิ ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน”
ปราณนต์กับพริบพราวต่างคนต่างเงียบและมองหน้ากัน แล้วจู่ๆ ทั้งสองก็หัวเราะเขินๆ ออกมาพร้อมกัน “เออ...นั่นสิ”
อวัศยาเดินมามองซ้ายมองขวา เธอเห็นปราณนต์กับพริบพราวจึงรีบหลบวูบเพื่อแอบฟัง ปราณนต์มองหน้าพริบพราวแล้วก็ยิงคำถามทันที
“คุณไม่ได้หึงผมใช่มั้ย”
พริบพราวหุบยิ้มแล้วหน้าก็แดงก่ำ
อวัศยาชะงักกึกแล้วก็หน้าเสีย เธอรอคำตอบด้วยอาการตื่นเต้น
พริบพราวตอบเสียงดังแต่หลบตา
“บ้า ฉันจะหึงนายทำไม”
ปราณนต์หลิ่วตา “ไม่หึงทำไมต้องทำเสียงสูง”
พริบพราวกดเสียงลงต่ำแล้วพูดกวน “ฉันไม่ได้หึงนายสักหน่อย”
ปราณนต์ถึงกับหัวเราะออกมา “ฮ่าๆๆๆ” พริบพราวหัวเราะตาม ปราณนต์มองพริบพราวด้วยความเอ็นดู ในขณะที่พริบพราวก็มองปราณนต์ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกดีๆ
“ขอบคุณมากที่ตามมาอธิบาย เพราะมันทำให้รู้ว่านาย...แคร์ฉัน” พริบพราวยิ้ม
อวัศยาหน้าเสียที่ทั้งสองไปกันถึงขั้นนี้แล้ว
ปราณนต์ยิ้มรับอย่างอบอุ่น
“รู้ก็ดี จะได้ไม่เดินหนีพรวดพราดมาแบบนี้อีก” ปราณนต์พูด ทั้งสองคนยิ้มให้กันอย่างเข้าใจกันดี
“งานสัมนาเริ่มแล้ว รีบเปลี่ยนชุดแล้วไปเจอกันที่ห้องประชุมนะ”
ปราณนต์พยักหน้ารับ พริบพราวยิ้มแล้วก็เดินไปด้วยอาการโล่งอก
อวัศยารีบวิ่งกลับไปที่ห้องทันที
ประตูห้องของอวัศยาเปิดออก อวัศยาหอบแฮ่กๆ อย่างใจคอไม่ค่อยดีกับสิ่งที่เห็น
ภาพปราณนต์ตอนที่คุยกับพริพราวย้อนกลับมา
ปราณนต์ถาม “คุณไม่ได้หึงผมใช่มั้ย”
พริบพราวพูด “ขอบคุณมากที่ตามมาอธิบาย เพราะมันทำให้รู้ว่านาย...แคร์ฉัน”
ภาพพริบพราวกับปราณนต์ที่หัวเราะกันเมื่อครู่แว่บเข้ามาในสมอง
อวัศยาเริ่มใจคอไม่ดี เสียงเคาะประตูดังขึ้นพร้อมกับเสียงปราณนต์
“พี่ศยาครับ ผมมาเก็บของครับ”
อวัศยาสะดุ้งนิดๆ ก่อนจะตะโกนตอบกลับไป
“โอเคๆ มาแล้ว ๆ”
อวัศยาพยายามทำเสียงให้เป็นปกติให้มากที่สุดทั้งที่ในใจ ทั้งหวาดหวั่นและหวั่นไหว
อวัศยาเดินลิ่วนำพริบพราวเข้ามา แม้หน้าตาจะสงบ แต่ในใจของเธอยังคิดถึงเรื่องที่ปราณนต์แคร์พริบพราวมาก พริบพราวเดินตามอวัศยาด้วยท่าทางอารมณ์ดีที่ปราณนต์แคร์เธอ ลิปดาเดินเข้ามาหาอวัศยา
“มาช้าไปแล้ว !! งานเค้าเลิกแล้ว”
คนเริ่มทะยอยออกจากห้องสัมนา อวัศยายืนอยู่กับลิปดาโดยมีพริบพราวยืนอยู่ข้างๆ พริบ
พราวมองหาปราณนต์
“ทำไมเลิกเร็วจัง”
“กิจกรรมในห้องประชุมมีไม่มาก ตอนบ่ายจะเป็นกิจกรรมที่ชายหาด”
“กิจกรรมชายหาดทำอะไร” อวัศยาถาม
ปราณนต์ที่อยู่ในชุดเตรียมสัมนาเดินเข้ามาพอดี
พริบพราวเรียก “ณนต์ทางนี้”
พริบพราวส่งสายตาอย่างสนิทสนม อวัศยาปรายหางตามอง ลิปดามองอวัศยาอย่างรู้ใจ ปราณนต์เดินมาด้วยหน้าตางงๆ ว่าทำไมคนหายไปหมด
“คนหายไปไหนกันหมดครับ”
“อยากรู้ก็กลับไปไปเปลี่ยนชุด แล้วไปเจอผมที่ชายหาด” ลิปดาว่า
ลิปดาเดินไป ปราณนต์งง
“หือ เปลี่ยนชุด” ปราณนต์ตะโกนถาม “จะให้ผมเปลี่ยนเป็นชุดอะไรครับบอส”
อ่านต่อตอนที่ 9