xs
xsm
sm
md
lg

บางระจัน ตอนที่ 7

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


บางระจัน ตอนที่ 7

บริเวณริมคลอง ใจยืนเผชิญหน้ากับสไบที่มองด้วยสายตาสงสัย

"สไบคิดว่าพี่หนีออกไปทำอะไร"
"ฉันไม่ได้คิด แต่คนอื่นคิด"
"ดอกรักสินะ"
"แล้วยังเรื่องที่พี่รู้วิธีแก่พิษของพี่ทัพ"
"พี่เคยเป็นพรานป่านะสไบ เราใช้ลูกดอกล้มสัตว์ใหญ่มาก่อน"
สไบมองใจที่เอ่ยอธิบายจริงจัง
"หรือถ้าสไบคิดว่าพี่หายไปเพราะคิดไม่ซื่อ ก็บอกมาคำเดียว พี่จะออกไปจากค่าย"
"ฉันไม่อยากให้พี่ทำตัวลับๆล่อๆ น่าสงสัย"
ใจเดินเข้าใกล้จนแทบได้ยินเสียงหัวใจสไบ
"พี่รู้ว่าเป็นคนใหม่ มีคนไม่ชอบหน้าพี่ พี่ต้องทำความดีให้มากกว่าคนอื่นๆ พี่ลอบตามออกไปเผื่อจะช่วยอะไรได้บ้าง หรือว่าสไบเห็นพี่เป็นคนไม่ซื่อ"
ใจโอบกอดสไบไว้ในอกอย่างนุ่มนวล
"หัวใจพี่มีแต่สไบ พี่รักสไบ สไบก็รักพี่ใช่มั้ย"
สไบอาย
"พูดให้พี่ชื่นใจสักคำได้มั้ย"
"ทำไมต้องให้พูด"
"สไบอยากไปกับพี่ไหม"
สไบมองใจที่เอ่ยถาม
"เสร็จศึกนี้ พี่อยากให้เราอยู่ด้วยกัน"
ใจโอบกอดสไบไว้ พูดจากใจจริง
"พี่ไม่อยากห่างจากสไบถ้าสไบรักพี่ ไม่รังเกียจพี่ พี่จะขอเป็นคนดูแลสไบจนกว่าแผ่นดินจะกลบหน้า"
"พี่ใจพูดน่ากลัว"
"อย่ากลัวเลย สไบ ในอ้อมกอดพี่ สไบไม่ต้องกลัวอะไร"
"พี่ใจ ... ชีวิตฉันขอฝากไว้กับพี่นะ"
ใจยิ้มปนเศร้าแต่มีความสุข ดึงสไบยิ้มมีความสุข แต่มากอดไว้

ทัพครึ่งนั่งครึ่งนอนอยู่ที่แคร่ มีกองไฟสุมไล่ยุง เฟื่องยกสำรับเดินเข้ามาใกล้ มองทัพที่หลับอยู่
เฟื่องสงสาร ดึงผ้าห่มปิดขึ้นมาให้บนอก มือทัพจับมือเฟื่องไว้
ทัพค่อยๆลืมตามอง เห็นว่าเป็นเพื่อง
"เฟื่อง"
ลานบ้านซึ่งห่างออกไป แฟงถือสำรับข้าวกำลังเดินมา ทัพจับมือเฟื่องอยู่ แฟงหน้าเสีย หลบมอง
"พี่ทัพเป็นยังไงบ้าง"
เฟื่องค่อยๆดึงมือออกจากทัพ ทัพยิ้มน้อยๆ
"ค่อยยังชั่วแล้ว"
"ฉันทำข้าวต้มเกลือ กับทอดปลาช่อน มาให้"
เฟื่องหันไปขยับถ้วยข้าวต้มกับจานปลาช่อนแดดเดียวทอดมาใกล้
"ของชอบพี่"
"ฉันจำได้"
แฟงที่มองภาพเฟื่องกับทัพยิ้มให้กันแล้วบาดใจ ทัพยันตัวลุกขึ้นนั่ง เฟื่องค่อยๆขยับเข้ามาป้อนข้าวต้มฟัก ทัพกินทีละคำ แฟงค่อยๆหลบถอยออกมา

แฟงยกสำรับเดินมา สังข์กับขาบนั่งกินข้าวอยู่หน้าเรือน แฟงชักสีหน้า ทั้งสองตะโกนถาม
"เอาข้าวไปให้ไอ้ทัพมาหรือ อาการเป็นยังไงบ้าง กำลังว่ากินอิ่มแล้วจะไปหามัน" สังข์บอก
"ไม่ต้องไปหรอก พี่ทัพคงหายเร็วถ้าไม่มีแกสองคนโผล่หน้าไป"
"แฟง ใจเย็นๆ นั่งก่อนซิ เดี๋ยวพี่จะเดินไปส่ง" ขาบว่า
ขาบเข้าไปช่วยยกสำรับ ดึงแขนแฟงให้มานั่ง แต่แฟงสะบัดแรง
"อย่ามาแตะตัวข้า ไอ้พวกเสนียด"
"แม่เจ้าโว๊ย แม่แฟงเนื้อทอง จะบอกให้นะ ข้า ไอ้ขาบ ไอ้ทัพน่ะกลับมาเป็นเพื่อนรักกันแล้ว"
"พี่ทัพยกโทษโปรดสัตว์ แต่ข้าไม่ อย่านึกว่าที่พวกเอ็งฉุดคร่าพี่เฟื่องกับจวงไป อย่านึกว่าข้าจะลืมง่ายๆ"
"ยังไงเอ็งก็เลี่ยงพวกข้าไปไม่พ้น เราเป็นญาติกันแล้วนะ แฟง"
แฟงยิ่งมองขาบ สังข์ด้วยสายตาเกลียดชัง
"ข้าไม่มีวันนับญาติกับเอ็งสองคน"
"ข้าเป็นผัวจวง ... ส่วนไอ้ขาบเป็นพี่เขยเอ็งนะแฟง"
แฟงสวนขึ้นทันที
"หุบปาก อย่าพูดเรื่องบัดสีออกมาจากปากโสมมของพวกเอ็ง ข้าไม่มีวันเชื่อ"
"ข้าไม่ได้ข่มเหงน้ำใจเฟื่องนะ เฟื่องเขาเต็มใจ"
แฟงจ้องไปที่ขาบตกใจ โกรธ
"ไม่จริง พี่เฟื่องรักกับพี่ทัพ"
"เองก็ถามเฟื่องดูซิ ข้ากับเฟื่องรักกันจริงๆ"
"ถ้าพี่เฟื่องรักเอ็งจริง เขาต้องอยู่กับเอ็งซิ นี่เขากำลังป้อนข้าวพี่ทัพอยู่"
ขาบสะเทือนใจกับสิ่งที่แฟงพูด
"เอ็งจำไว้ ความเลวของเอ็ง ข้าจะไม่มีวันให้อภัย"

แฟงพูดแล้วเดินเร็วหันหลัง เดินออกไปทันที ขาบสลด รู้สึกผิดและอึดอัดที่แฟงประฌามความผิดของตัวเอง

ทัพมองเฟื่องที่กำลังป้อนข้าวต้มถึงปาก แล้วนึกละอายใจเมื่อรู้ว่าเฟื่องเป็นเมียขาบ

"พี่อิ่มแล้ว"
"ยังไม่หมดจานเลยนะจ๊ะ"
"เอ็งไปเสียเถอะ เฟื่อง พี่อยู่คนเดียวได้"
"พี่ทัพ ยังเจ็บ"
"พี่บอกให้ไป"
เฟื่องตกใจ วางชามข้าวต้มลง
"เจ็บแค่นี้ พี่ไม่ตาย เอ็งไปเสีย เฟื่อง"
"พี่ไล่เพราะพี่ชังน้ำหน้าฉันแล้วหรือ"
ทัพหันมาจ้องตาเฟื่อง
"อย่าให้พี่ต้องพูดเลย เฟื่อง แต่ต่อไป เอ็งอย่าอยู่ใกล้พี่อีก เอ็งไปอยู่กับไอ้ขาบโน้น"
ทัพลุกขึ้นเดินหนีทั้งๆที่ยังเจ็บ เฟื่องมองเสียใจ ฟักเดินออกจากเรือนมาเห็น หยุดมอง
ทัพข่มใจ เหมือนไม่สนใจความรู้สึกของเฟื่อง
"ถึงพี่จะไล่ ถึงพี่จะชังฉันแค่ไหน แต่ฉัน ฉันก็ยัง ... ยัง"
เฟื่องอาวรณ์ไม่กล้าพูดว่า ยังรัก ได้แต่เดินร้องไห้เดินออกไป ทัพขยับจะตาม แต่นึกได้ว่าไม่เหมาะ เลยหันกลับ
"ไปซะ เฟื่อง เอ็งไม่ใช่ของพี่ เอ็งคือเมียรักของไอ้ขาบ เอ็งไม่ใช่เฟื่องคนรักใต้ตาล 5 ต้นคนนั้นอีกแล้ว"
เฟื่องเสียใจ เดินออกไป ฟักเริ่มเข้าใจ
ทัพกำหมัดแน่น กลั้นความเสียใจไว้เต็มที่
สไบเดินออกมาเห็นแฟงที่นั่งเศร้าอยู่ตรงแคร่
"ยุงชุม เข้าบ้านเถอะ แฟง"
"ฉันนั่งรับลมเดี๋ยวนะ พี่สไบ"
สไบมองแฟงที่ท่าทางซึมไป ก็ขยับมาถาม
"ห่วงพี่ทัพล่ะสิ"
แฟงได้ยินแล้วยิ่งหน้าเศร้าลง
"ฉันจะต้องไปห่วงอะไรพี่ทัพ"
"เสียงกระเง้ากระงอดแบบนี้ คงทะเลาะกับพี่ทัพ"
สไบถามยิ้มๆ แต่แฟงไม่สนุกด้วย เฟื่องเดินปาดน้ำตามา แฟงกับสไบหันไปมอง เฟื่องเลี่ยงจะเดินขึ้นเรือน แฟงถามขึ้น
"พี่เฟื่อง"
เฟื่องหยุดหันมาน้ำตาคลอ สไบค่อยๆหลบไปเรือนตัวเอง เพราะคิดว่าพี่น้องอยากจะคุยกัน
"ไอ้ขาบ...มัน"
"พี่จะเข้านอนแล้ว"
แฟงโผเข้ากอดพี่
"พี่เฟื่อง...ไอ้ขาบมันบอกว่าพี่เป็นเมียมัน พี่รักไอ้ขาบหรือ"
เฟื่องน้ำตาไหลพรากลงมาด้วยความอัดอั้น กอดแฟงแน่น
"พี่ไม่ได้รักพี่ขาบ ถึงเป็นเมีย ก็ไม่ได้รัก"
แฟงสงสารเฟื่อง อยากให้กำลังใจพี่สาว เศร้าใจไปด้วยกับความทุกข์ของพี่

กลางคืน ขาบนั่งตบยุงรอเฟื่อง สังข์ที่กำลังกินเหล้า บ่นขึ้น
"เมียเอ็ง เมียข้า ป่านนี้คงไม่กลับมาแล้วล่ะว่ะ"
สังข์ยกไหเหล้า กรอกเหล้าเข้าปากดับกลุ้ม
"ความหน้ามืด ไม่รู้ผิดรู้ถูกแท้ๆ เอ็งกับข้าถึงเอาชนะใจจวงกับเฟื่องไม่ได้ ก็สมควรแล้วที่แฟงมันจะเกลียดขี้หน้าเรา"
ขาบทนไม่ไหว ลุกเดินออกไป สังข์มองตามซึมๆ

ทัพนั่งมองเหม่อ เศร้าเรื่องเฟื่อง ฟักเดินมาใกล้
"ฉันเคยหวังว่าจะได้พี่เป็นพี่เขย แต่กลับกลายเป็นไอ้ขาบ พี่ยังรักเฟื่อง น้องฉันอยู่มั้ยพี่ทัพ"
"อย่าถามข้าแบบนี้เลยฟัก คนอย่างข้า ไม่มีวันแย่งของรักของเพื่อน"
"แต่เฟื่องกับพี่เคยรักกันมาก่อน"
"วาสนาข้ากับเฟื่อง แค่ได้รัก แต่ไม่ได้ร่วมชีวิต ต่อแต่นี้ขาบต่างหากที่เป็นคนที่เฟื่องมันต้องร่วมชีวิต มันจะต้องซื่อสัตย์ อยู่ด้วยกันไปจนตาย"
ทัพเสียงเศร้าอย่างคนกำลังตัดใจให้ขาดจากอดีตที่เคยมีเฟื่อง

แฟงกอดพี่สาวไว้อย่างเห็นใจ เฟื่องยังน้ำตาไหลพราก คับแค้นใจเรื่องขาบ
"พี่ไม่ได้รัก ไม่ได้อยากเป็นเมียพี่ขาบ"
"โธ่ พี่เฟื่อง"
"แต่เมื่อเป็นไปแล้ว ก็บอกความทุกข์กับใครไม่ได้ พี่คงกรรมหนักเหลือเกิน แฟง"
เฟื่องเช็ดน้ำตา แฟงมองสงสาร
"อยู่ที่นี่แหละ พี่เฟื่อง อยู่กับฉันกับแม่ ไม่ต้องกลับไปเรือนมัน ถ้าไอ้ขาบมาตาม ฉันจะเอาดุ้นฟืนตีหัวมันเอง"
เฟื่องมองน้องสาวที่แววตารักจริงใจ แฟงกอดพี่สาวแน่น เฟื่องร้องไห้ไม่หยุด

ขาบเดินมาตามหาเฟื่อง หยุดชะงักมองอยู่ไกลๆ เห็นทัพที่นั่งคุยกับฟัก เอิบ ช่วง และหมู่เคลิ้มที่กำลังเล่าเหตุการณ์ต่างๆที่ผ่านมา อยู่ที่แคร่กลางลาน

พอถึงตอนทัพเล่าเรื่องไปเจอเสือปิ่น สีหน้าทุกคนตื่นเต้น ขาบเห็นทัพอยู่กับพวกผู้ชาย ไม่มีเฟื่อง สีหน้าโล่งใจ

สังข์ที่เดินมายืนตะโกนหน้าเรือน ด้วยความเมา

"น้องจวงจ๋า กลับเรือนเราเถอะจ้ะ ... พี่สังข์หนาวแล้ว"
ประตูยังปิด สังข์ตะโกนดังขึ้น
"น้องจวง ถ้าไม่ออกมา พี่สังข์จะลุยเข้าไปอุ้มน้องนะ"
สังข์ทำท่าขึ้นเรือนอย่างที่พูด แต่ยังไม่ทันเข้าไป จวงเปิดประตูพรวดออกมา
"เงียบเลยไอ้สังข์ ตะโกนทำห่าอะไร อายชาวบ้านชาวช่องเค้า"
"พี่สังข์ไม่อายหรอกจ้ะ มามะ เมียรักของพี่สังข์ กลับเรือนเราเถอะนะ พี่สังข์ปัดกวาดที่หลับที่นอนไว้ให้แล้ว"
"ไอ้สังข์"
"จ๋า"
สังข์ลอยหน้ามา แต่เจอจวงผลักอย่างแรง
สังข์ถอยหลัง เซ ตกเรือนไปนอนแอ้งแม้งบนพื้น
"เอ็งนอนคนเดียวเถอะ ฉันจะอยู่กับแม่"
จวงปิดประตูเข้าไป สังข์ไม่ยอมแพ้ ลุกจะขึ้นเรือน
"จวง ไม่เห็นใจพี่สังข์เหรอจ๊ะ ไหนสัญญาว่าจะยอมเป็นเมียพี่ จวงไม่รักษาสัญญา พี่จะตะโกนให้ลั่นเลยนะ ว่าจวงใจร้าย"
"เงียบ"
สังข์เจอจวงดุ ก็หุบปากทันที
"กลับไปก่อน ยังไม่ใช่คืนนี้"
"แล้วคืนไหนล่ะ"
จวงถลึงตามอง วิ่งหาไม้มาถือจังก้า สังข์รีบลงเรือนไป จวงปิดประตูเข้าเรือน สังข์ได้ยืนมองตาละห้อย

สังข์เดินเมากลับมาจากเรือนจวงนั่งกลุ้มใจ ขาบยังนั่งเหม่ออยู่
"สุดท้ายมึงกับกูก็ถูกผู้หญิงถีบหัวส่ง ถามจริงๆเถอะไอ้ขาบ มึงได้นังเฟื่องมันจริงๆ ใช่มั้ย"
ขาบมองสังข์อย่างสงสัย
"รึว่า...มึงยังไม่ได้นังจวงเป็นเมีย"
สังข์ไม่กล้าสบตารู้สึกเสียหน้า
"มึงอย่าบอกกูนะว่ามึงไม่กล้า...ถุย ไอ้ขี้โม้"
ขาบลุกจะเดินหนี
"ผู้ชายอย่างมึงนี่ดีแต่ปากจริงๆ ยังมิทันไร ก็กลัวเมีย"
สังข์อายขาบรีบเข้ามาปิดปากขาบไว้
"มึงอย่าปากหมานะ ถึงอย่างไรมึงก็อดแห้วเหมือนกู"
"มึงมันตาขาวทั้งคู่แหละ"
สังข์ขาบหยุดทะเลาะกันหันมาตามเสียง ทัพเดินเข้ามายืนมอง
"มึงมันกล้าแต่ในสนามรบ แต่เรื่องผู้หญิงกลับตาขาว"
สังข์ ขาบมองหน้ากัน เสียหน้ามาก
"ทำไมมึงไม่ไปขอเฟื่องกับจวงให้ถูกต้องตามประเพณี ทำลับๆล่อแบบนี้ผู้หญิงเขาอาย"
"กูกลัวแม่มึงไม่ยกจวงให้กูนะซิ" สังข์บอก
ทัพเดินเข้ามา
"มึงทำกับจวงจนอับอายไปทั้งบางเสียขนาดนี้ มึงคิดจะขอสมาแม่กูสักนิดมั้ย"
"กูจะเอาอะไรไปสมาแม่มึง ยามศึกยามสงครามเยี่ยงนี้กูมีแต่ดาบ"
"ก็ยิ่งดีซิ มึงจะได้ไม่ต้องเสียสินสอด แม่กูจะกล้าเรียกสินสอดอะไรมึงนักหนา ขอให้มึงรับปากกับแกว่าจะรักน้องกู ดูแลน้องกูตลอดไป แม่กูก็ไม่อะไรแล้ว มึงด้วยไอ้ขาบ"
"แล้วกูจะหาผู้ใหญ่ที่ไหนไปสู่ขอ" ขาบถาม
"ก็พ่อค่ายบางระจันไง มึงมารบร่วมตายกับพวกพ่อๆเขา มีรึเขาจะใจจืดใจดำไม่ยอมเป็นเฒ่าแก่สู่ขอผู้หญิงให้มึง พรุ่งนี้มึงเตรียมตัว เจียมเนื้อเจียมตัวกันให้ดี กูจะพาไปหาพ่อค่ายระจัน"
สังข์ ขาบมองหน้ากัน อายทัพมาก

ลานชนไก่ ในค่ายระจัน เช้าวันใหม่ ไก่ชนที่กำลังตีกันอยู่ พวกตีไก่โห่เชียร์กันเสียงดังลั่น
ทัพสีหน้าดีขึ้น แต่ยังไม่หายเป็นปกติ เดินมากับ สังข์ ขาบ แต่พอผ่านวงไก่ชนที่ชาวบ้านกำลังเฮกันลั่น
สังข์กระเหี้ยนกระหือลือ ทำท่าจะเข้าไปดูใกล้ๆ เพราะความคุ้นเคย
"ขอแวะสักยกเถอะวะ"
ทัพเหนี่ยวคอสังข์ลากออกมา สังข์เซแซ่ดๆ ขาบหัวเราะ
"เอ็งนี่ไม่เลิกนิสัย ข้ากับเอ็งต้องไปรายงานตัวกับพ่อค่ายเขาก่อน ไป"

ทั้งสามเดินกอดคอกันออกไป พวกวงตีไก่โห่เชียร์ไก่ชนของตัวเองเสียงดังลั่น

นักรบบางระจัน กำลังซ้อมดาบ ซ้อมมวยกันอยู่เต็มลานซ้อมอาวุธ ฝ่ายทัพ สังข์ ขาบ ยกมือไหว้ผู้นำค่ายทั้ง 5 ที่นั่งบนหอชานที่สูงขึ้นไป ด้านข้างคือกลุ่มของฟัก ที่นั่งอยู่ด้วย

"ฉันชื่อทัพ คนทุ่งคำหยาด มากับเพื่อนรัก ไอ้สังข์ ไอ้ขาบ แล้วก็คนจากบ้านพรานที่หนีภัยศึก มาขอพึ่งค่ายบ้านระจันเป็นที่ซุกหัว แต่พวกฉันจะไม่อยู่เปลืองข้าวเปลืองน้ำ จะขอเป็นกองอาสาออกฟันข้าศึกให้ยับ"
"ฉันชื่อ สังข์ เคยเป็นทหารกรุงศรี พอมีฝีมืออยู่บ้าง"
"ฉันชื่อ ขาบ ขอเป็นกองอาสาเดียวกับเพื่อน ไอ้ทัพ ไอ้สังข์"
"ไอ้ฟักกับหมู่เคลิ้มมันเล่าเรื่องเอ็งสามคนให้ข้าฟังแล้ว ข้าเต็มใจรับพวกเอ็งมาช่วยไล่ศัตรู แต่เห็นว่าไอ้ทัพโดนลูกดอกพิษเข้า รู้มั้ยว่าพวกไหนทำ" พันเรืองถาม
"ไม่รู้เหมือนกันจ้ะพ่อ พอโดนเข้า มันก็หนีไป ไม่ทันตาม ฉันก็ล้มลงเสียก่อน"
"ข้าต้องเตือนให้พวกเราระวัง ถ้าเป็นพวกศัตรู อาวุธมันก็ร้ายนัก" แท่นว่า
นายแท่นมองทัพที่หน้าซีดๆแล้วเอ่ยขึ้น
"ข้าดูสีหน้าเอ็งยังเจ็บ"
"มันยังปวดแปลบที่แผล"
"มา .. ตามข้ามา ข้าจะพาไปหาหลวงพ่อธรรมโชติ รับรองว่าเอ็งหายเป็นปลิดทิ้ง"
ทัพ สังข์ ขาบมองด้วยความสงสัยว่าแท่นพูดถึงใคร

ในวิหารหลวงพ่อ หลังค่ายระจันพระอาจารย์ธรรมโชตินั่งอยู่ข้างๆพระประธาน ดูรอยแผลทัพที่ถอดเสื้อให้ดู สังข์ ขาบ แท่น นั่งมองห่างๆอย่างเงียบๆ
หลวงพ่อธรรมโชติมองทัพอย่างพินิจ แล้วพูดขึ้น
"ที่เอ็งปวดไม่ใช่พิษที่โดน"
"หลวงพ่อหมายถึงอะไร กระผมโดนอะไร" ทัพถาม
"เอ็งตามมานี่"
หลวงพ่อเดินผ่านหน้าทั้ง 4 ไปอย่างสำรวม ทัพ สังข์ ขาบ นายแท่นลุกตามไปทันที

หลวงพ่อธรรมโชติเดินไปที่บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ แล้วเอากะลาะตักน้ำขึ้นมา บริกรรมคาถาก่อนราดลงบนหัวทัพ ทัพสะดุ้งเฮือกด้วยคาถาที่หลวงพ่อกำกับ ในการช่วยถอนรากถอนโคนพิษนั้น คนอื่นมองอย่างตกใจ ทัพตัวสั่น หนาว ฟันกระทบกันอย่างแรง
หลวงพ่อธรรมโชติบริกรรมคาถา แล้วตักน้ำราดลงหัวทัพอีกที
ทัพกุมท้องแล้วขย้อนบางสิ่งออกมา เป็นน้ำเหลืองๆที่ซึมลงดินหายไปอย่างเร็ว
คนอื่นมองอย่างตกใจ
"หลวงพ่อ น้ำเหลืองๆจากปากไอ้ทัพนั่นมันอะไรกัน" สังข์ถาม
"ข้าล้างคาถาที่คนมีวิชามันเอามาใส่ในตัวเจ้า"
ขาบถาม
"คนมีวิชา ใครกัน หลวงพ่อ"
"มันว่าคาถากำกับ ไม่ให้ใครตามรอยเจอ"
แท่นถามทัพ
"เอ็งเป็นยังไง"
"หายปวดแล้ว หายเป็นปลิดทิ้งจริงๆ"
ทัพหันไปมองหลวงพ่อด้วยสายตาซาบซึ้ง
"กระผมกราบหลวงพ่อเป็นพระคุณยิ่ง"
หลวงพ่อมองพินิจทัพ แล้วเอ่ยขึ้น
"จงรักษากาย รักษาใจให้แกร่งเช่นนี้ พวกเอ็งจะทำคุณให้บ้านให้เมืองได้อีกมาก"
ทัพยิ้ม ปลาบปลื้มใจ ก้มลงกราบแทบเท้า หลวงพ่อมองด้วยสายตาสงบ และเดินกลับไปทางวิหาร
ทัพยิ้ม หันไปมองแท่น
"ฉันดีใจเหลือเกิน พี่แท่น หลวงพ่อบอกว่าฉันจะช่วยบ้านช่วยเมืองได้"
"หลวงพ่อธรรมโชติท่านมีคุณเรื่องวิทยาอาคมจริงๆ ดูแล้วรู้เลยว่าไอ้ทัพมันเจ็บเพราะมีของสกปรกในตัว"
"แล้วใครเป็นคนเอาของมาใส่ไอ้ทัพ"ขาบถาม
ทุกคนมองหน้ากัน สังข์โพล่งขึ้นมา
"ตั้งแต่ที่ไอ้ทัพโดนพิษ ก็มีแต่ไอ้ใจนั่นที่เอาว่านมาให้เอ็งกิน"
"ไอ้ใจ"
ทัพสีหน้าลังเล ไม่แน่ใจขึ้นมาทันที

บริเวณศาลาการเปรียญ หน้าวิหาร สังข์กำลังพันผ้าทับแผลให้ทัพอยู่
"เอ็งไม่เจ็บแล้วทำไมยังต้องพันผ้าอีกวะ"
"ฉันไม่อยากให้ใครสงสัย"
"มันจะทำร้ายเอ็งทำไม"
ทัพไม่ตอบ
"งั้นก็ไป...อย่างน้อยมันก็ต้องรู้ว่าใครทำ ถึงได้เอาว่านมาถอนพิษถูก"
"ถ้าคิดร้ายกันขนาดนี้ก็อย่าอยู่ร่วมค่ายเดียวกันเลย"

ทัพพยายามคิดว่าทำไมใจถึงทำแบบนี้
 
อ่านต่อหน้า 2

บางระจัน ตอนที่ 7 (ต่อ)

เวลาต่อเนื่องมา ใจแบกฟืนมาวางให้ที่โรงครัว เหงื่อเต็มหน้า กลุ่มผู้หญิง เฟื่อง แฟง สไบ จวง ยิ้มมองกัน แต่ยังไม่ทัน สไบจะขยับ รุ่งวิ่งปาดหน้า เอาผ้าไปซับเหงื่อให้ที่หน้าใจ

"โถ พ่อใจพระ ดูสิ หาบฟืนจนเหงื่อชุ่มไปทั้งตัว เหนื่อยมั้ยจ๊ะ"
รุ่งดึงแขนใจไปทางโอ่งน้ำ
"มามะ มากินน้ำตรงนี้ รุ่งจะป้อน"
รุ่งเอากะลาตักน้ำเตรียมป้อน แฟงเห็นแล้วคันปาก ทนไม่ไหว
"นี่พี่รุ่ง จะเอาใจกันขนาดนี้พาพี่เขาไปอยู่บ้านเลยซิ พี่ใจเค้าจะได้ไม่กระดาก" "นังแฟง พูดให้มันเบาปากหน่อย ฉันยังสาวยังแซ่อยู่นะ"
"ก็ไม่เห็นจะต้องอายตรงไหน สาวแก่อย่างพี่รุ่งอายใครเป็น"
กลุ่มผู้หญิงหัวเราะกัน ชอบใจที่แฟงปราบรุ่งได้ รุ่งดีดดิ้นรีบหันไปทำท่าฟ้องใจ
"พี่ใจดูสิ เค้าว่าน้องรุ่ง"
ใจหัวเราะ ยกชายผ้ามัดเอวเช็ดเหงื่อ ไม่คิดอะไรกับรุ่งที่พยายามทอดสะพาน สไบมองยิ้มกับใจ ไม่ถือสารุ่ง
ทัพ สังข์ ขาบเดินมา
"อยู่นี่เองหรือใจ"
"พี่ทัพมีอะไรจะใช้ฉันหรือ"
สังข์บอก
"ไม่มีอะไรจะใช้ แต่มีอะไรจะคุยด้วย"
สังข์มองใจอย่างคนไม่ถูกชะตา
ขาบบอก
"เอ็งไปเอาว่านที่ไหนมาให้ไอ้ทัพกิน แล้วเอ็งรู้ได้อย่างไรว่าไอ้ว่านนี่ถอนพิษได้"
แฟงชักสีหน้ามองสังข์กับขาบ
"เอ๊ะ...เอ็งสองคนนี่นิสัยพาลไม่เลิก พี่ทัพกินแล้วหายพวกเอ็งยังจะหาเรื่องอะไรอีก"
สังข์ ขาบ กำลังจะห้ามแฟงยุ่ง ก็พอดีเสียงเฟี้ยมกับจันทร์ดังขึ้น
"นั่นไง นังเฟี้ยม ไอ้ลูกเขยของเรา"
"แล้วนั่นก็ลูกเขยเอ็งด้วย"
สังข์ ขาบ หน้าเสีย จันทร์กับเฟี้ยมที่กำลังทำงานอยู่ ยืนมองอย่างไม่พอใจ
แฟงยิ้มเยาะ
"ไปเลย ไปคุยกับแม่ฉันโน้น ถ้าลูกผู้ชายจริงก็ไปพูดจากับผู้หลักผู้ใหญ่ให้ถูกทำนองครองธรรม"
ทั้งสองมองหน้าทัพ อย่างขอความเห็น ทัพยิ้ม ขำๆ
"ไปซิไอ้สังข์ ไอ้ขาบ อย่างแฟงมันบอก แล้วเอ็งจะอยู่ในค่ายนี้อย่างมีความสุข"
สังข์กับขาบมองหน้ากันเจื่อนๆ ก่อนเดินไปหาจันทร์กับเฟี้ยม สไบหันไปยิ้มกับใจ แล้วหันมายิ้มกับเฟื่อง จวง
เฟื่องกับจวงมองหน้ากัน รีบดึงกันหลบไปด้วยความอาย

สังข์ ขาบ เดินเจี๋ยมเจี้ยม เข้ามาอยู่หน้าจันทร์กับเฟี้ยมที่มองว่าที่ลูกเขยทั้งสองด้วยความหมั่นไส้แล้วพูดขึ้น
นางเฟี้ยมบอก
"มือไม้มันแข็งดีจริงนะไอ้พวกนี้ กูแม่ยายมึงนั่งหัวโด่อยู่นี่มึงเห็นกูมั่งมั้ย ฉุดคร่าลูกสาวกูสองคนไป จะสำนึกมาขอสมาสักนิดมีไม๊ หรือต้องให้กูไปแจ้งพ่อค่าย เอาเลือดหัวกระบาลมึงสองคนก่อน..หะ"
สังข์กับขาบมองไป หน้าเจื่อนๆเมื่อเห็นนางจันทร์ นางเฟี้ยม แม่ยายปั้นปึ่งเอาจริง ลงนั่งพับเพียบพนมมือ
"ฉันกราบแม่จ๊ะ" สังข์บอก
"ฉันก็กราบแม่อีกคน" ขาบว่า
จันทร์บอก
"มึงสองคนนี่อาจหาญ หยามหน้ากูนัก เห็นมึงสองคนมาตั้งแต่หัวเท่ากำปั้น ไม่นึกเลยว่า โตจะทำระยำขนาดนี้"
"เมื่อกี้..น้าจันทร์บอกว่าเป็นแม่ยาย ก็แปลว่าน้ายอมยกจวงให้ฉันแล้วใช่ไม๊" สังข์ถาม
"กูไม่ได้คิดจะยก แต่มึงสองคนทำระยำตำบอนจนกูกับลูกสาวไม่รู้จะเอาหน้าไปมุดที่ไหนนะซิ"
"งั้นตั้งแต่คืนนี้ขอเฟื้องไปนอนที่บ้านฉันนะแม่" ขาบบอก
"ฉันก็ขอจวงไปนอนบ้านฉันนะแม่" สังข์ว่า
"เดี๋ยวก็โดนแพ่นกบาลด้วยดุ้นฟืนนี่หรอก มึงยังไม่คิดมาขอสมากูเป็นเรื่องเป็นราว อยู่ๆจะมาเอาลูกสาวกูไปนอนด้วย เดี๋ยวเอาให้เลือดหัวออกเสียดีไม๊"
เฟี้ยมทำท่าจะหยิบดุ้นฟืนมาตีจริงๆ
สังข์ ขาบ รีบจับไว้
"งั้นแปลว่า...ถ้าฉันให้ผู้ใหญ่มาทำพิธีขอสมาลาโทษ น้าจะยกจวงให้ฉันใช่ไม๊จ๊ะ"
จันทร์ทำเป็นค้อนควัก
"แล้วผู้ใหญ่ของเอ็งนะใคร"
"ก็พ่อค่ายไงจ๊ะ"

เฟื่องกับจวงที่แอบฟังอยู่มุมหนึ่ง มองหน้ากัน เฟื่องรีบเดินเลี่ยงออกไป จวงมองตาม

กลางคืนต่อเนื่องมา เฟื่องนั่งเช็ดผมอยู่ที่หน้าเรือน หลังจากอาบน้ำเสร็จใหม่ๆ ท่าทางเศร้าๆ

จวง กับเพื่อนสาว 2-3 คน กลับจากอาบน้ำที่ท่ามา ลงนั่งมองเฟื่องอย่างเข้าใจช่วยเฟื่องเช็ดผม
จวงบอก
"พี่เฟื่อง เราคงคิดมากอยู่ไม่ได้แล้ว แม่เขาประกาศยกเราให้พี่สังข์ พี่ขาบ ดังไปทั้งค่ายเสียขนาดนี้ ถ้าเราสองคนมาทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เราสองคนนี่แหละจะมองหน้าใครเขาไม่ได้"
เฟื่องน้ำตาคลอ ยังคิดถึงทัพ
"ฉันไม่เคยนึกเลยว่าชีวิตฉันกับพี่ทัพจะมาพลัดจากกันด้วยเรื่องแบบนี้"
"ลืมอดีตหนหลังเสียเถอะ พี่ทัพเขาก็ตัดใจ ทำใจแล้ว ถ้าพี่เฟื่องยังมาอาลัยพี่ทัพอยู่ พี่เฟื่องนี่แหละที่จะกลายเป็นคนเรรวน"
เฟื่องยิ่งร้องไห้หนัก
"พูดจริงๆเถอะพี่เฟื่อง พี่เฟื่องว่าพี่ขาบไม่ดีตรงไหน พี่เฟื่องถึงไม่อาจรักพี่ขาบได้แต่งงานกับพี่ขาบให้เป็นฝั่งเป็นฝาเถอะ แม่และพี่ทัพจะได้สบายใจ ฉันก็จะยอมแต่งกับพี่สังข์ให้เรียบร้อยพร้อมพี่เฟื่องเหมือนกัน ชีวิตผู้หญิงเรานะพี่เฟื่อง...จะชั่วดีถี่ห่าง ก็ขอมีผัวเดียวจนตายเถอะนะ"
จวงซบลงที่หลังเฟื่อง กอดเฟื่องอย่างคนหัวอกเดียวกัน

กลางคืนต่อเนื่องมา สังข์ ขาบ เดินเข้าประตูรั้วพ่อค่ายมากล้าๆ กลัวๆ
"เอ็งว่าพ่อค่ายเขาจะยอมเป็นเฒ่าแก่ให้เรามั้ย" ขาบถาม
"ถ้าไม่ยอม มึงกับกูก็ไม่ต้องมีเมีย"
สังข์ทำกล้าเดินนำเข้าไป โย่ง ลูกน้องพ่อค่ายเดินเมาออกมาขวาง
"หยุด...มึงสองคนจะเข้ามาในเขตนี้ยามวิกาลมิได้"
"ฉันจะมาหาพ่อค่ายจ๊ะพี่"
"พ่อค่ายคนไหน บ้านนี้มีพ่อค่ายอยู่ตั้งสิบเอ็ดคน มึงอยากพบคนไหน"
ขาบพูดประสาซื่อ
"คนไหนก็ได้จ๊ะ ที่ไปเป็นเฒ่าแก่สู่ขอผู้หญิงให้จ๊ะ"
โย่งหัวเราะคิก
"งั้นข้าจะพาไปหาพ่อทองเหม็น...แกเมตตาสูงอยู่" ทั้งคู่กำลังจะตามไป "เฮ้ยๆๆ เดี๋ยวมึงสองคนวางอาวุธก่อน" โย่งสั่งยาม "ริบอาวุธ"
ยามเฝ้าประตูเข้ามารับดาบจากสังข์กับขาบไปเก็บ

ทองเหม็นกำลังนั่งกินเหล้าพักผ่อนอยู่หน้าเรือน หัวเราะชอบใจ
"กูอยากจะถีบมึงเหลือเกินไอ้โย่ง คนอย่างกูนี่นะจะไปสู่ขอผู้หญิงให้ไอ้สองคนนี่ คนขี้เมาอย่างกูใครจะยกลูกสาวให้ โน้น...ต้องพ่อพันเรืองโน่น"
พันเรืองเดินลงมาสั่งงานนักรบฉกรรจ์อยู่ที่บันได
"ไป..รีบไป เดี๋ยวแกจะขึ้นนอนเสียก่อน" ทองเหม็นบอก
สังข์รีบสะกิดขาบวิ่งไปหาพันเรืองที่บันได
พันเรืองสงสัยหันมามอง
"เอ็งสองคน..คนบ้านคำหยาดนี่"
สังข์ ขาบ รีบยกมือไหว้
"ใช่จ๊ะ" ขาบบอก
"มีเรื่องอันใด"
"คือ..เมื่อกลางวันไอ้ทัพมันพาฉันสองคนมาเพื่อจะขอให้พ่อค่าย..."
สังข์ไม่กล้าพูดต่อ
"พอดีต้องรีบพาไอ้ทัพไปรดน้ำมนต์เสียก่อน ฉันสองคนเลยไม่ทันพูด" ขาบบอก
"ข้าเลยมิรู้ว่าเอ็งสองคนจะให้ข้าทำอะไร จะให้ข้าล้างแค้นพวกอังวะให้รึ ข้าก็รบกับมันแทบทุกวันอยู่แล้ว" พันเรืองว่า
"มิได้จ๊ะ ข้าอยากแต่งงาน"
พันเรืองงงๆ
"จะมากราบขอพ่อค่ายไปสู่ขอเจ้าสาวให้นะจ๊ะ"
"เอ็งสองคนเพิ่งมาถึง ก็อยากจะมีเมียแล้วรึ"
"หาไม่จ๊ะ ข้ารักแม่จวงตั้งแต่อยู่ที่บ้านคำหยาดแล้วจ๊ะ"
"ข้าก็รักแม่เฟื่องมาแต่บ้านคำหยาดเช่นกันจ๊ะ"
"อ้าว...แล้วทำไมจะมาให้ข้าไปขอให้เล่า"
สองเกลอมองหน้ากัน ไม่กล้าบอก
"ข้าว่าเอ็งสองคนคงทำมิดีกับลูกสาวเขาไว้ซิ เขาถึงไม่ยกให้"
ทั้งคู่ไม่กล้ามองหน้าพันเรือง รู้สึกผิด
"เอา....ถ้าเอ็งคิดว่าข้าไปขอแล้วเขายอมยกให้ ข้าจะช่วย"
สังข์ ขาบ ยิ้มออก
"เพราะเห็นว่าเอ็งสองคนจะมาช่วยข้ารบดอกนะ แต่เอ็งแน่ใจนะว่าเขาจะยอมยกให้"
สังข์กับขาบบอก
"ถ้าเป็นพ่อค่ายขอเอง รับรองยังไงๆก็ต้องยกให้จ๊ะ"
ทองเหม็นนั่งมองอยู่กับโย่ง หัวเราะชอบใจ

"ไอ้คนบ้านคำหยาดนี่กูว่าหน่วยก้านมันฟันอังวะขาดได้หลายท่อนอยู่ แต่กับเมีย กูว่าไม่รอด"

กระทงดอกไม้ ธูปเทียนที่สังข์ ขาบ ถือในมือ วางลงหน้านางจันทร์ นางเฟี้ยม เพื่อเป็นการขอขมาเรื่องจวง และ เฟื่อง ฝ่ายจวงกับเฟื่อง แฟง สไบอยู่อีกด้าน แฟงสีหน้าปั้นปึ่งไม่พอใจ เรื่องที่ขาบล่วงเกินพี่สาว


กลุ่มทัพ ใจ และผู้ชายคนอื่นๆมองจากด้านหลังร่วมเป็นสักขีพยาน
สังข์บอก
"ฉันขอสมาลาโทษแม่จันทร์ที่พาจวง ลูกสาวแม่ ไป ไม่ทันได้มีงานตบแต่งให้สมหน้าสมตาแม่"
"ฉันก็ขอสมาลาโทษแม่เฟี้ยมด้วยจ้ะ" ขาบบอก
นางจันทร์ นางเฟี้ยมรับกระทงดอกไม้มา
นางจันทร์ถาม
"ว่ายังไง เฟี้ยม เราจะคิดค่าน้ำนมไอ้สองคนนี้ยังไงดี เอาเสียให้หนัก ให้สมรักสมแค้น"
นางจันทร์ทำค่อน คนที่ฟังหัวเราะ ยิ้มขำกันเพราะรู้ว่านางจันทร์แกล้งขู่ลูกเขย จวงสีหน้าอายๆ แต่เฟื่องแววตาเศร้านิ่ง
แฟงเหลือบไปมองทัพที่ยืนนิ่ง ไม่แสดงอาการอะไรออกมา
"ข้าก็คงไม่เรียกร้องอะไรหรอกนะ ยามศึกยามสงครามเยี่ยงนี้ ขอแค่ให้รักลูกสาวข้า ยกย่องเชื่อฟังลูกสาวข้าทุกเรื่อง ห้ามขัด ห้ามว่า ห้ามเถียง ลูกสาวข้าต้องเป็นใหญ่ที่สุด"
ทุกคนหัวเราะที่นังเฟี้ยมยังไว้ลาย
"รับรองจ้ะแม่ ฉันจะรัก จะเชื่อฟังน้องจวง คำน้อยไม่มีว่าให้เคืองใจW
"ฉันก็ขอสัญญา ชีวิตฉันจะรักเฟื่องจนกว่าจะสิ้นใจตาย"
เฟื่องเบือนหน้าหนี ขาบแววตาหมองลงทันที แฟงเหลือบมอง ทัพยังยืนนิ่ง ไม่มีรอยยิ้ม แฟงมองด้วยความสงสาร
เสียงเอิบ ช่วงดังสวนขึ้นด้วยความคึกคะนอง
"อย่างงี้มันต้องรำกันยันเช้า" เอิบบอก
ช่วงบอก
"เอ้าเว้ย มาเลี้ยงให้คู่ผัวเมียรักกันทุ่งสะเทือนสองคู่เว้ย ...เอ้า...โห่....หิ้วโห่"
ทั้งหมดร้องขานรับ "ฮิ้ว"

เสียงเพลงพวงมาลัยดังจากกลุ่มหนุ่ม สาว ที่ตั้งวงร้องอยู่ มีแฟงกับสไบรำอยู่ด้วย สังข์นั่งชิดกับจวง ขาบนั่งติดเฟื่อง มีเอิบ ช่วง ฟัก เคลิ้ม กับชาวบ้านคนอื่นที่ล้อมวง ทั้งกินทั้งดื่ม ร่วมแสดงความยินดีในงานฉลองแต่งงาน
กลุ่มผู้ใหญ่ ได้แก่นางจันทร์ นางเฟี้ยม และชาวบ้านผู้ใหญ่พากันนั่งคุยกันอีกวง ทัพยืนมองห่างออกมา มีใจยืนใกล้
"ดีนะที่เอ็งช่วยหายาแก้พิษให้ข้า ถ้าเอ็งไม่ไปอยู่ตรงนั้นพอดี ป่านนี้ข้าคงเป็นผีเฝ้าทุ่ง"
ใจยิ้มรู้ดีว่าทัพกำลังถามด้วยความสงสัย แต่ใจทำไม่มีพิรุธ
"ฉันก็พอมีความรู้เรื่องสมุนไพรอยู่บ้าง ดีใจที่ช่วยเอ็งได้ ตอนแรกฉันจะวิ่งตัดทุ่งไปทางที่เค้ารบกันอยู่แล้ว ได้ยินเสียงร้องให้ช่วยเสียก่อน พอไปถึงก็เลยเห็นแฟงกับเอ็ง"
"แล้วเอ็งเห็นพวกที่ยิงลูกดอกใส่ข้ามั้ย"
"ฉันมองตามมันไม่ทัน ตอนนั้นก็ห่วงแต่เอ็ง"
"พิษมันร้ายจริงๆ"
"เอ็งยังไม่หายปวดหรือ"
"ว่านที่เอ็งให้ก็ช่วยบรรเทาได้ส่วนนึงแต่ที่หายขาด ก็เพราะน้ำมนต์ของหลวงพ่อธรรมโชติ"
ใจสงสัย
"น้ำมนต์"
ทัพมองใจที่หน้าตาสงสัย แต่ทัพไม่คิดระแวงใจเลย ก็ยิ้ม
"น้ำมนต์หลวงพ่อช่วยถอนพิษสกปรกทั้งหมดออกไปจากตัวข้า"
ใจทำเป็นยิ้มตื่นเต้น
"โชคดี โชคดีของเอ็ง หลวงพ่อท่านเก่งจริงๆ"
"ต่อไปนี้เราต้องระวัง"
ทัพตบบ่าใจอย่างกันเอง ใจฝืนยิ้ม
"เราไม่รู้ว่าศัตรูมันจะมาไม้ไหน เราต้องช่วยกันเป็นหูเป็นตา ช่วยเหลือกัน สามัคคีกัน"
ใจฝืนยิ้มให้ทัพที่ไม่ระแวงเลยว่ากำลังอยู่ใกล้ศัตรูในเงามืดอย่างเขา

ยามเย็น ชาวบ้านในค่ายพากันหุงหาอาหาร ผู้ชายพากันกลับจากซ้อมอาวุธ มาที่เรือน

ใจเดินมองไปรอบๆ ด้วยสายตาสังเกตความเป็นอยู่ ทางเข้าออกทุกทางในค่าย

กลุ่มสังข์ ขาบถูกพวกฟัก เอิบมอมเหล้า แฟงยืนห่าง จวงกำลังลำเลียงกับแกล้มมาให้กลุ่มผู้ชาย รุ่งมองหาแล้วถามขึ้น

"พี่ใจไปไหนซะละ"
สไบได้ยินก่อน ก็มองหา ดอกรักที่กำลังกินเหล้าอยู่อีกวงกับชาวบ้าน ได้ยินก็ขยับตัวทันที
"เห็นพี่ใจมั้ย"
"ทำไมเหรอ พี่รุ่ง พี่ใจเค้าจะไปไหนมาไหนต้องคอยรายงานแม่ด้วยเหรอ"
กลุ่มผู้หญิงหัวเราะ รุ่งหน้าแดง
"ชะช้า นังแฟง ปากเอ็งนี่ เดี๋ยวแม่ปั้ดตบกินน้ำพริกไม่ได้สามวันเจ็ดวัน"
"กลัวจ้ะ พี่ กลัวแล้ว กลัวว่าจะกินน้ำพริกอร่อยสามวันเจ็ดวัน"
แฟงแกล้งกระเซ้า กลุ่มชาวบ้านผู้หญิงพากันเชียร์กันเล่นๆขึ้นมา
"เอาเลย แฟง ตบเลย - สู้เค้า นังรุ่ง สู้นังแฟง"
กองเชียร์เฮ รุ่งยุขึ้น พวกผู้ชายพากันหันมอง
"มานี่เลย นังแฟง มาให้ข้าตบสักฉาดสองฉาด"
"ฉันไม่หนีหรอก พี่รุ่ง แน่จริงพี่รุ่งก็ตามให้ทันซี้"
แฟงทำหน้าล้อเลียนใส่ รุ่งวิ่งไล่ตี แฟงวิ่งหนีไปรอบๆเหมือนเด็กกำลังเล่นงูกินหางรอบๆตัวทัพ
เฟื่องหันมองทัพที่ยืนมองไปที่แฟง
"เล่นเป็นเด็กไปได้ เมื่อไหร่เอ็งจะโตวะ แฟง"
เฟื่องได้ยินก็เบาใจ ยิ้มออกมา ทัพหันมาเห็นสายตาเฟื่อง ก็หลบตา เดินไปนั่งกับกลุ่มฟัก
เฟื่องหน้าเศร้าลงที่ทัพทำตัวห่างเหิน สไบปลีกตัวออกมาจากวง ดอกรักลุกขึ้นมองตามสไบ

สไบเดินเร็ว มองหาใจ ชาวบ้านหญิงคนหนึ่งเดินผ่านมา สไบถามขึ้น
"เห็นพี่ใจบ้างมั้ยจ๊ะ"
หญิงส่ายหน้า สไบสีหน้าไม่ดี

ใจเป่าเสียงนกเขาดังขึ้น 3 ครั้ง เป็นสัญญาณ ใจรออยู่พัก เจิดโผล่ออกมาจากในป่า

สไบเดินมาถึงด้านหน้าระเนียดค่าย มีชาวบ้านชายท่าทางกำยำ ที่เป็นเวรยาม 4 คน สไบมองเห็นแล้ว เดินตรงเข้าไปถาม
"พี่จ๋า เห็นพี่ใจ คนที่เพิ่งมาจากสามโก้กับฉัน เดินมาแถวนี้บ้างมั้ยจ๊ะ"
"ไหนน้องสาวลองบอกสิว่า ไอ้ใจ มันสูงต่ำดำขาว หน้าตายังไง"
"สูงๆจ้ะ สูงประมาณเท่านี้"
สไบทำมือ กำลังอธิบายว่าใจลักษณะท่าทางยังไง

ด้านหนึ่งในป่า ใกล้ๆค่ายระจัน ใจกำลังเอาไม้เขียนบนดินเป็นแผนผังของค่ายบ้านระจันให้เจิดดู
"ค่ายระจันมันเอาคลองธรรมชาติล้อมรอบ ด้านหน้าจะเป็นคลองขุด ทำให้เป็นชัยภูมิชั้นดี"
"ยามรักษาการของพวกมันล่ะ"
"เหมือนค่ายใหญ่ๆ มีเวรยามทั้งวันทั้งคืน"
"แล้วคนในนั้นมีอยู่เท่าไหร่"
"ชาวบ้านตอนนี้มีราวแปดร้อย ผู้นำ 11 คน แล้วก็..."
เจิดมองใจที่หยุดคิด แล้วพูดออกมา
"พวกมันนับถือหลวงพ่อธรรมโชติ เป็นพระมีวิชา ผู้นำทุกคนเชื่อถือมาก"
"สยาสั่งให้ดูว่าพวกมันมีอาวุธเท่าไหร่"
"ชาวค่ายมีแต่มีด ไม้ ดาบ มีกองปืนของขุนสรรค์กองหนึ่ง แต่ที่น่ากลัวที่สุดของค่ายบ้านระจันคือความสามัคคี พวกมันมาจากสาระทิศ แต่จิตใจเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันมาก เพราะความเจ็บแค้นในกองทัพเรา"
"ยังไงเราก็ต้องทำลายที่นี่ให้ราบ เพื่อไม่ให้คนไทยบางอื่นเอาเยี่ยงอย่างแข็งข้อกับพวกเรา ไม่งั้นเราจะหาเสบียงส่งทัพใหญ่ไม่พอกิน และที่สำคัญพวกค่ายใหญ่ที่ตั้งทัพประชิดกำแพงกรุงโยเดียอยู่ จะได้ไม่ต้องคอยระวังว่าจะมีใครมารอบตีด้านหลัง"
เจิดสั่งใจที่สีหน้าคิดหนัก

สไบเดินมา กลุ่มที่กินเลี้ยงเริ่มเมามาย เสียงเคาะกะลา ร้องเพลงดัง สังข์เมาเต็มที่ลุกขึ้นมารำกับพวกเอิบ ช่วงทั้งๆที่เข่าอ่อน รุ่งเองก็เมาอยู่ใกล้ๆกลุ่มผู้ชาย เอิบ ช่วงพากันรำป้อ
แฟงกำลังปรบมือเชียร์รุ่ง หันไปเห็นสไบเดินเข้ามา
"หายไปไหนมา พี่สไบ ดูสิกำลังสนุกเลย"
"พี่ใจหายไปไหนไม่รู้ แฟง"
แฟงลุกพรวดขึ้น ทัพเดินเข้ามาได้ยินก็ถาม
"เอ็งว่าไงนะ สไบ"
สไบอึกอัก ทัพจ้องคาดคั้น จนสไบต้องพูดออกมา
"พี่ใจจ้ะ ฉันหาพี่ใจไม่เจอ ไม่รู้ไปอยู่เสียที่ไหน"
ทัพนิ่วหน้าสงสัยทันที
"เอ็งสองคนอยู่ที่นี่ พี่จะไปตามหาไอ้ใจเอง"
ทัพเดินเร็วออกไป แฟงกับสไบมองตามสีหน้าไม่ดี

ใจที่กำลังเล่าให้เจิดฟังต่อ
"ส่วนของพ่อค่าย ไม่ให้คนนอกเข้าไปป้วนเปี้ยน แต่ฉันกำลังหาทางตีสนิทพ่อทองเหม็น"
"ถ้าสบโอกาส ไอ้พวกพ่อค่าย ฆ่าใครได้ก็ฆ่าเลย"
"ไม่ง่ายหรอกพี่อูทินลิน... พ่อค่ายทุกคนฝีมือดาบเก่งมาก"
ใจรู้สึกว่ามีคนจ้องอยู่ด้านหลังก็หันขวับไป เห็นดอกรักที่จ้องอยู่
"ชาติชั่ว ไอ้ใจ ... มึงเป็นอังวะ กูนึกแล้วว่าน้ำหน้าอย่างมึงไม่ได้มาดี เสียแรงสไบทั้งรักทั้งไว้ใจมึงที่สุด"
เจิดพรวดเดียว ลุกเข้าถีบดอกรักเข้ากลางอก จนดอกรักหงายกลิ้งไป เจิดเข้าไปชก แต่เจอดอกรักชกกลับเข้าบ้าง ทั้งคู่แลกหมัดกัน คลุกดิน ไม่มีใครแพ้
เจิดกำลังเสียท่า โดนชกจนล้ม ใจพุ่งเข้าไปชกดอกรักคว่ำ ดอกรักซวนเซ เงยขึ้นมา เจอใจโดดศอกเข้ากลางหัวแบบมวยอังวะ
ดอกรักถึงกับยืนไม่อยู่ ล้มลงสลบกับพื้น
เจิดชักดาบออกมาทันที หวังจะแทงดอกรักให้ตายคาที่ ใจกระชากมือรุ่นพี่ไว้
"อย่า"
"มันจะเอาความลับไปบอกทุกคน"
"ถ้ามันตาย คนจะสงสัยฉัน"

เจิดชะงัก มองใจที่สายตาคิดหาทางออก
 
อ่านต่อหน้า 3

บางระจัน ตอนที่ 7 (ต่อ)

ดอกรักถูกมัดมือมัดเท้าด้วยเชือก ถูกเจิดลากมาถึงริมน้ำ เจิดวางร่างดอกรักไว้ พร้อมจะถีบลงไป

"มัดฉันไว้กับมัน"
"แกจะจมน้ำตายนะ อองนาย"
"พี่ก็รู้ อูทินลิน ฉันดำน้ำเก่งแค่ไหน มัดฉันไว้กับมัน"
ใจสั่งแววตาเด็ดเดี่ยว เจิดมองอย่างลังเล

ริมคลองอีกด้านในค่ายทัพที่เดินหาใจ
"ไอ้ใจ มึงไปอยู่ที่ไหนว๊ะ"
ทัพมองแล้วตัดสินใจเดินลัดเลาะไปต่อที่หอกลางสะพาน
"ยามค่าย...เห็นใครออกมาเดินเล่นแถวนี้บ้างไม๊"
ยามส่ายหน้า ทัพงง ไม่รู้จะไปตามที่ไหน

ร่างใจที่ถูกมัดติดดอกรัก เจิดมองนิดเดียว แล้วตัดสินใจถีบร่างดอกรักอย่างแรง ร่างดอกรักที่ดึงร่างใจตกตูมลงไปในคลองด้วยกันทันที
เจิดมองร่างสองร่างที่กำลังไหลไปตามน้ำเชี่ยว ใจพยายามทะลึ่งน้ำขึ้นมาหายใจ ร่างกำลังลอยไปตามน้ำกับร่างของดอกรักที่ผูกติดกัน
ในใต้น้ำ ใจพยายามดำน้ำช่วยพยุงดอกรักให้ไหลไปตามน้ำอย่างทุลักทุเล

บรรยากาศงานแต่งที่คนเหลือน้อยแล้ว กลุ่มผู้ใหญ่พากันกลับบ้าน เหลือแต่กลุ่มผู้ชาย นอนพับหลับกอดไหเหล้ากันระเกะระกะ
เฟื่องกำลังช่วยเก็บกวาดหันมามองเห็นสไบกับแฟงเดินไปเดินมา อย่างกังวล
“แฟง สไบ มีอะไรกันหรือเปล่า”
สองสาวรุ่นหันมามองเฟื่องสีหน้าไม่ดี

ใจพยายามถีบตัว ว่ายทวนน้ำขึ้นไป ดอกรักสลบไม่ได้สติ สำลักน้ำ ใจเร่งเท้า แต่ขาดอกรักไปเกี่ยวพันกับกอไม้ใต้น้ำ ขาดอกรักยิ่งพันเข้ากับกอไม้มากขึ้น ร่างของใจเลยถูกร่างดอกรักถ่วงลงน้ำไปด้วย
ใจพยายามทะลึ่งขึ้นแต่ก็ยิ่งจมน้ำ ดำดิ่งลงไป

บริเวณทางเดินในค่ายระจัน แฟง เฟื่อง สไบเดินเร็วมา สไบถือคบไฟส่องทางพูดขึ้น
“พี่ทัพออกไปตามพี่ใจตั้งนานแล้ว”
“เราช่วยกันสามคนอย่างนี้ ต้องเจอน่ะ สไบ” แฟงบอก
“รีบไปเถอะ ไปทางหลังคลอง” เฟื่องว่า
มุกคนต่างเดินเร็วกันไป

ใจจมดิ่งลงไปมากขึ้นเพราะขาดอกรักที่ติดกอต้นไม้ไต้น้ำ ใจพยายามดิ้นรน ถีบตัวเองให้ดึงร่างดอกรักไปด้วย แต่ใจเริ่มไม่ไหว ทั้งคู่กำลังจะจมน้ำ
จังหวะนั้นเอง ทัพได้กระโดดพุ่งลงน้ำมา แล้วดึงร่างของใจที่กำลังจะจมดิ่งไว้ ใจมองทัพ แล้วมองลงไปที่ดอกรัก ทัพมองตาม เห็นขาดอกรักที่พันอยู่ใต้น้ำ
เขาพุ่งตัวลงไปกระชากไม้น้ำออกจากขาดอกรัก
ใจทะลึ่งพรวด ดึงดอกรักขึ้น ทัพพุ่งขึ้นมา เหนี่ยวร่างใจขึ้นไปสู่เหนือน้ำได้อย่างทันเวลา

ทัพลากร่างใจกับดอกรักเหวี่ยงขึ้นมาบนฝั่ง ใจสำลักน้ำแต่ยังมีสติ ทัพรีบเอาดาบตัดเชือกที่รัดสองร่างไว้ติดกัน ทัพเข้าไปตบหลัง ดอกรักสำลักน้ำออกมา
แฟง เฟื่อง สไบวิ่งมาเห็นสภาพคนทั้ง 3 ที่เปียกไปทั้งตัว
แฟงเรียก
"พี่ทัพ"
สไบเรียก
"พี่ใจ"
เฟื่องกับแฟงวิ่งเข้ามาช่วยพยุงร่างดอกรักไว้
ทัพถามใจทันที
"ใจ เกิดอะไรขึ้น เอ็งออกไปไหนมา"
ใจแกล้งทำสีหน้าตื่นตกใจ เล่าให้ทุกคนฟังด้วยความกลัว
"ฉันกำลังจะเดินไปหาพี่ทองเหม็น แต่เห็นคนมันลับๆล่อๆที่หลังค่าย เลยวิ่งไปดูคิดว่าเป็นพวกที่เคยทำร้ายเอ็งนะ..ทัพ"
ทุกคนมองใจที่กำลังเล่า
"ฉันไม่เจอใคร พอหันหลังจะกลับ เจอดอกรัก เค้าหาว่าฉันออกมาส่งข่าวให้ข้าศึก เราเถียงกัน แล้วอยู่ๆฉันก็ถูกตีหัว"
ทุกคนเริ่มเชื่อ
"มารู้ตัวอีกที ก็ถูกมัดติดกับดอกรัก แล้วก็ถูกถีบลงน้ำ"
"ใครถีบ"
"ฉันไม่ทันเห็นหน้า กำลังเผลอ"
"เอ็งได้ยินเสียงมั้ย พวกไหน กี่คน"
"หลายคน น่าจะสี่หรือห้า"
ดอกรักครางออกมาอย่างไม่มีสติ
"อังวะ พวกอังวะ"
สไบเข้าไปเขย่าตัวดอกรักด้วยความสงสาร
"พี่ดอกรัก"
"พาดอกรักมันกลับเรือนก่อน"
ทัพกับใจเข้ามาพยุงดอกรัก หามไป สามสาววิ่งตามออกไปทันที

เช้าวันใหม่ ดอกรักนอนอยู่ในเรือน สไบกำลังเอายาใส่ฝาหม้อดินให้ดอกรักจิบ
ทัพ สังข์ ขาบ มองด้วยความเป็นห่วง ใจนั่งอีกด้าน ถึงจะหวั่นแต่ใจยังเก็บอาการได้อย่างแนบเนียน
ดอกรักสำลักน้อยๆ สไบเอาตัวดอกรักพิงผนังไว้
"พี่ดอกรัก"
ดอกรักลืมตามองทุกคน
"ดีขึ้นหรือยัง" ทัพถาม
ดอกรักกวาดตามองไปเรื่อยๆ จนไปเห็นใจ ดอกรักลุกพรวด ชี้หน้า
"มัน ทหารอังวะ"
ทุกคนหันขวับมองใจเป็นตาเดียว

ทั้งหมดเดินเร็วกันมา หลังจากซ้อมอาวุธแล้ว
เอิบบอก
"พอไอ้ดอกรักมันฟื้น ทีนี้จะได้รู้ว่าไอ้ใจมันหายไปไหน"

ทุกคนเดินเร็วไปทางเรือนที่ดอกรักนอนพักอยู่

ในเรือนดอกรักสายตาทุกคนที่มองจ้องมาที่ใจ ดอกรักพุ่งเข้ามากระชากคอใจ

"มึง ... ทหารอังวะ มึงเป็นข้าศึก"
ดอกรักชกใจไปหมัดนึง ใจทำเป็นไม่สู้ ล้มคว่ำ สไบยืนตกใจ ทัพรีบพุ่งเข้าไปแยก สังข์ ขาบดึงดอกรักไว้
"ดอกรัก ทำไมถึงบอกว่าไอ้ใจเป็นทหารอังวะ" ทัพถาม
ใจมองดอกรัก ในใจลุ้นว่าจะแก้คำพูดดอกรักยังไง
"กูเจอมันในป่า มันกำลังส่งข่าวให้เพื่อน"
สไบถาม
"จริงหรือเปล่า พี่ใจ"
แต่ไม่ทันใจจะตอบ
ดอกรักดิ้น สังข์กับขาบจับไว้ ดอกรักมองไปที่ทัพ แล้วตะโกนใส่หน้า
"มึง มึง มึง มึงเป็นทหารอังวะ พวกมึงจะมาฆ่ากู"
ทุกคนงง ดอกรักดิ้นหลุดจากสังข์ ขาบ แล้วพุ่งเข้าไปชกสะเปะสะปะ อย่างคนถูกกระทบกระเทือนจนสมองฟั่นเฟือนไปชั่วขณะ มีอาการหวาดระแวง
"พวกมึงเป็นอังวะ พวกมึงทั้งหมด เป็นข้าศึก"
"ดอกรัก ดอกรัก"
ทัพจะเข้าไปแต่ดอกรักพุ่งชน แล้ววิ่งออกประตูไป ทุกคนวิ่งตามออกไปทันที
ใจอยู่รั้งท้าย โล่งใจที่ดอกรักกลายเป็นคนพูดไม่รู้เรื่อง รีบตามออกไป

ดอกรักที่วิ่งเตลิดลงมาจากในบ้าน พวกฟักวิ่งมาดูตกใจ ดอกรักตะโกนแหกปากลั่น
"ข้าศึก ข้าศึก"
ทัพวิ่งตามออกมา ส่งเสียงบอกฟักกับพวก
"จับไว้ จับตัวดอกรักไว้"
เอิบ ช่วง พุ่งเข้าไปจับ ดอกรักที่กลายเป็นคนฟั่นเฟือนจำความไม่ได้
"อย่ามาจับกู พวกมึงเป็นข้าศึก กูจะฆ่าพวกมึงให้หมด"
ดอกรักเหวี่ยงหมัดไปโดนเอิบ ช่วง จนปล่อยหลุดมือ ฟัก หมู่เคลิ้มวิ่งมาดัก ทัพกับพวกวิ่งมาต้อน
"ดอกรัก นี่พวกเราเอง ไม่ใช่ข้าศึก" ทัพบอก
"ไม่จริง พวกมึงโกหก พวกมึงจับกูมาอยู่ในค่ายอังวะ"
ทัพกับสังข์และขาบมองสบตากันเป็นสัญญาณ สังข์พุ่งเข้าไปก่อน ดอกรักเหวี่ยงหมัด สังข์หลบ
ขาบตามเข้าไปชก ดอกรักยังมีแรง เหวี่ยงสังข์ที่กอดเอวไม่ปล่อย แล้วถีบขาบกระเด็น ทัพชกเข้าหน้าดอกรัก หงาย ร่วงไปนอนกับพื้น
สไบร้องไห้โฮ วิ่งเข้าไปกอดดอกรักด้วยความสงสาร
"พี่ดอกรัก ทำไมพี่ถึงเป็นแบบนี้ ทำไมพี่จำใครไม่ได้เลย"
ใจที่ยืนมองเหตุการณ์ทั้งหมดย้อนคิดถึที่เขากระโดดศอกเข้ากลางหัวดอกรัก
ทุกคนพากันมาล้อมวงมองสภาพดอกรัก
"มันคงโดนมาหนัก อยู่ๆถึงจำใครไม่ได้เลย" สังข์บอก
"เอามันไปในบ้านก่อน มัดมันไว้ ถ้าปล่อยออกมาเดี๋ยวจะเตลิดไปไหนต่อไหน"
ฟัก หมู่เคลิ้ม ช่วง เอิบ ช่วยกันแบกร่างดอกรักเข้าไปในเรือน สไบยืนปาดน้ำตา ใจเดินมาใกล้
"พี่ดอกรัก ไม่น่าเลย"
สังข์หันไปทางใจ
"เอ็งจำได้มั้ยว่าไอ้ดอกรักมันโดนอะไรมั่ง"
"มันมืด พวกมันเป็นใครก็ไม่รู้ ฉันเองก็โดน ทั้งชกทั้งตี"
ใจบอกทุกคนอย่างหนักแน่น สบตาทุกคนอย่างไม่หวั่นไหวกับสิ่งที่โกหกออกมา

ทัพ สังข์ ขาบเดินมาด้วยกัน สีหน้าทัพยังคิดเรื่องดอกรัก
"มันต้องเป็นพวกเดียวกับที่เป่าลูกดอกใส่ข้า"
"เอ็งเห็นหน้าไอ้ใจมั้ย"
ทัพ ขาบหันมองเพื่อน
"มันบอกว่ามันโดนชก แต่หน้ามันไม่มีแผล"
"เอ็งคิดว่าไอ้ใจมันปดเหรอวะ" ขาบถาม
"ไม่รู้ ข้าสังหรณ์ว่าไอ้ใจมันพูดไม่จริง"
"แล้วที่มันถูกมัดติดกับดอกรัก"
สังข์เงียบนิ่ง หาข้อโต้แย้งยังไม่ได้
"ถ้าทัพไปช่วยไม่ทัน ไอ้ใจมันก็จมน้ำตายกับไอ้ดอกรัก มันถึงกับเอาชีวิตตัวเองมาเสี่ยงทำไม" ขาบถาม
"ไม่รู้โว๊ย"
"เอ็งไม่ถูกชะตากับไอ้ใจ"
"เออ อันนี้ข้ายอมรับ"
"ไอ้ใจมันอยู่กับเรามาตั้งนาน มันช่วยสไบกับพวกเราไว้หลายครั้ง เอ็งจะเหม็นหน้ามันข้าไม่ว่า แต่จะหาว่าใครเป็นคนทรยศ เอ็งต้องมีอะไรชัดๆ เพราะไม่อย่างงั้นก็เท่ากับทำให้คนดีๆคนนึงเดือดร้อน เวลาศึกอย่างนี้ อย่าแตกสามัคคี เราต้องการคนที่จะเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน"

ทัพเตือนสังข์ สังข์สีหน้ายังไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่เพราะมีอคติกับใจ

ดอกรักที่ถูกมัดมือขึงไว้กับแคร่ สไบพยายามจะป้อนข้าว แต่ดอกรักถุยใส่ อาละวาดอย่างคนไม่รู้สติ เอิบ ช่วงมองอย่างสงสาร

"ไป ไปให้พ้นหน้ากู มึงจะเอายาพิษให้กูกิน"
"พี่ดอกรัก นี่ฉัน สไบน้องพี่นะ"
"ไป กูไม่มีน้อง"
ดอกรักถีบแรง สไบถอยกรูด ชามข้าวหกตกพื้น สไบน้ำตาคลอ
"ดอกรักมันคงจะเป็นบ้าเป็นบอเสียแล้ว สไบเอ้ย" เอิบบอก
"เดี๋ยวพวกพี่จะไปขอน้ำมนต์หลวงพ่อธรรมโชติมาอาบให้มัน เผื่อมันจะดีขึ้น" ช่วงว่า
"กูไม่ได้บ้า"
ดอกรักทั้งแหกปาก ทั้งดิ้น
"เออ...มึงไม่ได้บ้า พวกกูนี่แหละบ้า" เอิบบอก
"นี่แหละน้า มึงมันดีแต่คอยอิจฉาไอ้ใจ ไงล่ะ ... เป็นบ้าเลยมึง" ช่วงว่า
"กูไม่ได้บ้า"
ดอกรักโวยวายทั้งเตะถีบกระทืบเรือนจนสะเทือน เอิบ ช่วงพากันส่ายหน้า สไบทนมองสภาพพี่ชายไม่ไหว หันหลังเดินออกเร็วออกไปทันที

ใจยืนมองคลองด้านหลังค่ายอย่างใช้ความคิด เห็นสไบวิ่งปาดน้ำตาเข้ามา
"สไบ"
สไบสะอื้น ใจรีบพุ่งเข้าไปประคองไว้อย่างนุ่มนวล
"ฉันสงสารพี่ดอกรักเหลือเกิน เวรกรรมอะไรของพี่ดอกรัก"
ใจเช็ดน้ำตาให้เบามือ
"ฉันอยากเห็นหน้าไอ้คนใจร้าย ถ้าฉันเจอ ฉันจะฟันมัน จะทำอย่างที่มันทำกับพี่ดอกรัก"
ใจสีหน้าไม่ดี อัดอั้นแต่ก็พูดได้แค่ว่า
"เราจะรักษาดอกรักนะสไบ สักวันดอกรักคงจะกลับมาเหมือนเดิม"
"ฉันอยากให้หายเร็วๆ แล้วบอกมาว่าใครที่มันทำชั่วไว้กับพี่ดอกรัก"
สไบมองใจอย่างมีความหวัง แต่ยิ่งทำให้ใจกดดัน

ดอกรักยังอยู่ในอาการทั้งดิ้น ทั้งกระทืบเรือน เอิบ ช่วงกำลังถือบาตรน้ำมนต์จากหลวงพ่อ ฟักกับหมู่เคลิ้มคอยดูอยู่ห่างๆ
ดอกรักบอก
"ไอ้ใจนั่นแหละ มันเป็นทหารอังวะ มันหลอกพวกเรา"
ฟักบอก
"พูดบ้าอะไรของเอ็งวะ ไอ้ดอกรัก"
"กูไม่ได้บ้า พวกมึงสิบ้า ทั้งบ้าทั้งโง่"
"เอ้า ไอ้ช่วง เอ็งไปเอาใบหญ้าคามาเร็วสิวะ ใบมะยมก็ได้ หลวงพ่อท่านให้น้ำมนต์มาแล้ว จะได้รดมันให้หายบ้าสักที" เอิบบอก
ช่วงรับคำ "เออๆ"
ช่วงกำลังจะออกไป หมู่เคลิ้มขัดขึ้น
"ไม่ทันแล้ว ข้าว่าอย่างนี้เลยดีกว่า"
หมู่เคลิ้มคว้าบาตรน้ำมนต์มาจากมือเอิบ แล้วสาดเข้าดอกรักตูมจนเปียกทั้งตัว สั่นพั่บๆ ทุกคนมองลุ้น
"หาย มันหายแน่ๆ"
ดอกรักตะโกน
"กูจะฆ่าพวกมึง"
ดอกรักแหกปากลั่น ทุกคนตกใจ พากันสะดุ้ง ฟักบอก
"ไม่ไหวแล้วว่ะ ข้าว่าดอกรักมันคงบ้าบอ กู่ไม่กลับแล้ว"
ทุกคนมองสภาพดอกรักด้วยสายตาสลดใจ

บริเวณโรงครัว แฟง เฟื่องกับชาวบ้านหญิงคนอื่นๆที่กำลังนั่งฟังรุ่งจีบปากจีบคอถึงอาการของดอกรัก
"เค้าว่าไอ้ดอกรักมันโดนผีป่าเข้าสิง"
แฟงบอก
"ผีป่าที่ไหน พี่ดอกรักไปเจอพวกข้าศึกต่างหาก"
"เอ๊ะ เอ็งนี่ จะฟังข้าเล่าให้จบก่อนได้มั้ย นังแฟง"
"ก็พี่เล่าเรื่องปด เชื่อไม่ได้"
"ก็ชาวบ้านเค้าเล่ากันอย่างนี้ มันเจอข้าศึกที่ไหน ถ้าเจอก็ต้องฟันกันยับตายกันไปข้างนึง นี่ดันลอยน้ำมากับไอ้ใจเพราะโดนผีป่าหลอก"
"ทำไมชาวบ้านไม่ฟังเรื่องจริง"
"ก็มันไม่สนุกไง"
รุ่งหัวเราะลั่น แฟงหน้าตาเคือง เฟื่องดึงแฟงไว้ แล้วเอ่ยอย่างเป็นผู้ใหญ่กว่า
"ที่จริง พี่น่าจะเล่าเรื่องที่ดอกรักไปเจอข้าศึก เราจะได้ช่วยกันระวัง แทนที่จะมาเล่าไปคนละทิศแบบนี้"
"ก็ข้าจะเล่าของข้าอย่างงี้ เรื่องข้าศึก พวกเราก็ระวังกันอยู่แล้ว แต่ไอ้ดอกรัก มันขี้อิจฉา มันหาเรื่องพี่ใจ มันก็เลยเป็นบ้าเพราะผีป่าลงโทษ"
แฟงกับเฟื่องหน้าตานึกไม่ถึงว่ารุ่งจะพูดเป็นตุเป็นตะ
"พี่ใจเป็นคนดี ไม่เคยอิจฉาใคร เทวดาอารักษ์ก็เลยช่วยให้รอด คอยดู...เดี๋ยวไอ้ดอกรักมันจะอาละวาดไปทั่ว ดีไม่ดี ผีป่ามาเอาชีวิตมัน แล้วจะตามมาเอาชีวิตคนในค่ายไปด้วย"
ชาวบ้านพากันหันหน้าคุยกันเรื่องผีป่าด้วยความกลัวทันที แฟงทนไม่ไหว เดินตรงมาหน้ารุ่ง
"ผีป่ามันไม่น่ากลัวเท่าปากพี่หรอก เล่าเรื่องปด แล้วยังจะให้ร้ายพี่ดอกรัก ฉันว่าผีป่าชอบมาหาคนอย่างพี่นี่แหละ"
แฟงเดินฉับๆออกไป เฟื่องตามไปด้วย รุ่งทำหน้าหวั่นๆ แต่ก็ยังตะโกนทำเป็นปากเก่ง
"นังแฟง ข้าไม่เชื่อเอ็งหรอกโว๊ย ข้าคนดี ผีป่าคุ้มครอง"

รุ่งพูดไม่ทันคิด ชาวบ้านที่ได้ยินพากันหัวเราะ รุ่งยังไม่รู้ตัวว่าพูดอะไรผิดไป

แฟงเดินมาที่ลานตีไก่ในค่ายด้วยความโมโหรุ่ง เฟื่องเดินตามหลังมา

"ฉันอยากจะฟันปากพี่รุ่งนัก"
"ใจเย็นๆ เราจะบ้าตามเค้าไปทำไม"
"ฉันไม่อยากฟังนี่พี่เฟื่อง พี่ดอกรักก็มาเป็นเสียอย่างนี้ พวกข้าศึกมันคงจะแค้นที่พี่ทัพรอด เลยมาด้อมๆมองๆ แต่พี่ดอกรักกับพี่ใจไปเจอเสียก่อน"
"แฟงคงเป็นห่วงพี่ทัพ"
แฟงชะงักหันมองพี่สาว ความเกรงใจเกิดขึ้นทันที
"ฉันไม่ได้ห่วงพี่ทัพ"
แฟงมองพี่สาวด้วยสายตาจริงจัง
"ฉันกับพี่ทัพ เราเป็นพี่เป็นน้อง ฉันรู้ว่าพี่ทัพ.... รักพี่"
เฟื่องยิ้มน้อยๆ
"มันเป็นไปไม่ได้แล้ว แฟง พี่แต่งงานกับพี่ขาบไปแล้ว พี่ทัพคงไม่อาลัยตัวพี่แล้ว"
"ก็พี่เฟื่องโดนไอ้ขาบมันรังแก มันหักหาญน้ำใจพี่"
"วาสนาของพี่กับพี่ทัพมีแค่นี้ พี่ทัพเป็นคนดี ถ้าแฟงจะรักพี่ทัพ พี่ก็ดีใจด้วย"
แฟงเหมือนโดนจี้จุด ทั้งอายทั้งปากแข็ง
"พี่เฟื่องพูดอะไร ฉันน่ะเหรอ รักพี่ทัพ ชังน้ำหน้าล่ะไม่ว่า ชอบมาหาเรื่องว่าฉันทุกอย่าง พี่เฟื่องไม่ต้องคิดอีกเลยนะ เรื่องฉันกับพี่ทัพ ฉันไม่ได้รักพี่ทัพ"
แฟงทำเสียงแข็ง ยืนยันแล้วเดินสะบัดออกไป ไม่กล้าสบตาพี่สาวตรงๆ เฟื่องมองตาม รู้สึกโล่งใจขึ้นมาอย่างประหลาดเมื่อได้ยินน้องสาวยืนยันว่าไม่ได้รักทัพ

แฟงเดินเร็วมาหลบอยู่ตามลำพังที่ท่าน้ำหลังค่าย ย้อนคิดภาพที่ใกล้ชิดทัพหลายครั้ง แต่อดเศร้าใจไม่ได้

ฝ่ายทัพ สังข์ ขาบกำลังซ้อมอาวุธอยู่กับกลุ่มชาวบ้าน ฝีมือฟันดาบของทัพไม่เป็นรองใคร ชนะหลายคน ส่วนสังข์ลงซ้อมดาบกับชาวบ้าน ผลัดกันรุก ผลัดกันรับ แล้วก็ชนะ ส่วนขาบ ฝีมือดาบรวดเร็ว ไว เอาชนะคู่ซ้อมได้
แท่น ผู้นำยืนมองทั้งสามคนด้วยสายตาพอใจ

ครั้งมื่อทั้งสามซ้อมดาบเสร็จ กำลังจะเดินกลับไปที่เรือน ระหว่างทางผ่านวงตีไก่ เสียงชาวบ้านผู้ชายเชียร์กันดัง ทำให้สังข์อดใจไมไหว
"พวกเอ็งเดินไปก่อนเลย" สังข์บอก
สังข์บอกเพื่อนแล้วตรงดิ่งไปที่วงไก่ชนทันที ขาบมองตาม ทัพพูดขึ้น
"เอ็งจะไปดู ก็ไปสิวะ มัวละล้าละลังอยู่ได้"
ขาบยิ้ม แล้ววิ่งไปเชียร์ข้างสังข์ ทัพมองเพื่อนสองคนแล้วเดินห่างออกมา

ในกระท่อม ดอกรักนอนหลับหมดแรง ถ้วยข้าวเกลื่อนกระจาย เฟื่องเก็บของเกลื่อนพื้นอย่างเบามือ แล้ววางกระบอกไม้ไผ่ใส่น้ำ ห้อยไว้ที่เสาใกล้มือดอกรัก เผื่อจะคว้ามาดื่มเอง
ทัพเข้าประตูมา มองเห็นเฟื่องที่เข้ามาช่วยดูแลดอกรัก สองคนสบตามองกัน
"ฉันมาดูข้าว ดูน้ำให้พี่ดอกรัก"
"มันคงฟาดหัวฟาดหาง จนหมดแรง"
ทัพเดินมาใกล้ๆดอกรัก
"ถ้าดอกรักมันดีขึ้นเมื่อใด พี่จะถามเรื่องวันที่มันถูกมัดติดกับใจ"
"ฉันจะสวดมนต์ ให้พี่ดอกรักหายวันหายคืน"
ทัพมองเฟื่องด้วยสายตาอ่อนโยน เฟื่องลุกออกไป
เฟื่องนำหน้าทัพเดินออกมา ทัพปิดประตูเรือน เฟื่องรู้สึกพะอืดพะอม หยุดเดิน ทัพมองสังเกต
"เฟื่อง เป็นอะไร"
"ฉันเหมือนจะ ..."
เฟื่องทำท่าเหมือนจะอาเจียนออกมา ทัพมองอย่างเป็นห่วง
"เฟื่อง"
เฟื่องหันหลังวิ่งไปบ้วนน้ำลายเหนียวออกมาที่โคนต้นไม้ ทัพเดินเร็วตามมาดู
"เฟื่อง"
"ไม่เป็นไรจ้ะ พี่ทัพ ฉันเวียนหัว"
"สีหน้าเฟื่องไม่ดีเลย"
"ไม่เป็นไรจ้ะ สงสัยจะอยากของเปรี้ยว ฉันเห็นมะขามอ่อนตรงโน้นอยู่สองสามต้น"
ทัพมอง เห็นเฟื่องยิ้มตอบ ทั้งที่สีหน้าอิดโรย

ทัพกำลังเอาไม้สอยฝักมะขามอ่อนลงมา ให้เฟื่องที่ยืนอยู่ เฟื่องแกะกินอย่างเอร็ดอร่อยมาก
ทัพมองแบบกลัวความเปรี้ยวเข็ดฟันของมะขาม ต่างกับสีหน้าเฟื่องที่มีความสุขมาก
เฟื่องกินเอากินเอาจนหมด
"เอาอีกมั้ย เฟื่อง อร่อยใช่มั้ย"
"จ้ะพี่"
ทัพยิ้มมองเฟื่อง

อีกด้านรุ่งถือกระจาดอาหารเดินมา พอเห็นทัพกับเฟื่องก็หลบมอง ทัพเดินไปสอยมะขามให้เฟื่องอีก รุ่งหลบมองวูบวาบๆสายตาสอดรู้เต็มที่ คันปาก... ทั้งคู่ยังไม่เห็นรุ่ง
 
อ่านต่อหน้า 4

บางระจัน ตอนที่ 7 (ต่อ)

รุ่งกำลังเล่าเรื่องที่เห็นกับชาวบ้านหญิงที่จับกลุ่มกัน

"ให้สาบานต่อหน้าพระประธานสามวัดเจ็ดวัด ถ้านังรุ่งมันปดแม้สักคำเดียว ขอให้ไม่ตายดี"
ชาวบ้านผู้หญิงท่าทางตื่นเต้น อยากรู้ทันที
"เอ็งจะเล่าอะไร ก็รีบเล่ามา"
รุ่งทำทีอ้อยอิ่งเรียกความสนใจ
"จะเล่าดีหรือป่าวนะ แต่เล่าก็ได้นะ คือเมื่อกี้ ฉันไปที่คลองท้ายค่าย"
ด้านหลังสไบเดินมาพอดี ก็หยุดฟังเงียบๆ
"นังเฟื่องพี่สาวนังแฟงน่ะสิ เค้าว่ามันมาอยู่ที่นี่กับผัวใช่มั้ย"
"ไอ้ขาบ"
"นั่นแหละ เค้าว่าแต่ก่อนน่ะเป็นหมู่ขาบ แต่เมื่อตะกี้ข้าเห็นแม่เฟื่องคนงามอยู่กับพี่ทัพ"
"อ้าว ก็เค้าคนบ้านเดียวกัน"
"ช่าย คนบ้านเดียวกัน แต่แม่เฟื่องคนงามเค้าให้พี่ทัพสอยมะขามให้กิน พี่ทัพก็ทำยังกะเป็นผัว ดูแลเมียท้องสาว เฟื่องจ้ะ เอาอีกมั้ย"
รุ่งออกท่าออกทาง จนทุกคนพากันตื่นเต้น ฮือฮาไปด้วย
"เอ็งน่ะพูดเรื่อย ... แม่เฟื่องเค้าก็ดูหงิมๆ"
"หงิมๆ แล้วจะหยิบชิ้นปลามันทีละชิ้นสองชิ้นไม่ได้เหรอ"
รุ่งหัวเราะ พวกหญิงชาวบ้านพากันหัวเราะอย่างสนุกปาก สไบได้ยินทั้งหมดแล้วสีหน้าไม่ดี

ค่ำต่อเนื่องมา แฟงลุกพรวดเดินเข้าหาสไบที่มาเล่าเรื่องที่เพิ่งได้ยิน
"ปากอย่างนี้ มันต้องตำด้วยสากตำข้าว"
แฟงเดินพุ่งออกไป สไบดึงไว้ไม่ทัน
เฟื่องเดินเข้ามาจากอีกทาง ในมือยังมีฝักมะขามอ่อน มองเห็นท่าทางน้องสาว เดินฉุนเฉียวออกไป
"แฟงจะรีบไปไหน"
"ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ พี่เฟื่อง"
เฟื่องยื่นมะขามอ่อนส่งให้สไบ
"เอามั้ย"
"พี่เฟื่องกินเถอะจ้ะ ท่าทางจะเปรี้ยวเข็ดฟัน"
"ไม่เปรี้ยวเลย กำลังกิน"
เฟื่องยื่นให้หน้าตาเฉย สไบมองแล้วยิ้มแหยๆ ไม่กล้ากิน

รุ่งกำลังหัวเราะสนุก หญิงชาวบ้านคนหนึ่งท่าทางเป็นแม่ครัวใหญ่กำลังตำน้ำพริก แฟงโดดพรวดเข้ามา ทุกคนตกใจ รุ่งหัวเราะค้าง แฟงกระชากรุ่งมาใกล้แล้วตะคอกถาม
"ใครพูดว่าพี่เฟื่องของฉัน หงิมๆ แล้วจะหยิบชิ้นปลามัน"
หญิงชาวบ้าจนพากันหลบ รุ่งทำลอยหน้า ไม่กลัว
"ใคร ใครพูด"
"คนพูดปากมันคงว่าง"
"ใช่ ปากข้าว่าง มีอะไรมั้ย นังแฟง"
แฟงหันไปคว้าสากกะเบือตำน้ำพริกจากแม่ครัว
"ไม่มีอะไรหรอกพี่ ฉันอยากให้พี่ลองชิมน้ำพริกจากสากกะเบือนี่ดูสักที"
รุ่งตาเหลือก แฟงจะทิ่มสากเข้าหน้า รุ่งร้องดังลั่น หญิงชาวบ้านพากันมาดึงมือ แยกแฟงออกห่างจากรุ่ง
แฟงแกว่งสากไปรอบๆ ทุกคนพากันถอย รุ่งจะวิ่งหนี แฟง เขวี้ยงสากเฉียดหน้า รุ่งร้องลั่น
"กลัวแล้ว นังแฟง ข้ากลัวแล้ว"
รุ่งยกมือไหว้ปะหลกๆ
"พี่สาวฉันเป็นคนดี ถ้าใครปากมาก เอาเรื่องพี่เฟื่องมาพูดสนุกปากอีก จำไว้ ... ต่อไปจะเป็นสากตำข้าว"
"สากตำข้าว" รุ่งเสียงหลง

รุ่งฟังแล้วเข่าอ่อนพับลงไปกอง เหล่าหญิงพากันเงียบเมื่อเห็นว่าแฟงเอาจริง แฟงเดินฉับๆออกไป หน้าตายังไม่หายโกรธ

ทัพกำลังนั่งเช็ดดาบคู่กาย แฟงเดินพรวดๆเข้ามาหา ทัพอาศัยแสงไต้หน้าเรือนมองเห็นว่าเป็นแฟง ก็วางดาบ ลุกขึ้น

"มาทำไมมืดๆค่ำๆน่ะ แฟง"
"ฉันก็ไม่อยากมาเหยียบที่เรือนพี่นักหรอก"
"อ้าวมึงนี่ พูดจาไม่รู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่แล้วนะ"
"ว่าแต่ฉัน แล้วพี่ล่ะ เป็นผู้ใหญ่ รู้อะไรควรไม่ควรดีแล้วใช่มั้ย"
"แฟง ... มึงอย่ามาตีฝีปาก มีอะไรก็ว่ามา"
" รู้มั้ย พี่เฟื่องเค้าถูกชาวบ้านนินทาเพราะพี่"
ทัพงง
"ถูกนินทา"
"ใช่สิ พี่ทำอะไรลงไปรู้บ้างมั้ย พี่กำลังทำให้พี่เฟื่องกลายเป็นหญิงสองใจ"
"แฟง มึงจะพูดอะไร ให้นึกบ้างว่ากูไม่เคยคิดชั่วอย่างที่มึงพูด เฟื่องเองก็พี่สาวมึง"
"ก็เพราะพี่เฟื่องเป็นพี่สาวฉัน ฉันถึงต้องตามมาเอาเรื่องไอ้คนที่มันเป็นต้นเหตุให้พี่สาวฉันถูกด่า"
แฟงจ้องทัพ สีหน้าเดือดปุด
"บอกมาตรงๆดีกว่าพี่ทัพ ที่พี่ไปเกาะแกะพี่เฟื่อง เพราะพี่ยังรักพี่เฟื่องใช่มั้ย"
ทัพนิ่งอั้น ไม่ตอบ แฟงยิ่งรุกไล่
"พี่ยังรัก ยังหวังในตัวพี่เฟื่อง"
ทัพโมโห
"มึงคิดว่ากูจะเป็นชายชั่วได้ถึงเพียงนั้นหรือ แฟง"
ทัพน้ำเสียงดุดัน จนแฟงมองจ้อง อย่างตกใจ

ขาบเดินมายืนมองจากหน้าเรือน สไบกำลังเก็บผ้าที่ราว จะเอาเข้าบ้าน
"พี่ขาบ มาหาพี่เฟื่องเหรอจ๊ะ"
ขาบท่าทางเก้อๆ
"เฟื่องอยู่มั้ย สไบ"
"อยู่จ้ะ กำลังบีบนวดให้น้าเฟี้ยม พี่ขาบจะให้ฉันเรียกมั้ยจ๊ะ"
"ไม่ต้องก็ได้"
ขาบมองไปด้านในอย่างเสียดาย
"พี่ไปนะ"
ขาบเดินออกไป สไบได้แต่มองอย่างเห็นใจ แต่ทำอะไรไม่ได้ เฟื่องค่อยๆขยับออกมาจากหลังประตูมอง
สไบเดินเข้ามาใกล้
"ฉันบอกอย่างที่พี่สั่งแล้วจ้ะ"
"คราวหน้า สไบก็บอกว่าพี่ดูแลแม่"
"สงสารพี่ขาบ คงคิดถึงพี่เฟื่อง"
เฟื่องไม่พูดอะไร เบือนหน้าหนี สไบเดินเลยเข้าบ้านไป ปล่อยให้เฟื่องยืนสีหน้าตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ยอมไปอยู่ที่เรือนขาบ

ทัพที่จ้องหน้า บีบไหล่แฟงแรงขึ้นอย่างมีอารมณ์คุกรุ่น
"แฟง มึงมองหน้ากู แล้วบอกว่าเป็นกูที่เป็นคนผิดสัตย์สาบานที่มีต่อเพื่อนรัก มองกูแฟง แล้วบอกว่ากูจะแย่งเฟื่อง เมียรักของเพื่อนได้"
"ฉัน"
"บอกสิ แฟง"
แฟงจ้องตาทัพที่หลากหลายอารมณ์ทั้งผิดหวัง ทั้งโกรธ ทัพขยับมาใกล้ หัวใจแฟงเต้นแรง แฟงเริ่มขยับตัว
"ฉันไม่อยากให้พี่มาเข้าใกล้พี่เฟื่องอีก ถึงพี่จะรู้สึกยังไงกับพี่เฟื่อง หรือพี่เฟื่องจะรู้สึกยังไงกับพี่"
แฟงพูดแล้วหยุดนิ่งไป สะเทือนความรู้สึกตัวเองเหมือนกันที่รู้ว่า เฟื่องเองก็ยังอาวรณ์ทัพ
ทัพมองแฟงด้วยแววตาวูบไหว
"พี่ต้องลืมพี่เฟื่อง"
"เอ็งจะสั่งพี่"
"ฉันขอร้อง จะให้ฉันไหว้ฉันก็ยอม"
แฟงสะบัดหลุดจากแขนทัพ ก้มลง คุกเข่า พนมมือ ตรงหน้าทัพ
"ฉันรู้ว่าพี่กับพี่เฟื่องรักกันมาหลายปี"
แฟงยิ่งสะเทือนใจ น้ำเสียงสั่นเครือ ที่ต้องพูดในสิ่งที่ฝืนความรู้สึกจากใจจริงของตัวเอง
"ความรักของพี่กับพี่เฟื่องยากจะลืมกันได้ ฉันขอนะ พี่ทัพ ฉันขอ... อย่าทำให้พี่เฟื่องต้องถูกนินทาว่าเป็นหญิงสองใจอีก"
ทัพคุกเข่าลงมองแฟงที่น้ำตาหยดลงมา
"แฟง ถึงมึงไม่ขอ กูก็ต้องทำ เฟื่องเป็นผู้หญิงที่ดีที่สุด กูจะไม่ทำให้เฟื่องหมองมัว"
แฟงน้ำตาไหลจนหยุดไม่ได้ อัดอั้นจนสะอื้นออกมา ทัพสงสาร ดึงแฟงมากอดไว้เบาๆ
"นิ่งซะ นิ่งซะ"
ทัพลูบผมแฟงเบาๆ แฟงยิ่งรู้สึกอบอุ่น แต่ก็ต้องหักห้ามใจ ดึงตัวออก ทัพยิ้มให้
"มึงเป็นผู้หญิงขี้แยตั้งแต่เมื่อไหร่"
"พี่ทัพก็เห็นฉันเป็นเด็กวันยังค่ำ"
แฟงย้อนด้วยเสียงเง้างอด ทัพยิ้ม
"ใช่ กูเห็นมึงเป็นเด็ก ... เด็กขี้แย"
ทัพยื่นมือไปเช็ดน้ำตาให้แฟงเบาๆ แฟงจ้องมอง ในใจเต้นโครมคราม
"งั้นก็อย่ามายุ่งกับเด็กขี้แย"

แฟงลุกขึ้นเดินหนี ปัดๆออกไปอย่างแง่งอน ทัพลุก มองตามด้วยรอยยิ้ม

สังข์นอนเมาไม่ได้สติอยู่ที่หน้าแคร่ ขาบเดินมาใกล้

"น้องจวง ทำไมไม่กลับมาหาพี่สังข์"
สังข์กอดไหเหล้า เพ้อหา
"จะให้พี่สังข์กอดไหแทนเมียไปอีกกี่คืน"
ขาบมองเพื่อนที่เมาจนไม่ได้สติ เพ้อหาแต่จวง คว้าไหเหล้าจากมือสังข์ ขาบกรอกเหล้าเข้าปากด้วยหวังดับความผิดหวังเสียใจ

รุ่งขึ้น สไบกำลังป้อนข้าวดอกรักที่แววตาเหม่อลอย เซื่องซึม กินข้าวอย่างซังกะตาย ไม่อาละวาดเหมือนเมื่อวาน ฟัก เอิบ ช่วง หมู่เคลิ้มคอยระวังอยู่ใกล้ๆ
สไบบอก
"พี่ดอกรักจ๋า กินอีกคำนะจ๊ะ ฉันทำแกงส้มปลาช่อนมาให้"
สไบป้อน ดอกรักหุบปากนิ่งซะเฉยๆ
"พี่ดอกรักจ๋า"
ดอกรักมองตาขวาง
"พอก่อนเถอะสไบ ออกมาห่างๆมันก่อน"
สไบจำต้องถอยออกมาอย่างที่ฟักเตือน
เอิบบอก
"อิ่มแล้วก็นอนซะ ไอ้ดอกรัก ไม่ต้องโวยวายให้ชาวบ้านเค้าตกใจอีก"
ดอกรักมองตาขวางมาที่เอิบ ช่วง สองคนมองแหยงๆ ดอกรักวันนี้เหมือนคนว่าง่าย เอนตัวลงนอนหันหลังให้ทุกคน เอิบ ช่วงถึงกับถอนใจเฮือก
"วันนี้เชื้อบ้ามันคงหลบใน"
หมู่เคลิ้มบอก
"พวกเอ็งอย่ามัวพูดมาก ไปซ้อมดาบกันได้แล้ว"
"ไปเถอะสไบ ปล่อยมันนอนอยู่ในนี้แหละ"
"รีบๆหายนะพี่ดอกรัก"
สไบบอกเหมือนอยากให้ดอกรักรับรู้ แล้วเดินออกไปกับกลุ่มฟัก
ดอกรักที่นอนนิ่ง มือถูกมัดโยงไว้กับเสา กันหนี ดอกรักพึมพำออกมา แต่ไม่มีใครได้ยิน
"ฉันเห็น ... ไอ้ใจมันเป็นทหารอังวะ ไอ้ใจมันหลอกเรา"

ใจแบกฟืนมาให้โรงครัว เฟื่องเดินเข้ามาจากอีกทาง ใจวางฟืนลง รุ่งกับหญิงชาวบ้านนั่งมองเฟื่อง เฟื่องถามขึ้นด้วยสีหน้าสดชื่น มีแต่รอยยิ้ม
"วันนี้จะทำแกงอะไรกันจ๊ะ"
ทุกคนเงียบไม่ตอบ รุ่งทำปั้นปึ่งนั่งห่าง เฟื่องหน้าเจื่อนลง หันไปถามทางแม่ครัวใหญ่
"ป้าจะให้ฉันปอกหอม ปอมกะเทียมเลยมั้ยจ๊ะ"
ทุกคนเงียบ ไม่คุยกับเฟื่อง ทั้งเฟื่องทั้งใจมองอย่างงงๆ
"วันนี้โรงครัวมันเงียบๆนะ พี่รุ่ง"
รุ่งพอเห็นใจถาม ก็เผลอคุย
"แหม ก็ใครจะกล้าคุย เดี๋ยวเจอสากกะเบือลอยลม"
เฟื่องเริ่มมองจับความ ใจแกล้งเข้าไปเช็ดเหงื่อใกล้ๆรุ่ง
"สากกะเบืออะไรกัน"
ทำพูดเบาๆ มองไปทางเฟื่อง
"นังแฟงน่ะ มันบอกใครพูดถึงพี่มัน มันจะเอาสากตำปาก พวกฉันเลยไม่กล้าคุย เดี๋ยวพูดอะไรผิดหู จะมีคนเอาไปฟ้อง"
ใจฟังแล้วเข้าใจทันที หันไปมองเฟื่องด้วยสายตาสงสาร
"พี่เฟื่องเค้าไม่ใช่คนขี้ฟ้อง"
"ไม่รู้ ข้าขี้กลัว"
ใจมองสงสาร เฟื่องเริ่มรู้ว่าตัวเองคงเป็นส่วนเกินของทุกคนที่นี่ ก็จะหันหลังไป ใจรีบหันไปทางรุ่ง
"รุ่งไม่กลัวเฟื่องกลับไปบอกแฟงเหรอ ว่าคนที่นี่ไม่ยอมคุยด้วย"
รุ่งทำหน้าตกใจเหมือนนึกขึ้นได้
"ไหนว่าเฟื่องมันไม่ขี้ฟ้อง"
"ก็ถ้าเฟื่องกลับไปหน้าอย่างนั้น แฟงก็รู้น่ะสิ"
รุ่งเชื่ออย่างที่ใจแหย่ รีบหันมาเรียก
"เฟื่อง มานี่สิ"
เฟื่องหันมา รุ่งทำเป็นเรียก ทุกคนที่เหลือมองท่าทีของรุ่ง
"ช่วยขูดมะพร้าวหน่อย"
"ได้จ้ะ"
เฟื่องนั่งลงที่กระต่ายขูดมะพร้าว ไม่มีอิดออด รุ่งมองอย่างโล่งใจ แต่ก็ยังรักษาฟอร์มเดินห่างออกไปอีกทาง แม่ครัวใหญ่มองแล้ว อดปากไม่ไหว กระเถิบเข้ามาคุยกับเฟื่อง
"นังรุ่งน่ะสิมันบ้า ไม่ให้พวกเราพูดกับเอ็ง นังนี่มันท่าจะบ้าตามไอ้ดอกรัก"
เฟื่องแค่ยิ้ม ไม่พูดอะไรต่อ แม่ครัวใหญ่เดินไปดูข้าวที่กำลังเดือดในหม้อ
ใจเดินมาใกล้
"ไม่มีอะไรหรอก เฟื่อง ... เรื่องเข้าใจผิดกัน อย่าถือสาแม่รุ่งเลย"
เฟื่องยิ้มเยือกเย็น
"เอ็งนี่ชอบช่วยคนอื่น เป็นคนดีจริงๆนะ ใจ"

ใจยิ้มหล่อ รุ่งมองแล้วย้วยลงไปกับแคร่ด้วยความหลงรัก เฟื่องมองใจด้วยสายตาชื่นชมจริงใจ

สังข์กับขาบกำลังซ้อมอาวุธ กับคนอื่นๆ ขาบสมาธิไม่ดี เพราะคิดกังวลเรื่องเฟื่องจนถูกคู่ซ้อมจ่อดาบเข้าที่ท้อง

ทุกคนมอง ขาบที่ยืนไหล่ตก
สังข์ถาม
"เป็นอะไรวะ ไอ้ขาบ ท่าทางยังกับคนไม่มีแรง"
"นังเฟื่องมันสวย ก็อย่างว่าข้าวใหม่ปลามัน ไอ้ขาบมันก็คงกินซะจนจุก มือไม้แข้งขาอ่อนปวกเปียก"
เอิบแซวอย่างไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง ชาวบ้านชายฉกรรจ์พากันเป่าปากแซว ขาบสีหน้ากดดัน กำดาบแน่น สังข์มองเพื่อนอย่างเห็นใจ

ทัพกำลังนั่งมองดอกรักที่นอนหันหลังให้
"ดอกรัก เอ็งจำอะไรได้บ้างมั้ย"
ดอกรักพรวดลุกขึ้นกุมหัว ทัพมองระวัง
"เอ็งปวดหัวเหรอ"
"เจ็บ"
ทัพมองลุ้น รอฟัง ดอกรักเห็นภาพแวบเข้ามาในความคิด... ดอกรักถูกใจศอกลงกลางหัว
"ไอ้ใจ มันศอกลง" ดอกรักจับหัว "ตรงนี้"
ดอกรักพูดออกมาอย่างที่จำได้
"ว่ายังไงนะ พูดอีกทีสิ เอ็งจำได้ว่ายังไง"
"ไอ้ใจเป็นข้าศึก มันหลอกเรา"
ดอกรักทวนคำซ้ำๆ
"ไอ้ใจ มันกับพวก รวมหัวกันหลอกเรา"
ทัพเครียด กังวล ไม่รู้จะเชื่อถือกับคำพูดของดอกรักได้มากแค่ไหน

บริเวณด้านหน้าระเนียดค่าย ยามหามร่างชายคนหนึ่ง เนื้อตัวมีแต่รอยช้ำ เพราะถูกทุบตี มีเลือดเลอะตามเนื้อตัว เสื้อผ้า เข้ามาวาง
ชาวบ้านอื่นๆพากันมาดู
"เจอที่ไหน"
"นอกค่าย มันนอนสลบอยู่"
"คงถูกพวกข้าศึกไล่ฟันมา"
ผู้ชายที่ถูกหามเข้ามานอนแน่นิ่งคือเจิด

ก่อนหน้านี้ เจิดเดินย่ำมาอย่างช้าๆ บนพื้นดินที่ถูกฝนฉะนองพื้น จนมาหยุดที่ต้นไม้ใหญ่เหมือนมองหาใครสักคน จนกระทั่งชุกคยีโผล่ออกมาจากหลังต้นไม้
ทั้งคู่มองหน้ากันนิ่ง แววตาทั้งคู่จ้องกันไม่กระพริบ
เสียงชาวบ้านคุยกันดังเข้ามา
"เร็ว...ฝนตกอย่างนี้รีบกลับเข้าค่ายดีกว่า"
โตกับเสริฐวิ่งฝ่าฝนตรงมาทางเจิดกับชุกคยี ก่อนที่ทุกคนจะคาดคิด...ชุกคยีก็ตวัดมืออย่างเร็วเข้าที่หน้าเจิด ความเร็วนั้นจับไม่ได้ว่าเป็นอาวุธชนิดใด เพียงแค่เงาเหล็กสะท้อนวับเดียวเท่านั้น
....แต่ใบหน้าเจิดก็เต็มไปด้วยเลือดเสียแล้ว
เจิดเงียบ ไม่มีเสียงร้องใดใดออกมา ชุกคยีมองเจิดนิ่ง
"ฆ่ามัน...เอาตัวอองนายกลับมา"
ชุกคยีค่อยๆถอยออกไป
โตกับเสริฐเดินใกล้เข้ามา เสียงเจิดร้องด้วยความเจ็บปวด ทั้งคู่ตกใจ หยุดอยู่กับที่
เจิดวิ่งร้องออกมาจากในป่า หน้าตาเต็มไปด้วยเลือด
"ช่วยด้วย ช่วยด้วย"
ทั้งคู่ตกใจ ก้าวขาไม่ออก ยืนร้องอยู่กับที่
"โอ้ย....เจ้าป่าเจ้าเขาช่วยลูกช้างด้วย โอ้ย...ไอ้เสริฐช่วยกูด้วย"
เจิดเดินเข้ามาล้มตรงหน้า
"ช่วย...ช่วย ด้วย"

ใจเดินมาที่แถวเรือนดอกรัก เห็นทัพเดินหน้าเครียดออกมาจากเรือน ใจหลบวูบ มอง จ้องทัพก่อนเดินแยกไปอีกด้าน ใจมองเรือนดอกรัก สีหน้าไม่สู้ดีนัก
ดอกรักที่นอนอยู่ ใจพรวดเข้ามา พุ่งเข้าไปใกล้ดอกรัก
"แกพูดอะไรกับไอ้ทัพ"
ดอกรักชี้หน้า
"ไอ้ใจ มึง ไอ้ใจ ... มึงเป็นข้าศึก มึงกับพวกเป็นข้าศึก"
ดอกรักเริ่มแหกปากซ้ำๆ ใจเอามือปิดปากปิดจมูกดอกรัก
"ฉันไม่อยากฆ่าแกเลย"
ใจกดแรงขึ้น ดอกรักเริ่มหายใจไม่ออก ดิ้น ทัพก้าวเข้ามาจากด้านหลัง
"ไอ้ใจ"
ใจพอได้ยินเสียง ก็รีบดึงมือออก ร้องลั่น
"โอ๊ย กัดฉันทำไม"
ใจทำเป็นร้องลั่น กุมมือ ลุกขึ้นเหมือนเพิ่งหันมาเห็นทัพ
"ทัพ"
"แกเข้ามาทำอะไร"
"ฉันมาดูว่าดอกรักมันดีขึ้นหรือยัง แต่มันกัดมือฉัน"
ดอกรักยังแหกปาก ทัพมองใจที่ทำสีหน้าสลด
"ฉันก็แวะมาดู คิดว่าจะช่วยพอให้จำอะไรได้มั่ง แต่ดอกรักมันไม่ชอบขี้หน้าฉันแต่ไหนแต่ไร ฉันก็คงไม่มาอีกแล้ว"

ใจทำหน้าผิดหวัง แล้วเดินผ่านประตูออกไป ที่หน้าเรือน ทัพมองสังเกตเห็นใจกุมมือเดินห่างไป
 
อ่านต่อตอนที่ 8
กำลังโหลดความคิดเห็น